รายงานวิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ โดยใช้กิจกรรมทางการตลาดดิจิทัล ของนักศึกษา ปวช. 2/1 สาขาวิชาการตลาด รายวิชา การจัดจำหน่ายสินค้าและบริการ โดย นางสาวลภัสนันท์ ไชยวงศ์ษา ตำแหน่ง ครูผู้ช่วย ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 วิทยาลัยอาชีวศึกษานครปฐม สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
ก ชื่อเรื่องวิจัย : การพัฒนาทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ โดยใช้กิจกรรมทางการตลาดดิจิทัล ของนักศึกษา ปวช. 2/1 สาขาวิชาการตลาด รายวิชา การจัดจำหน่ายสินค้าและบริการ ผู้วิจัย : นางสาวลภัสนันท์ ไชยวงศ์ษา ประเภทวิชา : พาณิชยกรรม สาขาวิชา การตลาด ปีที่ศึกษา : ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ โดยใช้ กิจกรรมทางการตลาดดิจิทัล และเพื่อศึกษาผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการ นำเสนอสินค้าและบริการ โดยใช้กิจกรรมทางการตลาดดิจิทัล ของนักเรียน นักศึกษา กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/1 สาขาวิชาการตลาด รายวิชา การจัดจำหน่ายสินค้า และบริการ วิทยาลัยอาชีวศึกษานครปฐม จำนวน 26 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้แบบประเมินทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ และแบบบันทึกหลังสอน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ การคำนวณหาค่าสถิติ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และการวิเคราะห์เนื้อหาโดย การบรรยายเชิงพรรณนา ผลการวิจัย พบว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการนำเสนอสินค้า และบริการของนักศึกษาเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย โดยใช้กิจกรรมทางการตลาด ดิจิทัล จากเทคนิคการเรียนรู้เชิงรุก (Active learning) การลงมือปฏิบัติจริงเป็นหลัก ร่วมกับการใช้ อุปกรณ์สื่อเทคโนโลยีห้องศูนย์การตลาดดิจิทัล และสื่อวีดิทัศน์ ส่วนผลของการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ที่พัฒนาทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการของนักศึกษา พบว่า นักศึกษามีพัฒนาการทักษะ การนำเสนอสินค้าและบริการโดยเฉลี่ยอยู่ในระดับดีมาก และนักศึกษาแสดงความรู้สึก/ความคิดเห็น ว่า กิจกรรมการเรียนรู้ที่ได้ใช้ในการพัฒนาเป็นกิจกรรมที่ช่วยพัฒนาการนำเสนอสินค้าและบริการได้ ดีขึ้น รวมทั้งยังส่งเสริมคุณลักษณะด้านต่าง ๆ ได้แก่ การกล้าแสดงออก การเชื่อมั่นในตนเอง และ การทำงานร่วมกับผู้อื่น สำหรับผลที่เกิดกับครูผู้สอน ครูมีนวัตกรรมในการพัฒนาการจัดรูปแบบ เทคนิควิธีการสอนใหม่ ๆ ตลอดจนออกแบบการจัดการเรียนการสอนให้มีความหลากหลาย เหมาะสมกับผู้เรียน
ข กิตติกรรมประกาศ การวิจัยเชิงปฏิบัติการชั้นเรียนเรื่อง การพัฒนาทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ โดยใช้ กิจกรรมทางการตลาดดิจิทัล ของนักศึกษา ปวช. 2/1 สาขาวิชาการตลาด รายวิชา การจัดจำหน่าย สินค้าและบริการ จัดทำขึ้นเพื่อพัฒนาทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ โดยกิจกรรมทาง การตลาดดิจิทัล เพื่อศึกษากิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ โดยกิจกรรมทางการตลาดดิจิทัล และเพื่อศึกษาผลของการใช้กิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาทักษะการ นำเสนอสินค้าและบริการ โดยกิจกรรมทางการตลาดดิจิทัล ความสำเร็จของการวิจัยในครั้งนี้ได้รับความกรุณาจากผู้มีพระคุณทั้งหลาย ได้แก่ คณะครู ประจำสาขาวิชาการตลาด วิทยาลัยอาชีวศึกษานครปฐม ที่ได้ให้คำปรึกษา แนะนำ เสนอแนะ และ ตรวจทานแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ในการทำวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนครั้งนี้ จนการวิจัยสำเร็จ สมบูรณ์ ผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ ณ โอกาสนี้ ขอขอบคุณนักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/1 สาขาวิชาการตลาด วิชาการจัด จำหน่ายสินค้าและบริการ ซึ่งเป็นกลุ่มตัวอย่างในการศึกษา ที่ให้ความร่วมมือในการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ในการทำวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยหวังว่ารายงานการวิจัยเล่มนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจในการพัฒนาทักษะ การนำเสนอสินค้าและบริการ โดยกิจกรรมทางการตลาดดิจิทัล ของผู้เรียนต่อไป ลภัสนันท์ ไชยวงศ์ษา
ค สารบัญ หน้า บทคัดย่อ ก กิตติกรรมประกาศ ข สารบัญ ค สารบัญตาราง ง บทที่1 บทนำ 1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา 1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1 ขอบเขตของการวิจัย 2 สมมุติฐานการวิจัย 2 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 2 นิยามศัพท์เฉพาะ 3 บทที่2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย 15 ขั้นตอนการดำเนินการวิจัย 15 แผนแบบการวิจัย 16 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 16 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 16 การสร้างและพัฒนาเครื่องมือวิจัย 17 การเก็บรวบรวมข้อมูล 21 การวิเคราะห์ข้อมูล 21 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 21 บทที่4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 22 บทที่5 สรุปผลการวิจัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 24 บรรณานุกรม 27 ภาคผนวก 28
ง สารบัญตาราง หน้า ตารางที่ 1 เกณฑ์การประเมินทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ 19 โดยใช้กิจกรรมทางการตลาดดิจิทัล
จ สารบัญรูปภาพ หน้า ภาพที่ 1 ขั้นตอนการปฏิบัติการในชั้นเรียน PAOR 13
1 บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา การนำเสนอสินค้าและบริการ เป็นทักษะการสื่อสารที่มีความสำคัญในระบบการเรียนของ นักเรียน นักศึกษา สาขาวิชาการตลาด เพราะเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งใน วิชาชีพ เนื่องจากการนำเสนอสินค้าและบริการจะสะท้อนให้เห็นถึงภูมิความรู้ สติปัญญา บุคลิกภาพ และความสามารถในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ดังนั้นนักเรียน นักศึกษา จึงจำเป็นต้องมีการฝึกฝน ทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการให้เกิดความชำนาญและเกิดประสิทธิภาพ นักศึกษา ชั้น ปวช.2/1 สาขาวิชาการตลาด ที่ลงเรียนรายวิชาการจัดจำหน่ายสินค้าและ บริการ เป็นกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ที่ควรได้รับการพัฒนาทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ เพื่อนำไปปรับใช้ในรายวิชาอื่น ๆ และนำไปใช้ในวิชาชีพในอนาคต จากเหตุผลดังกล่าว ทำให้ผู้วิจัยสนใจที่จะศึกษาการพัฒนาทักษะการนำเสนอสินค้าและ บริการ โดยใช้กิจกรรมทางการตลาดดิจิทัล ของนักศึกษา ปวช. 2/1 สาขาวิชาการตลาด รายวิชา การจัดจำหน่ายสินค้าและบริการ เพื่อให้นักเรียน นักศึกษาได้รับการพัฒนาทักษะทางด้านวิชาชีพ ต่อไป วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อพัฒนาทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ โดยกิจกรรมทางการตลาดดิจิทัล ของนักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/1 สาขาวิชาการตลาด วิชา การจัดจำหน่ายสินค้าและบริการ 2. เพื่อศึกษาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ โดยกิจกรรมทางการตลาดดิจิทัล ของนักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/1 สาขาวิชาการตลาด วิชา การจัดจำหน่ายสินค้าและบริการ 3. เพื่อศึกษาผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ โดยกิจกรรมทางการตลาดดิจิทัล ของนักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/1 สาขาวิชาการตลาด วิชา การจัดจำหน่ายสินค้าและบริการ
2 ขอบเขตของการวิจัย 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.1 นักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/1 สาขาวิชาการตลาด วิชา การจัดจำหน่ายสินค้าและบริการ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 วิทยาลัยอาชีวศึกษา นครปฐม จำนวน 26 คน 2. ตัวแปรที่ศึกษา 2.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ นักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/1 สาขาวิชาการตลาด วิชา การจัดจำหน่ายสินค้าและบริการ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 วิทยาลัยอาชีวศึกษานครปฐม จำนวน 26 คน 2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการนำเสนอ สินค้าและบริการ โดยใช้กิจกรรมทางการตลาดดิจิทัล นักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/1 สาขาวิชาการตลาด วิชา การจัดจำหน่ายสินค้าและบริการ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 3. ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 สมมุติฐานการวิจัย ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการของผู้เรียน พบว่า การที่ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมพัฒนาการนำเสนอสินค้าและบริการโดยตรงและบูรณาการผู้เรียน มีการพัฒนาทางด้านทักษะกระบวนการนำเสนอสินค้าและบริการระดับดีมาก ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัย 1. ได้แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่สามารถพัฒนาทักษะการนำเสนอสินค้าและ บริการ โดยใช้กิจกรรมทางการตลาดดิจิทัล ของนักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพ
3 ชั้นปีที่ 2/1 สาขาวิชาการตลาด วิชา การจัดจำหน่ายสินค้าและบริการ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 2. ได้เครื่องมือและเกณฑ์การวัดและประเมินการนำเสนอสินค้าและบริการ ของ นักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/1 สาขาวิชาการตลาด วิชา การจัด จำหน่ายสินค้าและบริการ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 3. ได้ทราบผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่สามารถพัฒนาทักษะการนำเสนอสินค้า และบริการที่เกิดขึ้นกับครูและนักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/1 สาขาวิชาการตลาด วิชา การจัดจำหน่ายสินค้าและบริการ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 นิยามศัพท์เฉพาะ 1. การนำเสนอสินค้าและบริการ หมายถึง การอธิบายถึงรายละเอียด ข้อเท็จจริง ความคิดเห็น ความรู้สึก ความต้องการเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ด้วยการใช้วัจนภาษา คือ การใช้ถ้อยคำ และอวัจนภาษา คือ การใช้น้ำเสียง การแสดงออก ทางสีหน้า แวว ตา กิริยาท่าทาง และบุคลิกลักษณะของผู้นำเสนอ โดยมุ่งหวังให้บรรลุตาม วัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
4 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การศึกษาวิจัยในครั้งนี้ เป็นการมุ่งศึกษาเกี่ยวกับ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนา ทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ โดยกิจกรรมทางการตลาดดิจิทัล ของนักศึกษาประกาศนียบัตร วิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/1 สาขาวิชาการตลาด วิชา การจัดจำหน่ายสินค้าและบริการ โดยผู้วิจัยได้ศึกษา เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเสนอตามลำดับ ดังนี้ 1. แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการสื่อสาร 2. แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการพูดนำเสนอ 3. การวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1. แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการสื่อสาร ความหมายการสื่อสาร ศศิธร ธัญลักษณานันท์ (2542 : 3) กล่าวว่า การสื่อสารเป็นพฤติกรรมอย่างหนึ่งของมนุษย์ เดียวกับพฤติกรรมหรือการกระทำกิจกรรมอื่นๆ เช่น การกิน การนอน การเล่นกีฬา การไปตลาด การ ไปร่วมกิจกรรมประเพณีต่างๆ ในชุมชน เป็นต้น พฤติกรรมต่างๆ เหล่านี้ของมนุษย์กระทำ ต่อเมื่อ ต้องการถ่ายทอดความคิดความต้องการ ความรู้และเรื่องราวต่างๆ ของตนไปสู่บุคคลอื่น ขณะเดียวกัน ก็ต้องการรับจากบุคคลอื่นด้วย อรรณพ อุบลแย้ม (2542 : 3) สรุปว่า การที่มนุษย์สื่อสารกัน เพราะต้องการให้ผู้อื่น มีส่วน ร่วมในการรับรู้ข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ความคิด ความเห็น ความต้องการของตนเอง ด้วยเหตุนี้ คนจึง สื่อสารกันด้วยเจตนาที่จะก่อให้เกิดความเข้าใจในความหมายของภาษาหรือมีภาษาร่วมกันจึง จะทำให้การสื่อสารเกิดความเข้าใจตรงกันระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสาร กิดานันท์มะลิทอง (2543 : 22) กล่าวไว้ว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคม จึงทำให้มีความจำเป็นต้อง มีการติดต่อสื่อสารกัน โดยอาศัยรูปแบบและวิธีการต่างๆ กัน การสื่อสารมีส่วนสัมพันธ์ในชีวิตมนุษย์ ทั้งในด้านการดำรงชีวิต การศึกษาเล่าเรียนและการทำงานในส่วนของการศึกษาอันได้แก่ การเรียน การสอนนั้น นับได้ว่าต้องอาศัยกระบวนการต่างๆ ของการสื่อสารมาใช้เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
5 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรูปแบบของการสื่อสารทางเดียวและการสื่อสารสองทาง ทั้งนี้เพื่อเป็นหลักใน การ จัดสื่อและวิธีการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ นอกจากนี้รูปแบบจำลองและ กฎเกณฑ์ต่างๆ ของการสื่อสารยังเป็นสิ่งช่วยในการเตรียมตัวผู้สอนให้คำนึงถึงข้อจำกัดและ อุปสรรคต่างๆ อันจะเป็นการบั่นทอนประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการเรียนการสอนให้ลดลง อวยพร พานิช และคณะ (2543 : 1) กล่าวว่า การสื่อสารที่จะประสบผลสำเร็จได้จะต้องมี ภาษาเป็นองค์ประกอบหนึ่งภายใต้สาร เนื้อหาของสาร คือ ความคิดที่กลั่นออกมาเป็นเรื่องราว ความคิดนั้นไม่สามารถถ่ายทอดได้ถ้าไม่มีภาษา ประเภทของการสื่อสาร นักวิชาการด้านการสื่อสารมวลชน ได้จำแนกประเภทของการสื่อสารไว้แตกต่างกันหลาย ลักษณะ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการจำแนก (ปรมะ สตะเวทิน 2526 : 18-48) 1. จำแนกตามกระบวนการหรือการไหลของข่าวสาร แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ 1.1 การสื่อสารทางเดียว (One-Way Communication) คือ การสื่อสารที่ ข่าวสารจะถูกส่งจากผู้ส่งไปยังผู้รับในทิศทางเดียว โดยไม่มีการตอบโต้กลับจากฝ่ายผู้รับ เช่น การ สื่อสารผ่านสื่อวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ การออกคำสั่งหรือมอบหมายงาน โดย ฝ่ายผู้รับไม่มีโอกาส แสดงความคิดเห็น ซึ่งผู้รับอาจไม่เข้าใจข่าวสาร หรือเข้าใจไม่ถูกต้อง ตามเจตนาของผู้ส่ง และทางฝ่าย ผู้ส่งเมื่อไม่ทราบปฏิกิริยาของผู้รับจึงไม่อาจปรับ การสื่อสารให้เหมาะสมได้ การสื่อสารแบบนี้สามารถ ทำได้รวดเร็วจึงเหมาะสำหรับ การสื่อสารในเรื่องที่เข้าใจง่าย 1.2 การสื่อสารสองทาง (Two-way Communication) คือ การสื่อสารที่มี การ ส่งข่าวสารตอบกลับไปมาระหว่างผู้สื่อสาร ดังนั้นผู้สื่อสารแต่ละฝ่ายจึงเป็นทั้งผู้ส่งและ ผู้รับใน ขณะเดียวกัน ผู้สื่อสารมีโอกาสทราบปฏิกิริยาตอบสนองระหว่างกัน ทำให้ทราบผล ของการสื่อสารว่า บรรลุจุดประสงค์หรือไม่ และช่วยให้สามารถปรับพฤติกรรมใน การสื่อสารให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตัวอย่างการสื่อสารแบบสองทาง เช่น การพบปะ พูดคุยกัน การพูดโทรศัพท์ การออกคำสั่งหรือ มอบหมายงาน โดยฝ่ายรับมีโอกาสแสดง ความคิดเห็น การสื่อสารแบบนี้จึงมีโอกาสประสบผลสำเร็จ ได้มากกว่า แต่ถ้าเรื่องราวที่จะ สื่อสารเป็นเรื่องง่าย อาจทำให้เสียเวลาโดยไม่จำเป็น 2. จำแนกตามภาษาสัญลักษณ์ที่แสดงออก แบ่งเป็น
6 2.1 การสื่อสารเชิงวัจนะ (Verbal Communication) หมายถึง การสื่อสารด้วย การใช้ภาษาพูด หรือเขียนเป็นคำพูด ในการสื่อสาร 2.2 การสื่อสารเชิงอวัจนะ (NonVerbal Communication) หมายถึง การ สื่อสารโดยใช้รหัสสัญญาณอย่างอื่น เช่น ภาษา ท่าทาง การแสดงออกทางใบหน้า สายตา ตลอดจนถึง น้ำเสียง ระดับเสียง ความเร็วใน การพูด เป็นต้น (ปรมะ สตะเวทิน 2529 : 31) 3. จำแนกตามจำนวนผู้สื่อสาร กิจกรรมต่างๆ ของบุคคลและสังคม ถือว่าเป็นผลมาจากการสื่อสารทั้งสิ้น ดังนั้น การ สื่อสารจึงมีขอบข่ายครอบคลุมลักษณะการสื่อสารของมนุษย์ 3 ลักษณะ คือ (อรุณีประภา หอม เศรษฐี 2530 : 49-90) 3.1 การสื่อสารส่วน บุ คคล (Intrapersonal Communication) ห มายถึง การคิด การตัดสินใจของบุคคลคนใดคนหนึ่ง ที่จะแสดงพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งออกมา เป็น กระบวนการที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำในตัวบุคคล ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม การสื่อสารส่วน บุคคล เป็นพื้นฐานของการติดต่อกับผู้อื่น ทั้งนี้เพราะการที่เราจะติดต่อสื่อสารกับบุคคลอื่นนั้น ในขั้น แรก จะต้องมีการเรียนรู้หรือตัดสินใจในตนเองเสียก่อน และเมื่อใดก็ตามที่มีการติดต่อสื่อสารกับคน อื่น คนเราก็จะต้องสื่อสารกับตัวเองไปด้วยในขณะเดียวกัน การสื่อสารส่วนบุคคลเกิดขึ้นทันทีที่ บุคคลมีการคิด ผลของการคิดนำไปสู่การตัดสินใจแสดงพฤติกรรมของคน การสื่อสารส่วนบุคคลจึง มีความสำคัญต่อการศึกษาในเรื่องของการสื่อสาร ทั้งนี้เพราะเกี่ยวพันไปถึงความรู้สึกนึกคิด ค่านิยม ซึ่ง ย่อมมีผลสะท้อนต่อบุคคลอื่นและสังคมด้วย 3.2 การสื่อสารระหว่างบุคคล (Interpersonal Communication) เป็นการสื่อความหมาย ของบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เช่น การพูดคุย อภิปราย โต้วาที การประชุมสัมมนา การเรียนการสอน การสั่งงาน ตลอดจนการติดต่อสื่อสารอื่นๆ ในชีวิตประจำวัน การสื่อสารลักษณะนี้ถือว่าเป็น การสื่อสารที่สมบูรณ์และมีโอกาสบรรลุจุดประสงค์ได้ดีที่สุด ผู้สื่อสารสามารถแสดงปฏิกิริยา ตอบสนองต่อกัน 3.3 การสื่อสารมวลชน (Mass Communication) เป็นการสื่อสารที่ถ่ายทอด ความรู้ ข่าวสารโดยสื่อมวลชน (Mass Media) ไปยังผู้รับหรือกลุ่มเป้าหมายที่ไม่แน่นอนและไม่จำกัด จำนวน เช่น การสื่อสารโดยวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ วารสาร นิตยสาร การสื่อสารประเภทนี้ทำให้ปฏิกิริยาการโต้ตอบเกิดขึ้นได้ยากและช้ากว่าการสื่อสารประเภทอื่นมาก อย่างไรก็ตาม อาจกล่าวได้ว่าการสื่อสารมวลชน เป็นผลผลิตของความก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยี
7 และ วิวัฒนาการของการติดต่อสื่อสารของมนุษย์ คือผลมาจากการคิดค้นหาเครื่องมือในอันที่จะ ถ่ายทอด ข่าวสารไปยังมวลชนจำนวนมาก สำหรับสังคมที่มีการขยายตัวและซับซ้อนมากขึ้น 2. แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการพูดนำเสนอ ความหมายของการพูดนำเสนอ การพูดนำเสนอในระดับวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยนั้น ส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นการ นำเสนอ ทางวิชาการซึ่งมีจุดมุ่งหมายของการพูด คือ เพื่อให้ความรู้จากการศึกษาเอกสารมีผู้ให้ ความหมายไว้ดังนี้ สมจิต ชิวปรีชา (2539) กล่าวว่าเป็นการพูดอธิบายชี้แจง แสดงเหตุผลตามที่ผู้พูดเตรียมไว้ ผู้พูดจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ในเรื่องที่พูด มีการค้นคว้า เรียบเรียง อ้างอิงมาอย่างถูกต้องให้เป็นไป ตามลำดับขั้นตอน ในขณะที่ พชร บัวเพียร (2536) ได้ให้ความหมายว่า คือ การพูดเพื่อถ่ายทอด ความรู้ความคิดเห็น และข้อเท็จจริงต่างๆ ให้แก่ผู้ฟัง โดยมีจุดมุ่งหมายให้ผู้ฟังรู้และเข้าใจ เนื้อหา สาระที่พูดจึงเน้นทางด้านวิชาการเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้วิรัช ลภิรัตนกุล (2526) กล่าวว่า เป็น การพูด เพื่อให้ความรู้มีความมุ่งหมายที่จะให้ความรู้ความเข้าใจแก่ผู้ฟัง เช่น การบรรยายในชั้นเรียน การพูดรายงานทางวิชาการ เป็นต้น โดยที่ผู้พูดคาดหวังว่าเมื่อเสร็จสิ้นการพูดแล้ว ผู้ฟังจะได้เรียนรู้ ถึง บางสิ่งบางอย่างที่ยังไม่เคยรู้มาก่อนหรือมีความเข้าใจในเรื่องที่พูดนั้นได้ดียิ่งขึ้น สรุปได้ว่า การพูดนำเสนอ หมายถึง การถ่ายทอดความรู้ความคิดเห็นและข้อเท็จจริง ทางด้านวิชาการ เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจแก่ผู้ฟังเพียงคนเดียวหรือเป็นกลุ่ม ผู้พูดมีการเตรียมตัว ทั้งในด้านเนื้อหาที่จะนำเสนอ วิธีการนำเสนอ และยังมีการนำโสตทัศนูปกรณ์เข้ามาช่วยประกอบ การพูด ประเภทของการพูดนำเสนอ การพูดนำเสนอได้รับการศึกษาค้นคว้าอย่างหลากหลาย จากการศึกษามีการแบ่งประเภท การพูดนาเสนอไว้ดังต่อไปนี้ Monroe, 1964 (อ้างใน สมจิต ชิวปรีชา, 2539) แบ่งประเภทของการพูดนำเสนอออกเป็น 2 ลักษณะดังนี้ 1. การพูดแบ่งตามวัตถุประสงค์มี3 แบบ คือ
8 1.1 การพูดเพื่อให้ความรู้เป็นการพูดอธิบายชี้แจง แสดงเหตุผลตามที่ผู้พูดเตรียม ไว้ผู้พูด จะต้องมีความรู้ในเรื่องที่พูดมีการค้นคว้าเรียบเรียง อ้างอิงมาอย่างถูกต้องให้เป็นไปตามลำดับ ขั้นตอน จุดมุ่งหมายของการพูดแบบนี้คือ เพื่อบอกกล่าว เล่าให้ฟัง จึงต้องพูดชี้แจง อธิบาย หรือ รายงานต่อผู้ฟังเพื่อให้ผู้ฟังได้รับความรู้ความเข้าใจสาระสำคัญครบถ้วน ถ้าผู้ฟังเกิดความสงสัย หรือไม่ เข้าใจก็เปิดโอกาสให้ซักถามข้อข้องใจได้ผู้พูดจะต้องเป็นผู้ตอบคำถามหรือพูดอธิบายซ้ำใน ส่วนที่ผู้ฟัง ไม่เข้าใจใหม่อีกครั้ง 1.2 การพูดเพื่อจูงใจหรือโน้มน้าวใจ เป็นการพูดเชิงชักชวน โน้มน้าว เกลี้ยกล่อม จูงใจฟัง เชื่อถือคล้อยตามหรือปฏิบัติตาม วิธีการพูดในลักษณะนี้ผู้พูดต้องใส่อารมณ์ความรู้สึกที่ จริงใจลงไป ด้วยเพื่อแสดงให้เห็นว่าผู้พูดมีความเชื่ออย่างนั้น เห็นด้วยอย่างสุจริตใจตามนั้นและ ได้ปฏิบัติอย่าง นั้นมาแล้ว จึงทำให้มีพลังในคำพูด ผู้ฟังจึงเกิดความเชื่อถือได้จุดมุ่งหมายของการพูด แบบนี้คือ เพื่อให้ผู้ฟังเชื่อถือ มีความคิดเห็นคล้อยตาม ปฏิบัติตามหรือเปลี่ยนทัศนคติตามเป้าหมาย ของผู้พูด 1.3 การพูดเพื่อจรรโลงใจ เป็นการพูดชี้แจงให้เห็นคุณงามความดีความประณีต งดงาม คุณค่าอันน่านิยม แสดงให้เห็นความน่าชื่นชมของความคิด การกระทำ วัตถุ หรือเรื่องราว อย่างใด อย่างหนึ่ง ตลอดจนความสนุกสนานเบิกบานใจ จุดมุ่งหมายของการพูด คือ เพื่อให้ผู้ฟังเกิด ความรู้สึกสบายใจ ฟังแล้วเพลิดเพลินไม่น่าเบื่อ แต่ในขณะเดียวกันก็ได้สาระไปด้วย 2. การพูดแบ่งตามลักษณะของวิธีพูด แต่ละวิธีขึ้นอยู่กับโอกาส สถานการณ์ความจำเป็น ความสามารถของแต่ละบุคคล แบ่งได้ดังต่อไปนี้ 2.1 การพูดแบบอ่านจากต้นฉบับ ผู้พูดจำเป็นต้องพูดจากต้นฉบับที่เขียนไว้ทั้งหมด อ่านทุก ตัวอักษรจากเอกสารที่ได้เตรียมไว้วิธีการพูดแบบนี้เหมาะสำหรับการพูดที่เป็น ทางการในโอกาสที่มี ความสำคัญ เช่น กล่าวรายงานในพิธีต่างๆ การกล่าวคำปราศรัยของบุคคลสำคัญ ในโอกาสต่างๆ การกล่าวสุนทรพจน์และบางครั้งก็เป็นการประกาศเรื่องราวสำคัญๆ ต่อสาธารณชน เป็นต้น 2.2 การพูดแบบท่องจำ ผู้พูดจะต้องจำเนื้อความให้ได้มากที่สุดจากข้อความที่ตน เขียนไว้ เพื่อหวังว่าเมื่อเวลาพูดจะสามารถพูดได้คล่องแคล่ว ครบถ้วนทุกเนื้อความ ลักษณะสำคัญ ของการ พูดโดยวิธีนี้ผู้พูดต้องระมัดระวังการพูดให้มีสำเนียงเป็นธรรมชาติมากที่สุดให้มีชีวิตชีวา ด้วย การ แสดงออกทางสีหน้า อารมณ์อากัปกิริยา และท่าทางให้เข้ากับบรรยากาศ สอดคล้องกลมกลืนกับ คำพูด ข้อเสียของการพูดลักษณะนี้คือ ขาดความยืดหยุ่น เพราะเป็นการพูดตามเนื้อหาที่เตรียม ท่อง มาซึ่งบางครั้งผู้พูดเองอาจจำเนื้อหาบางตอนไม่ได้และอาจจะไม่เหมาะกับผู้ฟังและเวลาที่กำหนด
9 การพูดโดยวิธีนี้ส่วนใหญ่มักใช้กับการแสดงละครซึ่งมักจะกำหนดบทไว้แล้ว หรือการพูดในโอกาส พิเศษที่จะต้องแสดงความสามารถของผู้พูดว่าพูดได้โดยไม่ติดขัด 2.3 การพูดแบบเตรียมตัวล่วงหน้าหรือการพูดแบบมีบันทึก ผู้พูดทราบล่วงหน้า ว่าจะพูด อะไร ที่ไหน เมื่อไร พูดให้ใครฟังในโอกาสไหน ผู้พูดจึงมีโอกาสที่จะเตรียมตัวและฝึกซ้อมมาก พอที่จะพูดได้ดีการพูดโดยวิธีนี้ผู้พูดสามารถส่งสารให้เข้าถึงจิตใจของผู้ฟังได้เต็มที่ เพราะพูดจาก ความเข้าใจ ภูมิความรู้และความรู้สึกของผู้พูดเอง วิธีการพูดจากความเข้าใจนี้ผู้พูดต้องใช้เวลา เตรียมตัวและฝึกซ้อมมากพอ คือ ต้องเตรียมลำดับความคิดไว้เป็นอย่างดีตั้งแต่วิธีขึ้นและลงท้ายให้ เหมาะเจาะ ไม่จำเป็นต้องเขียนไว้ทุกคำพูด สามารถเตือนความจำไม่ให้เกิดการหลงหรือข้ามหัวข้อ โดยการเขียนเฉพาะหัวข้อเรื่องหรือใจความหลักๆ อย่างคร่าวๆ ใส่ในกระดาษบันทึกเล็กๆ ขนาด โปสการ์ด เวลาพูดก็เพียงแต่เหลือบตาดูเป็นครั้งคราวแล้วขยายความจากหัวข้อที่จดไว้ให้เหมาะสม กับ เวลา ต่อจากนั้นทดลองพูดตั้งแต่ต้นจนจบหลายๆ ครั้ง ในแต่ละครั้งที่ทดลองซ้อมพูดนั้นไม่ จำเป็นต้อง ใช้ถ้อยคำที่เหมือนกันก็ได้แต่ควรต้องพยายามปรับปรุงการใช้ถ้อยคำ สำนวนให้คมชัด ยิ่งขึ้น แม้แต่ ความคิดบางอย่างก็อาจดัดแปลงแก้ไข เพิ่มเติม ตัดตอนได้ในที่สุดก็สามารถพูดออกไป ได้ด้วยความ เข้าใจ และเกิดความมั่นใจในการพูดขึ้นเป็นลำดับ 2.4 การพูดแบบไม่เตรียมตัวล่วงหน้า ผู้พูดไม่ได้รู้ตัวล่วงหน้ามาก่อนว่าจะพูดอะไร และไม่ อยู่ในฐานะที่จะปฏิเสธได้ส่วนมากมักเป็นผู้ที่ชำนาญ ได้รับเชิญให้พูดเป็นเกียรติในงานสังคม ต่างๆ เช่น การกล่าวอวยพร การแสดงความเห็นในการอภิปราย เป็นต้น การพูดแบบนี้ผู้พูดจะต้องมี ปฏิภาณไหวพริบ มีประสบการณ์มีความรู้ความชำนาญ จึงจะสามารถแสดงความคิดเห็นออกมา อย่างคล่องแคล่ว ชัดเจน ซึ่งทำได้โดยการระงับความตื่นเต้นตกใจ จากนั้นพยายามใช้เวลาคิดอย่าง รวดเร็วว่าจะพูดแนวใด พยายามประมวลเนื้อความที่จะพูดเริ่มต้นและลงท้ายให้พร้อม สรุปได้ว่า วิธี พูดที่ดีที่สุดในโอกาสทั่วๆ ไป คือ วิธีพูดโดยมีการเตรียมตัวล่วงหน้า ให้หลีกเลี่ยง การพูดแบบท่องจำ ส่วนวิธีพูดหรืออ่านจากต้นฉบับนั้น ให้เลือกใช้เฉพาะการพูดที่เป็นทางการเท่านั้น และวิธีสุดท้าย คือ พูดโดยฉับพลันหรือไม่ได้เตรียมตัวนั้น หากมีความจำเป็นต้องใช้ก็ต้องพยายาม ฝึกฝน รูปแบบของการพูดนำเสนอ สมจิต ชิวปรีชา (2539) ได้แบ่งรูปแบบการพูดนำเสนอเพื่อให้ความรู้ไว้4 รูปแบบ คือ 1. การพูดบรรยาย คือ การพูดแบบเล่าเรื่องเหตุการณ์ต่างๆ ที่ได้ประสบมาหรือเรื่องราวที่ ได้ยินได้ฟังมาจากผู้อื่น หรือนำมาจากหนังสือและเอกสารต่างๆ หรือจากประสบการณ์กระบวนการ พูดบรรยายแบบต่างๆ มีการจัดลำดับความคิดและเนื้อหาสาระที่ต่างกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้
10 1.1 การบรรยายตามกาลเวลาที่เกิดเหตุการณ์ เป็นการเรียงลำดับความสำคัญ ของเนื้อหา อย่างมีระบบ เช่น เริ่มจากเหตุการณ์เป็นการเรียงลำดับความสำคัญของเนื้อหาอย่างมีระบบ เช่น เริ่มจากเหตุการณ์ในอดีตมาสู่เหตุการณ์ปัจจุบัน หรือเริ่มจากเหตุการณ์ปัจจุบันไปสู่ เหตุการณ์ใน อดีต 1.2 การบรรยายเรียงลำดับตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นการเรียงลำดับ ความสำคัญของ เหตุการณ์อย่างมีระบบ 1.3 การบรรยายถึงสาเหตุและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น เป็นวิธีการพูดที่ต้องวิเคราะห์เนื้อหาอย่าง ละเอียดรอบคอบ เพื่อสรุปและชี้ให้เห็นถึงสาเหตุและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นของเรื่องนั้นๆ 1.4 การบรรยายโดยวิเคราะห์ผลดีผลเสียที่เกิดขึ้น เป็นวิธีการพูดที่ต้องวิเคราะห์เนื้อหา อย่างละเอียดรอบครอบเพื่อสรุป และชี้ให้เห็นผลดีและผลเสียของเรื่องนั้น 2. การพูดพรรณนาที่ผู้พูดมุ่งให้ผู้ฟังเห็นภาพตามที่ต้องการ ผู้พูดจะศึกษาเรื่องที่จะพูดให้ เข้าใจลึกซึ้งแล้วนำมาเรียบเรียงเพื่อจัดลำดับให้เหมาะสม โดยกล่าวลักษณะที่เด่นชัดให้ผู้ฟังเห็นภาพ ตามไปด้วย ลักษณะของข้อความที่ใช้ในการพรรณนาจะมีการพูดเปรียบเทียบอุปมาอุปไมยประกอบ ให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกประทับใจ หรือความรู้สึกนึกคิดควบคู่ไปด้วย การพูดพรรณนาแบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ 2.1 การพูดพรรณนาที่ผู้พูดมุ่งให้ผู้ฟังเห็นภาพตามที่เป็นจริง 2.2 การพูดพรรณนาที่ผู้พูดใส่ความรู้สึกและทัศนะส่วนตัวของตนเอง 3. การพูดอธิบาย คือ การพูดให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ให้มากที่สุด วิธีการพูดนี้ ผู้พูดจะมีจุดประสงค์ชัดเจน วางขั้นตอนในการอธิบายอย่างเป็นลำดับ อาจมีการใช้อุปกรณ์ ประกอบการอธิบายหรือเปิดโอกาสให้ผู้ฟังได้ซักถามข้อสงสัยในขณะที่มีการอธิบาย 4. การพูดเสนอรายงาน คือ การพูดเพื่อรายงานผลจากการอภิปรายหรือจากการสัมมนาให้ สมาชิกฟัง ผู้พูดจะเตรียมจัดลำดับขั้นตอนสำคัญ เนื้อหาสาระและรายละเอียดให้เป็นระบบระเบียบ เพื่อนำมาพูดให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจอย่างชัดเจน 5. การพูดชี้แจงแสดงเหตุผล คือ การพูดที่ผู้บรรยายมุ่งให้เกิดความเข้าใจในเรื่องต่างๆ ได้ ตรงกัน ชี้ให้ทราบว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ที่ไหน เมื่อไร และอย่างไร ผู้พูดจะศึกษาหาความรู้ เกี่ยวกับเรื่องที่พูดอย่างถ่องแท้รวบรวมประเด็นสำคัญๆ อย่างครบถ้วน แล้ววางแผนขั้นตอนใน
11 การชี้แจงให้ชัดเจน อาจมีการใช้เอกสาร แผนภูมิประกอบการพูดและอาจมีการเปิดโอกาสให้ผู้ฟัง ซักถาม การวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน ความหมายของการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน (Classroom Action Research : CAR) หรืออาจใช้คำ การวิจัยในชั้นเรียน (Classroom Research : CR) ได้มีนักวิชาการหลายท่านให้นิยามความหมายไว้ หลากหลายดังตัวอย่างต่อไปนี้ วาโร เพ็งสวัสดิ์ (2546) กล่าวว่า การวิจัยในชั้นเรียน หมายถึงวิธีการหรือกระบวนการที่ ได้มาซึ่งความรู้หรือคำตอบที่ครูเป็นผู้จัดทำขึ้นเอง โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะนำผลการวิจัยไปใช้ใน การแก้ปัญหาการเรียน การสอนในชั้นเรียนของตน สุวิมล ว่องวาณิช (2555 : 21) ให้ความหมายของการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนไว้ว่า กระบวนการที่ทำโดยครูผู้สอนในชั้นเรียน เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในชั้นเรียน และนำผลมาใช้ ปรับปรุงการเรียนการสอนหรือส่งเสริมพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน ให้ดีขึ้น เพื่อให้เกิดประโยชน์ สูงสุดกับผู้เรียน เป็นการวิจัยที่ต้องทำอย่างรวดเร็ว นำผลไปใช้ทันที และสะท้อนข้อมูลเกี่ยวกับการ ปฏิบัติงานต่าง ๆ ของตนเองและกลุ่มเพื่อนร่วมงานในโรงเรียนมีโอกาสวิพากษ์ อภิปราย แลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวทางที่ได้ปฏิบัติและผลที่เกิดขึ้นเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ทั้งของครูและผู้เรียน จากความหมายของการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนดังกล่าว สรุปได้ว่า การวิจัยชั้นเรียน หมายถึง กระบวนการศึกษาค้นคว้าหาความรู้จริงเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนของผู้สอน โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนในเรื่องที่ทำการวิจัย โดยดำเนินการ ควบคู่ไปกับการสอน โดยประเมินผลด้วยเครื่องมือที่มีความน่าเชื่อถือ
12 ความสำคัญของการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน ความสำคัญของการวิจัยเชิงปฎิบัติการในชั้นเรียน สุวัฒนา สุวรรณเขตนิยม และพิมพันธ์ เดชะคุปต์ (อ้างถึงใน ธนาวุฒิ อนุสนธิ์, 2560 : 38) ได้กล่าวถึงความสำคัญของการวิจัยเชิง ปฏิบัติการในชั้นเรียน สรุปได้ดังนี้ 1. ผู้เรียนจะมีการเรียนรู้ที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพยิ่งขึ้น 2. ช่วยให้ครูมีวิถีชีวิตการทำงานอย่างเป็นระบบ เห็นภาพของงานตลอดแนวมีการ ตัดสินใจที่มีคุณภาพ ช่วยพัฒนาไปสู่ความเป็นครูมืออาชีพ (Professional Teacher) 3. ช่วยทำให้เกิดการพัฒนาทั้งตัวรู้ผู้เรียนและผู้สอนอย่างต่อเนื่อง โดยเกิด การเปลี่ยนแปลงผ่านกระบวนการวิจัยในที่ทำงาน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อองค์กร เนื่องจากนำไปสู่การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติและการแก้ปัญหา 4. เป็นการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้นอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงหรือสะท้อนผล การทำงาน 5. ทำให้ครูเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Change agent) ขั้นตอนของการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน ขั้นตอนของการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนส่วนใหญ่พัฒนามาจากขั้นตอนของ Action Research ที่เสนอโดย Kenmis & Mctaggart (อ้างถึงใน ธนาวุฒิ อนุสนธิ์, 2560 : 39-40) ซึ่งมี ขั้นตอนดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นวางแผน (Plan) เริ่มต้นด้วนการสำรวจปัญหาที่ต้องการให้มีการแก้ไข โดยมีการ ปรึกษาร่วมกันระหว่างผู้เกี่ยวข้อง การใช้แนวคิดวิเคราะห์สิ่งที่เกี่ยวข้องกับปัญหา ทำให้มองเห็น สภาพของปัญหาชัดเจนขึ้น ขั้นที่ 2 ขั้นปฏิบัติ (Act) เป็นการดำเนินการตามแผนที่วางไว้ ขั้นที่ 3 ขั้นสังเกตการณ์ (Observe) เป็นการใช้เทคนิควิธีต่าง ๆ ที่เหมาะสมมาช่วย ในการ รวบรวมข้อมูล ในขณะที่ดำเนินกิจกรรมตามที่วางไว้
13 ขั้นที่ 4 ขั้นสะท้อนผลการปฏิบัติ ( Reflect) เป็นการประเมินตรวจสอบกระบวนการ แก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อให้ได้ข้อมูลที่จะนำไปสู่การปรับปรุงและวางแผนการปฏิบัติ สรุปได้ว่า การวิจัยในชั้นเรียนเป็นการดำเนินการวิจัยโดยครูผู้สอนเพื่อแก้ปัญหาและ พัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยดำเนินการพัฒนาและปรับปรุงขั้นตอนทั้ง 4 ขั้นตอนที่เป็นวงจร ต่อเนื่อง ประกอบด้วยขั้นการวางแผน (Plan) ขั้นการปฏิบัติตามแผน (action) ขั้นการสังเกตผลที่ เกิดขึ้นจากการปฏิบัติตามแผน (Observe) และขั้นการสะท้อนผลหรือการสะท้อนความคิด (Reflect) เพื่อประสิทธิภาพในการจัดการเรียนการสอนของผู้สอนและประสิทธิผลที่เกิดขึ้นกับ ผู้เรียน งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง นางคำผัส สารมาคม (2562) การพัฒนากิจกรรมส่งเสริมทักษะการสื่อสารด้านการพูด ตาม กิจกรรมการเรียนรู้แบบ CLT สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี่ที่ 4 มีความมุ่งหมายในการศึกษา ค้นคว้า ดังนี้ 1) เพื่อพัฒนากิจกรรมการส่งเสริมทักษะการพูดเพื่อการสื่อสาร ของนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ CLT ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2) เพื่อศึกษาผลการจัดกิจกรรมส่งเสริมทักษะการพูดเพื่อการสื่อสารด้วยรูปแบบการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้แบบ CLT ดังนี้ 2.1 เปรียบเทียบทักษะการพูดเพื่อการสื่อสารระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 2.2 ประเมินทักษะการพูดของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 4 โดยนักเรียนร้อยละ 80 ผ่านเกณฑ์การประเมิน 2.3 เพื่อศึกษาความมั่นใจในการพูดเพื่อการ สื่อสารของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4/6 โรงเรียนโกสุมวิทยาสรรค์อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 จำนวน 1 ห้อง รวม 34 คน ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย มี 4 ชนิด คือ 1) แผนการจัดกิจกรรม แบบ CLT จำนวน 4 แผนภาพที่ 1 ขั้นตอนการปฏิบัติการในชั้นเรียน (สุวิมล ว่องวานิช, 2555)
14 แผน แผนละ 4 ชั่วโมง รวมทั้งหมด 16 ชั่วโมง 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการพูด เพื่อการสื่อสาร ชนิดเลือกตอบ จำนวน 40 ข้อ 3) แบบวัดความมั่นใจในการพูดหลังจากการจัด กิจกรรมด้วยรูปแบบ CLT ชนิดมาตราส่วนประมาณค่า จำนวน 15 ข้อ 4) แบบประเมินทักษะการ พูดเพื่อการสื่อสาร ชนิดมาตราส่วนประมาณค่า สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและทดสอบสมมติฐานด้วย t – test (Independent Samples)
15 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยเรื่อง “การพัฒนาทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ โดยใช้กิจกรรมทาง การตลาดดิจิทัล ของนักศึกษา ปวช. 2/1 สาขาวิชาการตลาด รายวิชา การจัดจำหน่ายสินค้าและ บริการ” มีวัตถุประสงค์ในการวิจัย คือ 1) เพื่อพัฒนาทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ โดย กิจกรรมทางการตลาดดิจิทัล ของนักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/1 สาขาวิชาการตลาด วิชา การจัดจำหน่ายสินค้าและบริการ 2)เพื่อศึกษาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะ การนำเสนอสินค้าและบริการ โดยกิจกรรมทางการตลาดดิจิทัล ของนักศึกษาประกาศนียบัตร วิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/1 สาขาวิชาการตลาด วิชา การจัดจำหน่ายสินค้าและบริการ 3) เพื่อศึกษาผล การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ โดยกิจกรรมทางการตลาด ดิจิทัล ของนักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/1 สาขาวิชาการตลาด วิชา การจัดจำหน่าย สินค้าและบริการ โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงปฏิบัติการและใช้รูปแบบการวิจัยแบบพรรณา แล้ววิเคราะห์ ผลและแปลผลเพื่อการยืนยัน และขยายความซึ่งกันละกัน ประกอบด้วยขั้นตอนการดำเนินการวิจัย และระเบียบวิธีการวิจัย ดังต่อไปนี้ ขั้นตอนการดำเนินการวิจัย เพื่อให้การดำเนินการวิจัยเป็นไปตามวิธีวิจัยและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการวิจัย ที่กำหนดไว้ ผู้วิจัยได้กำหนดขั้นตอนการดำเนินงานวิจัยออกเป็น 4 ขั้นตอนตามวงจร PAOR ได้แก่ การวางแผน (Plan) การปฏิบัติตามแผน (Act) การสังเกตผลการปฏิบัติ (Observe) และ การทบทวนตรวจสอบ (Reflect) โดยแบ่งวงจรตามเนื้อหาทั้งสิ้น 3 วงจร ซึ่งมีรายละเอียด การดำเนินการวิจัย ดังนี้ วงจรที่ 1 กิจกรรมการเสริมสร้างและพัฒนา “ทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ” วงจรที่ 2 กิจกรรมการเสริมสร้างและพัฒนา “ทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ โดยใช้กิจกรรม ทางการตลาดดิจิทัล (ผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายของสาขาวิชาการตลาด)” วงจรที่ 3 กิจกรรมการเสริมสร้างและพัฒนา “ทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ โดยใช้กิจกรรม ทางการตลาดดิจิทัล (ผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายของผู้เรียน)
16 แผนแบบการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนที่เป็นวงจรต่อเนื่องโดยนำรูปแบบการวิจัย ปฏิบัติการในชั้นเรียนตามแนวคิดของ Kemmis (1988) มาปรับปรุงเป็นรูปแบบการวิจัย เพื่อพัฒนาการนำเสนอสินค้าและบริการซึ่งวงจรการวิจัยปฏิบัติการนี้ คือ วงจร PAOR ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้ 1. P – Plan คือ การวางแผนโดยเริ่มต้นจากการวิเคราะห์ผู้เรียนเพื่อกำหนดปัญหา หาแนวทางแก้ไขปัญหา จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ จัดทำสื่อ เครื่องมือเพื่อ การรวบรวมข้อมูลหรือการประเมิน 2. A – Action คือ การปฏิบัติตามแผนที่กำหนดไว้ 3. O – Observe คือ การสังเกตที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงาน และรวบรวมข้อมูลโดยวิธีการ สังเกตพฤติกรรมผู้เรียนขณะที่ทำกิจกรรมการเรียนการสอน ตรวจผลงาน และ การสะท้อนคิดของผู้เรียน 4. R – Reflect คือ การสะท้อนผลของการปฏิบัติงาน โดนสามารถวิพากษ์วิจารณ์ซึ่งนำไปสู่ การปรับปรุงแก้ไขการปฏิบัติงานครั้งต่อไป ซึ่งสะท้อนผลอยู่ในรูปแบบของ การบันทึกหลังสอน ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างของการวิจัยครั้งนี้เป็นนักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/1 สาขาวิชา การตลาด วิชา การจัดจำหน่ายสินค้าและบริการ ประจำภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 วิทยาลัยอาชีวศึกษานครปฐม จำนวน 26 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. แผนการจัดการเรียนรู้ 2. แบบประเมินทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ โดยใช้กิจกรรมทางการตลาดดิจิทัล 3. แบบบันทึกหลังสอน
17 การสร้างและพัฒนาเครื่องมือวิจัย ในการสร้างและพัฒนาเครื่องมือ เพื่อนำไปศึกษาวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ แผนพัฒนานักศึกษา แบบประเมินการนำเสนอสินค้าและบริการ แบบบันทึกสะท้อนการเรียนรู้ แบบประเมินบันทึก สะท้อนการเรียนรู้ และแบบบันทึกหลังสอน ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างและพัฒนาเครื่องมือ โดยมี รายละเอียดดังต่อไปนี้ 1. การสร้างแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 1.1 ศึกษาข้อมูลปฐมภูมิ โดยการพูดคุย สอบถาม สัมภาษณ์ สนทนากลุ่มกับ อาจารย์ผู้สอน และนักศึกษาเกี่ยวกับปัญหาในการนำเสนอผลงานที่ผ่านมาเพื่อหาแนวทางในการ ดำเนินการ ขั้นต่อไป 1.2 ศึกษาข้อมูลทุติยภูมิ ได้แก่ แนวคิด ทฤษฎี เอกสาร และงานวิจัยต่างๆ ที่ เกี่ยวกับการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับเนื้อหาและจุดประสงค์การเรียนรู้นำมาใช้ในการสร้าง แผนการจัดการเรียนรู้ 1.3 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้หลักการสื่อสาร โดยมีเนื้อหาประกอบด้วย หลักการ สื่อสาร และการนำเสนอผลงานด้วยการพูด 2. การสร้างแบบประเมินทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ โดยใช้กิจกรรมทางการตลาดดิจิทัล มีขั้นตอนการสร้างแบบ ประเมินดังนี้ 2.1 ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดคุณลักษณะที่ต้องการประเมินทักษะการ นำเสนอ ผลงานของนักศึกษา โดยศึกษาจุดประสงค์และวิธีการวัดผลประเมินผล ให้สอดคล้องกับ แผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้น 2.2 สร้างแบบประเมินการนำเสนอผลงานของนักศึกษา โดยมีลักษณะเป็นแบบ มาตราส่วน ประมาณค่า (Rating Scale) 4 ระดับ คือ ดีมาก ดี พอใช้และต้องปรับปรุง มีค่าคะแนน เป็น 4, 3, 2, และ 1 ตามลำดับ (ณัฐพงษ์ เจริญทิพย์, 2542 : 27) ซึ่งมีเกณฑ์การให้คะแนน คือ ระดับดีมาก กำหนดให้คะแนน 4 คะแนน โดยพิจารณาดังนี้ 1) ด้านบุคลิกภาพ มีการทักทายที่ประชุมถูกต้องเหมาะสมดีมาก การแต่งกาย เหมาะสม การใช้สายตาท่าทางประกอบการพูด การออกเสียงชัดเจน ใช้ถ้อยคำที่สุภาพ 2) ด้านเนื้อหา การขึ้นต้นน่าสนใจ การเรียบเรียงเนื้อหาเป็นลำดับ การใช้ถ้อยคำ สำนวนถูกต้องตามหลักภาษา สาระและคุณค่าของเรื่อง การสรุปประทับใจและให้ข้อคิด
18 ระดับดีกำหนดให้คะแนน 3 คะแนน โดยพิจารณาดังนี้ 1) ด้านบุคลิกภาพ มีการทักทายที่ประชุมถูกต้องเหมาะสม การแต่งกายเหมาะสม การใช้สายตาท่าทางประกอบการพูด การออกเสียงชัดเจน ใช้ถ้อยคำที่สุภาพ 2) ด้านเนื้อหา การขึ้นต้นน่าสนใจ การเรียบเรียงเนื้อหาเป็นลำดับการใช้ถ้อยคำ สำนวนถูกต้องตามหลักภาษา สาระและคุณค่าของเรื่อง การสรุปประทับใจและให้ข้อคิด ระดับพอใช้กำหนดให้คะแนน 2 คะแนน โดยพิจารณาดังนี้ 1) ด้านบุคลิกภาพ มีการทักทายที่ประชุมถูกต้อง การแต่งกายเหมาะสม การใช้ สายตาท่าทางประกอบการพูดบ้างพอสมควร การออกเสียงชัดเจนถูกต้อง การใช้ถ้อยคำ บางคำ ยังไม่เหมาะสม 2) ด้านเนื้อหา การขึ้นต้นไม่ตรงกับเรื่องที่พูด การเรียบเรียงเนื้อหาเป็นลำดับ การ ใช้ถ้อยคำสำนวนยังไม่สื่อความหมายชัดเจน สาระและคุณค่าของเรื่องยังไม่ตรงประเด็น เท่าที่ควร การสรุปยังไม่กระชับ ระดับปรับปรุง กำหนดให้คะแนน 1 คะแนน โดยพิจารณาดังนี้ 1) ด้านบุคลิกภาพ มีการทักทายที่ประชุมแต่ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง การแต่ง กาย เหมาะสม ไม่ประสานสายตากับผู้ฟัง การออกเสียงคำบางคำไม่ถูกต้อง ใช้ถ้อยคำผิด ระดับภาษา 2) ด้านเนื้อหา การขึ้นต้นไม่ครอบคลุมเนื้อหาที่พูด การเรียบเรียงเนื้อหาไม่เป็น ลำดับ การใช้ถ้อยคำสำนวนไม่ถูกต้องตามหลักภาษา ลีลาการพูดไม่สอดคล้องกับเนื้อเรื่อง การสรุป เนื้อเรื่องไม่ตรงประเด็นที่พูด ผู้วิจัยได้สรุปเกณฑ์การประเมินนำเสนอผลงานของนักศึกษาด้านบุคลิกภาพ และ ด้านเนื้อหา โดยมีรายละเอียดดังตารางที่ 1
19 ตารางที่ 1 เกณฑ์การประเมินทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ โดยใช้กิจกรรมทางการตลาดดิจิทัล ระดับคะแนน ประเด็นการประเมิน ด้านบุคลิกภาพ ด้านเนื้อหา 4 (ดีมาก) - มีการทักทายที่ถูกต้อง เหมาะสม สวัสดีครับ/ค่ะ ใช้คำ สรรพนามแทนตนเองและ ผู้ฟัง ถูกต้อง - มีการขึ้นต้นเนื้อหาตรง จุดประสงค์น่าสนใจดีเชิญชวน ให้ผู้ฟังหยุดฟัง - มีการแต่งกายถูกต้อง เรียบร้อย เหมาะสม สีเสื้อผ้า กลมกลืน ไม่ฉูดฉาด - มีการเรียบเรียงข้อมูลสินค้า เป็นลำดับ มีความถูกต้องของ ข้อมูล - มีการใช้สายตา ท่าทาง มีการ เคลื่อนไหว มีลีลาในการพูด เหมาะสม - มีการออกเสียงชัดเจน ถูกต้อง เช่น คำควบกล้ำเสียง ร ล ว - มีน้ำเสียงไพเราะน่าฟัง เสียง ดังชัดเจน เสียงใสมีพลัง - มีเนื้อเรื่องให้คุณค่าดีมาก 3 (มาก) - มีการทักทายที่เหมาะสม สวัสดีครับ/ค่ะ ใช้คำสรรพนาม แทนตนเองและผู้ฟังไม่ถูกต้อง - มีการขึ้นต้นข้อมูลสินค้าตรง จุดประสงค์ น่าสนใจ - มีการแต่งกายถูกต้อง เหมาะสม สีเสื้อผ้าไม่กลมกลืน - มีการเรียบเรียงข้อมูลสินค้า เป็นลำดับ - มีการใช้สายตาท่าทาง ประกอบการพูด มีลีลาใน การ พูด - มีการออกเสียงชัดเจน ถูกต้อง - มีน้ำเสียงไพเราะน่าฟัง เสียง ดังชัดเจน - มีเนื้อเรื่องให้คุณค่าดี 2 (พอใช้) - มีการทักทายบ้าง เช่น สวัสดี ครับ/ค่ะ - มีการขึ้นต้นข้อมูลสินค้าตรง จุดประสงค์น่าสนใจบ้าง - มีการแต่งกายถูกต้อง แต่ไม่ เรียบร้อย เช่น พับ แขนเสื้อ กระโปรงสั้นเกินไป อื่นๆ - มีการเรียบเรียงข้อมูลสินค้าไม่ เป็นไปตามลำดับ - มีการประสานสายตา กับผู้ฟัง เป็นบางครั้ง - มีการออกเสียงไม่ชัดเจน ไม่ ถูกต้องบางครั้ง - มีน้ำเสียงไพเราะ น่าฟัง - เนื้อเรื่องการนำเสนอสินค้า และบริการมีสาระมีคุณค่าบ้าง
20 ระดับคะแนน ประเด็นการประเมิน ด้านบุคลิกภาพ ด้านเนื้อหา 1 (ปรับปุรง) - ไม่มีการทักทายที่ประชุม - มีการขึ้นต้นข้อมูลสินค้าและ บริการไม่ตรงจุดประสงค์การ พูด ไม่น่าสนใจ - การแต่งกายไม่เรียบร้อย เช่น ชายเสื้อหลุดลุ่ย ไม่ผูกเนคไท ผมยุ่งรุงรัง อื่นๆ - ไม่มีการเรียบเรียงเนื้อหา ข้อมูลสินค้าในการพูด - ไม่มีการประสานสายตากับ ผู้ฟัง ไม่มีลีลาในการพูด - มีการออกเสียงไม่ชัดเจน ไม่ถูกต้องจำนวนมาก - น้ำเสียงไม่ไพเราะ พูดเสียง เบา - ข้อมูลสินค้าและบริการยังไม่ ครอบคลุม โดยมีเกณฑ์การพิจารณาแปลผลของคะแนนที่ได้นำมาหาค่าเฉลี่ย ดังนี้ ค่าเฉลี่ย แปลความ 3.50 – 4.00 ดีมาก 2.50 – 3.49 ดี 1.50 – 2.49 พอใช้ 1.00 – 1.49 ยังต้องปรับปรุง 3. แบบบันทึกหลังสอน เพื่อเป็นข้อมูลในการบันทึกผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การพัฒนา ทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ เพื่อเป็นเครื่องมือในการรวบรวมข้อมูลและบันทึกเรื่องราว ต่างๆที่เกิดขึ้น และนำมาใช้ในการรวบรวมข้อมูลและวางแผนจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนา ทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการของผู้เรียนในชั่วโมงต่อไป โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 เขียนบันทึกหลังสอนตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนโดยละเอียด ขั้นตอนที่ 2 ถอดรหัสตามสภาพการเรียนการสอนในการใช้แผนพัฒนาผู้เรียน ขั้นตอนที่ 3 นำข้อมูลที่ได้จากการถอดรหัสมาวางแผนและออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ต่อไป
21 การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยดำเนินการศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง โดยปฏิบัติขั้นตอน ดังนี้ 1. ก่อนการจัดการเรียนรู้ ชี้แจงให้นักศึกษารับทราบข้อมูล ทำความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการ สื่อสาร และการนำเสนอผลงาน เพื่อเก็บรวบรวมผลการศึกษาไว้เพื่อนำไปวิเคราะห์แปลผล 2. ดำเนินการสอนนักศึกษาด้วยตนเองตามแผนการจัดการเรียนรู้ โดยจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้ 3. เมื่อสอนตามแผนแล้ว ผู้วิจัยรวบรวมผลการศึกษาไว้เพื่อทำการวิเคราะห์ 4. นำคะแนนที่ได้จากการศึกษาไปวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย การวิเคราะห์ข้อมูลและการแปลผล ผู้วิจัยนำข้อมูลจากการประเมินการนำเสนอผลงานของนักศึกษามาหาค่าเฉลี่ยแล้วนำเสนอ เป็นความเรียง โดยใช้เกณฑ์การแปลผลค่าเฉลี่ยของบุญชม ศรีสะอาด (2545) พร้อมทั้งกำหนด น้ำหนักคะแนนในแต่ละข้อความดังต่อไปนี้ ค่าเฉลี่ย แปลความ 3.50 – 4.00 ดีมาก 2.50 – 3.49 ดี 1.50 – 2.49 พอใช้ 1.00 – 1.49 ยังต้องปรับปรุง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการเก็บรวบรวม โดยใช้สถิติพรรณนา (Descriptive Statistics) วิเคราะห์ข้อมูลการพัฒนาทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ โดย กิจกรรมทางการตลาดดิจิทัล ด้วยการวิเคราะห์ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
22 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และผลการจัดกิจกรรม การเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการของนักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปี ที่ 2/1 สาขาวิชาการตลาด วิชา การจัดจำหน่ายสินค้าและบริการ ผู้วิจัยได้เสนอผลการวิเคราะห์ ข้อมูลตามลําดับ ดังนี้ 1. การพัฒนาทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ โดยใช้กิจกรรมทางการตลาดดิจิทัล 2. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ โดยใช้กิจกรรมทางการตลาดดิจิทัล 3. ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ โดยใช้กิจกรรมทางการตลาดดิจิทัล ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่ 1 การพัฒนาทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ โดยใช้กิจกรรมทางการตลาดดิจิทัล และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ โดยใช้กิจกรรมทาง การตลาดดิจิทัล กิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาการนำเสนอสินค้าและบริการ โดยใช้กิจกรรมทางการตลาดดิจิทัล เป็นการศึกษา วิเคราะห์และพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมทักษะการนำเสนอสินค้าและ บริการ แล้วนำไปจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนจริง หลังจากนั้นนำข้อมูลจากการปฏิบัติจริงมา สะท้อนคิด ได้กิจกรรมการเรียนการสอน ดังต่อไปนี้ 1. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ จากศึกษาทฤษฎี หลักการต่างๆ ที่เกี่ยวกับกระบวนการนำเสนอสินค้าและบริการ และการจัดกิจกรรมที่พัฒนา
23 ทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ พบว่าการพัฒนากระบวนการนำเสนอสินค้าและบริการ จะต้องดำเนินการเป็นลำดับขั้นจากลำดับที่ไม่ซับซ้อนไปสู่การนำเสนอสินค้าและบริการที่ ซับซ้อน ดังนั้นผู้วิจัยจึงกำหนดแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยการจัดแบ่งการ พัฒนากระบวนการนำเสนอสินค้าและบริการเป็น 3 ระดับ คือ ระดับที่ 1 กิจกรรมการ เสริมสร้างและพัฒนา “ทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ” ระดับที่ 2 กิจกรรมการ เสริมสร้างและพัฒนา “ทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ โดยใช้กิจกรรมทางการตลาด ดิจิทัล (ผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายของสาขาวิชาการตลาด)” และระดับที่ 3 กิจกรรม การเสริมสร้างและพัฒนา “ทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ โดยใช้กิจกรรมทางการตลาด ดิจิทัล (ผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายของผู้เรียน)” 2. กิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ ซึ่งรวบรวมได้จากการลงมือ ปฏิบัติการจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนได้กิจกรรมการเรียนรู้ 2 ลักษณะ คือการจัดการ เรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการโดยตรง และการจัดการเรียนรู้เพื่อ พัฒนาทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการโดยบูรณาการกับสาระในรายวิชา ตอนที่ 2 ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ เป็นผลที่เกิดจากการการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการนำเสนอสินค้าและ บริการ ของนักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/1 สาขาวิชาการตลาด วิชา การจัดจำหน่าย สินค้าและบริการ จำนวน 26 คน โดยวิเคราะห์จากแบบประเมินทักษะการนำเสนอสินค้าและ บริการ โดยใช้กิจกรรมทางการตลาดดิจิทัล ซึ่งผลที่เกิดจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ ผลจากการจัดกิจกรรมเรียนรู้ที่เกิดกับผู้เรียน และผลจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ เกิดกับครูผู้สอน นำเสนอในรูปแบบค่าสถิติ โดยการหาค่าเฉลี่ย และการบรรยายเชิงพรรณนา
24 บทที่5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยในชั้นเรียน เรื่องการพัฒนาทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ โดยใช้กิจกรรมทาง การตลาดดิจิทัล ของนักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/1 สาขาวิชาการตลาด วิชา การจัด จำหน่ายสินค้าและบริการ ซึ่งผลการวิจัยสามารถสรุปได้ ดังนี้ คือ สรุปผลการวิจัย การวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน เรื่องการพัฒนาทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ โดย ใช้กิจกรรมทางการตลาดดิจิทัล ของนักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2/1 สาขาวิชา การตลาด วิชา การจัดจำหน่ายสินค้าและบริการ ผู้วิจัยสามารถสรุปผลออกมา 2 ด้าน ดังนี้ 1.การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ ของผู้เรียนเป็น กิจกรรมการเรียนรู้ที่เป็นลำดับขั้นตามระดับการนำเสนอสินค้าและบริการจำนวน 3 ระดับ คือ ระดับ 1 กิจกรรมการเสริมสร้างและพัฒนา “ทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ” ระดับ 2 กิจกรรมการเสริมสร้างและพัฒนา “ทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ โดยใช้ กิจกรรมทางการตลาดดิจิทัล (ผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายของสาขาวิชาการตลาด)” และ ระดับ 3 กิจกรรมการเสริมสร้างและพัฒนา “ทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ โดยใช้ กิจกรรมทางการตลาดดิจิทัล (ผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายของผู้เรียน)” และใช้กิจกรรม การเรียนรู้ที่หลากหลาย 2. ผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ การจัด กิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ พบว่า ส่งผลทำให้มีการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทั้งผู้เรียนและครู ดังนี้ 2.1 ผลที่เกิดกับนกเรียน พบว่า พฤติกรรมการนำเสนอสินค้าและบริการของผู้เรียนใน ทุกระดับโดยภาพรวมมีการพัฒนาขึ้น พบว่าผู้เรียนเกือบทุกคนมีพัฒนาการ นำเสนอสินค้าและบริการที่ดีขึ้น สำหรับความคิดเห็นของผู้เรียนต่อการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ที่พัฒนาทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการผู้เรียนมีความคิดเห็นว่า กิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนากระบวนการนำเสนอสินค้าและบริการเป็นกิจกรรมที่ กระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจ และผู้เรียนสามารถนำความรู้จากการเรียนในชั้นเรียนมา ปรับใช้การเรียนรู้รายวิชาอื่นๆได้และพัฒนาทักษะทางด้านวิชาชีพต่อไป
25 2.2 ผลที่เกิดกับครู พบว่า จากการดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาทักษะการ นำเสนอสินค้าและบริการ ส่งผลให้ครูมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในด้านต่างๆ ดังนี้ 2.2.1 ด้านการทำงานครูมีการวางแผนและพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนการ สอน โดยมีการวางแผนล่วงหน้าอย่างรอบคอบ คัดเลือกและบูรณาการ เนื้อหาสาระให้เหมาะสมกับผู้เรียน รวมถึงกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ และพัฒนาแผนการเรียนรู้และเทคนิคการจัดการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับ ความต้องการของผู้เรียนและเป้าหมายในการพัฒนา มีการศึกษาค้นคว้า เพื่อหาเทคนิค วิธีการ และแนวทางใหม่ๆ รวมทั้งมีการจัดหาจัดทำสื่อ ประกอบการเรียนรู้ที่หลากหลายมากขึ้น 2.2.2 การจัดเรียนการสอนของครูมีการเปลี่ยนพฤติกรรมจากการเป็นผู้ถ่ายทอด ความรู้เป็นผู้กระตุ้นการเรียนรู้ให้ผู้เรียน โดยครูเป็นผู้ตั้งคำถาม ให้ คำแนะนำ ปรึกษาในระหว่างการจัดการเรียนรู้ ตลอดจนการวางตัวที่ เหมาะสมกับผู้เรียน กล่าวคือ การเข้าใจผู้เรียน สร้างบรรยากาศที่เป็น กันเองกับผู้เรียน ทำให้ผู้เรียนไว้วางใจครู และทำให้กล้าแสดงออก ตั้งใจ เรียน เคารพและเชื่อถือ มากขึ้น และส่งงานต่อตรงเวลาที่ครูกำหนด นอกจากนั้นยังส่งผลถึงบรรยากาศการเรียนรู้ในห้องเรียนเป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพ ครูและผู้เรียนมีความสุข สนุกสนานกับการเรียนการสอน อภิปรายผล การวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ โดยใช้กิจกรรมทางการตลาด ดิจิทัล ของนักศึกษา ปวช. 2/1 สาขาวิชาการตลาด รายวิชา การจัดจำหน่ายสินค้าและบริการ มีประเด็นน่าสนใจที่ นำมาอภิปรายผลได้ดังนี้จากการศึกษาการนำเสนอสินค้าและบริการ โดยใช้ กิจกรรมทางการตลาดดิจิทัล ของนักศึกษา ปวช. 2/1 สาขาวิชาการตลาด รายวิชา การจัดจำหน่าย สินค้าและบริการ ด้านภาพรวมของการนำเสนอสินค้าและบริการโดยเฉลี่ยอยู่ในระดับดีมาก อีกทั้ง ในกิจกรรมการเรียนการสอนได้มีการฝึกให้นักศึกษาได้นำเสนอหลายครั้ง จึงทำให้เมื่อต้องนำเสนอ สินค้าหรือบริการสู่สาธารณชน ไม่ค่อยมีอาการประหม่า ตัวสั่น หรือควบคุมตัวเองไม่ได้ ซึ่งสอดคล้องกับ แนวคิดของวิรัช ลภิรัตนกุล (2526) ที่กล่าวว่าผู้พูดควรยึดหลักสำคัญในการพูดที่ ต้องดึงดูดความ สนใจผู้ฟัง ซึ่งหลักการพูดเพื่อให้เกิดความน่าสนใจทำได้โดยในขณะที่พูดควรมีการ เคลื่อนไหว ประกอบการพูดและเปลี่ยนแปลงอริยาบถหรือใช้ท่าทางอากัปกิริยาเคลื่อนไหว ประกอบการพูด และ ยังสอดคล้องกับแนวคิดของงามพริ้ง รุ่งโรจน์ดี(2543) ได้กล่าวเกี่ยวกับการ
26 พูดนำเสนอว่า ความสำเร็จ ในการนำเสนอด้วยวาจานั้น ส่วนใหญ่มาจากการเตรียมงานที่ดีกล่าวคือ ผู้พูดต้องเตรียมบุคลิกภาพ ของผู้พูดเมื่อก้าวขึ้นเวทีต้องแสดงความมั่นใจในสิ่งที่จะพูด การแสดง ความรู้สึกทางใบหน้าและ อิริยาบถที่ผู้พูดเคลื่อนไหว สามารถนำมาใช้จูงใจผู้ฟังให้การบรรยายไม่น่า เบื่อ และไม่ควรทำให้ผู้ฟัง เสียสมาธิโดยการเดินไปเดินมาขณะพูดหรือบรรยายตลอดเวลา ไม่ยืนพิง แท่นบรรยายตลอดเวลา ไม่ แสดงท่าทางมากเกินไป และแสดงความมั่นใจ ส่วนผลการประเมินการ นำเสนอด้านเนื้อหาน่าสนใจมีประโยชน์ต่อผู้ฟังและการนำเสนอ เนื้อหาสาระมีจุดหมายที่แน่นอนที่มี คะแนนค่อนข้างสูงนั้น เป็นเพราะก่อนการนำเสนอสินค้าและบริการทุกครั้ง ครูผู้สอนได้ให้นักศึกษา เตรียมความพร้อมในการนำเสนอให้เนื้อหาให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ตรงตามวัตถุประสงค์การ นำเสนอ และสอดคล้องกับความสนใจหรือความต้องการของผู้ฟังหรือผู้บริโภค ซึ่งสอดคล้องกับ แนวคิดของวิรัช ลภิรัตนกุล (2526) ที่เสนอแนะว่า ผู้พูดควร ยึดหลักสำคัญในการพูด คือ ความ ชัดเจน เรื่องที่พูดเพื่อให้ความรู้แก่ผู้ฟังควรมีความชัดเจน ซึ่งเกิดขึ้น จากการศึกษาค้นคว้าเป็นอย่าง ดีและนำมาประมวลจัดระเบียบเรื่องที่จะพูดอย่างมีประสิทธิภาพ และ ยังสอดคล้องกับแนวคิดของ งามพริ้ง รุ่งโรจน์ดี(2543) ได้กล่าวเกี่ยวกับการพูดนำเสนอว่า ความสำเร็จในการนำเสนอด้วยวาจา นั้น ส่วนใหญ่มาจากการเตรียมงานที่ดีกล่าวคือ ผู้พูดต้องเตรียมเนื้อหาที่จะ พูด ต้องคำนึงถึง วัตถุประสงค์ต้องเป็นจริง มีขอบเขตของเรื่องเด่นชัด เหมาะกับเวลาที่กำหนดจึงไม่ควรนำเสนองาน หลายหัวข้อ ข้อมูลที่ให้ต้องชัดเจนมีความสมบูรณ์ง่าย มีความเชื่อมโยงในเนื้อหาแต่ ละส่วน การ ขยายความต้องเป็นเหตุเป็นผล มีระเบียบ ไม่ข้ามไปข้ามมา สิ่งสำคัญ คือ ต้องกระตุ้นผู้ฟัง ให้สนใจ ฟัง มิฉะนั้นการพูดจะไม่บรรลุวัตถุประสงค์ ข้อเสนอแนะ ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะดังนี้ 1. ควรศึกษาการพัฒนาทักษะการสื่อสารให้ครบทุกด้าน ได้แก่ ทักษะการฟัง ทักษะการ พูด ทักษะการอ่าน ทักษะการเขียน และทักษะการคิด เพื่อนำผลมาหาความ ความสัมพันธ์และจัดลำดับ ความสำคัญระหว่างของตัวแปรที่ศึกษาและนำผลที่ได้มา วางแผนในการพัฒนาทักษะการสื่อสารของนักศึกษาต่อไป 2. ควรศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับกระบวนการนำเสนอสินค้าและบริการให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง เพื่อออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่ทำให้ผู้เรียนสามารถเกิดกระบวนการนำเสนอสินค้า และบริการในแต่ละระดับได้อย่างแท้จริง และนำไปสร้างแบบประเมินทักษะ การนำเสนอสินค้าและบริการให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
27 บรรณานุกรม กิดานันท์มะลิทอง. (2543). เทคโนโลยีการศึกษาและนวัตกรรม. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. งามพริ้ง รุ่งโรจน์ดี. (2543). การเขียนและการพูดเพื่อการนำเสนองาน. กรุงเทพฯ : สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น). ปรมะ สตะเวทิน. (2529). ทฤษฎีการสื่อสารมวลชน. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. อรรณพ อุบลแย้ม. (2542). ภาษาเพื่อการสื่อสาร. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
28 ภาคผนวก
29 แบบประเมินทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ โดยใช้กิจกรรมทางการตลาดดิจิทัล ชื่อผู้นำเสนอ.................................................................................. สินค้าที่นำเสนอ……………………………………………………………………. แนวในการพิจารณา ระดับคะแนน 4 3 2 1 1. บุคลิกภาพ • การแต่งกาย • การควบคุมตนเองและการเคลื่อนไหวของอวัยวะต่างๆ • การใช้สายตากับผู้ฟัง (Eye-Contact) • ความดังและความชัดเจนของเสียง • ความไพเราะของน้ำเสียง • การพูดอย่างพรั่งพรูไม่ตะกุกตะกัก 2. เนื้อหา • การขึ้นอารัมภบทได้ดี • การลำดับข้อมูลสินค้าและบริการได้เหมาะสม • การสรุปจบได้อย่างรัดกุม • ความถูกต้องของคำ/คำควบกล้ำ (ร, ล, ว) • เนื้อหาสาระมีจุดหมายที่แน่นอน • เนื้อหาน่าสนใจมีประโยชน์ต่อผู้ฟัง ข้อเสนอแนะ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
30 เกณฑ์การประเมินทักษะการนำเสนอสินค้าและบริการ โดยใช้กิจกรรมทางการตลาดดิจิทัล ระดับคะแนน ประเด็นการประเมิน ด้านบุคลิกภาพ ด้านเนื้อหา 4 (ดีมาก) - มีการทักทายที่ถูกต้อง เหมาะสม สวัสดีครับ/ค่ะ ใช้คำ สรรพนามแทนตนเองและ ผู้ฟัง ถูกต้อง - มีการขึ้นต้นเนื้อหาตรง จุดประสงค์น่าสนใจดีเชิญชวน ให้ผู้ฟังหยุดฟัง - มีการแต่งกายถูกต้อง เรียบร้อย เหมาะสม สีเสื้อผ้า กลมกลืน ไม่ฉูดฉาด - มีการเรียบเรียงข้อมูลสินค้า เป็นลำดับ มีความถูกต้องของ ข้อมูล - มีการใช้สายตา ท่าทาง มีการ เคลื่อนไหว มีลีลาในการพูด เหมาะสม - มีการออกเสียงชัดเจน ถูกต้อง เช่น คำควบกล้ำเสียง ร ล ว - มีน้ำเสียงไพเราะน่าฟัง เสียง ดังชัดเจน เสียงใสมีพลัง - มีเนื้อเรื่องให้คุณค่าดีมาก 3 (มาก) - มีการทักทายที่เหมาะสม สวัสดีครับ/ค่ะ ใช้คำสรรพนาม แทนตนเองและผู้ฟังไม่ถูกต้อง - มีการขึ้นต้นข้อมูลสินค้าตรง จุดประสงค์ น่าสนใจ - มีการแต่งกายถูกต้อง เหมาะสม สีเสื้อผ้าไม่กลมกลืน - มีการเรียบเรียงข้อมูลสินค้า เป็นลำดับ - มีการใช้สายตาท่าทาง ประกอบการพูด มีลีลาใน การ พูด - มีการออกเสียงชัดเจน ถูกต้อง - มีน้ำเสียงไพเราะน่าฟัง เสียง ดังชัดเจน - มีเนื้อเรื่องให้คุณค่าดี 2 (พอใช้) - มีการทักทายบ้าง เช่น สวัสดี ครับ/ค่ะ - มีการขึ้นต้นข้อมูลสินค้าตรง จุดประสงค์น่าสนใจบ้าง - มีการแต่งกายถูกต้อง แต่ไม่ เรียบร้อย เช่น พับ แขนเสื้อ กระโปรงสั้นเกินไป อื่นๆ - มีการเรียบเรียงข้อมูลสินค้าไม่ เป็นไปตามลำดับ - มีการประสานสายตา กับผู้ฟัง เป็นบางครั้ง - มีการออกเสียงไม่ชัดเจน ไม่ ถูกต้องบางครั้ง - มีน้ำเสียงไพเราะ น่าฟัง - เนื้อเรื่องการนำเสนอสินค้า และบริการมีสาระมีคุณค่าบ้าง
31 ระดับคะแนน ประเด็นการประเมิน ด้านบุคลิกภาพ ด้านเนื้อหา 1 (ปรับปุรง) - ไม่มีการทักทาย - มีการขึ้นต้นข้อมูลสินค้าและ บริการไม่ตรงจุดประสงค์การ พูด ไม่น่าสนใจ - การแต่งกายไม่เรียบร้อย เช่น ชายเสื้อหลุดลุ่ย ไม่ผูกเนคไท ผมยุ่งรุงรัง อื่นๆ - ไม่มีการเรียบเรียงเนื้อหา ข้อมูลสินค้าในการพูด - ไม่มีการประสานสายตากับ ผู้ฟัง ไม่มีลีลาในการพูด - มีการออกเสียงไม่ชัดเจน ไม่ถูกต้องจำนวนมาก - น้ำเสียงไม่ไพเราะ พูดเสียง เบา - ข้อมูลสินค้าและบริการยังไม่ ครอบคลุม โดยมีเกณฑ์การพิจารณาแปลผลของคะแนนที่ได้นำมาหาค่าเฉลี่ย ดังนี้ ค่าเฉลี่ย แปลความ 3.50 – 4.00 ดีมาก 2.50 – 3.49 ดี 1.50 – 2.49 พอใช้ 1.00 – 1.49 ยังต้องปรับปรุง
32 รูปภาพการจัดการเรียนการสอน/ดำเนินกิจกรรม
33