The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการสอนวิชา การพยาบาลสุขภาพชุมชน2 คณะพยาบาลศาสตร์ ม.ขอนแก่น

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

หน่วยที่ 5 เทคนิคที่จำเป็นในการปฏิบัติงาน

เอกสารประกอบการสอนวิชา การพยาบาลสุขภาพชุมชน2 คณะพยาบาลศาสตร์ ม.ขอนแก่น

Keywords: technique

หน่วยท(ี 5 183

เทคนิคท(จี าํ เป็ นสาํ หรับการปฏบิ ตั งิ านในชุมชน

วตั ถปุ ระสงค์: เพ1ือให้นกั ศกึ ษาสามารถอธิบายหลกั การและเทคนิคที1
จําเป็นสําหรับการปฏิบตั ิงานในชมุ ชนได้

ขอบเขตของเนือ) หา:
1. เทคนิคการทําแผนที0ความคดิ
1.1 แนวทางการเขียนแผนที0ความคดิ
1.2 ประโยชน์ของแผนท0ีความคดิ ในการพยาบาลชมุ ชน
2. เทคนิค Nominal group process
2.1 ลกั ษณะสาํ คญั ของ Nominal group process
2.2 หลกั การและขนัW ตอน Nominal group process
3. เทคนิคกระบวนการวางแผนแบบมีสว่ นร่วม (AIC)
3.1 การดําเนินการกระบวนการ AIC
4. เทคนิคการสนทนากลมุ่ (Focus group discussion)
4.1 การเลอื กผ้เู ข้าร่วมสนทนากลมุ่ และขนาดของกลมุ่
4.2 องค์ประกอบในการจดั สนทนากลมุ่
4.3 การดําเนินการสนทนากลมุ่
4.4 สงิ0 บง่ ชีถW งึ ความสาํ เร็จของการสนทนากลมุ่
4.5 ตวั อยา่ งของแนวทางการสนทนากลมุ่

184

เทคนิคท'จี าํ เป็ นสาํ หรับการปฏบิ ตั งิ านในชุมชน

จารุณี สรกฤช
สมจติ แดนสีแก้ว

วจิ ติ รา เสนา

เทคนิคต่างๆ ที0นํามาใช้สําหรับการปฏิบตั ิงานในชมุ ชนมีหลากหลาย ในท0ีนีไW ด้เลือก
เฉพาะเทคนิคที0จําเป็นและควรทราบ ได้แก่ 1) เทคนิคการทําแผนที0ความคิด (Mind map) 2)
เทคนิค Nominal group process 3) เทคนิคกระบวนการวางแผนอยา่ งมีสว่ นร่วม (AIC) 4) เทคนิค
การสนทนากลมุ่ (Focus group discussion) โดยแตล่ ะเทคนิคมีรายละเอียดดงั นี W
1. เทคนิคการทาํ แผนท9คี วามคดิ

แผนท0ีความคิด (Mind map) เป็นเทคนิคและเครื0องมือในการจดั ระบบความคิดท0ีมี
ประสิทธิภาพ เป็นทฤษฎีในการนําเอาสมองมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะเก0ียวกับ
กระบวนการเรียนรู้ของมนุษย์ ทฤษฎีนีคW ิดค้นขึนW โดยโทนี บูซาน (Tony Buzan) นกั จิตวิทยาชาว
องั กฤษ ปัจจบุ นั มีผ้นู ําทฤษฎีนีไW ปใช้งานอย่างแพร่หลาย ในประเทศไทยสว่ นใหญ่ถกู นําไปใช้ในวง
การศกึ ษา เพื0อให้ผ้เู รียนฝึกใช้สมองในการเขียนจินตนาการและเชื0อมโยงความคิดตา่ งๆ อย่างเป็น
ระบบ ปัจจุบนั มีองค์กรต่างๆมากมายท0ีนําเทคนิคการทําแผนที0ความคิดไปใช้ประโยชน์ ในการ
ระดมสมองและสร้างจินตนาการร่วมกนั ซงึ0 แผนที0ความคิดจะสะท้อนให้เห็นความคิดของทกุ คนใน
กล่มุ ซ0ึงวิธีการนีเW ป็นวิธีท0ีใช้กันมากในการวิจัยการตลาดทางสงั คม (Brody, 1982) ดงั นันW Mind
map จึงเป็นเคร0ืองมือให้คนคิดเป็นระบบอย่างเช0ือมโยงบูรณาการ ทําให้มองเห็นภาพรวมของ
ข้อมลู ทงัW หมด นําไปส่กู ารวางแผนการทํางานอย่างเช0ือมโยงคลอบคลมุ ทกุ ประเด็น และเกิดการ
พฒั นาที0ยงั0 ยืน (ทวีศกั ด•ิ นพเกษร, 2544)

แผนท0ีความคิดเป็นเทคนิคที0ก่อให้เกิดประโยชน์ตอ่ การระดมความคิด เปรียบเสมือน
การต่อภาพทางความคิดของทกุ คน และความคิดต่างๆ เหล่านนัW ทกุ ความคิดได้รับการบนั ทึก ไม่
สญู หาย ช่วยให้ทุกคนอยู่ในประเด็นหรือหวั ข้อที0ร่วมกันคิด และที0สําคญั ทุกคนมีความรู้สึกเป็น
เจ้าของแผนที0ความคิดร่วมกัน แผนท0ีความคิดจะเขียนเป็น แผนผัง (Diagram) เพ0ือแสดง
แนวความคิดของทุกคนที0เชื0อมโยงความคิดต่างๆจากจุดศูนย์กลาง แสดงถึงความโยงใยของ
ความคิดหลกั เหล่านนัW ซ0ึงจะสะท้อนให้เห็นความคิดทงัW หมดของกล่มุ โดยแผนที0ความคิดท0ีสร้าง
ขึนW มา สามารถใช้เป็นจุดกําเนิดหรือจุดเริ0มต้นในการทํางานต่างๆ การเขียนแผนที0ความคิดจะมี
โครงสร้างหรือแนวความคิดแตกต่างออกไป ขึนW อย่กู บั ว่าเราจะนํามาเขียนแนวความคิดเก0ียวกบั
อะไร

1.1 แนวทางการเขียนแผนท9คี วามคดิ
1) เริ0มจากกลางหน้ากระดาษเปล่าที0วางตามแนวนอน การเร0ิมต้นจากตรงกลาง

หน้ากระดาษ ช่วยให้สมองเรามีอิสระในการคิดแผ่ขยายแขนงกิ0งออกไปได้ทุกทิศทุกทาง และ
แสดงออกได้อยา่ งอิสระตามธรรมชาตมิ ากขนึ W

185

2) ใช้รูปภาพหรือสญั ลกั ษณ์ท0ีส0ือความหมายได้ชัดเจน แทนแนวคิดหลกั (Concept)
หรือหวั ข้อหลกั หรือประเด็นที0จะระดมสมอง ไว้กึ0งกลางหน้ากระดาษ ควรใช้ภาพหรือสญั ลกั ษณ์
แทนคํา เพราะภาพหน0ึงภาพนันW สามารถสื0อความหมายแทนคําได้นับพัน และยังช่วยให้เกิด
จินตนาการมากขึนW ภาพที0ศนู ย์กลางหรือ “แก่นแกน” ยงั เพ0ิมความน่าสนใจให้กบั แผนที0ความคิด
แผน่ นนัW และชว่ ยให้สมาชิกกลมุ่ มีสมาธิจดจอ่ อยกู่ บั เรื0องท0ีกําลงั ระดมสมองร่วมกนั

3) เช0ือมโยง“ก0ิงแก้ว” ซงึ0 เป็นความคิด (Ideas) หรือประเด็นสําคญั เข้ากบั “แก่นแกน” ที0
เป็นภาพอย่ตู รงกลาง และเช0ือม “กิ0งแก้ว” หรือความคิดย่อยๆ แตกแขนงออกไปเป็นขนัW ท0ี 2 และ 3
ตามลําดบั เม0ือเช0ือมโยงก0ิงต่างๆเข้าด้วยกัน จะทําให้เข้าใจภาพความคิดรวมทงัW หมดของเร0ืองท0ี
ร่วมกนั ระดมสมองและชว่ ยให้จดจําได้งา่ ยมากขนึ W

4) เพื0อให้สนุกไปกับความคิดและจินตนาการ ควรใช้สีสันและรูปภาพให้ทั0วทังW แผ่น
เพราะสีสนั และรูปภาพจะช่วยกระต้นุ จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ เพิ0มความน่าสนใจให้กบั
แผนที0ความคดิ ย0ิงขนึ W

เนื0องจากการเขียนแผนท0ีความคิดด้วยมือผา่ นบนกระดาษ มีข้อจํากดั หลายประการ เช่น
คอ่ นข้างทําได้ช้า แก้ไขข้อมลู ได้ยาก ในปัจจบุ นั จงึ มีผ้คู ิดค้นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ท0ีใช้เขียนแผนท0ี
ความคิดออกมาจํานวนมาก ทําให้การเขียนแผนที0ความคิดง่ายกว่าเดิม อีกทงัW ผ้เู ขียนยงั สามารถ
เขียนและแก้ไขข้อมลู ต่างๆได้อย่างอิสระ โปรแกรมคอมพิวเตอร์สําเร็จรูปมีรูปแบบ (Template)
แผนท0ีความคิด ไว้ให้ผ้ใู ช้เลือกใช้งานมากมายตามความประสงค์ ตวั อยา่ งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ท0ี
ใช้ในการสร้ างแผนที0ความคิด ที0ได้รับความนิยมและสามารถนําไปประยุกต์ใช้งานได้อย่าง
หลากหลาย เช่น MindManager, NovaMind, BrainMine, Visio, Visual Concept , OpenMind
เป็นต้น นกั ศกึ ษาที0สนใจสามารถศกึ ษาเพ0ิมเตมิ ได้

186

ภาพท'ี 5.) ตวั อยา่ งการเขียนแผนที1ความคดิ (คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น, RSSS)

187

สําหรับการใช้แผนท0ีความคิดในการระดมสมอง มีขนัW ตอนกิจกรรมท0ีนํามาประยกุ ต์ ดงั นี W(ธีระพงษ์
แก้วหาวงษ์, 2543)

1) แบ่งกลุ่มตามความสนใจในประเด็นปัญหา หรือการพฒั นาแต่ละด้านออกเป็น
กลมุ่ เลก็ ๆ ประมาณ ‡-‰Š คน เพ0ือสะดวกตอ่ การอภิปราย หรือสนทนาและจดบนั ทกึ

2) คดั เลอื กผ้แู ทนกลมุ่ ซง0ึ ประกอบด้วย
2.1) ประธาน เป็นผ้คู อยกระต้นุ และสง่ เสริมให้เกิดการสนทนาอยา่ งกว้างขวาง
2.2 ) ผ้จู ดบนั ทกึ คอยจดบนั ทกึ การนําเสนอข้อคิดเห็นตา่ งๆ ของสมาชิกกลมุ่

ลงบนแผนที0ความคดิ โดยจดสนัW ๆ ให้เข้าใจความหมายได้งา่ ย
2.3) ผ้นู ําเสนอ คอยสรุปความคดิ เหน็ รวมของกลมุ่ และเตรียมการนําเสนอ

3) ประชมุ กลมุ่ ย่อยเสร็จให้หมนุ เวียนพิจารณ์กลมุ่ อ0ืนๆ (ในกรณีที0มีหลายกลมุ่ ) หรือ
ไปรับฟังกลมุ่ ตา่ งๆ เพ0ือให้ข้อมลู เพ0ิมเตมิ แลกเปลย0ี น

4) จดั ลําดบั ความสําคญั และสรุปความสมั พนั ธ์ในแต่ละประเด็น โดยให้เป็นไปตาม
ความคดิ เหน็ ของสมาชิกกลมุ่

1.2 ประโยชน์ของแผนท9คี วามคดิ ในการพยาบาลชุมชน
เทคนิคการทําแผนท0ีความคิด สามารถนํามาประยกุ ต์ใช้ในการปฏิบตั ิงานในชมุ ชนได้

เช่น การประเมินชมุ ชน นําไปใช้ในการระดมสมองวางแผนการทํางาน วางแผนเก็บรวบรวมข้อมลู
การเตรียมนําเสนอข้อมูลชุมชน หรือนําเสนอผลงาน แผนที0ความคิด ช่วยให้ผู้นําเสนอไม่ต้อง
เสียเวลาในการจดั เตรียมเนือW หาในรูปของเอกสารและสื0อตา่ งๆมากมาย แผนท0ีความคิดที0สมบรู ณ์
เพียงแผ่นเดียว ประกอบด้วยเนือW หาที0นําเสนอทังW หมดเรียงอย่างเป็นระบบ สามารถทําให้ผู้ฟัง
เข้าใจและมองเห็น “ภาพรวม” ของเรื0องท0ีเราจะนําเสนอทังW หมด ใช้ในการระดมสมองเพื0อระบุ
ปัญหาสขุ ภาพชุมชนวางแผนการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบเชื0อมโยง วางแผนกิจกรรมต่างๆที0
ดําเนินการในชมุ ชน สะดวกในการติดตามประเมินความก้าวหน้าการทํางาน นํามาใช้ในการสรุป
ภาพรวมของการทํางานในชุมชนทังW หมด ดังนันW กล่าวได้ว่าแผนที0ความคิดสามารถนํามา
ประยกุ ต์ใช้ได้ในทกุ ขนัW ตอนของการทํางานในชมุ ชน เพื0อให้เกิดการระดมสมอง ร่วมกนั คิด ร่วมกนั
แก้ไขปัญหา ซง0ึ จะนําไปสกู่ ารพฒั นาศกั ยภาพของคนที0ทํางาน และเกิดการพฒั นาอยา่ งยงั0 ยืน

2. เทคนิค Nominal group process
Nominal group process เป็นวิธีการหนึ0งท0ีนํามาใช้ประเมินความต้องการด้านสขุ ภาพ

ของชุมชน โดยใช้การระดมสมองในกล่มุ ย่อย กล่มุ ละประมาณ 5-12 คน เพ0ือรวบรวมข้อมลู เชิง
คณุ ภาพในลกั ษณะการประเมินการรับรู้ ทศั นคติและความรู้สึกของผู้เข้าร่วมกล่มุ มากกว่าการ
ประเมินทกั ษะหรือความรู้ความสามารถในเรื0องใดเรื0องหนงึ0 โดยเฉพาะ เน้นที0การให้อิสระในการคิด
ของสมาชิกแต่ละคน และเปิดโอกาสให้กลุ่มได้รับรู้และแลกเปล0ียนความรู้สึก เพื0อให้เกิดความ
เข้าใจกนั แต่ต้องไม่ไปมีอิทธิพลต่อความคิดของสมาชิกคนอ0ืน และสดุ ท้ายจะเป็นการสรุปความ
เหน็ ชอบร่วมกนั ของกลมุ่ (Logan & Dawkins, 1986)

พยาบาลชุมชนนิยมนํา Nominal group process มาใช้ในการระบุปัญหาสขุ ภาพของ
ชุมชนและการจัดลําดับความสําคัญของปัญหา ซ0ึงจะมีประโยชน์มากในกรณีที0อยากทราบว่า

188

ชุมชนมีปัญหาอะไรเร่งด่วน เพ0ือนํามาศึกษาหาสาเหตุและวิธีการแก้ไขต่อ Nominal group
process จงึ เป็นเหมือนการศกึ ษานําร่อง (Pilot study) ในการศกึ ษาวิจยั แก้ไขปัญหาสขุ ภาพชมุ ชน

2.1 ลักษณะสาํ คัญของ Nominal group process
มีผู้สรุปลักษณะสําคัญของ Nominal group process ไว้ 10 ประการ (Logan &

Dawkins, 1986; Iowa State University, 2001; Featured Products, 2001) ดงั นี W
1. เป็นการกระต้นุ ให้เกิดความคดิ ริเริ0มสร้างสรรค์
2. หลกี เลย0ี งการประเมินหรือให้ข้อเสนอแนะในขณะท0ีมีการเสนอปัญหา
3. เปิดโอกาสให้สมาชิกกลมุ่ ได้สะท้อนความคดิ เหน็ กลบั
4. สมาชิกกลมุ่ จะต้องจดบนั ทกึ ความคดิ เหน็ ของตนเอง
5. หลกี เลยี0 งการครอบงําความคดิ ของกลมุ่ ด้วยบคุ ลกิ ภาพของตนเอง
6. เป็นการกระต้นุ ให้สมาชิกทกุ คนได้แสดงความคดิ เหน็
7. ไมค่ วรเป็นการประชมุ ที0มีจดุ หมายอื0นแอบแฝงอยเู่ บือW งหลงั และ

ไมค่ วรปิดประชมุ ก่อนท0ีจะระบปุ ัญหา
8. เป็นการกําหนดให้สมาชิกทกุ คนได้มีสว่ นร่วมในการทํางาน และมีผลงานร่วมกนั

9. เน้นการระบปุ ัญหามากกวา่ การแก้ไขปัญหา
2.2 หลักการและขัน) ตอนของ Nominal group process

ก่อนที0จะดําเนินการตาม Nominal group process ผ้วู างแผนจะต้องเลือกผ้ทู 0ีจะมา
เข้ากล่มุ โดยจะต้องพิจารณาจากประสบการณ์และความเชี0ยวชาญ หรือการรับรู้เกี0ยวกบั ปัญหา
นันW ๆโดยตรง (วรภัทร์ ภู่เจริญ, 2543; Van de Ven, 1972) กระบวนการ Nominal group มี
ขนัW ตอนดงั นี W

ขัน) ท9ี 1 ให้มีผู้ดําเนินการและต้องมีการเตรียมประเด็นปัญหา หรือคําถามมา
ล่วงหน้าก่อนให้กลุ่มแสดงความคิดเห็น ซ0ึงในตอนนีเW ป็นการให้สมาชิกถ่ายทอดความคิดของ
ตนเองผ่านการเขียน สมาชิกทกุ คนมีความเป็นอิสระในความคิดของตนเอง และถ่ายทอดความคิด
ของตนให้ผ้อู 0ืนทราบ ใช้เวลาคนละประมาณ 10-15 นาที

ขัน) ท9ี [ ขันW นีผW ู้วางแผน หรือวิทยากรกลุ่ม แจกบัตรคําสําหรับเขียนให้สมาชิกได้
แสดงความคิดเห็นของตนเองลงไปในบตั ร บตั รละ ‰ เรื0อง และสมาชิก ‰ คน ควรแสดงความเห็น
โดยเขียนให้ได้อยา่ งน้อย —-˜ บตั ร

ขัน) ท9ี \ สมาชิกทกุ คนนําบตั รมาติดไว้ท0ีกระดานหรือฝาผนงั และอา่ นบตั รทกุ บตั รที0
ได้นํามาตดิ ไว้ที0กระดาน

ขัน) ท9ี ] สมาชิกทกุ คนท0ีอ่านบตั รแล้ว บตั รไหนอ่านไม่รู้เร0ือง อ่านไม่ชดั เจน จะต้อง
นําไปเขียนใหม่ให้อ่านได้รู้เรื0อง อนุญาตให้ชีแW จงสันW ๆ แต่ห้ามขายความคิด โฆษณาความคิด
เพราะจะไปทําลายความคิดสร้างสรรค์ของคนอื0นๆ และผ้ฟู ังก็ห้ามวิจารณ์ด้วย ในขนัW นีสW มาชิกทกุ
คนจะมีส่วนร่วมในการหาคําตอบ ซึ0งกระบวนการตรงนีจW ะดําเนินการต่อไปจนกว่าจะได้คําตอบ
ทงัW หมด

ขัน) ท9ี ^ ถ้าได้ความคิดน้อยไปอาจย้อนกลบั ไปในขนัW ตอนที0 ‰ อีก หรือหากหลายคน
มีความคดิ เหน็ เพ0ิมก็สามารถเขียนบตั รเพ0ิมได้

189

ขัน) ท9ี _ เรียบเรียงความคดิ เชน่ จดั กลมุ่ โยงความสมั พนั ธ์เป็นเหตเุ ป็นผลตอ่ กนั
ขัน) ท9ี ` สมาชิกลงคะแนนลบั เพ0ือเลือกแนวคิดท0ีตนเห็นด้วย โดยอาจจะเลือก —
รอบ คือ รอบแรก คดั เลือกบตั รความคิดที0ได้คะแนนมากเข้าไปตามลําดบั สมมติว่าได้ ˜Š-šŠ
ความคิด ในรอบที0สอง จาก ˜Š-šŠ ความคิด จะเลือกเหลือ š-‰Š ความคิด และในรอบนีสW มาชิกจะ
ลงคะแนนลบั เฉพาะแนวคิด š-‰Š เร0ืองท0ีคดั สรรแล้ว

ตัวอย่างการนํา Nominal group process มาใช้ในการระบุปัญหาและการจัดลําดับ
ความสาํ คัญของปัญหา

ขั)นตอนในการดําเนินการ โดยส่วนใหญ่นิยมทํา Nominal group process
หลงั จากการนําเสนอข้อมลู ชุมชนที0ได้จากการศึกษาชุมชนมาก่อนล่วงหน้า และให้สมาชิกเสนอ
ปัญหาตามมมุ มองของสมาชิกภายหลงั โดยทวั0 ไปจะใช้เวลาดําเนินการประมาณ 1-1½ ชวั0 โมง มี
ขนัW ตอนการดําเนินการดงั นี W

ขัน) ท9ี 1 ถ่ายทอดความคิดเห็น โดยการเขียน ให้สมาชิกทุกคนเขียนปัญหา
สุขภาพของชุมชนลงในบัตรคําบัตรละ 1 ปัญหา จํานวน 2-5 ปัญหา ผู้ดําเนินการกลุ่มสร้ าง
บรรยากาศให้ทกุ คนได้คิดและเห็นความสําคญั ของความคิดเห็นของตนเอง อาจใช้การเงียบเพ0ือให้
สมาชิกมีความคิดท0ีเป็นอิสระ แล้วถ่ายทอดความคิดเห็นของตนเองลงในบตั รคํา ไม่มีการประชมุ
ปรึกษากนั

Ÿ ตัวอย่างคําถามของผู้ดําเนินการกลุ่ม เพื0อกระตุ้นให้สมาชิกกลุ่มได้
แสดงความคดิ เหน็ เชน่ ปัญหาทีค) กุ คามสขุ ภาพชมุ ชนเรามีอะไรบา้ ง?” เป็นต้น

ขัน) ท9ี 2 นําบัตรคําทัง) หมดมารวมกัน สมาชิกทกุ คนร่วมกนั คดั สว่ นที0ซําW กนั และ
จดั กลมุ่ หมวดหมขู่ องปัญหา แล้วนํามาตดิ ที0ฝาผนงั หรือบอร์ดให้มองเหน็ กนั ทกุ คน

ขัน) ท9ี 3 เรียนรู้ร่ วมกัน สมาชิกทุกคนท0ีอ่านบัตรคําแล้ว หากมีประเด็นใดท0ี
สมาชิกกลมุ่ ไมเ่ ข้าใจหรืออยากได้ข้อมลู เพิ0มเติมสามารถขอให้เจ้าของบตั รคํานนัW อธิบายได้ แตห่ ้าม
ชกั นํา ความคิด และห้ามผ้ฟู ังวิจารณ์ความคิดผ้อู 0ืน จากนนัW ให้สรุปและรวบรวมข้อมลู ทงัW หมดไว้
เพราะนน0ั หมายถึงปัญหาท0ีระบโุ ดยชมุ ชน ซงึ0 จะทําให้ชมุ ชนมีความรู้สกึ ร่วมวา่ เป็นปัญหาท0ีเกิดขนึ W
และเป็นเจ้าของข้อมลู ตลอดจนมีสว่ นในการร่วมรับผิดชอบในขนัW ตอนตอ่ ไป

ขัน) ท9ี 4 ลงคะแนนลับ อาจทํากลอ่ งให้หยอ่ นบตั รหมายเลข ลงคะแนนได้คนละ 2-
3 ปัญหา ห้ามปรึกษากัน ให้ใช้ความคิดเห็นของสมาชิกทกุ คนเป็นสําคญั จากนนัW ให้นบั คะแนน
รวมในแตล่ ะปัญหา จะได้คะแนนมากน้อยตามลําดบั
หมายเหตุ : ผ้เู ขียนเคยใช้วิธีการติดสติกเกอร์ คนละ —-˜ ชินW แล้วนบั จํานวน หากยงั ไม่มีความ
ชดั เจนในการจดั ลําดบั ให้ทําอีก พบวา่ วิธีนีสW ร้างบรรยากาศให้สนกุ ขนึ W แม้จะมีการแอบดเู พื0อนบ้าง
แตจ่ ากข้อตกลงวา่ "ทกุ ความคิดเห็นของสมาชิกมีความสําคญั " จงึ ทําให้สมาชิกยืนยนั ความคดิ เหน็
ของตนเอง และพบว่าการให้ลงคะแนน 2-3 ปัญหานันW ได้ลดความเครียดให้สมาชิกเพราะการ
ตดั สนิ ใจเลอื ก 1 ปัญหาเป็นความลําบากใจ หากเลอื ก 2-3 ปัญหาจะลดความกงั วลใจได้

ขัน) ท9ี 5 พจิ ารณาผลการลงคะแนน จดุ ประสงค์เพ0ือเปิดโอกาสให้มีการพิจารณา
ร่วมกนั เกี0ยวกบั ประเด็นหรือหวั ข้อท0ียงั มีปัญหา หรือมีคะแนนไมเ่ ป็นเอกฉนั ท์หรือคะแนนเทา่ กนั ให้

190

ลงคะแนนจนกว่าจะได้ปัญหาท0ีมีผ้เู ห็นชอบมากที0สดุ และลดหลน0ั ลงไป อาจต้องกลบั ไปเร0ิมทําตงัW แต่
ขนัW ที0 1 อีก จนกวา่ จะสามารถเรียงลําดบั ของปัญหาได้

ขัน) ท9ี 6 สรุปผลการลงคะแนน เม0ือสมาชิกลงคะแนนลบั (ในขนัW ที0 4) จนสามารถ
ระบปุ ัญหาและเรียงลาํ ดบั ของปัญหาได้แล้ว (ขนัW ท0ี 5) ตอ่ มาจะต้องสรุปและคดั เลอื กให้ได้ปัญหา
ท0ีสมาชิกกลมุ่ มีความเหน็ ร่วมกนั มากที0สดุ สว่ นใหญ่ไมค่ วรเกิน 5 ข้อ

ขัน) ท9ี 7 นําเสนอและสรุปข้อคิดเห็นร่ วมกัน นําเสนอและสรุปข้อคิดเห็นของ
สมาชิกท0ีได้จากขนัW ที0 6 โดยนํามาติดท0ีฝาผนงั หรือบอร์ด เพื0อให้สมาชิกทกุ คนได้เห็นผลงาน และ
ข้อคดิ เหน็ ท0ีได้ทําร่วมกนั

สรุป Nominal group process คือ การระดมสมองกลุ่มย่อย โดยมีสมาชิกกลุ่มไม่เกิน
กล่มุ ละ 12 คน ซง0ึ แต่ละกล่มุ จะมีหวั หน้ากล่มุ หรือผ้อู ํานวยความสะดวกที0เหมาะสม คําถามที0จะ
ให้กับกลุ่มจะต้องมีการเตรียมล่วงหน้าก่อนมีการประชุม การตังW คําถาม มีความสําคัญต่อ
ความสําเร็จของกล่มุ คําถามต้องเข้าใจง่าย และจะต้องหลีกเล0ียงคําถามที0ต้องการความจริง หรือ
เป็นการหาข้อมลู กระบวนการจะต้องทําในลกั ษณะของการประเมินการรับรู้ ทศั นคติ ความรู้สึก
ของผ้รู ่วมกลมุ่ มากกว่าเป็นการทดสอบผ้เู ข้าร่วมกลมุ่ ในเร0ืองใดเรื0องหน0ึง ประโยชน์ของ Nominal
group process เป็นการประเมินความต้องการท0ีเสียค่าใช้จ่ายน้อย และช่วยให้ได้ข้อมูลเชิง
คณุ ภาพเก0ียวกบั การรับรู้ และทศั นคติของกล่มุ เป็นวิธีการท0ีช่วยกล่มุ บคุ คลตดั สินใจและประการ
สดุ ท้าย เป็นการศกึ ษานําร่อง (Pilot study) เพื0อการวิจยั ซงึ0 จะนําไปตงัW สมมติฐานจากประเดน็ ของ
ข้อมลู ที0เลอื กไว้
3. เทคนิคกระบวนการวางแผนแบบมีส่วนร่วม (AIC: Appreciations Influence Control)

กระบวนการ AIC เป็นเทคนิคในการประชมุ เพื0อให้คนที0จะทํางานร่วมกนั ทงัW หมดเข้า
มาประชมุ เชิงปฏิบตั ิการ ก่อให้เกิดการทํางานร่วมกนั สมาชิกของชมุ ชนมีสว่ นร่วมในการวางแผน
และตดั สนิ ใจ เปิดโอกาสให้ผ้เู ข้าร่วมประชมุ ได้พดู คยุ แสดงความคิดเหน็ แลกเปลี0ยนประสบการณ์
สร้างบรรยากาศท0ีเป็นมิตร มีการระดมสมอง สร้างพลงั ความคิดในการวิเคราะห์ให้เข้าใจสภาพ
ปัญหาและความต้องการ และตดั สินใจร่วมกันในการเลือกวิธีการแก้ไขปัญหานนัW ๆ สมาชิกของ
ชมุ ชนร่วมสร้างความเข้าใจในการดําเนินงาน เกิดความรู้สกึ เป็นเจ้าของในกิจกรรมของโครงการ
และภาคภมู ิใจในผลงาน หรือผลของการพฒั นาที0เกิดขนึ W

3.1 การดาํ เนินการกระบวนการ AIC
กระบวนการ AIC มีขันW ตอนในการดําเนินการท0ีสําคัญ ดังนี W (ประเวศ วะสี &

ไพบลู ย์ วฒั นศริ ิธรรม, 2537; ธีระพงษ์ แก้วหาวงษ์, 2543)

ขนัU ท1ี V A (Appreciation)
ช0ืนชม ยอมรับซง0ึ กนั และกนั มีการเรียนรู้ โดยอาศยั การทําความเข้าใจและ
แลกเปลย0ี นประสบการณ์ ซงึ0 เป็นขนัW ตอนของการสร้างความรู้

ขนัU ที1 R I (Influence-Interaction)
ปฏิสมั พนั ธ์ แลกเปลี0ยนความคิดและเรียนรู้ร่วมกนั ซึ0งเป็นขนัW ตอนของการสร้าง
แนวทางการพฒั นา

191

ขนัU ที1 W C (Control)
ยอมรับวธิ ีการสาํ คญั และร่วมกนั ทํางาน ซง0ึ เป็นขนัW ตอนการสร้างแนวทางปฏิบตั ิ

โดยแตล่ ะขนัW ตอนมีกระบวนการ ดงั นี W
ขัน) ท9ี 1 การสร้ างความช9ืนชมและยอมรับคนอ9ืน หรือการสร้ างความรู้

(Appreciation: A) เพ0ือทําให้ทกุ คนให้การยอมรับ และช0ืนชมคนอ0ืน โดยไมร่ ู้สกึ แสดงความตอ่ ต้าน
หรือวพิ ากษ์วจิ ารณ์ เป็นขนัW ตอนของการเรียนรู้และแลกเปลย0ี นประสบการณ์

กิจกรรม เปิดโอกาสให้ผ้เู ข้าร่วมประชมุ ทกุ คน แสดงความคิดเห็นอย่างเท่าเทียม
ยอมรับฟัง และหาข้อสรุปร่วมกนั โดยอาจใช้การวาดภาพ ข้อเขียน หรือคําพดู เป็นส0ือในการแสดง
ความคดิ เหน็ ในประเดน็ ตอ่ ไปนี W

A1 : เขามองสถานการณ์ที0เป็นอยใู่ นปัจจบุ นั เป็นอยา่ งไร
A2 : เขาอยากเห็นความสําเร็จในอนาคตเป็นอย่างไร ซ0ึงเป็นการกําหนด
อนาคต หรือวสิ ยั ทศั น์ เป็นการวาดภาพที0พงึ ปรารถนาของชมุ ชน
ในกระบวนการขนัW นี Wทุกคนจะมีโอกาสแสดงออกอย่างทดั เทียมกันด้วยภาพ
ข้อเขียน หรือคําพดู วา่ เขาเห็นสถานการณ์ในปัจจบุ นั เป็นอย่างไร และเขาอยากจะเห็นความสําเร็จ
ในอนาคตอย่างไร ซึ0งจะทําให้ทกุ คนได้มีโอกาสใช้ทงัW ข้อเท็จจริง เหตผุ ล และความรู้สกึ ตลอดจน
การแสดงออกในลกั ษณะตา่ งๆ ตามที0เป็นจริง เมื0อทกุ คนได้แสดงออก โดยได้รับการยอมรับจากคน
อ0ืนๆ จะทําให้ทกุ คนมีความรู้สกึ ที0ดี มีความรัก มีความอบอนุ่ และเกิด “พลงั ร่วม” ขนึ W ในระหวา่ งคน
ท0ีประชมุ ด้วยกนั

ช0ืนชม-ยอมรับ จินตนาการ วสิ ยั ทศั น์
Appreciation Imagination Vision

ในช่วงของการแสดงออกว่าแต่ละคนอยากเห็นความสําคญั ในอนาคตอย่างไร เป็นการ
ใช้จินตนาการ (Imagination) ท0ีไมถ่ กู จํากดั ด้วยปัจจยั และสถานการณ์ตา่ งๆ ในปัจจบุ นั ซง0ึ จะชว่ ยให้
เกิดวิสยั ทัศน์ และเมื0อนําวิสยั ทัศน์ของแต่ละคนมารวมกันจะกลายเป็น “วิสยั ทัศน์ร่วม” (Shared
vision) หรือ “อุดมการณ์ร่วม” (Shared ideal) ซ0ึงได้แก่ “สิ0งที0ม่งุ มาดปรารถนาอย่างสงู สดุ ร่วมกัน”
นน0ั เอง

ขัน) ท9ี 2 การปฏิสัมพันธ์และแลกเปล9ียนความคิด หรือการสร้างแนวทางการ
พัฒนา (Influence-Interaction : I) เพื0อแลกเปล0ียนความคิดและใช้ความคิดริเร0ิมสร้าง สรรค์ท0ี
แต่ละคนมีอยู่มาช่วยกันในการกําหนดวิธีการสําคัญ หรือ “ยุทธศาสตร์” (Strategy) ท0ีจะทําให้
บรรลุ “วิสัยทัศน์ร่วม” (Shared vision) หรือ “อุดมการณ์ร่วม” (Shared ideal) ของกลุ่ม (ที0มา
ประชมุ ) ได้อย่างดีที0สดุ ในขนัW นีทW กุ คนยงั มีโอกาสเท่ากนั ท0ีจะให้ข้อคิดเห็นว่าวิธีการสําคญั ท0ีจะทํา
ให้บรรลุ “วสิ ยั ทศั น์ร่วม” นนัW ประกอบด้วยอะไรบ้าง

กิจกรรม ระดมความคิดริเร0ิมสร้างสรรค์ในการหาวิธีการท0ีจะทําให้บรรลวุ ิสยั ทศั น์
เมื0อทกุ คนเสนอวิธีการตา่ งๆ แล้วนํามาจดั เป็นหมวดหมู่ และพิจารณาร่วมกนั จนกระทงั0 ได้ วิธีการ
สําคญั (Strategy) ท0ีทกุ คนเหน็ ชอบร่วมกนั โดยสรุปในขนัW นีกW ็คือ

192

I1 : เป็นการคดิ หาวธิ ีการสาํ คญั หรือการกําหนดโครงการ/กิจกรรม
I2 : จดั ลาํ ดบั ความสาํ คญั ของโครงการ/กิจกรรม
การพิจารณาเลือก “วิธีการสําคญั ” ดงั กล่าว สมาชิกกล่มุ จะมี “ปฏิสมั พนั ธ์” (Influence
หรือ Interaction) ซึ0งกนั และกนั สงู รวมถึงการถกเถียงโต้แย้งด้วย ทงัW นีเWพ0ือให้ได้ “วิธีการ” ที0กล่มุ เห็น
ร่วมกนั ว่าดีที0สดุ อย่างไรก็ดี เน0ืองจากเป็นการถกเถียงโต้แย้งในระดบั “วิธีการ” โดยท0ียงั มี “เปา้ หมาย
หรือ อดุ มการณ์” ร่วมกนั ฉะนนัW กลมุ่ จะยงั คงมีแนวโน้มที0จะรักษาความรักสามคั คีไว้โดยไมย่ ากนกั
ขัน) ท9ี 3 การยอมรับวิธีการสําคัญ และทาํ งานร่วมกัน หรือการสร้างแนวทาง
ปฏิบัติ (Control : C) เพื0อให้เกิดการยอมรับและทํางานร่วมกัน โดยนําวิธีการสําคัญ หรือ
โครงการมาลงสกู่ ารปฏิบตั ิ กําหนดเป็นแผนปฏิบตั กิ าร (Action plan) เพ0ือมาควบคมุ (Control) ให้
กิจกรรมดําเนินไปอยา่ งตอ่ เนื0องจนบรรลเุ ปา้ หมาย
กิจกรรม ให้สมาชิกทกุ คนช่วยกนั กําหนดรายละเอียดว่าจะทําอะไร (ชื0อโครงการ) มี
หลกั การและเหตผุ ลอย่างไร (ทําไมจึงต้องทํา) มีวตั ถปุ ระสงค์อย่างไร ทําเพ0ือให้ได้อะไร เปา้ หมาย
อยา่ งไร (ผลที0คาดหวงั ) มีวิธีการ หรือขนัW ตอนในการดําเนินการอยา่ งไร มีกําหนดเวลา (ทําเม0ือไรถงึ
เม0ือไร) และกําหนดผ้รู ับผิดชอบ บอกแหลง่ ทรัพยากร งบประมาณคา่ ใช้จ่ายและแหลง่ งบประมาณ
และรายละเอียดอ0ืนๆ ของการดําเนินงานตามท0ีเหน็ สมควร
นอกจากนีทW ี0ประชมุ อาจจะจดั กลมุ่ ในการดําเนินการรับผิดชอบโครงการ ดงั นี W

1) รายชื0อกิจกรรม หรือโครงการที0กลมุ่ หรือองค์กรชมุ ชนดําเนินการได้เอง ภายใต้
ความรับผิดชอบและเป็นแผนปฏิบตั กิ ารของชมุ ชน

2) กิจกรรมหรือโครงการที0ชุมชนหรือองค์กรชุมชนเสนอขอรับการส่งเสริม
สนบั สนนุ จากองค์กรปกครองสว่ นท้องถิ0น และหนว่ ยงานภาครัฐ

3) รายชื0อกิจกรรมหรือโครงการที0สมาชิกชุมชนต้องแสวงหาทรัพยากรและ
ประสานความร่วมมือจากภาคี ความร่วมมือตา่ งๆ ทงัW จากภาครัฐหรือองค์กรพฒั นาเอกชน เป็นต้น

โดยสรุปในขนัW นีกW ็คือ
C1 : สมาชิกตกลงแบง่ หน้าที0ความรับผิดชอบ แตล่ ะคนจะสมคั รใจเป็นผ้รู ับผิดชอบ

หลกั ในเรื0องใด จะเป็นผ้ใู ห้ความร่วมมือในเร0ืองใด จะเป็นผ้รู ่วมคดิ ทําแผนปฏิบตั กิ ารในข้อใด
C2 : สมาชิกทุกคนช่วยกันกําหนดรายละเอียดการดําเนินงาน จัดทําเป็น

แผนปฏิบตั กิ าร (Action plan)
สรุป กระบวนการ AIC เป็นกระบวนการท0ีมีศักยภาพในการสร้ างพลังและกระตุ้นการ

ยอมรับของชาวบ้านให้ร่วมกนั พฒั นาชมุ ชน AIC จะสร้างพลงั ขนึ W เม0ือฝ่ายต่างๆ เข้ามาทํากิจกรรม
ร่วมกันด้วยความรัก ความเมตตา “A” (Appreciation) นันW คือ ธรรมมะอย่างสูง ได้แก่ ความรัก
และความเมตตาคนอ0ืน ต้องรับฟัง อดทน และยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื0น ซ0ึงตรงกบั หลกั
ของพระพทุ ธศาสนา เพราะฉะนนัW “A” ทําให้เกิดพลงั ความดีเข้ามา อาจเรียกว่าเป็น “การพฒั นา
ทางจิตวิญญาณ” (Spiritual development) เม0ือคนที0เข้าร่วมกิจกรรมมีความรักความเมตตาต่อ
กันแล้ว ก็จะเกิดการเรียนรู้ร่วมกันจากการทํางาน ที0เรียกว่า “Interactive learning through
action” จึงทําให้การพฒั นาประสบความสําเร็จ เพราะทําให้เกิด “การเรียนรู้” ท0ีแท้จริง ซ0ึงมีพลงั
มาก ปกติแล้วคนมกั จะเรียนรู้กนั ยาก เพราะฉะนนัW “การพฒั นา” ต้องการ “การเรียนรู้” อย่างมาก

193

ของทุกฝ่ าย นั0นคือ ต้องมี “I” (Influence) ได้แก่ การเรียนรู้ร่วมกันให้เกิดพลัง และต้องมี “C”
(Control) ซง0ึ ได้แก่ “การจดั การ” (Management) และ “แผนปฏิบตั ิการ” (Action plan) ที0กําหนด
ว่าใคร จะทําอะไร อย่างไร เมื0อใด มีคา่ ใช้จ่ายเท่าไร จะได้เงินจากไหน ถ้าไม่พอจะทําอย่างไร เป็น
ต้น ดงั ภาพท0ี 5.2

กระบวนการ AIC

3 องคป์ ระกอบใน A (Appreciation) ก่อให้เกิดความ เกิดพลงั ท1ไี มม่ ี
กระบวนการ AIC ผกู พนั ทางจิตวิญญาณระหว่าง ขอบเขต (Unlimited)

กัน
I (Influence) ก่อให้เกิด
การเรียนรู้จากของจริง

C (Control) กอ่ ให้เกิดการ
จดั การและการควบคมุ

ภาพท9ี 5.2 องค์ประกอบในกระบวนการ AIC (ประเวศ วะสี & ไพบลู ย์ วฒั นศริ ิธรรม, 2537)

4. เทคนิคการสนทนากลุ่ม (Focus group discussion)
การสนทนากล่มุ เป็นวิธีการ (เคร0ืองมือ) หน0ึงของการวิจยั เชิงคณุ ภาพท0ีใช้ในการเก็บ

รวบรวมข้อมูล โดยการสนทนาหรืออภิปรายร่วมกันกับกลุ่มผู้ให้ข้อมูล (Key informant) โดยมี
ผ้ดู ําเนินการสนทนา (Moderator) เป็นผ้จู ุดประเด็นการสนทนา และดําเนินการสนทนาตามแนว
ทางการสนทนา (Group discussion guide) ท0ีครอบคลุมวัตถุประสงค์และประเด็นของเร0ืองท0ี
ต้องการศกึ ษา ซง0ึ การสนทนากล่มุ จะให้ข้อมลู ท0ีมากและมีรายละเอียดเกี0ยวกบั การรับรู้ ความคิด
ความรู้สึก และความประทบั ใจของผู้ร่วมสนทนาในลกั ษณะท0ีเป็นคําพูดของพวกเขาเอง ดงั นนัW
การสนทนากลมุ่ จงึ เป็นเคร0ืองมือท0ีมีความยืดหย่นุ ที0สามารถปรับให้ได้ข้อมลู เก0ียวกบั กลมุ่ ทกุ หวั ข้อ
ในหลายสถานการณ์และจากกล่มุ บุคคลที0หลากหลาย (ถวิลวดี บุรีกุลและเมธิศา พงษ์ศกั ดิ•ศรี,
2550)

ด้านสุขภาพอนามัย การสนทนากลุ่มมีประโยชน์และมักใช้ในการศึกษาหลายด้าน เช่น
การศึกษาเชิงค้นคว้าประเด็นปัญหาสุขภาพ การทดสอบความคิดเห็นและการยอมรับเก0ียวกับ
โปรแกรมสขุ ภาพใหมๆ่ การประเมินโปรแกรมสขุ ภาพ เป็นต้น

194

4.1 การเลือกผู้เข้าร่วมสนทนากลุ่มและขนาดของกลุ่ม
กลุ่มผู้เข้าร่วมสนทนา จะได้รับการคัดเลือกตามเกณฑ์ที0กําหนดในการคัดเลือก

ผู้เข้าร่วมสนทนา การคัดเลือกอาจใช้วิธีการสุ่มเลือกหรือเลือกมาตามความสะดวก (Morgan,
‰¥¥¦) ซงึ0 สมาชิกจะมีลกั ษณะเหมือนกนั ในหลายๆ ด้านตามตวั แปร หรือประเด็นท0ีต้องการศกึ ษา
หรือมีลกั ษณะทางเศรษฐกิจ สงั คม อาชีพ ภมู ิหลงั ต่างๆ ท0ีใกล้เคียงกนั โดยสรุปสมาชิกท0ีเข้าร่วม
ภายในกลุ่มแต่ละกลุ่มควรมีลักษณะดังกล่าวให้ใกล้เคียงกันมากท0ีสุด (Homogeneity of the
group) ขนาดของกล่มุ ผู้เข้าร่วมสนทนาควรมีประมาณ 6-12 คน ซึ0งเป็นจํานวนพอเหมาะให้
สมาชิกผ้รู ่วมสนทนาทกุ คนได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นของตนเอง สามารถวิพากษ์วิจารณ์ และ
มีปฏิกิริยาโต้ตอบกันในกลุ่มได้ดี ถ้าขนาดของกลุ่มมากกว่า 12 คน อาจจะเป็นกลุ่มใหญ่มาก
เกินไป สมาชิกบางคนไม่มีโอกาสแสดงความคิดเห็น และยากต่อการท0ีจะเบนความสนใจของคน
กลมุ่ ใหญ่ให้พดู คยุ ในประเด็นที0ต้องการได้ และระยะเวลาที0ใช้ในการสนทนากลมุ่ แตล่ ะครังW ไม่ควร
เกิน 2 ชวั0 โมงตอ่ กลมุ่ สว่ นใหญ่จะใช้เวลาประมาณหนงึ0 ชวั0 โมงคร0ึง เนื0องจากหากใช้เวลานานจะทํา
ให้สมาชิกผู้ร่วมสนทนาไม่มีสมาธิ เกิดความเหน0ือยล้าในการโต้ตอบแสดงความคิดเห็น (Folch-
Lyon & Trost, 1981; Suyono et al., 1981)

4.2 องค์ประกอบในการจดั สนทนากลุ่ม
องค์ประกอบในการจดั สนทนากลมุ่ ที0จําเป็น (ภาณี วงษ์เอก,2531; โยธิน แสวงดี,

2530; ถวิลวดี บรุ ีกลุ และเมธิศา พงษ์ศกั ดศ•ิ รี, 2550) สรุปได้ดงั นี W
4.2.1 การกาํ หนดเร9ืองท9จี ะทาํ การศกึ ษา หรือเรื0องท0ีผ้วู ิจยั สนใจท0ีจะศกึ ษา
4.2.2 กาํ หนดประเดน็ หรือตวั แปร ท0ีเก0ียวข้องกบั เร0ืองท0ีจะทําการศกึ ษา เพ0ือ

นํามาสร้างเป็นแนวทางในการดําเนินการสนทนา ซง0ึ การกําหนดประเดน็ หรือตวั แปรทําได้ โดย
จําแนกมาจากวตั ถปุ ระสงค์ท0ีต้องการศกึ ษา วตั ถปุ ระสงค์ต้องการทราบอะไรก็กําหนดประเดน็
ออกมาให้ครอบคลมุ วตั ถปุ ระสงค์ แล้วนํามาสร้างเป็นแนวคําถามยอ่ ยๆ

4.2.3 จัดทําแนวทางในการสนทนากลุ่ม (Group discussion guide) ได้มา
จากการนําคําถามที0ร่างไว้มาเรียบเรียงเป็นข้อย่อย จดั ลําดบั หวั ข้อการสนทนา ให้เนือW หามีความ
ต่อเนื0องแต่จะต้องยืดหย่นุ ได้ในทางปฏิบตั ิ สามารถทําให้การสนทนาเป็นขนัW ตอนลื0นไหล ราบรื0น
ไมว่ กวน

4.2.4 บุคลากรท9ีเก9ียวข้องในการจดั สนทนากล่มุ แต่ละครังW ควรประกอบด้วย
บคุ คลตอ่ ไปนี W

1) ผู้ดําเนินการสนทนา (Moderator) เป็นผู้นําและกํากับการสนทนา
ของกลมุ่ ให้เป็นไปตามแนวทางของหวั ข้อการศกึ ษา เพื0อให้ได้ข้อมลู ท0ีชดั เจนละเอียดที0สดุ ในเวลาท0ี
กําหนด เป็นผู้กระตุ้นให้ สมาชิกกลุ่มอธิบายความรู้สึก ความคิดเห็นต่อประเด็นที0ซักถาม
ผ้ดู ําเนินการสนทนาควรเป็นผ้ทู ี0พดู และเข้าใจภาษาท้องถิ0นได้ มีบคุ ลิกภาพดี ไวตอ่ ความต้องการ
ของสมาชิก เปิดใจกว้างรับฟังผ้อู ื0น มีทกั ษะการสงั เกตท0ีดี อดทนและยืดหย่นุ และจะต้องเป็นผ้ทู ี0มี
ความรู้ เข้าใจเบือW งหลงั ความต้องการ และวตั ถปุ ระสงค์ของการศกึ ษานนัW ๆ เป็นอยา่ งดี

195

2) ผู้จดบันทึกการสนทนา (Note taker) เม0ือเริ0มต้นการสนทนาผู้จด
บันทึกคําสนทนาจะต้องเขียนผังการนั0งสนทนากลุ่มให้ผู้ดําเนินการสนทนา เพราะจะช่วยให้
ผ้ดู ําเนินการสนทนาทราบวา่ ในกลมุ่ มีใครบ้าง ชื0ออะไร และอีกแผน่ ก็เขียนไว้ให้ตนเอง เพื0อจะได้จํา
สมาชิกกล่มุ ได้ และง่ายต่อการจดบนั ทึกการสนทนา ผ้จู ดบนั ทึกต้องบนั ทึกคําสนทนาและปัจจยั
อ0ืนที0อาจสําคัญต่อการวิเคราะห์และตีความหมายที0ค้นพบจากการสนทนากลุ่ม และเขียนการ
ตอบสนองของสมาชิกรวมทังW สงั เกตและบนั ทึกการตอบสนองทางอวจั นะภาษา ซึ0งอาจช่วยทํา
ความเข้าใจวา่ สมาชิกรู้สกึ อยา่ งไรเก0ียวกบั ประเดน็ นนัW ๆ (Dawson, 1993 อ้างในถวิลวดี บรุ ีกลุ และ
เมธิศา พงษ์ศกั ดิ•ศรี, 2550) การบนั ทกึ การสนทนากลมุ่ โดยทว0ั ไปมี — วิธีคือ คือ การเขียน และการ
บนั ทึกโดยใช้เทปบนั ทึกเสียงหรือเครื0องเล่น MP˜ ที0สําคญั ผู้ร่วมสนทนาจําเป็นต้องรับรู้ว่ามีการ
บนั ทึกเทปและเข้าใจวตั ถปุ ระสงค์ของการบนั ทึกเทป ซงึ0 ผ้เู ก็บข้อมลู ต้องขออนญุ าตผ้รู ่วมสนทนา
ทกุ คนก่อนท0ีจะเริ0มต้นการสนทนา

3) ผู้ช่วยเหลือท9ัวไป (Assistant) เป็นผู้ที0ทําหน้าที0ช่วยเหลือท0ัวไป ใน
การจดั เตรียมการสนทนากล่มุ เช่น จดั เตรียมสถานที0 บนั ทึกเสียง หรือคอยบริการขนมและนําW ด0ืม
เป็นต้น

4) อุปกรณ์ท9ีจําเป็ น อุปกรณ์ที0ควรเตรียมในการจัดสนทนากลุ่ม ได้แก่
เครื0องบนั ทึกเสียง เครื0องเล่น MP˜ สําหรับอดั เสียงขณะที0ดําเนินกล่มุ สนทนา มีสมดุ บนั ทึกและ
ดนิ สอสาํ หรับผ้จู ดบนั ทกึ

5) สถานท9ที 9จี ะจัดสนทนากลุ่ม ควรมีการกําหนดให้เหมาะสมสะดวกแก่
สมาชิกกลมุ่ มากท0ีสดุ สถานที0ควรเป็นท0ีถ่ายเทอากาศได้สะดวก ไมม่ ีเสยี งรบกวน ฯลฯ

1. การดาํ เนินการสนทนากลุ่ม
1. เม0ือสมาชิกกล่มุ มาพร้อมกนั แล้ว ผู้ดําเนินการสนทนา (Moderator) เกริ0นนํา

ด้วยคําถามที0สร้างบรรยากาศให้เป็นกนั เอง เพื0อให้เกิดความค้นุ เคยกนั และกนั และแนะนําตนเอง
และทีมงาน อธิบายถึงจดุ ม่งุ หมายและวตั ถปุ ระสงค์ของการศกึ ษา และขออนญุ าตบนั ทกึ เทปการ
สนทนา

2. จุดประเด็นการสนทนาเพื0อเป็นการกระตุ้นให้สมาชิกกลุ่มได้แสดงความ
คิดเห็นต่อประเด็นหรือแนวทางในการสนทนาเป็นหลัก แต่ยืดหยุ่นได้ตามความเหมาะสมกับ
สถานการณ์ สร้างบรรยากาศให้เกิดการแลกเปล0ียนความคิดเห็นซึ0งกันและกันในกล่มุ ผู้เข้าร่วม
สนทนาด้วยกนั เอง อย่าซกั ถามคนใดคนหน0ึงมากจนเกินไป และต้องระวงั มิให้เกิดการผกู ขาดการ
สนทนาขนึ W โดยคนใดคนหน0ึง ถ้าไม่จําเป็นอย่าซกั ถามรายตวั เว้นแต่ว่าจะต้องการคําตอบต่อเนื0อง
ให้ได้รายละเอียดเชิงเหตุผลออกมาให้ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ต้องคํานึงถึงความครอบคลุมของ
เนือW หาผู้ดําเนินการสนทนาควรจะประมาณเวลาที0ใช้ในแต่ละประเด็นไว้ด้วย เพื0อไม่ให้เสียเวลา
มากไปกบั บางหวั ข้อ

3. ผู้ดําเนินการสนทนาอาจใช้เทคนิคเสริม โดยการเขียนประเภทของข้อมูลท0ี
ต้องการในเรื0องที0จะสนทนา เพื0อกระต้นุ ให้ผ้เู ข้าร่วมสนทนาในกลมุ่ มีสว่ นร่วมมากที0สดุ และอธิบาย
ความจําเป็นว่าทําไมจึงต้องการความรู้และความคิดเห็นของกล่มุ ในเร0ืองนนัW สร้างบรรยากาศให้
เป็นกันเอง มีลักษณะเป็น “การนั0งจับเข่าคุยกัน” ให้ดูเป็นธรรมชาติ ไม่เคร่งเครียด จะทําให้

196

ผ้เู ข้าร่วมสนทนามีความรู้สกึ ที0ดีท0ีตนจะสามารถให้ความช่วยเหลือได้ และจะรู้สกึ ว่าประสบการณ์
ของตนมีคณุ คา่ นอกจากนีผW ้ดู ําเนินการสนทนาอาจจะใช้ภาพถ่าย หรือการเขียนรูปภาพท0ีเก0ียวข้อง
เพื0อกระต้นุ ให้เกิดการสนทนาแลกเปล0ียนความคิดเห็น และเกิดการอภิปรายในกลมุ่ (วลยั ทิพย์ สา
ชลวิจารณ์ & อารยา ภมรประวตั ิ, 2540) จบการสนทนาด้วยการเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมสนทนา
ซกั ถามข้อข้องใจอีกครังW เพื0อเป็นการตอบข้อสงสยั ในเรื0องท0ีสนทนามาทงัW หมด

4. มอบของที0ระลึกให้แก่สมาชิก (ถ้ามี) เพ0ือเป็นการแสดงความขอบคุณต่อ
ผู้เข้าร่วมสนทนาท0ีได้สละเวลาอนั มีค่ายิ0งของเขามาร่วมวงสนทนากับเรา ไม่ใช่เป็นค่าจ้าง และ
กล่าวขอบคุณผู้เข้าร่วมสนทนาทุกคน ความคิดเห็นต่างๆ เป็นส0ิงมีคุณค่าที0จะนําไปใช้เป็น
ประโยชน์ตอ่ การศกึ ษาเร0ืองท0ีได้พดู คยุ กนั ไปแล้ว

5. หลงั จากสินW สุดการสนทนา ผู้ดําเนินการสนทนาและผู้จดบนั ทึกต้องประชุม
เพ0ือทบทวนเหตกุ ารณ์และการจดบนั ทกึ ให้ได้ความสมบรู ณ์มากที0สดุ

4.4 ส9ิงบ่งชีถ) งึ ความสาํ เร็จของการสนทนากลุ่ม
การสนทนากลมุ่ จะสําเร็จเม0ือดําเนินการได้สอดคล้องกบั วตั ถปุ ระสงค์และเปา้ หมาย

ของการศึกษา แต่อย่างไรก็ตามมีเกณฑ์มาตรฐานอย่างน้อย © เกณฑ์ ท0ีบ่งชีถW ึงความสําเร็จของ
การสนทนากลมุ่ (ถวิลวดี บรุ ีกลุ และเมธิศา พงษ์ศกั ดศ•ิ รี, 2550) ดงั นี W

1. ขอบเขต หมายถึง การสนทนากลุ่มท0ีประสบความสําเร็จควรครอบคลุม
ขอบเขตของประเด็นปัญหาท0ีเกี0ยวข้องได้สงู สดุ น0ันคือไม่เพียงให้ข้อมลู ประเด็นปัญหาสําคญั ท0ี
เก0ียวข้องกบั คําถามวิจยั แตย่ งั คงเปิดเผยประเดน็ ปัญหาท0ีไมไ่ ด้คาดหวงั หรือคาดการณ์ลว่ งหน้า

2. ความเจาะจงชดั เจน หมายถึง การสนทนากล่มุ ควรให้ข้อมลู ที0เจาะจงชดั เจน
และตรงกบั ประสบการณ์และมมุ มองของสมาชิกกลมุ่ มากท0ีสดุ เทา่ ท0ีจะเป็นไปได้

3. ความลกึ หมายถงึ การสนทนากลมุ่ ควรสง่ เสริมการปฏิสมั พนั ธ์เพ0ือเพ0ิมพนู การ
สํารวจมมุ มองของสมาชิกกลมุ่ ในแนวลกึ บางด้าน

4. บริบทส่วนบุคคล หมายถึง การสนทนากลุ่มจําเป็นต้องคํานึงถึงบริบทส่วน
บคุ คลในการก่อให้เกิดการตอบสนองของสมาชิกกลมุ่ นน0ั คืออะไรเกี0ยวข้องกบั บริบทสว่ นบคุ คลท0ี
ทําให้บคุ คลเหลา่ นนัW ตอบสนองในทางที0เฉพาะเจาะจง ดงั นนัW ข้อมลู ท0ีรวบรวมได้ อาจมีความหมาย
ทงัW ในด้านการรวบรวมข้อมลู และกระบวนการวิเคราะห์ข้อมลู

4.5 ตวั อย่างของแนวทางการสนทนากลุ่ม
ตวั อย่างท0ีนําเสนอนีเW ป็นตวั อย่างแนวคําถามบางส่วนเท่านนัW ในการสนทนากล่มุ

สําหรับผู้สูงอายุจากโครงการวิจัยเรื0อง ศึกษาสถานการณ์การให้บริการของรัฐและเอกชนที0
ให้บริการสขุ ภาพผ้สู งู อายทุ 0ีมีภาวะเจ็บป่วยเรือW รัง (อมั พร เจริญชยั และคณะ, 2547)

คาํ ชีแ) จง
1) ผ้ดู ําเนินการสนทนาแนะนําตวั และสมาชิกทีมงาน
2) อธิบายวตั ถปุ ระสงค์ของการสนทนา
3) ขอให้ผู้สงู อายุท0ีเข้าร่วมสนทนากล่มุ (กล่มุ ละประมาณ 10-12 คน) แสดงความ

คดิ เหน็ อยา่ งเตม็ ที0

197

4) ทําความรู้จกั กับผู้สงู อายุแต่ละคน ทกั ทาย พูดคยุ เรื0องทว0ั ๆ ไป เกร0ินนําก่อนเริ0ม
เข้าสปู่ ระเดน็ ในการสนทนาที0ต้องการ

5) ขออนญุ าตจดบนั ทกึ และบนั ทกึ เสียงการสนทนา

ตารางท9ี 5.1 ประเดน็ ที0ศกึ ษาและแนวทางในการสนทนากลมุ่

ประเดน็ ท9ศี กึ ษา แนวคาํ ถาม

1. สาเหตใุ นการเข้ามาอย1ู่. ท0ีทา่ นเข้ามาอยใู่ นสถานสงเคราะห์เพราะสาเหตใุ ด
ในสถานสงเคราะห์แล2ะ. ทําไมจงึ ตดั สนิ ใจเลอื กสถานสงเคราะห์แหง่ นี W
เหตผุ ลในการตดั สนิ ใจ3. คดิ วา่ จะอยใู่ นสถานสงเคราะห์นีไW ปอีกนานเทา่ ใด
เลอื กแหง่ นี W
สถานสงเคราะห์จัดกิจกรรมให้ ทําอะไรบ้ าง/มีกิจกรรม
—) การเข้าร่วมกิจกรรมแล1.ะ ทางด้านสขุ ภาพอนามยั อย่างไรบ้าง/มีการสอนหรือฝึกอาชีพ
ชีวิตการอยู่ร่ วมกันใน ให้หรือไม/่ อยา่ งไร
สถานสงเคราะห์ ท่านเข้าร่วมกิจกรรมใดบ้าง/บ่อยมากน้อยเพียงใด/และท่าน
2. ชอบกิจกรรมประเภทใดมากที0สดุ เพราะเหตใุ ด
ท่านมีกิจกรรมของตนเองในเวลาว่างหรื อเป็ นการพักผ่อน
3. อยา่ งไรบ้าง
ท่านมีเพื0อนในสถานสงเคราะห์ที0เข้ าใจและคอยช่วยเหลือ
4. หรือปรับทกุ ข์ซงึ0 กนั และกนั หรือไม/่ ในเรื0องใดบ้าง/อยา่ งไร
มีปัญหาการอย่รู ่วมกนั หรือไม่/อย่างไร/มีปัญหาการทะเลาะ
5. เบาะแว้งกนั หรือไม/่ อยา่ งไร
ท่านเห็นว่าสถานสงเคราะห์คนชรามีประโยชน์แก่ผู้สูงอายุ
1. ความคดิ เหน็ ตอ่ บริการ1. และสงั คมหรือไม/่ อยา่ งไรบ้าง
และสวสั ดกิ าร ชีวิตความเป็ นอยู่ที0นี0เม0ือเทียบกับเม0ือก่อนเข้ ามาอยู่ต่างกัน
1. ความสขุ ในสถาน 4. หรือไม/่ อยา่ งไร/มีการเปลยี0 นแปลงไปอยา่ งไรบ้าง
สงเคราะห์ ตวั ท่านเองรู้สึกอย่างไรกับความสขุ ที0อยู่ในสถานสงเคราะห์
2. บริการและสวสั ดกิ าร5ท.0ี (มีความสขุ , มีเพื0อน, ไมเ่ หงา, รู้สกึ วา่ ตนเองยงั มีประโยชน์ตอ่
ได้รับ คนอื0นและสงั คม)
3. ผ้ใู ห้บริการ/ผ้ดู แู ล ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรต่อบริการและสวสั ดิการที0ได้รับ
4. การวางแผนชีวติ ใน 6. พอใจหรือไม่อย่างไร (อาหาร ท0ีพกั อาศยั การดแู ลทวั0 ไป และ
วาระสดุ ท้าย เม0ือเจ็บป่ วย)
ผู้ให้ บริการ/ผู้ดูแลผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์ ควรเป็น
7. ประเภทใด ระดบั ใด มีคณุ ลกั ษณะอยา่ งไร
สถานสงเคราะห์คนชราในความเหน็ ของทา่ นควรเป็นอยา่ งไร
8. ท่านมีความต้องการและคาดหวงั ในวาระสดุ ท้ายในบนัW ปลาย
9. ของชีวิตอยา่ งไรบ้าง

198

เอกสารอ้างองิ

กาญจนา ไชยพนั ธ์.ุ ( 2549). กระบวนการกลมุ่ . กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์.
ถวิลวดี บรุ ีกลุ และเมธิศา พงษ์ศกั ดศ•ิ รี. (—ššŠ). การสนทนากลุ่ม: เทคโนโลยเี พ9อื การมีส่วน

ร่วมและการเกบ็ ข้อมูลเพ9อื การวจิ ยั . กรุงเทพฯ: บริษัทงานดีครีเอชนั0 จํากดั
ทวีศกั ดิ• นพเกษร. (2544). วทิ ยากรกระบวนการกับวกิ ฤตเกษตรกร. กรุงเทพฯ : ธนาคารเพื0อ

การเกษตรและสหกรณ์.
ธีระพงษ์ แก้วหาวงษ์. (2543). กระบวนการเสริมสร้างชุมชนเข้มแข็ง : ประชาคม ประชา

สังคม. ขอนแก่น : คลงั นานาวทิ ยา.
ธญั ญา ผลอนนั ต์. (2550). Mind map กบั การศกึ ษาและการจดั การความรู้ : บทสรุปและ

บทเรียนจากการใช้แผนท0ีความคดิ ในวงการศกึ ษาและการจดั การความรู้.
กรุงเทพฯ: ขวญั ข้าว
ประเวศ วะสี & ไพบูลย์ วฒั นศิริธรรม. (2537). กระบวนทศั น์ใหม่ในการพฒั นา นิตยสารเพ9ือ
การพฒั นาสังคมทางใหม่, 8(3).
ภาณี วงษ์เอก. (2531). วิธีการศึกษาแบบการจดั สนทนากล่มุ ใน เบญจา ยอดดําเนิน-แอ๊ตติกจ์,
บปุ ผา ศิริรัศมี & วาทินี บญุ ชะลกั ษี. (บรรณาธิการ). การศึกษาเชิงคุณภาพ : เทคนิค
การวิจัยภาคสนาม. หน้า 398-407. กรุงเทพฯ : สถาบันวิจัยประชากรและสังคม
มหาวทิ ยาลยั มหิดล.
โยธิน แสวงดี. (2530). การสนทนากลมุ่ . วธิ ีวทิ ยาการวจิ ยั , 2(3), 12-37.
วลัยทิพย์ สาชลวิจารณ์ & อารยา ภมรประวัติ. (2540). การศึกษาพฤติกรรมสุขภาพเชิง
คุณภาพ คู่มือวิชาการ : การฝึ กปฏิบัติงานอนามัยชนบทเบ็ดเสร็จ. กรุงเทพฯ :
คณะสาธารณสขุ ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหิดล.
วรภัทร์ ภู่เจริญ. (2543). Creative Thinking 100 เคร9ืองมือการแก้ปัญหาอย่างสร้ างสรรค์.
หน้า 150-151. กรุงเทพฯ : สํานกั พิมพ์ร่วมด้วยชว่ ยกนั .
อมั พร เจริญชยั และคณะ. (2547). สถานการณ์การให้บริการของรัฐและเอกชนท9ีให้บริการ
สุขภาพผู้สูงอายุท9มี ีภาวะเจบ็ ป่ วยเรือ) รังในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. รายงานการ
วจิ ยั . ขอนแก่น : คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น.
Brody, R. (1982). Problem solving: Concepts and methods for community organization.
New York : Human Sciences Press.
Featured Products. (2001). Nominal group process as instructional tool. Retrieved May
7, 2003 from http://ts.mivu.org/default.asp.
Folch-Lyon, E., & Trost, J.F. (1981). Conducting focus group sessions. Studies in Family
planning, 12(12), 443-449.
Hitchcock, J.E., Schubert, P.E., & Thomas, S.A. (1999). Community nursing caring in
action. Albay : Delmar ; p. 262-268.

199

Iowa State University. (2001). Tip for Nominal group process. Retrieved May 7, 2003 from
http://www.extension.iastate.edu/communities/tools/dicussions/nominal.html

Logan, B.B., & Dawkins, C.E. (1986). Family centered nursing in the community.
Massachusetts : Addison - Wesley.

Morgan, D.L. (1997). Focus groups as qualitative research. (2nd ed). Thomsand Oaks:
Sage.

Suyono, H. et al. (1981). Family planning attitudes in urban Indonesia: Findings from focus
group research. Studies in Family Planning, 12(12), 433-442.

Van de Ven, A., & Delbecq, A. (1972). The nominal group as a research instrument for
exploratory health studies. A.J.P.H., March, 337-342.


Click to View FlipBook Version