ใบความรู้ วิชา : งานประดับอัญมณีแบบหนามเตย ชื่อหน่วยการเรียนรู้ : เครื่องมือวัสดุ-อุปกรณ์และเครื่องจักรในงานประดับอัญมณี เรื่อง : เครื่องมือวัสดุ-อุปกรณ์และเครื่องจักรในงานประดับอัญมณี หน่วยที่ 2 สอนครั้งที่ 2-๓ เวลา 14 ชม. 1. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1.1 จุดประสงค์ทั่วไป 1.1.1 แสดงความรู้เกี่ยวกับการเลือกใช้และบำรุงรักษาเครื่องมือ วัสดุ-อุปกรณ์ และเครื่องจักรในงาน ประดับอัญมณี 1.1.2 มีทักษะใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ และเครื่องจักรที่ใช้ในงานประดับอัญมณี 1.1.3 แสดงพฤติกรรมลักษณะนิสัย ความรับผิดชอบ มีวินัย ขยัน อดทนและสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ 1.2 จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม 1.2.1 อธิบายการเลือกใช้และบำรุงรักษาเครื่องมือ วัสดุ-อุปกรณ์ และเครื่องจักรในงานประดับอัญมณี ได้อย่างถูกต้อง 1.2.2 เลือกใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ และเครื่องจักรที่ใช้ในงานประดับอัญมณีได้ถูกต้อง 1.2.3 แสดงพฤติกรรมที่ดีในการเข้าตรงเวลาและส่งชิ้นงานตามกำหนด 2. สมรรถนะ 2.1 การเลือกชนิดและขนาดของเครื่องมือ วิธีใช้และวิธีการบำรุงรักษาวัสดุ-อุปกรณ์ที่นำมาใช้กับงานประดับอัญมณี 3. เนื้อหาสาระ (ใบความรู้) 1. เครื่องมือวัสดุ-อุปกรณ์และเครื่องจักรในงานประดับอัญมณี แหนบ (Tweezers) วิธีใช้ใช้กับชิ้นงานเมื่อเชื่อมน้ำ ประสาน การดูแลรักษา ทำความสะอาด ปลายแหนบอยู่เสมอ หมั่นตรวจปลายแหนบให้สนิท กัน ข้อควรระวัง ไม่ควรใช้แหนบจับ ชิ้นงานขณะทำการประสานจน แดง เพราะอาจทำให้ปลาย แหนบหัก แหนบไขว้ วิธีใช้ใช้จับชิ้นงานเพื่อเชื่อม ประสาน
การดูแลรักษา หมั่นตรวจปลาย แหนบให้สนิทกันพร้อมใช้งาน ข้อควรระวัง ไม่ควรนำไปหนีบ ระหว่างขอบชิ้นงาน เช่น ขอบ กระเปาะ ไฟแช็ค วิธีใช้ใช้สำหรับจุดไฟกับหัวไฟ หรือกับหัวแก๊ส การดูแลรักษา เก็บให้ห่างจากน้ำ ข้อควรระวัง ไม่ควรนำเข้าใกล้ เปลวไฟ เวอร์เนียร์ วิธีใช้ใช้วัดความหนา บางของ ชิ้นงานด้านนอก การดูแลรักษา เก็บไว้ในที่แห้งไม่ อับชื้น ข้อควรระวัง ระวังบริเวณปลาย เวอร์เนียร์บิ่น เพราะจะทำใหการ วัดไม่เที่ยงตรง ระวังอย่าให้หล่นกระแทกพื้น ผงบอแรกซ์ วิธีใช้ใช้เป็นตัวป้องกันการทำ ปฏิกิริยาระหว่างโลหะกับอากาศ ขณะทำการหลอมโลหะหรือการ เชื่อมประสาน การดูแลรักษา เก็บให้ห่างจาก ความชื้น ข้อควรระวัง ควรสวมผ้าปิดจมูก เพื่อป้องกันอันตรายจากสารเคมี ต่างๆ
เครื่องรีดชิ้นงาน วิธีใช้ใช้สำหรับรีดโลหะประเภท ทอง เงิน ก่อนขึ้นชิ้นงาน การดูแลรักษา หลังใช้งานควรปิด สวิตช์เครื่องรีดและหยอดน้ำมัน เกียร์ เบอร์ 90 ก่อนทำการรีด ทุกครั้ง ข้อควรระวัง ไม่ควรใช้มือจับแผ่น โลหะขนาดเล็กเข้าเครื่อง ควรใช้ กระดาษรองโลหะแทน เพื่อ ป้องกันเครื่องรีดหนีบนิ้วมือ โต๊ะทำงาน วิธีใช้ใช้สำหรับปฏิบัติงานและ วางเครื่องมือที่ใช้ในการทำงาน การดูแลรักษา หลังการใช้งาน ควรเช็ดทำความสะอาดโต๊ะให้ เรียบร้อย ข้อควรระวัง ระวังเปลวไฟจาก การทำงานโดนโต๊ะเพราะจะทำ ให้โต๊ะไหม้ เก้าอี้ วิธีใช้ใช้สำหรับนั่งปฏิบัติงาน การดูแลรักษา เก็บให้ห่างจาก ความชื้น ข้อควรระวัง ไม่ควรนั่งเก้าอี้โยก ไปมาอาจทำให้ขาเก้าอี้ชำรุด
โคมไฟ วิธีใช้ไฟ ใช้ในการให้แสงสว่างใน การปฏิบัติงาน การดูแลรักษา ควรปิดไฟทุกครั้ง หลังใช้งาน ข้อควรระวัง ไม่ควรนำผ้าเปียก มาเช็ดทำความสะอาดหลอดไฟ ถ้วยน้ำประสาน วิธีใช้ใช้สำหรับใส่ผงบอแรกซ์ การดูแลรักษา ควรทำความ สะอาดทุกครั้งเมื่อเลิกใช้งาน ข้อควรระวัง อย่าใช้งานผิด ประเภท กระดาษทนไฟ วิธีใช้ใช้สำหรับวางชิ้นงานเพื่อที่ ทำการเชื่อมน้ำประสานและ สำหรับเผาให้ความร้อนชิ้นงาน การดูแลรักษา ทำความสะอาด กระดานทนไฟอยู่เสมอ ข้อควรระวัง อย่าทำตกกระแทก พื้น อาจแตกหักได้ น้ำมันเบนซิน วิธีใช้ใช้สำหรับเป็นเชื้อเพลิงใน การจุดไฟจากชุดตะเกียงเป่าแล่น การดูแลรักษา เก็บในถังเก็บ น้ำมัน ข้อควรระวัง เก็บให้ห่างจากเปลว ไฟ
โถน้ำ วิธีใช้ใช้สำหรับใส่น้ำไว้ใช้ขณะ เชื่อมประสานชิ้นงาน การดูแลรักษา หลังการใช้งาน ควรทำความสะอาด ข้อควรระวัง อย่าทำตกกระแทก พื้น กรรไกรด้ามดำ วิธีใช้ใช้สำหรับตัดโลหะตาม ต้องการ การดูแลรักษา ควรชโลมด้วย น้ำมันจักรทุกครั้งหลังการใช้งาน ข้อควรระวัง ระวังความคมจาก ใบตัด
เครื่องชั่งไฟฟ้า วิธีใช้ใช้สำหรับชั่งน้ำหนักเม็ด โลหะทอง เงิน และโลหะอื่น การดูแลรักษา เก็บให้ห่างจาก ความชื้น ข้อควรระวัง อย่าทำตกกระแทก พื้น สารส้ม วิธีใช้ใช้สำหรับต้มสารส้มทำ ความสะอาดชิ้นงานหลังจาก การเชื่อมประกอบ การดูแลรักษา เก็บให้ห่างจาก ความชื้น ข้อควรระวัง ควรสวมผ้าปิดจมูก เพื่อป้องกันไอระเหยของสารส้ม เวลาต้ม ขันต้มสารส้ม วิธีใช้ใช้เป็นภาชนะใส่สารส้ม เพื่อทำการต้มทำความสะอาด ชิ้นงานหลังการเชื่อมประสาน การดูแลรักษา หลังการใช้งาน ควรทำความสะอาด ข้อควรระวัง อย่าทำตกกระแทก พื้น คีมปากแหลม วิธีใช้ใช้จับหรือดัดชิ้นงานเพื่อ ม้วนเป็นกระเปาะหรือดัดให้เกิด รูปทรงต่างๆ การดูแลรักษา ควรชโลมน้ำมัน จักรหลังการใช้งาน ข้อควรระวัง ไม่ควรเผาไฟโดน คีม
คีมปากแบน วิธีใช้ใช้สำหรับจับ ตัดและบีบ ชิ้นงานให้เป็นรูปทรงที่ต้องการ การดูแลรักษา ควรชโลมด้วย น้ำมันจักรทุกครั้งหลังการใช้งาน ข้อควรระวัง ไม่ควรเผาไฟโดน คีมระวังความคมจากใบตัด คีมปากกลม วิธีใช้ ใช้ดัดกระเปาะรูปทรงกลม หยดน้ำ รูปไข่หรือชิ้นงานที่มี ส่วนโค้ง การดูแลรักษา ควรชโลมด้วย น้ำมันจักรทุกครั้งหลังการใช้งาน เก็บให้ห่างจากความชื้น ข้อควรระวัง ไม่ควรเผาไฟโดน คีม คีมตัดหนามเตย วิธีใช้ ใช้สำหรับตัดลวด ตัดตุ้ม ตัดหนามเตย การดูแลรักษา ควรชโลมน้ำมัน จักรหลังการใช้งาน ข้อควรระวัง ไม่ควรเผาไฟโดน คีม สว่านสายอ่อน วิธีใช้ใช้สำหรับจับดอกสว่าน เหล็กเจียรชนิดต่างๆ ลูกยาง และกระดาษทรายขัดผิวชิ้นงาน การดูแลรักษา ควรตรวจสภาพ สว่านสายอ่อนให้พร้อมใช้งาน เสมอ ข้อควรระวัง ระวังไฟรั่วไหลจาก การชำรุดของอุปกรณ์
จำปา วิธีใช้ใช้สำหรับขันเกลียวดอก สว่านหรือ เหล็กเจียรกับสว่าน ไฟฟ้าให้แน่น การดูแลรักษา ควรชโลมด้วย น้ำมันจักรทุกครั้งหลังการใช้งาน ข้อควรระวัง ควรดึงออกทันที กระดาษทรายแผ่น วิธีใช้ใช้ขัดแต่งชิ้นงานเพื่อเก็บ รายละเอียด การดูแลรักษา เก็บในที่แห้งและ ห่างไกลจากความชื้น ข้อควรระวัง - ไม้พันกระดาษทราย วิธีใช้ใช้ขัดแต่งชิ้นงานเพื่อเก็บ รายละเอียด การดูแลรักษา เก็บให้ห่างจาก ความชื้น ข้อควรระวัง ระวังอย่าให้สัมผัส น้ำหรือน้ำมันจักร แกนพันกระดาษทราย วิธีใช้ใช้เป็นแกนพันกระดาษ ทราย เพื่อนำไปขัดผิวชิ้นงาน การดูแลรักษา เก็บให้ห่างจาก ความชื้น ข้อควรระวัง ควรล็อคด้ามแกน พันกระดาษทรายให้แน่น และ ไม่ให้ยาวจนเกินไป ไม่ควรเร่งสปีดสว่านไฟฟ้าแรง เกินไป เพราะอาจทำให้แกนงอ เสียศูนย์ ด้ามจับลูกยางหัวเกลียว
วิธีใช้ใช้เป็นแกนจับลูกยาง กระดาษทรายกลม การดูแลรักษา เก็บในที่แห้งและ ห่างไกลจากความชื้น ข้อควรระวัง ไม่ควรเร่งสปีด สว่านไฟฟ้าแรงเกินไป เพราะ อาจทำให้แกนงอเสียศูนย์ ลูกยางขัด วิธีใช้ใช้ขัดแต่งชิ้นงานหลังจาก การขัดกระดาษทรายแล้ว การดูแลรักษา เก็บให้ห่างจาก ความชื้น ข้อควรระวัง เลือกใช้ลูกยางให้ เหมาะสมกับการใช้งาน ระวังอย่าให้สัมผัสน้ำหรือน้ำมัน จักร อาจทำให้ลูกยาง เสื่อมสภาพ ตะไบแบนใหญ่ วิธีใช้ใช้ตะไบแต่งรูปทรงชิ้นงาน หรือตะไบโลหะในส่วนที่ ต้องการตะไบ การดูแลรักษา เก็บให้ห่างจาก ความชื้น หลังการใช้งานควร ชโลมด้วยน้ำมันจักร ข้อควรระวัง ควรหลีกเลี่ยงการ ตะไบสัมผัสกับคีมจับเพราะจะ ทำให้ตะไบทื่อ ตะไบท้องปลิง 6 นิ้ว วิธีใช้ใช้ตะไบแต่งรูปทรงชิ้นงาน หรือตะไบโลหะในส่วนที่ ต้องการตะไบ การดูแลรักษา เก็บให้ห่างจาก ความชื้น หลังการใช้งานควร ชโลมด้วยน้ำมันจักร
ข้อควรระวัง ควรหลีกเลี่ยงการ ตะไบสัมผัสกับคีมจับเพราะจะ ทำให้ตะไบทื่อ ตะไบกลม 20 มิลลิเมตร วิธีใช้ใช้ตะไบแต่งรูปทรงชิ้นงาน เช่น ด้านในกระเปาะกลม กระเปาะรูปไข่ เป็นต้น การดูแลรักษา เก็บให้ห่างจาก ความชื้น หลังการใช้งานควร ชโลมด้วยน้ำมันจักร ข้อควรระวัง ควรหลีกเลี่ยงการ ตะไบสัมผัสกับคีมจับเพราะจะ ทำให้ตะไบทื่อ ตะไบท้องปลิง 20 มิลลิเมตร วิธีใช้ใช้ตะไบแต่งรูปทรงชิ้นงาน การดูแลรักษา เก็บให้ห่างจาก ความชื้น หลังการใช้งานควร ชโลมด้วยน้ำมันจักร ข้อควรระวัง ควรหลีกเลี่ยงการ ตะไบสัมผัสกับคีมจับเพราะจะ ทำให้ตะไบทื่อ ตะไบสี่เหลี่ยม 20 มิลลิเมตร วิธีใช้ใช้ตะไบแต่งรูปทรงชิ้นงาน เช่น ด้านในและด้านนอก กระเปาะสี่เหลี่ยม เป็นต้น การดูแลรักษา เก็บให้ห่างจาก ความชื้น หลังการใช้งานควร ชโลมด้วยน้ำมันจักร ข้อควรระวัง ควรหลีกเลี่ยงการ ตะไบสัมผัสกับคีมจับเพราะจะ ทำให้ตะไบทื่อ ตะไบสามเหลี่ยม 20 มิลลิเมตร วิธีใช้ใช้ตะไบแต่งรูปทรงชิ้นงาน เช่น บากร่อง ตะไบซอกมุม ชิ้นงานเป็นต้น
การดูแลรักษา เก็บให้ห่างจาก ความชื้น หลังการใช้งานควร ชโลมด้วยน้ำมันจักร ข้อควรระวัง ควรหลีกเลี่ยงการ ตะไบสัมผัสกับคีมจับ ตะไบคมมีด 20 มิลลิเมตร วิธีใช้ใช้ตะไบแต่งรูปทรงชิ้นงาน เหมาะสำหรับงานที่ต้องการ ความโค้งซิว การดูแลรักษา เก็บให้ห่างจาก ความชื้น หลังการใช้งานควร ชโลมด้วยน้ำมันจักร ข้อควรระวัง ควรหลีกเลี่ยงการ ตะไบสัมผัสกับคีม ชุดตะไบเล็กชนิดต่างๆ วิธีใช้ใช้ตะไบแต่งรูปทรงชิ้นงาน การดูแลรักษา เก็บให้ห่างจาก ความชื้น หลังการใช้งานควร ชโลมด้วยน้ำมันจักร ข้อควรระวัง ควรหลีกเลี่ยงการ ตะไบสัมผัสกับคีมจับ ลูกผ้า วิธีใช้ใช้ในการขัดผิวชิ้นงาน การดูแลรักษา เก็บให้ห่างจาก ความชื้น ข้อควรระวัง ไม่ควรใช้ยาขัดซ้ำ กันหลายชนิดกับลูกผ้า ยาดิน วิธีใช้ใช้ในการขัดผิวชิ้นงานให้ ผิวเรียบเนียน การดูแลรักษา เก็บให้ห่างจาก ความชื้น
ข้อควรระวัง ยาดินมีคุณสมบัติ ในการกัดกร่อนชิ้นงาน ยาแดง วิธีใช้ใช้ในการขัดผิวโลหะให้เงา การดูแลรักษา เก็บให้ห่างจาก ความชื้น ข้อควรระวัง ยาแดงมีคุณสมบัติ ไม่กัดกร่อนชิ้นงาน ยาเขียว วิธีใช้ใช้ในการขัดผิวโลหะให้ เรียบเนียนและเงา การดูแลรักษา เก็บให้ห่างจาก ความชื้น ข้อควรระวัง ยาเขียวมีคุณสมบัติ กัดกร่อนชิ้นงาน คันเลื่อย (Saw Frame) วิธีใช้ใช้จับใบเลื่อยเพื่อเลื่อย ชิ้นงาน การดูแลรักษา หมั่นตรวจส่วน ต่างๆของคันเลื่อย เมื่อเกิดสนิม ควรใช้กระดาษทรายขัดสนิม ออกให้หมด แล้วชโลมด้วย น้ำมัน ข้อควรระวัง ไม่ควรนำไปเคาะ หรือทุบชิ้นงาน ไม่ควรขันตัวบิดเกลียวด้วยคีม จนแน่นเกิน
ใบเลื่อย (Saw blade) วิธีใช้ควรใช้ขนาดของใบเลื่อย ให้เหมาะสมกับขนาดความหนา ของชิ้นงาน การดูแลรักษา ควรชโลมด้วย น้ำมันจักรหรือลูบด้วยเทียนไข เล็กน้อยในขณะทำงาน เพื่อช่วย ให้ตัดชิ้นงานง่ายขึ้น ข้อควรระวัง ควรหลีกเลี่ยงให้ คมเลื่อยไปสัมผัสกับคีม ปากกาจับชิ้นงานรูปตัวซี (CClamp ) วิธีใช้ใช้สำหรับจับ ยึด บีบ อัด ชิ้นงานให้แน่นเพื่อสะดวกต่อ การปฏิบัติงาน การดูแลรักษา หลังการใช้งาน ควรเก็บให้ห่างจากความชื้น ข้อควรระวัง อย่าใช้งานผิด ประเภท ไม้ลิ้นหน้าโต๊ะ(Bench Pin) วิธีใช้ใช้รองรับชิ้นงานสำหรับ การเลื่อยและตะไบ การดูแลรักษา หลังการใช้งาน ควรเก็บให้ห่างจากความชื้น ข้อควรระวัง ไม่ควรเคาะหรือ ทุบชิ้นงานบนไม้ลิ้นหน้าโต๊ะ ที่ตักเศษผง วิธีใช้ใช้สำหรับตักเศษทองหรือ เงินออกจากลิ้นชักเพื่อนำไปเก็บ รวมไว้สำหรับหลอมต่อไป การดูแลรักษา เก็บให้ห่างจาก ความชื้น ข้อควรระวัง อย่าใช้งานผิด ประเภท แปรงปัดผง
วิธีใช้ใช้สำหรับปัดเศษเงินที่ ติดตามหน้าโต๊ะหรือลิ้นชักให้มา กองรวมกัน การดูแลรักษา ควรเก็บให้ห่าง จากเปลวไฟและความชื้น ข้อควรระวัง อย่าใช้งานผิด ประเภท แปรงปัดมือ วิธีใช้ใช้สำหรับปัดเศษผงหรือ เศษทองที่ติดมือทั้งสองข้างออก โดยปัดให้ลงไปในลิ้นชักเก็บเศษ ผง การดูแลรักษา ควรเก็บให้ห่าง จากเปลวไฟและความชื้น ข้อควรระวัง อย่าใช้งานผิด ประเภท วงเวียนเหล็ก วิธีใช้ใช้ขีดลงบนเนื้อเงินหรือเนื้อ ทอง เพื่อบากรอยแนวในการ เลื่อย การตัด หรือการตะไบ การดูแลรักษา ควรเก็บให้ห่าง จากความชื้น ข้อควรระวัง ระวังปลายแหลม ของวงเวียนทิ่มนิ้วมือ ทั่งหรือเขาควาย วิธีใช้ใช้สำหรับเคาะเก็บรูปทรง ชิ้นงานขนาดเล็กให้ได้ทรงตาม ต้องการ การดูแลรักษา ควรชโลมน้ำมัน จักรหลังการใช้งาน ข้อควรระวัง อย่าใช้งานผิด ประเภท ม้าดึงลวด
วิธีใช้ใช้สำหรับดึงโลหะที่เป็น เส้นให้เกิดความยาว การดูแลรักษา เก็บให้ห่างไกล จากความชื้น ข้อควรระวัง อย่าใช้งานผิด ประเภท แป้นดึงลวดหรือแป้นดึงหลอด วิธีใช้ใช้สำหรับดึงเส้นเงินให้ เป็นเส้นเล็กๆตามขนาดโดยดึง ตามเบอร์และใช้สำหรับดึงแผ่น เงินให้เกิดเป็นรูปทรงกลมตรง กลางโปร่ง การดูแลรักษา หลังการใช้งาน ควรเก็บให้ห่างจากความชื้น ข้อควรระวัง ไม่ควรดึงลวดข้าม ขนาดจะทำให้แป้นใช้การได้ไม่ด เครื่องอัลตร้าโซนิก วิธีใช้ใช้สำหรับทำความสะอาด ชิ้นงานด้วยแรงสั่นสะเทือน การดูแลรักษา ควรตรวจสภาพ เครื่องก่อนใช้งานหากพบชำรุด ให้หยุดใช้งานทันที ข้อควรระวัง งานเครื่องประดับ ที่มีอัญมณีมีค่าบางชนิดไม่ควร ใช้เครื่องอัลตร้าโซนิ ทั่งหรือแผ่นเหล็กอัดเรียบ วิธีใช้ ใช้รองชิ้นงานเพื่อเคาะ หรือทุบชิ้นงานตามวัตถุประสงค์ การดูแลรักษา ควรชโลมน้ำมัน จักรหลังการใช้งาน ข้อควรระวัง อย่าใช้งานผิด ประเภท ค้อนไม้
วิธีใช้ใช้เคาะชิ้นงานเพื่อขึ้นรูป โดยไม่ทำให้ชิ้นงานเป็นรอย การดูแลรักษา เก็บให้ห่างจาก ความชื้น ข้อควรระวัง อย่าใช้งานผิด ประเภท กระบองเคาะไซส์แหวน วิธีใช้ใช้ในการเคาะไซส์แหวน และเคาะให้ไซส์กลม การดูแลรักษา เก็บในที่แห้งและ ห่างไกลจากความชื้น ข้อควรระวัง อย่าใช้งานผิด ประเภท น้ำมันจักร วิธีใช้ใช้ทาเครื่องมือเพื่อป้องกัน การเกิดสนิม ใช้เทลงบนหินลับมีดเพื่อเพิ่ม ความหล่อลื่นในการลับเหล็ก การดูแลรักษา ทาน้ำมัน หลังจากการใช้งานทุกครั้ง ป้องกันการเกิดสนิม ข้อควรระวัง อย่าให้ผงอื่นๆเข้า ไปปะปน กระบองวัดไซส์แหวน วิธีใช้ใช้วัดไซส์แหวนโดยเฉพาะ การดูแลรักษา เก็บให้ห่างไกล จากความชื้น ข้อควรระวัง อย่าใช้งานผิด ประเภท
ลูกเต๋า, ตัวตอกหัวกลม วิธีใช้ใช้ในการตอกชิ้นงานให้มี ลักษณะโค้งนูน การดูแลรักษา หลังการใช้งาน ควรเก็บให้ห่างจากความชื้น ข้อควรระวัง อย่าใช้งานผิด ประเภท รางโอ วิธีใช้ ใช้ตอกชิ้นงานให้มีความ โค้งงอ หรือเป็นมุมแหงนตาม แบบรางโอ การดูแลรักษา เก็บให้ห่างจาก ความชื้น ข้อควรระวัง อย่าใช้งานผิด ประเภท แท่งจิ้มน้ำประสาน วิธีใช้ใช้จิ้มน้ำประสาน นำไป แตะตำแหน่งที่ต้องการเชื่อม ประสาน การดูแลรักษา เก็บในที่แห้งและ ห่างไกลจากความชื้น ข้อควรระวัง อย่าใช้งานผิด ประเภท เม็ดมะยม วิธีใช้ใช้เจียระไนชิ้นงานเพื่อ ตกแต่งรูปทรงและคว้านเนื้อ โลหะเพื่อฝังพลอย
การดูแลรักษา เก็บให้ห่างไกล จากความชื้น ข้อควรระวัง ไม่ควรใช้แรงกด และเร่งรอบความเร็วสูงอย่าง ต่อเนื่อง เพราะจะทำให้เม็ด มะยมหัวทื่อ ดอกสว่าน วิธีใช้ใช้ในการเจาะเนื้อโลหะ เพื่อทำร่องหรือเจาะรูให้ทะลุ การดูแลรักษา หลังการใช้งาน ควรเก็บให้ห่างจากความชื้น ข้อควรระวัง อย่าใช้งานผิด ประเภท แอลกอฮอล์ วิธีใช้ใช้สำหรับล้างชิ้นงานหรือ ใส่ในตะเกียงแอลกอฮอล์ การดูแลรักษา หลังใช้งานควร เก็บให้เรียบร้อย ข้อควรระวัง เก็บให้ห่างจาก เปลวไฟ ทินเนอร์ วิธีใช้ใช้สำหรับล้างชิ้นงาน การดูแลรักษา หลังใช้งานควร ปิดฝาให้สนิท ข้อควรระวัง ไม่ควรวางใกล้ เปลวไฟ ครั่ง วิธีใช้ใช้ติดชิ้นงานและติดไม้ขึ้น ครั่ง การดูแลรักษา หลังการใช้งาน ควรเก็บให้ห่างจากความชื้น
ข้อควรระวัง อย่าใช้งานผิด ประเภท ไม้ขึ้นครั่ง วิธีใช้ใช้ติดชิ้นงานที่จะ ประดับอัญมณี การดูแลรักษา เก็บให้ห่างจาก ความร้อน ข้อควรระวัง ไม่ควรทำหล่น กระแทกพื้นครั่งจะแตกหลุด ออกจากไม้ขึ้นครั่ง ไม้หนีบแหวน วิธีใช้ใช้สำหรับติดชิ้นงานแหวน ที่จะประดับอัญมณี การดูแลรักษา เก็บในที่แห้งและ ห่างไกลจากความชื้น ข้อควรระวัง ไม่ควรทำหล่น กระแทกพื้นครั่งจะแตกหลุด ออกจากไม้ขึ้นครั่ง ลูกตุ้มและจานรองลูกตุ้ม วิธีใช้ใช้เป็นตัวจับยึดไม้ขึ้นครั่ง หรือไม้หนีบแหวน การดูแลรักษา เก็บให้ห่างจาก ความชื้น ข้อควรระวัง ระวังอย่าให้จาน รองลูกตุ้มรั่วหรือฉีกขาด เพราะ จะทำให้ทรายมาปนกับผงโลหะ มีค่า หินลับเหล็ก วิธีใช้ใช้สำหรับลับเหล็กทุกชนิด ให้มีความคม การดูแลรักษา เช็ดทำความ สะอาดหินลับเหล็กทุกครั้งเมื่อ หินสกปรก
ข้อควรระวัง อย่าลับซ้ำๆที่รอย เดิมเพราะจะทำให้หินลับเป็น ร่องลึก ตะเกียงแอลกอฮอล์ วิธีใช้ใช้ติดชิ้นงานที่จะ ประดับอัญมณี การดูแลรักษา เก็บให้ห่างจาก ความร้อน ข้อควรระวัง ไม่ควรทำหล่น กระแทกพื้นครั่งจะแตกหลุด ออกจากไม้ขึ้นครั่ง เครื่องเจียรเหล็กคมมีด วิธีใช้ใช้สำหรับเจียรเหล็กคมมีด เหล็กจิกไข่ปลา เหล็กตัดและ เหล็กอื่นตามต้องการ การดูแลรักษา เก็บในที่แห้งและ ห่างไกลจากความชื้น ข้อควรระวัง ในขณะเจียรควร สวมแว่นตาและผ้าปิดจมูก อย่าให้จานเหล็กโดนมือ ขณะ เครื่องกำลังทำงาน ด้ามไม้จับเหล็ก วิธีใช้ใช้เป็นตัวจับเหล็กที่ใช้ใน งานฝังอัญมณี การดูแลรักษา เก็บให้ห่างจาก ความชื้น ข้อควรระวัง อย่าให้เหล็กครอบ ด้ามไม้หลุดออก เพราะจะทำให้ ด้ามไม้จับเหล็กไม่แน่น เหล็กตัด
วิธีใช้ใช้สำหรับแทงเส้นบน โลหะและใช้แต่งเก็บเม็ดไข่ปลา ใช้สำหรับตัดหรือแทงเกี่ยวเนื้อ โลหะตามมุมให้เป็นสันและเรียบ บริเวณด้านข้างของพลอยที่ทำ การฝัง การดูแลรักษา ทาน้ำมัน หลังจากการใช้งานทุกครั้ง ป้องกันการเกิดสนิม ข้อควรระวัง การเจียรเหล็กต้อง จุ่มน้ำบ่อยๆเพื่อไม่ให้เหล็กไหม้ เหล็กคมมีด วิธีใช้ใช้สำหรับเซาะเอาเศษ โลหะที่ไม่ต้องการออก เพื่อเวลา วางพลอยลงบนหลุมพอดี ก่อน ทำการฝัง การดูแลรักษา ทาน้ำมัน หลังจากการใช้งานทุกครั้ง ป้องกันการเกิดสนิม ข้อควรระวัง การเจียรเหล็กต้อง จุ่มน้ำบ่อยๆเพื่อไม่ให้เหล็กไหม้ เหล็กอกไก่ วิธีใช้ใช้สำหรับจิกไข่ปลาที่เนื้อ โลหะจากตัวเรือนเพื่อยึดเกาะใน การฝังพลอยให้แน่น การดูแลรักษา ทาน้ำมัน หลังจากการใช้งานทุกครั้ง ป้องกันการเกิดสนิม ข้อควรระวัง การเจียรเหล็กต้อง จุ่มน้ำบ่อยๆเพื่อไม่ให้เหล็กไหม้ หนำเล้ง
วิธีใช้ใช้เป็นตัวจับเม็ดมะยมที่ใช้ ในการฝังอัญมณี การดูแลรักษา ทาน้ำมันจักรเพื่อ ป้องกันสนิม ข้อควรระวัง หมุนให้แน่นขณะ ทำงาน เหล็กปั่นไข่ปลา วิธีใช้ใช้ปั่นไข่ปลาให้เงาและ กลม การดูแลรักษา ทาน้ำมันจักรทุก ครั้งหลังการใช้งาน ข้อควรระวัง ควรเลือกขนาดให้ เหมาะสมกับขนาดไข่ปลา อย่าใช้งานผิดประเภท แป้นเหล็กปั่นไข่ปลา วิธีใช้นำเหล็กปั่นไข่ปลามาปั่น กับแป้นโดยเลือกขนาดเบอร์ให้ เหมาะสม การดูแลรักษา เก็บในที่แห้งและ ห่างไกลจากความชื้น ข้อควรระวัง อย่าใช้งานผิด ประเภท ขี้ผึ้งจับพลอย วิธีใช้ใช้สำหรับจับเพชร/พลอย เพื่อนำไปวางในกระเปาะ การดูแลรักษา เก็บให้ห่างไกล จากความร้อน ข้อควรระวัง อย่าให้โดนน้ำมันจักร เพราะจะ หยิบจับงานยาก อย่าให้ขี้ผึ้งติดหน้าพลอยมากไป จะทำให้มองไม่ชัด แป้งฝุ่น
วิธีใช้ใช้สำหรับทาที่ชิ้นงาน เพื่อให้เห็นรายละเอียดของงาน ได้มากขึ้น การดูแลรักษา เก็บในภาชนะที่ สะดวกต่อการใช้งาน ข้อควรระวัง อย่าใส่แป้งที่ ชิ้นงานมากเกินไป เพราะจะทำ ให้มองเห็นไม่ชัด พู่กัน วิธีใช้ใช้สำหรับจุ่มแป้งที่จะ นำไปปัดชิ้นงาน การดูแลรักษา เก็บในที่แห้งและ ห่างไกลจากความชื้น ข้อควรระวัง ไม่ควรกดปลายขน แปรงแรงเกินไป อาจทำให้ขน แปรงหัก เหล็กตอก วิธีใช้ใช้ตอกขอบงานหน้า เพชร/พลอย, หัวหนามเตย การดูแลรักษา เก็บให้ห่างไกล จากความชื้น ชโลมน้ำมันจักร หลังการใช้งานทุกครั้ง ข้อควรระวัง หมั่นตรวจสอบ ปลายเหล็กตอกอยู่เสมอ ถ้าบิ่น ควรขัดแต่งด้วยกระดาษทราย การขัด การขัดผิวขึ้นงานนับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ผิวชุบขั้นสุดท้ายจะเงางามหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการขัดผิวในตอน แรกนี้เอง ดังทฤษฎีความเรียบว่า วัตถุจะเป็นเงางามได้ก็เกิดจากการสะท้อนแสงของผิวที่เรียบ การขัดจะทำให้ผิวของ ชิ้นงานเรียบขึ้นเงางามขึ้น เมื่อนำไปชุบโลหะด้วยไฟฟ้าก็จะยิ่งเรียบเป็นเงางามขึ้นอีก การขัดผิวแบ่งออกได้เป็นสองวิธีใหญ่ ๆ คือ การขัดหยาบ ( Polishing) และ การขัดละเอียด (Buffing)
1.1 การขัดหยาบ (Polishing) ประกอบด้วย ก. ล้อขัด ( Polishing Wheel) ทำด้วยผ้ามัสลิน หรือ ทำจากหนัง เวลาใช้งานจะสวมเข้ากับเครื่องขัดซึ่งมี มอเตอร์ขับเคลื่อนแกน เมื่อนำล้อขัดไปสวมกับแกนจะทำให้ล้อขัดหมุน ล้อขัดที่นิยมกันมากที่สุดจะเป็นล้อผ้าฝ้ายถักซึ่งมี การเสริมความแข็งแรง โดยอัดกาวเอาไว้ให้หนาประมาณ 6-10 มม. ข. ผงขัด อาจเป็นวัสดุที่ได้จากธรรมชาติ หรือวัสดุสังเคราะห์ มีขนาดของเม็ดเล็กละเอียดมาก และมีความแข็ง พอที่จะทำให้ผิวชิ้นงานเป็นรอยขูดขีดลึกลงไปได้ เพื่อประโยชน์ในการลดปุ่มปมบนชิ้นงาน ตัวอย่างของผงขัด ได้แก่ อะลูมิเนียมออกไซด์ (AI203) หรือ ซิลิกอนคาร์ไบด์ (SiC) เป็นต้น ขนาดของผงขัดจะแสดงเป็นตัวเลขโดยตัวเลขน้อยแสดงว่าผงขัดมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของแต่ละเม็ดใหญ่ใช้ สำหรับขัดหยาบ ส่วนผงขัดที่เป็นตัวเลขมาก จะมีขนาดเล็กใช้สำหรับขัดงานละเอียด หลักการง่าย ๆ ของการขัดก็คือ นำล้อขัดมาทากาวแล้วนำผงขัดติดบนกาว ทิ้งไว้ให้แห้ง แล้วนำไปขัดชิ้นงานได้ ค. กาวที่ใช้ กาวที่ใช้ในการยึดผงขัดกับล้อขัดนั้น ควรมีคุณภาพดี คือมีจุดหลอมเหลวสูง (ไม่ไหม้เมื่อขัดโดยใช้ ความเร็วรอบสูง) มีความยืดหยุ่น และมีความเหนียวสูง กาวที่ใช้อาจเสื่อมสภาพได้ เพราะเชื้อแบคที่เรียใน อากาศอาจ เข้าไปทำปฏิกิริยา ดังนั้นโรงงานทั่วไปจะผสมกาวใช้ในแต่ละวัน โดยเก็บไว้ในกระป๋องที่มีน้ำร้อนล้อมรอบ (กระป๋องทำ ด้วยทองแดงหรืออะลูมิเนียม) แล้วใช้งานที่อุณหภูมิประมาณ 60 – 65 องศาเซลเซียส กาวที่ใช้มีความเข้มข้นแตกต่าง กันไปขึ้นอยู่กับขนาดของผงขัด ดังแสดงไว้ในตารางที่ 1 ตารางที่ 1 ความเข้มข้นของกาวแห้งกับน้ำที่ใช้กับผงขัดขนาดต่างๆ ขนาดของผงขัด กาวแห้ง% น้ำ% 36 60 80 100 150 220 45 35 33 30 25 20 55 65 67 70 75 80 ควรตกแต่งผิวของล้อให้เรียบก่อนแล้วค่อยทากาว จากนั้นนำล้อที่ทากาวแล้วไปกลิ้งในกล่องยาวๆ ตื้นๆ ซึ่ง บรรจุผงขัดเอาไว้ หมุนล้อและออกแรงกดให้ผงขัดติดบนกาว หลังจากนั้นจึงนำล้อที่มีผงขัดไปตากแดดสัก 1-2 ชั่วโมง เพื่อให้กวแห้ง ในบางกรณีถ้ำต้องการหุ้มผงขัดครั้งที่สองเพื่อให้ล้อขัดมีอายุการใช้งานยาวนาน ภายหลังจากทากาวแล้ว ควรนำไปอบในเครื่องอบแห้งที่มีความชื้นต่ำประมาณ 24 ชั่วโมง 1.2 การขัดละเอียด (Buffing) การขัดละเอียดทำภายหลังจากการขัดหยาบเพื่อให้ผิวชิ้นงานมีความเรียบและความมันเพิ่มขึ้น ล้อขัดเป็นล้อ ผ้าฝ้ายที่เย็บตีเกลียวไว้แล้ว ผงขัดเป็นสารในกลุ่มอลูมินาหรือคาร์ไบด์ ซึ่งผสมกับกรดสเตียริกให้มีความแข็งตัวแล้วทำ เป็นแท่งยาขัดสำหรับ การใช้งานนำแท่งยาขัดไปดูที่ล้อขัดซึ่งกำลังหมุนอยู่ก่อน เมื่อยาขัดเกาะที่ล้อแล้วค่อยนำชิ้นงานไป ขัดโดยให้สัมผัสล้อ แท่งยาขัดที่ใช้กันอยู่ทั่วไปแสดงอยู่ในตารางที่ 2 ตารางที่ 2 แท่งยาขัดที่ใช้กันทั่วไป ชื่อ สี ประเภทของผงขัด ความแข็งของผงขัด ใช้กับงานประเภท เอเมอรีเพสต์ เทา ผงเอเมอรี 9 เหล็ก,สแตนเลส โทรโปลี แดง ม่วง ซิลิกอนออกไซด์ (SiO2) 7 เหล็ก, ทองเหลือง อะลูมิเนียม โกรส ดำ เหล็กออกไซด์ (Fe2O3) 6 ทองแดง,ทองเหลือง,สังกะสี
ไลม์ ขาว แคลเซียมออกไซด์ แมกนีเซียมออกไซด์ 2 นิกเกิล,ทองแดง,ทองเหลือง แท่งเขียว เขียว โครเมียมออกไชด์ 6 โครเมียม,สแตนเลส ,อะลูมิเนียม แท่งขาว ขาว อะลูมิเนียมออกไซด์ 9 โครเมียม,สแตนเลส ,อะลูมิเนียม 2) การล้างคราบไขมันด้วยตัวทำละลาย โดยปกติชิ้นงานที่จะนำมาทำการชุบด้วยไฟฟ้า มักจะมีสิ่งสกปรกเปรอะเปื้อนอยู่ จากขั้นตอนการทำงาน ก่อนหน้านี้เช่นคราบน้ำมัน, ผงละออง,ผงขัด, เศษของผ้าขัด จึงต้องหาทางกำจัดสิ่งสกปรกเหล่านี้ให้หมดไป ในขั้นตอนนี้ จะใช้ตัวทำละลายซึ่งเป็นสารอินทรีย์ในการชะล้างสิ่งสกปรกออกไปคุณสมบัติที่จำเป็นของตัวทำละลายอินทรีย์คือ ต้อง ล้างสารพวกจาระบี หรือ แว็กซ์ได้อย่างดี, ไม่กัดผิวโลหะ, ติดไฟยาก, ไม่เป็นพิษ, ระเหยได้ง่าย, มีราคาถูก ซึ่งตัวทำ ละลายที่ใช้กันมาก ได้แก่ ไตรคลอโรอีเทนมีคุณสมบัติ ดังนี้ สูตรเคมี C2H3Cl3 ความถ่วงจำเพาะ 1.47 จุดเดือด 85.5 ถึง 87.5 องศาเซลเซียส 3) การต้มล้างไขมันด้วยด่างร้อน วิธีนี้นับว่าเป็นวิธีการทำความสะอาดขั้นพื้นฐานและไม่อาจละเลยได้ในการเตรียมผิวชิ้นงานก่อนชุบสารเคมีมี ที่มีฤทธิ์เป็นด่าง สามารถละลายคราบน้ำมัน หรือไขมันต่าง ๆ ได้ดี ด่างที่ใช้นั้นมักจะเป็นโซดาไฟและสารประกอบของ โซเดียม เช่น โซเดียมคาร์บอเนต, โซเดียมเมตาซิลิเกต และโซเดียมไซยาไนด์ เนื้อของวัสดุที่เป็นชิ้นงานนั้นอาจถูกกัดด้วย ด่างได้ ดังนั้นจึงต้องควบคุมความเป็นกรดด่างของตัวยาต้มล้างไขมันนี้ให้เหมาะสม เช่น ชิ้นงานเป็นเหล็ก ค่าPH มากกว่า 13 ได้ ชิ้นงานทองแดงและโลหะผสมของทองแดง ค่าPH 10 - 12 ชิ้นงานอะลูมิเนียม, ดีบุก, สังกะสี ค่าPH 9 -11 ในทางปฏิบัติมีผู้ผลิตผสมตัวยาต้มล้างไขมันนี้วางขายอยู่แล้ว เราสามารถซื้อมาแล้วผสมน้ำตามคู่มือได้เลย 4) การล้างชิ้นงานโดยใช้ไฟฟ้า เป็นวิธีล้างชิ้นงานต่อจากวิธีการต้มล้างด้วยด่างร้อน เพื่อให้ชิ้นงานมีความสะอาดยิ่งขึ้น คล้ายคลึงกับวิธีการ ชุบเคลือบผิวโลหะด้วยไฟฟ้า เพียงแต่สารละลายที่ใช้เป็นชนิดเดียวกับการต้มล้างไขมันด้วยด่างร้อน ชิ้นงานที่จะล้างถูก แขวนอยู่ที่ขั้วบวกหรือขั้วลบตามความเหมาะสม เมื่อผ่านกระแสไฟฟ้าจะเกิดก๊าซขึ้นช่วยขับไล่สิ่งสกปรกออกไป เครื่องมือวัสดุ-อุปกรณ์งานขัด
กระดาษทรายเบอร์ต่างๆ ตะไบ
ลูกยาง ลูกผ้าขัด ยาขัด
หยกขัดเงา เครื่องขัดเข็ม
เหล็กคาไบด์ขัดเงา เครื่องอัลตร้าโซนิก
เครื่องขัดชิ้นงาน
ใบความรู้ วิชา : งานประดับอัญมณีแบบหนามเตย ชื่อหน่วยการเรียนรู้:หลักการประดับอัญมณีและฝึกปฏิบัติการประดับอัญมณีแบบหนามเตย เรื่อง : หลักการประดับอัญมณีและฝึกปฏิบัติการประดับอัญมณีแบบหนามเตย หน่วยที่ ๓ สอนครั้งที่ 4- ๑๗ เวลา ๙๘ ชม. 1. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1.1 จุดประสงค์ทั่วไป 1.1.1 แสดงความรู้เกี่ยวกับหลักการประดับอัญมณี 1.1.2 มีทักษะการประดับอัญมณีแบบหนามเตยตามหลักการและกระบวนการ 1.1.3 แสดงพฤติกรรมลักษณะนิสัย ความรับผิดชอบ มีวินัย ขยัน อดทนและสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ 1.2 จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม 1.2.1 อธิบายขั้นตอนการขัดเงาตัวเรือนได้อย่างถูกต้อง 1.2.2 ประดับอัญมณีแบบหนามเตยได้ตามหลักการและกระบวนการ 1.2.3 แสดงพฤติกรรมที่ดีในการเข้าตรงเวลาและส่งชิ้นงานตามกำหนด 2. สมรรถนะ 2.1 ประดับอัญมณีแบบหนามเตยได้หลักการและกระบวนการ 3. เนื้อหาสาระ (ใบความรู้) 1. หลักการขัดเงาตัวเรือนและฝึกปฏิบัติการขัดเงาตัวเรือนแหวน หลังจากการประกอบและตกแต่งตัวเรือนเสร็จเรียบร้อย ก่อนที่เครื่องประดับอัญมณีจะออกมาอวดโฉมได้นั้น จะต้องมีการขัดเงาตัวเรือนเสียก่อน เพื่อเป็นการทำให้เครื่องประดับเกิดความแวววาวงดงาม โดยกระบวนการและ ขั้นตอนการขัดเงาตัวเรือนนั้น มีวิธีการขัดเงาตัวเรือนหลายอย่างวิธี ต้องผ่านกระบวนการที่ใช้ยาขัดไม่ว่าจะเป็นยาดิน ยาแดง หรือยาขาว รวมถึงการใช้อุปกรณ์จำพวก แปรงผ้า และเครื่องมือต่างๆ เพื่อให้ชิ้นงานที่ถูกขัดด้วย กระบวนการต่างๆ ออกมาอย่างสวยงาม วิธีการขัดตัวเรือนนั้น แบ่งออกเป็น 2 วิธี ดังนี้ 1. การขัดโดยช่างฝีมือ (Hand polishing and buffing) 2. การขัดโม่ด้วยเครื่อง (Mechanised polishing) การขัดโดยช่างฝีมือ (Hand polishing and buffing) Polishing เป็นกระบวนการที่ทำให้ชิ้นงานเรียบ (smoothing) และเงางาม (shining) ซึ่งขั้นตอนแรกทำให้เรียบ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า cutting down เริ่มต้นตั้งแต่กำจัดร่องรอยต่าง ๆ (scratches) บริเวณผิวของโลหะ โดยใช้ยาขัด (abrasive compound) ที่เรียกว่า ยาดิน (tripoli) ซึ่งจะทำให้ผิวของโลหะเรียบ (smooth) แต่ยังด้าน (dull) Buffing เป็นขั้นตอนผสมของ cutting down กับ burnishing action (ทำให้เกิดความเรียบและเงางามแวววาว) โดยใช้ยาขัดที่ เรียกว่า ยาแดง (rough) ชนิดของยาขัด (compound)
Compounds - tripoli เป็นสารจำพวก silicon (เกิดจาก decomposition ของ silicious sandstone) มีสีน้ำตาล (ถ้า tripoli สีขาว จะใช้ขัด platinum และ white gold) - rouge เป็น synthetic iron oxide มีสีแดง (ถ้า rouge สีขาวใช้สำหรับ platinum และwhite gold แต่ ช่างขัดบางคนอาจใช้ rouge สีเขียวขัดเพิ่มเติมก็ได้) หมายเหตุ สารประกอบของ tripoli และ rouge จะมีส่วนผสมของ binder จำพวก fat และ wax และผลิตเป็นแท่ง (bar) หรือ cake เพื่อสะดวกในการใช้งาน - white diamond เป็นสารประกอบที่มาจาก amorphous silica ช่างขัดบางคนนำมาขัดระหว่างขั้นตอน ขัด triopoli กับ rouge ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การขัดชิ้นงานเกิดเป็นรอย (scratches) ก็คือการใช้แปรงขัดและยาขัดที่ไม่เหมาะสมในแต่ละ ขั้นตอน ขั้นตอนการขัดงานขัดโม่ เป็นการขัดเพื่อต้องการความละเอียดของผิวงานระดับปานกลาง ซึ่งชิ้นงานจะผ่านกระบวนการโม่ Magnetic หรือ ผ่านการแต่งด้วยกระดาษทรายมาแล้ว นำมาทำการขัดโม่เพื่อที่จะลบรอยกระดาษทรายหรือร่องรอยที่เกิดจากการโม่ Magnetic รูปตัวอย่างชิ้นงานที่ผ่านการขัดโม่แล้ว ขั้นตอนการขัดโม่ 1. ติดตั้งอุปกรณ์การขัดยาดิน ซึ่งประกอบด้วยลูกผ้ากรอและมอเตอร์
2. ลงยาดินที่ลูกผ้ากรอ 3. ขัดชิ้นงานด้วยลูกผ้ากรอที่ลงยาดินแล้วจนกว่ารอยกระดาษทรายจากการแต่งจะหายไป 4. เปลี่ยนจากลูกผ้ากรอเป็นแปรงแถวเดียว แล้วลงยาดินที่แปรง
5. ขัดชิ้นงานด้วยลูกแปรงแถวเดียวเพื่อขัดเก็บตามซอก 6. เปลี่ยนจากแปรงแถวเดียวเป็นลูกผ้าสี
7. ขัดชิ้นงานด้วยลูกผ้ายาสีเพื่อเก็บขนแมวหรือขนแปรง ทำให้ได้ผิวเงินที่ละเอียดขึ้น 8. นำชิ้นงานไปล้างยาดินออกด้วยเครื่อง Ultrasonic การขัดเงา เป็นการทำความสะอาด และขัดผิวชิ้นงานที่ต้องการความละเอียดผิวสูง และเป็นผิวที่มีความเงาชิ้นงานที่จะโม่ควรผ่าน การขัดโม่ หรือ โม่ Grinding มาก่อน
รูปตัวอย่างชิ้นงานที่ผ่านการขัดเงาแล้ว ขั้นตอนการขัดเงา 1. ติดตั้งอุปกรณ์ขัดเงาซึ่งประกอบด้วยลูกผ้าและมอเตอร์ 2. ลงยาขาวที่ลูกผ้า 3. ขัดชิ้นงานด้วยลูกผ้าที่ลงยาขาว
4. ลงยาแดงที่ลูกผ้า 5. ขัดชิ้นงานด้วยลูกผ้าที่ลงยาแดง
ข้อควรระวังสำหรับงานขัดโม่และขัดเงา 1. ถ้าใช้แรงกดในขณะขัดมากเกินไปจะทำให้ชิ้นงานเสียหายได้ เช่น เข็มหัก เตยหัก ตัวเรือนเสียรูปทรง 2. ถ้าขัดนานเกินไปจะทำให้ไข่ปลาหาย ในกรณีของการขัดงานไข่ปลา 3. อุปกรณ์งานขัด มอเตอร์ขัด ลูกผ้าสี
ลูกแปรงแถวเดียว ลูกผ้ากรอ ยาดิน
ยาแดง ยาขาว ถุงมือ
สำลี หมายเหตุ ยาขัด หมายถึง เม็ดสารขัดที่รวมกับตัวประสานแล้วอัดเป็นแท่งช่วยให้กระบวนการขัดผิวเกิดขึ้นเร็วขึ้น ขนแมว, ขนแปรง หมายถึง รอยที่เกิดจากแรงกดในการขัดที่มากเกินไปทำให้เกิดรอยขัดที่ลึกกว่าบริเวณโรอบ แก้ไขโดยการขัด ให้ลึกลงจนทำให้บริเวณผิวของชิ้นงานสม่ำเสมอกันทั่วทั้งชิ้นงาน การจำแนกลักษณะปัญหางานซ่อม งานขัด ปัญหา ลักษณะชิ้นงานที่ตรวจพบ 1. ตัวเรือนเป็นรอย ตัวเรือนจะเป็นรอยลึกบนชิ้นงาน เป็นรอยลูกผ้าลักษณะเป็นเส้น ลึก และเป็นรอยลู่เป็นทางเดียวกัน 2. ตัวเรือนเป็นฝ้า ตัวเรือนจะเป็นคราบสีดำ, สีเหลือง, และสีขาวอยู่บนผิวชิ้นงาน 3. ตัวเรือนเป็นรู มีลักษณะเป็น รูพรุน หรือเป็นจุดเนื่องจากน้ำประสานหลอมตัว ไม่ดี และรูตามดตามวงด้านในและตามซอก 4. เข็มหัก เข็มที่ติดอยู่กับตัวเรือนหลุดออก เนื่องจากการเชื่อมไม่ถูกวิธี 5. งานป๋อม ชิ้นงานยุบหรือต่ำลงจากระนาบ 6. ตัวเรือนแหว่ง ตัวเรือนแหว่งไปจากรูปทรง หรือระนาบที่ต้องการ 7. ลายหาย ลวดลายของตัวเรือนลบหายไป หรือไม่ชัดเจนทำให้ขาดความ สวยงาม 8. เตยหัก เป็นลักษณะของจำนวนเตยไม่ครบตามจำนวน 9. ห่วงไม่สม่ำเสมอ ตัวห่วงจะแหว่ง หรือหนาบางไม่เท่ากัน รวมทั้งลักษณะรอยแหว่ง จาการเชื่อมที่ไม่สมบูรณ์อีกด้วย 10.ล้างงานไม่สะอาด ตัวเรือนมีสิ่งสกปรกติดอยู่ตามผิวงานรวมทั้งบริเวณตามซอกมุม ของงาน 11.ขัดไม่เกลี้ยง การขัดไม่สามารถลบรอยกระดาษทรายออกหมด ทำให้เห็นเป็น รอยกระดาษทรายอยู่
การจำแนกสาเหตุของปัญหางานซ่อม งานขัด ปัญหา สาเหตุ วิธีแก้ไข 1. ตัวเรือนเป็น รอย - เกิดจากงานหล่อตัวเรือน - ช่างแต่งไม่เกลี้ยง ใช้ กระดาษทรายเบอร์ หยาบเกินไป - ผ้าขัดที่ใช้เก่าและสกปรก - ใช้แรงกดมากเกินไป - ควบคุมการหล่อให้ได้คุณภาพ - กำหนดเบอร์กระดาษทรายให้ เหมาะสมกับชิ้นงานลงในบิลสั่ง ของ - เปลี่ยนลูกผ้าเมื่อเก่าและสกปรก เกินไป 2. ตัวเรือน เป็นฝ้า - เกิดจากงานหล่อตัวเรือน ใช้อุณหภูมิหล่อที่ต่ำ เกินไป - แช่หัวน้ำส้มสายชู - ควบคุมอุณหภูมิในการหล่อให้ เหมาะสม 3. ตัวเรือน เป็นรู - ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจาก งานขัด - เกิดจากการหล่อตัวเรือน - เกิดจากการตีแป้งมาก เกินไป - ใช้เหล็กตีตามด - ควบคุมการหล่อและการทำแม่พิมพ์ ให้เหมาะสม 4. เข็มหัก - ใช้แรงกดมากเกินไป - แผนกแต่งเชื่อมมาไม่ดี - การละลายของน้ำ ประสานไม่ดี - นำกลับไปติดเข็มใหม่ - ต้องทำการแก้ไขที่แผนกแต่ง 5. งานป๋อม - ใช้แรงขัดมากเกินไปและ ออกแรงไม่สม่ำเสมอ - เนื้อเงินไม่เต็ม - งานหล่อไม่ได้คุณภาพ - ฝึกอบรมเพื่อเพิ่มความชำนาญ ให้แก่ช่าง - แก้ที่กระบวนการหล่อตัวเรือน 6. ตัวเรือน แหว่ง - ช่างไม่ระมัดระวังในการ ขัด ออกแรงมากเกินไป - เกิดจากการใช้กระดาษ ทรายเบอร์หยาบ - กำหนดเบอร์กระดาษทรายให้ เหมาะสมกับชิ้นงาน 7. ลายหาย - ออกแรงกดมากเกินไป ไม่ สม่ำเสมอ - ออกแบบร่องความลึกของรอยให้ เหมาะสมในแม่พิมพ์
- ลายมีร่องความลึกน้อย ลายจาง ไม่ชัดเจน 8. เตยหัก - ใช้แรงกดมากเกินไป - เชื่อมมาไม่ดี น้ำประสาน ละลายได้ไม่ดี - แก้ไขที่แผนกแต่งหรือฝัง - กำชับให้ช่างเพิ่มความระมัดระวังใน การทำงาน 9. ห่วงไม่ สม่ำเสมอ - ออกแรงขัดไม่สม่ำเสมอ - เพิ่มความระมัดระวังในการทำงาน 10. ล้างงาน ไม่สะอาด - ใช้ยาขัดมากเกินไป - ช่างขัดไม่ให้ความสำคัญ เพราะคิดว่ามีเครื่องโม่ และเครื่อง Ultrasonic อยู่แล้ว - นำกลับไปทำความสะอาดใหม่อีก ครั้ง 11. ขัดไม่ เกลี้ยง - ใช้กระดาษทรายหยาบ เกินไปในแผนกแต่ง - กำหนดมาตรฐานเบอร์กระดาษ ทรายที่แผนกแต่ง เกณฑ์การตรวจสอบคุณภาพงานขัด (แหวนขัดโม่) ตรวจสอบตามหัวข้อต่อไปนี้ ตำแหน่งการตรวจสอบ รายละเอียดที่ต้องตรวจ 1. ตรวจรูปทรง - ดูว่าชิ้นงานจากการขัดเสียรูปทรงหรือไม่ 2. ตรวจดูเข็ม - ดูว่าขัดเข็มกิ่ว หรือเข็มหักหรือไม่ 3. ตรวจหารอยร้าว - ดูว่าขัดก้านร้าว, ไซส์แตกหรือไม่ 4. ตรวจการล้างงาน - ดูว่าชิ้นงานล้างมาสะอาดหรือไม่ 5. ตรวจคุณภาพผิว - ดูว่าผิวงานเป็นรู, เป็นฝ้าหรือไม่ เกณฑ์การตรวจสอบคุณภาพงานขัด (ต่างหูขัดโม่) ตรวจสอบตามหัวข้อต่อไปนี้ ตำแหน่งการตรวจสอบ รายละเอียดที่ต้องตรวจ 1. ตรวจรูปทรง - ดูว่าชิ้นงานจากการขัดเสียรูปทรงหรือไม่ 2. ตรวจดูเข็ม - ดูว่าขัดเข็มกิ่ว หรือเข็มหักหรือไม่ 3. ตรวจการขัด - ดูว่าขัดรอยเส้นกระดาษทรายหมดหรือไม่ 4. ตรวจการล้างงาน - ดูว่าชิ้นงานล้างมาสะอาดหรือไม่ 5. ตรวจคุณภาพผิว - ดูว่าผิวงานเป็นรู, เป็นฝ้าหรือไม่ เกณฑ์การตรวจสอบคุณภาพงานขัด (จี้-สังวาลขัดโม่) ตรวจสอบตามหัวข้อต่อไปนี้ ตำแหน่งการตรวจสอบ รายละเอียดที่ต้องตรวจ
1. ตรวจรูปทรง - ดูว่าชิ้นงานจากการขัดเสียรูปทรงหรือไม่ 2. ตรวจดูห่วง - ดูว่าขัดห่วงขาด ห่วงบางหรือไม่ 3. ตรวจการขัด - ดูว่าขัดรอยเส้นกระดาษทรายหมดหรือไม่ 4. ตรวจการล้างงาน - ดูว่าชิ้นงานล้างมาสะอาดหรือไม่ 5. ตรวจคุณภาพผิว - ดูว่าผิวงานเป็นรู, เป็นฝ้าหรือไม่ เกณฑ์การตรวจสอบคุณภาพงานขัด (สร้อยข้อมือ-สร้อยคอขัดโม่) ตรวจสอบตามหัวข้อต่อไปนี้ ตำแหน่งการตรวจสอบ รายละเอียดที่ต้องตรวจ 1. ตรวจรูปทรง - ดูว่าชิ้นงานจากการขัดเสียรูปทรงหรือไม่ 2. ตรวจดูห่วง - ดูว่าขัดห่วงขาด, ขัดห่วงบางหรือไม่ 3. ตรวจดูส่วนประกอบ - ดูส่วนประกอบอยู่ครบหรือไม่ 4. ตรวจการขัด - ดูว่าขัดรอยเส้นกระดาษทรายหมดหรือไม่ 5. ตรวจการล้างงาน - ดูว่าชิ้นงานล้างมาสะอาดหรือไม่ 6. ตรวจคุณภาพผิว - ดูว่าผิวงานเป็นรู, เป็นฝ้าหรือไม่ เกณฑ์การตรวจสอบคุณภาพงานขัด (เข็มกลัดขัดโม่) ตรวจสอบตามหัวข้อต่อไปนี้ ตำแหน่งการตรวจสอบ รายละเอียดที่ต้องตรวจ 1. ตรวจรูปทรง - ดูว่าชิ้นงานจากการขัดเสียรูปทรงหรือไม่ 2. ตรวจดูหัวล็อค - ดูว่าขัดล็อคชิ้นส่วนหลุดหายหรือไม่ 3. ตรวจดูบานพับ - ดูว่าขัดหักหรือขัดแหว่งหรือไม่ 4. ดูการขัด - ดูว่าขัดรอยเส้นกระดาษทรายเกลี้ยงหรือไม่ 4. ตรวจการล้างงาน - ดูว่าชิ้นงานล้างมาสะอาดหรือไม่ 5. ตรวจคุณภาพผิว - ดูว่าผิวงานเป็นรู, เป็นฝ้าหรือไม่ เกณฑ์การตรวจสอบคุณภาพงานขัด (กำไลข้อมือขัดโม่) ตรวจสอบตามหัวข้อต่อไปนี้ ตำแหน่งการตรวจสอบ รายละเอียดที่ต้องตรวจ 1. ตรวจรูปทรง - ดูว่าชิ้นงานจากการขัดเสียรูปทรงหรือไม่ 2. ตรวจดูห่วงและก้าน - ดูว่าห่วงขาด ก้านหัก เป็นรอยแตกร้าวหรือไม่ 3. ดูการขัด - ดูว่าขัดรอยเส้นกระดาษทรายเกลี้ยงหรือไม่ 4. ตรวจการล้างงาน - ดูว่าชิ้นงานล้างมาสะอาดหรือไม่ 5. ตรวจคุณภาพผิว - ดูว่าผิวงานเป็นรู, เป็นฝ้าหรือไม่
ข้อมูลการใช้เครื่องล้างทำความสะอาดด้วย Ultrasonic การทำความสะอาดแบบ Ultrasonic cleaning หมายถึงการทำความสะอาด โดยที่มีการผ่านคลื่นเสียง Ultrasonic wave ซึ่งมีความถี่สูงลงในสารละลาย ชิ้นงานจะจุ่มอยู่ในอ่างสารละลาย การสั่นระรัวของคลื่นใน สารละลายจะช่วยให้เกิดฟองอากาศเล็ก ๆ ซึ่งจะเสียดสีกับพื้นผิวของชิ้นงาน การเสียดสีนี้จะช่วยให้สิ่งสกปรกหลุด ออกมาจากผิว ทั้งยังจะช่วยให้สิ่งสกปรกที่ละลายได้สามารถละลายตัวเองได้เร็วยิ่งขึ้น คราบน้ำมันก็จะแขวนลอยใน ของเหลวได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นการทำความสะอาดจะรวดเร็วและหมดจดกว่าปกติ ส่วนประกอบของระบบ Ultrasonic cleaning มีดังต่อไปนี้ 1. Electrical oscillation generator เป็นวงจรไฟฟ้าซึ่งก่อให้เกิดการสั่นระรัวโดยสัญญาณไฟฟ้าด้วยความถี่สูง สัญญาณไฟฟ้านี้จะต่อไปยัง transducer 2. Transducer คือ อุปกรณ์ที่เปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้าเป็นการสั่นสะเทือนเชิงกล การสั่นสะเทือนของ transducer จะถูกถ่ายทอดไปยังสารละลายในอ่าง 3. Solution tank ได้แก่ อ่างซึ่งบรรจุน้ำยาชำระล้างทำความสะอาดชิ้นงาน Transducer อุปกรณ์ Transducer ที่ใช้ในการ Ultrasonic cleaning มีอยู่ 2 ประเภท คือ piezoelectric และmagnetostrictive Piezoelectric transducer ใช้หลักการขยายตัวและหดตัวของสารประเภทผลึกcrystalline หรือสารประเภท ceramics ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อสนามไฟฟ้า ส่วน magnetostrictive transducer จะแปรรูปต่อสนามแม่เหล็ก ดังนั้นเมื่อสนามไฟฟ้าหรือสนามแม่เหล็กสั่นสะเทือนตัว transducer ก็จะสั่นสะเทือนด้วย ประสิทธิภาพในการใช้งานของ Transducer จะขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 อย่าง คือ 1. การแปลงพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานกล ในการแปลงพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานกลนั้นจะมีพลังงานที่สูญเสียไป เป็นความร้อน ซึ่งพบว่าทั้ง piezoelectric และ magnetostrictive transducerสามารถแปลงพลังงานไฟฟ้า เป็นพลังงานกลด้วยประสิทธิภาพสูงถึง 90 % แต่โดยทั่วไปแล้วการใช้งานจริง ๆ ในอุตสาหกรรมนั้น magnetostrictive transducer จะมีประสิทธิภาพด้อยกว่า piezoelectric transducer ประมาณ 20 % 2. การถ่ายทอดพลังงานกลจาก transducer สู่น้ำยาทำความสะอาด ในขั้นตอนการถ่ายทอดพลังงานกลนั้นอาจมี การสูญเสียในลักษณะของความร้อน การสูญเสียพลังงานในตัวยึด (Bonding) ซึ่งทำหน้าที่ยึด transducer ติด กับผนังอ่าง และยังมีการสูญเสียเนื่องจากเกิดความร้อนขึ้นภายในน้ำยาทำความสะอาดอีกด้วย ประสิทธิภาพ ทั้งหมดในการใช้งานของ transducer จะเป็นผลคูณของประสิทธิภาพใน 2 ขั้นตอนดังกล่าวมาแล้ว
วัสดุที่ใช้ทำ piezoelectric transducer อาจจะมีปัญหาเรื่องเกี่ยวกับแรง Shock load ดังนั้นจะต้องคำนึงถึงความ แข็งแรงและทนทานต่อแรงกด นิยมใช้แผ่นโลหะประกบกับแผ่น ceramics เพื่อทำให้วัสดุ piezoelectric ซึ่งเป็นสาร ceramics แข็งแรงยิ่งขึ้นและทำให้สามารถใช้งานที่ระดับกำลังสูงขึ้น ส่วนวัสดุ magnetostrictive ซึ่งมักจะเป็นโลหะ เช่น nickel มักจะมีความแข็งแรงสูงและไม่มีปัญหาเกี่ยวกับ shock load หรือ fatique failuer แต่อย่างใด โดยทั่วไปแล้ว magnetostrictive transducer จะถูกเชื่อมหรือบัดกรีติดกับก้นอ่างเพื่อทำให้ถ่ายทอดคลื่น Ultrasonic ผ่านโลหะเข้าสู่น้ำยาทำความสะอาดโดยตรง สารที่ใช้ทำเป็นตัวบัดกรีคือ เงิน ส่วน piezoelectric transducer ซึ่ง ประกอบด้วยวัสดุประเภท crystalline ไม่สามารถที่จะบัดกรีได้ ดังนั้น นิยมใช้สารยึดประเภทพลาสติก เช่น epoxy resin ยึด transducer ติดกับก้นอ่าง อย่างไรก็ตามการใช้ epoxy resin เป็นสารยึดทำให้การถ่ายทอดพลังงานไม่ดี เท่าที่ควร การที่ต้องถ่ายทอดพลังงานการสั่นสะเทือนผ่านตัวกลางที่มีความหนาแน่นต่างกัน 4 ชนิด คือ ถ่ายพลังงาน จาก ceramics ผ่าน epoxy resinผ่าน โลหะ เข้าสู่น้ำยาทำความสะอาด ในการถ่ายจากตัวกลางหนึ่งไปยังตัวกลางหนึ่ง จะมีการสูญเสียพลังงานบางส่วนไป ขนาดกำลังที่สามารถส่งผ่าน transducer ได้ก็เป็นปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งในการใช้งาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงาน อุตสาหกรรมที่จะต้องใช้อ่างขนาดใหญ่ magnetostrictive transducer ชนิดที่ใช้แผ่นโลหะเรียงซ้อนแบบ laminate nickel โดยทั่วไปแล้วจะสามารถใช้งานที่กำลังสูงถึง 450 watt/cm2 ส่วนเครื่องชนิดที่ใช้เพื่อทดลองนั้นอาจมีกำลังสูง ถึง 1500 watt/cm2 ในกรณีของ piezoelectric transducer นั้นไม่สามารถถ่ายทอดกำลังได้สูงนัก คือ โดยปกติแล้ว จะให้กำลังเพียง 3 watt/cm2 เท่านั้น ซึ่งน้อยกว่าชนิดเรียกนับ 100 เท่า ถ้าต้องการให้ถ่ายทอดกำลังสูงกว่านี้ก็จะต้อง จัดให้มีระบบความร้อนที่ transducer เพิ่มขึ้น อุปกรณ์ transducer ชนิด piezoelectric จะเสื่อมสภาพเมื่อใช้งานไปนาน ๆ เช่น ความถี่ของคลื่น ประสิทธิภาพการ ถ่ายทอดคลื่น และค่าความจุไฟฟ้าเปลี่ยนแปลงไป แต่ magnetostrictive transducer ชนิดที่ใช้ nickel จะไม่มีการ เสื่อมสภาพ Cavitation ปรากฏการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในการทำความสะอาดตามวิธี Ultrasonic cleaning ก็คือ การมีฟองก๊าซฟองเล็ก ๆ เกิดขึ้นในน้ำยา เสียง Ultrasonic จะเปล่งออกมาจาก transducer จะมีลักษณะเป็น Pressure wave ประเภท Longitudinal เมื่อคลื่นเสียงผ่านน้ำยาก็จะถ่ายทอดพลังงานให้แก่โมเลกุลของน้ำยา ทำให้เกิดคลื่นอัดตัวและขยายตัว ในน้ำยา การเกิดขึ้นของคลื่น Ultrasonic ในน้ำยาจะก่อให้เกิดผลดังต่อไปนี้ 1. ฟองก๊าซเล็ก ๆ ที่มองเห็นได้ในน้ำยา จะรวมตัวเป็นฟองใหญ่ขึ้นและลอยออกจากน้ำยา การที่ฟองอากาศลอย ออกจากน้ำยานี้จะช่วยให้ทำความสะอาดได้ผลดียิ่งขึ้น เพราะถ้าฟองก๊าซยังคงอยู่ในน้ำยา ฟองอากาศจะ กลายเป็น Vibration damper ทำให้คลื่น Ultrasonic ไม่สามารถทำงานได้ดีเท่าที่ควร ส่วนฟองก๊าซขนาดเล็ก ซึ่งมองไม่เห็น คือฟองที่มีเส้นผ่ากลางศูนย์กลางน้อยกว่า 60 microinches จะไม่รวมตัวกันและจะมีจำนวน คงที่อยู่ในน้ำยา 2. ปรากฏการณ์ขั้นที่สองที่เกิดขึ้นในการ Cavitation เรียกว่า Gaseous cavitation ฟองก๊าซที่เหลือในน้ำยาจะ ถูกอัดตัวและขยายตัวโดยแรงกดดันจากคลื่น Ultrasonic wave ครั้งแล้วครั้งเล่า การอัดตัวและขยายตัวของ ฟองอากาศที่พื้นผิวชิ้นงานจะช่วยในการทำความสะอาดผิวชิ้นงาน 3. ปรากฏการณ์ที่สำคัญที่สุดเรียกว่า Vapourous cavitation ซึ่งปรากฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นเมื่อความดันซึ่งเกิด จาก Ultrasonic wave มีค่าต่ำกว่าความดันของของเหลวซึ่งคลื่นนั้นเดินทางผ่าน ความดันที่ต่ำนี้จะทำให้ โมเลกุลของของเหลวขาดออกจากกันในบริเวณที่แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลมีค่าต่ำ ซึ่งมักจะเป็นบริเวณที่มี สิ่งเจือปน เช่น ฝุ่นละออง ฟองก๊าซ เป็นต้น ที่ซึ่งโมเลกุลของของเหลวขาดออกจากกันจะกลายเป็นฟองเล็ก ๆ ภายในฟองจะมีไอของของเหลวอยู่ เมื่อมีคลื่น Compression wave เคลื่อนมาก็จะทำให้ฟองเล็ก ๆ เหล่านี้
ยุบตัวหายไปอย่างรวดเร็วและของเหลวจะเคลื่อนที่ไปแทนที่ฟองเหล่านี้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ฟองเล็ก ๆ เหล่านี้ จะเกิดขึ้นภายในเวลาประมาณ ¼ ของ Circle time ของ Ultrasonic wave แต่การสลายตัวของฟองเหล่านี้ จะเร็วกว่านี้หลายเท่า ดังนั้นจะมีการเกิดขึ้นของความดันและอุญหภูมิสูงมากมายในช่วงเวลาสั้น ๆ คือ ความ ดันอาจสูงถึง 75,000 lb/in2 และอุณหภูมิสูงถึง 13,000F การเกิดขึ้นและการสลายตัวของฟองครั้งแล้ว ครั้งเล่า รวมทั้งคลื่น shock waveซึ่งเกิดขึ้นจากการสลายตัวของฟอง สิ่งเหล่านี้จะเป็นปัจจัยที่สำคัญซึ่งควรจะ เกิดขึ้นในการ Ultrasonic cleaning เพื่อจะช่วยให้การทำความสะอาดและขจัดคราบสิ่งสกปรกออกจาก ชิ้นงาน กลไกการของทำความสะอาด การทำความสะอาดเกิดขึ้นโดยกลไก 3 อย่าง คือ 1. การละลายตัวของสิ่งสกปรกในน้ำยา ถ้าสิ่งสกปรกสามารถละลายในน้ำยาได้ การทำความสะอาดจะทำได้ง่าย และไม่มีปัญหามากนัก 2. การทำลายแรงดึงดูดระหว่างโมเลกุล ปรากฏการณ์ Cavitation จะช่วยทำลายแรงดึงดูดของโมเลกุลซึ่งดึงให้สิ่ง สกปรกอยู่ติดผิวหน้าชิ้นงาน การทำลายแรงนี้เดขึ้นเพราะ Shock และ Impact อันเป็นผลงานปรากฏการณ์ Cavitation หรือเกิดจาก Fatique effect ซึ่งเป็นผลจากสิ่งสกปรกถูกกระทบบ่อยๆครั้ง เมื่อแรงดึงดูดระหว่าง สิ่งสกปรกและพื้นผิวชิ้นงานถูกทำลายแล้ว ก็จะสามารถนำเอาชิ้นงานมาล้างเอาสิ่งสกปรกออกได้ 3. การทำปฏิกิริยาเคมี ปฏิกิริยาเคมีจะเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติทางเคมีของสิ่งสกปรกทำให้ละลายน้ำได้ เช่น ด่าง จะรวมตัวกับคราบน้ำมัน โดยการเพิ่มความดันละอุณหภูมิในช่วงเวลาสั้นๆ อันเป็นผลมาจากการสลายตัวของ ฟองซึ่งเกิดจากการ Cavitation ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว คุณสมบัติที่เด่นที่ทำให้ Cavitation มีผลต่อการทำความสะอาดคือความสามารถที่ทำให้เกิดการชำระล้างภายในพื้นผิว ที่ซับซ้อนในรูลึกๆ ในร่องลึกๆ ระหว่างเม็ดผลึก Cavitation ช่วยทำความสะอาดพื้นผิวเล็กๆ ในระดับเม็ดผลึก การทำ ความสะอาดในระดับเม็ดผลึกทำได้เฉพาะโดยการ Ultrasonic cleaning และยังไม่มีวิธีอื่นใดนอกเหนือไปว่าวิธีนี้ เครื่องมือและอุปกรณ์ อ่างที่ใช้จะมีรูปร่างอย่างไรก็ได้ ตามปกติแล้ว transducer จะถูกเชื่อมหรือติดด้วย epoxy resin ที่ก้นอ่างดังที่ ได้กล่าวมาแล้ว แต่ในบางกรณีจะใช้ให้ตัว transducer แช่ลงในอ่าง วิธีแช่นี้จะให้ประสิทธิภาพไม่ดีเท่าการติด transducer เข้ากับก้นอ่าง และจะใช้เฉพาะเป็นครั้งคราวเป็นหน่วยสำรองเท่านั้น สารที่ใช้เป็นน้ำยาทำความสะอาดในการ Ultrasonic cleaning มี 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ 1. สารละลายของน้ำคือ ใช้สารเคมีบางอย่างละลายในน้ำ ใช้กันมากเพราะทำให้เกิด Cavitation ได้ดี และมี สารเคมีที่เลือกละลายได้หลายชนิด เช่น กรด ด่าง หรือ Wetting agent ธรรมดา 2. ตัวทำละลายอินทรีย์ (Organic solvent) มีการเกิด Cavitation น้อย ใช้เฉพาะเมื่อตัวทำละลายนี้มีคุณสมบัติ พิเศษในการทำละลายไขมัน ในการเลือกใช้น้ำยาทำความสะอาดในการ Ultrasonic cleaning นั้นมีหลักกว้าง ๆ คล้ายในกรณีของ Chemical cleaning ข้อควรระวังและการตั้งวางเครื่อง - วางเครื่องบนชั้นวางที่แข็งแรงในที่ราบ - วางกล่องควบคุมให้พ้นจากบริเวณที่น้ำอาจกระเด็นเข้าไป - ไม่ควรวางบนพื้นที่มีน้ำขังหรือเปียกเสมอ - อย่าให้สายไฟหักงอ ควรให้ด้านหลังเครื่องห่างจากผนัง 20 เซนติเมตรเป็นอย่างน้อย
- ระวังอย่าให้วัตถุมีน้ำหนักหล่นใส่เครื่อง - ต่อสายดินจากถังล้างลงพื้นดิน - ห้ามทำการแก้ไขเครื่องด้วยตนเองหรือผู้อื่นที่ไม่ใช่ช่างของทางบริษัทฯ หลังจากที่ทำตามคู่มือแล้วไม่ สามารถแก้ไขได้ - อย่าเปิดเครื่องในขณะที่ไม่มีน้ำในถัง - ควรต่อสายดินทุกครั้ง - อย่าใช้กรดเข้มข้นหรือน้ำยาพวกที่มีคาร์เททตร้าคลอไรค์กับเครื่อง - ถึงแม้ว่าอุลตร้าโซนิคจะไม่มีอันตรายต่อนิ้วมือแต่ก็ไม่ควรที่จะเอามือลงไปในถังเพราะอาจได้รับอันตราย จากน้ำยาเคมีหรือบาดแผลที่มี - ไม่ควรเปิดเครื่องทิ้งไว้ตลอดโดยเฉพาะสวิทซ์ควบคุมการสั่นสะเทือน เมื่อไม่ใช้ให้ปิด - เมื่อมีข้อสงสัยหรือเครื่องเสียเมื่อตรวจตามขั้นตอนในเครื่องมือแล้วให้แจ้งทางบริษัทฯ ทันที การขัดโม่ด้วยเครื่อง (Mechanised polishing) การโม่ การโม่เป็นกระบวนการขัดผิวชิ้นงานอย่างหนึ่ง ชิ้นงานที่ผ่านกระบวนการหล่อตัวเรือนจะถูกนำมาตกแต่งให้ตัวเรือนมี ขนาด, รูปร่าง และ นํ้าหนักใกล้เคียงกับความต้องการของลูกค้า การตกแต่งตัวเรือนจะมีการใช้กระดาษทรายเบอร์ ต่างๆ สำหรับขัดผิวของชิ้นงาน การขัดผิวชิ้นงานด้วยกระดาษทรายนี้จะทำให้ชิ้นงานมีรอยการขัดด้วยกระดาษทราย ดังนั้นจึงต้องนำชิ้นงานมาขัดด้วยวิธีการโม่ เพื่อลบรอยกระดาษทราย แล้วจึงส่งชิ้นงานไปยังกระบวนการอื่นๆ ซึ่ง ขั้นตอนในการโม่สามารถแบ่งเป็นเครื่องได้ดังนี้ 1. เครื่องโม่ Magnetic 2. เครื่องโม่ Grinding 3. เครื่องโม่ลูกเหล็ก เครื่องโม่ Magnetic เป็นการทำความสะอาด และขัดผิวชิ้นงานที่ต้องการความละเอียดไม่มากนัก เพื่อขจัดคราบปูนหรือคราบสิ่งสกปรกที่ ติดอยู่ตามซอกมุมหรือผิวของชิ้นงานที่ได้จากการหล่อตัวเรือนมาแล้ว เพื่อที่จะกำจัดเอาสิ่งสกปรกดังล่าวออก โดยเวลา ในการโม่ประมาณ 15-20 นาที ด้วยน้ำหนักงาน 500 กรัม/การโม่ 1 ครั้ง เครื่องโม่ Magnetic
ขั้นตอนการโม่ Magnetic 1. พนักงานนับจำนวนชิ้นงานพร้อมทั้งลงบันทึกจำนวนที่นับได้ เพื่อตรวจสอบกับ จำนวนชิ้นงานในเวลาที่สิ้นสุด การโม่ 2. ตรวจดูความสะอาดของน้ำยาว่ายังสามารถใช้งานต่อได้หรือไม่ - ถ้ายังสามารถใช้งานได้ ให้นำชิ้นงานลงเครื่องแล้วปิดฝา - ถ้าไม่สามารถใช้งานได้ ให้เปลี่ยนน้ำยาทำความสะอาดโดยทำความสะอาดถังด้วยน้ำ สะอาดแล้วเติมน้ำยา ชุดใหม่ลงแทน 3. ตั้งเวลาไว้ 15 นาที เปิดสวิตซ์ เดินเครื่อง 4. เครื่องจะปิดอัตโนมัติ เมื่อครบเวลาที่กำหนดไว้แล้วทำการสุ่มตรวจงานว่ามีเศษปูนติดในส่วนที่เป็นซอกมุม หรือไม่ - ถ้ามีเศษปูนให้ทำการโม่ต่อในขั้นตอนที่ 3 - ถ้าไม่มีเศษปูนให้ทำขั้นตอนต่อไป 5. เทเอาชิ้นงานออกจากเครื่อง ข้อควรระวังในการโม่ Magnetic 1. ก่อนเทชิ้นงานออกจากเครื่อง ควรสุ่มตรวจชิ้นงานว่าสิ่งสกปรกถูกขจัดออกหมดหรือไม่ ถ้าสิ่งสกปรกออกไม่ หมด ให้โม่ต่อไป 2. อย่าลืมตรวจสายดินว่า อยู่ติดกับเครื่องและลงดินเรียบร้อยหรือไม่ 3. อย่านำบัตร เครดิต, บัตร ATM, นาฬิกา ไปใกล้เครื่องในรัศมี 1 เมตรขณะเครื่องกำลังทำงานเพราะจะทำให้สิ่ง เหล่านี้เสียหาย 4. ไม่ควรเอาเข็มโม่ Magnetic ออกจากถังปล่อยทิ้งไว้โดยมีน้ำยาแช่อยู่ เพราะจะทำให้เข็มเป็นสนิมจะส่งผล เสียหายต่อชิ้นงาน 5. ถ้าเข็มของเครื่องโม่ Magnetic เป็นสนิม แก้ไขโดยการแช่เข็มในน้ำยาโม่ Magnetic แล้วทำการโม่ 10 นาที หรือแช่ในกรดกำมะถัน อุปกรณ์การโม่ Magnetic เข็มโม่
ผงขัด หมายเลข 920 สีเหลือง ผงขัด หมายเลข 920 สีเหลือง ใช้ในงานขัดผิวของเงิน, ทองเหลือง, ทองแดง, สังกะสีและอลูมิเนียมมีส่วนผสมดังนี้ ผงขัด หมายเลข 920 สีเหลือง 1 ช้อนโต๊ะ น้ำ 1 แกลลอน งานไม่เกิน 1.5 กิโลกรัม / การโม่ 1 ครั้ง ค่า PH = 8 ใช้งานที่อุณหภูมิห้อง เครื่องโม่ Grinding เป็นการทำความสะอาด และขัดผิวชิ้นงานที่ต้องการความละเอียดของผิวงานระดับปานกลาง ซึ่งชิ้นงานจะ ผ่านกระบวนการโม่ Magnetic หรือ ผ่านการแต่งด้วยกระดาษทรายมาแล้วนำมาทำการโม่เพื่อลบรอยกระดาษทราย หรือร่องรอยที่เกิดจากการโม่ Magnetic โดยเวลาในการโม่ประมาณ 8-10 ชั่วโมง ด้วยน้ำหนักงาน 5,000 กรัม/การ โม่ 1 ครั้ง เครื่องโม่ Grinding ขั้นตอนการโม่ Grinding 1. เตรียมเครื่องโม่ Grinding 2. เปิดสวิตซ์เครื่องโม่ Grinding นำชิ้นงานใส่โดยการโม่แต่ละครั้ง ต้องหนักไม่เกิน 6 กิโลกรัม สามารถใส่ชิ้นงาน คละแบบได้