The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

พุทธประวัติขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

pdf_20230204_104531_0000

พุทธประวัติขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า


พระเจ้าสุทโธทนะ พระนางสิริม ริ หามายา เจ้าชายสิทธัตถะ family


พระนามราชสกุลว่า ว่ โคตมะ เป็นพระมหากษัตริย์ ริย์ แคว้น ว้ สักกะ (ซึ่งมีนครหลวงคือกรุงกบิลพัสดุ์) เป็นพุทธบิดาของพระโคตมพุทธเจ้าพระองค์เป็น พระราชโอรสของพระเจ้าสีหหนุกับพระนาง กัญจนา มีพระอนุชาและพระกนิษฐา ร่วม พระชนกชนนีอีก 6 พระองค์ ได้แก่ พระเจ้าสุกโกทนะ พระเจ้าอมิโตทนะ โธโตทนะ ฆนิโตทนะ ปมิตา และอมิตา พระเจ้าสุทโธทนะมี พระอัครมเหสีนามว่า ว่ พระนางสิริม ริ หามายา เจ้า หญิงโกลิยวงศ์ จากกรุงเทวทหะ และมี พระราชโอรสพระองค์หนึ่งคือ เจ้าชายสิทธัตถะ


พระนางสิริมหามายา พระนางสิริม ริ หามายาสวรรคตหลังประสูติการพระโคตมพุทธเจ้าได้เพียง 7 วัน วั เพราะ สงวนครรภ์ไว้แ ว้ ด่พระโพธิสัตว์เ ว์ พียงพระองค์เดียว หลังจากนั้นพระองค์จึงจุติบนสวรรค์ ตามคติฮินดู-พุทธ ส่วนพระราชกุมารนั้นได้รับการอภิบาลโดยพระนางมหาปชาบดี โคตมี พระขนิษฐาที่ต่อมาได้เป็นอัครมเหสีในพระเจ้าสุทโธทนะ พระมารดา สิริม ริ หามายา เป็นพระมารดาของ พระโคตมพุทธเจ้า พระศาสดาแห่ง ศาสนาพุทธ และเป็นพระเชษฐภคินีของ พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี ภิกษุณีรูปแรก ในพระพุทธศาสนา


พระราชโอรส พระโคตมพุทธเจ้า มีพระนามเดิมในภาษาบาลีว่า สิทฺธตฺถ โคตม หรือ รืในภาษาสันสกฤตว่า สิทฺธารฺถ เคาตมะ เป็น พระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ผู้เป็นศาสดาของศาสนา พุทธ สาวกของพระองค์ไม่นิยมออกพระนามโดยตรง แต่ เรีย รี กตามพระสมัญญาว่า "ภควา"


พระนางรูปนันทา นันทา หรือ รืปรากฏในนาม สุนทรีนั รีนั นทา และ ชนบทกัลยาณี เป็นพระราชธิดาของพระเจ้าสุทโธทนะ กับพระมหาปชาบดีโคตมีเถรี และเป็นพระขนิษฐาต่างพระชนนีของพระโคตมพุทธเจ้า ศาสดาของศาสนาพุทธ เธอได้รับการยกย่องในหมู่เครือ รื ญาติว่าเป็น หญิงงาม จนได้รับสมญาว่า รูปนันทา หรือ รื ชนบทกัลยาณี พระราชธิดา


พระนางสิริมหามายาทรงสุบินนิมิต ตอนที่พ ที่ ระโพธิสัตว์เจ้า ซึ่งต่อมาคือเจ้าชายสิทธัตถะ หรือ พระพุทธเจ้า กำ ลังเสด็จจากสวรรค์ชั้นดุสิตเพื่อเสด็จเข้าสู่ พระครรภ์พระมารดา วันที่เ ที่ สด็จลงมาบังเกิดนั้น ตรงกับ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ซึ่งเป็นเวลาที่พ ที่ ระเจ้าสุทโธทนะ พระ ราชบิดา กับพระนางสิริมหามายา พระราชมารดา ได้ อภิเษกสมรสไม่นาน


วันที่พ ที่ ระโพธสัตว์เจ้าเสด็จลงสู่พระครรภ์ นั้น กวีผู้แต่งเรื่องเฉลิมพระเกียรติ ได้พรรณนาว่า มีเหตุมหัศจรรย์เกิดขึ้น เหมือนกับตอนประสูติ ตรัสรู้ และตรัส ปฐมเทศนา จะต่างกันบ้างก็แต่ใน รายละเอียดเท่านั้น เช่นว่า กลองทิพย์ บันลือลั่นทั่วท้องเวหา คนตาบอดกลับมอง เห็น คนหูหนวกกลับได้ยิน ตอนนั้นถ้าจะถ่ายทอดพระพุทธเจ้าออกจากวรรณคดี มาเป็นพระพุทธเจ้า ในพุทธประวัติก็ว่า กลองทิพย์บันลือลั่นนั้นคือ “นิมิต” หมายถึง พระเกียรติคุณ ของพระพุทธเจ้าที่จ ที่ ะแผ่ไปทั่วโลก คนตาบอด หูหนวก คือ คนที่มี ที่ มี กิเลส ได้สดับ รสธรรมแล้ว จะหายตาบอด หูหนวก หรือมีปัญ ปั ญารู้แจ้ง มองเห็นทาง พ้นทุกข์นั้นเอง


ทารกที่เ ที่ ห็นนั้นคือ เจ้าชายสิทธัตถะ หรือพระพุทธเจ้าในเวลา ต่อมา ซึ่งพอประสูติจากพระครรภ์พระมารดา ก็ทรงพระ ดำ เนินด้วยพระบาทไปได้ ๗ ก้าว พร้อมกับทรงยกพระหัตถ์ขวา พอประสูติจากพระครรภ์ พระมารดา ณ ป่าลุมพินี วัน ก็ทรงดำ เนินได้ ๗ ก้าว


และเปล่งพระวาจา เบื้องใต้พระบาทมี ดอกบัวรองรับ พระวาจาที่ท ที่ รงเปล่งออกมา นั้น กวีท่านแต่งไว้เป็นภาษาบาลี แปลถอด ใจความเป็นภาษาไทยได้ว่า “เราจะเป็น คนเก่งที่สุ ที่ สุ ดในโลกคนหนึ่ง ซึ่งจะหาผู้ใด เสมอเหมือนไม่มี ชาติที่เ ที่ กิดนี้เป็นชาติสุดท้าย ของเรา เราจะไม่ได้เกิดต่อไปในเบื้องหน้าอีก แล้ว”


อสิตดาบสมาเยี่ยม เห็น พระกุมารประกอบด้วย มหา ปุริสลักษณะก็ ถวายบังคม เมื่อท่านทราบข่าวว่า ว่ พระเจ้าสุทโธทนะ ประมุขกษัตริย์ ริย์ กรุงกบิลพัสดุ์ ทรงมี พระราชโอรสใหม่ จึงออกจากอาศรมเชิงเขา เข้าไปเยี่ยมเยียนเพื่อถวายพระพรยัง ราชสำ นัก พระเจ้า สุทโธทนะทรงทราบข่าวว่า ว่ ท่านดาบสมาเยี่ยม ก็ทรงดีพระทัย นักหนา จึงตรัสสั่งให้นิมนต์ท่านนั่งบนอาสนะ แล้วทรงอุ้มพระราชโอรสออกมาเพื่อ ให้นมัสการท่านดาบส พอท่านดาบสได้เห็นเจ้าชายสิทธัตถะ ก็ทำ กริย ริ าผิดวิสั วิสั ยสมณะ ๓ อย่าง คือ ยิ้มหรือ รื แย้ม หรือ รื ที่ภาษากวีใวี นหนังสือปฐมสมโพธิเรีย รี กอีกอย่างหนึ่งว่า ว่ “หัวเราะแล้ว ร้องไห้” แล้วกราบแทบพระบาทของเจ้าชายสิทธัตถะ


ฝ่า ฝ่ ยเจ้านายในราชตระกูล ได้เห็นและได้ทราบข่าวว่า ว่ ท่านดาบสกราบพระบาท ราชกุมาร ต่างก็มีพระทัย นับถือพระราชกุมารยิ่งขึ้น จึงทูลถวายโอรสของตนให้ เป็น ป็ บริว ริ ารของเจ้าชาย สิทธัตถะ ตระกูลละองค์ๆ ทุกตระกูล


พราหมณาจารย์รั ย์ บ รั พระลัก ลั ษณะสมโภชพระ กุม กุ าร ถวายพระนามว่า ว่ พระสิท สิ ธัต ธั ถะ ภายหลังเจ้าชายราชกุมารผู้พระราชโอรส ประสูติได้ ๕ วันแล้ว พระเจ้า สุทโธทนะ พระราชบิดาได้โปรดให้มีการประชุมใหญ่ ผู้เข้าประชุมมีพระญาติวงศ์ ทั้งฝ่ายพระ ราชบิดาและฝ่ายพระราชมารดา มุข อำ มาตย์ ราชมนตรี และพราหมณ์ผู้รอบรู้ ไตรเวท เพื่อทำ พิธีมงคลแก่พระราชกุมาร ๒ อย่าง คือ ขนานพระนาม และพยากรณ์ พระลักษณะ ผู้ทำ พิธีมงคลในการนี้ คือ พราหมณ์ มีทั้งหมด ๑๐๘ แต่พราหมณ์ผู้ ทำ หน้าที่นี้จริงๆ มีเพียง ๘ นอกนั้นมาใน ฐานะคล้ายพระอันดับ


มีเพียง ๘ นอกนั้น นั้ มาในฐานะคล้ายพระอันดับ พราหมณ์ทั้ง ทั้ ๘ มีรายนามดังนี้ (๑) รามพราหมณ์ (๒) ลักษณพราหมณ์ (๓) ยัญญพราหมณ์ (๔) ธุชพราหมณ์ (๕) โภชพราหมณ์ (๖) สุทัตตพราหมณ์ (๗) สุยามพราหมณ์ (๘) โกณทัญญพราหมณ์ ที่ประชุมลงมติขนานพระนามพระราชกุมารว่า ว่ “เจ้าชายสิทธัตถะ” ซึ่งเป็น ป็ มงคล นาม มีความหมายสองนัย นัยหนึ่งหมายความว่า ว่ ผู้ทรงปรารถนาสิ่งใดจะ สำ เร็จสิ่งนั้น นั้ ดังพระประสงค์ อีกนัยหนึ่งหมายความว่า ว่ พระโอรสพระองค์แรก สมดั่ง ดั่ ที่พระราชบิดาทรงปรารถนา แปลให้เป็น ป็ สำ นวนไทยในภาษาสามัญก็ว่า ว่ ได้ลูกชายคนแรกสมตามที่ต้องการ


ทรงบรรลุปฐมฌานตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ขณะประทับใต้ร่มหว้าในพิธีแรกนาขวัญ เจ้าชายสิทธัตถะโคตมะมีพระชนมายุ ๗ ปี พระราช บิดาตรัสให้ขุดสระโบกขรณี ๓ สระ ภายในพระราช นิเวศน์ ให้เป็นที่สำ ราญพระทัยพระโอรส สระโบกขรณี คือ สระที่ปลูกดอกบัวไว้ในสระ แล้วพระราชทาน เครื่องทรง คือ จันทน์สำ หรับทาผ้าโพกพระเศียร ฉลองพระองค์ผ้าทรงสะพัก พระภูษาทั้งหมดเป็น ของมีชื่อมาจากเมืองกาสีทั้งนั้นตอนที่เห็นในภาพนี้ เป็นตอนที่เจ้าชายประทับนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ ที่ ภาษาปฐมสมโพธิเรียกว่า “ชมพูพฤกษ์” ซึ่งคนไทย เราเรียกว่า “ต้นหว้า” นั่นเอง เหตุที่เจ้าชายมาประทับ อยู่ใต้ต้นหว้าแห่งนี้ ก็เพราะพระราชบิดาทรงจัดให้มี พระราชพิธีพระนังคัลแรกนาขวัญ ที่ทุ่งนานอกเมือง กบิลพัสดุ์ ตามพระราชประเพณี พระราชบิดาซึ่งเสด็จ แรกนาด้วยพระองค์เอง หรือจะเรียกว่า ทรงเป็น พระยาแรกนาเสียเองก็ได้ ได้โปรดให้เชิญเสด็จเจ้า ชายไปด้วย


จะเห็น ห็ เจ้า จ้ ชายประทับ ทั นั่ง นั่ ขัด ขั สมาธิอ ธิ ยู่ลำยู่ ลำพัง พั พระองค์เ ค์ ดีย ดี ว ไม่เ ม่ ห็น ห็ พระสหาย พระพี่เ พี่ ลี้ย ลี้ ง และมหาดเล็ก ล็ อยู่เยู่ฝ้า ฝ้ เลย เพราะทั้ง ทั้ หมดไปชมพระราชพิธี พิ แ ธี รกนากัน กั เจ้า จ้ ชายเสด็จ ด็ อยู่ลำยู่ ลำพัง พั พระองค์ภ ค์ ายใต้ต้ ต้ น ต้ หว้า ว้ ที่ กวีท่ วี า ท่ นพรรณาไว้ว่ ว้ า ว่ “กอปรด้ว ด้ ยสาขาแลใบ อัน อั มีพ มี รรณอัน อั เขีย ขี ว ประหนึ่ง นึ่ อิน อิ ทนิล นิ คีรี คีรี มีปมี ริม ริ ณฑล ร่ม ร่ เย็น ย็ เป็น ป็ รมณีย ณี สถาน... ” พระทัย ทั อัน อั บริสุริ สุ ทธิ์ และอย่า ย่ งวิสัวิสั ยผู้จผู้ะสำ เร็จ ร็ เป็น ป็ พระพุท พุ ธเจ้า จ้ในภายหน้า น้ ได้รั ด้ บ รั ความวิเ วิ วกก็เ ก็ กิด กิ เป็สป็ มาธิขั้ ธิ น ขั้ แรกที่เ ที่ รีย รี กว่า ว่ “ปฐมฌาน”แรกนาเสร็จ ร็ ตอนบ่า บ่ ย พระพี่เ พี่ ลี้ย ลี้ งวิ่ง วิ่ มาหา เจ้า จ้ ชาย ได้เ ด้ ห็น ห็ เงาไม้ยั ม้ ง ยั อยู่ที่ยู่ เ ที่ ดิม ดิ เหมือ มื นเวลาเที่ย ที่ งวัน วั ไม่ค ม่ ล้อ ล้ ยตวงตะวัน วั ก็เ ก็ กิด กิ อัศอั จรรย์ใย์ จ จึง จึ นำ ความ ไปกราบพระเจ้า จ้สุทโธนะให้ท ห้ รงทราบ พระราชบิด บิ าเสด็จ ด็ มาทอดพระเนตรก็เ ก็ กิด กิ ความอัศอั จรรย์ ในพระทัย ทั แล้ว ล้ ก็ท ก็ รงออกพระโอษฐ์อุท อุ านว่า ว่ “กาลเมื่อ มื่ วัน วั ประสูติ จะให้น้ ห้ อ น้ มพระองค์ล ค์ งถวายนมัสมั การ พระกาฬเทวิน วิ ดาบสนั้น นั้ ก็ทำ ก็ ทำปาฎิห ฎิ าริย์ ริ ขึ้ ย์ น ขึ้ ไปยืน ยื เบื้อ บื้ งบนชฎาพระดาบส อาตมก็ปก็ ระณตเป็น ป็ ปฐมวัน วั ทนา การครั้ง รั้ หนึ่ง นึ่ แล้ว ล้ ครั้ง รั้ นี้อ นี้ าตมก็ถ ก็ วายอัญ อั ชลีเ ลีป็น ป็ ทุติ ทุ ย ติ วัน วั ทนาการคำ รบสอง”พระเจ้า จ้สุทโธทนะทรงไหว้ พระพุท พุ ธเจ้า จ้ ที่สำที่ สำ คัญ คั ๓ ครั้ง รั้ ด้ว ด้ ยกัน กั ครั้ง รั้ แรกเมื่อ มื่ ภายหลัง ลั ประสูติที่ ติ ด ที่ าบสมาเยี่ย ยี่ ม เห็น ห็ ท่า ท่ นดาบสไหว้ ก็เ ก็ ลยไหว้ ครั้ง รั้ ที่สที่ องก็คื ก็ อ คื ครั้ง รั้ ทรงเห็น ห็ ปาฏิห ฏิ าริย์ ริย์ ครั้ง รั้ ที่สที่ ามคือ คื ภายหลัง ลั พระพุท พุ ธเจ้า จ้ เสด็จ ด็ ออกผนวช ได้สำด้สำ เร็จ ร็ เป็น ป็ พระพุท พุ ธเจ้า จ้ แล้ว ล้ และเสด็จ ด็ กลับ ลัไปโปรดพระพุท พุ ธบิด บิ าครั้ง รั้ แรก


ทรงประลองศิลปศาสตร์ยกศร อันหนัก ดีดสายศรเสียงสนั่น กระหึ่มเมือง


พอเจ้า จ้ ชายสิท สิ ธัต ธั ถะทรงมีพ มี ระชนมายุพ ยุ อสมควรแล้ว ล้ พระราชบิด บิ าจึง จึ ทรง ส่ง ส่ ไปศึก ศึ ษาศิล ศิปวิท วิ ยาที่สำ ที่ สำนักครูที่ รู มี ที่ ชื่ มี อ ชื่ ว่า ว่ “วิศ วิ วามิต มิ ร” เจ้า จ้ ชายทรงศึก ศึ ษา การใช้อ ช้ าวุธ วุ ยิง ยิ ธนู และการปกครองได้ว่ ด้ อ ว่ งไวจนสิ้น สิ้ ความรู้ขรู้ องอาจารย์ เจ้าชายสิทธัตถะทรงมีพระชนมายุได้ ๑๖ ปีแ ปี ล้ว และทรงศึกษาศิลปวิท วิ ยา จบแล้ว พระราชบิดาจึงตรัสสั่ง สั่ ให้ สร้างปราสาท ๓ ฤดู เป็น ป็ จำ นวน ๓ หลัง ให้ประทับเป็น ป็ ที่สำ ราญพระทัย ปราสาทหลังที่หนึ่งเหมาะสำ หรับ ประทับในฤดูหนาว หลังที่สองสำ หรับฤดูร้อน ทั้ง ทั้ สองหลังนี้จะมีอะไรเป็น ป็ เครื่อ รื่ งควบคุมอุณหภูมิไม่ทราบได้ และหลังที่สามสำ หรับประทับในฤดูฝน หลังจากนั้น นั้ พระราชบิดาได้ทรงแจ้งไปยังพระญาติวงศ์ทั้ง ทั้ สองฝ่า ฝ่ ย คือ ฝ่า ฝ่ ยพระมารดา และฝ่า ฝ่ ยพระบิดา ให้จัดส่งพระราชธิดามาเพื่อคัดเลือก สตรีผู้ รีผู้สมควรจะอภิเษกสมรสกับเจ้าชาย ทั้ง ทั้ นี้เพราะพระราชบิดาทรง ต้องการจะผูกมัดพระราชโอรส ให้เสด็จอยู่ครองราชสมบัติ มากกว่า ว่ ที่จะ ให้เสด็จออกทรงผนวช


แต่พระญาติวงศ์ทั้ง ทั้ ปวงเห็นว่า ว่ ควรจะให้เจ้าชาย ได้แสดงความสามารถในศิลปศาสตร์ที่ทรง เล่าเรีย รี นมา ให้เป็น ป็ ที่ประจักษ์แก่หมู่พระญาติ ก่อน พระราชบิดาจึงอัญเชิญพระญาติวงศ์มา ประชุมกันที่หน้าพระมณฑปที่ปลูกสร้างขึ้นมาใหม่ ณ ใจกลางเมือง เพื่อชมเจ้าชายแสดงการยิงธนู ธนูที่เจ้าชายยิง มีชื่อว่า ว่ “สหัสถามธนู” แปลว่า ว่ “ธนูที่มีน้ำ หนัก ขนาดที่คนจำ นวนหนึ่งพันคนจึง จะยกขึ้นได้” แต่เจ้าชายทรงยกธนูนั้น นั้ ขึ้นได้ ปฐมสมโพธิให้คำ อุปมาว่า ว่ “ดังสตรีอั รีอั นยกขึ้น ซึ่ง ไม้กงดีดฝ้า ฝ้ ย” บรรดาพระญาติวงศ์ทั้ง ทั้ ปวงได้ เห็นแล้วต่างชื่นชมยิ่งนัก แล้วเจ้าชายทรงลองดีด สายธนู ก่อนยิงเสียงสายธนูดังกระหึ่มครึ้ม รึ้ คราง ไปทั้ง ทั้ กรุงกบิลพัสดุ์


เสด็จประพาสสวน ทรงเห็นเทวทูต ๔ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และบรรพชิต


เจ้าชายสิทธัตถะทรงมีพระอัธยาศัยเป็นนักคิดสมกับ ที่ทรงเกิดมาเป็น ป็ พระศาสดาโปรดชาวโลก จึงทรงยินดี ในความสุขนั้น นั้ ไม่นาน พอพระชนมายุ มากขึ้นจนถึง ๒๙ ก็ทรงเกิดนิพพิทา คือ ความ เบื่อหน่ายต้นเหตุสำ คัญที่ทำ ให้เกิดความรู้สึกใน พระทัยเช่นนั้น นั้ อยู่ที่ทรงเห็นสิ่งที่เรีย รี กว่า เทวฑูตทั้ง ทั้ ๔ ระหว่า ว่ งทางในวันเสด็จประพาสพระราชอุทยาน นอกเมืองด้วยรถม้าพระที่นั่ง นั่ พร้อมด้วยสารถีคนขับ เทวฑูตทั้ง ทั้ ๔ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และ นักบวช ทรงเห็นคนแก่ก่อนปฐมสมโพธิบรรยาย ลักษณะของคนแก่ว่า ว่ “มีเกศาอันหง แลสีข้างก็คดค้อม กายนั้น นั้ ง้อมเงื้อม ไปในเบื้องหน้า มือถือไม้เท้าเดินมาในระหว่า ว่ ง มรรควิถี วิถี มีอาการอันไหวหวั่นสั่น สั่ ไปทั่ว ทั่ ทั้ง ทั้ กาย ควรจะสังเวช


“นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ กอปรด้วยอากัปกิริย ริ าสำ รวม... เมื่อทรงเห็นนักบวชก็ทรงเกิดพระทัยน้อมไปในทาง บรรพชา ทรงรำ พึงในพระทัยที่เรีย รี กอีกอย่างหนึ่ง ทรง เปล่งอุทานออกมาว่า ว่ “สาธุ ปัพ ปั พชา” สองคำ นี้เป็น ป็ ภาษาบาลี แปลให้ตรงกับสำ นวนไทยว่า ว่ “บวชท่าจะดี แน่” แล้วก็ตัดสินพระทัยว่า ว่ จะเสด็จออกบวชตั้ง ตั้ แต่วันนั้น นั้ เป็น ป็ ต้นมา ในคราวเสด็จประพาสพระราชอุทยานครั้ง ที่ ๔ ทรงเห็นนักบวช


พระราชบิดาทรงอภิเษกสมรส เจ้าชาย สิทธัตถะกับพระนางพิมพายโสธรา พระญาติวงศ์ของพระพุทธเจ้านั้น นั้ มี ๒ ฝ่า ฝ่ ย คือ ฝ่า ฝ่ ยพระราชมารดาและฝ่า ฝ่ ยพระราชบิดา ทั้ง ทั้ สอง ฝ่า ฝ่ ยอยู่คนละเมือง มีแม่น้ำ โรหิณีไหลผ่านเป็น ป็ เขตกั้น กั้ พรมแดน พระญาติวงศ์ฝ่า ฝ่ ยพระราชมารดามีชื่อว่า ว่ “โกลิยวงศ์” ครองเมืองเทวทหะ พระญาติวงศ์ฝ่า ฝ่ ย พระราชบิดามีชื่อว่า ว่ “ศากยวงศ์” ครองเมืองกบิล พัสดุ์พระญาติวงศ์ทั้ง ทั้ สองฝ่า ฝ่ ยทรงเห็นพร้อมกันว่า ว่ พระนางพิมพายโสธรา ทรงพร้อมด้วยคุณสมบัติ ทุกอย่าง สมควรจะอภิเษกสมรสกับ เจ้าชายสิทธัถะ พระราชพิธีอภิเษกสมรสจึงได้มีขึ้น ในสมัยที่ทั้ง ทั้ เจ้า ชายและเจ้าหญิงทรงมีพระชนมายุได้ ๑๖ ปีพ ปี อดี


เจ้าชายสิทธัตถะกับพระนาง พิมพายโสธรา


เจ้า จ้ ชายสิท สิ ธัต ธั ถะกับ กั พระนางพิม พิ พายโสธรา ปฐมสมโพธิว่า พระนางพิมพายโสธรา เป็นผู้หนึ่งในจำ นวน ๗ สหชาติของพระพุทธเจ้า สหชาติ คือ สิ่งที่เกิดพร้อมกันกับวันที่ พระพุทธเจ้าเกิด ๗ สหชาตินั้น นั้ คือ (๑) พระนางพิมพายโสธรา (๒) พระอานนท์ (๓) กาฬุทายีอำ มาตย์ (๔) นายฉันนะ มหาดเล็ก (๕) ม้ากัณฐกะ (๖) ต้นพระศรีมหาโพธิ์ (๗) ขุมทองทั้ง ทั้ ๔ (สังขนิธี, เอลนิธี, อุบลนิธี, บุณฑริกนิธี)


ตื่นบรรทมกลางดึกเห็นสาวสนมกรมใน นอนระเกะระกะ ระอาพระทัยใคร่ผนวช ตั้ง ตั้ แต่เจ้าชายสิทธัตถะทอด พระเนตรเห็นเทวฑูตทั้ง ทั้ สี่แล้ว ทรง ตัดสินพระทัยแน่วแน่ว่า ว่ จะเสด็จ ออกบรรพชาเป็น ป็ ต้นมา แม้ว่า ว่ ภาย หลังจากนั้น นั้ จะทรงเกิดบ่วงขึ้นใน พระทัย คือ ทรงมีพระโอรสและมี ความรัก แต่ความที่ตั้ง ตั้ พระทัยไว้ ว่า ว่ จะเสด็จออกบวชก็ไม่ เปลี่ยนแปลง


เจ้าชายผู้ทรงตัดสินพระทัยแน่วแน่แล้วว่า ว่ จะเสด็จ ออกบวชและพระองค์ เสด็จไปยังห้องบรรทมของ พระนางพิมพายโสธราผู้ชายาก่อนเมื่อเสด็จไปถึง ทรงเผยบานพระทวารออกทรงเห็นพระชายากำ ลัง หลับสนิท พระนางทอดพระพระกรไว้ เหนือเศียรราหุลโอรสผู้เพิ่งประสูติ พระองค์ทรงเกิด ความเสน่หาอาลัยในพระชายา และพระโอรสที่เพิ่งได้ทอดพระเนตรเห็นเป็น ป็ ครั้ง แรกอย่างหนักก็ทรงเกรงพระนางจะตื่นบรรทม และจะเป็น ป็ อุปสรรคแก่การเสด็จออกบวช จึงข่มพระทัยเสียได้ว่า ว่ อย่าเลยเมื่อได้สำ เร็จเป็น ป็ พระพุทธเจ้า "จะกลับมาทัศนาการพระพักตร์ พระลูกแก้วเมื่อภายหลัง" เสด็จไปเยี่ยมพระนางพิมพา ซึ่งกำ ลัง บรรทมหลับสนิท เป็นนิมิตรอำ ลาผนวช


ทรงปลุกนายฉันนะให้ ผูกม้ากัณฐกะ เพื่อ ประทับเป็นพาหนะเสด็จ ออกบรรพชา ม้าพระที่นั่ง นั่ ที่เจ้าชายเสด็จขึ้นทรง เพื่อเสด็จออกบวชครั้งนี้ มีชื่อว่า ว่ “กัณฐกะ” เป็น ป็ สหชาติ คือ เกิดวันเดียวกับเจ้าชาย หนังสือปฐมสมโพธิบอกส่วนยาวของม้านี้ไว้ว่ ว้ า ว่ “ยาวตั้ง ตั้ แต่คอจดท้ายมีประมาณ ๑๘ ศอก” แต่ส่วนสูงกี่ศอก ไม่ได้บอกไว้ บอกแต่ว่า ว่ “โดยสูงก็สมควรกับกายอันยาว” และแจ้งถึงลักษณะอย่างอื่นไว้ว่ ว้ า ว่ “สีขาวบริสุ ริ สุ ทธิ์ดุจ สังข์อันขัดใหม่ ศีรษะนั้น นั้ ดำ ดุจสีแห่งกา มีเกศาในมุขประเทศ (หน้า) ขาวผ่องดุจไส้ หญ้าปล้องงามสะอาด กอปรด้วยพหลกำ ลังมาก แลยืนประดิษฐานอยู่บนแท่น แก้วมณี”


เจ้าชายสิทธัตถะพร้อมด้วยนายฉันนะที่ตามเสด็จ ทรงขับม้า พระที่นั่งไปตลอดคืน ไปสว่า ว่ งเอาที่แม่น้ำ แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็น เขตแดนกั้นเมืองทั้ง ๓ คือ กบิลพัสดุ์ สาวัต วั ถี และไพศาลี ทรง ถามนามแม่น้ำ นี้กับนายฉันนะ นายฉันนะกราบทูลว่า ว่ “พระลูกเจ้า ! แม่น้ำ นี้มีชื่อว่า ว่ อโนมานที พระเจ้าข้า” ทรงตัดพระโมลีถือเพศ บรรพชาที่ฝั่งน้ำ อโนมาน ที ฆฏิการพรหมถวาย อัฏฐบริขาร ทรงพาม้าและมหาดเล็กข้ามแม่น้ำ แล้วเสด็จลงจากหลังม้าประทับนั่งบนหาดทราย อันขาวดุจ แผ่นเงิน พระหัตถ์ขวาจับพระขรรค์แสงดาบ พระหัตถ์ซ้ายจับพระจุฬา คือ ยอดหรือ รืปลาย พระเกศา กับพระโมฬี คือ มุ่นพระเกศา หรือ รื ผมที่มุ่นเป็นมวย แล้วทรงตัดด้วยพระขรรค์ แสงดาบเหลือพระเกศาไว้ย ว้ าวประมาณ ๒ นิ้ว เป็นวงกลมเวีย วี นไปทางขวา


เสร็จแล้วทรงเปลื้องพระภูษาทรงออก แล้วทรงครองผ้ากาสาวพัสตร์ที่ฆฏิการพรหมนำ มา ถวาย พร้อมด้วยเครื่อ รื่ งบริข ริ ารอย่างอื่นของนักบวช แล้วทรงอธิษฐานเพศเป็น ป็ นักบวช ที่ บนหาดทราย ริม ริฝั่ง ฝั่ แม่น้ำ อโนมานั่น นั่ เองทรงมอบพระภูษาทรง และม้าพระที่นั่ง นั่ ให้นาย ฉันนะนำ กลับไปกราบทูลแจ้งข่าวแก่พระราชบิดาให้ทรงทราบ นายฉันนะมีความอาลัยรัก องค์ผู้เป็น ป็ เจ้านาย ถึงร้องไห้กลิ้งเกลือกแทบพระบาทไม่อยากกลัไป แต่ขัดรับสั่ง สั่ ไม่ได้ ด้วย เกรงพระอาญาเจ้าชายหรือ รื ตั้ง ตั้ แต่นี้เป็น ป็ ต้นไป หนังสือพุทธประวัติเรีย รี กว่า ว่ “พระมหาบุรุษ” ทรงลูบหลังม้าที่กำ ลังจะจากพระองค์กลับเมือง ม้าน้ำ ตาไหลอาบหน้า แล้วแลบชิวหาออกเลีย พื้นฝ่า ฝ่ พระบาทของพระองค์ผู้เคยทรงเป็น ป็ เจ้าของทั้ง ทั้ ม้าทั้ง ทั้ คนคือนายฉันนะน้ำ ตาอาบหน้า ข้ามน้ำ กลับมาเมือง แต่พอลับพระเนตรพระมหาบุรุษ ม้ากัณฐกะก็หัวใจแตกออก ๗ ภาค หรือ รื หัวใจวายตาย นายฉันนะจึงปลดเครื่อ รื่ งม้าออก แล้วนำ ดอกไม้ป่า ป่ มาบูชาศพพญาสินธพ แล้วฉันนะก็หอบพระภูษาทรงและเครื่อ รื่ งม้าเดินร้องไห้กลับเมืองคนเดียว


ทรงบำ เพ็ญทุกกรกิริยา ปัญจวัคคีย์เฝ้าปฏิบัติ พระอินทร์ ดีดพิณถวายข้ออุปมา ตอนนี้เ นี้ป็น ป็ ตอนที่พ ที่ ระมหาบุรุ บุ ษ รุ บำ เพ็ญ พ็ ทุก ทุ กรกิริ กิ ย ริ า กลุ่มลุ่ คนที่นั่ ที่ นั่ งอยู่เยู่ บื้อ บื้ ง หน้า น้ พระพัก พั ตร์นั้ ร์ นั้ นคือ คื คณะปัญ ปั จวัค วั คีย์ คี ย์ มี ๕ คนด้ว ด้ ยกัน คือ คื โกณฑัญญะ วัปวั ปะ ภัท ภั ทิยะ ทิ ไดมหานามะ และ อัสสชิ ทั้งหมดตามเสด็จ ด็ พระมหาบุรุ บุ ษ รุ ออกมาเพื่อ พื่ เฝ้า ฝ้ อุปั อุ ฏ ปั ฐาก ส่ว ส่ นผู้ที่ผู้ ถื ที่ อ ถื พิณ พิ อยู่บยู่ นอากาศนั้นคือ คื พระอิน อิ ทร์น ร์ หัวหน้า น้ คือ คื โกณฑัญญะ เป็น ป็ คนหนึ่ง นึ่ ในจำ นวนพราหมณ์ ๘ คน ที่เ ที่ คยทำ นายพระลัก ลั ษณะของ เจ้า จ้ ชายสิท สิ ธัต ธั ถะ ตอนนั้นยังหนุ่มนุ่ แต่ต ต่ อนนี้แ นี้ ก่ม ก่ ากแล้ว ล้ อีก อี ๔ คน เป็น ป็ ลูก ลู ของพราหมณ์ที่ ณ์ เ ที่ หลือ ลื คือ คื ในจำ นวนพราหมณ์ ๗ คนนั้นทุก ทุ กรกิริ กิ ย ริ าเป็น ป็ พรตอย่า ย่ งหนึ่ง นึ่ ซึ่ง ซึ่ นักบวชสมัยนั้นนิยม นิ ทำ มีตั้ มี ตั้ งแต่ อย่า ย่ งต่ำ ธรรมดา จนถึง ถึ ขั้น ขั้ อาการปางตายที่เ ที่ กิน กิ วิสั วิ ย สั สามัญมนุษ นุ ย์จ ย์ ะทำ ได้อ ด้ ย่า ย่ งยิ่ง ยิ่ ยวด ปางตาย คือ คื กัดฟัน ฟั กลั้น ลั้ ลมหายใจเข้า ข้ ออก และอดอาหารพระอิน อิ ทร์ดี ร์ ด ดี พิณ พิ สายที่ส ที่ าม (มัชฌิม ฌิ าปฏิปฏิ ทา) ดังออก มาเป็น ป็ ความว่า ว่ ไม้ส ม้ ดแช่อ ช่ ยู่ใยู่ นน้ำ ทำ อย่า ย่ งไรก็สี ก็ ใสี ห้เ ห้ กิด กิ ไฟไม่ไม่ ด้ ถึง ถึ อยู่บยู่ นบก แต่ยั ต่ ยั งสด ก็สี ก็ ใสี ห้เ ห้ กิด กิ ไฟไม่ไม่ ด้ ส่ว ส่ นไม้แ ม้ ห้ง ห้ และอยู่บยู่ นบกจึง จึ สีใสี ห้เ ห้ กิด กิ ไฟได้ อย่า ย่ งแรกเหมือ มื นคนยังมีกิ มี เ กิ ลสและอยู่คยู่ รองเรือ รื น อย่า ย่ งที่ สองเหมือ มื นคนออกบวชแล้ว ล้ แต่ใต่ จยังสดด้ว ด้ ยกิเ กิ ลส อย่า ย่ งที่ส ที่ ามเหมือ มื นคนออกบวชแล้ว ล้ ใจเหี่ยว หี่ จาก กิเ กิ ลสพอทรงเห็น ห็ หรือ รื ได้ยิ ด้ น ยิ เช่น ช่ นั้น พระมหาบุรุ บุ ษ รุ จึง จึ ทรงเลิก ลิ บำ เพ็ญ พ็ ทุก ทุ กรกิริ กิ ย ริ า ซึ่ง ซึ่ เป็น ป็ ความเพียร พี ทาง กาย แล้ว ล้ เริ่ม ริ่ กลับ ลั เสวยอาหารเพื่อ พื่ บำ เพ็ญ พ็ ความเพีย พี รทางใจ พวกปัญ ปั จวัค วั คีย์ คี ท ย์ ราบเข้า ข้ ก็เ ก็ กิด กิ เสื่อ สื่ ม ศรัท รั ธา หาว่า ว่ พระมหาบุรุ บุ ษ รุ คลายความเพีย พี รเวีย วี นมาเพื่อ พื่ กลับ ลั เป็น ป็ ผู้มัผู้ มั กมากเสีย สี แล้ว ล้ เลยพากันละทิ้ง ทิ้ หน้า น้ ที่อุ ที่ ปั อุ ฏ ปั ฐากหนีไนีปอยู่ที่ยู่ อื่ ที่ น อื่


เหตุการณ์ก่อนพระพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ 1 เช้าวันตรัสรู้ นางสุชาดากับทาสี มา ถวายข้าวมธุปายาส โดยสำ คัญว่า เป็นเทวดา ถวายเสร็จ ร็ แล้วก็ไหว้ แล้วเดินดิกลับบ้า บ้ นด้ว ด้ ยความ ยินยิดี และด้ว ด้ ยความสำ คัญหมายว่า ว่ พระมหาบุรุษ รุ นั้น นั้ เป็น ป็ รุก รุ ขเทพเจ้า จ้ 2 ทรงลอยถาด ถาดจมลงไปกระทบ กับถาดเดิม ๓ ใบ พญานาคก็รู้ว่า พระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้ เสร็จ ร็ แล้วทรงลอยถาดและทรงอธิษธิฐานว่า ว่ ถ้าจะได้สำ ด้ สำเร็จ ร็ เป็น ป็ พระพุทธเจ้า จ้ ขอให้ถ ห้ าด จงลอยทวนกระแสน้ำ ขึ้น ขึ้ ไปไกลถึง ๘๐ ศอก ไปจนถึงวังวัน้ำ วนแห่ง ห่ หนึ่ง นึ่ ถาดนั้นนั้จึง จึ จม ดิ่งดิ่หายไปจนถึงพิภพิพของกาฬนาคราช กระทบกับถาดสามใบของพระพุทธเจ้า จ้


3 ทรงลาดหญ้าประทับเป็น โพธิบัลลังก์ ตกเย็นพระยา มารก็กรีฑาพลมาขับไล่ เหตุก ตุ ารณ์ที่ ณ์ ที่ เกิดกับพระมหาบุรุษตอนนี้เรีย รี กว่า ว่ “มารผจญ” ซึ่ง ซึ่ เกิดขึ้น ขึ้ ในวัน วั เพ็ญ พ็ เดือน ๖ ก่อนตรัส รั รู้ไรู้ ม่กี่ ม่ กี่ ชั่ง ชั่โมง พระอาทิตย์ กำ ลังอัสดงลงลับทิวไม้ สัต สั ว์สี่ ว์ เ สี่ ท้าที่กำ ลังจะใช้ง ช้ าทิ่มแทงพระ มหาบุรุษนั้น นั้ มีชื่ มี ชื่ อ ชื่ ว่า ว่ “นาราคีรีเ รี มขล์” เป็นช้า ช้ งทรงของพระยาวัส วั สวดีม ดี ารซึ่ง ซึ่ เป็นจอมทัพ สตรีที่ รี ที่ กำ ลังบีบ บี มวยผมนั้น นั้ คือ “พระนาง ธรณี”ณี มีชื่ มี ชื่ อ ชื่ จริงริว่า ว่ “สุน สุ ธรีว รี นิดา” 4 แม่พระธรณีบิดพระเกศา เกิดเป็นสมุทรธารา พระยา มารก็พ่ายแพ้แก่พระบารมี บารมีนั้ มี นนั้คือความดี พระมหาบุรุษ รุ ท่านทรง รำ พึง พึ ว่า ว่ ชีวิ ชี ตวิดวงหทัย นัยนัน์เน์นตรที่ท่านทรง บริจริาคให้เ ห้ป็น ป็ กุศ กุ ลผลทานมาก่อนนั้นนั้ถ้าจะเก็บ รวมไว้ก็ ว้ ก็ จะมากกว่า ว่ ผลาผลไม้ใม้ นป่า ป่ มากกว่า ว่ ดวง ดาราในท้องฟ้า ฟ้ ความดีที่ ดี ที่ ทำ ไว้นั้ ว้ นนั้ ไม่ห ม่ นีไนีปไหน ถึงใครไม่เ ม่ ห็น ห็ ฟ้า ฟ้ ดินดิก็เห็น ห็ ดินดิคือแม่พ ม่ ระธรณี


พอรุ่งอรุณก็ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เทวดาฝ่าย ฟ้อนร่อนรำ ถวายเป็นพุทธบูชา เมื่อ มื่ พระมหาบุรุ บุ ษ รุ ทรงชนะมารแล้ว ล้ นั้น นั้ พระอาทิต ทิ ย์ กำ ลัง ลั จะอัส อั ดง ราตรีเ รี ริ่ม ริ่ ย่า ย่ งเข้า ข้ มา พระมหาบุรุ บุ ษ รุ ยัง ยั คงประทับ ทั นั่งไม่ห ม่ วั่น วั่ ไหวที่โที่ พธิบั ธิ ล บั ลัง ลั ก์ใก์ ต้ต้ ต้ น ต้ พระ ศรีม รี หาโพธิ์ ทรงเริ่ม ริ่ บำ เพ็ญ พ็ สมาธิใธิ ห้เกิด กิ ในพระทัย ทั ด้ว ด้ ยวิธี วิ ที่ ธี เ ที่ รีย รี กว่า ว่ เข้า ข้ ฌาน แล้ว ล้ ทรงบรรลุญลุ าณ ฌาน คือ คื วิธี วิ ทำ ธี ทำจิต จิ ให้เป็น ป็ สมาธิ คือ คื ให้จิต จิ แน่วแน่ ไม่ ฟุ้ง ฟุ้ ซ่า ซ่ นคิด คิ โน่นคิด คิ นี่อย่า ย่ งปุถุ ปุ ช ถุ นธรรมดา ส่ว ส่ น ญาณ คือ คื ปัญ ปั ญาความรู้แรู้ จ้ง จ้ เปรีย รี บให้เห็นความง่า ง่ ยเข้า ข้ ก็ คือ คื แสงเทีย ที นที่นิ่ ที่ นิ่ งไม่มี ม่ ล มี มพัด พั คือ คื “ฌาน” แสงสว่า ว่ ง อัน อั เกิด กิ จากแสงเทีย ที นเท่า ท่ กับ กั ปัญ ปั ญา (ญาณ)


การได้บรรลุญาณทั้งสามของพระมหาบุรุษนั้น เรียกว่า ตรัสรู้ความเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งเกิดขึ้น ในคืนวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ หลังจากนั้น พระนาม ว่า สิทธัตถะก็ดี พระโพธิสัตว์ก็ดี ที่เกิดใหม่ตอน ก่อนตรัสรู้ว่าพระมหาบุรุษก็ดี ได้กลายเป็น พระนามในอดีตหนหลัง เพราะตั้งแต่นี้ต่อไปทรง มีพระนามใหม่ว่า “อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า” แปลว่า พระผู้ตรัสรู้ธรรมเครื่องหลุดพ้นจาก กิเลสโดยชอบด้วยพระองค์เอง เหตุการณ์ครั้งนี้จึงเป็นที่มหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง กวีจึงแต่งความเป็นปุคคลาธิษฐาน เฉลิมพระเกียรติพระพุทธเจ้าว่า นำ สัตว์ มนุษย์ นิกร และทวยเทพในหมื่นโลกธาตุ หายทุกข์ หายโศก สิ้นวิปโยคจากผองภัย สัตว์ทั้งหลาย ต่างมีเมตตาจิตต่อกันทุกถ้วนหน้า เว้นจาก เวรานุเวร อาฆาตมาดร้ายแก่กัน ทวยเทพต่างบรรเลงดนตรีสวรรค์ ร่ายรำ ขับร้อง แซ่ซ้องถวายเป็นพุทธบูชาและกล่าว สรรเสริญพระพุทธคุณกันทั่วหน้า


พระพุทธเจ้าทรงปรินิพพาน พระพุทธเจ้าทรงบำ เพ็ญพุทธกิจอยู่จน พระชนมายุ ๘๐ พรรษา พระองค์เสด็จ จำ พรรษาสุดท้ายณ เมืองเวสาลี ในวาระ นั้นพระพุทธองค์ทรงพระชราภาพมาก แล้วทั้งยังประชวรหนักด้วย พระองค์ได้ ทรงพระดำ เนินจากเวสาลีสู่เมือง กุสินาราเพื่อเสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ เมืองนั้น พระพุทธองค์ได้หันกลับไป ทอดพระเนตรเมืองเวสาลีซึ่งเคยเป็นที่ ประทับ นับเป็นการทอดทัศนาเมืองเว สาลีเป็นครั้งสุดท้าย แล้วเสด็จต่อไปยัง เมืองปาวา เสวยพระกระยาหารเป็นครั้ง สุดท้ายที่บ้านนายจุนทะ บุตรนายช่าง ทอง พระพุทธองค์ทรงพระประชวร หนักอย่างยิ่ง


ทรงข่มอาพาธประคองพระองค์เสด็จถึงสาลวโนทยาน (ป่าสาละ)ของเจ้ามัลละเมืองกุสินารา ก่อนเสด็จดับขันธ ปรินิพพานพระองค์ได้อุปสมบทแก่พระสุภัททะปริพาชก นับเป็น สาวกองค์สุดท้ายที่พระพุทธองค์ทรงบวชให้ ในท่ามกลางคณะ สงฆ์ทั้งที่เป็นพระอรหันต์และปุถุชนในคืนวันที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จ ดับขันธ ปรินิพานนั้น มีปริพาชก (นักบวชนอกพระพุทธ ศาสนา) ผู้หนึ่งชื่อ “สุภัททะ” มาขอเข้าเฝ้า แต่พระอานนท์เห็น พระพุทธองค์ทรงอาพาธหนัก จึงได้ห้ามไว้ แต่สุภัททะก็อ้อนวอน จะขอเข้าเฝ้าให้ได้ เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบจึงประทานโอกาสให้ สุภัททะเข้าเฝ้าถามปัญหาต่าง ๆ พระองค์ทรงแก้ไขปัญหา และ เทศนาธรรมให้ฟังจนเป็นที่เข้าใจ สุภัททะได้ความเลื่อมใสทูลขอ อุปสมบท โดยพระพุทธเจ้าได้ทรงให้พระอานนท์เป็นพระอุปัชฌาย์ และเมื่อสุภัททะอุปสมบทแล้วได้พยายามเจริญวิปัสสนาจนได้ บรรลุพระอรหัตผล จึงนับได้ว่าสุภัททะเป็นพระสาวกองค์สุดท้าย ของพระพุทธเจ้า


ต่อจากนั้นพระบรมศาสดาได้ประทานปัจฉิมโอวาทว่า “หันทะทานิ ภิกขะ เวอามันตะยามิ โว วะยะธัมมา สังขารา อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ” แปลว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอว่าสังขารทั้งหลายมีความ เสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด” ซึ่ง ปัจฉิมโอวาทนี้เป็นการสรุปพระโอวาททั้งปวงที่ประทานมาตลอด ๔๕ พรรษา ว่าคือ “ความไม่ประมาท” อย่างเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นพระ พุทธองค์ก็ ทรงเสด็จดับขันธปรินิพพาน


แบบทดสอบ เรื่อ รื่ ง ประวัติองค์พระสัมมาสัม พุทธเจ้า


1. บุคคลในข้อใดที่คือพระบิดา และพระมารดาของเจ้าชายสิทธัตถะ ก. พระเจ้าพิมพิสาร พระนางเรวดี ข. พระเจ้าอโศกมหาราช พระนางพิมพา ค. พระเจ้าพรหมทัต พระนางสุชาดา ง. พระเจ้าสุทโธทนะ พระนางสิริม ริ หามายา 2. ก่อนประสูติ พระมารดาของพระพุทธเจ้าทรงสุบินว่ามีสิ่งใดเข้าสู่พระครรภ์ ก. หงส์ขาวบินเข้าพระครรภ์ ข. พญาช้างเผือกชูดอกบัวขาวเข้าพระครรภ์ ค. กวางทองเดินเข้าพระครรภ์ ง. งูเหลือมเลื้อยเข้าพระครรภ์ 3. พระพุทธเจ้ามีพระนามว่าอะไร ก. เจ้าชายเทวราช ข. เจ้าชายสุททนะ ค. เจ้าชายสิทธิศักดิ์ ง. เจ้าชายสิทธัตถะ


4. สถานที่ใดเป็น ป็ ที่ประสูติของพระพุทธเจ้า ก. ใต้ต้นสาละ ข. ใต้ต้นไทร ค. ใต้ต้นโพธิ์ ง. ใต้ต้นรังคู่ 5. สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าคือข้อใด ก. สวนพฤกษศาสตร์ ข. สวนวโนทยาน ค. สวนลุมพินีวัน ง. สวนสาธารณะ 6. เจ้าชายสิทธัตถะทรงผนวชที่ริม ริฝั่ง ฝั่ แม่น้ำ ใด ก. แม่น้ำ เนรัชรา ข. แม่น้ำ อโนมา ค. แม่น้ำ คงคา ง. แม่น้ำ พรหมบุตร


7. ข้อใดไม่ใช่อภินิหารพระมหาบุรุษ ก. พอประสูติทรงเสด็จดำ เนินไปได้ 7 ก้าว ข. ขณะอยู่ในพระครรภ์บริสุ ริ สุ ทธิ์ปราศจากมลทินเครื่อ รื่ งแปดเปื้อ ปื้ น ค. ขณะอยู่ในพระครรภ์นั่ง นั่ ขัดสมาธิ พระมารดาสามารถทอดพระเนตรได้ ง. พอประสูติแล้วมีสมองเท่าคนอายุ 15 ปี 8. เจ้าชายสิทธัตถะทรงอภิเษกสมรสกับใคร ก. พระนางพิมพา ข. พระนางสิริม ริ หามายา ค. พระนางอมิตตา ง. พระนางวิส วิ าขา


9. บุคคลในข้อใด มิได้ทำ ให้เจ้าชายสิทธัตถะ ตัดสินพระทัยออกผนวช ก. เด็กเล็ก ค. คนเจ็บ ข. คนแก่ ง.สมณะ 10. มหาดเล็กที่ติดตามเจ้าชายไปออกผนวชมีชื่อว่า ว่ อะไร ก. อาชาไนย ข. เวชนัย ค. ฉันนะ ง. กัณฐกะ


เฉลย แบบทดสอบ


2. ก่อนประสูติ พระมารดาของพระพุทธเจ้าทรงสุบินว่ามีสิ่งใดเข้าสู่พระครรภ์ ก. หงส์ขาวบินเข้าพระครรภ์ ข. พญาช้างเผือกชูดอกบัวขาวเข้าพระครรภ์ ค. กวางทองเดินเข้าพระครรภ์ ง. งูเหลือมเลื้อยเข้าพระครรภ์ 3. พระพุทธเจ้ามีพระนามว่าอะไร ก. เจ้าชายเทวราช ข. เจ้าชายสุททนะ ค. เจ้าชายสิทธิศักดิ์ ง. เจ้าชายสิทธัตถะ 1. บุคคลในข้อใดที่คือพระบิดา และพระมารดาของเจ้าชายสิทธัตถะ ก. พระเจ้าพิมพิสาร พระนางเรวดี ข. พระเจ้าอโศกมหาราช พระนางพิมพา ค. พระเจ้าพรหมทัต พระนางสุชาดา ง. พระเจ้าสุทโธทนะ พระนางสิริม ริ หามายา


6. เจ้าชายสิทธัตถะทรงผนวชที่ริม ริฝั่ง ฝั่ แม่น้ำ ใด ก. แม่น้ำ เนรัชรา ข. แม่น้ำ อโนมา ค. แม่น้ำ คงคา ง. แม่น้ำ พรหมบุตร 4. สถานที่ใดเป็น ป็ ที่ประสูติของพระพุทธเจ้า ก. ใต้ต้นสาละ ข. ใต้ต้นไทร ค. ใต้ต้นโพธิ์ ง. ใต้ต้นรังคู่ 5. สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าคือข้อใด ก. สวนพฤกษศาสตร์ ข. สวนวโนทยาน ค. สวนลุมพินีวัน ง. สวนสาธารณะ


8. เจ้าชายสิทธัตถะทรงอภิเษกสมรสกับใคร ก. พระนางพิมพา ข. พระนางสิริม ริ หามายา ค. พระนางอมิตตา ง. พระนางวิส วิ าขา 7. ข้อใดไม่ใช่อภินิหารพระมหาบุรุษ ก. พอประสูติทรงเสด็จดำ เนินไปได้ 7 ก้าว ข. ขณะอยู่ในพระครรภ์บริสุ ริ สุ ทธิ์ปราศจากมลทินเครื่อ รื่ งแปดเปื้อ ปื้ น ค. ขณะอยู่ในพระครรภ์นั่ง นั่ ขัดสมาธิ พระมารดาสามารถทอดพระเนตรได้ ง. พอประสูติแล้วมีสมองเท่าคนอายุ 15 ปี


10. มหาดเล็กที่ติดตามเจ้าชายไปออกผนวชมีชื่อว่า ว่ อะไร ก. อาชาไนย ข. เวชนัย ค. ฉันนะ ง. กัณฐกะ 9. บุคคลในข้อใด มิได้ทำ ให้เจ้าชายสิทธัตถะ ตัดสินพระทัยออกผนวช ก. เด็กเล็ก ค. คนเจ็บ ข. คนแก่ ง.สมณะ


อ้างอิง http://www.visudhidham.com/joo mla/th/thebuddha.html ที่มา : ภาพและเนื้อหา จากสมุดภาพ ปฐมสมโพธิกถา วรรณคดีพระพุทธ ศานาพากไทย คัมภีร์แสดงเรื่อ รื่ งราวของพระพุทธเจ้า พระนิพนธ์ของ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส ผู้วาดภาพประกอบ : กฤษณะ สุริย ริ กานต์


Click to View FlipBook Version