The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

2021-01-06 - บทที่ 1 - หลักการตรวจร่างกาย 0522

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by saknarin.l, 2021-06-02 11:09:12

2021-01-06 - บทที่ 1 - หลักการตรวจร่างกาย 0522

2021-01-06 - บทที่ 1 - หลักการตรวจร่างกาย 0522

บทท่ี 1
การซักประวตั ิและการส่ือสาร

(Interviewing and Communication)

องค์การอนามยั โลกนยิ ามความหมายของ ภาวะสขุ ภาพ (Health) ไว้ว่า
“a state of complete physical, mental, and social well-being and not merely the
absence of disease or infirmity.”
นนั้ คอื “สุขภาพเปน็ สภาวะแหง่ ความสมบรู ณ์ทางรา่ งกาย จติ ใจ และสขุ ภาวะทางสงั คม ไมใ่ ช่เพียง
การปราศจากโรคภยั ไขเ้ จ็บเท่านน้ั ” (WHO 2001, p.1)
สุขภาพประกอบดว้ ยมุมมอง 6 ด้าน ได้แก่ สขุ ภาพกาย สขุ ภาพอารมณ์ ความเป็นอยูท่ ีด่ ีทางสังคม
อิทธิพลทางวัฒนธรรม อทิ ธิพลทางดา้ นจติ วญิ ญาณ และระดบั ขัน้ ของพัฒนาการ (ดังภาพที่ 1) สขุ ภาพเป็น
ผลรวมของมุมมองตา่ ง ๆ เหล่านี้ และต้องไม่มโี รค นอกจากนย้ี งั เปน็ ผลของการปรบั ตัวของปัจเจกบุคคลตอ่
การเปลยี่ นแปลงของส่งิ แวดล้อมดว้ ย เครื่องมือท่ีบุคคลเอามาใช้ในการปรบั ตวั ไดแ้ ก่ ระบบภูมิค้มุ กนั เทคนิค
การลดความเครียด และระบบสนบั สนนุ ตา่ ง ๆ จึงกลา่ วได้ว่าสุขภาพไม่ใชส่ งิ่ ทีค่ งอยูโ่ ดยไม่เปลยี่ นแปลง แตเ่ ปน็
ส่ิงท่มี กี ารเปล่ยี นแปลงอยา่ งต่อเนอ่ื งตลอดเวลา “ผู้ที่รสู้ ึกดีในทกุ ระยะของการเปล่ียนแปลงจึงถือว่าเปน็ ผทู้ ่ีมี
สุขภาพดี”

ภาพที่ 1 มุมมองสุขภาพ

1

พยาบาลใหค้ วามรผู้ ู้รบั บริการในแนวคดิ เกี่ยวกับการสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพและป้องกนั โรค การศกึ ษา
ชว่ ยใหเ้ กิดความเช่อื มโยงกนั ระหวา่ งการใชช้ วี ิตทมี่ สี ุขภาพดีกับการป้องกันโรค ดังนน้ั จงึ กล่าวไดว้ ่าการใหส้ ขุ
ศึกษาเปน็ สว่ นหน่ึงของปฏิบตั ิการพยาบาล การคงไว้ซงึ่ ภาวะสขุ ภาพเกิดจากความสมดลุ ในการเลอื กปฏบิ ัติ
พฤติกรรมทางด้านสขุ ภาพ องคป์ ระกอบที่ทำใหเ้ กดิ สุขภาพ ประกอบด้วย พฤติกรรมส่วนบคุ คล ความใสใ่ จ
ความสนใจ พลวตั รของครอบครวั การเขา้ ถึงการดูแลและแหล่งประโยชน์ด้านสุขภาพ อาหาร การออกกำลงั
กาย วัฒนธรรมและความเช่ือ การเป็นโรคหรือไมจ่ ึงไมเ่ พยี งพอในการอธิบายภาวะสขุ ภาพ

การทผ่ี ปู้ ว่ ยมารับบรกิ ารทส่ี ถานบริการสุขภาพนน้ั จดุ ประสงค์ทส่ี ำคญั คือ เพื่อต้องการทราบสถานะ
สุขภาพ โรคหรือความเจบ็ ปว่ ยท่เี ขาเผชญิ อยู่ ดงั นัน้ บุคลากรทางสขุ ภาพจำเป็นทจ่ี ะต้องได้รับขอ้ มลู ที่ถูกตอ้ ง
อยา่ งเพียงพอ เพ่ือเปน็ ประโยชนใ์ นการวินจิ ฉยั และรักษา การได้มาซึ่งข้อมลู เหลา่ นป้ี ระกอบดว้ ยแหล่งข้อมลู
สำคญั 3 สว่ น ได้แก่ การซักประวัตสิ ุขภาพ การตรวจร่างกาย และการตรวจพเิ ศษ

การซกั ประวตั ิ

การตรวจร่างกาย

การตรวจพิเศษ

ภาพที่ 2 แหลง่ ข้อมลู ทน่ี ำมาซ่งึ การวินจิ ฉัยโรค
ความหมาย

การซกั ประวัติ เป็นการสนทนา ซักถาม หรือแลกเปลย่ี นขอ้ มลู ระหวา่ งบคุ ลากรทางสขุ ภาพกับ
ผ้ปู ่วย โดยมวี ัตถุประสงค์เพ่ือใหไ้ ดข้ ้อมูลอยา่ งเป็นระบบในการสนับสนนุ การวินิจฉัยและรกั ษาโรคหรือปัญหา
สุขภาพอย่างถกู ต้องและเหมาะสม

2

ความสำคญั
การซกั ประวัติควรมีระบบหรือแนวทางปฏิบตั ิอยา่ งชัดเจน ท้งั นเี้ พ่ือให้ได้มาซ่ึงอาการสำคัญอย่าง

ครบถว้ นและประหยัดเวลา สมรรถนะของการซักประวัติต้องอาศยั การฝกึ ปฏบิ ัติอยา่ งสม่ำเสมอเพ่อื ใหเ้ กดิ
ทกั ษะและความชำนาญ ผลลพั ธส์ ดุ ทา้ ยต้องไดป้ ระวัติท่ี “ละเอยี ด ถกู ต้อง กะทัดรัด และชัดเจน” ทง้ั นี้เพราะ
ประวตั สิ ขุ ภาพที่ดจี ะเป็นแนวทางช่วยในการวนิ ิจฉัยโรคหรือวินจิ ฉยั แยกโรคไดง้ า่ ย นอกจากนี้ยังเป็นการชี้นำ
ในการตรวจร่างกายและการส่งตรวจพเิ ศษดว้ ย

ละเอยี ด

ชัดเจน การซกั ถูกตอ้ ง
ประวตั ิ

กะทดั รัด

ภาพที่ 3 ผลลัพธ์ของการซักประวัตทิ ่ดี ี

“การซกั ประวตั เิ ป็นอมตะ”
จากคำกลา่ วข้างตน้ ทำให้เราเขา้ ใจได้ว่า ความสำคญั ของการซักประวตั เิ ป็นแบบนิรันดรก์ าล เม่ือ
หลายสิบปีท่ผี ่านมาสำคญั อย่างไร ปจั จบุ นั กส็ ำคัญอยา่ งนั้น และจะสำคัญต่อไปในอนาคต ต่อใหม้ เี ครอื่ งมอื ท่ี
ทนั สมัยเพยี งใดก็ไม่สามารถทดแทนหรือทำใหค้ วามสำคญั ของการซกั ประวตั ิลดลงไปได้

“เคล็ดลับของการซักประวัติ”
“อัตตานัง อปุ มัง กเร” หรือ “เอาใจเขามาใสใ่ จเรา”
ทำไมต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา หลายคนคงเคยเจบ็ ปวดหรือทกุ ข์ทรมานด้วยเร่ืองใดเร่ืองหน่งึ หรือ
หลายเร่ืองกต็ าม ประสบการณ์คงทำให้เราไม่อยากประสบกบั เหตกุ ารณต์ า่ ง ๆ เหลา่ นั้นอกี ดังนั้นความ
เจ็บปวดและทกุ ข์ทรมานของผ้ปู ่วยก็เหมอื นกับความทุกข์ท่ีเราประสบเช่นกนั ดงั เร่ืองเล่าตอ่ ไปน้ี

3

ตอนท่ี 1 ขอบคณุ สำหรับการรอคอยที่ผิดหวัง

คณุ แม่คนหน่งึ เลา่ ว่า จากประสบการณ์การใชบ้ รกิ ารหอ้ งฉกุ เฉินของโรงพยาบาลเอกชน 4 ครัง้ ที่
ประเทศสหรัฐอเมรกิ าร ซึ่งหากไมจ่ ำเปน็ จรงิ ๆ กไ็ ม่เคยคดิ จะเขา้ ไปเลย เพราะระยะเวลาท่ีต้องใช้หายใจอยู่ใน
นั้นอยู่ระหว่าง 6-12 ชว่ั โมง โดยรอ้ ยละ 80 ของชว่ งเวลาน้ันคอื การรอคอย เม่ือสิน้ สดุ การรอคอยมกั จบลงดว้ ย
การไดร้ ายงานสรุปเป็นกระดาษหนาหลายหนา้ ใจความสำคัญอย่ทู ่วี า่ “ให้กลับไปดูอาการตอ่ ทบ่ี า้ น” รสู้ ึก
เหนอ่ื ยแบบสะบกั สะบอมย่ิงกว่าเดิมทุกคร้ังหลังเดินออกจากหนอ้ งฉุกเฉนิ

การพาลูกไปห้องฉุกเฉินก็เช่นกัน หากอาการไม่หนกั เกนิ กว่าท่พี ่อแม่จะดแู ลเองท่ีบา้ นได้แล้ว ก็ไม่
เคยคดิ จะพาไป ครัง้ แรกท่ีพาไปเสยี เวลา 6 ชวั่ โมง โดยใหเ้ พยี งพยายามจบิ น้ำเปล่าบ้าง น้ำแอปเปิล้ บา้ ง เพื่อ
แก้ภาวะขาดน้ำ จิบไปอาเจียนไป และสรุปให้มาดูอาการต่อท่ีบ้าน “สงสารลูกจับใจ เหนื่อยเพลียจนหลับไป
และดโู ทรมมากกวา่ เดิม” การจะพากลับไปครัง้ ที่ 2 จึงเปน็ เรื่องทีย่ ากจะตัดสินใจ เมื่อไดร้ ับคำปรึกษาจากหมอ
เด็กรุน่ พ่ีท่หี อ้ งฉุกเฉินท่ีนนั่ ทำใหท้ ราบว่า หากไมม่ ีอาการขาดนำ้ จนใกล้ชอ็ ก เขาก็จะไมใ่ หน้ ำ้ เกลอื แบบรอบ
แรกอีก สิง่ ทท่ี ำคอื พยายามทุกวถิ ีทางทีจ่ ะดแู ลเองที่บ้านจนผ่านไปอีก 24 ชวั่ โมง “เห็นทา่ ไมด่ จี ึงต้องพา
กลบั มาอีกรอบ”

รอบน้ีไม่ต้องรออกี ต่อไปกบั เร่ืองการตัดสนิ ใจใหน้ ้ำเกลือและใหน้ อนโรงพยาบาล แต่กลบั มปี ัญหา
เรื่องการวนิ จิ ฉยั โรค คำเฉลยของโรคปรากฏอยู่ตรงหน้าทกุ คนว่า นา่ จะเข้าไดก้ ับ “โรคคาวาซาก”ิ โรคท่มี ีการ
อกั เสบของเส้นเลือดขนาดกลางทัว่ ตวั ที่พบไดบ้ ่อยในเด็กเอเชีย อาการตา่ ง ๆ ของลูกค่อย ๆ แสดงชัดข้ึนเรือ่ ย
ๆ ตามจำนวนวนั ท่ีเปน็ นานขึ้น ทีมแพทย์ห้องฉุกเฉนิ รีบโทรปรึกษาทีมผู้เชีย่ วชาญทันที แตเ่ มอื่ ผู้เช่ยี วชาญมาถึง
“กลับลงความเห็นแทบจะในทนั ทเี ช่นกันว่าไมใ่ ช่อยา่ งแนน่ อน” เราได้แตเ่ พยี งถามอย่างละมุนละม่อม ไลถ่ าม
ทุกอาการทล่ี ูกมี ทงั้ ตาแดง ผื่นตามตวั มือเท้าบวม ปากแหง้ แตก หมออธิบายเป็นเรื่องอ่ืนไดท้ ุกขอ้ แคเ่ ราเอย่
ปากขอให้ชว่ ยพจิ ารณาสง่ echo ดเู สน้ เลอื ดหวั ใจ คณุ หมอยิ้มอยา่ งมั่นใจ ไม่ส่งเพราะไม่ใชโ่ รคน้ีแนน่ อน ตอน
นั้นเรารู้สกึ วา่ ไมเ่ ป็นไร หมออาจจะอยากดูผลเลือดและผลปสั สาวะเพ่มิ เติมก่อนว่าไม่ไดเ้ ป็นไข้ท่ีอธบิ ายได้จาก
สาเหตุอ่ืนอย่างการติดเชอื้ และน้ีก็เพง่ิ วนั ท่ี 4 หากเป็นจริง ต้องให้ยาภายใน 10 วันก่อนเสน้ เลอื ดหัวใจมี
ปญั หาโป่งพอง เดย๋ี วหมอกก็ ลับมาเย่ียมอีก “เราทำได้แค่นั้น ... รอ”

กงลอ้ ชีวิตหมุนเร็วขึน้ เม่ือลูกย้ายข้ึนวอรด์ อาการลกู ทรดุ ลงอยา่ งรวดเร็วจนตอ้ งตัดสินใจย้ายเขา้
ICU กลางดกึ ตอนน้ันสบั สนมาก โรคคาวาซากิ ทำไมมชี อ็ ก แถมยงั เจอการติดเชอ้ื ในทางเดินปัสสาวะอีก คราว
นีห้ มอวินิจฉัยทนั ทีว่า “เปน็ การติดเชือ้ ทางเดนิ ปัสสาวะ” ส่วนอาการที่เขา้ ไดก้ บั คาวาซากเิ หลา่ นั้นคาดวา่ เป็น
จากการติดเช้ือไวรสั ในกระแสเลอื ดร่วมด้วย “ชีวิตสบั สน คดิ เพยี งขอให้ลูกหายชอ็ กโดยเร็ว” ในขณะที่อาจารย์
ผู้เชย่ี วชาญด้านโรคคาวาซากิทไี่ ทยหลายท่านยงั คงยืนยนั ว่าในรายท่เี ปน็ รุนแรงเชน่ นี้ควรรบี ให้ยาโดยเรว็

แลว้ หมอผเู้ ชี่ยวชาญคนเดิมก็กลับมาเย่ยี มลูกอีกครงั้ คราวน้ผี ่นื ขน้ึ ตาแดง ปากแหง้ แตก มือเทา้
บวมเหน็ ไม่ชดั นกั แลว้ หมอบอกวา่ “ถ้าเปน็ คาวาซากิจริง อาการต้องยังไม่หายไป” ประโยคนีเ้ องท่ีทำใหเ้ รา
เร่มิ ไม่ม่นั ใจกบั ความเช่ียวชาญท่แี พทยท์ ่านน้ันกล่าวอ้างซะแล้ว “หมอเช่ยี วชาญจรงิ เหรอถึงพูดมาแบบนั้น
และในชีวติ นห้ี มอเคยเห็นคนไขโ้ รคน้จี รงิ ๆ หรือเพยี งเช่ยี วชาญในตำรา” เราพดู ไปไม่มีใครฟังแลว้ ตอนน้ี

4

ผู้เชีย่ วชาญยอ่ มดนู ่าเช่อื ถือกว่า จบกันกบั โรคคาวาซากิ หมอถอนตวั จากการร่วมดแู ลลกู ไปแล้ว ผูร้ ้ายใน
ขณะนน้ั คอื การตดิ เช้ือท่ีรุนแรง

ขอบคุณที่การรอคอยในครงั้ นั้นสอนว่า “ถงึ เป็นผ้เู ชีย่ วชาญ หากขาดประสบการณ์ก็อาจพลาดพลง้ั
ไดเ้ ชน่ กนั ” การเห็นคนไข้ตรงหน้าเปน็ เหมอื นตำราทต่ี ้องเป๊ะตามนน้ั ทกุ ประการ ทำใหเ้ ข้าใจไดว้ ่าหมอความจำ
ดี อา่ นหนังสอื เยอะแต่ยังเหน็ คนไข้มาไม่หลากหลายพอ ขอบคณุ ท่ีการรอคอยช่วยใหเ้ ราเข้าใจว่า ทำไมแพทย์
ไทยท่จี บมาทกุ คนจึงไดร้ บั อนุญาตประกอบวชิ าชีพที่เรียกว่าใบประกอบโรคศิลปะ

“ขอบคณุ ประสบการณ์และศิลปะในการดูแลคนไข้ของแพทยไ์ ทยท่ีดเี ย่ยี มไม่แพ้ชาติใดในโลก ...”

ตอนท่ี 2 ขอบคณุ สำหรับการรอคอยทสี่ มปรารถนา

กอ่ นทีมแพทย์จะเข้าห้องมาเย่ียมลูกได้ จะต้องแปลงรา่ งกันโดยพร้อมเพรียงทกุ คร้ัง คือ ใสเ่ สื้อคลมุ
สะอาด สวมถุงมือสวมหน้ากากปิดปากและจมูก น่ันเป็นเพราะการวินิจฉยั โรคในขณะนัน้ คอื การตดิ เชื้อรนุ แรง
ให้ระวงั การแพรก่ ระจายโรคทางการสัมผัสและนำ้ ลาย คุณหมอยงั คงแปลกใจว่า อาการของลูกดขี นึ้ ชา้ กวา่ ท่ี
คาด เพราะได้ยาฆ่าเชื้ออยา่ งแรงชนิดทเี่ ปรียบได้กับระเบดิ ปรมาณู มาจัดการกับดเชื้อทุกตวั ทว่ั รา่ งกายของลูก
แถมอาการช็อกก็ไมเ่ หน็ จะดีขึ้น ลองพยายามลดยาเมื่อไร ความดันตกทันที ดว้ ยการผลักดันจากอาจารย์ท่ีไทย
ยังคงม่ันใจว่าลูกเป็นคาวาซากิต้งั แต่แรก ทำให้ต้องขอกบั ทีมแพทย์ผ้ดู ูแลเรอ่ื งการทำ echo เพือ่ ดูหลอดเลือด
หัวใจลูก เราประพฤตติ วั เป็นญาตคิ นไข้ทด่ี ีทีเ่ คารพเชื่อฟังในเหตุผลของหมอเสมอมา แต่กข็ อให้หมอเขา้ ใจวา่
ยงั รสู้ กึ ไมส่ บายใจอยู่เลก็ น้อยกับโรคน้ี ทมี แพทยเ์ องกไ็ มร่ จู้ ะทำยงั ไงเม่ือแพทย์ผเู้ ชยี่ วชาญโรคคาวาซากิถอนตัว
ไปแล้วอย่างถาวร แต่สดุ ทา้ ยก็ไดท้ ำ echo ดว้ ยเหตผุ ลทีบ่ อกกับหมอโรคหวั ใจว่าเพอ่ื ประเมินการทำงานของ
หัวใจด้วย การรอคอย echo ประสบความสำเรจ็ สมใจในที่สุด ตอนนน้ั คดิ วา่ ถ้าเป็นโรคนจ้ี ริง อย่างน้อยจะได้
รีบให้ยา ถา้ ไมเ่ จออะไรก็คงเป็นโรคอ่ืนจรงิ ๆ ถงึ แม้ไม่ใช่จะ echo ผดิ ปกตทิ ุกรายต้ังแต่แรก แต่จาก
ประสบการณ์สมยั เรยี นไม่เคยเห็นอาจารยท์ ่ีไทยพลาดไมเ่ ห็นการเปลีย่ นแปลงระยะต้นสักราย

และแลว้ คณุ หมอโรคหัวใจก็แวะมาตอนกลางคืน เช้าวันตอ่ มาทราบผลวา่ หัวใจลกู บีบตัวไม่ดนี ัก มี
นำ้ ในเยือ่ หุ้มหวั ใจ ส่วนเส้นเลือดหวั ใจปกตดิ ี ตอนน้ันพูดไม่ออกว่าฟังผลแล้วรสู กึ อย่างไร เพราะเมอื่ คนื เราถาม
ผลครา่ ว ๆ จากคณุ หมอ หมอบอกแค่ว่ามีนำ้ ในเยื่อหมุ้ หวั ใจเทา่ นัน้ อยา่ งอนื่ ปกตดิ หี มด แต่เมือ่ นำภาพท่ถี ่ายไว้
ไปใหอ้ าจารยแ์ พทยอ์ ่านแลว้ กลบั ได้ผลเปน็ อีกอยา่ ง คงต้องบอกตามตรงว่าความรู้สึกตอนนน้ั ผดิ หวังมากกบั
ระบบการเรียนรู้ของแพทย์ทีไ่ ด้อยู่ในโรงพยาบาลเดก็ ทมี่ ชี อื่ เสยี งไปทั่วโลก รทู้ ันทเี ลยว่าคุณหมอทีม่ าทำ echo
ใหเ้ ปน็ หมอเด็กท่เี พ่ิงเขา้ มาเรียนต่อเฉพาะทางดา้ นโรคหัวใจ การทำ echo จำเป็นต้องทำโดยผ้มู ีประสบการณ์
โดยเฉพาะสิ่งที่เราสนใจอยากให้ดนู น้ั ละเอียดอ่อนมาก สามารถพลาดกนั ได้งา่ ย ๆ หากไมต่ ้งั ใจใหด้ ี หรอื
เทคนิคไม่ถูก หรอื ไมเ่ คยเห็นมากอ่ นในชวี ิต ในคนื น้นั ควรจะมแี พทยท์ มี่ ปี ระสบการณข์ ้ึนมาดแู ลแพทย์ท่กี ำลงั
อย่ใู นขนั ตอนการเรียนร้ดู ้วยขณะทำ echo แต่จะทำอยา่ งไรได้นอกจากทำใจ ความพยายามขอในสิ่งทีต่ ้องการ
จนไดม้ าด้วยความยากลำบากกลับจบลงด้วยความรู้สกึ หนักใจลึก ๆ ทีมแพทย์มาสรปุ ใหเ้ รามน่ั ใจอีกรอบวา่

5

นา่ จะมกี ารตดิ เช้อื ไวรสั รนุ แรงบางอย่างร่วมด้วย ใหเ้ ราอดทนรอให้อาการค่อย ๆ ดขี ้นึ รวมทัง้ ใหร้ อผลสง่ ตรวจ
ระบุไวรสั ทว่ี ่าน้ันดว้ ย

เวลาหมุนผ่านไปจนถงึ วนั ที่ลูกมีไข้ได้ 9 วัน หวั ใจวา้ วนุ่ รว่ มกับแรงผลักดนั จากทุกคนที่ไทยเช่นเดมิ
ผลไวรสั ทร่ี อคอยกลับมาเกอื บครบวา่ ไม่พบเชอ้ื ตดั สนิ ใจบอกหมอตรง ๆ อีกคร้งั ว่า เรายงั สงสยั วา่ ลกู อาจเปน็
โรคคาวาซากิอยู่ และหากหมอคดิ จะสง่ echo อีกครง้ั ขอใหเ้ ปน็ คนท่มี ีประสบการณแ์ ละเชยี่ วชาญจรงิ ๆ บอก
ไดเ้ ลยว่าหน้าหมอออกแนวเอือมแม่นิดหน่อย แต่ด้วยความเป็นมอื อาชีพ คุณหมอจงึ โยนความกังวลใจของแม่
กลับไปให้ผเู้ ช่ียวชาญโรคคาวาซากิอีกครั้ง ท้ังทเี่ คยถอนตัวไปแลว้

ครั้งนผี้ เู้ ชย่ี วชาญท่ีมาเยี่ยมลกู เปล่ยี นเปน็ แพทย์อีกท่านตามกำหนดการทำงานที่ผลดั กนั พอดี คณุ
หมอมาดูอยา่ งละเอียด จบด้วยย้ิมหวาน แลว้ บอกว่าไม่ใช่โรคคาวาซากิ เรายนื บบี มือตัวเอง มองตามหมอ
ขอร้องว่าถ้าการใหย้ าไมไ่ ด้มผี ลเสียมากมายนัก อยากใหห้ มอพิจารณาเรอ่ื งการใหย้ าสักนิด เราไม่มีเวลาใหห้ มด
ไปกบั การรอคอยอีกต่อไป เหลืออกี เพียง 1 วัน ตามตำราบอวา่ จะลดโอกาสเกิดเส้นเลือดหัวใจโป่งพองไดห้ าก
เปน็ โรคคาวาซากิ คุณหมอจากไปพร้อมประโยคท่วี า่ ไวจ้ ะมาเย่ยี มใหมน่ ะ จบแล้วกบั ความพยายาม ในตอน
นัน้ คิดในใจอยา่ งเดียววา่ ขอให้เราคิดผิด ขอใหท้ กุ คนท่ีไทยคิดผดิ ขอใหค้ วามคิดเร่ืองคาวาซากิเป็นความคดิ ที่
ผิด ๆ สำหรับลูก

ไม่กชี่ ่ัวโมงต่อมา มีคณุ หมออาวโุ สเข้ามาเยย่ี มลูก คุณหมอบอกว่าผเู้ ชย่ี วชาญเม่อื เช้าไดป้ รึกษาให้มา
ช่วยดลู กู ดว้ ย “ใจที่แหง้ ผากเหมือนไดน้ ำ้ ฝนหยดลงมาโดนนดิ หนอ่ ย เฝ้ารอคอยความเห็นอย่างมีความหวงั
และครัง้ น้ีไม่ต้องผิดหวงั อีกต่อไป” คุณหมอบอกว่า อาการเข้าได้กบั โรคคาวาซากิ แมจ้ ะไมใ่ ชต่ ามตำราเป๊ะทุก
ตวั หนงั สือ แต่ก็มโี อกาสเป็นไปได้ จึงเรม่ิ ใหย้ ารักษาในวันนัน้ เลย ตอนน้ันเราพูดไดเ้ พียงคำวา่ “ขอบคุณคุณ
หมอมาก ภาวนาขอใหล้ ูกยังมีเสน้ เลอื ดหัวใจทีแ่ ข็งแรง” แม้จะไม่ไดเ้ ปน็ หมอทีมแรกทม่ี าดูลกู แต่กลับเปน็ ทีม
สุดทา้ ยท่ีสง่ั การรักษา “รสู้ ึกคลา้ ยตวั เองลงแข่ววงิ มาไกลเหลอื เกนิ แม้จะถงึ เส้นชัยช้าไปหนอ่ ย แต่ในทสี่ ุดก็
มาถงึ และมาถงึ ทันเวลาดว้ ย”

หลงั จากคำวินิจฉัยเปลีย่ นไป คณุ หมอทเี่ ข้ามาดูแลลูกเปลี่ยนโฉมเปน็ ผเู้ ช่ยี วชาญตัวจริง ผู้ที่มีท้งั
ความชำนาญและเต็มไปดว้ ยประสบการณ์ สมศักดิ์ศรขี องโรงพยาบาลและสถาบนั แห่งนี้ ขอบคุณท่สี ดุ ท้ายเรา
ไดค้ ำตอบของโรค เพราะการอยแู่ บบไม่รวู้ า่ เป็นโรคอะไร จะรักษาหายหรือไมค่ ือความทุกข์อย่างมาก ขอบคณุ
ทไี่ ดร้ บั การรกั ษาทถี่ ูกกับโรคอย่างทนั การณ์ ขอบคณุ ทเ่ี ข้าถึงผู้เชย่ี วชาญตวั จรงิ กว่าจะฝ่าด้านเขา้ ถงึ ตวั จรงิ ได้
ชา่ งยากเย็นแสนเขญ็ เสยี เหลือเกิน”

ขอบคุณท่ีการรอคอยของเราสิน้ สดุ ลงสกั ที
จากแม่ทรี่ ักลกู สดุ หัวใจ

บทเรียนเร่อื งน้สี อนใหเ้ รารวู้ ่า คำขวัญทวี่ ่า “อัตตานงั อปุ มัง กเร” หรอื “เอาใจเขามาใส่ใจเรา”
ยังคงถูกต้องเสมอไมว่ า่ จะผา่ นมากี่ยคุ สมยั มีหมอหลายทา่ นนท่เี คยถ่ายทอดความรู้สึกเม่ือตวั เองป่วย หรอื เม่อื
คนทีต่ ัวเองรักป่วย เพ่ือสะท้อนใหเ้ ห็นอีกแงม่ ุมหนึ่งเม่ือเราต้องถอดเส้ือกาวน์ แลว้ มาเป็นคนไข้หรือญาติคนไข้
เสียเอง ทำให้เราเข้าใจความรู้สกึ เหน็ ใจคนไข้อย่างถ่องแทม้ ากข้ึน การเปิดใจยอมรับฟังความรู้สกึ ของคนไข้

6

การที่ยอมรบั ในสิ่งที่ตวั เองไม่รู้ การลดทิฐิ การหดั มองในแง่มุมอื่น ๆ และทส่ี ำคัญการเอาใจเขามาใส่ใจเรายอ่ ม
เป็นส่ิงทบี่ คุ ลากรทางการแพทย์ทุกคนพงึ กระทำยิ่ง เร่ืองเหล่าน้ีพดู ง่าย เขา้ ใจง่าย แต่การปฏบิ ตั เิ พอ่ื ยกระดับ
จิตใจของเราให้เหมือนกบั ทีพ่ ูดเป็นเรอื่ งที่ทำไดแ้ ต่ไม่ง่ายนัก ต้องแผเ่ มตตาจิตใหม้ าก และพยายามฝึกจิตใจให้
เหมือนกับทพ่ี ูดไวอ้ ย่างสม่ำเสมอจงึ จะได้ผล

ความล่มุ ลกึ ของการซักประวัติ
“การซักประวตั ิเป็นทั้งศาสตร์และศิลป”์ ถ้าอดทนและหมน่ั ฝึกฝนจะมคี วามสามารถในการซัก

ประวตั สิ งู ข้ึนเรอื่ ย ๆ จนถงึ ระดบั สูงสุด ตอนต้นต้องเสียเวลามาก จะพบปญั หาหลายอยา่ ง เชน่ ไม่ทราบวา่ จะ
ต้งั คำถามอย่างไรจงึ จะดี ไมม่ ีความรูเ้ ก่ยี วกับโรคทผ่ี ้ปู ่วยเป็น ผู้ป่วยใหป้ ระวตั ิไม่ดี เปน็ ต้น แต่ตอนปลายเมื่อเรา
ไดเ้ รียนร้ถู งึ ขนั้ ตอนการซักประวตั ทิ ี่ถูกตอ้ งรว่ มกับการฝึกฝนอยา่ งสมำ่ เสมอ ในที่สดุ เราก็จะสามารถซักประวัติ
ได้ และเสยี เวลานอ้ ยลง สิง่ สำคญั อยู่ที่ความอดทนและการมสี ัมพันธภาพท่ีดกี บั ผู้ป่วย (Healthcare Provider
– Patient Relationship) โดยปกติเราซกั ประวตั กิ ่อนการตรวจร่างกาย แตบ่ างครงั้ เราก็ซักประวัตเิ พ่ิมเตมิ ใน
ขณะท่ีทำการตรวจร่างกายดว้ ย โดยเฉพาะในกรณีทต่ี รวจพบความผดิ ปกติ การตรวจผ้ปู ่วยนอกนน้ั การซกั
ประวตั จิ ะสนิ้ สุดเม่ือผูป้ ว่ ยจำหน่ายกลบั บ้าน แต่การตรวจรักษาผปู้ ว่ ยที่นอนพักในโรงพยาบาลจะมีการซกั
ประวตั เิ พมิ่ เติมต่อเน่ืองทุกวนั เพอ่ื ติดตามการดำเนนิ โรคและการรักษาจนกว่าผู้ปว่ ยจะได้รบั การจำหน่ายกลับ
บา้ น ผทู้ ี่ซักประวัติได้ดีต้องมีความเขา้ ใจผูป้ ว่ ย รธู้ รรมชาตกิ ารดำเนินโรคท่ผี ู้ป่วยเป็นอยู่ รูว้ ิธีการวเิ คราะห์
อาการโรคโดยละเอียด และมีความใฝ่รู้ คน้ ควา้ หาความรูใ้ หม่ ๆ อยูเ่ สมอ การเรียนรู้วธิ ีซักประวัตจิ ึงไม่อาจทำ
ไดอ้ ยา่ งสมบูรณใ์ นระยะเวลาอันสั้น อยา่ งไรกต็ ามถ้าเรียนรู้และฝกึ ทักษะอย่างสมำ่ เสมอจะทำให้สามารถซัก
ประวัตไิ ด้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ โดยความสามารถในการซักประวตั แิ บ่งเปน็ 3 ระดับ ได้แก่

ระดบั ต้น: ซกั ประวัติเพ่ือปูพ้ืนฐานใช้ความละเอยี ดถี่ถ้วน เหตผุ ล (common sense) รว่ มกบั
ความรู้เกย่ี วกบั anatomy, physiology และ pathology ท่ีได้ร่ำเรยี นมา ประวัตทิ ่ีไดจ้ ะเป็นข้อมูลพน้ื ฐานท่ี
ครบถว้ นแต่ไมล่ ึกซงึ้

ระดบั กลาง: ซกั ประวตั ิเพ่อื เพิม่ ประสบการณ์ ซ่งึ ในระดบั น้ตี ้องมคี วามรเู้ รอ่ื งโรคของผ้ปู ่วยที่กำลัง
ดูแลรักษาอย่างดี ดงั น้นั หลงั จากไดร้ บั มอบหมายใหด้ แู ลผู้ป่วยต้องไปคน้ คว้าหาความรู้เกี่ยวกบั อาการของ
ผูป้ ่วยทีเ่ ก่ยี วขอ้ งกับโรคนนั้ (symptomatology) นอกจากนี้ยังตอ้ งรจู้ กั โรคท่ใี กลเ้ คยี งกับโรคทผ่ี ูป้ ว่ ยเป็นด้วย
การซกั ประวตั ิตอ้ งกลับไปถามผู้ปว่ ยใหมว่ ่า ยังมีอาการใดบ้างทย่ี ังไมไ่ ดซ้ ัก ตอ้ งซกั อะไรเพิ่ม มีอาการใดบา้ งท่ี
ผู้ปว่ ยยงั ไมไ่ ด้บอก นอกจากนี้ยงั ตอ้ งสงั เกตว่ามีอาการใดบ้างทอ่ี ย่นู อกเหนือตำราที่เกย่ี วข้องกับผปู้ ว่ ย ซ่งึ การ
ทำอย่างนเี้ ป็นการสร้างโปรแกรมอตั โนมัตทิ ีท่ ำใหเ้ ราสามารถวนิ จิ ฉยั แยกโรค (differential diagnosis) ใน
สมองของเรา ถ้าปฏิบัตเิ ป็นประจำจะทำใหเ้ กดิ ความรู้และชำนาญในการซักประวตั ขิ องเราใหส้ งู ขึ้นอยา่ ง
ต่อเนอื่ ง

ระดบั สงู : ซักประวัติระดับน้เี รียกวา่ “เจาะใจโรค” ซกั เพยี ง 2-3 คำถามก็สามารถบอกการ
วนิ จิ ฉัยโรคได้ถกู ตอ้ ง ความรู้และความชำนาญเป็นผลทีเ่ กิดจากการฝกึ ระดบั กลางติดต่อกนั เปน็ เวลานาน

7

องค์ประกอบของการซักประวตั ิ
ความสำเรจ็ ของการซักประวัตขิ ้ึนอยู่กับองค์ประกอบ 4 ประการ ดงั นี้คอื
1. ผู้ซกั ประวัติ จะต้องใช้ศาสตร์และศลิ ป์มาประกอบรวมกันเพอ่ื ใหไ้ ดป้ ระวตั ทิ ่ีสมบรู ณ์ ดังนัน้ ผซู้ ัก

ประวัติตอ้ งมีคุณสมบตั ิดงั น้ี
1.1 มคี วามรแู้ ละทกั ษะทางวิชาชีพ นน่ั คือ ส่ิงท่สี ำคัญที่สุดสำหรบั บคุ ลากรทางการแพทย์ ท่ีต้อง

มคี วามร้พู ืน้ ฐาน ความรเู้ ร่ืองโรค อาการและอาการแสดง การดำเนนิ โรค การตรวจวินจิ ฉยั การดแู ลรกั ษา
รวมถงึ การสง่ เสรมิ ป้องกัน และฟนื้ ฟูสภาพ โดยความรู้ในประเดน็ ต่าง ๆ จะนำมาซึ่งความสามารถในการซัก
ประวตั ิ และเปน็ ข้อมลู เบื้องต้นในการบูรณาการแผนการดูแลรักษาให้เขา้ กับวิถีชีวิตของผูป้ ่วยได้อยา่ ง
เหมาะสม

1.2 มีบคุ ลกิ ภาพทีน่ า่ นบั ถือและนา่ ศรัทธา นนั่ คือ แสดงออกถงึ ความเชือ่ มั่นในองคค์ วามรูข้ อง
ตนเอง เพ่ือให้เกิดความนา่ เชื่อถือสำหรับผปู้ ่วย นอกจากน้ียงั ต้องสภุ าพ ออ่ นโยน แสดงให้เหน็ ถงึ ความเข้าใจ
เห็นใจ และพร้อมท่ีจะช่วยเหลือผปู้ ่วย

1.3 มีความมัน่ คงในอารมณ์ ทั้งน้เี น่อื ง ผู้ปว่ ยมีหลายประเภท ดงั นน้ั จงึ มคี วามตา่ งทง้ั ดา้ นภาษา
วฒุ ิภาวะ และความสามารถในการสื่อสาร ผู้ซักประวัติจงึ ต้องมีความอดทน สขุ ุม เยือกเย็น และระงบั อารมณ์
โกรธหรือไม่พอใจได้ดี อกี ท้ังยังต้องเป็นผู้ท่ีรับฟงั ข้อมลู ท่ีดี โต้ตอบด้วยถ้อยคำและน้ำเสียงทอ่ี ่อนโยนและมี
เมตตา

1.4 มีทกั ษะในการพดู และการกระทำ น่นั คือ ต้องทำความรู้จักและเข้ากับคนง่าย มีท่าทีทเ่ี ปน็
มิตร ยอมรับผู้อื่นและเป็นกนั เอง มีความรู้และปรสบการณร์ อบดา้ น เฉลยี วฉลาด สามารถประเมินปัญหา
สขุ ภาพและสติปัญญาของผปู้ ่วยได้

2. ผ้ปู ่วย ถือเป็นอีกองค์ประกอบหนง่ึ ที่สำคัญ การทำใหผ้ ู้ป่วยเขา้ ใจ ยนิ ยอมใหค้ วามร่วมมือ เช่ือถือ
และไวว้ างใจผ้ซู ักประวัติ จะทำใหไ้ ด้ข้อมลู ที่ตรง ครบถว้ นและเปน็ ประโยชนใ์ นการวินิจฉัยและรกั ษาในเวลาท่ี
รวดเรว็

3. สถานที่ ควรจัดเปน็ สัดสว่ นโดยต้องคำนงึ ถงึ ความปลอดภัยและสิทธิผู้ปว่ ย ประกอบด้วย ความ
เป็นส่วนตวั สามารถรักษาความลับของผ้ปู ่วยได้ ความสะอาด เรียบร้อย อากาศถ่ายเทได้ดี มโี ต๊ะ เก้าอ้ี เตียง
ตรวจพรอ้ มบริการ รวมถงึ ต้องมปี ระตูทางเข้าออกท่เี หมาะสมในการซักประวตั ิผู้ป่วยประเภทต่าง ๆ ด้วย

4. สมั พนั ธภาพระหว่างผูซ้ กั ประวตั ิและผู้ป่วย การเริ่มต้นสร้างสัมพันธภาพท่ีดี จะทำให้เกิดความไว้
ว่างใจ และได้ข้อมลู ที่ดี ดังน้นั ผูซ้ กั ประวตั ิตอ้ งใชค้ วามรู้ ศลิ ปะ และไหวพริบในการหาแนวทางสืบคน้ ข้อมลู ที่
ถกู ต้อง ทำให้ผปู้ ว่ ยผอ่ นคลายและสบายใจในการใหข้ ้อมูลเก่ยี วกับโรคตามความเปน็ จรงิ

ขั้นตอนการซกั ประวตั ิ

การซักประวัติสขุ ภาพเป็นการสนทนาอยา่ งมีเปา้ หมาย ดงั น้ันผูซ้ ักประวตั ิต้องมีทักษะรอบด้าน โดย
ต้องฝึกฝนทุกวันในสถานการณส์ ำคัญที่แตกตา่ งกัน ซ่ึงไมเ่ หมือนกบั การสนทนาทางสังคมทสี่ ามารถแสดงความ

8

คิดเห็นหรือความสนใจได้อย่างอสิ ระ เป้าหมายเบือ้ งต้นในการซกั ประวตั ิระหว่างผ้ซู ักประวตั แิ ละผูป้ ว่ ยคือชว่ ย
ใหผ้ ูป้ ว่ ยมีสุขภาวะ ทกั ษะที่ใชบ้ ่อยประกอบดว้ ย 3 ประการ ไดแ้ ก่ การทำใหผ้ ู้ปว่ ยไวว้ างใจ และสนับสนนุ
สัมพันธภาพ การเก็บรวบรวมข้อมลู และการไดม้ าซึง่ สารสนเทศ ผซู้ ักประวัติอาจจะใช้วธิ กี ารต่างกนั ในการให้
ได้มาซ่ึงประวตั ิท่ีสมบูรณ์ เวลาทใ่ี ช้กอ็ าจแตกต่างกันด้วย ประวัตทิ ีด่ ีนาํ ไปสูก่ ารวินิจฉยั โรคได้อยา่ งถูกต้อง

ระยะของการซกั ประวตั ิ ประกอบด้วย
1. ระยะก่อนการซักประวตั ิ (Pre-interview) เป็นระยะทีจ่ ัดการส่งิ ตา่ ง ๆ เพอ่ื ใหง้ ่ายต่อการซกั
ประวัติ ได้แก่

1.1 สะทอ้ นตัวเอง (Self-Reflection)
1.2 ทบทวนประวัตผิ ู้ปว่ ย (Review patient record)
1.3 กำหนดเปา้ หมายในการซักประวตั ิ (Set interview goals)
1.4 ทบทวนพฤตกิ รรมและบุคลิกทางคลนิ กิ ของตนเอง (Review own clinic behavior and
appearance)
2. ระยะนะเข้าสู่การซักประวัติ (Introduction) เป็นระยะทที่ ำให้ผ้ปู ว่ ยเข้าถงึ และไวว้ างใจ
2.1 ทกั ทายผู้ป่วยและสร้างสัมพนั ธภาพ (Greet the patient and establish rapport)
2.2 เปดิ ประเด็นในการซักประวตั ิ (Establish the agenda for the interview)
3. ระยะดำเนินการ (Working) เป็นขนั้ ตอนการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู จากผู้ป่วย
3.1 ชกั ชวนให้ผู้ปว่ ยเลา่ เรอื่ งราวทีเ่ กยี่ วข้องกับการเจ็บปว่ ย (Invite the patient’s story)
3.2 จับประเด็นและตอบสนองอารมณต์ า่ ง ๆ ระว่างการซักประวัติ (Identify and respond to
emotional clues)
3.3 เจาะประเด็นและทำให้ประเด็นต่าง ๆ ที่เก่ยี วข้องกบั สุขภาพของผปู้ ว่ ยชดั เจน (Expand
and clarify the patient’s story)
3.4 เชอื่ มโยงและทดสอบสมมติฐาน (Generate and test diagnostic hypotheses)
3.5 ต่อรองแผน นน่ั รวมถงึ การประเมิน การรักษา การให้สุขศกึ ษา และ การสนับสนุนการ
จดั การตนเองและการป้องกัน (Negotiate a plan, including further evaluation, treatment,
education and self-management support and prevention)
4. Termination (ปดิ การซักประวัต)ิ
4.1 สรุปประเด็นสำคัญ
4.2 อธิบายแผนการดแู ลรักษา

1. ระยะกอ่ นการซักประวัติ (Pre-interview) เปน็ ระยะเตรียมตวั ก่อนการซกั ประวัติ ได้แก่
1.1 สะทอ้ นตัวเอง (Self-Reflection)
ผ้ซู กั ประวัตติ ้องพบกับผูป้ ่วยหลากหลายสถานการณ์ ดงั น้ันการสร้างสัมพนั ธภาพกบั บคุ คลทมี่ า

จากหลายกลุ่มอายุ หลากชนชน้ั เชือ้ ชาติ เผา่ พันธ์ุ และสถานะของสขุ ภาพหรือการเจบ็ ป่วย ถือวา่ เปน็ อากาศ

9

และสทิ ธิพิเศษท่ีน้อยคนจะมีโอกาส การคงไวซ้ ่ึงความคาดหวงั และมปี ฏิสมั พนั ธ์กับบุคคลทแ่ี ตกตา่ งกนั เปน็ อีก
หน่ึงความทา้ ทายของผู้ซกั ประวตั ิ เนือ่ งจากเราเอาคณุ ค่า การสนั นิษฐาน (assumptions) และ อคติ (biases)
เขา้ ไปใชใ้ นการซักประวตั ิ เราต้องหาทางทำใหส้ ิ่งตา่ ง ๆ เหลา่ นน้ั ชดั เจน และผลลพั ธ์ควรออกมาดีท้งั คำพดู และ
การกระทำ ดงั น้นั การสะท้อนตวั เองอยู่ตลอดเวลาเปน็ สว่ นหนี่งของการพัฒนาสมู่ อื อาชีพในการงานในคลนิ กิ
จะเกดิ ความลุม่ ลึกในการทำงานกับผู้ปว่ ย ซง่ึ ถอื เปน็ รางวัลที่ดีที่สดุ ในแง่ของการดูแลผปู้ ่วย

1.2 ทบทวนประวัติผู้ปว่ ย (Review patient record)
กอ่ นท่ีเราจะพบผปู้ ่วย การทบทวนขอ้ มลู ผปู้ ว่ ยจะช่วยใหเ้ ราไดข้ ้อมลู และแผนทเ่ี ราจะไปเจาะ
ประเด็นต่าง ๆ ของผูป้ ว่ ย การมองหาประเด็นท่ีสนใจจากข้อมูล เชน่ อายุ เพศ ท่ีอยู่ และประกันสขุ ภาพ และ
ไลเ่ รียงประเด็นปัญหาสุขภาพ รายการยาที่ใช้ และรายละเอียดเก่ยี วกบั การแพ้ยาและสารตา่ ง ๆ จะทำให้เรา
เหน็ ข้อมลู เก่าของการวนิ จิ ฉัยและรักษาที่มีคา่ มหาศาล แต่อยา่ เอาข้อมลู เหล่านี้มาทำให้เกิดอคติในการ
แก้ปญั หาหรือปิดกั้นตัวเองจากการพฒั นาแนวคดิ หรือวธิ ีการใหม่ ๆ ในการซักประวตั ผิ ปู้ ว่ ย จงจำไวเ้ สมอวา่
ขอ้ มลู ในบันทกึ มาจากการสังเกตและฐานคดิ ท่สี ะทอ้ นสถานการณ์ที่แตกตา่ งกัน ข้อมลู อาจไมส่ มบรู ณห์ รืออาจ
ไม่ตรงกับข้อมลู จริงท่ีไดจ้ ากผู้ปว่ ย ต้องเขา้ ใจว่าความคลาดเคลอื่ นอาจช่วยให้การดูแลผ้ปู ่วยดีขนึ้ เพราะเราจะ
หาสง่ิ ท่ีดกี วา่ มาใชใ้ นการดแู ลผู้ปว่ ยเสมอ

1.3 กำหนดเป้าหมายในการซกั ประวตั ิ (Set interview goals)
ก่อนท่ีจะพดู กบั ผู้ป่วยต้องมีเป้าหมายในการซักประวัตทิ ่ชี ดั เจน เปา้ หมายอาจมาจากแบบฟอร์ม
ของโรงพยาบาล หรือจากประเด็นสุขภาพท่จี ะติดตามจากการพบกนั ครงั้ กอ่ น หรือตรวประเมินผลของ
แผนการดแู ล “ผ้ซู กั ประวตั ติ ้องทำใหเ้ กิดความสมดลุ ระหว่างเป้าหมายของบุคลากรทางสุขภาพและเป้าหมาย
ของผู้ป่วย” ท้งั น้ีเนือ่ งจากเป้าหมายของบุคลากรทางสุขภาพ โรงพยาบาล และผูป้ ว่ ยและญาติอาจมีความ
แตกต่างกัน ถา้ เราใหเ้ วลาในการคดิ ถงึ ประเด็นนส้ี กั หน่อยจะทำให้การซกั ประวัตริ าบรื่นข้ึน

1.4 ทบทวนพฤติกรรมและบุคลกิ ทางคลนิ กิ ของตนเอง (Review own clinic behavior
and appearance)

เพียงแคบ่ ุคลากรทางสขุ ภาพสงั เกตผู้ปว่ ยด้วยการซกั ประวัตอิ ยา่ งระมดั ระวัง ผู้ปว่ ยกจ็ ะคล้อย
ตามเราแลว้ เคยคิดหรือเปลา่ วา่ เราสามารถหาข้อมูลได้ทัง้ จากคำพูดและพฤตกิ รรม ทา่ ทางนิง่ ๆ อย่กู บั ที่
(posture) ท่าทางขณะเคลื่อนไหว (gestures) การประสานสายตา และนำ้ เสยี ง สิ่งเหล่านั้นเป็นส่งิ ทแี่ สดงถึง
ความสนใจ (interest), ความใสใ่ จ (attention), การยอมรบั (acceptance) และ ความเข้าใจ
(understanding) ผูซ้ ักประวัตทิ ีม่ ที ักษะน้นั จะผ่อนคลายและไม่เร่งรบี แมจ้ ะถูกจำกัดดว้ ยเวลา ปฏิกริ ิยาทไี่ ม่ดี
จะกลบั มาทำใหเ้ กดิ ผลเสีย โดยไมท่ ำใหส้ ถานการณ์ตา่ ง ๆ ดขี ้ึน (disapproval), ลำบากใจ
(embarrassment), กระวนกระวาย (impatient) หรอื เบื่อหน่าย (boredom) ซึ่งเป็นการปิดกั้นการ
ติดต่อส่ือสารระหว่างบุคลากรทางสขุ ภาพกบั ผปู้ ่วย ทำให้แสดงพฤติกรรมต่อผู้ปว่ ย ได้แก่ ถอ่ มตัว

10

(condescend), ปฏบิ ตั ิแบบเดิม ๆ ไม่มอี ะไรใหม่ (stereotype), วจิ ารณ์ (criticize), หรอื ดูแคลน (belittle)
ซง่ึ มอื อาชพี ต้องใจเยน็

บคุ ลิกภาพสว่ นตัวมีผลตอ่ สมั พันธภาพทางคลนิ ิก การแต่งกายที่สะอาด สุภาพเรียบร้อย และบุคลกิ
ของเรากม็ สี ว่ นชว่ ยให้เกิดความไว้วางใจ น่าเชื่อถือ การแนะนําตัวของเรากเ็ ป็นอีกสว่ นหนึ่งที่มีความสำคญั
โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งในการซักประวัตแิ ละ ตรวจรา่ งกายผู้ปว่ ยท่นี อนรกั ษาตวั ในโรงพยาบาล เราตอ้ งบอกชอื่
บอกสถานะ และวตั ถปุ ระสงค์ใหช้ ดั เจน อาจกลา่ วแนะนําวา่ “สวัสดีครับ ผมชือ่ ... เป็น ... ขอซกั ประวตั ิและ
ตรวจรา่ งกายคุณ ... หน่อยครับ” ผู้ปว่ ยท่นี อนในโรงพยาบาลมักจะถูกซักประวตั จิ ากแพทยห์ ลายคนมาแลว้ จงึ
ตอ้ งพยายามให้ผ้ปู ว่ ยมีความรู้สกึ ทีด่ ตี ่อเรา จึงจะได้รบั ความรว่ มมือที่ดี มิฉะน้ันผู้ป่วยอาจจะไม่เต็มใจ หรอื คดิ
ว่าเป็นการรบกวนได้

1.5 การจดั สถานท่ี (Adjust the Environment)
สถานทใี่ นการซักประวัติควรเป็นสัดส่วนและสะดวกสบายเทา่ ทีท่ ำได้ ส่ิงแวดลอ้ มเอื้อต่อการ
สนทนา ถา้ อยู่ในโรงพยาบาลควรเป็นหอ้ งที่มิดชิด ปดิ ม่าน หรือท่ีบงั ตาได้ แนะนำใหใ้ ชห้ ้องว่างแทนห้องนง่ั เล่น
ปรบั อณุ หภูมหิ ้องให้เหมาะสำหรบั ผู้ป่วย แนวคดิ ทางการพยาบาลถือว่า การจดั สถานทหี่ รือทีน่ งั่ ให้เหมาะสม
เปน็ ส่วนหนึง่ ของการพยาบาลที่ทำใหผ้ ้ปู ว่ ยและเราเองสะดวกสบาย ซึ่งอาจทำใหต้ ้องเสียเวลาบ้าง

1.6 บนั ทกึ (Take Notes)
ไมม่ ีใครท่ีจะจำรายละเอยี ดทั้งหมดไดห้ รอก การจดบนั ทึกส้ัน ๆ ที่เปน็ วลี วันสำคญั หรอื ถอ้ ยคำ
ต่าง ๆ แต่อย่าทำให้สิง่ ท่ีเราบันทกึ แยกเราออกจากผปู้ ่วย ต้องประสานสายตาเสมอ ๆ และถา้ ผปู้ ่วยพดู ถึง
ประเดน็ ทลี่ ะเอยี ดอ่อนหรือมีส่ิงรบกวน วางปากกาหรือลกุ ออกจากแป้นพิมพโ์ ดยทันที ผู้ปว่ ยส่วนใหญ่ค้นุ เคย
กบั การจดบนั ทกึ ซ่งึ การใช้วธิ ีการอ่ืน ๆ อาจทำใหร้ ู้สึกไมส่ ะดวกใจ ทีจ่ ะเปิดเผยส่ิงท่ีเขาตระหนัก และอธบิ าย
ความต้องการท่จี ะทำใหก้ ารบันทกึ นนั้ นา่ เช่ือถือ ถา้ ใชก้ ารบันทึกสขุ ภาพดว้ ยอิเลก็ ทรอนิกซ์ ควรแจ้งให้ผู้ปว่ ย
ทราบก่อนพบผู้ปว่ ย เก็บเก่ยี วข้อมลู เมื่อมาพบผู้ปว่ ย ประสานสายตาเสมอ และสงั เกตพฤตกิ รรมตา่ ง ๆ รวมถึง
คัดกรองสิง่ ทม่ี องเหน็ ต้ังแต่เริ่มสรา้ งสัมพนั ธภาพและตลอดระยะเวลาในการซักประวัติ

ตลอดเส้นทางของการซักประวัติ ได้แก่ เกรน่ิ นำ ดำเนนิ การ และสิ้นสดุ ผู้ซักประวตั ติ ้องปรบั ตวั กบั
ความรสู้ กึ ของผ้ปู ่วยเสมอ เพ่ือชว่ ยใหผ้ ปู้ ว่ ยอธิบาย เรอื่ งราวต่าง ๆ เก่ียวกับการเจ็บป่วยทเี่ กิดข้ึน และต้อง
ประเมินส่งิ ทีเ่ ป็นสาระสำคัญของข้อมลู เหล่านั้นดว้ ย

2. ระยะนะเข้าสู่การซกั ประวัติ (Introduction) เป็นระยะทีท่ ำใหผ้ ้ปู ว่ ยเขา้ ถึงและไว้วางใจ
2.1 ทักทายผู้ป่วยและสร้างสมั พันธภาพ (Greet the patient and establish rapport)
การเร่ิมต้นเดนิ เขา้ ไปพบผู้ป่วยเพื่อสรา้ งสัมพันธภาพ เราจะทกั ทายผ้ปู ่วยและผทู้ ่ีมาเยีย่ มเยือน

อย่ใู นหอ้ งอยา่ งไร ซง่ึ ต้องทำให้ผปู้ ่วยร้สู ึกสบาย และการจดั ระเบียบรา่ งกายให้แลดดู ใี นการทำใหผ้ ปู้ ่วย

11

ประทับใจในครั้งแรก การพบกันของบุคลากรทางการแพทย์กับผูป้ ่วยนั้นดูเหมือนวา่ จะเป็นประสบการณ์ที่
คล้าย ๆ กนั แต่เป็นความเหมือนท่ีแตกต่าง เนื่องจากเราและผปู้ ่วยมภี มู ิหลังที่แตกตา่ งกนั ถา้ ไมร่ ู้จักกันมาก่อน
ก็จะทำใหก้ ารแปลความหมายและการรับรู้ผิดพลาดได้ ดังนั้นจงึ ต้องพยายามเขา้ ถึงความรู้สกึ และการรับรขู้ อง
ผปู้ ่วยให้ได้มากที่สุดเหมือนเป็นหนึง่ เดียวกัน (Unique) การทผี่ ู้ป่วยมาหาเรานั้นย่อมมีความทุกข์ทั้งทาง
รา่ งกายและจิตใจ มีความตอ้ งการความช่วยเหลอื จากเราอยู่แล้ว จึงเป็นการไม่ยากเลยทีจ่ ะสร้างความสัมพันธ์
และทำตวั ให้คุ้นเคยกับผปู้ ว่ ย เปดิ ประเด็นโดยการกลา่ วคำทกั ทายด้วยความเป็นมติ ร ทำให้รู้สึกอบอุน่ และ
อยากเข้ามาพบหาหรือพูดคยุ แสดงความเห็นใจในความเจ็บป่วยที่ผูป้ ว่ ยกำลังเผชญิ และเตม็ ใจทจ่ี ะชว่ ยให้
ผปู้ ่วยพน้ จากความเจบ็ ปว่ ยน้ัน ๆ ตวั อยา่ งเชน่ “สวัสดคี รบั วันน้ีไมส่ บายมากไหม มีอะไรให้หมอช่วยไดบ้ า้ ง”
การออกชอื่ ผปู้ ่วยถ้าจำได้ หรือชําเลอื งมองจากแฟม้ ประวตั ิกจ็ ะเป็นการสร้างความประทับใจใหผ้ ู้ปว่ ย อยา่ ง
หนง่ึ ท่ีพบบ่อยในคลนิ ิกผูป้ ่วยนอก คือ เมื่อผู้ป่วยเดินเข้ามเรายังคงก้มหนา้ ก้มตาเขียนบันทกึ ของผู้ป่วยก่อน
หน้านนั้ ทเี่ พ่งิ ตรวจเสรจ็ ไป ทำให้ผู้ป่วยมคี วามรสู้ กึ วา่ ไม่ให้ความสำคัญกบั ตนเทา่ ทค่ี วร ดังน้ันควรละสายตา
จากสง่ิ ทที่ ำ ประสานสายตาแสดงความพร้อมในการดูแลผู้ปว่ ย ซ่งึ การมีปฏสิ มั พันธร์ ะหว่างกนั รว่ มกับการ
ตรวจรา่ งกาย เมอ่ื บูรณาการกันจะทำให้เกิดความหมายและสมั พันธภาพระหว่างเราและผู้ป่วยในกระบวนการ
ดแู ลรกั ษา (Kugler and Verghese, 2010) ซ่งึ ต้องอาศัยการสือ่ สารที่มปี ระสิทธิภาพ (Effective
Communication) ทส่ี รา้ งโดย 4C ได้แก่ มารยาท (courtesy), ความสุขสบาย (comfort), การติดต่อ
ประสานงาน (connection), และ การยืนยัน/ รบั รอง (confirmation) ดงั ตวั อยา่ งต่อไปน้ี

มารยาท (courtesy)
- เคาะประตูก่อนเข้าห้องพักของผู้ป่วย
- เริ่มต้นด้วยการแนะนำตนเอง ไดแ้ ก่ ช่ือ นามสกลุ ถา้ เปน็ ไปได้ควรทักทายตามวฒั นธรรมท่ี

เหมาะสม เชน่ การจบั มือ การไหว้ ฯลฯ การพบกันครั้งแรกควรแจ้งบทบาหน้าที่ รวมถงึ สถานภาพของเรา
และวัตถปุ ระสงค์ในการพบกับผูป้ ่วย

- เรยี กช่ือผ้ปู ว่ ยอย่างเปน็ ทางการ ไดแ้ ก่ คุณ ... ฯลฯ ดที ส่ี ุด ยกเวน้ ในเด็กหรือวยั รนุ่ ระวัง
การเรยี กชือ่ ตน้ เว้นแตจ่ ะได้รับอนญุ าตจากผปู้ กครองหรือครอบครวั การเรียก “คุณยาย (granny) หรือท่รี ัก
(dear) อาจทำใหค้ วามเปน็ สว่ นตัวลดลงและเป็นการดหู ม่นิ ผ้ปู ่วย ถา้ กลวั ออกเสยี งผดิ ในการอ่านช่ือ เราก็เปิด
ประเดน็ วา่ “ขออภัยนะครบั ถ้าอ่านชอ่ื ผดิ ชว่ ยบอกด้วยนะครับ” “คุณ ... ใช่ไหมครับ” ถงึ ตรงน้ีสว่ นใหญ่
ผู้ป่วยกจ็ ะบอกชือ่ ท่ีถูกต้องให้เรา ซ่ึงเราก็ควรจะทวนซ้ำชอื่ ท่ถี ูกต้องอีกรอบหนึ่ง

- พบปะและทกั ทายคนอื่น ๆ ในหอ้ งด้วย เพื่อใหท้ ราบว่า ใครเป็นใคร? บทบาทและระดับ
ความสัมพันธ์กับผู้ปว่ ยเปน็ อย่างไร?

- ถามชอื่ ของผทู้ ่ีอย่ใู นห้องด้วยเพ่อื สรา้ งสัมพนั ธภาพและประโยชน์ดา้ นอื่น ๆ
- รกั ษาความลับในการซักประวัติ ดงั นนั้ ถ้ามีผู้ทีอ่ ยใู่ นห้องด้วยควรถามผปู้ ว่ ยวา่ จะสะดวกไหม
ถา้ บุคคลเหล่านัน้ อยใู่ นห้องขณะซักประวัติ
- ขณะอยู่ในห้อง ควรหลกี เลีย่ งการน่ังใกลล้ ูกบิดประตู

12

- กรณที ี่จดบันทึก ก็ควรบนั ทึกเทา่ ทจี่ ำเปน็ เฉพาะคำสำคัญทชี่ ว่ ยเตอื นความจำ ไม่ควรจด
บันทกึ ทุกถ้อยคำทเ่ี หน็ หรือได้ยนิ

- กรณที บ่ี ันทึกด้วยอเิ ลก็ ทรอนกิ ไฟล์ ควรบันทึกอยา่ งรวดเร็วโดยไมล่ ะสายตาจากผูป้ ว่ ย (ถา้
เป็นไปได้)

- แสดงความตอ้ งการ ความเห็น หรอื ขอร้องเพ่อื ความร่วมมอื ในการซักประวตั ดิ ้วยความ
สภุ าพ

- ขอใชเ้ วลาของผ้ปู ว่ ยให้เหมาะสมและรสู้ ึกสบายหลังจากได้รบั การตรวจรา่ งกาย ตามด้วย
การปรกึ ษาหารือกับผู้ป่วย การใหค้ วามคดิ เห็นหลงั จากตรวจรา่ งกาย ตามด้วยการอภปิ รายกับผปู้ ว่ ยจนถงึ
แผนการดแู ลจะได้รบั การพิจารณาซงึ่ บ่อยครัง้ อาจทำให้ไมส่ บายใจเท่าไหร่

ความสขุ สบาย (comfort)
- จัดให้ผูป้ ว่ ยอยใู่ นท่าท่สี บายทกุ ส่วน รวมถึงตวั เราเองด้วย
- เวน้ ระยะหา่ งพอสมควรเพ่อื ให้สะดวกในการสนทนาและสามารถประสานสายตาได้งา่ ย
- พยายามลดช่องว่างระหวา่ งเราและผู้ป่วย โดยการจดั สถานที่ใหเ้ หมาะสม
- รักษาความเป็นส่วนตัวของผ้ปู ่วย โดยการกั้นมา่ นใหเ้ รียบร้อย
- ปรบั อุณหภูมิห้องใหอ้ ยูใ่ นระดบั ท่สี บายหรือให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก เพราะถ้าอากาศเยน็

ผู้ป่วยจะหม่ ผ้าทำให้เราตรวจรา่ งกายไม่สะดวก
- ระวังการนัง่ ระหวา่ งผู้ป่วยกับแสงจา้ / หนา้ ต่าง จะทำใหผ้ ู้ป่วยตาพรา่ มวั ได้
- ควรอยู่ในห้องทมี่ คี วามเงยี บเพยี งพอ ปดิ โทรทัศนห์ รือวทิ ยุ
- พยายามไมใ่ ห้ผ้ปู ่วยเหน่อื ยลา้ เกินไปในการเยีย่ มผู้ป่วย ควรพจิ ารณาใหเ้ หมาะสมในแต่ละ

ครง้ั
การตดิ ต่อประสานงาน (connection)
- ควรมองทีผ่ ปู้ ่วย ประสานสายตาเพื่อแสดงความใสใ่ จอย่างมอื อาชพี
- ระวงั การใชภ้ าษา ควรใช้ภาษาท่ผี ู้ป่วยเข้าใจง่าย ไม่ควรใช้ศพั ทเ์ ทคนคิ ทางการแพทย์
- อยา่ พยายามอธิบายเพอื่ โน้มน้าวผ้ปู ่วย แต่ควรฟงั อย่างตั้งใจ และช่วยลำดับเหตกุ ารณต์ ่าง

ๆ ถา้ เป็นเหตุการณ์ท่มี ีลักษณะต่อเน่ืองกัน
- อย่าเอาวนิ ิจฉัยเดิมเปน็ ท่ีตงั้ และตอ้ งไม่พยายามซกั ประวตั ิเหมือนเดิม ซึ่งจะทำให้มองไม่

รอบดา้ น แตค่ วรมองในมติ ติ ่าง ๆ ทแี่ วดลอ้ มอาการหรอื อาการแสดงของผปู้ ว่ ย จะทำใหเ้ ราได้ข้อมูลเพิม่ มาก
ขึน้

- ควรสรปุ คร่าว ๆ เกี่ยวกบั ประวัตแิ ละผลการตรวจรา่ งกายในการศึกษาหรอื การตรวจครง้ั
ก่อน แล้วประเมินดวู ่าผ้ปู ่วยตดั สนิ ใจวา่ อย่างไร

- ระวังการถามนำ ควรถามคำถามปลายเปิด จะทำให้เราได้ข้อมลู ท่ีเฉพาะสำหรบั ปญั หาของ
ผู้ป่วยไดม้ ากกว่า

- ระวงั การตัดสนิ ข้อมูลใด ๆ ควรเปน็ การตดั สนิ ใจของผปู้ ่วย

13

- ควรสงบเงียบหรอื หยดุ พักเป็นระยะ ๆ อย่างเหมาะสมจะทำให้การซักประวัติมี
ประสทิ ธิภาพมากขน้ึ

- ควรยืดหยุ่นตามสถานการณ์ เพราะการยนื กรานตามหลกั การจะทำให้เกดิ ขอ้ จำกดั ในการ
ซักประวัติ คือ ผ้ปู ่วยอาจไม่ให้ขอ้ มูลทีส่ ำคัญก็ได้

- ควรให้ความสำคญั กับผ้ปู ่วยเหมอื นเปน็ ผู้รว่ มงานทต่ี ้องทำงานประสานกัน
- คน้ หาปัญหาของผู้ปว่ ยด้วยวาจา พฤตกิ รรม หรือภาษากาย เช่น พูดเรว็ พดู มาก หรือน้อย
เกินไป ฯลฯ
- คำนงึ ถงึ ประเด็นทแี่ อบแฝงหรือปญั หาใต้พรมจากประเด็นหลกั ดว้ ย
- อย่าละเลยสิง่ ที่พบหรือเบาะแสแมเ้ พยี งเล็กน้อย
- ปัญหาอาจเกิดจากหลายสาเหตุ ดงั น้ันอย่ารบี กระโจนลงไปสืบคน้ เพยี งสาเหตุเดียว
- อธบิ ายสิ่งทคี่ าดวา่ จะเป็นให้สมบรู ณ์ทีส่ ุด: ท่ไี หน? รุนแรงแค่ไหน? เป็นมานานเทา่ ไหร? ใน
บรบิ ทใด? อะไรที่ทำให้ปญั หาบรรเทาหรือเลวรา้ ยกว่าเดมิ ?
การยนื ยัน/ รับรอง (confirmation)
- ให้ผู้ปว่ ยสรุปประเดน็ ตา่ ง ๆ ทพี่ ูดคุยซักถามกนั มา เพ่ือให้เกดิ ความเข้าใจตรงกัน และลด
ความไม่มนั่ ใจของผู้ป่วย
- เปดิ โอกาสใหผ้ ูป้ ่วยซกั ถามในประเดน็ อื่น ๆ “มีอะไรอยากบอก/ อยากถามอีกไหม?”
- ถ้ามีคำถามใดทไี่ ม่สามารถอธบิ ายไดใ้ นระยะเวลาอนั สั้น ควรทำใหผ้ ปู้ ่วยมัน่ ใจว่าเราจะ
กลับมาดแู ลและให้คำตอบในคร้ังต่อไป
- ถา้ รตู้ ัววา่ เกดิ ข้อผดิ พลาด พยายามแก้ไข เพราะความจริงใจ (candor) เป็นส่ิงทสี่ ำคญั ท่ีจะ
ทำให้เกิดความไวว้ างใจแบบหุ้นส่วน ซึง่ เปน็ สง่ิ ทผี่ ูป้ ่วยสว่ นใหญ่ตอ้ งการ

2.2 เปดิ ประเด็นในการซักประวตั ิ (Establish the agenda for the interview)
ในการซักประวตั ิสง่ิ หนึง่ ท่ีควรทำ คอื ใหผ้ ู้ปว่ ยเลา่ เหตผุ ลความจำเปน็ ทีต่ ้องมารับการรกั ษา ซ่งึ
เรียกว่า “chief complaint” แต่ถา้ มี 3 หรอื 4 เหตผุ ลในการมาครัง้ นั้น เราเรียกว่า ปัญหาที่ทำใหม้ า
โรงพยาบาล (presenting problems) การเริม่ ซักประวัติควรใช้คำถามปลายเปิด ให้โอกาสผู้ปว่ ยเล่าถึงการ
เจ็บปว่ ยไดอ้ ยา่ งอิสระ โดยละเอยี ด เพราะจะได้ทราบปัญหาที่เป็นสำนวนของผปู้ ่วยเอง และสามารถสงั เกต
ปฏิกริ ยิ าท่ีผู้ป่วยมตี อ่ การเจ็บปว่ ยคร้งั น้ี อาจต้องถามแทรกเพอื่ ให้เข้าใจตรงกนั และคอยช่วยลำดบั ให้เรอ่ื งราว
เรียงลำดับการเกิดก่อนหลงั ได้ ตอ้ งทำความเขา้ ใจกบั ผู้ปว่ ย เพราะการใช้คำบางคำทำให้เกดิ การสับสนได้ เช่น
ผปู้ ว่ ยมาหาแพทยบ์ อกวา่ “เป็นลม” ถามโดยละเอียดจงึ ระบไุ ดว้ ่า “เป็นลม” คือ มีแก๊สในกระเพาะอาหาร
ไม่ใชเ่ ปน็ ลมหมดสติ การใหป้ ระวัติทถ่ี ูกต้องข้ึนอยู่กับระดบั การศกึ ษา สติปัญญา และบุคลิกภาพของผปู้ ว่ ย
ผปู้ ว่ ยทช่ี า่ งพดู มีการศึกษาดี อาจจะใหป้ ระวตั เิ กือบสมบูรณ์ที่สามารถนำมาวินจิ ฉยั โรคได้เลย โดยแทบจะไม่
ตอ้ งถามเพิ่มเติมแตต่ ้องระวงั ผปู้ ่วยบางคนท่มี คี วามรูเ้ รือ่ งศัพท์ทางการแพทย์ ร้เู ร่ืองตัวยาตา่ ง ๆ อาจจะบอกคำ
วินจิ ฉัยเปน็ ความเหน็ ของตนเองเลย ซึ่งจะทำให้การวินิจฉยั ไมถ่ ูกตอ้ งและมีความโน้มเอียงสูง บางครงั้ ผู้ป่วย

14

อาจมปี ัญหาซอ่ นเรน้ ทต่ี ้องการคำตอบแต่อาจบอกเราเพยี ง “มาตรวจร่างกายประจำป”ี ซึง่ เราอาจต้องถามต่อ
ว่ามอี าการผดิ ปกติอะไรไหม ซง่ึ อาจต้องแนะนำการตรวจเพมิ่ เติมเพื่อให้ไดค้ ำตอบท่ีผูป้ ่วยต้องการ อยา่ งไรก็
ตามผซู้ กั ประวัตคิ วรชว่ ยผ้ปู ว่ ยลว้ งเหตุผลความจำเป็นทงั้ หมดของตนเองออกมา รวมถงึ พฤติกรรมการจดั การ
ตนเองในการควบคุมความดันโลหิตหรอื ระดบั นำ้ ตาลในเลือด เพอ่ื ให้ได้ “เหตุผลจรงิ ๆ” (real reason) โดยใช้
เวลาใหม้ คี ่าท่ีสดุ จดั การเวลาให้เหมาะสม และลดความกงั วลในชว่ งท้ายของการสนทนา ถึงแม้ว่าการสนทนา
ในประเด็นตา่ ง ๆ จะส้ินสุดลง อาจมบี างเหตุการณ์เกดิ ขน้ึ ที่เรยี กวา่ “hand on the doorknob syndrome”
นั่นคือ ผู้ป่วยเอื้อมมือไปบดิ ลูกบดิ ทปี่ ระตแู ล้ว แต่ค่อยแยม้ ความในใจออกมา ซงึ่ สว่ นมากส่งิ สุดทา้ ยเหล่านเ้ี ปน็
สงิ่ ทที่ ำให้ผปู้ ่วยวิตกกังวลทีส่ ดุ ถา้ พบเหตุการณ์แบบนตี้ อ้ งใหค้ วามสนใจเป็นพิเศษ เชื้อเชิญให้น่ังอกี ครั้ง ใส่ใจ
ฟัง และสรุปประเดน็ สำคัญให้ได้ จะช่วยใหส้ ามารถจดั การปัญหาของผู้ปว่ ยได้อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ

ขอ้ มลู บางอยา่ งบางโอกาสอาจได้จากผ้ใู กล้ชิดทเี่ ห็นเหตกุ ารณ์ เชน่ ประวัติในผปู้ ่วยหมดสติ
ประวตั ิผูป้ ่วยลมบ้าหมู ประวัติผ้ปู ่วยเด็ก ประวัตผิ ้ปู ่วยหมดสติ ประวตั ผิ ปู้ ว่ ยท่มี ีอาการทางประสาท เป็นต้น
การให้ผู้ปว่ ยเลา่ ประวัตติ อ้ งให้เวลาแก่ผ้ปู ว่ ย ควรเป็นผู้ฟงั ทดี่ ี อย่าพดู แชง หรือพดู ตดั บทโดยไมม่ ีเหตุอันควร

3. ระยะดำเนนิ การ (Working) ประกอบดว้ ย
3.1 ชักชวนให้ผู้ปว่ ยเล่าเร่ืองราวท่เี ก่ยี วข้องกับการเจ็บป่วย (Invite the patient’s story)
ระยะนเี้ ป็นวาระหนึง่ ของการเจาะประเดน็ ต่าง ๆ การต่อรอง และเรียบเรยี งข้อมูล เราอาจตอ้ ง

ชวนใหผ้ ปู้ ว่ ยพดู ถึงสิ่งทีส่ ำคัญทส่ี ดุ ท่ีผปู้ ว่ ยคิดถงึ ในการเจบ็ ป่วยครัง้ นี้ อาจพูดว่า “เลา่ เก่ียวกบั เร่อื ง ... มากกวา่
นี้อีกหน่อยได้ไหมคะ” โนม้ นา้ วให้ผูป้ ่วยพดู ถึงการเจบ็ ปว่ ยด้วยคำพูดของตนเอง อย่าใช้คำถามปลายปดิ ระวงั
อคติกบั เร่ืองท่ีผูป้ ่วยเลา่ ด้วย ซ่ึงเราอาจคิดในใจว่า “ไมม่ ีอะไรใหม่เลย ... แต่อย่ารบกวนการเลา่ ของผปู้ ว่ ย”
นอกจากน้ันยงั ต้องใชท้ ักษะการฟงั ที่ดี ไดแ้ ก่ การโน้มตวั ไปขา้ งหนา้ เลก็ น้อย แสดงการรับรดู้ ้วยการพยกั หน้า/
ผงกหวั และอาจใช้คำแสดงวา่ เขา้ ใจ “อืม ..., อา ... ฮะ” “แล้วยังไงตอ่ ” หรือ “เข้าใจค่ะ” ซ่ึงจะโน้มนำให้
ผปู้ ่วยเล่าเร่อื งราวตา่ ง ๆ ต่อไปเรอื่ ย ๆ ทักษะนี้อาจต้องฝึกฝนให้ค้นุ ชินเพ่อื ติดตามความคิดของผปู้ ว่ ย การขัด/
รบกวนผปู้ ว่ ยตัง้ แตแ่ รก หรือถามคำถามท่เี ฉพาะเจาะจงจะทำใหผ้ ้ปู ว่ ยไม่มีโอกาสให้รายละเอียดทเ่ี ราคน้ หาอยู่
และผปู้ ว่ ยก็จะไม่ย้อนกลับมาบอกเราด้วย แต่ถ้าผปู้ ่วยเริ่มเลา่ เรอื่ งการเจ็บป่วยใหเ้ ราฟงั เราควรใช้คำถาม
ปลายปดิ ลวงลงไปในปญั หาให้ลกึ มากยง่ิ ขึ้น อย่าลมื ใช้คำถามทีเ่ ราเตรียมมาก่อนพบผู้ป่วยประกอบดว้ ย จะทำ
ใหเ้ ราไดข้ ้อมลู ครบถ้วนตามต้องการ

3.2 จับประเดน็ และตอบสนองตามอารมณ์ (Identify and respond to emotional
clues)

ความลำบากใจเกดิ ขึ้นไดเ้ สมอเมอ่ื เจ็บป่วย ซง่ึ ผปู้ ว่ ยจะมาหาเราในภาวะฉกุ เฉนิ ตามความกงั วล
ของตวั เองมีอยู่เพียงประมาณ 75% นอกน้ันอาจจะบอกเราตรง ๆ หรือไม่ก็ได้ อาจบอกเราด้วยวาจาหรือภาษา
กาย และแสดงออกทางความคิดหรืออารมณ์ ถา้ เราสามารถรบั รูแ้ ละตอบสนองอารมณ์เหล่านี้ได้ จะช่วยสรา้ ง
สัมพันธภาพ ทำใหเ้ ราเขา้ ใจถึงความเจ็บปว่ ย และชว่ ยให้ผู้ป่วยพงึ พอใจมากข้นึ ด้วย

15

ถ้าผู้ป่วยเล่าเร่ืองราวของการเจบ็ ปว่ ยไปเรื่อย ๆ โดยไม่มจี ดุ เน้น เราสามารถเจาะใหต้ รงประเดน็
ตามบริบทของผูป้ ่วย โดยการถามคำถามเหลา่ น้ี คือ “มันมีผลอยา่ งไร” “คุณจดั การมันอย่างไร” หรอื “คุณ
รสู้ ึกอย่างไรกบั สงิ่ ทีเ่ กิดขึน้ ” หรืออาจเร่มิ ดว้ ย “หลายคนจะสบั สนกบั สง่ิ ต่าง ๆ เหลา่ น้ี” แล้วค่อย ๆ ตะล่อม
ถามถงึ ความรู้สกึ ของผปู้ ว่ ยเก่ียวกบั ผลของการเจบ็ ป่วยท่ีเกิดข้นึ ในชีวติ เขา หรืออาจสงั เกตสิ่งตา่ ง ๆ ทผี่ ปู้ ่วย
มองการเจบ็ ปว่ ยก็ได้

แนวทางท่ีผปู้ ่วยมองการเจ็บปว่ ย
- อธบิ าย แสดงอารมณ์ ความคาดหวงั และผลกระทบของการเจบ็ ปว่ ยไดอ้ ยา่ งตรงไปตรงมา
- แสดงความรู้สึกเก่ียวกับการเจบ็ ป่วย
- อธิบายหรือแสดงความเข้าใจเกี่ยวกบั อาการของตนเอง
- เน้นเป็นคำพดู เช่น การพูดทวนความ การสะทอ้ นความคิด ฯลฯ
- แชร์ประสบการณ์ของตวั เอง
- แสดงออกทางพฤตกิ รรมทบ่ี ่งบอกว่าไม่ได้เป็นไปตามที่คิด ไมพ่ งึ พอใจ หรือไม่ประสบความสำเร็จ

เช่น การตอ่ ต้านคำแนะนำ การไปสถานบรกิ ารอื่น หรอื การกลบั มาก่อนกำหนดนัด

ถา้ เราได้ยินว่าผู้ปว่ ยเรม่ิ บอกเล่า/ แสดงอารมณ์เก่ยี วกับการเจ็บปว่ ย เราควรตอบสนองอยา่ ง
รวดเรว็ วธิ ีการตอบสนองทเ่ี หมาะสม ไดแ้ ก่ การสะท้อนคิด การพูดสิง่ ที่เหมอื นกัน และการปอ้ นกลบั เพอื่ เปน็
การสนบั สนุนหรอื เป็นห้นุ ส่วนในการจัดการกับการเจบ็ ปว่ ยนนั้ อาจใชเ้ ทคนิค “NURSE” ซง่ึ ประกอบด้วย

Mnemonic; NURSE
N-Naming >> “คดิ วา่ เปน็ เสียงสะท้อนจากประสบการณ์”
U-Understanding/ Legitimization >> “มันเป็นส่ิงทีเ่ ขา้ ใจได้ไหม/ มันถูกต้องตามหลกั การ

ไหม”
R-ReSpecting >> “เราทำไดด้ กี วา่ ทคี่ นอ่ืนทำได้ไหม”
E-Eliciting >> “เราจะลว้ งมันอย่างไร”

3.3 เจาะประเด็นและทำให้ประเดน็ ต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้องกับสุขภาพของผู้ป่วยชดั เจน
(Expand and clarify the patient’s story)

หลังจากทีเ่ ราได้เร่ืองราวตา่ ง ๆ ของผปู้ ่วยดว้ ยวิธีการต่าง ๆ ท้งั ทางอ้อม และการเจาะประเด็น
ต่าง ๆ ในประสบการณ์ชวี ิตการเจ็บปว่ ยมากเทา่ ทจี่ ะเป็นไปไดแ้ ลว้ การแนะใหผ้ ปู้ ่วยอธิบายเกย่ี วกับประวตั ิ
การเจบ็ ปว่ ยดูเหมอื นจะเปน็ เร่อื งท่สี ำคัญท่ีสุด ควรได้ข้อมูลท่ีชดั เจนเกี่ยวกบั ลักษณะอาการ รวมถงึ บรบิ ท ส่ิง
ท่เี กี่ยวข้อง และลำดับเหตกุ ารณ์ ซง่ึ เราสามารถซักประวัตลิ ักษณะอาการทส่ี ำคญั ต่าง ๆ ไดด้ งั นี้

16

Mnemonic; OLD CART
O-Onset; เริม่ เปน็ เม่อื ไหร่? ตอนที่เปน็ อยูท่ ี่ไหน? ปัจจัยแวดลอ้ ม กิจกรรมทีท่ ำ การตอบสนองทาง

อารมณ์ หรือสิ่งแวดลอ้ มทีเ่ ก่ียวขอ้ งกบั การเจบ็ ปว่ ย
L-Location; อยู่ตรงไหน? (ของรา่ งกาย) ลาม/ ร้าวไปไหนหรือไม่ (radiate)?
D-Duration; เป็นครั้งสุดท้ายเมอ่ื ไหร?่
C-Characteristic Symptoms; ลักษณะเปน็ อยา่ งไร? รนุ แรงไหม ... อย่างไร? (อาการปวดให้

ประเมนิ ด้วย Pain scale >> 1-10 คะแนน)
A-Associated Manifestations; มีอาการอืน่ ร่วมด้วยหรือไม่?
R-Relieving/ Exacerbating Factors; มีอะไรท่ีทำให้อาการดขี ึน้ / แย่ลงหรือไม?่
T-Treatment; ไดร้ ับการรักษาอะไรมาแล้วบา้ ง? ผลเปน็ อย่างไร?

Mnemonic; OPQRST
O-Onset; เริ่มเป็นเมือ่ ไหร?่ ตอนทีเ่ ปน็ อยู่ที่ไหน? ปจั จัยแวดล้อม กจิ กรรมทีท่ ำ การตอบสนองทาง

อารมณ์ หรือส่ิงแวดลอ้ มท่ีเกย่ี วขอ้ งกับการเจ็บปว่ ย
P-Palliating/ Provoking Factors; มีอะไรที่ทำให้อาการดีขึน้ / แยล่ งหรือไม?่
Q-Quality; ลกั ษณะเปน็ อยา่ งไร? รนุ แรงไหม ... อยา่ งไร? (อาการปวดให้ประเมนิ ดว้ ย Pain scale

>> 1-10 คะแนน)
R-Radiation; ลาม/ รา้ วไปไหนหรือไม่?
S-Site; อย่ตู รงไหน? (ของรา่ งกาย)
T-Timing; เปน็ ครั้งสดุ ท้ายเมอื่ ไหร่?
U-Understand/ Beliefs (client’s); การรับรูข้ องผู้ปว่ ย - ผ้ปู ่วยรบั รูอ้ ยา่ งไร? เขา้ ใจอย่างไร?

เชอ่ื อยา่ งไร? อะไรทำให้เจบ็ ป่วย?

Mnemonic; LODCRAFTES
L-Location; อยูต่ รงไหน? (ของรา่ งกาย) ลาม/ ร้าวไปไหนหรอื ไม่ (radiate)?
O-Onset; เรมิ่ เปน็ เม่อื ไหร่?
D-Duration; เป็นครัง้ สุดทา้ ยเม่ือไหร?่
C-Characteristic; ลักษณะเป็นอย่างไร?
R-Relative Symptoms; มีอาการอน่ื รว่ มดว้ ยหรือไม่?
A-Affluence/ Alleviating & Aggravating Factors; มอี ะไรท่ีทำให้อาการดีข้นึ / แย่ลง

หรือไม่?

17

F-Frequency; เป็นบ่อยไหม?
T-Treatment; ได้รับการรักษาอะไรมาแล้วบา้ ง? ผลเป็นอยา่ งไร?
E-Exposure, Event, Environment & Setting; สมั ผสั อะไรหรือไม?่ ตอนท่ีเป็นอยู่ท่ีไหน?
ปัจจยั แวดล้อม กจิ กรรมทีท่ ำ การตอบสนองทางอารมณ์ หรือสงิ่ แวดลอ้ มทีเ่ กี่ยวข้องกบั การเจ็บป่วย
S-Severity/ Disability; รนุ แรงไหม ... อยา่ งไร? (อาการปวดให้ประเมนิ ดว้ ย Pain scale >> 1-
10 คะแนน)

Mnemonic; WHAT’S UP
W-What & Where; เปน็ อะไร? อยตู่ รงไหน? (ของรา่ งกาย)
H-How; ลักษณะเปน็ อย่างไร?
A- Affluence/ Alleviating & Aggravating Factors; มอี ะไรท่ีทำให้อาการดีข้นึ / แยล่ ง

หรอื ไม?่
S- Severity/ Disability; รุนแรงไหม ... อย่างไร? (อาการปวดให้ประเมินด้วย Pain scale >> 1-

10 คะแนน)
U-Useful other data; ข้อมลู ทเ่ี ป็นประโยชนอ์ ่ืน ๆ >> มอี าการอ่ืน ๆ ร่วมด้วยหรือไม่? ตอนที่

เปน็ อยทู่ ี่ไหน? ปัจจยั แวดลอ้ ม กิจกรรมที่ทำ หรอื ส่ิงแวดล้อมทีเ่ กย่ี วข้องกับการเจบ็ ป่วย
P-Patient’s perception; การรบั รู้ของผู้ปว่ ย - ผปู้ ว่ ยรับรอู้ ยา่ งไร? อะไรทำใหเ้ จบ็ ปว่ ย?

Mnemonic; CLIENT OUTCOMES
C-Character of the symptoms; (intensity & severity) ลักษณะเปน็ อยา่ งไร? รนุ แรงไหม

... อยา่ งไร? (อาการปวดให้ประเมินด้วย Pain scale >> 1-10 คะแนน)
L-Location & Radiation; อยู่ตรงไหน? (ของร่างกาย) ลาม/ รา้ วไปไหนหรือไม่ (radiate)?
I-Impact of the symptoms/ illness on patient’s activities of daily living (ADL)

and quality of life (QoL); มผี ลกระทบต่อการดำรงชีวิตหรอื คุณภาพชีวติ หรอื ไม?่
E-Expectation (client’s) of the caregiving process; คาดหวงั อยา่ งไรตอ่ กระบวนการดูแล

รักษา?
N-Neglect or abuse, อาการทางร่างกายและจิตใจท่ที ำใหผ้ ปู้ ่วยไมส่ ามาถปฏิบตั ิหน้าท่ีของ

ตวั เองได้
T-Timing; (onset, duration, and frequency of symptoms) เริม่ เปน็ เมื่อไหร่? เป็นครั้ง

สดุ ท้ายเม่ือไหร?่ เปน็ บ่อยไหม?
O-Other symptoms; มีอาการอ่ืนร่วมดว้ ยหรือไม่?
U-Understand/ Beliefs (client’s); การรบั รขู้ องผู้ป่วย - ผูป้ ว่ ยรับรอู้ ย่างไร? เข้าใจอย่างไร?

เชื่ออย่างไร? อะไรทำให้เจบ็ ป่วย?

18

T-Treatment; ไดร้ ับการรักษาอะไรมาแลว้ บ้าง? ผลเป็นอยา่ งไร?
C-Complementary alternative medicine (CAM); ใชก้ ารแพทย์ทางเลือกหรือไม่ ท้ัง
สมนุ ไพร การนวด อบ ประคบ ฯลฯ
O-Options for care; มที างเลอื กอน่ื ๆ ในการรักษาท่ีสำคัญสำหรับผู้ปว่ ยหรอื ไม?่
M-Modulating factors; มีอะไรท่ีทำให้อาการดีขนึ้ / แย่ลงหรือไม่?
E-Exposure; สมั ผสั อะไรหรือไม่ เช่น เชอื้ โรค พษิ หรือสารเคมีต่าง ๆ
S-Spirituality; ความเชอ่ื ทางจิตวญิ ญาณ คุณคา่ และความตอ้ งการเป็นอย่างไร?

ถา้ เป็นไปได้ในการบนั ทึกควรใช้คำพดู ของผปู้ ่วย (use the patient’s word) แตต่ อ้ งแน่ใจว่า
เข้าใจความหมายของคำเหลา่ น้ันอยา่ งชดั เจน อย่าใชค้ ำศัพทเ์ ทคนิคต่าง ๆ เพราะจะทำใหผ้ ปู้ ว่ ยสบั สนและ
ลังเลใจ ระวังการใชค้ ำศพั ท์เทคนิค เช่น “เลา่ ประวัตใิ ห้ฟงั หนอ่ ย” และ “เรม่ิ ทำงานของคุณได้แลว้ ” แต่เรา
สามารถเปดิ ประเด็นใหผ้ ปู้ ่วยค่อย ๆ เล่าถงึ อาการเจ็บป่วยได้ โดยอาจพูดว่า “เลา่ อาการใหฟ้ งั ได้ไหมครับ?”
หรือ “ถา้ เราตรวจเราก็จะรู้วา่ เกดิ จากอะไร อะไรเปน็ สาเหตุทำใหป้ ว่ ย แตก่ ่อนอน่ื อยากให้เล่าอาการทเี่ ป็น
กอ่ น จึงจะตรวจได้ถูกต้อง”

การลำดบั เหตกุ ารณ์และช่วงเวลาท่ีเกดิ อาการตง้ั แต่เรม่ิ เป็นจนมาถึงโรงพยาบาลเป็นสิ่งท่ีสำคัญ
จะทำให้นา่ เชื่อถือ การซักประวตั โิ ดยให้ผู้ปว่ ยเล่าลำดบั เหตุการณ์อาจบอกวา่ “ช่วยเล่าถึงอาการที่เปน็ ต้ังแต่
เริม่ แรก หรอื คร้งั สุดทา้ ยที่รู้สึกวา่ ปกติ ตามลำดับนะคะ” แลว้ ใชค้ ำถามกระตนุ้ ใหผ้ ู้ป่วยเล่าตอ่ “แลว้ อย่างไร
ต่อคะ” เพอ่ื เติมเตม็ รายละเอียดของข้อมูลทีเ่ ฉพาะ โน้มนำใหผ้ ้ปู ว่ ยเล่าต่อไปเร่ือย ๆ ดว้ ยเทคนคิ การตง้ั คำถาม
ตา่ ง ๆ ใช้คำถามปลายปิดในการล้วงข้อมลู ทผ่ี ู้ป่วยไมไ่ ด้นึกถึงแตเ่ ป็นข้อมลู ทีส่ ำคญั ท่เี กี่ยวขอ้ งกับการเจบ็ ปว่ ย
โดยทวั่ ไปการซักประวตั ิดว้ ยคำถามปลายเปดิ จะชว่ ยใหก้ ารสนทนาไปข้างหนา้ หรอื ย้อนกลับมาได้ เป็นการเปดิ
ชอ่ งสำหรบั การถามคำถามปลายปิด หรอื ถามคำถามปลายเปิดในประเด็นอ่นื ต่อไป หรือโยนประเดน็ ซกั ถามไป
ให้ผู้ปว่ ยไดค้ ิดถึงประเดน็ อื่น ๆ ของการเจ็บปว่ ยด้วยตนเองอีกครั้งหนงึ่

3.4 เชอื่ มโยงและทดสอบสมมตฐิ าน (Generate and test diagnostic hypotheses)
ทักษะในการใหเ้ หตุผลในการวนิ ิจฉยั พฒั นาเพิ่มข้นึ เร่ือย ๆ ตามประสบการณ์ เม่ือเราได้ประวัติ
ผปู้ ่วยมาเรากต็ ้ังสมมติฐานและทดสอบปญั หาตา่ ง ๆ ของผู้ปว่ ยว่าเป็นไปตามสมมตฐิ านหรอื ไม่ หลักการ
พื้นฐานคอื ตอ้ งระบสุ าเหตุและรายละเอยี ดอาการของผูป้ ว่ ย ประเมนิ กระบวนการท่ีทำใหเ้ กิดปัญหาและสร้าง
เปน็ ขอ้ วนิ ิจฉัยปัญหาข้ึนมา
บางคนอาจมองกระบวนการของการสืบคน้ ปญั หาเป็นเหมือนรปู กรวย (the cone) ซ่งึ หมายถงึ
การหาข้อมูลโดยรอบที่เกี่ยวข้องกบั ปัญหาของผปู้ ว่ ยก่อน แลว้ คอ่ ยเจาะลกึ ลงในรายกล่มุ อาการหรือสาเหตุของ
ปัญหา และเพ่ือให้ครอบคลุมทุกประเดน็ ก็ต้องทบทวนตามระบบดว้ ย รายละเอียดังภาพที่ 2

19

ภาพที่ 4 The cone; the process of evoking a full description of the symptom.

แต่ละกล่มุ อาการจะมีเส้นทาง “cone” เป็นของตัวเอง ซึ่งเราสามารถบนั ทึกไวไ้ ดใ้ นประวัติการ
เจ็บป่วยในปจั จุบนั

คำถามที่ดจี ะชว่ ยนำเราไปสูก่ ารตรวจรา่ งกายในตำแหน่งท่ีถกู ต้องและเหมาะสม ซ่ึงจะทำให้พบ
หลกั ฐานวา่ สมมติฐานในการวินิจฉยั โรคท่ีเราตั้งไว้ถกู ต้องหรือไม่ เป็นความท้าทายเพราะการตั้งคำถามดี
นอกจากจะทำให้การซักประวตั ิตรงประเดน็ แลว้ ยงั เข้าใจเก่ียวกบั การรับรู้ของผ้ปู ว่ ยได้อย่างถอ่ งแท้ นำมาสู่
การออกแบบชดุ ความรู้ที่จะถ่ายทอดสง่ิ ทท่ี ำให้ผูป้ ่วยมีสขุ ภาวะ และเป็นการสร้างสมั พนั ธภาพท่ดี ดี ว้ ย

ในขั้นตอนนน้ี อกจากจะต้องทดสอบสมมตฐิ านแล้วควรต้อง สรา้ งความเขา้ ใจเกย่ี วกับประเดน็
ปัญหาด้วย (Create a shared Understanding of the Problem) การดูแลท่มี ีประสทิ ธภิ าพจะต้องทำ
ใหผ้ ู้ป่วยเขา้ ใจอาการของตนเองอย่างลกึ ซง้ึ ถึงแม้ว่ารูปแบบชว่ ยจำจะช่วยใหเ้ ราเขา้ ใจผลกระทบของอาการ
ทงั้ หมดต่อผูป้ ว่ ย แต่รูปแบบท่ีนำมาซักประวตั ิก็ยงั คงให้ข้อมูลท่ีมีมมุ มองระหว่างผูซ้ ักประวตั ิและผู้ป่วยท่ี
แตกต่างกนั เช่น

Diseases ในความหมายของผ้ซู กั ประวัตอิ าจหมายถึงอาการ ที่จะนำไปสู่การวนิ จิ ฉยั โรค
Illness อาจเป็นการอธบิ ายวา่ ผู้ปว่ ยมปี ระสบการณ์ในการเจบ็ ปว่ ยอย่างไร ซ่งึ รวมถงึ ผลกระทบ
จากการเจ็บป่วย หนา้ ท่ี และความรสู้ กึ เมื่อเทยี บกับการมสี ขุ ภาวะ ท้งั นเี้ กิดจากหลายปจั จยั ทง้ั บุคลกิ สว่ นตวั
ก่อนหนา้ น้ี สุขภาพของครอบครวั ผลกระทบของอาการต่อชวี ิตประจำวัน มุมมองของปัจเจกบุคคล และ
วิธกี ารแกป้ ัญหา และความคาดหวังตอ่ การดูแลรักษาพยาบาล สง่ิ ตา่ ง ๆ ทก่ี ลา่ วมาเปน็ มุมมองทจ่ี ะต้อง
ออกแบบการประเมนิ และการรักษา ดงั นน้ั การซักประวตั ิที่ดีจงึ เป็นสง่ิ ท่ีสำคญั ท่ีทำให้แผนการดแู ลสอดคลอ้ ง
กนั ระหว่างมุมมองที่แท้จริงของผปู้ ่วยและของผูร้ กั ษาพยาบาล
อาการสำคญั อาจทำใหเ้ รามองวา่ การเจ็บคอเป็นปัญหาในการกิน ในขณะที่ผู้ป่วยอาจให้
ความสำคญั เพราะเจ็บคอ กลืนลำบาก ทำใหต้ ้องขาดงาน หรอื ตอ้ งนอนพักรักษาตวั ในโรงพยาบาลด้วยโรค

20

ทอนซิลอักเสบ ในขณะที่เรามองเฉพาะหลักฐานที่ต้องนำมาแยกโรคระหวา่ ง “streptococcal pharyngitis”
กับโรคอ่นื ๆ ทีเ่ ป็นสาเหตุของคออกั เสบ หรอื ให้ความสนใจกับการแพ้ยาปฏชิ วี นะกลุ่มเพนนิซลิ ลนิ แต่
เพ่อื ทจ่ี ะให้เราเข้าใจความคาดหวงั ของผปู้ ่วย นอกจากต้องไลเ่ รียงลำดบั เพื่อให้เข้าใจอาการของการเจ็บปว่ ย
ตามการรับร้ขู องผปู้ ่วยแล้ว ยังต้องยึดผปู้ ่วยเปน็ ศนู ย์กลาง คำถามท่ชี ่วยในการทำความเขา้ ใจมุมมองของผู้ปว่ ย
มี 4 คำถาม ดังนี้คือ

MNEMONIC; FIFE
- คุณมคี วามร้สู ึกอยา่ งไร ... เกีย่ วกับการเจ็บป่วย? (Feeling, Fear/ Concern)
- คุณคดิ ว่าธรรมชาติ/ สาเหตขุ องการเจบ็ ปว่ ยเกิดจากอะไร? (Idea)
- การเจบ็ ปว่ ยคร้ังนส้ี ง่ ผลกระทบตอ่ การทำงานและชีวิตของคุณอยา่ งไร? (Function & Life)
- คณุ คาดหวังอย่างไรต่อการรักษาในคร้ังน?้ี (Disease, Clinician, Health care) (ข้นึ กบั

ประสบการณ์ของผ้ปู ว่ ยและครอบครัว)

3.5 ตอ่ รองแผน นน่ั รวมถึง การประเมนิ การรักษา การให้สุขศกึ ษา และ การสนบั สนนุ การ
จดั การตนเองและการป้องกัน (Negotiate a plan, including further evaluation, treatment,
education and self-management support and prevention)

เม่ือเรียนร้เู ก่ียวกับการเจ็บป่วยแล้วพยาบาลและผูป้ ่วยตอ้ งชว่ ยกนั สรา้ งภาพรวมของการ
เจ็บป่วยคร้งั น้ี ท้งั น้เี พ่ือนำไปออกแบบแผนการดูแลรักษา ไดแ้ ก่ การตรวจร่างกาย การส่งตรวจทาง
ห้องปฏิบัติการ หรือการปรึกษาผ้เู ช่ียวชาญด้านตา่ ง ๆ และ แผนการพยาบาล ซงึ่ เปน็ บทบาททีส่ ำคญั ในการ
สรา้ งสมั พันธภาพระหวา่ งเราและผู้ปว่ ย

4. Termination (ปดิ การซักประวตั ิ)
4.1 สรุปประเด็นสำคัญ
กอ่ นสนิ้ สุดการซักประวตั ิควรเปดิ โอกาสใหผ้ ้ปู ว่ ยซกั ถาม ทำใหม้ น่ั ใจว่าผูป้ ว่ ยเข้าใจแผนการดูแล

ร่วมกนั (mutual plans) ตวั อย่างเชน่ ก่อนท่ีจะเก็บข้าวของและลุกออกจากห้องไป อาจพูดว่า
“คงสมควรแก่เวลาแลว้ เราคงต้องหยุดการสนทนากนั มีประเด็นคำถามอะไรไหม เพ่ือใหเ้ รา

ดแู ลรกั ษากนั ได้อยา่ งครอบคลมุ ”
“มอี ะไรท่อี ยากจะบอกอีกไหม”
“มีคำถามท่ีอยากถามหรอื ไม่ อย่างไร”

เนอ่ื งจากผู้ปว่ ยบางรายอาจเก็บคำถามหรือข้อมูลทส่ี ำคัญไว้ เพราะไมแ่ น่ใจ หรือไม่กล้าบอก เมื่อ
ถูกกระตุ้นชว่ งสุดทา้ ยจงึ ตดั สินใจพดู

21

4.2 อธิบายแผนการดแู ลรกั ษา
นอกจากน้กี ่อนจบการซักประวตั ิ ควรสรปุ ประเดน็ ปญั หาให้ผปู้ ่วยทราบและสอบทานข้อมูลว่า
ตรงกับผซู้ กั ประวตั ิหรอื ไม่ ทบทวนแผนการดูแลรักษาและการนัดตรวจติดตาม ซงึ่ จะเป็นประโยชนส์ ำหรับ
ผ้ปู ่วยอยา่ งมาก ตวั อยา่ งเช่น “ดังนั้น คุณควรรับประทานยาตามที่ได้อธิบายไป ตรวจน้ำตาลในเลือดวันละคร้ัง
และกลบั มาพบกนั ตามนัดในอีก 4 สปั ดาหถ์ ดั ไป” “มีคำถามอะไรอกี ไหม”
ซ่ึงทำให้ผปู้ ว่ ยมีโอกาสถามคำถามสดุ ท้ายในช่วงท้ายของการสนทนา ถ้าเป็นคำถามที่ไม่ใช่ปัญหา
ท่ีเส่ียงต่อการเกดิ อนั ตราย กส็ ามารถปิดการซกั ประวัติ และนัดพบผู้ปว่ ยตามเวลาท่กี ำหนดได้

เทคนคิ การซกั ประวตั ิ (Interviewing Technique)

การสง่ เสริม (Facilitation) เปน็ การใชก้ ริ ิยาท่าทางหรือคำพูด ส่งเสรมิ ใหผ้ ู้ป่วยเลา่ ประวตั กิ าร
เจ็บป่วยตอ่ ไปเร่ือย ๆ ตวั อย่างเชน่

“แล้วอย่างไรต่อคะ”
“ครับ”
“เล่าต่อสิครับ”
“หลังจากน้นั แล้วเปน็ อย่างไรครับ”
ขณะท่ผี ูป้ ว่ ยเล่าประวัติ ผซู้ ักประวัตอิ าจใชก้ ารผงกศีรษะเป็นเชงิ รบั รู้ เพือ่ สนบั สนนุ ให้ผู้ปว่ ยเล่าต่อ
แตร่ ะวงั อย่าให้เข้าใจผดิ วา่ เป็นการแสดงความเหน็ ชอบต่อทกุ ส่งิ ทุกอย่างทีผ่ ้ปู ่วยเล่ามา

การทำใหข้ อ้ มูลกระจา่ งชดั (Clarification) พยายามทำใหข้ ้อมูลทีผ่ ปู้ ่วยบอกเลา่ ให้กระจา่ งชัด
และเข้าใจตรงกันระหวา่ งผูซ้ กั ประวัติและผ้ปู ่วย

“ที่เล่าว่ามอี าการชักนั้น มลี ักษณะอยา่ งไร”
“ท่เี ลา่ มา หมายความว่าอย่างไร”

การสะท้อนกลับ (Reflection) เป็นการทวนสว่ นทา้ ยของคำพูดของผปู้ ว่ ย เพือ่ ส่งเสริมใหผ้ ู้ป่วยให้
ขอ้ มูลท่ลี ะเอียดมากขน้ึ หรอื อธบิ ายความรูส้ กึ ของตนเองเพิ่มขึน้ เช่น

ผปู้ ว่ ย “อาการเจ็บหนา้ อกเป็นมากขน้ึ แลน่ เหมือนไฟช็อต”
ผซู้ ักประวัติ “แลน่ เหมือนไฟช็อต ... เปน็ อยา่ งไรคะ”
ผปู้ ่วย “ครับ รู้สึกเจบ็ แล้วแผล่ ามออกจากหน้าอกถงึ ตน้ แขนซ้ายดา้ นใน มนั เจบ็ มากจนคิดวา่
ต้องตายแน่ ๆ”
ผู้ซักประวตั ิ “คิดว่าต้องตาย ... เลยหรือ”
ผ้ปู ว่ ย “ใชค่ รบั มนั เจบ็ มากอย่างทไี่ ม่เคยเจบ็ มาก่อนเลยในชวี ติ ”

22

การเผชญิ หนา้ (Confrontation) เป็นการชใี้ ห้ผู้ป่วยรบั รู้ถงึ คำพดู หรอื พฤติกรรมของตนเอง หรือ
ถามยำ้ กรณีท่ีข้อมูลทใี่ ห้มาไม่ตรงกนั / ไมส่ อดคล้องกนั คำถามประเภทน้ีควรหลกี เลย่ี ง แตถ่ ้าจะใช้ก็ต่อเมื่อ
สรา้ งความคุ้นเคยกับผูป้ ว่ ยแล้ว

“วนั น้ีดูคุณรสู้ ึกหอบเหนือ่ ยมากกวา่ ปกตินะคะ”
“คณุ บอกวา่ ไมเ่ อามาใส่ใจ แต่สังเกตวา่ คุณน้ำตาไหลนะคะ”

การแปลความหมาย (Interpretation) เปน็ การเผชญิ หน้าแบบหนึ่ง แต่อาศัยการคาดคะเน
(interference) จากส่งิ ทผ่ี ูป้ ่วยบอกเลา่ มากกว่าจากการสังเกตทา่ ทางของผู้ปว่ ย

“ดเู หมอื นวา่ อาการเวยี นหวั ของคุณจะเป็นมากขึ้นเวลาเปล่ียนท่านะคะ”
“ฟงั ดูคล้ายกับคุณจะไม่ค่อยชอบงานใหมข่ องคุณนะคะ”

การสนับสนนุ (Support) ชี้บง่ ถึงความสนใจและความเข้าอกเข้าใจผูป้ ว่ ย เวลาท่ีควรใชค้ ือเมื่อ
ผ้ปู ่วยแสดงความรู้สกึ ทีร่ ุนแรงออกมา คำถามทจ่ี ัดอยู่ในประเภทนไ้ี ดแ้ ก่ การให้ความมน่ั ใจ (Reassurance)
และการแสดงความเข้าใจถึงความร้สู ึก (Empathy)

- การให้ความม่ันใจ (Reassurance) เพ่อื ใหผ้ ู้ป่วยทราบวา่ ผู้ซกั ประวตั ิเขา้ ใจในส่ิงท่ีผ้ปู ว่ ยพด
หรือแสดงออกมา หรอื เป็นการแสดงว่าผู้ซักประวัติเหน็ ชอบกบั ส่ิงทผ่ี ูป้ ว่ ยทำหรือที่ผ้ปู ว่ ยคิด

“การเดนิ ของคุณดีขนึ้ เร่ือย ๆ”
“ดีใจนะ ... ทีค่ ณุ ตดั สินใจมารับการตรวจเพิม่ เติม”
- การแสดงความเข้าใจถึงความรสู้ ึก (Empathy) เปน็ การแสดงการรับร้ถู ึงความรสู้ กึ ของผปู้ ว่ ย
โดยปราศจากข้อวิพากษ์วจิ ารณ์
“เป็นที่ทราบกันดวี ่ายานีม้ ีรสขมและเฝื่อน ... ทำใหร้ บั ประทานยาก”
“การท่ีคนใกล้ชดิ ต้องมาเสียชีวติ ไป ... เปน็ ส่งิ ที่ยากจะยอมรบั ได”้
“คณุ คงจะร้สู ึกเสยี ใจมาก”
“เราเขา้ ใจความรูส้ ึกของคุณค่ะ ถา้ คุณอยากร้องไห้ ... ก็ร้องเถอะ ... เราเข้าใจคะ่ ”

การเงยี บ (Silence) เทคนิคนีช้ ่วยใหผ้ ้ปู ว่ ยเลา่ ประวัติ โดยไม่ถูกขัดจังหวะ บางคร้ังจะทำใหผ้ ู้ป่วย
ท่ีเลา่ ประวัตเิ กนิ จริง หรือผดิ เพ้ยี นไปจากท่คี วร หรอื เลา่ ไม่หมด การเงียบจะทำใหผ้ ู้ป่วยรู้ตัวและปรับเปลยี่ น
ข้อมลู ให้ใกล้เคียงกับความเป็นจรงิ มากขึน้ ถา้ ผปู้ ว่ ยหยุดเล่าหรือเงียบไป การเงยี บจะกระต้นุ ใหผ้ ปู้ ่วยเล่าต่อ
หรอื ในกรณีท่ผี ู้ปว่ ยร้องไหห้ รือแสดงอารมณ์รุนแรง การเงียบพรอ้ มกบั โน้มตัวไปทางผ้ปู ่วยหรือผงกศรี ษะ จะ
แสดงวา่ ผู้ซกั ประวตั ิกำลงั ตง้ั ใจฟงั กเ็ ปน็ การแสดงออกที่เหมาะสม

23

เทคนิคการต้งั คำถาม (Questioning Techniques)

คำถามที่ใชค้ วรเป็นคำถามท่ชี ดั เจนและเขา้ ใจงา่ ย หลีกเลี่ยงการถามซ้ำเม่ือได้คำตอบทตี่ ้องการแลว้
หลีกเลย่ี งการใช้คำศัพทท์ างการแพทย์ท่ีผปู้ ่วยไม่เขา้ ใจ ควรใช้วธิ ีการตัง้ สมมติฐาน (Hypothesis Testing
Approach) ว่า อาการของผปู้ ว่ ยเกดิ จากโรคใดไดบ้ า้ ง แล้วตั้งคำถามเพื่อหาข้อมลู ที่มาสนบั สนุนหรือคัดค้าน
สมมติฐานในการวนิ จิ ฉัยโรคน้ัน ๆ เพ่อื ให้ได้มาซงึ่ ข้อมูลตา่ ง ๆ ผู้ซกั ประวตั จิ งึ ต้องต้ังคำถามเพื่อใหไ้ ด้ประเด็น
สำคัญตามต้องการ โดยใชเ้ ทคนคิ ดงั นี้

คำถามปลายเปดิ (Open-ended Question) ใช้สำหรับสืบหาขอ้ มลู เกย่ี วกบั ความเจ็บปว่ ย
ความรู้สึก ความเข้าใจ หรือเจตคติ โดยไม่จำกัดว่าผ้ปู ่วยจะต้องให้คำตอบไปในทศิ ทางใด คำถามประเภทน้ี
ต้องการความร่วมมือจากผู้ปว่ ยในระดบั สงู จึงจะได้ขอ้ มลู ตามทตี่ ้องการ ตวั อยา่ งเชน่

“ที่คุณสมชายบอกว่าไม่สบาย อาการไม่สบายของคณุ เปน็ อยา่ งไรครบั ”
“อาการปวดท้องของคุณ มีลักษณะการปวดอย่างไรครับ”
“ลักษณะเสมหะที่คณุ สงั เกตเหน็ มีลกั ษณะอย่างไรครับ”

คำถามปลายปิดหรอื คำถามแบบแคบ (Closed or Focused Question) ใชเ้ ม่ือต้องการข้อมูล
ท่ีจำเพาะมากข้ึน ภายหลงั จากท่ไี ด้ใชค้ ำถามปลายเปิดแลว้ หรอื ผู้ปว่ ยมปี ัญหาบางประการในการให้ข้อมลู เช่น
ประหม่า กังวล ซึมเศรา้ หรือมีความจำ/ สติปัญญาบกพร่อง คำถามประเภทนี้ ผู้ปว่ ยให้คำตอบไดใ้ นวงจำกดั
ตัวอย่างเช่น

“คณุ เจบ็ ตรงไหนคะ”
“สว่ นใหญ่เจบ็ เวลาไหนคะ”
“เสมหะมีเลือดปนไหมคะ”
“เคยมตี ัวเหลืองตาเหลอื งมาก่อนหน้านไี้ หมคะ”
“มีอาการคลืน่ ไส้ อาเจียน เวียนศรี ษะรว่ มด้วยไหมคะ”

คำถามตรง (Direct Question) คือ คำถามทีต่ ้องการข้อมูลที่จำเพาะเจาะจงมาก หรืออีกนยั หนึ่ง
เป็นคำถามท่ีปดิ มากทสี่ ุด คำตอบของผปู้ ว่ ยอาจจะเป็นเพยี ง “มี/ ไม่ม”ี “ใช/่ ไมใ่ ช่” เท่านัน้ คำถามประเภทน้ี
มกั เป็นคำถามคดั กรองอาการตามระบบ ตวั อย่างเช่น

“ปวดท้องไหมคะ”
“เคยชักไหมคะ”
“ปัสสาวะแสบขดั หรือเปล่าคะ”

24

คำถามที่ควรหลีกเลี่ยง
- หลกี เล่ียงการระดมคำถามปลายปิดหลาย ๆ คำถามพร้อม ๆ กนั ตวั อย่างเช่น

“ถา่ ยปสั สาวะแสบขัดหรือไม่ ไอหรือเจบ็ คอหรอื ไม่ มีอาการท้องเดินหรือแผลตามตัวหรือไม”่
“เคยมีอาการตา่ ง ๆ เหล่านี้หรอื ไม่ ได้แก่ อาการปวดท้อง ทอ้ งอืดท้องเฟ้อ แนน่ ท้อง มลี มใน
ทอ้ ง คลืน่ ไส้ อาเจยี น ตัวเหลืองตาเหลือง ท้องผกู สลบั ท้องเดิน หรอื อจุ จาระเปน็ เลือด” คำถามลักษณะนี้
เรยี กว่า “Laundry-list Question/ คำถามยาวเปน็ หางว่าว” คือ คำถามยาวมากเกนิ กว่าผูป้ ว่ ยจะจำคำถาม
ได้ หากตดั ให้สน้ั แบง่ เปน็ หลาย ๆ คำถาม จะดกี วา่
“อาการปวดเป็นอยา่ งไร ปวดต้ือ ๆ หรือปวดจด๊ี ๆ หรอื ปวดแปลบ๊ ๆ หรือปวดเปน็ พัก ๆ”
คำถามเช่นนี้เป็นคำถามท่จี ำกัดคำตอบ และอาการของผปู้ ว่ ยอาจไม่อย่ใู นคำตอบเหล่าน้ี
- หลกี เลยี่ งการใช้คำถามนำหรือคำถามที่ช้แี นะคำตอบ (Leading or Suggestive Question)
เพราะผู้ป่วยอาจจะเขา้ ใจผดิ ว่า ผ้ถู ามตอ้ งการคำตอบรบั และให้ข้อมูลไมต่ รงกับความเปน็ จริง ตวั อยา่ งเช่น
“มอี าการปวดรา้ วไปที่แขนด้วยใชไ่ หม”
ควรปรบั คำถามให้เหมาะสม คอื
“นอกจากอาการเจบ็ หน้าอกแลว้ มอี าการอนื่ อีกหรอื ไม”่
“มีอาการปวดรา้ วไปท่ีใดหรือไม่”
“มีอาการปวดร้าวรว่ มด้วยหรอื ไม่”
- ไมค่ วรต้ังคำถามเชิงกล่าวหา หรือใชค้ ำถาม “ทำไม” ซึ่งอาจทำให้เกดิ ความรสู้ ึกเผชญิ หน้า
ตัวอยา่ งเชน่
“หมายความว่า คุณไม่เคยกินยาตามทสี่ ่ังเลย”
“ทำไมจงึ ไมก่ นิ ยา ตามท่ีสั่งให้ครบ”
“ทำไมเพิ่งมาโรงพยาบาลตอนน”้ี
- ระมดั ระวงั การใชค้ ำถามปลายปดิ หลายคำถามตดิ ๆ กัน จะทำให้ดูเหมอื นเปน็ การไต่สวนซักฟอก
ผ้ปู ว่ ย ซ่ึงอาจทำใหผ้ ู้ป่วยหยุดเล่า และรอเพื่อให้ผซู้ ักประวัตถิ าม ควรเลอื กใช้คำถามหลาย ๆ แบบสลบั กันไป
เช่น เริม่ ด้วยคำถามปลายเปิดเพอื่ ให้ผูป้ ่วยเล่าเรอ่ื ง ตามดว้ ยคำถามปลายปิดหรอื คำถามแคบ และใช้คำถาม
ตรงในตอนท้าย เม่ือเรม่ิ อาการใหม่กเ็ ริ่มด้วยคำถามปลายเปดิ ใหม่ สลบั กับไปจนเสรจ็ ส้นิ การซกั ประวัติ
ตัวอยา่ งเช่น
“ชว่ ยเลา่ เรอื่ งอาการปวดหัวใหฟ้ งั หนอ่ ยค่ะ ว่าคุณมีอาการอยา่ งไร”
“ปวดหวั ตรงไหน”
“ปวดทง้ั สองข้างหรือไม่”
“ลักษณะการปวดเป็นอยา่ งไร”
“ปวดเป็นพัก ๆ หรือปวดตลอดเวลา”

25

คำถามทีเ่ ป็นประเด็นละเอียดอ่อน การถามถึงเรอ่ื งท่ลี ะเอียดออ่ น ได้แก่ พฤตกิ รรมทางเพศ การ
เจบ็ ปว่ ยและการตายของบุคคลอันเป็นท่ีรัก ปญั หาทางการเงิน ความสัมพนั ธใ์ นครอบครวั การเจ็บป่วยทางจติ
การทำแทง้ ความพกิ ารทางร่างกาย การขับถา่ ย การดมื่ สรุ า และการใชย้ าเสพตดิ ต้องขออนุญาตผู้ปว่ ยก่อน
เสมอ และควรอธิบายว่าข้อมูลเหลา่ นี้มคี วามสำคัญและจำเปน็ ในการนำไปใชป้ ระโยชน์ในการวินิจฉยั และ
รกั ษาผูป้ ่วยอยา่ งไร เนื่องจากเปน็ ประเด็นที่ยากจะอธบิ ายและมคี วามสำคญั ต่อผูป้ ว่ ย แนวทางตอ่ ไปนอ้ี าจช่วย
ในการซกั ประวตั ิประเดน็ ท่ลี ะเอยี ดอ่อนไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพมากข้นึ ดังนี้

- จดั สถานท่ใี หม้ ีพื้นทีส่ ่วนตัว
- อยา่ งพดู คลุมเครือ ควรพดู อยา่ งตรงไปตรงมาด้วยความนุ่มนวล ระวงั การถามช้ีนำ
- อย่าขอโทษสำหรบั การตัง้ คำถาม
- อย่าสอนจระเขใ้ หว้ ่ายน้ำ ระวังการเผชิญหนา้ เพราะเราไม่ไดม้ าเพือ่ ตดั สนิ ว่าเขาผา่ นหรือไม่
ผ่านการตัดสิน
- ใช้ภาษาทผ่ี ู้ปว่ ยสามารถเข้าใจได้ อยา่ ใช้ภาษาที่เป็นศพั ท์เทคนิค
- อย่าทำให้เป็นเรื่องยาก
หลงั จากการซักประวัติ ควรบันทกึ คำพูดของผู้ปว่ ยอย่างระมดั ระวังเทา่ ที่จะทำได้ พยายามทำอย่าง
ออ่ นโยน โดยเฉพาะเม่ือต้องซักถามในประเดน็ ที่ละเอยี ดอ่อน

26

บทที่ 2
ประวัติสุขภาพ

Health History

วตั ถปุ ระสงคแ์ รกของการซักประวัตคิ อื การระบุสาระสำคัญของปญั หาจากการทผี่ ูป้ ่วยอธิบายส่งิ ที่
เกดิ ขน้ึ อยา่ งชัดเจน ตามความรู้สกึ ของผ้ปู ว่ ยทีไ่ ด้จากการประมวลเหตกุ ารณ์/ การเจบ็ ป่วยที่เกิดขนั้ อยา่ ง
นา่ เช่อื ถือ แลว้ ผู้ซกั ประวัติจงึ ตัดสนิ ใจวา่ ส่งิ ต่าง ๆ เหลา่ น้นั เกดิ จากความต้ังใจ/ ไมต่ ั้งใจ ผ้ปู ่วยปิดบงั หรือบอก
เลา่ นอ้ ยกวา่ ความเป็นจริงหรือไม่ นำข้อมลู ปญั หาของผ้ปู ว่ ยมาเทียบกับสง่ิ ท่ผี ซู้ กั ประวัติคาดการณไ์ ว้ ประเมิน
ส่ิงท่ีปรากฏจากคำพูดและพฤติกรรมของผปู้ ว่ ย ซงึ่ ต้องเนน้ ยำ้ วา่ ประวตั เิ ปน็ มมุ มองด้านผู้ป่วยไม่ใช่มมุ มองของ
เรา ดงั นั้นจึงต้องปรับใหเ้ หมาะสมกับอายุ และสมรรถนะทางดา้ นรา่ งกายและอารมณข์ องผปู้ ่วยด้วย

ก่อนทจ่ี ะซักประวัติ คำถามนึงทอ่ี ยากใหถ้ ามตัวเองเสมอคือ “ฉันต้องซักประวตั ิให้ได้ข้อมูลมากแค่
ไหน” หรือ “ฉันตอ้ งซกั ประวัติอย่างไร” หรือ “ฉนั ตอ้ งซกั ประวัตแิ บบสมบูรณห์ รือเจาะประเด็น” ถา้ เรา
ทำงานทน่ี ี่เปน็ ครง้ั แรกอาจต้องซักประวตั ิแบบสมบูรณ์ แต่ในบางสถานการณ์เราอาจยืดหย่นุ มาใช้การซัก
ประวัติแบบเจาะประเดน็ อาจเหมาะสมกวา่ เช่น ผู้ปว่ ยท่ีเราคุ้นเคยเป็นอยา่ งดีกลับมารบั ยาตามนดั หรือผปู้ ว่ ย
ทีต่ ้องไดร้ ับการดูแลรักษาเรง่ ด่วน “urgent care” หรอื แค่เจ็บคอเลก็ น้อย ปวดเข่าเร้ือรัง สถานการณเ์ หลา่ นี้
ทำใหเ้ ราต้องจำกดั การซักประวัตแิ ละการตรวจร่างกาย ข้นึ อยกู่ บั ขนาดและรนุ แรงของปัญหาที่ตอ้ งดูแลผปู้ ว่ ย
นอกจากนีย้ ังต้องพจิ ารณาวา่ เป็นผปู้ ว่ ยนอก (outpatient) หรือผู้ปว่ ยใน (inpatient) เป็นผู้ป่วยทตี่ อ้ งให้การ
รักษาแบบปฐมภูมิ (primary) หรือเฉพาะทาง (subspecialty care) ควรคำนึงถึงเวลาด้วย ทักษะในการตรวจ
แบบสมบูรณ์ในการตรวจแต่ละส่วนกเ็ ปน็ ส่วนสำคญั ที่จะทำให้ไดข้ ้อมลู ทต่ี รงประเดน็ ทีผ่ ู้ป่วยนกึ ถงึ และยงั เปน็
การปฏิบตั ติ ามมาตรฐานการทำงานท่ดี ีและน่าเชือ่ ถือดว้ ย

การซกั ประวัตแิ ละตรวจรา่ งกายแบบสมบรู ณ์และแบบเจาะประเดน็ ควรพิจารณาอย่างไร?

การประเมนิ แบบสมบูรณ์ การประเมินแบบเจาะประเด็น
- เหมาะสำหรับผู้ปว่ ยทีม่ ารับการรักษาครง้ั แรกหรือไม่? - เหมาะสำหรับดแู ลผ้ปู ่วยที่เฉพาะระหวา่ งการ
ดแู ลตามปกตหิ รือเรง่ ดว่ น?
- ชว่ ยให้เราเรียนรู้พน้ื ฐานและนสิ ัยสว่ นตวั ของผปู้ ว่ ย - ใช้ในการเจาะประเด็นหรืออาการท่ีนึกถงึ ?
หรือไม่?
- ทำใหส้ ัมพันธภาพระหว่างบุคลากรกับผู้ป่วยดขี ้ึน - ประเมนิ อาการในการตรวจร่างกายเฉพาะ
หรือไม?่ ระบบ?
- ช่วยระบหุ รอื ตดั ความเปน็ ไปได้บางสง่ิ บางอยา่ งท่ี - ประยกุ ตว์ ธิ ีการตรวจร่างกายในสว่ นทน่ี ึกถงึ
ผ้ปู ่วยนกึ ถึงงออกไป (rule out; R/O) ได้หรือไม?่ หรือปัญหาท่ีเกดิ ขึน้ ให้ละเอียดและระมดั ระวงั
ทสี่ ุดเทา่ ท่จี ะเปน็ ไปได้

27

การประเมินแบบสมบรู ณ์ การประเมินแบบเจาะประเด็น
- ใชเ้ ป็นขอ้ มูลพืน้ ฐานไว้เปรยี บเทยี บในการตรวจคร้ัง
ต่อไปได้ไหม?
- นำมาสร้างรปู แบบในการส่งเสรมิ สขุ ภาพ หรือ ให้
คำปรกึ ษาไดห้ รือไม?่
- นำไปส่กู ารตรวจรา่ งกายทส่ี ำคัญได้หรือไม่?

นอกจากน้ีควรเข้าใจคำ 2 คำทีม่ ีความหมายใกลเ้ คียงกัน ทำให้เราสบั สนไดบ้ ่อย ๆ ไดแ้ ก่ อาการ
(Symptoms) และอาการแสดง (Signs) ซึง่ มีความแตกตา่ งกันดงั นี้

อาการ (Subjective Data/ Symptoms) อาการแสดง (Objective Data/ Signs)
- ส่ิงท่ผี ูป้ ว่ ยบอก - สิ่งทเ่ี ราสงั เกตเหน็ ระหว่างการตรวจ ขอ้ มลู ทาง
ห้องปฏิบตั ิการ และข้อมูลการทดสอบต่าง ๆ
- อาการและประวตั ิ ต้งั แตอ่ าการสำคญั จนถึงการ - การตรวจพบจากการตรวจร่างกายทง้ั หมด
ทบทวนตามระบบ
ตัวอย่างเชน่ ตวั อย่างเชน่
- ผู้ปว่ ยหญิงวัย 54 ปี ทำผมสีทอง มาด้วยอาการ - ผู้ป่วยหญิงวยั สูงอายุ รปู ร่างท้วม ผิวขาว ร่าเรงิ
แนน่ หน้าอกข้างซ้าย “คล้ายกับชา้ งน่ังทบั แลว้ รา้ ว ถามตอบได้ตรงประเดน็ สวนสงู 165 เซนตเิ มตร
ไปทคี่ อและแขนซ้าย” นำ้ หนัก 62 กิโลกรมั คา่ ดชั นีมวลกายเท่ากับ 22.9
กิโลกรัม/ตารางเมตร BP = 110/70 m.m.Hg., PR
= 72 bpm. สม่ำเสมอ, RR = 24 bpm, BT =
36.5 องศาเซลเซยี ส

องคป์ ระกอบของประวตั ิสุขภาพแบบสมบรู ณ์ (Components of comprehensive Health
History)

ประกอบดว้ ย
3.1 ข้อมลู สว่ นบคุ คล (Identifying data/ Initial data/ Data base/ Preliminary data)
3.2 อาการสำคัญ (Chief concern/ Chief complaint: CC)
3.3 ประวตั ิเจบ็ ปว่ ยปัจจบุ ัน (History of present illness or problem: HPI/ Present Illness:
PI)
3.4 ประวตั ิเจบ็ ปว่ ยในอดีต (Past medical history: PMH/ PH)
3.5 ประวัตคิ รอบครวั (Family history: FH)

28

3.6 ประวัติส่วนตวั (Personal and social history: SH)
3.7 ทบทวนอาการตามระบบรา่ งกาย (Review of systems: ROS)

ถา้ เราซกั ประวัติผู้ป่วยไปเร่ือย ๆ โดยไม่มรี ปู แบบขอ้ มูลทไ่ี ด้จะไมน่ ่าเชื่อถือ ดังน้นั การซักประวัตใิ ห้
สามารถเจาะประเดน็ ปัญหาของผ้ปู ว่ ยได้อยา่ งครอบคลุมและรวดเร็ว จึงตอ้ งมรี ปู แบบทเี่ ฉพาะทง้ั การซกั
ประวตั แิ ละการบนั ทึก ซึง่ จะทำให้เราสามารถเปล่ยี นคำพูดของผปู้ ว่ ยไปเปน็ ข้อมลู ที่ใช้สื่อสารกนั ในสมาชิกทีม
สุขภาพได้ ซึ่งการปรบั โครงสร้างน้เี ป็นเหตุผลทางคลนิ ิกและยงั เปน็ รูปแบบทีช่ ่วยใหเ้ กดิ ความเช่ยี วชาญทาง
คลนิ ิกได้ดว้ ย ดังรายละเอียดดงั น้ี

3.1 ข้อมูลสว่ นบคุ คล (Identifying - ขอ้ มูลสว่ นบุคคลของผูป้ ่วย ไดแ้ ก่ ชื่อ อายุ เพศ อาชีพ
data/ Initial data/ Data base/ สถานภาพสมรส สัญชาติ
Preliminary data) - แหลง่ ข้อมูล ปกติตอ้ งเป็นผู้ป่วย แต่สามารถใช้เปน็ สมาชิกใน
ครอบครวั เพ่ือน ใบสง่ ตัว (letter of referral) หรอื แฟ้มประวัติ
3.2 อาการสำคญั (Chief concern/ ผูป้ ว่ ย (the clinical record)
Chief complaint: CC) - ถา้ ใหด้ ตี อ้ งมีแหล่งอา้ งอิง (source of referral) เพราะต้องใช้ใน
3.3 ประวัตเิ จ็บปว่ ยปจั จบุ ัน (History การเขยี นรายงาน
of present illness or problem: - การประเมินความน่าเชื่อถอื (Reliability) ของข้อมลู ซ่ึงข้ึนอยู่
HPI/ Present Illness: PI) กบั ความจำ ความนา่ เชอื่ ถือ และอารมณ์ของผู้ป่วย
- อาการหนึ่งหรือสองอาการหรอื สิ่งทท่ี ำให้ผู้ปว่ ยมารบั การดูแล
3.4 ประวตั ิเจ็บปว่ ยในอดีต (Past รักษา
medical history: PMH/ PH) - เป็นส่วนทีข่ ยายความของอาการสำคัญ เปน็ การอธิบายว่าอาการ
เกดิ ขึ้นไดอ้ ย่างไร
- รวมถึงความคดิ และความรู้สึกของผปู้ ว่ ยที่เกย่ี วกบั การเจ็บปว่ ย
- เป็นสว่ นหน่ึงของการทบทวนตามระบบ ทเี่ ราเรยี กวา่
““pertinent positives and negatives” นัน่ คอื เก่ยี วขอ้ งกับ
อาการหลกั ทัง้ ทางบวกและทางลบ
- อาจรวมประวัติการใช้ยา อาการแพ้ การสูบบหุ รี่ และการดม่ื
แอลกอฮอล์ ซึง่ บ่อยครัง้ พบว่าเก่ียวข้องกบั อาการเจบ็ ป่วยปัจจบุ ัน
- ไล่เรยี งตงั้ แตก่ ารเจ็บปว่ ยในวัยเดก็
- ลำดบั การเจบ็ ป่วยในวยั ผใู้ หญ่ตามระยะเวลา ท้งั 4 ประเด็น
ไดแ้ ก่ การเจบ็ ปว่ ย การผา่ ตดั สูตินรเี วช และสุขภาพจิต
- รวมถงึ พฤติกรรมการดแู ลสุขภาพ เชน่ การได้รบั ภูมิคุม้ กัน การ
ตรวจคดั กรองโรค วถิ ชี ีวติ และความปลอดภัยภายในบา้ น

29

3.5 ประวัติครอบครวั (Family - เขียนเป็นผังเครอื ญาติ ระบุ อายุ และภาวะสุขภาพ หรือ อายุ
history: FH) และสาเหตุการตาย ท้งั พน่ี อ้ ง พอ่ แม่ และปู่ยา ตายาย
- ระบวุ ่าพบหรอื ไม่พบโรคที่สำคัญในครอบครวั เช่น โรคความดนั
3.6 ประวตั ิส่วนตวั (Personal and โลหิตสูง โรคเบาหวาน หรอื โรคมะเร็ง (ระบุชนดิ )
social history: SH) - ระบรุ ะดบั การศกึ ษา ถิ่นกำเนดิ ของครอบครัว วิถีชวี ติ ที่บ้าน
3.7 ทบทวนอาการตามระบบร่างกาย ความสนใจสว่ นตวั และแบบแผนการดำเนินชีวิต
(Review of systems: ROS) - ระบวุ า่ พบหรือไม่พบอาการทีพ่ บไดเ้ ปน็ ปกติในระบบท่ีสำคญั
ตา่ ง ๆ ในร่างกาย

3.1 ข้อมูลสว่ นบุคคล (Identifying data/ Initial data/ Data base/ Preliminary data)
3.1.1 วัน เดือน ปี ที่ซักประวัติ (Date and Time of History) เป็นส่ิงสำคัญทีเ่ ราต้องบันทึกไว้

เสมอ เพื่อทวนสอบวา่ ไดร้ บั การซักประวัติไปเมื่อใด
3.1.2 ข้อมูลสว่ นบุคคล ประกอบด้วย เพศ อายุ อาชีพ วนั เดอื นปเี กดิ สถานภาพสมรส ฯลฯ สง่ิ

ตา่ ง ๆ เหลา่ น้ีมีประโยชนต์ อ่ การวนิ ิจฉยั โรค ยกตวั อย่างเช่น
- เพศ; ผู้ปว่ ยเพศชายและเพศหญิง อายุ 60 ปี มาด้วย อาการสำคญั คอื ออ่ นเพลีย เบอื่

อาการ นำ้ หนักลดลงอย่างรวดเร็ว 5-6 กิโลกรมั ภายใน 1 เดือน ถา้ เป็นผปู้ ว่ ยเพศชาย อาจนึกถงึ โรคมะเร็ง
ปอด มะเรง็ ตับ มะเร็งต่อมลูกหมาก ส่วนในเพศหญิง อาจนึกถงึ โรคมะเรง็ เต้านมหรอื มะเรง็ ปากมดลูก

- อายุ; ผ้ปู ่วยเพศหญงิ อายุ 60 ปี กบั อายุ 18 ปี มาดว้ ยอาการสำคัญ คือ ปวดเข่าทง้ั 2 ขา้ ง
ผ้หู ญิงอายุ 60 ปี อาจนกึ ถึงโรคท่เี กิดจากความเส่อื มของข้อ (Osteoarthritis/ Degenerative arthritis) สว่ น
ในผ้หู ญิงอายุ 18 ปี อาจนึกถึงโรคทเ่ี กดิ จากการอักเสบ (Rheumatoid arthritis)

- ที่อยู่; ผู้ปว่ ยชายอายุ 60 ปี อยภู่ าคตะวันออกเฉียงเหนือกับอยภู่ าคใต้ มาด้วยอาการสำคัญ
คอื ตัวเหลือง ตาเหลือง มา 1 สปั ดาห์ ผู้ปว่ ยภาคอีสานอาจคิดถึงโรคพยาธิใบไมต้ ับ ส่วนภาคใต้อาจนึกถึงไวรสั
ตับอกั เสบ หรือ Alcoholic Hepatitis

- อาชพี ; ผู้ปว่ ยชายอายุ 45 ปี ทำงานในเหมืองถ่านหิน มาด้วยอาการสำคญั คอื ไอเรื้อรัง 6-
7 เดอื น บางคร้ังหอบเหนื่อย อาจจะนึกถงึ Pneumoconiosis หรอื ผ้ปู ่วยชายมีอาชพี เปา่ หลอดแก้ว/ เล่น
Trumpet อาจนึกถึง Bronchiectasis หรือผู้ป่วยหญิงอายุ 45 ปี อาชพี แม่บา้ น มาด้วยอาการสำคัญ คือ จาม
บอ่ ย ๆ แนน่ จมูก อาจนึกถึง Allergic Rhinitis เป็นต้น

3.1.3 ความน่าเชือ่ ถือของข้อมูล ควรประเมินถ้าเก่ยี วข้องกับการซักประวัติ ตวั อย่างเชน่
- “ผู้ปว่ ยอธิบายเกี่ยวกับการเจ็บป่วยคลุมเครอื และรายละเอยี ดของค่อนข้างสบั สน”
- “ผู้ปว่ ยเลา่ เกีย่ วกบั การเจบ็ ปว่ ยไดน้ ่าเชื่อถือ”
- แตเ่ นือ่ งจากการสะทอ้ นดังกล่าวเป็นการประเมนิ เชงิ คณุ ภาพ ซี่งอาจมคี วามเขา้ ใจไมต่ รงกัน

ในทีมสขุ ภาพ ดังน้ันอาจต้องประเมินเชิงปรมิ าณรว่ มด้วย โดยให้เปน็ เปอร์เซ็นต์ ตวั อยา่ งเช่น “ผ้ปู ่วยเลา่
อาการเจบ็ ปว่ ยได้น่าเช่ือถอื 80%)

30

การตดั สินเก่ยี วกบั ความนา่ เชื่อถือของข้อมลู เป็นการสะท้อนคุณภาพของการให้ข้อมูลของผูป้ ่วย
ควรประเมนิ เม่ือเสร็จสิ้นการซักประวตั ิ

3.2 อาการสำคญั (Chief concern/ Chief complaint: CC)
หมายถึง อาการที่นำผปู้ ่วยมาพบเรา เป็นอาการท่ีสะท้อนให้เราเหน็ ความเจบ็ ปว่ ยหรอื ส่ิงผดิ ปกติท่ี
ต้องดูแลเฉพาะ ควรไดโ้ ดยตรงจากผู้ปว่ ยเองวา่ อะไรคอื อาการทีส่ ำคัญทีท่ ำให้เข้ามารกั ษาในครงั้ น้ี ควรเปน็
หนึ่งหรอื สองอาการ ซึง่ มคี วามแตกตา่ งกันในแตล่ ะโรค
อาการสำคัญของผปู้ ว่ ยบางคนมีลักษณะเปน็ เหตจุ งู ใจทที่ ำให้ผูป้ ่วยมาพบเรา อาจเป็นอาการ
เจ็บปว่ ย หรือเปน็ สิง่ อ่นื ก็ได้ เชน่ บคุ คลอ่ืนชกั นำ การเปล่ยี นแปลงการตดั สนิ ใจของผ้ปู ่วยเอง เป็นต้น
ตวั อย่างเช่น

- ผู้ปว่ ยมปี ระวตั ิปวดทอ้ งสองเดือนก่อนมาพบแพทย์ แสดงว่าเขาสามารถทนได้นานถงึ สองเดือน
อาการปวดท้องสองเดือนจึงไม่ใช่อาการนําทีแ่ ท้จรงิ ของผปู้ ่วยรายนี้ เราตอ้ งซักประวตั ใิ ห้ได้วา่ อะไรเปน็ เหตจุ งู
ใจทที่ ำใหผ้ ปู้ ่วยเพ่ิงมาปรึกษาเรา เช่น ผู้ป่วยเพ่งิ ปวดมากเมื่อสองวันทแี่ ลว้ หรอื ผู้ปว่ ยอาจปรึกษาเพอ่ื นแล้ว
เพ่ือนแนะนาํ วา่ ควรมาพบเรา หรือผปู้ ่วยเพง่ิ อ่านหนังสือพบวา่ อาการปวดท้องอาจเกิดจากโรคมะเร็ง จงึ เกิด
ความกลัว และตัดสินใจมาโรงพยาบาล เป็นตน้

คำถามทเี่ ราควรถามผูป้ ว่ ยเพื่อให้ได้มาซ่งึ อาการสำคญั คือ
“คุณ ... มีความผดิ ปกติอย่างไรจงึ มาโรงพยาบาล”
“คณุ ... อะไรทำให้คุณตอ้ งมาโรงพยาบาลคะ”

บางคร้ังผปู้ ่วยไม่ไดม้ าด้วยอาการทเี่ ฉพาะเจาะจง แต่อาจมาดว้ ยเปา้ หมายบางอยา่ ง เชน่
- “ฉนั มาตรวจร่างกายประจำปี”
- “ฉนั มานอนโรงพยาบาลเพ่ือตรวจหวั ใจอยา่ งละเอยี ด”
- หรือมารบั การดูแลตอ่ เน่ือง ปอ้ งกันโรค โดยเฉพาะในคลินิกเดก็ ดี (Well Baby Clinic) หรือ

การวางแผนครอบครัว (Family Planning)
สง่ิ ท่ตี อ้ งคำนงึ ถึงเสมอคือ “อาการทผี่ ู้ปว่ ยเล่าอาจไมใ่ ช่อาการที่ผู้ปว่ ยเป็น” ตวั อยา่ งเช่น
- “เจ็บหน้าอกขา้ งซ้าย” เราต้องใหช้ วี้ ่าตำแหนง่ ทีเ่ จ็บเป็นบรเิ วณหน้าอกขา้ งซา้ ยจรงิ หรือไม่
นอกจากน้ผี ูป้ ว่ ยอาจไม่ได้มาหาเราด้วยอาการสำคญั เพียงอาการเดียว แต่มอี าการหลายอยา่ ง

รว่ มกนั เชน่ ไข้ ทอ้ งเสยี คลืน่ ไส้ อาเจยี น ฯลฯ ในกรณีน้ีเราตอ้ งคิดเปน็ กลุ่มอาการตามระบบต่าง ๆ ของ
ร่างกาย หรือบางคนอาจจะบอกไม่ไดแ้ นช่ ดั วา่ มาด้วยเหตุใด รแู้ ตว่ ่าตวั เองไม่สบายต้องมาหาเรา แตะ่ ราจะไม่
บันทึกว่า “รู้สึกไม่สบาย” แต่ให้ถือเป็นประเด็นท้าทายที่เราต้องซักประวตั ใิ ห้ได้วา่ ความผดิ ปกตทิ ่ที ำให้ผปู้ ว่ ย
มาหาเราคืออะไร

การบนั ทึกอาการสำคญั พยายามใช้คำพดู ของผ้ปู ว่ ย อย่าใช้คำศัพท์เทคนคิ ทางการแพทย์ หรือชอื่
โรค ควรบันทกึ เปน็ คำบอกเล่าสน้ั ๆ รวมกับระยะเวลาทเ่ี จ็บป่วยในคร้งั นี้ อาการสำคญั เปน็ เครอื่ งช้นี ำ เปดิ ทาง

31

ไปสูก่ ารซักประวัติท่เี หลืออย่างถกู ต้อง กะทดั รัด และชัดเจน ส่วนระยะเวลาจะเปน็ เคร่ืองแสดงความรุนแรง
และความเร้ือรังของโรค
ตวั อยา่ งเช่น

Correct:
- “ฉันแสบกระเพาะและรู้สึกคลืน่ ไส้ กอ่ นมาโรงพยาบาล 3 ชวั่ โมง”
- “ฉันเจบ็ คอและมีนำ้ มกู มาประมาณ 3 วนั ”

Incorrect:
- “ผู้ปว่ ยคิดวา่ เป็นไขห้ วัด (coryza) และคออักเสบ (pharyngitis) 3 วนั ก่อนมาโรงพยาบาล”

สรุป ลักษณะการบันทึกอาการสำคญั ท่ดี ี คือ (SPT; Short – Patient’s – Time)
1) ขอ้ ความส้นั ๆ กระทดั รัด
2) ข้อความต้องเปน็ คำพดู ของผู้ปว่ ย ไม่ใชศ่ พั ทท์ างการแพทย์
3) บอกระยะเวลาการเจบ็ ป่วย คือ อาการตง้ั แตเ่ ร่มิ เปน็ จนถึงชว่ งเวลาทซี่ กั ประวตั ิ กรณเี ปน็ ๆ

หาย ๆ หรือกำเริบใหม่ ใหน้ บั เวลารวมทง้ั หมด
ตวั อย่างเช่น
“เจ็บหนา้ อกมา 3 วนั ”
“ไข้ หนาวสั่น 2 วนั ”
“ปวดจกุ แน่นท้อง เป็น ๆ หาย ๆ มา 1 สปั ดาห”์
“ปวดศรี ษะต้ือ ๆ บริเวณขมับทั้ง 2 ข้างมา 1 เดือน เปน็ มากเมื่อคนื น”้ี

3.3 ประวัตเิ จ็บป่วยปจั จบุ นั (History of present illness or problem: HPI/ Present
Illness: PI)

ขอ้ มลู เกี่ยวกับประวตั ิการเจบ็ ปว่ ยปัจจบุ นั เป็นของมูลที่ขยายความถึงเหตุผลท่ผี ้ปู ่วยแสวงหาการ
ดแู ลรกั ษา รายละเอยี ดและคุณภาพของข้อมูลในประวตั ิเจ็บป่วยปจั จบุ ันเปน็ ตัวขบั เคล่ือนว่าเราควรใหค้ วาม
สนใจระบบใดเปน็ พิเศษ หรือควรมงุ่ สนใจระบบใดในการทบทวนตามระบบ และควรตรวจรา่ งกายระบบใด ซง่ึ
การตัดสินใจน้ีต้องใชว้ จิ ารณญาณในการวิเคราะห์ขอ้ มูลและประยกุ ต์ใช้หลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ทพี่ บ

เป้าหมายในการซกั ประวตั กิ ารเจบ็ ป่วยปจั จบุ ันเพอ่ื ให้ได้ข้อมลู ทค่ี รบถว้ นสมบรู ณ์ ที่อธิบายลกั ษณะ
และการเปลย่ี นแปลงของอาการท่ีผู้ป่วยตอ้ งแสวงหาการดูแลรกั ษา ดงั นน้ั ควรได้ข้อมูลการวิเคราะหอ์ าการทุก
อาการโดยละเอียด โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ อาการสำคัญที่เข้ารับการรกั ษา โดยเรยี งตามลำดับตามระยะเวลาการ
เกดิ ก่อนหลัง รวมทัง้ ประวัตปิ ฏเิ สธอาการที่อาจมคี วามสำคัญตอ่ การวนิ จิ ฉยั ถ้าผูป้ ่วยเคยไดร้ ับการรักษามา
ก่อน ไม่ว่าจะไดร้ บั ยาหรอื การผ่าตัดกค่ี รง้ั ก็ตอ้ งรวมไว้ในประวตั ดิ ้วย

32

การซักประวตั กิ ารเจบ็ ปว่ ยปัจจบุ ันเปน็ เรื่องทลี่ ะเอยี ดดังนั้นจึงมีรปู แบบการชว่ ยจำหลายรูปแบบ
เลือกใช้ตามทเ่ี ราถนัด ซ่งึ จะช่วยให้เรามั่นใจในการเก็บข้อมูลตา่ ง ๆ จากอาการของผู้ปว่ ยได้ครบถว้ น รปู แบบที่
นำเสนอไวใ้ นบทท่ี 1 ได้แก่ OLD CARD, OPQRSTU, LODCRAFTES, WHAT’S UP, CLIENT OUTCOMES

ประเดน็ สำคัญในการซกั ประวตั กิ ารเจ็บปว่ ยปัจจบุ นั
1) MNEMONIC สำหรับการซกั ประวัตการเจบ็ ป่วยปจั จุบัน
2) การดแู ลรักษาตนเองของผู้ปว่ ยและครอบครวั
3) อาการน้ีที่เคยเปน็ ในเหตุการณค์ ร้ังก่อน ... เคยเป็นไหม ... อยา่ งไร?
4) ประเดน็ ทเ่ี ก่ียวข้องทั้งทางบวกและทางลบจากการทบทวนตามระบบ
5) ปจั จัยเสย่ี งหรือประเดน็ ทเี่ ก่ียวข้องกบั อาการ

1) MNEMONIC
ตัวอย่างการวเิ คราะห์ประวตั อิ าการเจ็บหนา้ อกในผปู้ ว่ ยชาย อายุ 54 ปี รายหน่งึ ดงั น้ี

L-Location >> ตำแหน่ง: เจบ็ ตรงกลางหนา้ อก
O-Onset >> เป็นนานเทา่ ไร: นาน 3 ชว่ั โมงก่อนมาโรงพยาบาล ขณะนี้ก็ยงั มีอาการอยู่
D-Duration >> แตล่ ะครงั้ ห่างกนั เทา่ ไร: เพง่ิ เปน็ คร้งั แรก ไมเ่ คยเปน็ มาก่อนเลย
C-Character of Symptoms >> ลกั ษณะการเจ็บ: เจ็บแน่น ๆ คล้ายมอี ะไรมาทบั ตรงกลาง
อก
R-Radiation >> ร้าวไปไหน: ร้าวไปแขนด้านซ้ายถึงข้อศอก และรา้ วไปทค่ี อ
R-Relative Symptoms >> มอี าการอ่นื ร่วมดว้ ยหรอื ไม่: มีเหง่ือออก มอื เท้าเย็น
A-Aggravating Factor >> มีอะไรทำให้เปน็ มากขนึ้ : ไม่แน่ใจ เพราะเพ่ิงเป็นครัง้ แรก แต่
ตอนทเ่ี ปน็ กำลงั เครยี ดเร่ืองงาน
A-Alleviating Factor มอี ะไรทำให้เป็นน้อยลง: ไมท่ ราบ แต่ตอนทนี่ ั่งพักสกั ครู่ อาการกเ็ บา
ลงนดิ หน่อย (ในผู้ป่วยที่ได้รบั ยาประจำอาจบอกวา่ รบั ประทานยาแลว้ ดขี นึ้ เช่น Nitroglycerine)
F-Frequency >> เปน็ บ่อยเท่าไร: วนั นเ้ี ป็น 2 ครง้ั ช่วง 10.00 น. และ 14.30 น.
T-Timing/ Treatment >> เปน็ เวลาไหนเป็นพเิ ศษหรอื เปล่า: เปล่า อยดู่ ี ๆ กเ็ ป็นขึน้ มาเอง
ยงั ไม่ไดร้ บั การรักษาใด ๆ
E- Exposure, Event, Environment & Setting: ขณะท่เี ป็นกำลังน่งั ทำงานในออฟฟิศ
S-Severity >> ความรนุ แรง: รนุ แรงมาก

จะเห็นวา่ วิเคราะห์อาการสว่ นใหญ่ก็จะมลี กั ษณะใกล้เคียงกันคอื ต้องสัมภาษณ์ประวัติถึงส่ิง
ต่อไปน้ี

33

- ลกั ษณะการเกิดอาการ เมื่อเร่มิ เป็น (mode of onset) เปน็ ทนั ทที ันใด ลักษณะนี้ผปู้ ว่ ยมัก
บอกเวลาท่ีเปน็ ได้แนน่ อน หรือค่อยๆ เปน็ ทลี ะเล็กละน้อย และมากขึน้ เรื่อย ๆ ผู้ป่วยอาจบอกเวลาท่ีเปน็ ไม่ได้
แนน่ อนต้องใชว้ ธิ ปี ระเมนิ

- ระยะเวลาท่เี กิดอาการ
- ปจั จัยเสริมทท่ี ำใหเ้ กดิ อาการนนั้ ดีข้นึ หรอื เลวลง (modifying factors)
- อาการอ่นื ๆ ท่ีปรากฏร่วม
- ถ้าเคยได้รบั การรักษาจากแพทย์มากอ่ น ต้องถามรายละเอยี ดต่าง ๆ ว่า ผ้ปู ว่ ยไปพบแพทย์
ด้วยอาการอะไร แพทยท์ ำการสืบค้นอะไรบ้าง แพทย์พบอะไร ให้การวินจิ ฉัยว่าเป็นโรคอะไร ให้ยาอะไร ผู้ป่วย
รบั ประทานยาแล้วได้ผลเปน็ อย่างไร
- อาการบางอย่างก็ต้องเพิ่มคำถามเฉพาะลงไป ความชาํ นาญและความร้เู กีย่ วกบั อาการของ
โรคในระบบต่าง ๆ จะชว่ ยให้เรารวู้ า่ อาการไหนจะถามอย่างไร
ประวตั กิ ารเจ็บปว่ ยปัจจบุ ันเป็นการให้ข้อมูลของผู้ป่วยทีเ่ ก่ียวข้องกับอาการเจ็บปว่ ยท่มี ี
ผลกระทบต่อชีวติ ของเขา แต่อย่าลืมว่าต้องเป็นข้อมลู ที่ไหลออกมาจากผ้ปู ว่ ยอยา่ งเป็นธรรมชาติ หนา้ ทีข่ อง
เราคือถามและจดบันทึกตามรปู แบบท่ใี ชส้ ่อื สารกนั ในทีมดูแลสขุ ภาพ
ผูป้ ว่ ยสว่ นใหญ่มกั มมี ากกว่าหนง่ึ อาการหรือความผดิ ปกติ ดังนั้นแตล่ ะอาการต้องอธิบายอย่าง
ละเอียดทีละย่อหนา้ ยกเว้นเป็นกล่มุ อาการเดยี วกัน

2.) Self-Treatment
ยาตอ้ งบันทึก ชือ่ ขนาด ชอ่ งทางการบริหารยา และความถใ่ี นการใชย้ า รวมถึงยาสามญั ประจำ
บา้ น ยาทีซ่ อ้ื รับประทานเอง วิตามนิ เกลือแร่ สมุนไพร ยาคุมกำเนิด และยาทยี่ ืมจากเพ่ือน สมาชิกใน
ครอบครวั ถ้าเป็นไปไดใ้ ห้นำมาให้ดูด้วยเป็นดที ่ีสุด
อาการแพ้ รวมถึง ปฏิกิริยาแพส้ ง่ิ ต่าง ๆ ไดแ้ ก่ แพ้ยาอาจมีอาการ ผื่นคนั คลน่ื ไส้ ตอ้ งบันทกึ ไว้
รวมถึงการแพ้อาหาร แพ้แมลง หรือปจั จัยแวดลอ้ มอืน่ ๆ

3) Past Occurrences of the Symptom
ผูป้ ่วยอาจเคยมีอาการท่ีเหมือนหรือคล้ายกบั อาการครั้งนี้มาแล้ว ควรถามเก่ียวกบั การรกั ษา
และผลของการรักษาวา่ เป็นอย่างไร

“เคยมีอาการอย่างนี้มาก่อนไหม?
“แล้วรักษาอยา่ งไร?”
“ผลเป็นอย่างไร”

34

4) Pertinent Positives and/or Negatives
ประเดน็ ที่เกีย่ วข้องทง้ั ดา้ นบวกและดา้ นลบท่ไี ด้จากการทบทวนตามระบบอาจสัมพันธ์กับอาการ
สำคัญ จะต้องเจาะประเดน็ ให้ลกึ ลงไป เช่น ประวตั ิการเป็นโรคหอบหืดในผู้ป่วยท่ีมีอาการหายใจลำบาก ข้อมลู
เหล่านี้อาจชว่ ยในการวินิจฉัยแยกโรค และนำมาใช้ในปฏิบัติการทางการพยาบาลท่ีเหมาะสมสำหรบั ผปู้ ่วยได้

5) Risk Factors or Other Pertinent Information
ปัจจัยเสย่ี งหรอื ปัจจัยทเ่ี กีย่ วข้องกบั อาการบอ่ ยครัง้ ท่ีมีความสำคัญ เชน่ ปจั จัยเสี่ยงของการเกิด
โรคหวั ใจในผูป้ ่วยเจ็บหนา้ อก หรือการใช้ยาในผู้ป่วยท่เี ปน็ ลม ซงึ่ ยาอาจทำใหเ้ กิดอาการเป็นลมได้ ปัจจัยเสีย่ ง
ท่ีเราพบได้เสมอ ๆ ได้แก่ การสูบบุหรี่ การดมื่ แอลกอฮอลแ์ ละการใชส้ ารเสพติด

- การสูบบหุ ร่ี ควรบนั ทกึ เกย่ี วกับชนดิ ปริมาณทส่ี ูบมวน/ วนั หรือซอง/วนั หรือ ห่อตอ่ ปี แต่
ถ้าหยุดสูบแล้วใหบ้ นั ทึกระยะเวลาทสี่ ูบด้วย

- การดื่มแอลกอฮอล์และการใชส้ ารเสพตดิ เปน็ ประเด็นที่ต้องสังเกตเพราะอาจเปน็ สง่ิ ท่ี
เก่ียวขอ้ งกับการเจ็บป่วยในปัจจบุ ันทพี่ บได้เสมอ ๆ

3.4 ประวตั เิ จบ็ ป่วยในอดตี (Past medical history: PMH/ PH)
ประวตั ิอดตี ท่สี มบรู ณ์มสี ว่ นช่วยใหก้ ารวนิ จิ ฉยั มคี วามถูกต้องแม่นยา่ ขนึ้ เราต้องถามประวตั ใิ นอดีต
ทั้งหมดต้งั แต่ผปู้ ่วยเกดิ จนในปจั จบุ นั สำหรับประวตั ิอดีตบางส่วนท่เี ราคดิ ว่ามคี วามเก่ียวพันกนั โดยตรงกับการ
เจ็บป่วยครั้งนีอ้ าจยกไปรวมไว้ในประวตั ิปจั จุบันได้ คำถามท่ีเรามักจะถามในประวตั ิอดีต ไดแ้ ก่
ประวตั เิ กย่ี วกับการแพย้ า, อาหาร, สารเคมี เคยแพย้ าอะไรหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างย่งิ ยาปฏิชวี นะ ถา้ เคยมี
อาการแพม้ ีลักษณะเป็นอย่างไร มอี าการรุนแรงมากน้อยเพียงไร เพื่อเปน็ ข้อมลู ในการตดั สินใจสง่ั การรักษา
เคยแพ้อาหารหรือไม่ เชน่ อาหารทะเล อาหารทีใ่ ส่สีผสมอาหาร เคยถูกต้องสารเคมแี ลว้ เกดิ ปฏกิ ริ ยิ าอะไร
หรือไม่

องค์ประกอบท่ีสำคญั ของประวตั กิ ารเจบ็ ป่วยในอดีต
MNEMONIC; I AM HISTORY
I-Illness/ Chronic Illness/ Serious / Major (medical history, disease checklist;
JAM-THREADS) ซงึ่ โรคทสี่ ำคัญ เรือ้ รัง และรุนแรงเหลา่ นี้ ควรมีประวัติการวนิ ิจฉยั และรกั ษาอย่างชดั เจน
รวมถงึ สถานะการรกั ษาในปจั จุบันดว้ ย

-J-Jaundice
-A-Anemia and other hematologic condition; อาจตอ้ งสืบค้นประวตั กิ ารให้เลือด วันท่ี
ให้ ชนิด จำนวน และ ปฏกิ ริ ิยาจากการใหเ้ ลือดดว้ ย
-M-Myocardial Infarction
-T-Tuberculosis

35

-H-Hypertension/ Hyperlipidemia/ Hepatitis/ HIV
-R-Rheumatic fever/ Rheumatoid arthritis
-E-Epilepsy
-A-Asthma & COPD
-D-Diabetes
-S-Stroke & Psychiatric; Illness & time frame, diagnoses, hospitalizations, และ
Treatments ได้แก่ psychological/ psychiatric intervention หรือ medication
A-Allergies; แพ้อาหาร, เครื่องดม่ื ท่มี ีแอลกอฮอล,์ ยา และส่งิ แวดล้อมต่าง ๆ บนั ทึกชนดิ และ
ความเร็วในการแพ้ (rapidity) โดยเฉพาะอาการทางระบบหายใจ บนั ทึกความรู้ทจ่ี ำเป็นของผู้ปว่ ยเกยี่ วกบั การ
แพแ้ ละการหลีกเลีย่ งสารก่อภูมิแพ้ตา่ ง ๆ รวมถึงการรักษาทีไ่ ดร้ บั ยาที่ไปซ้ือจากรา้ นขายยา (over-the-
counter (OTC) และการรกั ษาภูมิแพ้ (desensitization therapy) กรณีทมี่ ีอาการแพ้รุนแรงผู้ปว่ ยพกยา/
ข้อมลู การแพ้ติดตวั เปน็ ประจำหรือไม่? พกยาเพ่ือรกั ษาอาการฉุกเฉนิ เชน่ anaphylaxis kit หรอื Epi-Pen ไว้
หรอื ไม่ ถา้ พกไดเ้ ตมิ ยาพร้อมใช้หรือไม่? ฉีดยาเองเป็นหรือไม?่
M- Medication; สบื เสาะให้ร้ชู ื่อ ขนาด และความถใ่ี นการใชย้ าทง้ั หมดท่ีกำลงั ใช้อยู่ ถ้าเปน็ ไป
ไดค้ วรทราบถึงยาทเ่ี คยได้รบั และยาที่หามาใช้เอง ผปู้ ว่ ยจำนวนมากไม่เคยตระหนกั ในการใช้ยาประเภทต่าง ๆ
ไม่ว่าจะเปน็ วติ ามิน ยาระบาย ยาเจริญอาหาร อาหารเสริม ผลติ ภณั ฑ์สมนุ ไพร และยาท่ีใชก้ ันบอ่ ย ๆ ได้แก่
aspirin, acetaminophen, antacids ซึง่ ผ้ปู ่วยหามาใชเ้ องโดยทยี่ งั ไม่รจู้ ริง ๆ เลยว่าควรใช้อยา่ งไร ผู้ป่วย
หลายคนคิดว่าตัวเองแพ้ยา สิ่งทีเ่ ราตอ้ งซกั ประวตั ิ คือ ให้ผปู้ ่วยเล่าถงึ อาการทแี่ พ้ ว่าเปน็ อยา่ งไร (มี hive-like
rash หรอื ไม่?) หรือ มีอาการคลื่นไส้ (nausea) หรอื ไม?่ ใครเปน็ คนบอกว่าแพย้ า? หรอื การไดร้ บั ยาบาง
อย่างเช่น ยากลมุ่ Statin แลว้ ทำให้มคี า่ เอนไซม์ตบั สูงข้ึนจนตอ้ งหยุดยา สง่ิ ตา่ ง ๆ เหลา่ นเ้ี ปน็ ข้อมลู สำคัญท่ีทำ
ใหเ้ ราสามารถวางแผนการดแู ลรักษาท่เี หมาะสมสำหรบั ผ้ปู ่วยได้ ทั้งการป้องกันการแพ้ยาซ้ำ การป้องกนั การ
เกิดอันตรกิริยาของยากลุ่มต่าง ๆ ทำให้ไม่เกิดผลลัพธท์ ่ีไม่พึงประสงคใ์ นการใชย้ า
H-Hospitalization; บนั ทึกสาเหตุทีต่ อ้ งนอนโรงพยาบาล วนั ที่นอน และภาวะแทรกซ้อน ควร
ทราบชอื่ และท่ีอยู่ของโรงพยาบาลดว้ ย เนอ่ื งจากอาจมคี วามจำเป็นตอ้ งขอประวตั ิการรักษาของผปู้ ว่ ย
I-immunizations and screening tests (Health Maintenance);
- immunizations; ได้รบั วัคซนี tetanus, pertussis, diphtheria, polio, measles,
rubella, mumps, influenza, varicella, hepatitis B virus (HBV), human papilloma virus (HPV),
meningococcal disease, Hemophilus influenzae type B, pneumococci, และ herpes zoster
- screening tests, ไดร้ ับการตรวจ tuberculin tests, Pap smears, mammograms,
stool tests for occult blood, colonoscopy, prostate-specific antigen (PSA), digital rectal
exam, cholesterol, lipid profile, blood glucose, eye exam, glaucoma testing, hearing test, PPD
test, chest x-ray (CXR), EKG รวมถึงผลการตรวจ และวนั นดั ครงั้ ต่อไปด้วย ถา้ ผู้ปว่ ยไม่ทราบรายละเอียด
อาจดใู นแฟม้ ประวตั ิของผปู้ ว่ ย

36

S-Surgery/ Operation; Dates, indications, types of operations รวมถึงชือ่ ของแพทยผ์ ู้
ผา่ ตดั และผลของการผา่ ตัดเป็นอยา่ งไร

T-Trauma (Accidents or Injuries); บันทกึ เก่ียวกับลกั ษณะการบาดเจ็บ ไดแ้ ก่ วนั ท่ีได้รับ
บาดเจ็บ สาเหตุ เช่น อุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์ล้ม กระดูกหกั แผลถูกทมิ่ แทง สมองได้รับบาดเจบ็ หมดสติ
หรือแผลไหม ฯลฯ การรักษา ผลของการรักษา รวมถึงผลท่ีตามมาจากอบุ ัติเหตุนนั้ ได้แก่ ความสามารถในการ
ทำหน้าที่ตา่ ง ๆ หรือการใช้ชวี ิตประจำวัน (ADL)

O- Obstetric History/ Contraceptive; menstrual history, methods of
Contraception รวมถึงประวัติการตง้ั ครรภ์และการคลอด คลอดครบกำหนด/ ก่อนกำหนด ถ้าคลอดไม่ครบ
กำหนด (ทำแทง้ หรือแทง้ ธรรมชาติ) คลอดธรรมชาติหรือต้องช่วยคลอด จำนวนทารกที่มชี วี ติ อยู่ เพศ น้ำหนัก
และอาการของทารกเปน็ อยา่ งไร? และหลังคลอดปกติดีหรอื ไม่?

R-Reproductive history; number & gender of sexual partners, risk-taking sexual
practices

Y-Youth/ Childhood Illness; ได้แก่ measles, rubella, mumps, whooping
cough, chickenpox, rheumatic fever, scarlet fever, poliomyelitis, diphtheria, smallpox และ
chronic childhood illnesses.

ประวตั กิ ารเจ็บป่วยในอดีตเป็นอีกส่วนหน่งึ ท่ีต้องรีบสรปุ เพราะเปน็ ประวตั ทิ ่ีสำคญั ต่อสุขภาพ
ความสามารถในการทำหนา้ ที่ และสขุ ภาวะของผ้ปู ่วย

3.5 ประวัตคิ รอบครัว (Family history: FH)
โรคบางอยา่ งมกี ารถ่ายทอดทางพนั ธุกรรม การถามประวัติทางครอบครวั โดยละเอยี ด จะเป็น
ประโยชน์ต่อการวินจิ ฉยั เช่น โรคเบาหวาน โรคไขมนั ในเลือดสงู โรคความดันโลหิตสงู โรคกล่มุ อาการต่าง ๆ
หลายชนิด ท่ีมลี กั ษณะเฉพาะโรคท่มี ีการถา่ ยทอดทางพนั ธุกรรมอย่างเด่นชัด อาจจำเปน็ ต้องถามสบื ประวตั ิใน
สายพนั ธร์ุ ะดับต่าง ๆ โดยละเอียดต้งั แต่ร่นุ ปู่ยา่ ตาทวด ถึงเหลนโหลน และทำเป็นแผนภาพของ family tree
วา่ ในระดับใดมีใครเปน็ บ้าง

MNEMONIC; BALD-CHASM (เส่ือมลง/ ลงเหว ... ในไมช่ ้า)
B-Blood Pressure (high)
A-Arthritis
L-Lung Diseases
D-Diabetes
C-Cancer
H-Heart Diseases

37

A-Alcoholism
S-Stroke
M-Mental Health Disorder (depress, down’s syndrome, etc.)

ภาพท่ี 5 Genogram or Family Tree
3.6 ประวัติส่วนตัว (Personal and social history: SH)
ประวัตสิ ว่ นตัว นสิ ัยใจคอ ประวตั ิปฏบิ ตั หิ น้าท่ีการงาน ประวัติส่วนนี้มีความสำคัญในการวินิจฉัยโรค

บางอยา่ ง เชน่ โรคจติ ประสาท โรคทเี่ กย่ี วกบั สารพิษ ขณะปฏบิ ตั ิ งาน ประวตั สิ ่วนนมี้ กั จะได้มาเมื่อแพทย์ และ
ผู้ป่วยมีความสนิทสนมกันมากยง่ิ ข้ึน ตัวอยา่ งคำถามท่อี าจนำมาใช้ ได้แก่

นิสัย
นสิ ัยสว่ นตวั เป็นอย่างไร คบเพื่อนแบบไหน เป็นคนเงียบๆ หรอื ชอบเขา้ สังคม ทำงานอดิเรกอะไร
บุคลกิ ภาพ
อาจจะสังเกตไุ ด้ในขณะพูดคยุ หรือสอบถามจากเพ่ือน พ่อ แม่ ญาตสิ นิท หรือถามจากผ้ปู ่วยโดยตรง
บุคลกิ ภาพเขา้ ไดก้ ับคนรอบข้าง หรือผรู้ ่วมงานหรอื ไม่

38

พฤติกรรมสขุ ภาพ
พฤติกรรมการใช้ชีวติ และการดแู ลสขุ ภาพเป็นอย่างไร?

MNEMONIC; O-4S-ABCDEF
O-Occupation; ทำงานอะไร? สมั ผัสสารเคม/ี มีความเส่ียงอะไรหรือไม่ อย่างไร? สภาพแวดล้อม

ของสถานทท่ี ำงาน เปน็ อย่างไร
S-Stress/ Spiritual; มคี วามเครยี ดหรือไม่? เร่อื งอะไร? จดั การอยา่ งไร? มีความเชอื่ เกี่ยวกบั

ศาสนาหรือจติ วิญญาณหรอื ไม่ อยา่ งไร?
S-Sleep; นอนหลบั ดหี รอื ไม่? ถา้ ไม่ จัดการอยา่ งไร?
S-Sexual; มพี ฤติกรรมทางเพศเปน็ อยา่ งไร? กอ่ นและหลังแต่งงาน ชอบเท่ียวโสเภณีหรือไม่? มี

พฤติกรรมเส่ียงทางเพศหรือไม่?
S-Support System; ชวี ิตในครอบครัวเป็นอย่างไร? เพอื่ น ๆ พีน่ อ้ ง สมาชกิ ในครอบครัวเปน็

อยา่ งไร? มรี ะบบประกนั สขุ ภาพหรือไม่ อย่างไร?
A-Alcohol/ Drug use; ด่ืมแอลกอฮอล์หรอื ไม่ ปริมาณเทา่ ใด ใช้ยาหรอื สารเสพตดิ หรือไม่?
B-Body Weight/ BMI; น้ำหนักหรอื ดชั นีมวลกายเทา่ ไหร? อว้ นขึน้ หรือผอมลง กกี่ ิโลกรมั ใน

ช่วงหนึง่ เดอื นทผ่ี า่ นมา
C-Cigarette; สบู บหุ ร่ีหรือไม่? ปรมิ าณเท่าใด? หยดุ สูบมานานเท่าใด? เคยสบู มาเปน็ เวลานาน

เทา่ ใด?
D-Diet (CSF-PVW); ลักษณะอาหารทที่ านเป็นอยา่ งไร? ปรมิ าณเทา่ ใด/ มอ้ื หรือ/ วัน?
-C-Carbohydrate; ปรมิ าณขา้ ว แปง้ และน้ำตาล?
-S-Salt; ปรมิ าณเกลือโซเดยี ม ไดแ้ ก่ ซอส ซีอว๊ิ กะปิ น้ำปลา ชูรส รสดี คนอร์ เกลอื ฯลฯ
-F-Fat; ปรมิ าณไขมนั ได้แก่ หนังสตั ว์ เคร่ืองในสตั ว์ มันสตั ว์ ของผดั ของทอด ฯลฯ
-P-Protein; ปริมาณเนื้อสตั ว์ ไข่ ปลา นม ฯลฯ
-V-Vegetables/ Vitamins; ปรมิ าณผักสดผลไม้ ผลติ ภัณฑส์ ขุ ภาพ
-W-Water; ปริมาณน้ำดมื่ / วนั
E-Exercise/ Environment Risk/ Exposure; การออกำลงั กาย/ สภาพแวดลอ้ มของทอี่ ยู่อาศยั

เปน็ อย่างไร มีมลภาวะอะไรหรือไม่?
F-Follow up/ Check up; การตรวจตามนัด/ การตรวจคัดกรองสุขภาพเป็นอย่างไร?

3.7 ทบทวนอาการตามระบบรา่ งกาย (Review of systems: ROS)
การถามทบทวนอาการในระบบต่าง ๆ มคี วามจำเปน็ สำหรับผ้ทู ี่เรม่ิ ฝึกฝนการซักประวัติ เพราะจะ
เปน็ ส่วนทชี่ ่วยเกบ็ ขอ้ มูลที่อาจตกหลน่ ระหวา่ งการซักประวตั ทิ ้ังหมดข้างตน้ มาแล้ว การทบทวนอาการตาม
ระบบเปน็ สว่ นหนงึ่ ของการซักประวตั ิ โดยควรถามในประเดน็ ต่าง ๆ ตามระบบดงั น้ี

39

ระบบ ประเด็น
General น้ำหนักปกติ? นำ้ หนักในปจั จุบนั เท่าไหร่? เสื้อผา้ คับหรือหลวมกวา่ ปกตหิ รือเปลา่ ?
Skin เบอ่ื อาหาร ออ่ นเพลีย ไมม่ ีแรง ทำงานได้เหมอื นเดิมหรอื เปลา่ ? เหงอ่ื ออกกลางคืน
Head, Eyes, หรอื เป็นไขห้ รือเปลา่ ?
Ears, Nose, มปี ระวตั โิ รคผวิ หนังหรือเปล่า (ผวิ หนงั อกั เสบ สะเกด็ เงิน ผ่ืนแพ)้ ? มีความผดิ ปกติ
Throat (HEENT) ของผวิ หนัง เชน่ เขียวช้ำ ร่องรอยผิดปกติ ผนื่ ก้อน แผล คัน แห้ง/ ช้ืน หรือ สผี ิว
เปล่ียนไปหรือไม่? ผมร่วง? เลบ็ มลี กั ษณะ clubbing, spooning, หรอื ridges
Neck หรอื ไม่? ไฝมีขนาด รูปร่างและสีเปลย่ี นไปหรอื ไม่?
Breasts ศีรษะ; ปวดศีรษะ บาดเจ็บท่ีศีรษะ เวยี นหวั โครงเครงหรือเวียนศรี ษะบ้านหมนุ
หรือไม?่

ตา; มองเห็นชดั เจนหรอื ไม่? แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์ใชไ้ ด้เหมอื นเดิมหรอื ไม?่ ใช้
กับสายตาใกล้หรือสายตาไกล? ตรวจตาครงั้ สุดทา้ ยเมื่อไหร? สูญเสยี การมองเห็น
ทนั ทีทนั ใดหรือไม?่ กลางคนื มองเหน็ หรือไม่? ปวดตา ตาแดง น้ำตาไหล เหน็ ภาพ
ซอ้ น ตามัว กลัวแสง มองเหน็ จุดดำลอยไปลอยมา เหน็ เป็นม่าน แสงแฟลช หรอื ไม?่
เคยเปน็ ตอ้ เนื้อ ต้อกระจก หรือตอ้ หินหรือไม?่ รักษาอยา่ งไร? ปวดศีรษะหรือไม่?
หู; การได้ยนิ ชัดเจนหรือไม่? มีเสยี งในหู เวียนหัวบ้านหมุน เดินเซ ปวดหู ตดิ เชือ้ ทห่ี ู
มีหนองหรือน้ำเหลืองออกจากหูหรือไม่? กรณีการได้ยนิ ลดลงต้องใช้เครื่องชว่ ยฟัง
หรอื ไม?่
จมกู และโพรงอากาศ; เป็นหวดั คัดจมูก น้ำมูกไหล หรอื คันจมกู บ่อย ๆ หรือไม่?
เป็นภมู แพ้? เลอื ดกำเดาไหล? ปวดบริเวณโพรงจมกู / โพรงอากาศหรอื ไม?่ จมูกยงั ได้
กลนิ่ เป็นปกตหิ รือไม?่
คอ (ปากและคอหอย); เหงือกและฟันมีสงิ่ ผดิ ปกต?ิ เลือดออกตาไรฟนั ? ถ้ามีทำ
อยา่ งไรจึงหยดุ ? ตรวจสุขภาพชอ่ งปากครัง้ สุดทา้ ยเมอ่ื ไหร?่ ลิน้ เปน็ แผล หรอื การรบั
รสเปล่ยี นไปหรือไม่? ปากแห้ง คอแห้ง? เป็นแผลร้อนในบ่อย ๆ? เสียงแหบหรอื ไม?่
พดู ไมช่ ดั หรอื กลนื ลำบากหรอื ไม?่
ปวดคอ? คอแข็ง? เคลื่อนไหวไดป้ กติ? ก้อนหรือบวม? คอโตหรอื ก้อนกดเจบ็ ?
ธยั รอยด์?
มีก้อนทเี่ ตา้ นมหรือไม่ มีอาการปวด หรืออกั เสบท่ีเต้านมหรือไม่ เคยผา่ ตดั เสรมิ เต้า
นมมาหรือเปลา่ มีอาการคดั เตา้ นม หรือตงึ ตัวผดิ ปกตหิ รอื ไม่ ผิวหนงั ทเ่ี ต้านมมีสิง่
ผิดปกติหรือไม่ เชน่ เป็นลกั ษณะคล้ายผิวมะกรูด หรือมีผ่ืนแดงเป็นเชอื้ ราท่ีใตร้ าว
นม?

40

ระบบ ประเดน็

Respiratory มีอาการหายใจไมส่ ะดวก หรือหายใจมเี สียงดังหรอื ไม่ เปน็ โรคหอบหืดหรอื ไม่ เวลา

เดนิ หรอื ออกกำลังกายมีอาการหายใจเหน่อื ยผิดปกตหิ รือไม่ มีอาการไอ มเี สมหะ

หรือไม่ มีไข้หรือไม่ มีอาการไอเรอื้ รัง ไอเป็นเลือด ไอมีเสมหะคลา้ ยหนองหรือไม?่

Cardiovascular ความดนั โลหิตปกติหรือไม่ มีอาการเหนื่อยเวลาออกเดนิ เวลาทำงาน หรอื เดินขึ้นที่

สงู หรอื ไม่ มีอาการเจ็บแนน่ หนา้ อกหรือไม่ มอี าการเหน่ือย นอนราบอึดอัด

(orthopnea) หรือต้องลุกขึน้ มาหอบตอนกลางคืนหรือไม่ (paroxysmal noctural

dyspnea) ประวัติเคยทราบวา่ เปน็ โรคลิ้นหวั ใจร่ัว โรคหลอดเลือดหวั ใจหรอื ไม่ มี

บวมท่ีขาหรอื ไม่ มีอาการเหน่ือยคลา้ ยจะเป็นลมมือเท้าเขียวหรือไม่ มีอาการใจสน่ั

หรือไม?่

Gastrointestinal มีอาการคลื่นไส้อาเจยี น อาการปวดท้องก่อนหรือหลงั อาหารหรอื ไม่ มีอาการตัว

เหลืองตาเหลอื งหรือไม่ มีก้อนคลำไดใ้ นทอ้ งหรือไม่ มีตับโต ม้ามโตหรอื ไม่ มีอาการ

กลืนลำบากหรือไม่ มีอาการท้องเสยี เรอื้ รงั หรือไม่ มีอาการถ่ายอุจจาระเป็นเลือด

หรือถ่ายดำหรือไม่ เคยผ่าตดั ช่องทอ้ งมาหรือไม่ มีอาการท้องมแี ก๊ส หรอื อาหารไม่

ย่อยหรือไม่?

Peripheral แขนขาบวมหรือไม่ มีแผลท่ีปลายแขนขาหรือไม่ เคยผ่าตดั หรือกระดูกหกั ทแ่ี ขนขา

vascular หรือไม่ มีกำลงั เป็นปกติหรือไม่ เดินไดป้ กตหิ รอื ไม่ เคยถูกตัดแขนขาเพราะอบุ ัตเิ หตุ

หรอื เปน็ แผลเรื้อรัง หลอดเลอื ดไปเล้ียงไมด่ ีหรือไม่ มีอาการปวดทแี่ ขนขาหรือไม่

โดยเฉพาะเวลาออกกำลังกาย เช่น เดินไกล ๆ มีหลอดเลือดขอดหรือไม่?

Urinary มีอาการแสบขดั ในทางเดนิ ปัสสาวะหรอื ไม่ เคยปวดท้อง ปวดหลงั รนุ แรง ปสั สาวะ

เปน็ สีนำ้ ลา้ งเน้ือหรือไม่ เคยปัสสาวะเปน็ กอ้ นนิ่วออกมาหรือไม่ มไี ขห้ นาวสั่นหรือไม่

มีหนองออกจากท่อปัสสาวะหรอื ไม่?

Genitalia มีแผลท่ีอวยั วะเพศหรือไม่ มีต่อมนำ้ เหลอื งโตทข่ี าหนีบหรือไม่ ในเพศชาย ปวด

บริเวณอัณฑะขนาดถุงอัณฑะเปล่ยี นแปลงหรือไม่ ในเพศหญงิ ประจำเดือนมาเป็น

อย่างไร เริ่มมีประจำเดือนอายเุ ทา่ ไร ประจำเดอื น ครงั้ สุดทา้ ยมาเมื่อไร มาทุกกี่วัน

ครั้งละกว่ี ัน มตี กขาวหรือไม่ แทง้ ก่ีครง้ั ประจำเดอื นหมดหรอื ยัง เคยเปน็ กามโรค

หรอื ไม่?

Musculoskeletal มีอาการปวดข้อ ข้อบวมหรือไม่ มปี วดกระดูกที่ไหนหรอื ไม่? แขนขาออ่ นแรงหรอื ไม่?

Psychiatric เครียด ท้อแท้ เหนื่อยหนา่ ย หแู วว่ ประสาทหลอน หรือไม่? มคี วามคิดทจ่ี ะฆา่ ตวั ตาย

หรอื ไม่? (เป็นคำถามทใ่ี ชใ้ นการคดั กรองผปู้ ว่ ยทม่ี ภี าวะซึมเศร้า)

41

ระบบ ประเด็น
Neurologic มอี าการอ่อนแรงตามแขนขาหรอื ไม่ ด้านไหน มีอาการปากเบ้ียว นำ้ ลายไหลจากมุม
ปากหรือไม่ ดา้ นไหน เดนิ ไดป้ กติหรือเปลา่ พดู ได้ปกตหิ รือเปลา่ หรือฟังเขา้ ใจแต่พูด
Hematologic ไม่ออก มอี าการชักหรือเปล่า อุจจาระ ปัสสาวะกลัน้ อยู่หรือไม่ มีอาการชาตามหน้า
Endocrine หรอื แขนขา หรือคร่ึงซีกของลำตวั หรอื ไม?่
มอี าการเลือดออกแลว้ หยุดยากไหม มเี ลือดออกผิดปกตติ ามผิวหนงั หรอื ตามไรฟัน
Immunology หรือไม่ มีไข้บ่อย ๆ โดยไมท่ ราบสาเหตหุ รือไม่ เคยได้รบั เลือดหรือไม่?
มคี อโต เคยผ่าตัดทคี่ อ อาการขร้ี อ้ น ใจสัน่ เหง่อื ออกมาก หรือผิวหนังเฉ่อื ยชา บวม
ฉุ ขี้หนาว มี อาการเก่ียวกับโรคเบาหวาน เชน่ ดืม่ นำ้ มาก ปสั สาวะมาก เป็นต้น เคย
ไดร้ ับยาชดุ ยาสเตยี รอยด์เป็นประจำหรอื ไม?่
มีไขเ้ รื้อรงั หรอื ไม่ มีต่อมน้ำเหลืองโตโดยไม่พบสาเหตุหรือไม่ มอี าการอักเสบตดิ เชือ้
ตามท่ีต่าง ๆ ทว่ั ร่างกายเป็นๆ หายๆ หรือไม่ มีอาการท้องเสยี เรื้อรังหรอื ไม?่

4. การเขยี นบันทกึ ประวตั ิ (the taking of notes)

ขณะซักประวตั นิ น้ั เราอาจบันทกึ ข้อมลู เป็นลกั ษณะย่อ ๆ ส้ัน ๆ พอได้ใจความ เอาไว้ไปรวบรวม
เขยี นในละเอยี ดในภายหลัง แตก่ ารบันทึกข้อความขณะซกั ประวตั นิ ้นั ตอ้ งไมใ่ ห้มองดเู ป็นการขดั จงั หวะการ
พดู คุย หลงั จากสัมภาษณป์ ระวัติเสร็จแล้ว จงึ นํามาเรียบเรยี งใหอ้ า่ นงา่ ยได้ใจความชัดเจน การเขยี นบนั ทึกก็
เรยี งตามข้อมูลท่ตี ้องการดังกล่าวขา้ งตน้ มลี กั ษณะบางอย่างที่อยากจะขอเน้นใหท้ ราบอีกครั้งหนึ่ง ดงั น้ี

4.1 ควรประเมนิ ความนา่ เช่ือถอื ของประวัติท่ไี ดม้ าไวใ้ นสว่ นขอ้ มูลเบ้ืองต้นของผู้ปว่ ย เพื่อเป็น
แนวทาง ของผู้อ่านประวัติในการใช้ข้อมลู ไปทำการวนิ จิ ฉยั และรักษาผู้ปว่ ย ความนา่ เชื่ออาจประเมนิ ได้จาก
พนื้ ฐาน การศึกษาของผู้ปว่ ย ความสมบรู ณข์ องสตสิ ัมปชญั ญะของผู้ปว่ ยขณะให้ประวตั ิ ความม่นั ใจในการตอบ
คำถาม และความคงตัวของคำตอบเม่ือถามซำ้ ในลักษณะต่างกัน

4.2 ประวตั ิ chief complaint ควรมอี าการสำคัญเพียงอย่างเดียว โดยใช้สำนวนของผู้ปว่ ย และ
มี ระยะเวลาท่ีเป็นกำกบั ไว้อย่างชดั เจน ไมค่ วรเขียนประโยคนำวา่ “ผปู้ ว่ ยชาย อายุ 40 ปี มี underlying
disease เป็นโรค.........มาโรงพยาบาลดว้ ยอาการนําคือ………….” ถ้าคิดว่าโรคดัง้ เดมิ ของผ้ปู ว่ ยเก่ยี วข้องกับ
การเจบ็ ปว่ ยคร้งั น้ี ก็ควรเขียนรายละเอียดไวใ้ นหัวข้อการเจ็บป่วยปัจจบุ นั แต่ถา้ คิดวา่ โรคด้งั เดิมนีไ้ มเ่ กีย่ วกับ
การเจบ็ ป่วยปจั จุบัน ก็ควรเขียนไว้ในหัวขอ้ การเจบ็ ปว่ ย ในอดีต
อนึ่ง การใช้คำว่า underlying disease มีความหมายวา่ นสิ ิตแพทยท์ ราบการวนิ ิจฉยั โรคเดิมของผู้ ปว่ ยอยา่ ง
ถกู ต้องแลว้ ซึ่งตามความเปน็ จริง การวินจิ ฉยั โรคดังกลา่ วอาจเปน็ เพยี งข้อสนั นิษฐาน

4.3 การเขยี นประวตั ปิ ัจจบุ ัน ตอ้ งเรยี งตามลำดบั เวลาการเกิดก่อนหลัง มเี วลาเริ่มเปน็ ของแต่ละ
อาการ เช่น อาจเขียนวา่ เป็นมาแล้วกี่วัน กี่เดอื น ก่อนมาโรงพยาบาล มีการวิเคราะห์อาการทุกอาการที่เกิดขึน้

42

โดยละเอยี ด บอกการดำเนนิ ไปของแตล่ ะอาการวา่ ดีขึน้ หรือเลวลง หากเคยได้รับการรักษาโดยวิธีใด ๆ ก็ระบุ
ใหช้ ัดเจน รวมทงั้ ผลการรกั ษาทีผ่ า่ นมา

4.4 พยายามแปลงประวตั สิ ว่ นทเ่ี ปน็ subjective Symptom หรอื สว่ นท่ีวดั และจบั ต้องไม่ได้
ใหเ้ ป็น semiquantitative value ท่ีพอวดั และจับต้องได้ เพือ่ หลกี เลยี่ งการอธิบายความรุนแรงของปัญหา
ด้วยค่าสมั พทั ธ์ (relative value) เชน่ เหนือ่ ยมากข้ึน ปวด ท้องมากขน้ึ ผอมลงมาก ซ่ึงผู้อา่ นบนั ทึกอาจเข้าใจ
ไมต่ รงกบั ทีผ่ เู้ ขียนบนั ทกึ ต้องการบรรยาย

ควรเขียนว่า “เดิมผปู้ ว่ ยเดินในแนวราบได้ 100 เมตร รสู้ กึ เหน่อื ย และต้องนั่งพัก” แทนคำ
ว่า “เหน่อื ยมากข้นึ ”

ควรเขยี นว่า “น้ำหนกั ลดลง 6 กโิ ลกรัมใน 3 เดอื น” หรือเขียนวา่ “ผูป้ ว่ ยสังเกตตุ ัวเองวา่
ผอมลงเพราะเม่ือสวมกระโปรงจะร้สู กึ หลวม” แทนคำว่า “ผอมลงมาก”

4.5 ประวัตคิ วรเขียนให้อา่ นง่าย มีความหมายในทางสนบั สนนุ หรอื ปฏเิ สธการวินิจฉัยโรค จึง
ตอ้ งรวมเอาทง้ั ประวัตทิ ีค่ ล้อยตาม และประวตั ปิ ฏเิ สธทส่ี ำคัญไว้ด้วย

4.6 ประวัตอิ ดตี ประวัติครอบครัว ประวัตสิ ่วนตวั และสังคม มีความหมายไมน่ ้อยในการวินิจฉัย
และวนิ ิจฉยั แยกโรค จงึ ควรให้ความสำคัญ

4.7 ประวัติเพ่ือนบ้าน ควรระบเุ ฉพาะประวัติที่อาจทำใหผ้ ู้ป่วยเกิดโรค ได้แก่ ประวัติทเ่ี พอ่ื นบ้าน
เป็นโรคตดิ ต่อ สภาพแวดล้อมหรอื พฤติกรรมทนี่ ำมาซ่ึงภยนั ตรายต่าง ๆ ต่อผปู้ ว่ ย

4.8 ประวตั ไิ ดจ้ ากการทบทวนอาการตามระบบช่วยเกบ็ สิง่ ตกหลน่ ของประวัตปิ จั จุบนั และ
ประวตั ิอดีตไดเ้ ป็นอย่างดี

43

เอกสารอา้ งองิ

เพญ็ จันท์ สวุ รรณแสง โมไนยพงศ.์ (2545). คมู่ ือตรวจผูป้ ่วยนอก. กรุงเทพฯ: วเี จพริน้ ตง้ิ .
สุรพันธ์ สทิ ธิสขุ . (2541). การสัมภาษณป์ ระวัติ. ใน การสมั ภาษณ์ประวตั ิและตรวจรา่ งกาย. วิทยา
ศรีดามา, วิวัฒน์ กอ่ กจิ และ ชยั ชน โลวเ์ จริญกลู . บรรณาธกิ าร. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พย์ ินิต้ีพับลิเคช่ัน.
Beth Hogan-Quigley, Mary Louise Palm & Lynn S. Bickley. (2012). Bates' Nursing
Guide to Physical Examination and History Taking, 11th Edition.
Carolyn Jarvis. (2016). Physical Examination and Health Assessment 7th Edition.
Jacqueline Rhoads & Sandra Wiggins Petersen. (2018). Advanced health assessment
and diagnostic reasoning 3rd Edition.
Lynn S. Bickley & Peter G. Szilagyi. (2017). Bates' Guide to Physical Examination and
History Taking 12th Edition.

44


Click to View FlipBook Version