The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Anchittha Kainta, 2023-02-25 07:48:42

ประวัติพ่อขุนรามคำแหง

ประวัติ

มาสืบ สื ค้น ค้ ประวัติ วั ติ พ่อ พ่ ขุน ขุ รามคำ แหง กัน กั เถอะ


คำ นำ รายงานการศึกษาค้นคว้าว้เล่มนี้จัดทำ ขึ้นเพื่อเป็นป็ ส่วนหนึ่งของวิชวิา ประวัติศาสตร์ ชั้นชั้ม.5/2 เพื่อให้ได้ศึกษาหาความรู้ในเรื่อรื่ง ประวัติพ่อขุน รามคำ แหง และได้ศึกษาอย่างเข้าใจ เพื่อเป็นป็ ประโยชน์กับการเรียรีน ผู้จัดทำ หวังว่าว่รายงานเล่มนี้จะเป็นป็ ประโยชน์กับผู้อ่าน หรือรืนักเรียรีน นักศึกษา ที่กำ ลังหาข้อมูลเรื่อรื่งนี้อยู่หากมีข้อแนะนำ หรือรืข้อผิดพลาด ประการใด ผู้จัดทำ ขอน้อมรับไว้แว้ละขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ผู้จัดทำ อัญชิษฐา กาอินตา


สารบัญ บั


มาเริ่ริ่ม ริ่ ม ริ่ ทำทำทำทำความ รู้รู้จัรู้จัรู้ก จั ก จั กั กันเลย พ่อขุนรามคำ แหงมหาราชเป็นพระราชโอรส ของพ่อขุนศรีอิ รีอินทราทิตย์ปฐมกษัตริย์ริย์ แห่งกรุงสุโขทัย พ่อขุนศรีอิ รีอินทราทิตย์ มีพระมเหสีคือ พระนางเสือง มี พระราชโอรสสามพระองค์ พระราชธิดาสองพระองค์ พระราชโอรส องค์ใหญ่สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังเยาว์องค์ กลางมี พระนามว่า บานเมือง และพระราชโอรสองค์ที่ สาม คือ พ่อขุนรามคำ แหงมหาราช เมื่อพระชันษาได้ ๑๙ ปี ได้ชนช้างชนะขุนสามชนเจ้าเมืองฉอด พ่อขุน ศรี อินทราทิตย์ จึงพระราชทานนามว่า " พระราม คำ แหง " เมื่อสิ้นรัชสมัยพ่อขุนศรีอิ รีอินทราทิตย์ และ พ่อขุนบานเมืองแล้ว พระองค์ได้ครองกรุงสุโขทัย ต่อ มาเป็น พระมหากษัตริย์ริย์ รัชกาลที่ ๓ แห่งราชวงศ์ พระร่วงสันนิษฐานว่าพระองค์ สิ้นพระชนม์ในราวปี พ . ศ . ๑๘๖๐ รวมเวลาที่ทรงครองราชย์ประมาณ ๔๐ ปี


พ่อขุนรามคำ แหงมหาราช ทรงรวมเป็นพระมหากษัตริย์ที่ ทรงอัจฉริยภาพทั้ง ทั้ ด้านการปกครอง เศรษฐกิจ ศาสนาและ ศิลปวิทยาต่างๆ ที่สำ คัญยิ่งคือพระองค์ได้ทรงประดิษฐ์อักษรไทย ขึ้น ขึ้ เมื่อประมาณ พ.ศ. ๑๘๒๖ ซึ่งเป็นต้นกำ เนิดของอักษรไทยที่ ใช้อยู่ในปัจจุบัน พระเจ้ารามคำ แหงมหาราช เมื่อแรกตั้งตั้อาณาจักรสุโขทัยนั้นนั้อาณาเขตยังไม่กว้า ว้ งขวาง เท่าใดนัก เขตแดนทางทิศใต้จดเพียงเมืองปากน้ำ โพ ใต้จากปากน้ำ โพลงมายังคงเป็น ป็ อาณาเขตของขอมอันได้แก่เมืองละโว้ ทางฝ่าฝ่ย ตะวันตกจดเพียงเขาบันทัด ทางเหนือมีเขตแดนติดต่อกับประเทศลาน นาที่ภูเขาเขื่อน ส่วนทางตะวันออกก็จดอยู่เพียงเขาบันทัดที่กั้นกั้แม่น้ำ สักกับแม่น้ำ น่าน อย่างไรก็ตาม ในระหว่าว่งที่ทรงครองราชย์อยู่นั้นนั้พระเจ้าศรีอิ รีอิน ทราทิตย์ก็ได้กระทำ สงครามเพื่อขยายเขตแดนของไทยออกไปอีกใน ทางโอกาสที่เหมาะสม ดังที่มีข้อความปรากฏอยู่ในศิลาจารึก รึ ว่าว่ พระองค์ได้เสด็จยกกองทัพไปดีเมืองฉอด ได้ทำ การรบพุ่งตลุมบอน กันเป็น ป็ สามารถถึงขนาดที่พระเจ้าศรีอิ รีอินทราทิตย์ ได้ทรงกระทำ ยุทธหัตถีกับขุนสามชนเข้าเมืองฉอด แต่พระองค์เสียทีแก่ขุนสามชน แลในครั้งนี้เองที่เจ้ารามราชโอรสองค์เล็กของพระองค์ได้เริ่มริ่มี บทบาทสำ คัญด้วยการที่ทรงถลันเข้าช่วยโดยไสช้างทรงเข้า แก้พระราชบิดาไว้ทั ว้ ทั นท่วงที แล้วยังได้รบพุ่งตีทัพ ขุนสามชนเข้าเมืองฉอดแตกพ่ายกระจายไป


พระเจ้าศรีอิรีอินทราทิตย์ พระราชบิดาจึงถวายพระนามโอรสองค์เล็กนี้ว่าว่ “เจ้ารามคำ แหง” พระเจ้าศรีอิรีอินทราทิตย์ ทรงครองอาณาจักรสุโขทัยอยู่ จนถึงประมาณปี 1881 จึงเสด็จสวรรคต พระองค์มีพระโอรสพระองค์ด้วย กัน โอรสองค์ใหญ่พระนามไม่ปรากฎเพราะได้สิ้นพระชนม์เสียตั้งตั้แต่เยาว์ วัย องค์กลางทรงพระนามว่าว่ “ขุนบาลเมือง” องค์เล็กทรงพระนามว่าว่ “เจ้า ราม” และต่อมาได้รับพระราชทานใหม่ว่าว่ “เจ้ารามคำ แหง” หลังจากตีทัพ ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดแตกพ่ายไป เมื่อพระเจ้าศรีอิรีอินทราทิตย์เสด็จสวรรคตแล้วโอรสองค์กลางขุนบาล เมือง ได้ขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อมาอีกประมาณ 9 ปี ก็เสด็จสวรรคต พระราชอนุชา คือ เจ้ารามคำ แหง จึงได้เสวยราชย์สืบต่อมา ทรง พระนามว่าว่พระเจ้ารามคำ แหง พระเจ้ารามคำ แหง จะมีพระนามเดิมว่าว่อย่างไรไม่ปรากฏชัดแต่ สมเด็จกรมพระยาดำ รงราชานุภาพ พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ ได้ทรง สันนิษฐานว่าว่คงจะเรียรีกกันว่าว่ “เจ้าราม” แลเมื่อเจ้ารามมีพระชนมายุได้ 19 ชรรษา ได้ตามสมเด็จพระราชบิดาไปทำ ศึกกับขุนสามชนเจ้าเมืองฉอด และได้ทรงแสดงความเก่งกล้าในทาสไสช้างทรงเข้าแก้เอาพระราชบิดาไว้ ได้ทั้งทั้ตีทัพขุนสามชนแตกพ่ายไปแล้วพระราชบิดาจึงถวายพระนามเสียใหม่ ว่าว่ “เจ้ารามคำ แหง”


พระเจ้ารามคำ แหง ทรงเป็นมหาราชองค์ที่สองของ ชาวไทย และทรงเป็นมหาราชพระองค์เดียวในสมัยสุโขทัย พระองค์ทรงเป็นอัจฉริยริกษัตริย์ริย์ ทรงชำ นาญทั้ง ทั้ ในด้านการรบ การปกครอง และการศาสนา พระองค์ทรงขยายอาณาจักร สุโขทัยออกไปได้กว้างใหญ่ไพศาลด้วยวิเวิทโศบายอันแยบยล สุขุมคัมภีรภาพทั้ง ทั้ ทรงปกครองไพร่ฟ้า ฟ้ ข้าแผ่นดินด้วยความ ยุติธรรมได้รับความร่มเย็นเป็นสุขกันทั่วทั่หน้า ซึ่งข้าพเจ้าจะได้ กล่าวถึงพระราชกรณียกิจของพระองค์เป็นอันดับไปดังต่อไป นี้


การขยายอาณาจักร เมื่อพระเจ้ารามคำ แหง เสด็จเถลิงถวัลราชสมบัติสืบต่อ จากพ่อขุนบาลเมืองนั้นนั้อาณาจักรสุโขทัยนับว่าว่ตกอยู่ใน ระหว่าว่งอันตรายรอบด้าน และยากทำ การขยายอาณาจักร ออกไปได้ เพราะทางเหนือก็ติดต่อกับแคว้น ว้ ลานนา อันเป็น ป็ เชื้อสายไทยด้วยกันมีพระยาเม็งรายเป็น ป็ เจ้าเมืองเงินยางและ พระยางำ เมือง เป็น ป็ เจ้าเมืองพะเยาและทั้งทั้พระยาเม็งราย และพระยางำ เมือง ขณะนั้นนั้ต่างก็มีกำ ลังอำ นาจแข็งแกร่งทั้งทั้ คู่ ทางตะวันออกนั้นนั้เล่าก็ติดต่อกับดินแดนของขอม ซึ่งมีชาว ไทยเข้าไปตั้งตั้ภูมิลำ เนาอยู่มาก ตะวันตกของอาณาจักร สุโขทัยก็จดเขตแดนมอญและพม่า ส่วนทางใต้ก็ถูกเมืองละโว้ ของขอมกระหนาบอยู่ ด้วยเหตุนี้พระเจ้ารามคำ แหงจึงต้องดำ เนินวิเวิทโศบาย ในการแผ่อาณาจักรอย่างแยบยล และสุขุมที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยง การฆ่าฟัน ฟั ระหว่าว่งคนไทยด้วยกันเอง คือแทนที่จะขยาย อาณาเขตไปทางเหนือ หรือ รื ตะวันออกซึ่งมีคนตั้งตั้หลักแหล่ง อยู่มาก พระองค์กลับทรงตัดสินพระทัยขยายอาณาเขตลงไป ทางใต้อันเป็น ป็ ดินแดนของขอม และทางทิศตะวันตกอัน เป็น ป็ ดินแดนของมอญ เพื่อให้คนไทยในแคว้น ว้ ลานนา ได้ประจักษ์ในบุญญาธิการ และได้เห็นความแข็งแกร่ง ของกองทัพไทยแห่งอาณาจักรสุโขทัยเสียก่อน แล้วไทยใน แคว้น ว้ ลานนาก็อาจจะมารวมเข้าด้วยต่อภายหลังได้โดยไม่ ยาก


แต่แม้จะได้ตกลงพระทัย ดังนั้น พระเจ้า รามคำ แหงก็ยังคงทรงวิตวิกอยู่ในข้อที่ว่าถ้าแม้ว่า พระองค์กรีฑ รี าทัพขยายอาณาเขตลงไปสู้รบกับพวก ขอมทางใต้แล้วพระองค์อาจจะถูกศัตรูรุกรานลงมา จากทางเหนือก็ได้ บังเอิญในปี พ.ศ. 1829 กษัตริย์ริย์ใน ราชวงศ์หงวนได้ส่งฑูตเข้ามาขอทำ ไมตรีกั รีกั บไทย พระองค์จึงยอมรับเป็นไมตรีกั รีกั บจีน เพื่อป้องกันมิให้ กองทัพจีนยกมารุกรานเมื่อพระองค์ยกทัพไปรบเขมร พร้อมกันนั้นก็ได้ทรงพยายามสร้างความสนิทสนมกับ ไทยลานนาเช่นได้เสด็จด้วยพระองค์เองไปช่วยพระยา เม็งราย สร้างราชธานีที่นครเชียงใหม่เป็นต้น แหละ เมื่อเห็นว่าสัมพันธไมตรีท รี างเหนือมั่นคงแล้ว พระองค์ จึงได้เริ่มริ่ขยายอาณาจักรสุโขทัยลงไปทางใต้ตามลำ ดับ คือ ใน พ.ศ. 1823 ทรงตีได้เมืองนครศรีธ รี รรมราช และเมืองต่างๆ ในแหลมลายูตลอดรวมไปถึงเมือง ยะโฮร์ และเกาะสิงคโปร์ในปัจจุบันนี้ ใน พ.ศ. 1842 ตีได้ประเทศเขมร (กัมพูชา)


การทำ นุบำ รุงบ้านเมือง เมื่อได้ทรงขยายอาณาเขตของอาณาจักรสุโขทัยออกไป อย่างกว้า ว้ งขวางดังกล่าวแล้วพระเจ้ารามคำ แหง ยังได้ทรงทำ นุ บำ รุงบ้านเมืองอีกเป็น ป็ อันมาก เช่นได้ทรงสนับสนุนในทางการค้า พานิช เลิกด่านเก็บภาษีอากรและจังกอบ เพื่อเปิดปิ โอกาสให้ผู้คนไป มาค้าขายกันได้โดยสะดวกได้ยิ่งขึ้น ได้ส่งเสริมริการทำ อุตสาหกรรม ทำ เครื่อ รื่ งถ้วยชาม ถึงกับได้เสด็จไปดูการทำ ถ้วยชามในประเทศจีน ถึงสองครั้ง แล้วนำ เอาช่างปั่นถ้วยชามชาวจีนเข้ามาด้วยเป็น ป็ อัน มาก เพื่อจะได้ให้ฝึก ฝึ สอนคนไทยให้รู้จักวิธีวิธี ทำ ถ้วยชามเครื่อ รื่ งเคลือบ ดินเผาต่างๆ ซึ่งปรากฏว่าว่ ได้เจริญริรุ่งเรือ รื งมากในระยะนั้นนั้ ในด้านทางศาลก็ให้ความยุติธรรมแก่อาณาประชาราษฎร โดยทั่วทั่ถึงกันไม่เลือกหน้าทรงเอาพระทัยใส่ในทุกข์สุขของอาณา ประชาราษฎร์ถึงกับสั่งสั่ให้เจ้าพนักงานแขวนกระดิ่งขนาดใหญ่ไว้ที่ ว้ ที่ ประตูพระราชวังด้านหน้าแม้ใครมีทุกข์ร้อนประการใดจะขอให้ทรง ระงับดับเข็ญแล้วก็ให้ลั่นลั่กระดิ่งร้องทุกข์ได้ทุกเวลา ในขณะ พิจารณาสอบสวนและตัดสินคดี พระองค์ก็เสด็จออกฟัง ฟั และตัดสิน ด้วยพระองค์เองไปตามความยุติธรรม แสดงความเมตตาแก่ไพร่ ฟ้า ฟ้ ข้าแผ่นดินเสมือนบิดากับบุตรทรงชักนำ ให้ศาสนาประกอบการ บุญกุศล ศรัทธาในพระพุทธศาสนา พระองค์เองทรงเป็น ป็ อัคร ศาสนูปถัมภกได้ทรงสร้างแท่นมนังศศิลาไว้ที่ ว้ ที่ ดงตาล สำ หรับให้ พระสงฆ์แสดงธรรมและบางครั้งก็ใช้เป็น ป็ ที่ประทับว่าว่ราชการแผ่น ดิน


การปกครอง ลักษณะการปกครองในสมัยของพระเจ้ารามคำ แหงหรือรืราษฎรมักเรียรีก กันติดปากว่าว่พ่อขุนรามคำ แหงนั้นนั้พระองค์ได้ทรงถือเสมือนหนึ่งว่าว่ พระองค์เป็น ป็ บิดาของราษฎรทั้งทั้หลาย ทรงให้คำ แนะนำ สั่งสั่สอน ใกล้ชิดเช่น เดียวกับบิดาจะพึงมีต่อบุตร โปรดการสมาคมกับไพร่บ้านพลเมืองไม่เลือก ชั้นชั้วรรณะ ถ้าแม้ว่าว่ ใครจะถวายทูลร้องทุกข์ประการใดแล้ว ก็อนุญาตให้ เข้าเฝ้าฝ้ใกล้ชิดได้ไม่เลือกหน้าในทุกวันพระมักเสด็จ ออกประทับยังพระแท่น ศิลาอาสน์ ทำ การสั่งสั่สอนประชาชนให้ตั้งตั้อยู่ในศีลธรรม ในด้านการปกครองเพื่อความปลอดภัยและมั่นมั่คงของประเทศนั้นนั้ พระองค์ทรงถือว่าว่ชายฉกรรจ์ที่มีอาการครบ 32 ทุกคนเป็น ป็ ทหารของ ประเทศ พระเจ้าแผ่นดินทรงดำ รงตำ แหน่งจอมทัพ ข้าราชการก็มีตำ แหน่ง ลดหลั่นลั่เป็น ป็ นายพล นายร้อย นายสิบ ถัดลงมาตามลำ ดับ ในด้านการปกครองภายใน จัดเป็น ป็ ส่วนภูมิภาคแบ่งเป็น ป็ หัวเมือง ชั้นชั้ใน ชั้นชั้นอกและเมืองประเทศราชสำ หรับหัวเมืองชั้นชั้ใน มีพระเจ้าแผ่นดิน เป็น ป็ ผู้ปกครองโดยตรง มีเมืองสุโขทัยเป็น ป็ ราชธานี เมืองศรีสัรีสัชนาลัย (สวรรคโลก) เป็น ป็ เมืองอุปราช มีเมืองทุ่งยั้งยั้บางยม สองแคว (พิษณุโลก) เมืองสระหลวง (พิจิตร) เมืองพระบาง (นครสวรรค์) และเมือง ตากเป็น ป็ เมืองรายรอบ สำ หรับหัวเมืองชั้นชั้นอกนั้นนั้เรียรีกว่าเมืองพระยามหานคร ให้ ขุนนางผู้ใหญ่ที่ไว้วว้างพระราชหฤทัยไปปกครองมีเมืองใหญ่บ้างเล็กบ้าง เวลามีศึกสงครามก็ให้เกณฑ์พลในหัวเมืองขึ้นของตนไปช่วยทำ การรบ ป้อป้งกันเมือง หัวเมืองชั้นชั้นอกในสมัยนั้นนั้ได้แก่ เมืองสรรคบุรี อู่ทอง ราชบุรี เพชรบุรี ตะนาวศรี เพชรบูรณ์ แลเมืองศรีเรีทพ ส่วนเมืองประเทศราชนั้นนั้เป็น ป็ เมืองที่อยู่ชายพระราชอาณาเขตมักมี คนต่างด้าวชาวเมืองเดิมปะปนอยู่มาก จึงได้ตั้งตั้ให้เจ้านายของเขานั้นนั้ จัดการปกครองกันเอง แต่ต้องถวายดอกไม้เงินดอกไม้ทองทุกปี แลเมื่อ เกิดศึกสงครามจะต้องถล่มทหารมาช่วย เมืองประเทศราชเหล่านี้ ได้แก่ เมืองนครศรีธรีรรมราช มะละกา ยะโฮร์ ทะวาย เมาะตะมะ หงสาวดี น่าน หลวงพระบาง เวียวีงจันทร์ และเวียวีงคำ


การวรรณคดี นอกจากจะได้ทรงขยายอาณาเขตของไทย ทาง ปกครองทำ นุบำ รุงบ้านเมือง และจัดระบบการ ปกครองที่เป็น ป็ ระเบียบเรียรีบร้อยดังกล่าวแล้ว พระเจ้ารามคำ แหงยังได้ทรงสร้างสิ่งที่คนไทยจะ ลืมเสียมิได้อีกอย่างหนึ่ง สิ่งนั้นนั้ได้แก่ การ ประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นอันเป็นรากฐานของหนังสือ ไทยที่เราได้ใช้กันอยู่ในทุกวันนี้ ตามหลักฐานปรากฎว่าว่พระองค์ได้ทรงคิด อักษรไทยขึ้นใช้เมื่อปี พ.ศ. 1826 กล่าวกันว่าว่ ได้ ดัดแปลงมาจากอักษรคฤนถ์อันเป็น ป็ อักษรที่ใช้กัน อยู่ในอินเดียฝ่าฝ่ยใต้ ตัวอักษรไทยซึ่งพระเจ้ารามคำ แหงคิดขึ้นใช้ ในสมัยนั้นนั้ตัวพยัญชนะ สระและวรรณยุกต์จึงอยู่ เรียรีงในบรรทัดเดียวกันหมด ดังจะดูได้จากแผ่น ศิลาจารึกรึในสมัยพระเจ้ารามคำ แหง ซึ่ง ประดิษฐานอยู่ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ต่อมา จึงได้มีผู้ค่อยคิดดัดแปลงให้วัฒนาในทางดี และ สะดวกในการเขียนมากขึ้น เป็น ป็ ลำ ดับ จนกระทั่งทั่ ถึงอักษรไทยที่เราได้ใช้กันอยู่ในทุกวันนี้


การศาสนา ในสมัยพระเจ้ารามคำ แหงนั้นนั้ปรากฎว่าว่ศาสนาพุทธได้ เจริญริรุ่งเรือ รื งขึ้นมากเพราะพระองค์ทรงเลื่อมใสศรัทธาอย่างมาก เช่นเมื่อมีคนไทยเดินทางไปยังเกาะลังกา เพื่อบวชเรีย รี นตามลัทธิ ลังกาวงศ์ คือถือคติอย่างหินยาน มีพระไตรปิฎปิกเป็น ป็ ภาษามคธ แล้วเข้ามาตั้งตั้เผยแพร่พระพุทธศาสนาอยู่ที่เมืองนครธรรมราชนั้นนั้ พระเจ้ารามคำ แหงยังได้เสร็จไปพบด้วยพระองค์เองแล้วนิมนต์ พระภิกษุนั้นนั้ขึ้นมาตั้งตั้ให้เป็น ป็ สังฆราชกรุงสุโขทัย และได้บวชใน คนไทยที่เลื่อมใสศรัทธาต่อมาตามลำ ดับ ต่อมาพระเจ้า รามคำ แหงได้ทำ ไมตรีกั รีกั บลังกาและได้พระพุทธสิหิงค์มาจาก ลังกา แลนับแต่นั้นนั้มาคนไทยจึงได้นับถือลัทธิลังกาวงศ์สืบมา


ในสมัยพระเจ้ารามคำ แหง ได้มีการจัดทำ ศิลาจารึก รึ ขึ้น เป็นครั้งแรกแลนับว่าก่อให้เกิดประโยชน์แก่ทาง ประวัติศาสตร์เป็นอย่างมาก เพราะถ้าพระองค์มิได้ทรง คิดอักษรไทยและทำ ศิลาจารึก รึไว้แล้ว คนไทยรุ่นต่อมาก็ จะค้นคว้าหาหลักฐานในทางโบราณคดีและ ประวัติศาสตร์ได้ยากยิ่ง


หลักศิลาจารึก พ่อขุนรามคำ แหง เพื่อให้ท่านผู้อ่าน ได้ทราบถึงความเป็น ป็ มาในการค้นพบหลัก ศิลาจารึก รึในสมัยพระเจ้ารามคำ แหงมหาราช ข้าพเจ้าจึงขอคัด ข้อความจากประชุมจารึก รึ สยาม ภาคที่ 1 จารึก รึ สุโขทัยซึ่ง ศาสตราจารย์ ยอช เซเดส์ เป็น ป็ ผู้ชำ ระและแปลมาเสนอไว้ดัว้ ดังต่อไปนี้ เมื่อปีมปีะเส็ง เบญจศก ศักราช 1995 (พ.ศ.2376) เสด็จไป ประพาสเมืองเหนือนมัสการเจดีย์ สถานต่างๆ ไปโดยลำ ดับประทับ เมืองสุโขทัย เสด็จไปเที่ยวประพาสพบแผ่นศิลา(พระแท่นมนังคศิลา) แผ่นหนึ่ง เขาก่อไว้ริว้มริเนินปราสาทเก่าหักพังอยู่เป็น ป็ ที่นับถือกลังเกรง ของหมู่มหาชน ถ้าบุคคลไม่เคารพเดินกรายเข้าไปใกล้ให้เกิดการ จับไข้ไม่สบาย ทอดพระเนตรเห็นแล้วเสด็จตรงเข้าไปประทับแผ่น ณ ศิลานั้นนั้ก็มิได้มีอันตราสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วยอำ นาจพระบารมี เมื่อเสด็จ กลับวันสั่งสั่ให้ทำ การชะลอลงมาก่อเป็น ป็ แท่นไว้ที่ว้ ที่ วัดราชาธิวาส ครั้งภาย หลังเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติแล้ว (รัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ดำ รัสสั่งสั่ให้นำ ไปไว้ใว้นวัดพระศรีรัรีรัตนศาสนา ราม อนึ่งทรงได้เสาศิลาจารึก รึ อักษรเขมรเสาหนึ่ง จารึก รึ อักษรไทย โบราณเสาหนึ่ง ซึ่งตั้งตั้อยู่ในวัดพระศรีรัรีรัตนศาสดารามนั้นนั้ ที่นี่พบศิลาจารึก รึ หลักนี้ไม่ปรากฎแน่ชัด แต่คิดว่าว่จารึก รึ นี้คงจะ ใกล้ๆ กับพระแท่นมนังคศิลา เพราในจารึก รึ หลักนี้ด้านที่สามมีกล่าวถึง พระแท่นมนังคศิลา ซึ่งทำ ให้คิดว่าว่ศิลาจารึก รึ หลักนี้จะได้ในเวลาฉลอง พระแท่นนั้นนั้เพราะฉะนั้นนั้ศิลาจารึก รึ หลักนี้คงจะอยู่ใกล้ๆ กับพระแท่น นั้นนั้คือ บนเนินปราสาทนั้นนั้เอง พระแท่นนั้นนั้เมื่อชะลอลงมากรุงเทพฯ แล้ว เดิมเอาไว้ที่ว้ ที่ วัดราชาธิวาส ก่อทำ เป็น ป็ แท่นที่ประทับไว้ตว้รงใต้ ต้นมะขามใหญ่ ข้างหน้าพระอุโบสถ


ภายหลังเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสวยราชย์เมื่อ ปี พ.ศ. 2394 ได้โปรดให้เอามาก่อแทนประดิษฐานไว้ที่ว้ ที่ หน้าวิหวิารพระคัน ธาราฐในวัดพระศรีรัรีรัตนศาสดาราม อยู่มาจนถึงในรัชกาลปัจปัจุบันนี้ เมื่อ งานพระราชพิธีบรมราชาภิเศกสมโภชใน พ.ศ. 2545 จึงโปรดให้ย้ายไป ทำ เป็น ป็ แท่นเศวตฉัตรราชบัลลังก์ ประดิษฐานไว้ใว้นพระที่นั่งนั่ดุสิตมหา ปราสาทปรากฎอยู่ในทุกวันนี้ ส่วนศิลาจารึกรึพ่อขุนรามคำ แหงนั้นนั้ครั้นพระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จมาประทับอยู่ ณ วัดบวรนิเวศ โปรดให้ส่งหลัก ศิลานั้นนั้มาด้วย ภายหลังเมื่อได้เสวยราชย์ พระเจ้าเกล้าอยู่หัวโปรดฯ ให้ย้ายจากวัด บวรนิเวศ เอาเข้าไปตั้งตั้ไว้ศว้าลารายในวัดพระศรีรัรีรัตนศาสดารามข้างด้าน เหนือ พระอุโบสถหลังที่สองนับแต่ทางตะวันตก อยู่ ณ ที่นี้ต่อมาช้านาน จนปลายเดือนมีนาคม พ.ศ. 2466 จึงได้ย้ายเอามารวมไว้ที่ว้ ที่ หอพระสมุด เรื่อรื่งหลักศิลาจารึกรึพ่อขุนรามคำ แหง ที่นักปราชญ์ชาวยุโรปแต่งไว้ ในหนังสือต่างๆ นั้นนั้มีอยู่ในบัญชีท้ายคำ นำ ภาษาฝรั่งแล้ว ส่วนนัก ปราชญ์ไทยแต่ขึ้นนั้นนั้ได้เคยพิมพ์ในหนังสือวชิรญาณเล่มที่ 6 หน้า 3574 ถึง 2577 ในหนังสือเรื่อรื่งเมืองสุโขทัย ในหนังสือพระราชนิพนธ์เรื่อรื่งเที่ยว เมืองพระร่วง และในประชุมพงศาวดารภาคที่หนึ่ง เรื่อรื่งที่มีในศิลาจารึกรึพ่อขุนรามคำ แหงนี้ แบ่งออกได้เป็น ป็ สามตอน ตอนที่ 1 ตั้งตั้แต่บรรทัดที่ 1 ถึง 18 เป็น ป็ เรื่อรื่งพ่อขุนรามคำ แหงเล่าประวัติ ของพระองค์ตั้งตั้แต่ประสูติจนได้เสวยราชสมบัติ ใช้คำ ว่าว่ “กู” เป็น ป็ พื้น ตอนที่ 2 ไม่ใช่คำ ว่าว่ “กู” เลย ใช้ว่าว่ “พ่อขุนรามคำ แหง” เล่าเรื่อรื่ง ประพฤติเหตุต่างๆ และธรรมเนียมในเมืองสุโขทัย เรื่อรื่งสร้างพระแท่นม นังคศิลา เมื่อ 1214 เมื่อสร้างพระมหาธาตุ เมืองศรีสัรีสัชนาไลย เมื่อ ม.ศ. 1207 และที่สุดเรื่อรื่งประดิษฐ์ตัวอักษรไทยขึ้นเมื่อ พ.ศ.1205 ตอนที่ 3 ตั้งตั้แต่ด้านที่ 4 บรรทัดสุดท้าย เข้าใจว่าว่จารึกรึภายหลังปลายปี เพราะตัว อักษรไม่เหมือนกับตอนที่ 1 และที่ 2 คือ ตัวพยัญชนะสั้นสั้กว่าว่ที่สระที่ใช้ก็ ต่างกันบ้าง ตอนนี้ (ที่ 3 ) เป็น ป็ คำ สรรเสริญริและขอพระเกียรติคุณพ่อขุน รามคำ แหง และกล่าวถึงอาณาเขตเมืองสุโขทัยที่แผ่ออกไปในครั้งกระโน้น


ผู้แต่ศิลาจารึกรึนี้ เพื่อจะเป็นป็พ่อขุนรามคำ แหงทรงเล่าเอง มิฉะนั้นนั้ก็คงตรัส สั่งสั่ให้แต่งและจารึกรึไว้ มูลเหตุที่จารึกรึไว้คืว้ คือเมื่อ ม.ศ. 1214 (พ.ศ.1835) ได้สะกัด กระดานหินพระแท่นมนังคศิลา ประโยชน์ของพระแท่นมนังคศิลาก็คือ ในวันพระ อุโบสถพระสงฆ์ได้ใช้นั่งนั่สวดพระปาติโมกข์และแสดงธรรมถ้าไม่ใช้วัดอุโบสถ พ่อขุนรามคำ แหงก็ได้ประทับนั่งนั่พระราชทานราโชวาทแก่ข้าราชบริพริาร และ ประชาราษฎรทั้งทั้ปวงที่มาเฝ้าฝ้และเมื่อปี ม.ศ.1214 (พ.ศ.1835) นับเป็นป็ ปีที่ปี ที่ สำ คัญ มากในรัชกาลของพ่อขุนรามคำ แหง เพราะเป็นป็ ปีแปีรกที่ได้แต่งตั้งตั้ราชฑูตไปเมือง จีน ศิลาจารึกรึกรุงสุโขทัยที่มีอยู่ในหอสมุดนี้ เริ่มริ่รวบรวมแต่ในรัชกาลที่ 3 มี จดหมายเหตุปรากฎว่าว่เมื่อ พ.ศ. 2176 พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงผนวชมาตั้งตั้แต่รัชกาลที่ 2 ประทับอยู่ ณ วัดราชาธิราชเสด็จขึ้นไปธุดงค์ ทางมณฑลฝ่าฝ่ยเหนือถึงเมือพิษณุโลก สวรรคโลก และเมืองสุโขทัย เมื่อเสด็จไปถึง เมืองสุโขทัยครั้งนั้นนั้ทอดพระเนตรเห็นศิลาจารึกรึ 2 หลักคือ ศิลาจารึกรึของพ่อขุน รามคำ แหง (หลักที่ 1 ) และศิลาจารึกรึภาษาเขมรของพระมหาธรรมราชาลิไทย (หลักที่ 4) กับแท่นมนังศิลาอยู่ที่เนินปราสาท ณ พระราชวังกรุงสุโขทัยเก่า ราษฎร เช่นสรวงบูชานับถือกันว่าว่เป็นป็ของศักดิ์สิทธิ์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวดำ รัสถามว่าว่ของทั้งทั้สามสิ่งนั้นนั้เดิมอยู่ที่ไหน ใครเป็นป็ผู้เอามารวบรวมไว้ ตรงนั้นนั้ก็หาได้ความไม่ ชาวสุโขทัยทราบทูลว่าว่แต่ว่าว่เห็นรวบรวมอยู่ตรงนั้นนั้มา ตั้งตั้แต่ครั้งปู่ย่ปู่ ย่าตายายแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพิจารณาดูเห็นว่าว่เป็นป็ของ สำ คัญจะทิ้งไว้เว้ป็นป็อันตรายเสีย จึงโปรดเกล้าฯ ให้ส่งมากรุงเทพฯเดิมเอาไว้ที่ว้ ที่ วัด ราชาธิวาส ทั้งทั้สามสิ่ง พระแท่นมนังคศิลานั้นนั้ก่อทำ เป็นป็แท่นที่ประทับไว้ตว้รงใต้ ต้นมะขามใหญ่ ข้างหน้าพระอุโบสถ ครั้นเสด็จมาประทับ ณ วัดบวรนิเวศ โปรดฯ ให้ส่งหลักศิลาทั้งทั้สองนั้นนั้มาด้วย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง พยายามอ่านหลักศิลาของพ่อขุนรามคำ แหงเอง แล้วโปรดฯ ให้สมเด็จพระมหา สมณะเจ้าพระยาปวเรศวริยริาลงกรณ์ พร้อมด้วยล่ามเขมรอ่านแปลหลักศิลาของ พระธรรมราชาลิไทย ได้ความทราบเรื่อรื่งทั้งทั้สองหลัก ครั้งพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ เสวยราชย์ เมื่อ พ.ศ. 2394 ต่อมาจึงโปรด ฯ ให้ย้าย พระแท่นมนังคศิลามาก่อแท่นประดิษฐานไว้หว้น้าวิหวิารพระคันธารราฐในวัดพระ ศรีรัรีรัตนศาสดาราม...


บรรณานุก นุ รม http://www.prachin.ru.ac.th/


Click to View FlipBook Version