ระบบฐานข้อมูลการเช่าห้องของบริษัท วัฒนา อพาร์ทเมนท์ Retail database system for Wattana apartment นางสาวชุติภา วงษาศิริ นางสาวณัฐวดี สิงห์เสนา นางสาวชลธิชา สร้อยขุนทด โครงงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยเทคโนโลยีอรรถวิทย์พณิชยการ ปีการศึกษา 2565
ข บทคัดย่อ หัวข้อโครงการ ระบบฐานข้อมูล การเช่าห้องของบริษัท วัฒนา อพาร์ทเมนท์ Retail database system for Wattana apartment ผู้จัดทําโครงการ 1. นางสาวชุติภา วงษาศิริ รหัสนักศึกษา 42227 ระดับ ปวช. 3/4 2. นางสาวณัฐวดี สิงห์เสนา รหัสนักศึกษา 42312 ระดับ ปวช. 3/4 3. นางสาวชลธิชา สร้อยขุนทด รหัสนักศึกษา 42313 ระดับ ปวช. 3/4 อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ดิฐประพจน์ สุวรรณศาสตร์ อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม อาจารย์สุมลฑา สุขสวัสดิ์ สาขาวิชา คอมพิวเตอร์ธุรกิจ สถาบัน วิทยาลัยเทคโนโลยีอรรถวิทย์พณิชยการ ปีการศึกษา 2565 บทคัดย่อ คณะผู้จัดทําได้คิดทำโครงการนี้นั้นเพื่อสร้างระบบ ฐานข้อมูล ประเภทการเช่าห้องของบริษัท วัฒนา อพาร์ทเมนท์วัตถุประสงค์ของโครงการจัดทำขึ้นเพื่อเพื่อพัฒนาระบบการจัดการห้องพักราย เดือนที่มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยลดปริมาณการใช้กระดาษ และ แฟ้มเอกสารให้น้อยลงและเพื่ออำนวย ความสะดวกและลดขั้นตอนของการทำงานด้านเอกสารเพื่อช่วยในการสำรองข้อมูล ป้องกันเอกสาร สูญหาย หรือ เสียหายเพื่อลดปัญหาความซ้ำซ้อนในการจัดเก็บและค้นหาข้อมูล โครงการจัดการระบบฐานข้อมูลการเช่าห้อง ของบริษัท วัฒนา อพาร์ทเมนท์ เป็นการ ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้อพาร์ทเมนท์เข้ามาช่วยในเรื่องจองห้องพักการทำบิลแจ้งยอดที่ต้อง ชำ ระค่าน้ำ ค่าไฟของลูกค้าทุกเดือนเพื่อทำการแจ้งลูกค้าให้ทราบได้ทันทีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความเป็นระบบระเบียบช่วยในการจัดเก็บข้อมูลของผู้เช่าห้องพักมากขึ้นสะดวกต่อการใช้งานระบฐาน ข้อมูลจะประกอบไปด้วยแฟ้มข้อมูลหลายแฟ้มที่มีข้อมูลเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันเข้าไว้ด้วยกันอย่างเป็น ระบบโดยมีซอฟต์แวร์ที่เปรียบเสมือนสื่อกลางระหว่างผู้ใช้และโปรแกรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ ฐานข้อมูล(Database System) ประโยชน์ของโครงการจัดการระบบฐานข้อมูลการเช่าห้อง ของบริษัท วัฒนา อพาร์ทเมนท์ ได้ช่วยพัฒนาระบบการจัดการห้องพักรายเดือนที่มีประสิทธิภาพได้ช่วยลดปริมาณการใช้กระดาษ และ แฟ้มเอกสารให้น้อยลงได้อำนวยความสะดวกและลดขั้นตอนของการทำงานด้านเอกสารสำรอง ข้อมูล ป้องกันเอกสารสูญหาย หรือ เสียหายได้ลดปัญหาความซ้ำซ้อนในการจัดเก็บและค้นหาข้อมูล
ค กิตติกรรมประกาศ โครงงานฐานข้อมูล ประเภทการเช่าห้องของบริษัท วัฒนา อพาร์ทเมนท์ฉบับนี้ได้จัดทําขึ้น ด้วยความตั้งใจและความพยายามเป็นอย่างมากๆโดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากทุกท่านที่เกี่ยว ข้องกับโครงการฉบับนี้ไม่ว่าจะเป็นท่านอาจารย์ทุกท่านรวมถึงเพื่อน ๆ และผู้ที่มีส่วน ร่วมในโครงงาน ฉบับนี้ ขอขอบพระคุณอาจารย์ดิฐประพจน์ สุวรรณ ศาสตร์ อาจารย์สุมลฑา สุขสวัสดิ์ อาจารย์ฐิติรัตน์ นัยพัฒน์ อาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ที่ได้ให้การสนับสนุนให้ความช่วยเหลือรวมทั้งให้ คำปรึกษาและคําแนะนําตลอดการทําโครงงาน รวมทั้งท่านอาจารย์สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจทุก ท่านที่คอยตักเตือนส่วนที่ผิดพลาดของโครงงานครั้งนี้ขอขอบคุณวิทยาลัยเทคโนโลยีอรรถวิทย์พณิชย การที่ได้เอื้อเฟื้อตําราจากห้องสมุดที่เกี่ยวข้องกับโครงงานพร้อมทั้งขอบพระคุณท่านคณะกรรมการใน การสอบโครงงานที่ให้คําติชมในการสอบวิชาโครงงานเพื่อที่คณะผู้จัดทําได้นําไปปรับปรุง แก้ไขใน ส่วน ที่บกพร่องให้ดีขึ้นเพื่อที่โครงงานในครั้งนี้จะได้ออกมาสมบูรณ์ ขอขอบพระคุณพ่อแม่ บุคคลภายในครอบครัวทุกท่านที่คอยให้กำลังใจและให้โอกาสใน การศึกษาที่วิทยาลัยเทคโนโลยีอรรถวิทย์พณิชยการ รวมทั้งเพื่อน ๆ ทุกคนที่คอยช่วยให้คำปรึกษา ร่วมทุกข์ร่วมสุขและอุปสรรคต่าง ๆ ไปด้วยกันจนทำให้การดำเนินการวิชาโครงงานนี้ได้ลุล่วงและผ่าน ไปด้วยดี ชุติภา วงษาศิริ ณัฐวดี สิงห์เสนา ชลธิชา สร้อยขุนทด
ง คำนำ การจัดทำโครงงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาโครงงาน 1 (20204-8502) และ โครงงาน 2 (20204-8503) หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ โดยคณะผู้จัดทำได้ จัดทำโครงงานเรื่องการเช่าห้องของบริษัท วัฒนา อพาร์ทเมนท์ฐานข้อมูลทขึ้นเพื่อนำเสนอผลงานแก่ ผู้ที่สนใจในการเรียนสาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ โครงงานที่ทางคณะผู้จัดทำได้จัดทำนั้น ประกอบไปด้วยวัตถุประสงค์ของโครงการ โครงการ ที่ทางคณะผู้จัดทําได้จัดทํานั้น ประกอบไปด้วยวัตถุประสงค์ของโครงการ แผนการดําเนินการในการ จัดทําระบบฐานข้อมูล เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ต่าง ๆ และรายละเอียดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการจัดทํา โครงการนี้เกี่ยวกับแนะนําสาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ระบบงานข้อมูลแนะนําสาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการสาขาเหมาะสําหรับผู้ที่มีความสนใจเกี่ยวกับการนำฐานข้อมูลการเช่าห้องไป ใช้ในองกรณ์หรือผู้ที่สนใจสามารถเข้ามาใช้ระบบฐานข้อมูลนี้ได้ทั้งนี้คณะผู้จัดทํา จึงจัดทําระบบ ฐานข้อมูลนี้เพื่อให้ความรู้แก่ผู้ที่สนใจและนำไปใช้ หากโครงการนี้มีข้อผิดพลาดประการใด ทางคณะผู้จัดทำ ขออภัยไว้ณ ที่นี้และจะ ดำเนินการพัฒนาผลงานทางด้านคอมพิวเตอร์ให้พัฒนาให้ดีขึ้นไป คณะผู้จัดทำ 28 กุมภาพันธ์2566
จ สารบัญ หน้า หน้าอนุมัติ ก บทคัดย่อ ข กิตติกรรมประกาศ ค คำนำ ง สารบัญ จ สารบัญรูป ช สารบัญตาราง ฌ บทที่ 1 บทนำ 1.1 ภูมิหลังและความเป็นมา 1 1.2 วัตถุประสงค์โครงการ 2 1.3 ขอบเขตการศึกษา 2 1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 2 1.5 แผนการดำเนินงาน 3 1.6 เครื่องมือที่ใช้พัฒนาโปรแกรม 4 1.7 งบประมาณการดำเนินงาน 5 บทที่ 2 ระบบงานและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 2.1 ระบบงานในปัจจุบัน 6 2.2 ปัญหาระบบงานในปัจจุบัน 7 2.3 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 7 2.4 ระบบงานที่เกี่ยวข้อง 33 บทที่ 3 การออกแบบระบบงานด้วยคอมพิวเตอร์ 3.1 การออกแบบแผนภาพความสัมพันธ์ของข้อมูล 35 3.2 การออกแบบพจนานุกรมข้อมูล (Data Dictionary) 36 3.3 การออกแบบแผนภาพความคิด 38 3.4 การออกแบบสิ่งนำเข้า(Input Design) 40 3.5 การออกแบบสิ่งนำออก(Output Design) 40
ฉ สารบัญ (ต่อ) หน้า บทที่ 4 การพัฒนาระบบฐานข้อมูลการเช่าห้องพักบริษัทวัฒนา อพาร์ทเมนท์ 4.1 เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ 41 4.2 โปรแกรมที่ใช้ในการพัฒนา 41 4.3 การติดตั้งโปรแกรมและระบบ 42 4.4 วิธีการนำไปใช้งาน 45 บทที่ 5 สรุปผลการทำโครงการ 5.1 สรุปผลโครงการ 52 5.2 ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงาน 53 5.3 สรุปเวลาการทำงานจริง (Gantt Chart) 54 5.4 สรุปค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจริง 56 บรรณานุกรม 57 ภาคผนวก 58 - ใบขอเสนออนุมัติโครงการระบบคอมพิวเตอร์ (ATC.01) 59 - ใบขอเสนออาจารย์ที่ปรึกษาร่วมโครงการ (ATC.02) 60 - ใบขอสอบโครงการระบบคอมพิวเตอร์ธุรกิจ (ATC.03) 61 - ใบรายงานความคืบหน้าโครงการระบบคอมพิวเตอร์ธุรกิจ (ATC.04) 63 - ใบบันทึกการเข้าพบที่ปรึกษาโครงการ (ATC.05) 65 - ใบขออนุญาตอาจารย์ที่ปรึกษาร่วมจัดทำ เอกสารบทที่ 4-5 (ATC.06) 73 - ใบรับรองการนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง (ATC.07) 74 ประวัติผู้จัดทำโครงการ 78
ช สารบัญรูป หน้า รูปที่ 2.1 ตัวอย่างความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง 10 รูปที่ 2.2 ตัวอย่างความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อกลุ่ม 10 รูปที่ 2.3 ตัวอย่างความสัมพันธ์แบบกลุ่มต่อกลุ่ม 11 รูปที่ 2.4 ตัวอย่างฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์ 12 รูปที่ 2.5 แสดงตัวอย่างตารางข้อมูลพนักงาน 12 รูปที่ 2.6 แสดงตัวอย่างตารางข้อมูลตำแหน่ง 13 รูปที่ 2.7 แสดงตัวอย่างตารางข้อมูลแผนก 13 รูปที่ 2.8 ตัวอย่างฐานข้อมูลแบบลำดับขั้นตอน 14 รูปที่ 2.9 แสดงโครงสร้างฐานข้อมูลแบบเครือข่าย 15 รูปที่ 2.10 ตัวอย่างรูปแบบฐานข้อมุลแบบเครือข่าย 15 รูปที่ 2.11 สัญลักษณ์ต่าง ๆ ของ E-R Diagram 25 รูปที่ 2.12 แสดง Story Entity Set 26 รูปที่ 2.13 ความสัมพันธ์แบบ Relationship 26 รูปที่ 2.14 ตัวอย่างการสร้าง E-R Diagram จากตารางข้อมูล 27 รูปที่ 2.15 การเข้าสู่โปรแกรม Microsoft Access 28 รูปที่ 2.16 การเลือกเปิดฐานข้อมูลการใช้งาน 29 รูปที่ 2.17 การเลือกไฟล์งานเก่าที่สร้างไว้แล้ว 29 รูปที่ 2.18 ขั้นตอนการสลับภาษาบนเมนูการใช้งาน(1) 30 รูปที่ 2.19 ขั้นตอนการสลับภาษาบนเมนูการใช้งาน(2) 30 รูปที่ 2.20 ขั้นตอนการสลับภาษาบนเมนูการใช้งาน(3) 31 รูปที่ 2.21 แสดงหน้าเมนู FILE 33 รูปที่ 3.1 การออกแบบแผนภาพความสัมพันธ์ของข้อมูล 35 รูปที่ 3.2 หน้า Login 38 รูปที่ 3.3 หน้าเมนู รูปที่ 3.4 หน้าข้อมูลผู้พัก รูปที่ 3.5 หน้าข้อมูลห้องเช่า 38 รูปที่ 3.6 หน้าข้อมูลการชำระเงิน 40 รูปที่ 4.1 ไปโหลดโปรแกรมที่เว็บ แลวกดเลือก Download Microsoft Access 2016 42 รูปที่ 4.2 เมื่อกด ดาวน์โหลด ก็จะมาถึงหน้า Uninstall แลวกด Next 42 39 39
ซ สารบัญรูป (ต่อ) หน้า รูปที่ 4.3 เมื่อกด Next จากหน้าที่แล้วเสร็จ ทำการรอ Uninstall รอดาวน์โหลจนเสร็จ 43 รูปที่ 4.4 หน้า Setup.exe ให้ทำการ Run as administrator โปรแกรมจะทำการ Run เพื่อติดตั้ง 43 รูปที่ 4.5 เมื่อโหลดเสร็จหน้าแรกเสร็จหน้าสุดท้ายก่อนจะได้โปรแกรมคือหน้าติดตั้ง office รอโหลดจนเสร็จ 44 รูปที่ 4.6 เมื่อโหลดเสร็จจะได โปรแกรม Microsoft Access 2016 จากนั้นกดเข้า โปรแกรมถึงจะสามารถใช้ได้ รูปที่ 4.7 เข้า Google Drive รูปที่ 4.8 ดาวน์โหลดโฟลเดอร์ ระบบฐานข้อมูลการเช่าห้องของบริษัท วัฒนา อพาร์ทเมนท์ รูปที่ 4.9 แตกไฟล์ที่ดาวน์โหลดมา รูปที่ 4.10 เปิดโฟลเดอร์ที่ได้ทำการแตกไฟล์แล้ว รูปที่ 4.11 เลือกเปิดที่ตัวโปรแกรม Microsoft Access 44 รูปที่ 4.12 วิธีการเข้าโปรแกรม Microsoft Access 2016 47 รูปที่ 4.13 การเข้าไฟล์งานที่จะทำการเข้าใช้หรือแก้ไขงาน 48 รูปที่ 4.14 การเข้าสู่ระบบหน้า Login 48 รูปที่ 4.15 การเข้าสู่ระบบหน้า เมนูหลัก (Menu) 49 รูปที่ 4.16 การเข้าสู่ระบบหน้า ข้อมูลผู้เช่า ( tenant ) 49 รูปที่ 4.17 การเข้าสู่ระบบหน้า ข้อมูลห้องเช่า (Room) 50 รูปที่ 4.18 การเข้าสู่ระบบหน้า ข้อมูลการเช่า ( Rental ) 50 รูปที่ 4.19 หน้าใบแจ้งการชำระเงิน 51 45 46 45 46 47
ฌ สารบัญตาราง หน้า ตารางที่ 1.1 แผนการดำเนินงาน (Gantt Chart) 3 ตารางที่ 1.2 งบประมาณการดำเนินงาน 5 ตารางที่ 3.1 ตารางข้อมูลลูกค้า 36 ตารางที่ 3.2 ตารางข้อมูลห้องเช่า 36 ตารางที่ 3.3 ตารางข้อมูลการเช่า 37 ตารางที่ 5.1 แสดงขนาดของโปรแกรม 49 ตารางที่ 5.2 สรุปเวลาการดำเนินงานจริง 54 ตารางที่ 5.3 สรุปค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานจริง 56
บทที่ 1 บทนำ 1.1 ภูมิหลังและความเป็นมา ระบบฐานข้อมูล (Database System) คือ ระบบที่รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกัน เข้าไว้ด้วยกันอย่างมีระบบมีความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลต่าง ๆ ที่ชัดเจน ในระบบฐานข้อมูลจะ ประกอบด้วยแฟ้มข้อมูลหลายแฟ้มที่มีข้อมูล เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันเข้าไว้ด้วยกันอย่างเป็นระบบและ เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถใช้งานและดูแลรักษาป้องกันข้อมูลเหล่านี้ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมี ซอฟต์แวร์ที่เปรียบเสมือนสื่อกลางระหว่างผู้ใช้และโปรแกรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ฐานข้อมูล เรียกว่า ระบบจัดการฐานข้อมูล หรือ DBMS (data base management system)มีหน้าที่ช่วยให้ ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายสะดวกและมีประสิทธิภาพ การเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้อาจเป็นการสร้าง ฐานข้อมูล การแก้ไขฐานข้อมูล หรือการตั้งคำถามเพื่อให้ได้ข้อมูลมา โดยผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องรับรู้ เกี่ยวกับรายละเอียดภายในโครงสร้างของฐานข้อมูล ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องโดยที่จะไม่ เกิดความซ้ำซ้อนของข้อมูล และยังสามารถหลีกเลี่ยงความขัดแย้งของข้อมูลด้วย อีกทั้งข้อมูลในระบบ ก็จะถูกต้องเชื่อถือได้ และเป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยจะมีการกำหนดระบบความปลอดภัยของข้อมูล ขึ้น ในปัจจุบันมีบริษัทอพาร์ทเมนท์ที่มีผู้คนเข้ามาเช่าอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก จึงต้องสร้างระบบ ฐานข้อมูลการเช่าห้องของผู้เข้าพักอาศัยเพื่อบันทึกประวัติและข้อมูลของลูกค้าเพื่อความเป็นระบบ ในการบริหารจัดการและสะดวกในการแจ้งค่าเช่าห้อง ค่าน้ำค่าไฟ ค่าล่วงเวลาหากชำระค่าเช่าเกิน เวลาที่กำหนดก็จะมีค่าปรับ การทำงานด้านการเช่าห้องพักต้องบันทึกข้อมูลของผู้เช่าหลายห้องอาจ ส่งผลให้การทำงานผิดพลาดเพราะความวุ่นวายของการเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องหรือการทำงานยัง เป็นระบบการทำงานแบบเดิม ที่ไม่ทันสมัยใช้กับระบบปฏิบัติการวินโดว์รุ่นเก่าๆ ที่มีความสามารถใน การทำงานยังไม่ดีพอและไม่เสถียรทำให้การบันทึกข้อมูลและการตรวจสอบข้อมูลที่บันทึกได้ยาก ทำ ให้เกิดความล้าช้าหรืออาจผิดพลาดได้ ดังนั้นคณะผู้จัดทำจึงมีความต้องการที่จะพัฒนาระบบ โดยการใช้เทคโนโลยีMicrosoft Access เข้ามาช่วยในการบริหารการจองห้องพักของบริษัท วัฒนา อพาร์ทเมนท์เข้ามาช่วยในเรื่อง การจองห้องพัก การทำบิลแจ้งยอดที่ต้องชำระ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและเป็นระบบระเบียบมากขึ้น ซึ่งเป็นการนําเทคโนโลยี เข้ามามีบทบาทและยังทําให้ระบบมีความทันสมัย และยังเพิ่มความสะดวก อีกด้วยในการใช้งานอีกด้วย
2 1.2 วัตถุประสงค์โครงการ 1. เพื่อพัฒนาระบบการจัดการห้องพักรายเดือนที่มีประสิทธิภาพ 2. เพื่อช่วยลดปริมาณการใช้กระดาษ และ แฟ้มเอกสารให้น้อยลง 3. เพื่ออำนวยความสะดวกและลดขั้นตอนของการทำงานด้านเอกสาร 4. เพื่อช่วยในการสำรองข้อมูล ป้องกันเอกสารสูญหาย หรือ เสียหาย 5. เพื่อลดปัญหาความซ้ำซ้อนในการจัดเก็บและค้นหาข้อมูล 1.3 ขอบเขตการศึกษา ส่วนของสมาชิกผู้ใช้งาน 1. สามารถเพิ่ม ลบ แก้ไข ข้อมูลส่วนตัว 2. สามารถตรวจสอบ ค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนได้ ส่วนผู้ดูแลระบบ administrator 1. ผู้ดูแลสามารถ พัฒนาดูแลระบบโปรแกรมได้ทุกอย่าง 2. ผู้ดูแลสามารถ แก้ไขไฟล์งาน เพิ่ม และ ลบ ไฟล์เอกสารในระบบได้ 1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. ได้ช่วยพัฒนาระบบการจัดการห้องพักรายเดือนที่มีประสิทธิภาพ 2. ได้ช่วยลดปริมาณการใช้กระดาษ และ แฟ้มเอกสารให้น้อยลง 3. ช่วยอำนวยความสะดวกและลดขั้นตอนของการทำงานด้านเอกสาร 4. ได้ช่วยในการสำรองข้อมูล ป้องกันเอกสารสูญหาย หรือ เสียหาย 5. ลดปัญหาความซ้ำซ้อนในการจัดเก็บและค้นหาข้อมูล
3 1.2 แผนการดำเนินงาน (Gantt Chart) ตารางที่ 1.1 แผนการดำเนินงาน รายการ ภาคเรียนที่ 1 มิถุนายน 65 กรกฎาคม 65 สิงหาคม 65 กันยายน 65 ระยะเวลา 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 เสนอหัวข้อ ATC.01 5-10 มิ.ย. 65 ประกาศผลรอบที่ 1 13 มิ.ย. 65 เสนอหัวข้อ รอบที่ 2 14-16 มิ.ย 65 ประกาศผล รอบที่ 2 17 มิ.ย. 65 ประชุมโครงงาน 20 มิ.ย. 65 เสนออาจารย์ที่ปรึกษา ร่วม ATC.02 13 -30 มิถุนายน 65 ส่งเอกสารบทที่ 1 สมบูรณ์ 14- มิ.ย. 65 ถึง 8 ก.ค. 65 ส่งเอกสารบทที่ 2 สมบูรณ์ 9-31 ก.ค. 65 ส่งเอกสาร บทที่ 3 สมบูรณ์ 1-31 ส.ค. 65 สอบนำเสนอโครงงาน ATC.03 ครั้งที่ 1 5-23 ก.ย. 65 ส่งเอกสารโครงงาน ปก ,บทที่ 1-3 บรรณานุกรม ATC 01-05 26-30 ก.ย. 65 ติดตามความคืบหน้าโปรแกรม อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม ตุลาคม 65 รายละเอียดในการเข้าพบที่ปรึกษาร่วม 1 2 3 4 ส่งความคืบหน้าโปรแกรม 20 % โครงร่างชิ้นงาน ออกแบบโลโก้ชื่อแบรนด์ 3-9 ต.ค. 65 ส่งความคืบหน้าโปรแกรม 40 % การลงเนื้อหา จัดวางรูปภาพ สีที่ใช้ 10-16 ต.ค. 65 ส่งความคืบหน้าโปรแกรม 60 % การเชื่อมโยง การตั้งชื่อ 17-23 ต.ค. 65 ส่งความคืบหน้าโปรแกรม 80 % ระบบเริ่มใช้งานได้ 24-31 ต.ค. 65
4 ตารางที่ 1.1 แผนการดำเนินงาน (ต่อ) 1.6 เครื่องมือที่ใช้พัฒนาโปรแกรม 1. โปรแกรม Microsoft Windows 11 เป็นระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ 2. โปรแกรม Microsoft Access ใช้ออกแบบฐานข้อมูล 3. โปรแกรม Photoshop ใช้ออกแบบหน้าเข้าสู่ระบบ รายการ ภาคเรียนที่ 2 พฤศจิกายน 65 ธันวาคม 65 มกราคม 66 กุมภาพันธ์ 66 ระยะเวลา 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 ส่งความคืบหน้าโปรแกรม 100 % 1-7 พ.ย. 65 สอบนำเสนอโครงงาน ระดับปวส.2 - ปวช.3 ATC.03 ครั้งที่ 2 26 พ.ย. 65 ส่ง ATC.06 1-16 ธ.ค. 65 ส่ง ATC.07 1-30 ม.ค. 66 ส่งเอกสาร บทที่ 4 สมบูรณ์ 20 ธ.ค. - 23 ม.ค. 66 ส่งเอกสาร บทที่ 5 สมบูรณ์ 31 มกราคม 2566 บทคัดย่อ กิตติกรรมประกาศ คำนำ 1-7 ก.พ.66 สารบัญ สารบัญรูป สารบัญตาราง 8-14 ก.พ.66 ประวัติผู้จัดทำ หน้าอนุมัติ 15-19 ก.พ.66 ภาคผนวก ATC.04-05 20-27 ก.พ.66 ส่งเล่มโครงงาน 28 ก.พ.66 ส่งไฟล์เอกสาร Word PDF โปรแกรม ไฟลรวม PDF ไม่เกิน 10 มีนาคม 2566
5 1.7 งบประมาณการดำเนินงาน ลำดับ รายการ จำนวน ราคา (บาท) 1 กระดาษ A4 3 รีม 450 2 เครื่องปริ้นเตอร์ 1 เครื่อง 2,500 3 ค่าเข้าเล่ม 1 เล่ม 300 รวมเป็นเงิน 3,250 ตารางที่ 1.2 งบประมาณการดำเนินงาน
บทที่ 2 ระบบงานฐานข้อมูลการเช่าห้องพักบริษัทวัฒนา อพาร์ทเมนท์และทฤษฎีที่ เกี่ยวข้อง 2.1 ระบบงานในปัจจุบัน เป็นซอฟต์แวร์ที่ทําหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ประยุกต์ทั่วไปบางครั้ง เราอาจจะเห็นระบบปฏิบัติการเป็นเฟิร์มแวร์ก็ได้ระบบปฏิบัติการมีหน้าที่หลักๆคือการจัดสรร ทรัพยากรในเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อให้บริการซอฟต์แวร์ประยุกต์ ในเรื่องการรับส่งและจัดเก็บข้อมูล กับฮาร์ดแวร์ เช่น การส่งข้อมูลภาพไปแสดงผลที่จอภาพ การส่งข้อมูลไปเก็บหรืออ่านจากฮาร์ดดิสก์ การรับส่งข้อมูลในระบบเครือข่ายการส่งสัญญานเสียงไปออกลําโพงหรือจัดสรรพื้นที่ในหน่วยความจํา ตามที่ซอฟต์แวร์ประยุกต์ร้องขอรวมทั้งทําหน้าที่จัดสรรเวลาการใช้หน่วยประมวลผลกลางในกรณีที่ อนุญาตให้รันซอฟต์แวร์ประยุกต์หลาย ๆ ตัวพร้อม ๆ กันระบบปฏิบัติการช่วยให้ตัวซอฟต์แวร์ ประยุกต์ไม่ต้องจัดการเรื่องเหล่านั้นด้วยตนเองเพียงแค่เรียกใช้บริการจาก ระบบปฏิบัติการก็พอทําให้ พัฒนาซอฟต์แวร์ประยุกต์ได้ง่ายขึ้นเพราะแต่ละโปรแกรมอาจแย่งใช้ทรัพยากรดังกล่าวจนอาจทําให้ ระบบล่มได้ระบบเครือข่าย เช่น เครื่องพิมพ์ ฮาร์ดดิสก์ คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อเข้ากับเครือข่าย จําเป็นต้องมีระบบปฏิบัติการทั้งสองประเภท เพื่อที่จะทําหน้าที่ทั้งจัดการทรัพยากรภายใน คอมพิวเตอร์และในระบบเครือข่ายแต่โดยส่วนใหญ่ระบบปฏิบัติการทั้งสองประเภทจะอยู่ในตัว เดียวกันเมื่อติดตั้งระบบปฏิบัติการเสร็จแล้วก็เพียงติดตั้งส่วนที่เป็นเครือข่าย เทคโนโลยีสมัยใหม่มีบทบาทสําคัญในการช่วยการจัดการศึกษาให้บรรลุอุดมการณ์ทาง การศึกษาตามนโยบายการจัดการศึกษาของรัฐ ซึ่งจะต้องจัดการศึกษาตลอดชีวิตสําหรับทุกคนหรือที่ เรียกว่า การศึกษาเพื่อปวงชนทุกคน อันเป็นการลดความเหลื่อมล้ำโอกาสทางการศึกษาสร้างความ ซึ่งเป็นประโยชน์ในด้านการจัดการศึกษา ระบบอินเตอร์นักเรียนก็สามารถเรียนรู้ได้ทั่วโลกในระบบ เครือข่ายการส่งข้อมูลไปเก็บหรืออ่านจากฮาร์ดดิสก์ การรับส่งข้อมูลในระบบเครือข่ายการส่งสัญญาน เสียงไปออกลําโพงหรือจัดสรรพื้นที่ในหน่วยความจําตามที่ซอฟต์แวร์ประยุกต์ร้องขอรวมทั้งทําหน้าที่ จัดสรรเวลาการใช้หน่วยแต่โดยส่วนใหญ่ระบบปฏิบัติการ หรืออาจเรียกได้ว่ามีห้องสมุดโลกอยู่ที่ โรงเรียนให้บริการซอฟต์แวร์ประยุกต์ ในเรื่องการรับส่ง หรืออยู่ที่บ้าน โดยที่ไม่ต้องเสียเวลา เสีย งบประมาณในการที่จัดซื้อหาหนังสือให้มากมาย เหมือนสมัยก่อน นอกจากนั้นแล้วผู้เรียนสามารถ เรียนรู้ด้วยตนเองได้อย่างอิสระ นอกจากนั้นยังมีสื่อที่เป็นวิทยุ โทรทัศน์ ซีดีรอม สื่ออิเลคทรอนิกส์ ที่ ทําให้ประชาชนทุกคนได้เรียนรู้ได้ตลอดชีวิตโลกเราในปัจจุบันนี้มีการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของด้านการศึกษา เศรษฐกิจ และสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน เรื่องของเทคโนโลยีสารสนเทศ
7 2.2 ปัญหาของระบบงานในปัจจุบัน 1. มีความไม่เป็นระเบียบในการทำงาน 2. ข้อมูลอาจจะเกิดความเสียหายหรือสูญหาย 3. การทำงานล่าช้า 4. ความถูกต้องและความแน่นอนของข้อมูลไม่ดีพอ 2.3 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ระบบฐานข้อมูล (Database System) คือ ระบบที่รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกันเข้า ไว้ด้วยกันอย่างมีระบบมีความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลต่าง ๆ ที่ชัดเจน ในระบบฐานข้อมูลจะ ประกอบด้วยแฟ้มข้อมูลหลายแฟ้มที่มีข้อมูล เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันเข้าไว้ด้วยกันอย่างเป็นระบบและ เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถใช้งาน และดูแลรักษาป้องกันข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมี ซอฟต์แวร์ที่เปรียบเสมือนสื่อกลางระหว่างผู้ใช้และโปรแกรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ฐานข้อมูล เรียกว่า ระบบจัดการฐานข้อมูล หรือ DBMS (Data Base Management System) มีหน้าที่ช่วยให้ ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายสะดวกและมีประสิทธิภาพ การเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้อาจเป็นการสร้าง ฐานข้อมูล การแก้ไขฐานข้อมูล หรือการตั้งคำถามเพื่อให้ได้ข้อมูลมา โดยผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องรับรู้ เกี่ยวกับรายละเอียดภายในโครงสร้างของฐานข้อมูล องค์ประกอบของฐานข้อมูล ระบบฐานข้อมูล ส่วนใหญ่เป็นระบบที่มีการนำระบบคอมพิวเตอร์เข้ามา ช่วยใน การจัดเก็บ โดยมีโปรแกรม Software ช่วยในการจัดการข้อมูลเหล่านี้เพื่อให้ได้ข้อมูลตามที่ผู้ใช้ต้องการ ประวัติความเป็นมาของระบบการจัดการฐานข้อมูล การจัดการฐานข้อมูลเริ่มต้นจากการที่องค์การบริหารการบินและอวกาศสหรัฐอเมริกา หรือ นาซาได้ว่าจ้างบริษัทไอบีเอ็ม (IBM) ประเทศสหรัฐอเมริกา ให้ออกแบบระบบเก็บรวบรวมข้อมูล ที่ได้ จาการสำรวจดวงจันทร์ในโครงการอะพอลโล (โครงการอะพอลโลเป็นโครงการสำรวจอวกาศ อย่าง จริงจังและมีการส่งมนุษย์ขึ้นบนดวงจันทร์ได้สำเร็จด้วยยานอะพอลโล 11) ได้พัฒนาระบบการ ดูแล ข้อมูลเรียกว่า ระบบ GUAM (Generalized Upgrade Access Method) ซึ่งถือเป็นต้นกำเนิด ของ ระบบการจัดการฐานข้อมูลต่อมาบริษัท ไอบีเอ็ม ได้พัฒนาระบบการจัดการฐานข้อมูลขึ้นมาใหม่ เพื่อให้ใช้งานกับธุรกิจทั่ว ๆ ไปได้ เรียกว่า DLI (Data Language) จนในที่สุดก็ได้กลายมาเป็นระบบ IMS (Information Management System) ในช่วงปี พ.ศ. 2525 มีการนำระบบฐานข้อมูล เข้ามาใช้ กับคอมพิวเตอร์อย่างเต็มที่ ได้มีการคิดค้นและผลิตซอฟต์แวร์เกี่ยวกับฐานข้อมูลออกมา มากมาย การเจริญเติบโตของการจัดการฐานข้อมูลรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับระบบ คอมพิวเตอร์และมี การพัฒนามาจนถึงทุกวันนี้ ปัจจุบันได้มีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการเก็บข้อมูล โดยใช้โปรแกรม สำเร็จรูปทั่วไปโดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องเขียนโปรแกรมเองเพียงแต่เรียนรู้คำสั่งการเรียกใช้ ข้อมูลหรือการ จัดการข้อมูล เช่น การป้อนข้อมูล การบันทึกข้อมูล การแก้ไขและเปลี่ยนแปลงข้อมูล เป็นต้น
8 ในอดีตยุคที่มีไมโครคอมพิวเตอร์เกิดขึ้นแรก ๆ โปรแกรมสำเร็จรูปทางด้านการจัดการ ฐานข้อมูลที่ นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย คือ Personal Filling System) ต่อมาได้มีโปรแกรมฐานข้อมูล เพิ่มขึ้น หลายโปรแกรม เช่น Datastar DB Master และ dBASE II เป็นต้นโดยเฉพาะโปรแกรม dBASE II ได้รับความนิยมมาก จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2528 ผู้ผลิตได้สร้าง dBASE II Plus ออกมาซึ่ง สามารถ จัดการฐานข้อมูลแบบสัมพันธ์ (relational) เชื่อมโยงแฟ้มข้อมูลต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ค้นหา และ นำมา สร้างเป็นรายงานตามความต้องการได้สะดวก รวดเร็ว ต่อมาได้มีการสร้าง โปรแกรมสำเร็จรูป เกี่ยวกับฐานข้อมูลออกมา เช่น FoxBASE, FoxPro, Microsoft Access และ Oracle เป็นต้น องค์ประกอบของฐานข้อมูล 1. ฮาร์ดแวร์ (Hardware) ในระบบฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพควรมีฮาร์ดแวร์ต่าง ๆ ที่ พร้อมจะอำนวยความสะดวกในการบริหารข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่ว่าจะเป็น ความเร็วของ หน่วยประมวลผลกลางขนาดของหน่วยความจำหลัก อุปกรณ์นำเข้าและออกข้อมูล รายงาน หน่วยความจำสำรองที่จะรองรับการประมวลผลข้อมูลในระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2. ซอฟต์แวร์ (Software) ในการประมวลผลข้อมูลแตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคอมพิวเตอร์ ที่นำมาใช้ว่าเป็นแบบใด โปรแกรมจะทำหน้าที่ ดูแลการสร้างการเรียกใช้ข้อมูลการจัดทำรายงานการ ปรับเปลี่ยน แก้ไข โครงสร้างการควบคุม หรือ อาจกล่าวได้อีกอย่างว่าระบบจัดการฐานข้อมูล (Database Management System : DBMS) คือ โปรแกรมประยุกต์ต่างๆ ที่มีอยู่ในฐานข้อมูล ตัวอย่างเช่น DBASE IV, EXCEL, ACCESS, INFORMIX, ORACLE เป็นต้น 3. ข้อมูล (Data) ฐานข้อมูลเป็นการจัดเก็บรวบรวมข้อมูลให้เป็นศูนย์กลางข้อมูลอย่างมี ระบบ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถเรียกใช้ร่วมกันได้ผู้ใช้ข้อมูลในระบบฐานข้อมูลจะมองภาพ ข้อมูลใน ลักษณะที่แตกต่างกัน เช่น ผู้ใช้บางคนมองภาพของข้อมูลที่ถูกจัดเก็บได้ในสื่อข้อมูล ผู้ใช้บาง คนมอง ภาพ ข้อมูลจากการใช้งาน เป็นต้น 4. บุคลากร (People) ในระบบฐานข้อมูลจะมีบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 4.1 ผู้ใช้ทั่วไป (User) หมายถึง บุคลากรที่ใช้ข้อมูลจากระบบฐานข้อมูล เพื่อให้งาน สำเร็จ 4.2 พนักปฏิบัติการ (Operator) หมายถึง ผู้ปฏิบัติการด้านการประมวลผลการป้อน ข้อมูลเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ 4.3 นักเขียนโปรแกรม (Programmer) หมายถึงผู้ที่มีหน้าที่เขียนโปรแกรมประยุกต์ใช้ งานต่าง ๆ เพื่อให้จัดเก็บข้อมูลการเรียกใช้ข้อมูลเป็นไปตามต้องการของผู้ใช้ 4.4 นักวิเคราะห์และออกแบบระบบ (System Analyst) หมายถึง บุคลากรที่ทำหน้าที่ วิเคราะห์ระบบฐานข้อมูลและออกแบบระบบงานที่จะนำมาใช้ 4.5 ผู้บริหารฐานข้อมูล (Database Administrator) หมายถึง บุคลากรที่ทำหน้าที่ บริการและควบคุมการบริหารงานของ ระบบฐานข้อมูล ทั้งหมดเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะรวบรวมข้อมูล
9 อะไร เข้าในระบบจัดเก็บโดยวิธีใด เทคนิคการเรียกใช้ข้อมูล กำหนดระบบวิธีการรักษาความปลอดภัย ของข้อมูลการสร้างระบบข้อมูลสำรองการกู้และประสานงานกับผู้ใช้ว่ามีความต้องการใช้ข้อมูล อย่างไร รวมถึงการวิเคราะห์และการออกแบบระบบ เพื่อให้นักเขียนโปรแกรมนำไปเขียน โปรแกรมที่ ใช้ในการ บริหารงานระบบฐานข้อมูลได้อย่างมีประประสิทธิภาพ คำศัพท์พื้นฐานระบบฐานข้อมูล 1. บิต (Bit) หมายถึง หน่วยของข้อมูลที่มีขนาดเล็กที่สุด เป็นข้อมูลที่มีการจัดเก็บในลักษณ์ ของเลขฐานสองคือ 0 กับ 1 2. ไบต์ (Byte) หมายถึง หน่วยของข้อมูลที่เกิดจากการนำบิตมารวมกันเป็นตัวอักขระหรือ 3. ฟิลด์ (Field) หมายถึง เขตข้อมูลหรือหน่วยของข้อมูลที่ประกอบขึ้นจากไบต์หรือตัว อักขระตั้งแต่หนึ่งตัวขึ้นไป มารวมกันแล้วได้ความหมายเป็นคำ ข้อความ หรือของสิ่งใดสิ่งหนึ่งเช่น ชื่อ ตำแหน่ง อายุ เป็นต้น 4. ไฟล์ (File) หมายถึง แฟ้มข้อมูลหรือหน่วยของข้อมูลที่เกิดจากการนำข้อมูลหลาย ๆ ระเบียนที่เป็นเรื่องเดียวกันเช่น แฟ้มข้อมูล ส่วนในระบบฐานข้อมูล ก็จะมีคำศัพท์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง 5. เอนทิตี้ (Entity) หมายถึง ชื่อของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เปรียบเสมือนคำนามได้แก่ คน สถานที่ สิ่งของ การกระทำ ซึ่งต้องการจัดเก็บข้อมูลไว้ เช่น เอนทิตี้นักเรียน เป็นต้น 6. เรคคอร์ด (Record) หมายถึง ระเบียน หรือหน่วยของข้อมูลที่เกิดจากการนำเอาฟิลด์ หรือเขตข้อมูลหลาย ๆ เขตข้อมูลที่เกี่ยวข้องมารวมกันเพื่อเกิดเป็นรายการข้อมูลเรื่องใดเรื่องหนึ่ง 7. แอททริบิวต์ (Attribute) หมายถึง รายละเอียดข้อมูลที่แสดงลักษณะและคุณสมบัติของ แอททริบิวต์หนึ่งเช่น เอนทิตี้สินค้า ประกอบด้วย แอททริบิวต์รหัสสินค้า ประเภท ชื่อ ราคาต่อหน่วย เป็นต้น บางเอนทิตี้ก็ยังอาจประกอบด้วยข้อมูลหลายส่วน หลายแอตทริบิวต์ย่อยมารวมกัน เช่น แอททริบิวต์ที่อยู่พนักงานประกอบด้วย บ้านเลขที่ ถนน ตำบล อำเภอ จังหวัด เช่นนี้แล้ว แอททริบิวต์ ที่อยู่พนักงานจึงเรียกว่าเป็น แอททริบิวต์ (Composite Attribute บางแอทริบิวต์ก็อาจจะไม่มีค่า ของตัวมันเอง แต่จะสามารถหาค่าได้จากแอทรริบิวต์อื่น ๆ เช่น แอทริบิวต์อายุปัจจุบันอาจคำนวณ ได้จากแอทริบิวต์วันเกิด ลักษณะเช่นนี้จึงอาจเรียก แอทริบิวต์อายุว่าเป็น แอทรริบิวต์ที่แปลค่ามา (Derived Attribute) 8. นอมัลไลเซชั่น (Normalization) เป็นทฤษฎีหรือกระบวนการที่ใช้ในการทำให้อนทิตี้และ แอทรีบิวต์ที่ได้ออกแบบไว้ มาจัดกลุ่มตารางให้มีความสัมพันธ์กัน ให้อยู่ในรูปแบบที่เรียกว่า รูปแบบ บรรทัดฐาน หรือ Normal From เพื่อให้ความสัมพันธ์ที่ได้อยู่ในรูปแบบบรรทัดฐานที่ เหมาะสมโดย จุดมุ่งหมายของการนอมัลไลเซชั่น คือ ลดความซ้ำซ้อน (Redundancy) ของข้อมูลใน ตาราง ทำให้ไม่ต้องแก้ไขข้อมูลหลาย ๆ ที่รวมทั้งทำให้ลดเนื้อที่ในการจัดเก็บข้อมูลทำให้การ เปลี่ยนแปลง แก้ไข โครงสร้างของตารางได้ง่ายในภายหลังลดปัญหาความไม่ถูกต้องของข้อมูลโดยการ ปรับปรุงข้อมูล สามารถทำการปรับปรุงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลเพียงแหล่งเดียว
10 ความสัมพันธ์ระหว่างแอททริบิวต์ การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตีกระทำได้ โดยการให้เอนทิตี้ที่มีความสัมพันธ์กัน มีแอททริบิวต์ที่เหมือนกัน และใช้ค่าของแอททริบิวต์ที่เหมือนกันเป็นตัว ระบุข้อมูลในเอนทิตี้ที่มี ความสัมพันธ์กันความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตี้ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้ 1. ความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง (One-to-one Relationship) ความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อ หนึ่ง เป็นการแสดความสัมพันธ์ของข้อมูลในเอนทิตี้หนึ่งว่ามี ความสัมพันธ์กับข้อมูลของอีกเอนทิตี้ หนึ่งในลักษณะที่เป็นหนึ่งที่หนึ่ง เช่นความสัมพันธ์ของประชาชน กับหมายเลขรหัสประจำตัว ประชาชนซึ่งประมาณ 1 คนจะต้องมีหมายเลขรหัสประจำตัวประชาชน 1 หมายเลข ซึ่งไม่ซ้ำกัน นักศึกษากับรหัสประจำตัวนักศึกษา นักศึกษาแต่ละคนจะมีรหัสประจำตัว นักศึกษาไม่ซ้ำกันรถยนต์ กับทะเบียนรถยนต์ก็เช่นกัน รถยนต์แต่ละคนก็จะมีหมายเลขทะเบียนไม่ซ้ำกัน จึงมีความสัมพันธ์แบบ หนึ่งต่อหนึ่ง รูปที่ 2.1 ตัวอย่างความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง 2. ความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อกลุ่ม (One-to-many Relationship) ความสัมพันธ์แบบหนึ่ง ต่อกลุ่มเป็นการแสดงความสัมพันธ์ของข้อมูลของเอนทิตี้หนึ่งว่ามี ความสัมพันธ์กับข้อมูลหลายข้อมูล กับอีกเอนทิตี้หนึ่ง เช่น ความสัมพันธ์ของแผนกกับพนักงานซึ่ง แผนกแต่ละแผนกจะประกอบไปด้วย พนักงานที่สังกัดอยู่ในแผนกหลายคนความสัมพันธ์ของโรงเรียนกับนักเรียน โรงเรียน 1 โรงเรียน มี นักเรียนหลายคนเรียนอยู่ในโรงเรียน จึงมีความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อกลุ่ม รูปที่2.2 ตัวอย่างความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อกลุ่ม 3. ความสัมพันธ์แบบกลุ่มต่อกลุ่ม (Many-to-many Relationship) ความสัมพันธ์แบบกลุ่มต่อกลุ่มเป็นการแสดงความสัมพันธ์ของข้อมูลของ 2 เอนทิตี้ ใน ลักษณะแบบกลุ่มต่อกลุ่ม เช่น ความสัมพันธ์ของนึกศึกษากับหลักสูตร นักศึกษาหลายคน อาจเรียน อยู่ในหลายหลักสูตร ความสัมพันธ์ของลูกค้า/คำสั่งซื้อกับสินค้า ลูกค้าหลายคน อาจซื้อสินค้าได้หลาย ชนิด ในการซื้อแต่ละครั้ง และอาจมีคำสั่งซื้อหลายครั้ง จึงมีความสัมพันธ์แบบกลุ่มต่อกลุ่ม
11 รูปที่2.3 ตัวอย่างความสัมพันธ์แบบกลุ่มต่อกลุ่ม ระดับของข้อมูล เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้ ข้อมูลที่อยู่ในฐานข้อมูลเดียวกัน ผู้ใช้แต่ละคนจะมองข้อมูลในแง่มุม หรือ วิว(View) ที่ต่างกัน ผู้ใช้บาง คนอาจต้องการเรียกใช้ข้อมูลทั้งแฟ้มข้อมูลบางคนอาจเรียกใช้ ข้อมูลเพียงบางส่วนของแฟ้มข้อมูล โดยผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องสนใจว่าการจัดการข้อมูลที่แท้จริงจะเป็น อย่างไร ดังนั้น การเลือกใช้ วิธีจัดเก็บข้อมูลที่เหมาะสมจึงเป็นส่วนที่ทำให้การเลือกใช้ข้อมูลเกิด ประสิทธิภาพฐานข้อมูล ฐานข้อมูลเป็นการนำข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันมารวมกันไว้ในระบบเดียวกัน เรียกใช้โดยผู้ใช้หลายกลุ่ม ข้อมูลที่ผู้ใช้สามารถเรียกใช้ได้มีการแบ่งระดับของข้อมูลอกเป็นระดับต่าง ๆ เพื่อให้การใช้ข้อมูลของผู้ใช้เป็นไปอย่างเหมาะสม แบ่งเป็น 3 ระดับ ดังนี้ 1. ระดับภายนอกหรือวิว (External Level หรือ View) เป็นระดับของข้อมูลที่อยู่สูงที่สุด ประกอบด้วย ภาพที่ผู้ใช้แต่ละคน มองข้อมูล (View) เค้าร่างของข้อมูลระดับนี้เกิดจากความต้องการ ข้อมูลของผู้ใช้ 2. ระดับแนวคิด (Conceptual Level) เป็นระดับของข้อมูลที่อยู่ถัดลงมา อธิบายถึง ฐานข้อมูลว่าประกอบด้วย เอนทิตี้โครงสร้างของข้อมูล ความสัมพันธ์ของข้อมูล กฎเกณฑ์และข้อมูล ต่างๆ อย่างไรข้อมูลในระดับ นี้เป็นข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์และออกแบบโดยผู้บริหารฐานข้อมูล (DBA) หรือนักวิเคราะห์และ ออกแบบฐานข้อมูลเป็นระดับของข้อมูลที่ถูกออกแบบเพื่อให้ผู้ใช้ข้อมูล ในระดับภายนอกสามารถ เรียกใช้ข้อมูลได้ 3. ระดับภายใน (Internal Level หรือ Physical Level) เป็นระดับของข้อมูลที่อยู่ล่างสุด ซึ่งข้อมูลจะถูกเก็บอยู่จริงในสื่อข้อมูลมีโครงสร้างการจัดเก็บรูปแบบใดรวมถึงการเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ในฐานข้อมูล เพื่อดึงข้อมูลที่ต้องการ ชนิดของฐานข้อมูล ข้อมูลในฐานข้อมูลโดยทั่วไปจะถูกสร้างให้มีโครงสร้างที่ง่ายต่อความเข้าใจและการใช้งานของ ผู้ใช้โดยทั่วไปแล้วฐานข้อมูลที่มีใช้อยู่ในปัจจุบันมี 3 รูปแบบด้วยกัน ดังนี้ 1. ฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์ (Relational Database) ฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์ประกอบด้วยกลุ่มของเอนทิตี้ที่มีความสัมพันธ์กัน โดยข้อมูลของแต่ละ เอนทิตี้จะถูกจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบของตาราง 2 มิติในแนวแถว (Row) และแนวคอลัมน์ (Column) โดยบรรทัดแรกของตารางคือ ชื่อแอททริบิวต์
12 รูปที่ 2.4 ตัวอย่างฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์ ในการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างตาราง จะเชื่อมโยงโดยใช้แอททริบิวต์ที่มีอยู่ในทั้งสองตาราง เป็นตัวเชื่อมโยงข้อมูลกัน ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์เป็นรูปแบบที่ง่าย และนิยมใช้ในปัจจุบัน ตัวอย่าง รูปแบบฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ของพนักงานบริษัทแห่งหนึ่ง ประกอบด้วย 3 ตาราง รูปที่ 2.5 แสดงตัวอย่างตารางข้อมูลพนักงาน
13 รูปที่ 2.6 แสดงตัวอย่างตารางข้อมูลตำแหน่ง รูปที่ 2.7 แสดงตัวอย่างตารางข้อมูลแผนก 2. ฐานข้อมูลแบบลําดับขั้น (Hierarchical Database) เป็นฐานข้อมูลที่นําเสนอข้อมูลและความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลในรูปแบบของโครงสร้างต้นไม้ (Tree Structure) เป็นโครงสร้างลักษณะคล้ายต้นไม้เป็นลําดับขั้น ซึ่งแตกออกเป็นกิ่งก้านสาขาผู้ที่ คิดค้นฐานข้อมูลนี้คือ North American Rockwell โดยใช้แนวความคิดของโปรแกรม Generalized Update Access Method (GUAM) โครงสร้างของฐานข้อมูลแบบลําดับขั้นจะมีโครงสร้างของข้อมูล เป็นลักษณะความสัมพันธ์แบบพ่อลูก คือ พ่อ 1 คนมีลูก ได้หลายคนแต่ลูกมีพ่อได้คนเดียว (ความสัมพันธ์แบบ 1 ต่อ n) หรือแบบพ่อคนเดียวมีลูก 1 คน (ความสัมพันธ์แบบ 1 ต่อ 1) ซึ่งจัดแยก ออกเป็นลําดับขั้น โดยระดับขั้นที่ 1 จะมีเพียงแฟ้มข้อมูลเดียว คือ พ่อ ในระดับขั้นที่ 2 และระดับขั้น ที่ 3 จะมีกี่แฟ้มข้อมูลก็ได้โดยในโครงสร้างข้อมูลแบบลําดับขั้นแต่ละกรอบจะมีตัวชี้ (Pointers) หรือ หัวลูกศรวิ่งเข้าหาได้ไม่เกิน 1 หัวกฎควบคุมความถูกต้อง คือ เรคอร์ดพ่อสามารถมีเรคอร์ดลูกได้หลาย เรคอร์ดแต่เรคอร์ดลูกแต่ละเรคอร์ดจะมีเรคอร์ดพ่อได้เพียงเรคอร์ดเดียวเท่านั้นตัวอย่าง ร้านขาย เครื่องใช้ไฟฟ้า ในการขายสินค้า พนักงานขายสามารถขายสินค้าให้แก่ลูกค้าได้หลายคน แต่ลูกค้าแต่ ละคนต้องซื้อสินค้ากับพนักงาน 1 คน แต่ก็สามารถซื้อสินค้าได้มากกว่า 1 อย่างขึ้นไป
14 รูปที่ 2.8 ตัวอย่างฐานข้อมูลแบบลำดับขั้นตอน ลักษณะเด่นของรูปแบบฐานข้อมูลแบบลำดับขั้นเป็นฐานข้อมูลที่มีระบบโครงสร้างซับซ้อน น้อยที่สุด มีค่าใช้จ่ายในการจัดสร้างฐานข้อมูลน้อยลักษณะโครงสร้างเข้าใจง่ายเหมาะสำหรับงานที่ ต้องการ ค้นหาข้อมูลแบบมีเงื่อนไขเป็นระดับและออกรายงานแบบเรียงลำดับต่อเนื่องป้องกันระบบ ความลับ ของข้อมูลได้ดีเนื่องจากต้องอ่านแฟ้มข้อมูลที่เป็นต้นกำเนิดก่อนข้อจำกัดของรูปแบบ ฐานข้อมูลแบบ ลำดับขั้นมีโอกาสเกิดความซับซ้อนมากที่สุดเมื่อเทียบกับฐานข้อมูลแบบโครงสร้างอื่น ขาความสัมพันธ์ ระหว่างแฟ้มข้อมูลในรูปเครือข่ายมีความคล่องตัวน้อยกว่าโครงสร้างแบบอื่นๆ เพราะการเรียกใช้ ข้อมูลต้องผ่านทางต้นกำเนิด (root) เสมอถ้าต้องการค้นหาข้อมูลซึ่งปรากฏใน ระดับต่างๆ แล้ว จะต้องค้นหาทั้งแฟ้ม 3. ฐานข้อมูลแบบเครือข่าย (Network Database) โครงสร้างของข้อมูลแต่ละแฟ้มข้อมูลมีความสัมพันธ์คล้ายร่างแห โดยมีลักษณะโครงสร้าง คล้ายกับโครงสร้างแบบลําดับขั้น แตกต่างกันตรงที่โครงสร้างแบบเครือข่ายสามารถมีต้นกําเนิดของ ข้อมูลได้มากกว่า 1 เรคอร์ด การออกแบบลักษณะของฐานข้อมูลแบบเครือข่ายทําให้สะดวกในการ ค้นหามากกว่าลักษณะฐานข้อมูลแบบลําดับขั้น เพราะไม่ต้องไปเริ่มค้นหาตั้งแต่ข้อมูลต้นกําเนิดโดย ทางเดียว ข้อมูลแต่ละกลุ่มจะเชื่อมโยงกันโดยตัวชี้ข้อมูลภายในฐานข้อมูลแบบนี้สามารถมี ความสัมพันธ์กันแบบใด ก็ได้อาจเป็นหนึ่งต่อหนึ่ง หนึ่งต่อกลุ่ม หรือกลุ่มต่อกลุ่ม กฎการควบคุมของฐานข้อมูลแบบเครือข่าย โครงสร้างแบบเครือข่ายสามารถยินยอมให้ระดับขั้นที่อยู่เหนือกว่ามีหลายแฟ้มข้อมูลแม้ว่า ระดับขั้นถัดลงมาจะมีเพียงแฟ้มข้อมูลเดียว โดยเรคอร์ดที่อยู่เหนือกว่ามีความสัมพันธ์กับเรคอร์ดที่อยู่ ระดับล่างได้มากกว่า1เรคอร์ด โดยแต่ละเรคอร์ดสัมพันธ์กันด้วยการลิงค์ฐานข้อมูลแบบเครือข่ายจะ ทําให้สะดวกในการค้นหามากกว่าฐานข้อมูลแบบลําดับขั้น เพราะไม่ต้องไปเริ่มค้นหาตั้งแต่ข้อมูลต้น กําเนิดโดยทางเดียว ข้อมูลแต่ละกลุ่มจะเชื่อมโยงกันโดยตัวชี้
15 ตัวอย่างของโครงสร้างข้อมูลแบบเครือข่าย ซึ่งแสดงความสัมพันธ์ของผู้ผลิตสินค้าและ คลังสินค้า โดยการใช้ลูกศรเชื่อมโยง รูปที่ 2.9 แสดงโครงสร้างฐานข้อมูลแบบเครือข่าย รูปที่ 2.10 ตัวอย่างรูปแบบฐานข้อมูลแบบเครือข่าย พบว่าผู้ผลิตสินค้ากับสินค้า มีความสัมพันธ์แบบกลุ่มต่อกลุ่ม กล่าวคือ ผู้ผลิตสินค้าแต่ละ บริษัทสามารถขายส่งสินค้าได้มากกว่า 1 ชนิด และสินค้าแต่ละชนิดก็สามารถสั่งได้จากผู้ผลิตสินค้า มากกว่า 1 บริษัท ส่วนสินค้ากับคลังสินค้า มีความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง กล่าวคือ ที่เก็บสินค้าใน คลังสินค้าแต่ละแห่งจะใช้เก็บสินค้าแต่ละชนิดเท่านั้น จุดประสงค์ของการออกแบบฐานข้อมูล การออกแบบฐานข้อมูลนั้นจะเห็นได้ว่าเป็นการกำหนดโครงสร้างของฐานข้อมูลเพื่อเก็บ บันทึก ข้อมูลเป็นส่วนกลาง โดยมีจุดประสงค์ในการออกแบบฐานข้อมูล ดังนี้ 1. เพื่อลดความซ้ำซ้อนของข้อมูลที่อยู่ในระบบงาน 2. สามารถเรียกใช้โดยผู้ใช้หลายคน
16 3. ไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งของข้อมูลอันเป็นผลเนื่องมาจากมีข้อมูลชุดเดียวกันอยู่หลายที่ เมื่อมีการปรับปรุงข้อมูลระดับของฐานข้อมูล ความสำคัญของระบบฐานข้อมูล จัดเก็บข้อมูลที่มีการพัฒนาตามวิวัฒนาการของเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น เทคโนโลยี ด้าน การเก็บข้อมูลในรูปของแฟ้มข้อมูลเป็นรูปแบบเดิมที่ใช้กัน แต่ด้วยเทคโนโลยีของระบบการ คอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ทำให้มีการเปลี่ยนวิธีจัดเก็บข้อมูลจากระบบแฟ้มข้อมูลให้ เป็น รูปแบบที่เรียกว่า “ระบบฐานข้อมูล” ซึ่งการจัดเก็บข้อมูลในระบบฐานข้อมูลมีส่วนที่สำคัญกว่า การ จัดเก็บข้อมูลในรูปของแฟ้มข้อมูล ประโยชน์ของระบบฐานข้อมูล 1. ลดความซ้ำซ้อน ข้อมูลบางชุดที่อยู่ในรูปของแฟ้มข้อมูลอาจมีปรากฏอยู่หลายแห่ง เพราะมีผู้ใช้ข้อมูลหลายคน เมื่อใช้ระบบฐานข้อมูลจะทำให้การเก็บข้อมูลที่ซ้ำซ้อนลดน้อยลง เช่น ข้อมูลในแฟ้มข้อมูลของผู้ใช้หลายคน ผู้ใช้แต่ละคนจะมีแฟ้มข้อมูลเป็นของตัวเอง แต่เมื่อเป็นระบบ ฐานข้อมูล จะลดการซ้ำซ้อนของข้อมูลโดยจัดเก็บในฐานข้อมูลไว้ในที่เดียวกัน ผู้ใช้ทุกคนใช้ข้อมูล ชุดนี้โดยผ่านระบบฐานข้อมูล ทำให้ไม่เปลืองเนื้อที่ในการเก็บข้อมูล 2. รักษาความถูกต้องของข้อมูล เนื่องจากฐานข้อมูลมีเพียงชุดเดียวในฐานข้อมูล ที่ข้อมูลชุดเดียวกันอยู่หลายแห่ง ฐานข้อมูลเหล่านี้ต้องตรงกัน ถ้ามีการแก้ไขข้อมูล ทุกหน่วยงานที่มี ข้อมูลอยู่จะมีการแก้ไขให้ถูกต้องทั้งหมดโดยอัตโนมัติด้วยระบบจัดการฐานข้อมูล ดังนั้นระบบ จัดการ ฐานข้อมูลจะทำหน้าที่ตรวจสอบ ดูแลกฎเกณฑ์ และควบคุมความถูกต้องของข้อมูลได้ 3. ป้องกันและรักษาความปลอดภัยของข้อมูล ระบบฐานข้อมูลจะให้ใช้ได้เฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น ผู้ที่มีสิทธิเข้าไปใช้ข้อมูลในฐานข้อมูลได้ซึ่งเรียกว่า “มีสิทธิส่วนบุคคล (Privacy) การรักษา ความปลอดภัยจึงทำได้อย่างสะดวก ก่อให้เกิดความปลอดภัย (Security) กับข้อมูล นั่นคือ ผู้ใดที่มี สิทธิ์เข้าถึงข้อมูลได้ จะต้องมีการกำหนดสิทธิ์กันไว้ก่อน และเมื่อผู้ใช้เข้าไปใช้ข้อมูลนั้น ๆ จะเห็น ข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูลเฉพาะส่วนของผู้ใช้เท่านั้น 4. สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้ ในระบบฐานข้อมูลเป็นที่เก็บรวบรวมข้อมูลทุกอย่างไว้ ผู้ใช้แต่ละคนจึงสามารถที่จะใช้ข้อมูลในระบบได้ทุกข้อมูล ในขณะที่ผู้ใช้ในระบบแฟ้มข้อมูลจะใช้ได้ เพียง ข้อมูลของตนเองเท่านั้น เช่น ข้อมูลของระบบเงินเดือนกับข้อมูลของระบบงานบุคคล ผู้ใช้ที่ใช้ ข้อมูล ระบบเงินเดือนจะใช้ข้อมูลได้เฉพาะระบบเงินเดือน ส่วนผู้ใช้ที่ใช้ข้อมูลระบบงานบุคคลก็จะใช้ ข้อมูลได้เฉพาะระบบงานบุคคล เพียงระบบงานเดียวเท่านั้น แต่ถ้าข้อมูลทั้ง 2 ถูกเก็บไว้เป็นฐานข้อมูล ผู้ใช้ทั้ง 2 ระบบก็สามารถเรียกใช้ข้อมูลทั้งสองระบบงานที่อยู่ในฐานข้อมูลเดียวกันได้ 5. มีความเป็นอิสระของข้อมูล เมื่อต้องการเปลี่ยนแปลงข้อมูลหรือนำข้อมูลมาประยุกต์ใช้ ให้เหมาะสมกับโปรแกรมที่เขียนขึ้นมา ผู้ใช้จะสามารถสร้างข้อมูลนั้นขึ้นมาใช้ใหม่ได้โดยไม่มี ผลกระทบต่อระบบฐานข้อมูล เพราะข้อมูลที่ผู้ใช้นำมาประยุกต์ใช้ใหม่นั้นไม่กระทบต่อโครงสร้างที่
17 แท้จริงของการจัดเก็บข้อมูลคือ การใช้ระบบฐานทำให้มีอิสระระหว่างการ ประยุกต์ใช้จัดเก็บข้อมูล และการ 6. สามารถขยายงานได้ง่าย เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับระบบงาน ทำให้ต้องเพิ่มเติม ข้อมูลที่เกี่ยวข้องจะสามารถทำการเพิ่มได้ เนื่องจากมีความเป็นอิสระของข้อมูลจึงไม่มีผลกระทบ ต่อในระบบและโปรแกรมประยุกต์เดิมที่ใช้อยู่ ข้อมูลเดิมที่มีอยู่ 7. ข้อมูลบูรณะกลับสู่สภาพปกติได้เร็วและมีมาตรฐาน ข้อมูลในระบบแฟ้มข้อมูล ผู้เขียน โปรแกรมแต่ละคนจะมีแฟ้มข้อมูลเฉพาะของแต่ละคน ในกรณีที่ข้อมูลเสียหายแต่ละคนต่างก็ สร้าง ระบบการบูรณะข้อมูลให้กลับสู่สภาพด้วยตนเอง จึงทำให้ขาดประสิทธิภาพและมาตรฐาน แต่ระบบ ฐานข้อมูล การบูรณะข้อมูลให้กลับคืนสู่สภาพปกติจะมีระบบโปรแกรมชุดเดียวและมีผู้ดูแล เพียง คนเดียวที่ดูแลทั้งระบบ ซึ่งจะมีประสิทธิภาพและเป็นมาตรฐานเดียวกัน ระดับของฐานข้อมูล 1. การออกแบบฐานข้อมูลในระดับแนวคิด (Conceptual Database Design) การออกแบบ ฐานข้อมูลในระดับนี้ เป็นการกำหนดโครงร่าง (Schema) โดยมีจุดมุ่งหมาย เพื่ออธิบายโครงสร้าง หลักๆ ของข้อมูลภายในระบบฐานข้อมูล โดยไม่คำนึงว่าฐานข้อมูลที่จะนำมาใช้ มีโครงสร้างข้อมูล อธิบายได้ว่า แบบไหนการออกแบบในระดับแนวคิดจะสามารถเป็นแนวทางการ พัฒนาระบบฐานข้อมูล ฐานข้อมูลที่สร้างขึ้นประกอบด้วยข้อมูล (Entities) ใดบ้าง ทั้งที่เป็นรูปธรรม เช่น ชื่อคน ชื่อสถานที่ ชื่อสิ่งของ และที่เป็นนามธรรม เช่น ความชำนาญ การกระทำต่างๆ เป็นต้น โดยมีการจัดเก็บ รายละเอียด ข้อมูล (Attributes)ที่แสดงลักษณะและคุณสมบัติของข้อมูลนั้นๆ และ มีความสัมพันธ์ (Relations) ระหว่างข้อมูลเหล่านั้นอย่างไร ดังนั้น ผลของการออกแบบในระดับนี้จึง เป็นรูป แบบจำลองของข้อมูลที่จะประกอบด้วย โครงสร้างที่อยู่ในแนวคิดที่ยังไม่สามารถนำไปใช้งาน ได้จริง 2. การออกแบบฐานข้อมูลในเชิงตรรกะ (Logical Database Design) การออกแบบฐานข้อมูลในระดับนี้ เป็นระดับที่ต่อเนื่องมาจาก การออกแบบฐานข้อมูลใน ระดับแนวคิด โดยอาศัยโครงสร้างที่ได้จาก ระดับแนวคิดมาตรวจสอบความถูกต้องของโครงร่างที่ ออกแบบขึ้นกับ ส่วนประมวลผลต่างๆ ที่ออกแบบไว้และปรับปรุงให้เป็นไปตามโครงสร้างข้อมูลของ ฐานข้อมูลที่จะนำไปใช้งานว่าเป็นโครงสร้างแบบลำดับชั้น (Hierarchical) แบบเครือข่าย (Network) แบบเชิงสัมพันธ์ (Relational) หรือแบบเชิงวัตถุ (Object Oriented) ตัวอย่างเช่น ข้อมูลที่ 1 กำหนดให้เป็นข้อมูล (Entity) ของข้าราชการสังกัด สำนักงานปลัดกระทรวง มหาดไทย มีรายละเอียดของข้อมูล (Attributes) ประกอบด้วย รหัสประจำตัวข้าราชการ ชื่อ ข้าราชการ ที่อยู่ข้าราชการ ข้อมูลที่ 2 ข้อมูลของหน่วยงานในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ประกอบด้วย รหัสหน่วยงาน ชื่อหน่วยงาน ซึ่งข้อมูลทั้งสอง มีความสัมพันธ์ (Relationship) ระหว่าง ข้อมูล
18 ข้าราชการและข้อมูลหน่วยงาน ในลักษณะว่า ข้าราชการแต่ละคนปฏิบัติงานอยู่ในสังกัด หน่วยงานใด หรือแนวทางการพัฒนาระบบฐานข้อมูล 21 กองคลังมีจำนวนข้าราชการในสังกัดเท่าไหร่ ชื่อ – สกุล ใด้บ้างและข้าราชการเหล่านั้นดำรงตำแหน่งใดเป็นต้น ขั้นตอนการออกแบบฐานข้อมูลในเชิงตรรกะนี้ จะเน้นความสำคัญ ในส่วนของการจัดกลุ่มข้อมูลโดยไม่เกิดความซ้ำซ้อน ด้วยวิธีการทำให้ เป็น รูปแบบที่เป็นบรรทัดฐาน (Normalization) เพื่อการปรับการออกแบบ ฐานข้อมูลให้เหมาะสม กล่าวคือ ดำเนินการให้ข้อมูลอยู่ในรูปที่เป็นหน่วย เล็กที่สุดที่ไม่สามารถแตกออกเป็นส่วนย่อยๆ ได้อีก ตัวอย่างเช่น ข้อมูลข้าราชการประกอบด้วย รหัสประจำตัวข้าราชการ ไม่สามารถกำหนดเป็นหน่วย ย่อย ได้อีกแล้ว ชื่อข้าราชการ กำหนดเป็นหน่วยย่อย คือ คำนำหน้า ชื่อตัว ชื่อสกุล ที่อยู่ ข้าราชการ กำหนดเป็นหน่วยย่อย คือ บ้านเลขที่ หมู่บ้าน ถนน ตำบล อำเภอ จังหวัด รหัสไปรษณีย์ เป็นต้น 3. การออกแบบฐานข้อมูลในระดับกายภาพ (Physical Database Design) เป็นขั้นตอน สุดท้ายของการออกแบบฐานข้อมูล โดยจะกำหนด ข้อมูลที่จะจัดเก็บลง ฐานข้อมูลจริงมีการกำหนดวิธีในการเข้าถึงข้อมูล (Access Method) ประเภทของข้อมูล (Data Type) โครงสร้างข้อมูล (Data Structure) การจัดระเบียนแฟ้ม (File Organization) เป็นต้น ซึ่งผล จาก การออกแบบฐานข้อมูลในระดับกายภาพนี้จะสามารถนำไปใช้ในการสร้าง ฐานข้อมูลจริง ทั้งนี้ ก่อนที่จะออกแบบฐานข้อมูลในระดับนี้ผู้ออกแบบ จะต้องเลือกว่าจะใช้โปรแกรมหรือซอฟแวร์ใด เพื่อ ช่วยจัดการข้อมูลหรือแนวทางการพัฒนาระบบฐานข้อมูล รายการต่าง ๆ ที่อยู่ในฐานข้อมูล ทั้ง การ จัดเก็บ การเรียกใช้และการ ปรับปรุงข้อมูล ซึ่งโปรแกรมฐานข้อมูลจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหา ข้อมูล ได้อย่างรวดเร็ว โปรแกรมฐานข้อมูลที่นิยมใช้มีอยู่ด้วยกันหลายตัว โดยแต่ละโปรแกรม จะมี ความสามารถต่างกัน บางโปรแกรมใช้ง่าย ราคาไม่แพง แต่จะจำกัด ขอบเขตการใช้งาน เช่น Access dBase, FoxPro, Clipper, FoxBASE เป็นต้น บางโปรแกรมมีความสามารถในการทำงานมากกว่า แต่ ใช้งานยากกว่า และต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมากเพื่อให้ มีสิทธิ์ในการใช้งานตามกฎหมาย เช่น Oracle, SAP, DB2 เป็นต้น โปรแกรมจัดการระบบฐานข้อมูล บางโปรแกรมได้อนุญาต ให้ใช้งานได้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการใช้งาน ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่าซอฟต์แวร์รหัสเปิด (Opensource Software) เช่น Base (OpenOffice.org) เป็นต้น เมื่อมีผลิตภัณฑ์ให้เลือกใช้ งาน มากมายเช่นนี้ ผู้พัฒนาระบบจึงต้องมีการพิจารณาผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ดังนี้ คุณลักษณะและ เครื่องมือของระบบจัดการ ฐานข้อมูลซึ่งผลิตภัณฑ์ บางตัวจะรวมเอาเครื่องมือต่าง ๆ ที่ให้ความสะดวก ในการพัฒนาโปรแกรม ประยุกต์ เช่น การออกแบบหน้าจอ การสร้างรายงาน การสร้างโปรแกรม ประยุกต์พจนานุกรมข้อมูล และอื่น ๆ ค่าใช้จ่าย เช่น ค่าลิขสิทธิ์ การซ่อมบำรุง การฝึกอบรม ค่าใช้จ่าย ในการเปลี่ยนไปใช้ ผลิตภัณฑ์ใหม่กรณีที่มีฐานข้อมูลเดิมอยู่แล้ว ความสามารถในการใช้งานข้าม แพลตฟอร์มข้ามระบบ และภาษา พิจารณาว่ารูปแบบของฐานข้อมูลที่ได้ออกแบบไว้ เป็นโครงสร้าง แบบลำดับชั้น แบบ เครือข่าย แบบเชิงสัมพันธ์หรือแบบเชิงวัตถุแนวทางการพัฒนาระบบฐานข้อมูล ความต้องการทาง ฮาร์ดแวร์ของผลิตภัณฑ์ เช่น พื้นที่ จัดเก็บข้อมูล ความต้องการหน่วยความจำ เป็นต้น
19 ขั้นตอนการออกแบบฐานข้อมูล 1. เก็บรวบรวมข้อมูลรายละเอียดทั้งหมด 1.1 การเก็บรวบรวมข้อมูลและรายละเอียดต่างๆของงาน รวมทั้งความต้องการของ ผู้ใช้ เช่น มีข้อมูลใดบ้างที่เป็น เรื่องเดียวกัน ให้จัดกลุ่มข้อมูลนั้นเป็นเอนทิตี้ 1.2 ชนิดของข้อมูลแบบใด (ตัวอักษร ตัวเลข หรืออื่น ๆ ) มีเงื่อนไขหรือข้อกำหนด อย่างไร เช่นรหัส พนักงานจะต้องเป็นเลข 6 หลัก อายุพนักงานต้องไม่เกิน 55 ปี วุฒิการศึกษาของพนักงาน ต้องไม่ต่ำกว่าระดับ ปวส. 1.3 มีข้อมูลอะไรบ้างที่จะต้องนำมาค้นหาหรือประมวลผล ผลที่ได้ต้องส่งออกระบบ ภายนอกหรือไม่ 1.4 มีใครบ้างที่เป็นผู้ใช้ฐานข้อมูลนี้ ใช้บ่อยแค่ไหน มีความสำคัญอย่างไร 1.5. ลักษณะของรายงาน ประกอบด้วยรายงานอะไรบ้าง ระยะเวลาในการออก รายงาน 1.6 ข้อมูลอื่น ๆ ที่สามารถรวบรวมได้ โดยพยายามก็บรายละเอียดให้มากที่สุด 2. กำหนดโครงสร้างของ Table จากกลุ่มข้อมูลหรือเอนทิตี้ที่รวบรวมได้จากเอกสารต่างๆใน ขั้นที่ 1 เราจะนํามากําหนดแอ ตทริบิวต์ของข้อมูล เพื่อจะได้ทราบว่าในเอนทิตี้นั้นจะนำข้อมูลอะไร มาใช้บ้าง หลังจากนั้นให้นำแอ ตทริบิวต์มากำหนดโครงสร้างเบื้องต้นของ Table โดยแปลงแอตทริ บิวต์เป็นฟิลด์ พร้อมกำหนดชนิด และขนาดข้อมูลในแต่ละขนาดข้อมูลในแต่ละฟีลด์รวมทั้งเงื่อนไข หรือกฎเกณฑ์ที่ใช้กำหนดลักษณะ ของข้อมูล 3. กำหนดคีย์ขั้นตอนนี้จะพิจารณาว่าฟีดใดบ้างใน Table นั้นที่มีคุณสมบัติเหมาะสมจะใช้ เป็นคีย์ ถ้า ไม่มีฟีลด์ใดเลยที่เหมาะสม ก็จะต้องกำหนดฟิลด์ใหม่เพื่อใช้เป็นคีย์โดยเฉพาะ 20 4. การทํา Normalization ถ้า Table ที่ได้จากขั้นที่ 2 ยังมีความซ้ำซ้อนกันของข้อมูล หรือ ข้อมูลบางฟีลด์ไม่เกี่ยวข้อง โดยตรงกับเนื้อหาใน Table นั้นจะต้องนำมาปรับปรุงแก้ให้มีดครงสร้าง หรือรูปแบบที่เหมาะสมก่อน นำไปประมวลผล ถ้านำโครงสร้างไปใช้เลยโดยไม่ทำ Normalization ก่อนอาจเกิดปัญหาได้ เช่น ปัญหาความผิดปกติ (Anomaly) ของข้อมูลเมื่อมีการ ปัญหาสิ้นเปลือง เนื้อที่จัดเก็บข้อมูลที่ซ้ำซ้อนกัน แก้ไขเพิ่ม หรือลบเรคอร์ด รวมทั้งปัญหาในการ 5. กำหนดความสัมพันธ์ นำ Table ทั้งหมดที่ได้หลังจากทำ Normalization มาสร้าง ความสัมพันธ์โดยใช้คีย์ กำหนดในชั้นที่ 3 หรือคีย์ที่เกิดขึ้นใหม่จากการทำ Normalization เป็น ตัวเชื่อม ซึ่งอาจเป็นแบบ One - to - One, One -to - Many หรือ Many to Many ขึ้นกับลักษณะ ของข้อมูลการกำหนด ความสัมพันธ์ระหว่าง Table นี้มีความสำคัญมาก ผู้ออกแบบจะต้องมีการ วิเคราะห์ให้ได้ว่าข้อมูลใน Table ต่างๆนั้นมีความสัมพันธ์กันในลักษณะใด
20 ความหมายของฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ ระบบฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational Database) เป็นฐานข้อมูลที่ใช้โมเดลเชิงสัมพันธ์ (Relational Database Model) ซึ่งผู้คิดค้นโมเดลเชิงสัมพันธ์นี้คือ Dr. E.F. Codd โดยใช้หลัก พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ เนื่องด้วยแนวคิดของแบบจำลองแบบนี้มีลักษณะที่คนใช้กันทั่วกล่าวคือมีการ เก็บเป็นตาราง ทำให้ง่ายต่อการเข้าใจและการประยุกต์ใช้งาน ด้วยเหตุนี้ ระบบฐานข้อมูลแบบนี้จึง ได้รับความนิยมมากที่สุด ในแง่ของ entity แบบจำลองแบบนี้คือ แฟ้มข้อมูลในรูปตาราง และ attribute ก็เปรียบเหมือนเขตข้อมูล ส่วนความสัมพันธ์คือความสัมพันธ์ระหว่าง entityฐานข้อมูลเชิง สัมพันธ์คือ การเก็บข้อมูลในรูปของตาราง (Table) หลาย ๆ ตารางที่มีความสัมพันธ์กัน ในแต่ละ ตารางแบ่งออกเป็นแถวๆ และในแต่ละแถวจะแบ่งเป็นคอลัมน์ (Column) ในทางทฤษฎีจะมี คำศัพท์ เฉพาะแตกต่างออกไป คําศัพท์ที่ใช้ในระบบฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ การออกแบบระบบฐานข้อมูล เชิงสัมพันธ์ก่อนที่จะเข้าเนื้อหาของโปรแกรมจัดการ ฐานข้อมูล นักศึกษาจะต้องรู้จักวิธีการออกแบบฐาน ข้อมูลเสียก่อน เพราะเป็นความรู้พื้นฐานและเป็น อันดับแรกที่จะเริ่มสร้างฐานข้อมูล ดังนั้นในบทนี้ จะอธิบายถึงวิธีการออกแบบฐานข้อมูล การวางแผน การออกแบบให้มีประสิทธิภาพ เมื่อสร้างเสร็จ สามารถใช้งานได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และไม่ยุ่งยาก เมื่อมีการปรับเปลี่ยนแก้ไขในภายหลังและในหนังสือเล่มนี้จะขออธิบายถึงการออกแบบระบบ ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์เพียงประเภทเดียว เพราะเป็น ที่นิยมและเข้าใจโครงสร้างได้ง่าย คําศัพท์ที่ใช้ในระบบฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ ในระบบฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์จะมีคำศัพท์ที่เรียกกันและเป็นคำศัพท์สากลที่ใช้กันทั่วไป ซึ่งใน การออกแบบจะต้องทราบและทำความเข้าใจเสียก่อน เพื่อจะได้ออกแบบโครงสร้างให้มี ประสิทธิภาพ โดยมีคำศัพท์ต่าง ๆ ดังนี้ รีเลชั่น (Relation) หรือจะเข้าใจกันดีในชื่อ ตาราง (Table) ที่จะเก็บรวบรวมข้อมูลในรูป ของ2 มิติ ที่ประกอบไปด้วยแถว (Row) และคอลัมน์ (Column) โดยแถวของรีเลชั่น (Relation) คือ 1 รายการข้อมูล หรือ 1 ระเบียน (Record) ในระบบแฟ้มข้อมูล ส่วนคอลัมน์ คือ คุณลักษณะที่บ่ง บอก ถึงข้อมูลในแต่ละแถวหรือฟิลด์ (เขตข้อมูล) ในระบบแฟ้มข้อมูล สำหรับความหมายในรีเลชั่น (Relation) จะเรียกว่า ทูเพิล (Tuple) และ แอททริบิวต์ (Attribute) ตัวอย่างเช่น รีเลชั่น (Relation) ของการเก็บประวัติการเช่าห้องพักของอพาร์ทเม้นท์แห่งหนึ่งที่ประกอบไปด้วย เลขที่บัตรประชาชน ของผู้เช่า(ID Card) ชื่อ นามสกุล เพศ อายุ ที่อยู่ตามบัตรฯ วันที่เข้าพัก จำนวนคนที่พัก กรณีการแก้ไขข้อมูล 1. ห้ามทำการแก้ไขข้อมูลในรีเลชันที่ถูกอ้างถึงนั้น เนื่องจากจะทำให้ข้อมูลในรีเลชันที่อ้างอิง มา ไม่สามารถอ้างอิงข้อมูลได้
21 2. อนุญาตให้ทําการแก้ไขข้อมูลในรีเลชันที่ถูกอ้างอิงถึงได้ แต่จะต้องตามไปแก้ไขข้อมูล ในรีเลชันที่อ้างอิงมาให้ตรงกับข้อมูลที่แก้ไขใหม่ทั้งหมด 3. อนุญาตให้ทําการแก้ไขข้อมูลในรีเลชันที่ถูกอ้างอิงถึงได้ โดยการแก้ไขข้อมูลในรีเลชัน ที่ อ้างอิงมาให้มีค่าเป็น ค่าว่าง กรณีการลบข้อมูล 1. ห้ามทำการลบข้อมูลในรีเลชันที่ถูกอ้างถึงนั้น เนื่องจากจะทำให้ข้อมูลใน รีเลชันที่อ้างอิง มาไม่สามารถอ้างอิงข้อมูลได้ 2. อนุญาตให้ทำการลบข้อมูลในรีเลชันที่ถูกอ้างอิงถึงได้ แต่จะต้อง ตามไปลบข้อมูลในรีเลชัน ที่อ้างอิงมาทั้งหมด 3. อนุญาตให้ทำการลบข้อมูลในรีเลชันที่ถูกอ้างอิงถึงได้ โดยการแก้ไขข้อมูลในรีเลชัน ที่อ้างอิงมาให้มีค่าเป็นค่าว่าง (Null value) ค่าว่าง (Null Values) ค่าของ Attribute อาจจะเป็นค่า ว่าง (Null) คือ ไม่มีค่าหรือยังไม่ทราบค่าได้ ตัวอย่างเช่น จำนวนไข่ของนกกระจอกเทศจะสามารถ บอกได้เมื่อนกกระจอกเทศออกไข่แล้วแต่ยังไม่ทราบว่า ในขณะที่จำนวนไข่ของช้างนั้นไม่มีค่า เป็นต้น ข้อมูล (Data manipulation) การจัดการกับข้อมูล Dr. E.F. Codd ได้นําทฤษฎีของเซท ซึ่งเป็น ทฤษฎีทางคณิตศาสตร์มาใช้ในการจัดการกับข้อมูลของฐานเชิงสัมพันธ์ซึ่งมีอยู่หลายการกระทำ ด้วยกันในบทนี้จะกล่าวโดยย่อ ๆ เท่านั้นเนื่องจากเป็นเนื้อหาทางทฤษฎีซึ่งการนำไปใช้งานจริงนั้นจะ พูดถึงในบทที่เกี่ยวกับคำสั่งที่ใช้จัดการฐานข้อมูลซึ่งเนื้อหาจะมีความใกล้เคียงกัน การกระทำเหล่านี้ ได้แก่Restrictคำว่าRestrict เป็นโอเปอเรเตอร์ทางคณิตศาสตร์ที่ใช้ในการเลือกข้อมูลจากรีเลชั่นหนึ่ง ๆ ที่มีเงื่อนไขตรงตามที่ระบุไว้กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ใช้ในการแสดงข้อมูลของทูเพิลที่เป็นไปตามเงื่อนไข ที่ระบุไว้COMPARISION ในที่นี้ หมายถึงเงื่อนไข ของข้อมูลที่ต้องการเรียกดู ซึ่งจะระบุชื่อแอททริบิวต์ และค่าเฉพาะที่ต้องการดูข้อมูล โดยมี เครื่องหมายที่ประกอบการระบุเงื่อนไข เช่น = (เท่ากับ) < (น้อยกว่า) > (มากกว่า) < (ไม่เท่ากับ) เป็นต้น ในกรณีที่มีเงื่อนไขมากกว่าหนึ่งเงื่อนไขอาจใช้คำว่า OR (หรือ) AND (และ) ประกอบกันเป็นเงื่อนไขที่ต้องการได้ โครงสร้างของฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์เป็น Database ชนิดหนึ่ง ซึ่ง นำมาใช้เป็นพื้นฐานในการจัดการ ฐานข้อมูลของโปรแกรม โดยใน Database หนึ่งนั้นอาจประกอบ ไปด้วย Table หลาย ๆ Table และในแต่ละ Table ก็จะมีความสัมพันธ์ (Relation) ซึ่งกันและกัน ได้ มีตำราหลายเล่มได้อธิบายถึง ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ไว้ดังนี้ สมจิตร อาจอินทร์และงามนิจ อาจอินทร์ (2540:26) ให้ความหมายว่า ฐานข้อมูลเชิง สัมพันธ์เป็นฐานข้อมูลที่มีความนิยมใช้กันมากในปัจจุบัน ซึ่งจะสามารถใช้งานได้กับ เครื่องคอมพิวเตอร์ ทุกระดับตั้งแต่ไมโครคอมพิวเตอร์จนกระทั่งถึง เมนเฟรมคอมพิวเตอร์โครงสร้าง ข้อมูลจะถูกเก็บอยู่ในรูปแบบของตาราง (Table) ซึ่งภายในตาราง จะแบ่งออกเป็นแถว (row) และ คอลัมน์ (column) การแสดงความสัมพันธ์ของข้อมูลระหว่าง แฟ้มข้อมูล จะสามารถมองเห็นได้จาก
22 ตัวข้อมูลที่เก็บอยู่ใน แฟ้มข้อมูลเลยองค์ประกอบของฐานข้อมูล เชิงสัมพันธ์ ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ ประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 ส่วน ดังนี้ 1) ส่วนโครงสร้างของข้อมูล (Data Structure) เป็นส่วนการจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบ ของ ตารางที่ประกอบด้วยคอลัมน์และแถว 2) ส่วนจัดการข้อมูล (Data Manipulation) เป็นส่วนของ คำสั่งที่ใช้จัดการข้อมูลที่ถูกเก็บ อยู่ในฐานข้อมูล (อยู่ในรูปแบบของภาษา SQL 3) ส่วนควบคุมความ คงสภาพของข้อมูล (Data Integrity) เป็นส่วนของคำสั่งที่ใช้จัดการ ข้อมูล ที่ ถูก เก็บอยู่ในฐานข้อมูล (อยู่ในรูปแบบของภาษา SQL 3) ส่วนควบคุมความคงสภาพของ ข้อมูล (Data Integrity) เป็น ข้อกำหนดหรือกฎเกณฑ์ ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ควบคุมความคงสภาพ ของข้อมูล ประเภทของคีย์ คีย์ที่ใช้ในระบบฐานข้อมูลมีหลายประเภท ดังนี้ คีย์หลัก (Primary key) หมายถึง แอตทริบิวต์หรือกลุ่มของแอตทริบิวต์ของเทเบิลหนึ่ง ที่มีข้อมูลไม่ ซ้ำกันและมีค่าเสมอ ไม่เป็น NULL) ทำให้สามารถระบุได้ว่าเป็นข้อมูลแถวใดในเทเบิลนั้น คีย์หลักจะใช้ประโยชน์ในการระบุ identify) ข้อมูลที่ต้องการเข้าถึง อินเด็ก (index) หรือ ดัชนีซึ่ง นอกจาก คีย์ลำดับรอง (Secondary Key) หรือบางครั้งก็เรียกว่า กำหนดคีย์หลักให้กับแต่ละเทเบิล แล้วเรายังใช้อินเด็กซ์เป็นคีย์ช่วยในการค้นหาหรือจัดเรียง กลุ่มแถวที่มีจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว คอลัมน์ที่เป็นอินเด็กซ์นี้อาจยอมให้มีข้อมูลซ้ำกันได้ (ต่างกับ คีย์หลักซึ่งจะมีข้อมูลซ้ำกันไม่ได้และคีย์ หลักทุกตัวจะมีคุณสมบัติเป็นอินเด็กซ์อยู่แล้วโดยอัตโนมัติ) อีกประเด็นหนึ่งคือ การสร้างอินเด็กซ์จาก คอลัมน์ที่มีข้อมูลซ้ำกันมากๆ อาจไม่ให้ผลดีมากนัก คีย์คู่แข่ง (Candidate Key) ถ้าในเทเบิลหนึ่งมีคอลัมน์หลายคอลัมน์ที่เป็นคุณสมบัติครบถ้วน จน นำมาใช้เป็นคีย์หลักแทนกันได้ จะเรียกคอลัมน์เหล่านั้นแต่ละคอลัมน์ว่าเป็น Candidate Key หรือคีย์คู่แข่ง คีย์รวม (Compound Key) คีย์รวม (บางครั้งเรียก Composite key) เป็นคีย์ที่เกิดจากการ นำ คอลัมน์หลายๆคอลัมน์มารวมกัน เพื่อให้มีคุณสมบัติเป็นคีย์หลักหรือคือไม่มีข้อมูลและไม่มี ค่าว่าง (Null) เนื่องจากในบางครั้งการสร้างคีย์หลักจากคอลัมน์เดียวอาจมีโอกาสที่จะเกิดข้อมูลซ้ำกัน ได้ คีย์นอก(Foreign Key) คีย์นอก เป็นคีย์ที่ใช้เชื่อมเทเบิลที่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกัน เช่น ในเทเบิล ลูกค้า จะมีคอลัมน์รหัสลูกค้าเป็นคีย์หลักเราจะให้รหัสลูกค้าในเทเบิลลูกค้าเชื่อมโยงกับรหัสลูกค้าใน เทเบิลการสั่งซื้อเพื่อที่จะได้ทราบชื่อและที่อยู่ของลูกค้าที่สั่งซื้อสินค้านั้น ในกรณีคอลัมน์รหัสลูกค้าใน เทเบิลการสั่งซื้อจะมีคุณสมบัติเป็นคีย์นอก (ในขณะที่คอลัมน์รหัสลูกค้าเมื่ออยู่ในเทเบิลลูกค้า จะมีคุณสมบัติเป็นคีย์หลัก)
23 กฎที่ใช้จัดเก็บข้อมูลในฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ ในการจัดเก็บข้อมูลในฐานข้อมูล เชิงสัมพันธ์นั้น มีข้อกำหนดเพื่อสร้างความถูกต้องสมบูรณ์ ของข้อมูล (Integrity) ในฐานข้อมูล ดังนี้ กฎข้อที่ 1 ทุกเทเบิลต้องมีหนึ่งคีย์หลัก (Primary key) กฎข้อที่ 2 ในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเทเบิล 2 เทเบิลในฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ สามารถกำหนด ด้วยคีย์นอก (Foreign key) ซึ่งอาจมีค่าเป็น NULL (ไม่มีค่าข้อมูล) หรือมีค่าตรงกับ ข้อมูลของคีย์หลัก ในอีกเทเบิลหนึ่งที่มีความสัมพันธ์กันด้วยSQL สัญลักษณ์และประเภทของเอนทิตี้ เอนติตี้ (Entity หรือ Entity type) หมายถึง กลุ่มของสิ่งต่าง ๆ ที่เราสนใจจะเก็บข้อมูลไว้ ใน ฐานข้อมูล ซึ่งอาจจะเป็น บุคคล สถานที่ การกระทำ หรือ กิจกรรมต่าง ๆ ตัวอย่างของเอน ได้แก่ เอนทิตี้ที่เป็นบุคคล เช่น พนักงาน นักศึกษา อาจารย์ แพทย์ พยาบาลผู้ป่วย, นักบิน เป็นต้น เอนทิตี้ที่ เป็น สถานที่ เช่น ประเทศ จังหวัด อำเภอน้ำตก ภูเขา,โรงแรม, ห้องพัก ห้องเช่า ห้องเรียน เป็นต้น เอนติที่เป็น วัตถุ สิ่งของ อุปกรณ์ เช่น รถ,สินค้า, หนังสือ,อะไหล่, วัตถุดิบ, อาหาร, เครื่องใช้ เป็นต้น เอนทิตี้ที่เป็นนามธรรม เช่น วันวิชา ความสามารถพิเศษ คำทำนาย คำพยากรณ์ เป็นต้น " Entity instance หรือ Entity occurrence หมายถึง กรณีตัวอย่างที่แตกต่างกันของเอนทิตี้ เช่น นักศึกษา 1 คน, รถยนต์ 1 คัน, การเจ็บป่วย 1 ครั้ง หนังสือ 1 เล่ม, ภาพยนตร์ 1 เรื่อง, เหตุการณ์ 1 เหตุการณ์ ดังนั้น เอนทิตี้(Entity type) “นักศึกษา มีนักศึกษา 100 คน ก็หมายถึง มี Entity instance 100 ข้อมูลที่แตกต่างกันคนละคน เป็นต้น เอนทิตี้แบบปกติ(Regular Entity หรือ Strong Entity) คือ เอนตี้ที่เราสามารถกำหนดให้มี ในระบบ ได้อย่างอิสระ ไม่ขึ้นกับข้อมูลของเอนติอื่นสามารถกำหนดแอททริบิวต์หรือฟิลด์ที่อยู่ในเอนติ ให้ เป็นคีย์หลัก (Primary Key) เพื่อจำแนกข้อมูลแต่ละรายการได้ สัญลักษณ์ที่แทนเอนทิตี้แบบปกติ ใน ERD คือสี่เหลี่ยมผืนผ้าแทนแต่ละเซนติตี้ ภายในบรรจุชื่อของเอนทิตี้นั้น ๆ แอททริบิวต์ (Attribute) หมายถึง ลักษณะหรือคุณสมบัติที่นำมาอธิบายเอนทิตี้ และความสัมพันธ์ ตัวอย่างของแอททริบิวต์ของเอนทิตี้ เช่น แอททริบิวต์ของเอนทิตี้“นักศึกษา” ได้แก่ รหัสนักศึกษา, คำนำหน้าชื่อ ชื่อ นามสกุล วันเกิด, โปรแกรมวิชาที่สังกัด เกรดเฉลี่ยสะสม แอ ททริบิวต์ของ เอนทิตี้ “ผู้ป่วย” ได้แก่ รหัสผู้ป่วย ชื่อ นามสกุล, สถานภาพ, วันที่เข้ารักษาครั้งแรก ที่ อยู่" โทรศัพท์" แอททริบิวต์ของเอนตี้ “สินค้า” ได้แก่ รหัสสินค้า ชื่อสินค้า ราคา/หน่วย จำนวน คงเหลือ เเอททริบิวต์ของเอนทิตี้“วิชาเรียน” ได้แก่ รหัสวิชา ชื่อวิชา จำนวนหน่วยกิต " } >
24 ประเภทของแอททริบิวต์ Simple Attribute หรือ Atomic Attribute หมายถึง แอททริบิวต์ที่ไม่สามารถแยก ข้อมูล ออกเป็นข้อมูลย่อย ๆ ได้อีก ตัวอย่างเช่น “รหัสนักศึกษา” “เงินเดือน ไม่สามารถแยก ออกเป็นข้อมูล อื่น ได้อีก สัญลักษณ์ที่ใช้คือ วงรีเส้นขอบเส้นเดี่ยว มีชื่อแอททริบิวต์บรรจุอยู่ภายใน Composite Attribute หมายถึง แอททริบิวต์ที่สามารถแบ่งออกเป็นแอททริบิวต์ย่อย ๆ ได้ อีก เช่น แอททริบิวต์ ที่อยู่” สามารถแบ่งออกเป็นแอททริบิวต์ย่อยได้เป็น บ้านเลขที่ ถนน, ตำบล อำเภอ จังหวัด เป็นต้น สัญลักษณ์ที่ใช้แสดง Composite Attribute คือวงรีเส้นขอบเส้นเดียว แต่มีวง ย่อย มาเชื่อมต่อด้วย * Single-valued Attribute หมายถึง แอททริบิวต์ที่ค่าของข้อมูลได้เพียงค่าเดียวในแต่ละแอ ททริ บิวต์ เช่น แอททริบิวต์ “รหัสนักศึกษา” ของนักศึกษาแต่ละคนก็จะมีรหัสนักศึกษาเพียงรหัส เดียว สัญลักษณ์ที่ใช้คือวงรีเส้นขอบเส้นเดี่ยว มีชื่อแอททริบิวต์บรรจุอยู่ภายในเช่นเดียวกันกับ Atomic หรือ Simple attribute สำหรับแอททริบิวต์ที่ถูกกำหนดให้ทำหน้าที่เป็นคีย์หลัก(primary key) ก็จะขีดเส้นทึบใต้ชื่อของแอททริบิวต์ เพื่อแสดงให้รู้ว่าเป็นคีย์หลัก Multivalued Attribute หมายถึง แอททริบิวต์เดียวที่กำหนดให้สามารถมีค่าได้มากกว่า1 ค่า เช่น ในเอนทิตี้ “พนักงาน ประกอบด้วย แอททริบิวต์ รหัสพนักงาน, ชื่อ-นามสกุล, เงินเดือน ความสามารถพิเศษ เมื่อพิจารณาแล้วพบว่า พนักงาน 1 คน ก็จะมีรหัสพนักงาน 1 ค่า ชื่อและ นามสกุล 1 ค่า เงินเดือนมี 1 ค่า แต่อาจจะมีค่าข้อมูลความสามารถพิเศษมากกว่า 1 อย่าง หรือ มีแค่ ความสามารถพิเศษเดียว หรือ ไม่มีความสามารถพิเศษเลยก็ได้ ดังนั้น แอททริบิวต์ “ความสามารถ พิเศษ” จึงถือว่าเป็น Multivalued Attribute เพราะสามารถมีค่าข้อมูลได้มากกว่า 1 ค่าข้อมูล สัญลักษณ์ที่ใช้แสดงMultivalued Attribute คือวงรีที่มีเส้นขอบเป็นเส้นคู่ บรรจุชื่อแอททริบิวต์ ภายใน
25 รูปที่ 2.11 สัญลักษณ์ต่าง ๆ ของ E-R Diagram แบบจำลองความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล (E-R Model & Diagram) Entity-Relationship model เรียกย่อ ๆ ว่า E-R Model เป็น Data Model ที่นำมาใช้ ประโยชน์อย่างแพร่หลายและเป็นที่นิยมในปัจจุบัน เพราะเป็นเครื่องมือที่ดีมากและมีโครงสร้างสำคัญ คือ E-R Diagram ซึ่งใช้ในการแสดงความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลในระบบฐานข้อมูล องค์ประกอบของ E-R Model Entity Set หมายถึง กลุ่มของความสัมพันธ์ภายในของกลุ่ม Entity เดียวกัน สามารถ แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1. Strong Entity Set คือ Entity Set ใด ๆ ที่มี Attribute ภายในเพียงพอที่สามารถทำ หน้าที่เป็น PK ได้ อาจจะ 1 Attribute หรือมากกว่าก็ได้ 2. Weak Entity Set คือ Entity Set ที่มีลักษณะตรงข้ามกับ Strong Entity Set คือ กลุ่ม ของ Entity Set ใด ๆ ที่ Attribute ภายในทั้งหมด ถึงแม้รวมกันแล้วยังไม่สามารถทำหน้าที่เป็น PK ให้กับ Entity Set นั้น ๆ ได้ และต้องอาศัย Attribute อื่นทำหน้าทีเป็น PK ของ Strong Entity Set มาช่วย จึงจะสามารถทำหน้าที่เป็น PK ได้
26 รูปที่ 2.12 แสดง Strong Entity Set Relationship Set หมายถึง กลุ่มของ Relation ที่มีความสัมพันธ์กันและอยู่ในประเภทเดียวกันมารวมเข้า ด้วยกัน เปรียบเหมือนคำกริยาที่เกิดขึ้นระหว่างตารางข้อมูล 2 ตารางที่มีความสัมพันธ์กัน รูปที่ 2.13 ความสัมพันธ์แบบ Relationship ระดับของรีเลชันชิปแบ่งออกเป็น 1. รีเลชันชิปแบบยูนารี เป็นความสัมพันธ์ที่มีเอนทิตีมาสัมพันธ์เพียงเอนทิตีเดียว 2. รีเลชันชิปแบบไบนารี เป็นความสัมพันธ์ที่มีเอนทิตีมาสัมพันธ์2 เอนทิตี 3. รีเลชันชิปแบบเทอร์นารี เป็นความสัมพันธ์ที่มีเอนทิตีมาสัมพันธ์3 เอนทิตี การออกแบบฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ด้วย E-R Model 1. ศึกษารายละเอียดและหน้าที่ของระบบเพื่อรวบรวมรายละเอียดต่าง ๆ 2. กำหนดเอนทิตีที่ควรมีอยู่ในระบบฐานข้อมูลโดยคำนึงถึงข้อมูลทั้งหมดที่จะจัดเก็บลงไปใน ฐานข้อมูล ว่าสามารถแบ่งได้กี่เอนทิตี 3. กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตีโดยพิจารณาแต่ละเอนทิตีที่มีความสัมพันธ์นั้นจะ สัมพันธ์กันด้วยเงื่อนไขใดและชนิดความสัมพันธ์เป็นอย่างไร 4. กำหนดคุณลักษณะให้กับเอนทิตี โดยพิจารณาจากเอนทิตีแต่ละตัวว่าประกอบด้วย อะไรบ้าง 5. กำหนด PK ให้กับเอนทิตีโดยทุกเอนทิตีต้องมีคีย์หลักเพื่อบอกถึงความต่างของข้อมูลแต่ ละรายการ มีความเป็นเอกลักษณ์และไม่ซ้ำซ้อน
27 การสร้าง E-R Diagram จากตารางข้อมูล ตารางข้อมูลเมื่อนำมาสร้างเป็น E-R Diagram สามารถดำเนินการได้ ชื่อของตารางคือชื่อ ของเอนทิตี และชื่อของคอลัมน์คือชื่อของแอตทริบิวต์โดยแต่ละคอลัมน์จะมีคุณสมบัติสำคัญ ดังนี้ 1. ชื่อของแต่ละคอลัมน์ต้องแตกต่างกันไป 2. ชื่อโดยทั่วไปจะแสดงความหมายของข้อมูลที่จะถูกเก็บไว้ในคอลัมน์นั้น 3. คอลัมน์ที่ข้อมูลไม่ซ้ำกันสามารถกำหนดเป็นคีย์ได้ 4. ลำดับของคอลัมน์ไม่มีความสำคัญ รูปที่ 2.14 ตัวอย่างการสร้าง E-R Diagram จากตารางข้อมูล โปรแกรมจัดการฐานข้อมูลที่มีใช้กันในปัจจุบัน มีอยู่ด้วยกันหลายโปรแกรมขึ้นอยู่กับการใช้ งาน ปริมาณของข้อมูล ความเร็วในการสืบค้น ประสิทธิภาพของฮาร์ดแวร์ และราคาที่องค์กร แต่ละ องค์กรจะจัดหามาได้ แต่ที่นักศึกษาจะได้เรียนในหนังสือเล่มนี้จะเป็นโปรแกรมจัดการฐาน ข้อมูลที่ เป็นโปรแกรม Microsoft Access เพราะเป็นพื้นฐานการใช้งานโปรแกรมฐานข้อมูล และเป็นที่นิยม ใช้เพื่อการศึกษา และถือได้ว่าเป็นโปรแกรมที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนักเมื่อเปรียบเทียบ กับโปรแกรม จัดการฐานข้อมูลตัวอื่น ๆ ภายใต้การทำงานตั้งแต่ระบบปฏิบัติการ Microsoft Windows 7 หรือสูง กว่า และเวอร์ชันที่ใช้นำเสนอในบทเรียนคือเวอร์ชัน 2013 เนื่องจากเป็นเวอร์ชัน ที่ใช้กันแพร่หลาย หากผู้เรียนใช้ Microsoft Access Version อื่น ๆ ก็สามารถใช้หนังสือเล่มนี้เรียนรู้ ได้เนื่องจากมีคําสั่ง โปรแกรมที่คล้ายคลึงกัน โปรแกรม Microsoft Access เป็นส่วนหนึ่งของชุด Microsoft Office ซึ่งมีระบบ การจัดเก็บ ข้อมูล ระบบการค้นหา ระบบการคัดเลือก และระบบการจัดเรียงได้รวดเร็ว สามารถค้นหา ข้อมูลที่
28 ต้องการได้ง่ายโดยไม่ต้องเสียเวลาคีย์ข้อมูลที่ยุ่งยาก การแสดงผลมีหลายรูปแบบที่ เหมาะสมกับผู้ใช้ แต่ Microsoft Access จะแสดงผลได้ดีกว่า Microsoft Excel คือเลือกที่จะแสดงผล ตามความ ต้องการได้ เช่น แสดงผลข้อมูลของลูกค้าเพียงคนเดียวและเลือกเฉพาะแอททริบิวต์ที่ ต้องการได้หรือ ต้องการแสดงผลภายใต้เงื่อนไขบางประการได้ การนำเข้าสู่โปรแกรม การเข้าสู่โปรแกรม Microsoft Access จะเหมือนกับการเรียกใช้โปรแกรมทั่วไป โดยจะขอ อธิบายการดำเนินการ (Run) บน Windows เท่านั้น โดยมีขั้นตอนดังนี้ 1. คลิกที่ปุ่ม “Start 2. คลิกที่ปุ่ม “Microsoft Access” เพื่อเข้าสู่โปรแกรม รูปที่ 2.15 การเข้าสู่โปรแกรม Microsoft Access
29 รูปที่ 2.16 การเลือกเปิดฐานข้อมูลการใช้งาน 3. ถ้าในกรณีที่เคยสร้างงานไว้แล้วด้วยโปรแกรม Microsoft Access มาก่อน โปรแกรมจะ จำไฟล์ที่เคยจัดเก็บ แล้วแสดงอยู่ด้านขวา ผู้ใช้งานสามารถเลือกคลิกไฟล์เก่าได้ตามต้องการ รูปที่ 2.17 การเลือกไฟล์งานเก่าที่สร้างไว้แล้ว ไอคอนสร้างฐานข้อมูลเปล่า
30 การสลับภาษาบนเมนูการใช้งาน หลังจากติดตั้งโปรแกรมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถ้าได้ติดตั้งชุด Office เป็นรุ่นภาษาไทย เมนูก็จะเป็นภาษาไทย หรือถ้าติดตั้งชุดภาษาอังกฤษก็จะเป็นเมนูภาษาอังกฤษอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ถ้าต้องการจะให้เปลี่ยนภาษาได้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ จะต้องติดตั้งเป็นรุ่นที่มีหลายภาษา ติดตั้งมาให้ (Multi Language) จะทำให้สามารถเปลี่ยนภาษาของเมนูได้หลากหลายภาษา อธิบายวิธีการเปลี่ยนภาษาได้ดังนี้ 1. คลิกที่ปุ่ม “Start 2. คลิกที่ปุ่ม “All Programs "" รูปที่2.18 ขั้นตอนการสลับภาษาบนเมนูการใช้งาน(1) 3. เลือกคลิกที่โฟลเดอร์"Microsoft Office" 4.เลือกคลิกที่โฟลเดอร์"เครื่องมือ Office" 5.เลือกคลิกที่ "การกำหนดลักษณะภาษาของ Office" รูปที่2.19 ขั้นตอนการสลับภาษาบนเมนูการใช้งาน(2)
31 6. แสดงภาษาที่ติดตั้งไว้แล้ว โดยสามารถเปลี่ยนสลับใช้งานได้ 7. คลิกเลือกภาษาที่ต้องการให้แสดงบนเมนูและกล่องโต้ตอบ (Display Language) 8.คลิกเลือกภาษาที่ต้องการให้แสดงวิธีใช้ (Help Language) รูปที่2.20 ขั้นตอนการสลับภาษาบนเมนูการใช้งาน(3) ส่วนต่าง ๆ ของการเริ่มต้นใช้งานโปรแกรม Microsoft Access เมื่อทำการเปิดโปรแกรม Microsoft Access ขึ้นมาแล้ว จะมีฐานข้อมูลให้เลือกสร้างโดย แบ่งออกเป็น 2 แบบ เพื่อที่จะได้ออกแบบฐานข้อมูลได้ตรงตามวัตถุประสงค์ดังนี้ 1. เดสก์ท็อปดาต้าเบส (Desktop Database) คือ ฐานข้อมูลที่ใช้งานบนหน้าจอหรือ บน เครื่องของผู้ใช้ (User) เอง ซึ่งเป็นมาตรฐานของการใช้งานทั่วไป โดยจะช่วยในการจัดเก็บและ ติดตามข้อมูลจากหน้าจอได้ทันที เช่น ข้อมูลสินค้าคงคลัง ข้อมูลร้านค้า ข้อมูลการจัดจำหน่าย เป็นต้น ซึ่งในส่วนหน้าจอนี้จะไม่ต่างกับเวอร์ชันก่อนหน้า 2. เว็บแอปพลิเคชัน (Web Application) คือ ฐานข้อมูลชนิดใหม่ที่ Microsoft ได้สร้าง มา เพื่อประยุกต์ใช้กับแอปพลิเคชันต่าง ๆ บนอินเทอร์เน็ต โดยข้อมูลจะจัดเก็บในรูปของ SQL ซึ่ง สามารถอ่านและใช้งานได้กับทุกฐานข้อมูล และสามารถแชร์แอปพลิเคชันให้กับเพื่อนร่วมงานหรือ องค์กรต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย โดย Microsoft ได้มีแม่แบบของตารางให้เลือกมากมายเพื่อให้ตรงกับ วัตถุประสงค์ของการนำไปใช้ 1. กลุ่มของไฟล์ฐานข้อมูลที่ได้เคยเปิดหรือเคยสร้างไว้แล้ว 2. ถ้าต้องการเปิดไฟล์ฐานข้อมูลจากโฟลเดอร์หรือไดรฟ์อื่น ๆ 3. ถ้าในกรณีที่ต้องการเปิดเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจะต้องมีการลงชื่อเข้าใช้งาน (Sign In) เพื่อ เลือกเท็มเพลตตัวอย่างอื่น ๆ จาก Microsoft มาใช้งานได้
32 การเริ่มเปิดใช้งานฐานข้อมูลเปล่า หลังจากได้รู้จักส่วนประกอบเบื้องต้นของโปรแกรม Microsoft Access ที่ได้เปิดใช้งานครั้ง แรกไปแล้ว ต่อไปคือขั้นตอนการเริ่มเปิดใช้งานจริงดังนี้ 1.เปิดใช้งานฐานข้อมูลจากไอคอน "Blank desktop database" จะเกิดกรอบหน้าต่าง "Blank desktop database" 2.ตั้งชื่อไฟล์ฐานข้อมูลในช่อง "File Name" 3.ถ้าต้องการสร้างฐานข้อมูลเปล่าในไดรฟ์หรือโฟลเดอร์อื่น ๆ ให้คลิกปุ่ม "เปิดโฟลเดอร์" และเลือกไดรฟ์หรือโฟลเดอร์ที่ต้องการ 4.คลิกปุม "Create " เพื่อเข้าสู่การสร้างตารางในขั้นตอนต่อไป การใช้งานเมนู FILE เมื่อเปิดใช้งานไฟล์ฐานข้อมูลจะมีเมนู FILE ที่มีสีแตกต่างจากเมนูคำสั่งอื่น ๆ ซึ่งหน้าที่ การทำงานของเมนู FILE จะช้สำหรับการบริหารจัดการไฟล์และข้อมูลของไฟล์ เช่น สร้างเอกสาร บันทึกInfo ข้อมูลของไฟล์ฐาน เป็นต้น ซึ่งมีคำสั่งและรายละเอียดดังนี้ 1. Info (ข้อมูล) คือ การแสดงข้อมูลเกี่ยวกับไฟล์ เพื่อกำหนดข้อมูลเฉพาะของไฟล์ ฐานข้อมูล โดยมีคำสั่ง 2 คำสั่ง ได้แก่ 1.1 Compact & Repair คือ การซ่อมหรือบีบอัดและแก้ไขไฟล์ฐานข้อมูล 1.2 Encrypt with Password คือ การกำหนดรหัสผ่นให้กับไฟล์ฐานข้อมูล 2.New (สร้าง) คือ การสร้างไฟล์ฐานข้อมูลใหม่ 3. Open (เปิด) คือ การเปิดไฟล์ฐานข้อมูลเก่าที่ได้เก็บบันทึกไว้มาใช้งานหรือแก้ไข 4. Save (จัดเก็บ) คือ การบันทึกหรือจัดเก็บไฟล์ฐานข้อมูลซ้ำหลังจากที่ได้แก้ไขแล้ว 5.Save As (จัดเก็บเป็น) คือ การบันทึกไฟล์ฐานข้อมูลในชื่อใหม่ 6. Print (พิมพ์) คือ การสั่งพิมพ์ไฟล์ฐานข้อมูลหรือดูตัวอย่างก่อนพิมพ์ 7. Close (ปิด) คือ การปีดไฟล์ฐานข้อมูล 8.Account (ชื่อบัญชีผู้ใช้) คือ การกำหนดชื่อของผู้ใช้ในกรณีฐานข้อมูลหรือโปรแกรมได้ กำหนดสิทธิ์ผู้ใช้งาน 9.Option (ตัวเลือก) คือ การตั้งค่าหรือปรับเปลี่ยนค่าเริ่มต้นต่าง ๆ ของโปรแกรม
33 รูปที่2.21 แสดงหน้าเมนู FILE การกำหนดจำนวนไฟล์ล่าสุดที่ให้แสดง ในกรณีที่ได้สร้างไฟล์ฐานข้อมูลไว้เป็นจำนวนมาก และต้องการเปิดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว สามารถกำหนดให้ไฟล์ที่ได้สร้างไว้ ขึ้นมาแสดงไฟล์ฐานข้อมูลล่าสุดว่าจะให้แสดงกี่ไฟล์ สามารถ กำหนดจำนวนไฟล์ได้ ซึ่งมีวิธีการกำหนดดังนี้ 1.คลิกที่เมนู "FILE" 2.เลือกคลิกที่เมนู "Options" 3.เลือกคลิกที่เมนู "Client Settings" 4. เลื่อนแถบ Scoll Bar ไปที่กลุ่มของ " Display" ในบรรทัดของ "Show this number of Recent Databases:" กำหนดตัวเลขที่ให้แสดงไฟส์ฐานข้อมูลเท่าที่ต้องการ สูงสุดได้ถึง 50 ไฟล์ 5.คลิกที่ปุ่ม "OK" เพื่อเป็นการกำหนด 2.4 ระบบงานที่เกี่ยวข้อง นายกันต์กวิน คูณทวี และนายณัฐพล ศรีโพธิ์ช้าง(2563) โครงการระบบการขายสินค้า ออนไลน์ ประเภทสินค้า กระบองเพชร E- Commerce For cactus online,โครงการนี้มีการจัดทำ ระบบเป็นเว็บไซต์ขายของออนไลน์ที่ช่วยให้สามารถดูสินค้าได้ทุกอย่างภายในเว็บไซต์ โดยจะมีระบบ Login ซึ่งมีเพียง Admin ของเว็บไซต์เท่านั้นที่จะสามารถเข้าใช้งาน ปรับปรุง เพิ่ม-ลบ-แก้ไข ข้อมูล ของสินค้า
34 นายปราการ ท่วมไธสง และนายสรศักดิ์ ธาระ(2563) โครงการการระบบการขายสินค้า ออนไลน์ ประเภทสินค้า ต้นไม้ไทย E- Commerce For Thai Trees,โครงการนี้ผู้จัดทำได้ออกแบบ ให้มีระบบสมัครสมาชิก ระบบเข้าสู่เว็บไซต์ ระบบแจ้งชำระเงินและออกใบเสร็จให้แก่ลูกค้าได้ โดย สามารถแก้ไขข้อมูลลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์ ผลการดำเนินงานตัวโปรแกรมทั้งหมดเป็นไปตามที่ผู้จัดทำ วางแผนไว้ทุกอย่างตรงกับวัตถุประสงค์ของผู้จัดทำ นางสาวบุณฑริการ แช่มกัน และนางสาวพัณณิตา นัยพัฒน์ (2563) โครงการระบบขายสินค้า ออนไลน์ประเภท ต้นไม้สวยงาม E- Commerce For Beautiful Trees,โครงการเว็บไซต์ระบบขาย สินค้าออนไลน์ประเภทต้นไม้สวยงาม ได้รับการพัฒนามาจากเว็บต้นแบบหลาย ๆ เว็บ โดยการนำ ข้อมูลมาเสนอให้ดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้นและอยากศึกษา
บทที่ 3 การออกแบบระบบงานด้วยคอมพิวเตอร์ 3.1 การออกแบบแผนภาพบริบท (Context Diagram) รูปที่ 3.1 Context Diagram ระบบการเช่าห้องพัก 0 การเช่าห้องพัก ลูกค้า ผู้ดูแลระบบ ข้อมูลการจอง ข้อมูลลูกค้า ห้องพัก จ่ายค่าห้องพัก รายงานข้อมูลลูกค้า รายงานข้อมูลการจอง รายงานค่าชำระ ข้อมูลการจอง ข้อมูลห้องพัก ยอดที่ต้องชำระ ข้อมูลที่ต้องชำระ ข้อมูลห้องพัก ข้อมูลลูกค้า
36 3.2 พจนานุกรมข้อมูล (Data Dictionary) ข้อมูลลูกค้า ชื่อฟิลด์ ประเภท ข้อมูล ขนาด คำอธิบาย คีย์หลัก FK อ้างอิง Customer Code Text 5 รหัสลูกค้า PK NameC Text 100 ชื่อลูกค้า - AddressC Text 100 ที่อยู่ - PhoneC Text 10 เบอร์โทร - ตารางที่ 3.2 ข้อมูลลูกค้า ข้อมูลห้องเช่า ชื่อฟิลด์ ประเภท ข้อมูล ขนาด คำอธิบาย คีย์หลัก FK อ้างอิง Home Text 3 หมายเลขห้อง - Price Text 10 ราคา - Status Text 10 สถานะ - Category Text 10 ประเภท - ตารางที่ 3.3 ข้อมูลห้องเช่า
37 ข้อมูลการเช่า ชื่อฟิลด์ ประเภท ข้อมูล ขนาด คำอธิบาย คีย์หลัก FK อ้างอิง Customer Code Text 5 รหัสลูกค้า - Home Text 3 หมายเลขห้อง - Pay Sum Number 5 ยอดชำระสุทธิ - ตารางที่ 3.5 ข้อมูลการเช่า
38 3.3 การออกแบบแผนภาพความคิด รูปที่ 3.2 หน้า Login รูปที่ 3.3 หน้าเมนู ล็อคอิน โลโก้ ระบบฐานข้อมูลการเช่าห้องของบริษัท วัฒนา อพาร์ทเมนท์ ชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน เข้าสู่ระบบ ระบบฐานข้อมูลการเช่าห้องของบริษัท วัฒนา อพาร์ทเมนท์ ข้อมูลผู้พัก ข้อมูลห้องพัก ข้อมูลการเช่า เมนู
39 ห รูปที่ 3.4 หน้าข้อมูลผู้พัก รูปที่ 3.5 หน้าข้อมูลห้องเช่า ข้อมูลผู้พัก ข้อมูลผู้พัก ชื่อ-นามสกุล วัน/เดือน/ปีเกิด อายุ เพศ ที่อยู่ เบอร์โทร เลขห้องพัก ชาย หญิง ข้อมูลห้องพัก ข้อมูลห้องเช่า เลขห้องพัก ราคาห้องพัก ประเภท รูปห้องพัก หมายเลข ราคา ประเภท
40 ปที่ 3.7 หน้าข้อมูล. รูปที่ 3.6 หน้าข้อมูลชําระเงิน 3.4 การออกแบบสิ่งนำเข้า (Input Design) 1.ข้อมูลสถานะห้องพัก 2.ข้อมูลการจองห้องเช่า 3.ข้อมูลการลงชื่อเข้าใช้ของผู้เช่าห้อง 3.5 การออกแบบสิ่งนำออก (Output Design) 1. หน้าจอคอมพิวเตอร์ คือ รูปแบบของฐานข้อมูลที่เสร็จสมบูรณ์ 2. เครื่องฉายโปรเจคเตอร์คือ การนำเสนอเพื่อสอบวิชาโครงการ 3. โปรแกรม Microsoft Access 2016 4. เครื่องพิมพ์ คือ ใช้พิมพ์เอกสาร ข้อมูลการชำระเงิน วันที่ รหัสชำระ รหัสการเข้า ชื่อ - นามสกุล ยอดที่ต้องชำระ เงินทอน ข้อมูลการชำระเงิน