Forest resources.
พนดิ า คงคาชยั
รหัสนักศึกษา 5904017323
รายวิชา cso3103 นัวตกรรมทางการสอนสงั คมศกึ ษา
คาํ นาํ
หนงั สอื ออนไลนเลม นี้ผจู ัดทําไดเรียบเรียงมาจากเนอื้ หาของผูเขยี น
หลายทาน ซ่ึงเปนสว นหนึ่งของรายวิชา cso3103 นัวตกรรมทางการ
สอนสงั คมศึกษา มีเนื้อหาเกีย่ วกับทรพั ยากรปาไมชนิดตางๆ การอนุรักษ
ทรัพยากรปาไม และประโยชนของปา ไม
ผจู ัดทําขอกราบขอบพระคุณทา นเจา ของเนอ้ื หา เอกสาร รูปภาพ ท่ี
นาํ มาอางอิงไว ณ ท่ีน้ี หวังวาหนังออนไลนเ ลม น้ีคงจะเปนประโยชน
สาํ หรับนักเรยี นและผทู สี่ นใจทัว่ ไป หากมขี อ บกพรอ งประการใด ผูจดั ทาํ
ยินดนี อ มรับคําติชมเพ่ือนําไปปรับแกไ ขใหถ ูกตอ ง
พนิดา คงคาชัย
สารบญั หนา
1
เรื่อง 1
ทรพั ยากรปา ไม 2
ประเภทของปา ไมใ นประเทศไทย 2
ปา ประเภทท่ีไมผลดั ใบ 4
5
ปาดงดิบ 6
ปา สนเขา 7
ปาชายเลน 8
ปา พรุ 8
ปา ชายหาด 9
ปาประเภทท่ีผลดั ใบ 10
ปา เบญจพรรณ 11
ปา เต็งรัง 13
ปาหญา 15
ประโยชนของทรัพยากรปา ไม 16
สาเหตุสําคญั ของวกิ ฤตการณปา ไมในประเทศไทย
การอนุรักษปา ไม
อางอิง
ทรัพยากรปาไม 1
ปาไม หมายถึง ถ่ินที่อยูอาศัยรวมกันของสิ่งมีชีวิต ท้ังพืชและ
สัตวนานาชนิดรวมทังจุลชีพท้ังมวลตางพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและ
กัน สวนใหญประกอบดวยตนไมอันขึ้นอยูบนพ้ืนดิน และมี
รากยึดเหน่ียวอยูใตดิน
เพราะปา ไมมปี ระโยชนทั้งการเปนแหลง วตั ถดุ ิบของ
ปจ จยั สี่ คือ อาหาร เคร่ืองนุง หม ทีอ่ ยอู าศยั และ
ยารกั ษาโรคสาํ หรับมนษุ ย และยงั มีประโยชนใ น
การรักษาสมดุลของสง่ิ แวดลอ ม ถาปา ไมถกู ทําลาย
ลงไปมากๆยอมสงผลกระทบตอ สภาพแวดลอมท่ี
เก่ยี วของอ่นื ๆ เชน สตั วปา ดิน นาํ้ อากาศ
ประเภทของปา ไมในประเทศไทย
ประเภทของปาไมจ ะแตกตา งกนั ไปข้นึ อยูกบั การกระจายของฝนระยะ
เวลาทฝ่ี นตกรวมทง้ั ปริมาน้ําฝนทําใหปาแตล ะแหงมคี วามชุม ชืน้ ตางกนั
สามารถจาํ แนกไดเ ปน 2 ประเภทใหญ ๆ ไดแ ก
ก. ปา ประเภทท่ไี มผ ลดั ใบ (Evergreen)
ข. ปาประเภทท่ีผลดั ใบ (Deciduous)
2
ปา ประเภททไ่ี มผ ลัดใบ (Evergreen)
ปา ประเภทนมี้ องดเู ขียวชอมุ ตลอดป เนอ่ื งจากตน ไมแทบทัง้ หมดทขี่ น้ึ อยู
เปน ประเภททไี่ มผลดั ใบ ปาชนิดสําคญั ซึ่งจัดอยูในประเภทนี้ ไดแก
1.ปาดงดบิ (Tropical Evergreen Forest or Rain Forest)
ปา ดงดิบท่ีมีอยทู ว่ั ในทุกภาคของประเทศ แตท ม่ี มี ากท่สี ดุ ไดแก
ภาคใตและภาคตะวนั ออก ในบรเิ วณนมี้ ฝี นตกมากและมีความชืน้ มากใน
ทองทภ่ี าคอืน่ ปาดงดิบมกั กระจายอยบู รเิ วณท่ีมีความชุมช้ืนมาก ๆ เชน
ตามหุบเขาริมแมนํา้ ลําธาร หว ย แหลง น้าํ และบนภเู ขา
ซง่ึ สามารถแยกออกเปน
ปา ดงดบิ ชนดิ ตา ง ๆดังนี้
1.1 ปา ดิบชน้ื (Moist Evergreen Forest)
เปนปารกทึบมองดูเขียวชอุมตลอดปมีพันธุไมหลายรอยชนิดข้ึนเบียดเสียด
กนั อยมู ักจะพบกระจดั กระจาย
ต้งั แตความสงู 600 เมตร
จากระดบั นา้ํ ทะเล พนั ธไ มท่ี
สาํ คญั กค็ อื ไมต ระกูลยางตางๆ
เชน ยางนา ยางเสียน สวนไมชั้นรอง คือ พวกไมกอ เชน กอนํ้า กอ
เดอื ย
3
1.2 ปาดิบแลง (Dry Evergreen Forest)
เปนปาที่อยูในพ้ืนที่คอนขางราบมีความชุมช้ืนนอยเชน ในแถบภาคเหนือ
และภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ
มกั อยสู งู จากระดับน้าํ ทะเลประมาณ
300-600เมตร พนั ธไมท ่ีสําคญั ไดแก
มะคาโมง ยางนา พยอม ตะเคยี นแดง
กระเบากลกั และตาเสือ
1.3 ปา ดิบเขา (Hill Evergreen Forest)
ปาชนดิ น้ีเกดิ ขึน้ ในพนื้ ที่สูง ๆ หรอื บนภเู ขาตั้งแต 1,000-1,200 เมตร
ขึ้นไปจากระดับน้ําทะเล
ไมสวนมากเปน พวก
Gymonosperm ไดแก
พวกไมขุนและสนสามพนั ป
นอกจากนย้ี ังมีไมต ระกลู
กอข้นึ อยู พวกไมชัน้ ที่สองรองลงมาไดแ ก เปง สะเดาชาง และขม้ินตน
4
2.ปา สนเขา (Pine Forest)
ปา สนเขามกั ปรากฏอยตู ามภเู ขาสงู สวนใหญเ ปนพน้ื ทีซ่ ง่ึ มคี วามสูง
ประมาณ 200-1800 เมตร
ขึ้นไปจากระดบั น้าํ ทะเลใน
ภาคเหนอื ภาคกลาง และ
ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื
บางทอี าจปรากฏในพืน้ ที่สูง
200-300 เมตร จากระดบั นํ้าทะเลในภาคตะวันออกเฉียงใต ปาสนเขามี
ลกั ษณะเปน ปาโปรง ชนิดพันธุไมท ่ีสําคญั ของปา ชนดิ นคี้ อื สนสองใบ
และสนสามใบ สว นไมชนดิ อนื่ ท่ีข้ึนอยูดว ยไดแ กพนั ธุไ มปาดบิ เขา เชน
กอชนิดตางๆ หรอื พันธุไมปา แดงบางชนิด คอื เตง็ รงั เหยี ง พลวง
เปนตน
สนสองใบ สนสามใบ
การสงั เกตลักษณะของสนสองใบและสนสามใบ คอื
สนสองใบจะมใี บออกเปนกระจุกๆละ 2ใบ ใบยาวเรยี วเปนรูปเขม็
ขนาด 15-25 ซม.สวนสนสามใบจะมใี บ ตดิ เปน กลมุ ๆ ละ 3 ใบ
ออกเวียนสลบั ถ่ตี ามปลายกิ่ง
5
3.ปาชายเลน (Mangrove Forest)
บางทเี รียกวา "ปา เลนนาํ้ เคม็ " หรอื ปาเลน มตี น ไมข ึ้นหนาแนนแตล ะ
ชนดิ มีรากคํา้ ยันและรากหายใจ
ปาชนิดนี้ปรากฏอยูตามทีด่ นิ เลน
ริมทะเลหรือบรเิ วณปากนาํ้ แมน้ํา
ใหญๆ ซ่งึ มีนาํ้ เคม็ ทวมถึงใน
พนื้ ท่ีภาคใตมอี ยตู ามชายฝง ทะเล
ท้ังสองดา น ตามชายทะเลภาคตะวันออกมีอยทู ุกจังหวัดแตท ี่มากท่ีสดุ คือ
บรเิ วณปากนาํ้ เวฬุ อําเภอขลงุ จังหวดั จันทบุรี
พันธุไมทขี่ น้ึ อยตู ามปา ชายเลน สวนมากเปน พนั ธุไมขนาดเลก็ ใช
ประโยชนสาํ หรบั การเผาถา นและทําฟนไมช นิดทีส่ าํ คัญ คือ โกงกาง
ประสัก ถวั่ ขาว ถว่ั ขาํ โปรง ตะบนู แสมทะเล ลาํ พูนและ
ลาํ แพน ฯลฯ สวนไมพืน้ ลา งมักเปน พวก ปรงทะเลเหงือกปลายหมอ
ปอทะเล และเปง เปนตน
โกงกาง แสมทะเล
6
4.ปา พรุหรอื ปาบงึ นํา้ จืด (Swamp Forest)
ปา ชนดิ นม้ี กั ปรากฏในบริเวณทมี่ นี ํา้ จดื ทวมมากๆ ดินระบายน้าํ ไมดปี าพรุ
ในภาคกลาง มีลกั ษณะโปรง
และมตี น ไมข ้ึนอยูห าง ๆเชน
สนุน จิก โมกบาน
หวายนาํ้ หวายโปรง ระกํา
ออ และแขม ในภาคใตป าพรุ
มขี ึ้นอยตู ามบริเวณท่ีมนี ํ้าขังตลอดปด นิ ปาพรุที่มเี นอ้ื ทม่ี ากทส่ี ุดอยใู นบรเิ วณ
จงั หวดั นราธิวาส ซึ่งเปนซากพชื ผุสลายทบั ถมกัน เปน เวลานานปาพรุแบง
ออกได 2 ลักษณะ คอื ตามบริเวณซ่งึ เปนพรนุ ํ้ากรอยใกลช ายทะเลตน
เสม็ดจะขนึ้ อยหู นาแนนพ้นื ทีม่ ีตนกกชนดิ ตาง ๆ เรยี ก "ปาพรุเสม็ด หรือ
ปาเสมด็ " อีกลักษณะเปน ปา ทมี่ พี ันธุไมตา ง ๆ มากชนิดข้นึ ปะปนกัน
ชนดิ พนั ธไุ มท ่ีสําคญั ของปา พรุ ไดแ ก อินทนิล นํ้าหวา จกิ โสกน้าํ
กระทุมนา้ํ โงงงันกะทง่ั หัน ไมพน้ื ลางประกอบดว ย หวาย ตะคาทอง
หมากแดง และหมากชนิดอื่นๆ
ตน อินทนลิ กระทุมน้าํ
7
5.ปาชายหาด (Beach Forest)
เปนปาโปรง ไมผ ลดั ใบขึ้นอยตู ามบริเวณหาดชายทะเล นํ้าไมท ว มตามฝง
ดินและชายเขาริมทะเล
ตน ไมสําคัญท่ขี ้นึ อยูต าม
หาดชายทะเล ตอ งเปน พืช
ทนเค็ม และมกั มีลักษณะ
ไมเปนพุมลักษณะตน คดงอ
ใบหนาแขง็ ไดแ ก สนทะเล หกู วาง โพธ์ิทะเล กระทงิ ตนี เปด ทะเล
หยีน้ํา มกั มีตนเตยและหญาตา ง ๆ ขึน้ อยูเปน ไมพนื้ ลา ง ตามฝงดนิ และ
ชายเขา มกั พบไมเ กตลําบดิ มะคาแต กระบองเพชร เสมา และไม
หนามชนิดตางๆ เชน หนามหนั กําจาย มะดันขอ เปนตน
ตวั อยางตน ไมท ี่พบในปา ชายหาด
หูกวาง ตีนเปด ทะเล
8
ปาประเภทท่ผี ลัดใบ (Declduous)
ตน ไมท ีข่ นึ้ อยใู นปาประเภทน้เี ปน จาํ พวกผลดั ใบแทบท้ังสนิ้ ในฤดูฝนปา
ประเภทนจี้ ะมองดเู ขยี วชอุมพอถงึ ฤดูแลง ตนไม สว นใหญจ ะพากันผลัดใบ
ทาํ ใหป ามองดโู ปรง ขึ้น และมกั จะเกดิ ไฟปาเผาไหมใ บไมและตนไมเ ล็กๆ
1. ปาเบญจพรรณ (Mixed Declduous Forest)
ปาผลัดใบผสม หรือปาเบญจพรรณมลี กั ษณะเปน ปาโปรง และยงั มไี ม
ไผชนิดตางๆ ขนึ้ อยกู ระจัดกระจายท่ัวไปพื้นท่ดี นิ มกั เปน ดินรวนปนทราย
ปา เบญจพรรณในภาคเหนอื
มกั จะมีไมส กั ข้นึ ปะปนอยู
ทัว่ ไปครอบคลมุ ลงมาถึง
จังหวัดกาญจนบุรี ใน
ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก มีปา เบญจพรรณ
นอยมากและกระจัดกระจาย พนั ธุไมช นดิ สําคัญไดแ ก สัก ประดูแดง
มะคา โมง ตะแบก เสลา ออ ยชาง ยม หอม ยมหนิ มะเกลือ สมพง
เกด็ ดาํ เกด็ แดง ฯลฯ นอกจากนี้มีไมไผที่สําคัญ เชน ไผป า ไผบง ไผ
ซาง ไผรวก ไผไ ร เปนตน
สัก มะคา โมง
9
2. ปาเตง็ รัง (Declduous Dipterocarp Forest)
หรอื ทีเ่ รยี กกันวา ปา แดง ปาแพะ ปาโคก ลักษณะทว่ั ไปเปนปาโปรง
ตามพ้ืนปา มกั จะมี โจด ตน แปรง และหญาเพก็ พนื้ ท่ีแหง แลง ดนิ รวนปน
ทราย หรอื กรวด ลูกรงั
พบอยูทัว่ ไปในท่รี าบและ
ทภ่ี ูเขา ในภาคเหนือ
สวนมากขนึ้ อยบู นเขาที่
มีดนิ ต้นื และแหงแลงมาก
ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มปี าแดงหรอื ปาเต็งรังนมี้ ากทส่ี ุด ตามเนิน
เขาหรอื ทร่ี าบดินทรายชนดิ พันธุไมท ส่ี ําคัญในปาแดง หรือปา เต็งรงั ไดแก
เต็ง รงั เหียง พลวง กราด พะยอม ตวิ้ แตว มะคาแต ประดู แดง
สมอไทย ตะแบก เลือดแสลงใจ รกฟา ฯลฯ สวนไมพ นื้ ลางทพ่ี บมาก
ไดแ ก มะพราวเตา ปมุ แปง หญาเพก็ โจด ปรงและหญาชนิดอื่นๆ
วดิ ีโอ ในการใหค วามรูเกีย่ วกับปา เตง็ รงั
10
3. ปาหญา (Savannas Forest)
ปา หญา ท่ีอยูท กุ ภาคบริเวณปา ทีถ่ กู แผวถางทําลายบรเิ วณพน้ื ดินทข่ี าดความ
สมบรู ณแ ละถูกทอดท้ิง
หญา ชนดิ ตางๆจงึ เกิดขึ้น
ทดแทนและพอถงึ
หนาแลง กเ็ กดิ ไฟไหมทําให
ตน ไมบรเิ วณขางเคียงลมตาย
พ้นื ท่ปี าหญา จงึ ขยายมากข้ึนทุกป พชื ทพ่ี บมากทส่ี ุดในปา หญาก็คอื หญาคา
หญาขนตาชา ง หญา โขมง หญา เพก็ และปุมแปง บริเวณทพ่ี อจะมคี วามชื้น
อยูบ าง และการระบายนาํ้ ไดด ีก็มกั จะพบพงและแขมขนึ้ อยู และอาจพบ
ตนไมทนไฟขึ้นอยู เชน ตบั เตา รกฟา ตานเหลอื ง ต้วิ และแตว
หญาคา ตบั เตา
ประโยชนของทรพั ยากรปา ไม 11
ปาไมมปี ระโยชนมากมายตอการดาํ รงชีวิตของมนุษย
ท้งั ทางตรงและทางออ ม ไดแก.
ประโยชนทางตรง (Direct Benefits)
ไดแ ก ปจจยั 4 ประการ
1.จากการนําไมม าสรา งอาคารบา นเรอื นและผลติ ภัณฑตาง ๆ เชน
เฟอรน เิ จอร กระดาษ ไมข ีดไฟ ฟน เปน ตน
2.ใชเปนอาหารจากสวนตาง ๆ ของพชื และผล
3.ใชเสนใย ท่ไี ดจ ากเปลอื กไมและเถาวัลยมาถักทอ เปน
เครื่องนุง หม เชือกและอน่ื ๆ
4.ใชทํายารักษาโรคตา ง ๆ
ประโยชนทางออม (Indirect Benefits)
1. ปาไมเปน เปน แหลงกําเนิดตนนา้ํ ลําธารเพราะตน ไมจาํ นวนมากในปา
จะทาํ ใหน ํา้ ฝนท่ตี กลงมาคอ ย ๆ ซึมซบั ลงในดิน กลายเปนน้าํ ใตด นิ
ซ่งึ จะไหลซึมมาหลอเลย้ี งใหแ มน า้ํ ลาํ ธารมีนาํ้ ไหลอยูตลอดป
2. ปาไมทําใหเ กดิ ความชมุ ชื้นและควบคุมสภาวะอากาศ ไอน้ําซึ่งเกิด
จากการหายใจของพืช ซึ่งเกิดขนึ้ อยมู ากมายในปา ทําใหอ ากาศเหนือปา มี
ความชืน้ สูงเม่ืออุณหภมู ลิ ดตํา่ ลงไอนา้ํ เหลานัน้ กจ็ ะกลนั่ ตัวกลายเปน เมฆ
แลว กลายเปน ฝนตกลงมา ทําใหบ ริเวณทีม่ พี ้นื ปา ไมม ีความชมุ ชื้นอยเู สมอ
ฝนตกตอ งตามฤดูกาลและไมเกิดความแหงแลง
12
3. ปา ไมเปนแหลงพักผอนและศกึ ษาความรู บริเวณปาไมจ ะมภี มู ิ
ประเทศทส่ี วยงามจากธรรมชาตริ วมทั้งสัตวป าจึงเปนแหลง พักผอนหยอนใจ
ไดดี นอกจากนน้ั ปา ไมย งั เปน ท่รี วมของพนั ธุพ ชื และพันธุสัตวจํานวนมาก
จึงเปน แหลง ใหม นุษยไ ดศึกษาหาความรู
4. ปาไมชว ยบรรเทาความรุนแรงของลมพายุและปอ งกนั อุทกภัย โดย
ชวยลดความเรว็ ของลมพายุที่พดั ผานไดต ง้ั แต ๑๑-๔๔ % ตาม
ลักษณะของปา ไมแ ตล ะชนดิ จงึ ชว ยใหบานเมอื งรอดพนจากวาตภัยได
ซง่ึ เปน การปองกันและควบคมุ นํ้าตามแมน า้ํ ไมใหสูงขึ้นมารวดเรว็ ลนฝง
กลายเปน อุทกภยั
5. ปา ไมชว ยปองกันการกัดเซาะและพัดพาหนาดนิ จากน้ําฝนและลม
พายุโดยลดแรงปะทะลงการหลดุ เลือนของดนิ จึงเกิดขึน้ นอย และยังเปน
การชวยใหแ มน ํ้าลําธารตาง ๆ ไมตืน้ เขินอีกดวย นอกจากนป้ี าไมจ ะ
เปนเสมอื นเครือ่ งกีดขวางตามธรรมชาติ จึงนบั วามปี ระโยชนในทาง
ยุทธศาสตรด วยเชน กนั
13
สาเหตุสาํ คญั ของวกิ ฤตการณป า ไมใ นประเทศไทย
1. การลกั ลอบตัดไมทําลายปา
ตวั การของปญ หาน้คี อื นายทุนพอคาไม เจาของโรงเลือ่ ย เจา ของ
โรงงานแปรรูปไม ผรู บั สัมปทานทาํ ไมและชาวบานทั่วไป ซ่ึงการตัดไม
เพื่อเอาประโยชนจ ากเนอ้ื ไมท ง้ั วิธที ่ีถกู และผิดกฎหมาย ปรมิ าณปาไมท ่ถี กู
ทาํ ลายนี้นับวนั จะเพิม่ ข้นึ เรอ่ื ยๆ ตามอัตราเพม่ิ ของจํานวนประชากร ย่ิงมี
ประชากรเพม่ิ ข้ึนเทา ใด ความตองการในการใชไ มกเ็ พ่ิมมากข้นึ เชน ใชไม
ในการปลกู สรา งบานเรอื นเครื่องมือเคร่อื งใชใ นการเกษตรกรรมเครื่อง
เรือนและถานในการหงุ ตม เปน ตน
2. การบกุ รกุ พนื้ ทีป่ าไมเพ่อื เขาครอบครองทีด่ ิน
เมอ่ื ประชากรเพม่ิ สงู ขึ้น ความตองการใชทด่ี นิ เพื่อปลกู สรางทีอ่ ยูอ าศัย
และท่ดี นิ ทาํ กนิ ก็อยสู งู ขน้ึ เปนผลผลักดนั ใหราษฎรเขาไปบุกรกุ พืน้ ทีป่ าไม
แผวถางปา หรือเผาปาทําไรเล่อื นลอย นอกจากน้ยี ังมีนายทุนทด่ี นิ ท่จี า ง
วานใหราษฎรเขาไปทาํ ลายปา เพ่อื จับจองท่ีดินไวข ายตอ ไป
3. การสงเสริมการปลกู พชื หรือเลี้ยงสัตวเศรษฐกิจเพือ่ การสง ออก
เชน มนั สาํ ปะหลงั ปอ เปนตน โดยไมส งเสริมการใชท ่ีดินอยาง
เตม็ ประสิทธภิ าพทง้ั ๆ ท่พี นื้ ท่ีปาบางแหง ไมเ หมาะสมท่ีจะนํามาใชใ น
การเกษตร
4. การกําหนดแนวเขตพ้นื ที่ปากระทาํ ไมช ัดเจนหรือไมกระทาํ เลยใน
หลายๆ พื้นท่ี
14
ทําใหราษฎรเกดิ ความสบั สนท้งั โดยเจตนาและไมเจตนา ทําใหเ กดิ
การพพิ าทในเร่อื งที่ดินทํากินและที่ดนิ ปาไมอ ยตู ลอดเวลาและมกั เกดิ การ
รอ งเรียนตอตา นในเร่ืองกรรมสทิ ธท์ิ ี่ดนิ
5. การจดั สรา งสาธารณปู โภคของรัฐ
เชน เขอ่ื น อา งเก็บน้าํ เสน ทางคมนาคม การสรา งเขอื่ นขวางลํา
น้ําจะทําใหพน้ื ทเ่ี กบ็ นา้ํ หนา เขือ่ นท่ีอุดมสมบูรณถกู ตดั โคนมาใชประโยชน
สว นตน ไมขนาดเล็กหรอื ทที่ ําการยา ยออกมาไมทันจะถกู น้ําทว มยืนตนตาย
เชน การสรา งเข่ือนรชั ประภาเพ่ือกน้ั คลองพระแสงอนั เปน สาขาของแม
นาํ้ พมุ ดวง-ตาป ทําใหนํ้าทว มบริเวณปา ดงดิบซึ่งมีพันธุไมห นาแนน
ประกอบดว ยสัตวน านาชนดิ นบั แสนไร ตอ มาจงึ เกิดปญ หานํ้าเนา ไหลลง
ลําน้ําพุมดวง
6. ไฟไหมปา
มกั จะเกดิ ขึน้ ในชวงฤดูแลง ซงึ่ อากาศแหงและรอนจัด ท้ังโดย
ธรรมชาติและจากการกระทําของมะมว งทีอ่ าจลกั ลอบเผาปา หรอื เผลอ จดุ
ไฟท้งิ ไวโ ดยเฉพาะในปา ไมเปนจํานวนมาก
การอนรุ ักษป า ไม 15
ปาไมถกู ทําลายไปจํานวนมาก จงึ ทาํ ใหเกดิ ผลกระทบตอ
สภาพ ภูมอิ ากาศไปทว่ั โลกรวมท้งั ความสมดลุ ในแงอ ื่นดว ย
ดงั น้ัน การฟน ฟสู ภาพปา ไมจึงตองดําเนนิ การอยา งเรงดว น
ท้งั ภาครฐั ภาคเอกชนและประชาชน ซ่งึ มีแนวทางในการกําหนด
แนวนโยบายดานการจดั การปา ไม ดงั นี้
1. นโยบายดา นการกาํ หนดเขตการใชป ระโยชนทีด่ นิ ปา ไม
2. นโยบายดานการอนรุ ักษทรัพยากรปาไมเ กยี่ วกบั งานปอ งกนั
รกั ษาปา การอนรุ กั ษสงิ่ แวดลอ มและสันทนาการ
3. นโยบายดา นการจัดการทีด่ นิ ทาํ กนิ ใหแกร าษฎรผยู ากไรใ น
ทองถ่ิน
4. นโยบายดา นการพัฒนาปาไม เชน การทําไมและการเก็บหาของ
ปา การปลกู และการบาํ รงุ ปาไม การคน ควา วิจัย และดา นการ
อตุ สาหกรรม
5. นโยบายการบรหิ ารท่วั ไปจากนโยบายดงั กลา วขา งตนเปน
แนวทางในการพัฒนาและการจดั การทรพั ยากรปา ไมข องชาตใิ หไดรับ
ผลประโยชน ทง้ั ทางดานการอนุรักษแ ละดา นเศรษฐกจิ อยา งผสมผสาน
กนั ท้ังน้ีเพอ่ื ใหเ กดิ ความสมดลุ ของธรรมชาติและมีทรัพยากรปาไมไวอ ยาง
ยงั่ ยนื ตอไปในอนาคต
16
อางองิ
-ทรัพยากรปาไม. สบื คนเมอ่ื วันที่ 6 กันยายน 2562.
จาก https;//web.ku.ac.th
-"ทรัพยากรปา ไม" สารานุกรมไทยสําหรับเยาวชน. สบื คน เม่อื วนั ท่ี 6
กันยายน 2562. จาก kanchanapisek.or.th
-ทัพยากรปาไม( 2559). สืบคน เมอื่ วันท่ี 14 กันยายน 2562.
จาก https;//www.truepiookpanya.com
-ปา(2547). ทรพั ยากรปาไม. สบื คน เม่ือวนั ที่ 18 กันยายน 2562.
จาก https;//th.m.wikipedia.org