The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by suhtira2544, 2022-09-28 05:01:31

การเเต่งคำประพันธ์ประเภทกลอน

กลุ่มที

กลอน

สมาชิก

1. นางสาวน​ พภาพร​เทศนา​ รหัส ​005
2. นายฮาฟ​ ร​ิ​ ​อี​ซอ​ รหัส​011
3. นางสาวปว​ีณา​สุดาช​ ม​ รหัส​021
4. นางสาว​สุธิรา​มาศ​ โ​อสถ​ รหัส​025
5. นางสาว​ณัฏฐิ​กา​อิน​พลับ ​ รหัส​031

ชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาภาษาไทย
วิทยาลัยการฝึกหัดครู

คำนำ

หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการอ่าน
และการเขียนร้อยกรองไทย รหัส 1541214 เนื้อหาประกอบไปด้วยความรู้
เรื่องคำประพันธ์ประเภทกลอน ประวัติความเป็นมาของกลอน ฉันทลักษณ์
ของกลอนและรูปแบบการเเต่งกลอน

จุดประสงค์ของคณะผู้จัดทำคือ ต้องการศึกษาค้นคว้าเรื่องคำ
ประพันธ์ประเภทกลอน รวมถึงรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับกลอน ในการ
จัดทำผลงานชิ้นนี้ต้องขอบพระคุณอาจารย์ ดร. จนัญญา งามเนตร อาจารย์
ประจำรายวิชาการอ่านและการเขียนร้อยกรองไทย ที่คอยช่วยให้คำปรึกษา
และแนวทางในการจัดทำ และทางคณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผลงานชิ้น
นี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ต้องการศึกษาเนื้อหาดังกล่าวเป็นอย่างดี



คณะผู้จัดทำ

ความหมาย

สมัยโบราณ กลอน ใช้เป็นคำรวม เรียกร้อยกรองทุกชนิดที่มีลักษณะบังคับ
ปัจจุบัน กลอน หมายถึง ชื่อคำประพันธ์ชนิดหนึ่งที่มีกฎเกณฑ์ข้อบังคับต่าง ๆ

เกี่ยวกับคณะ จังหวะ สัมผัส โดยถูกใช้เรียกเป็นทางการ
ในวันที่ 23 กรกฎาคม 2547

ประวัติความเป็นมาของกลอน

นิติ เอียวศรีวงศ์ (2527:34) ได้กล่าวถึงต้นเค้าของกลอนโดยให้สังเกตที่แบบ
ฉันทลักษณ์ของคำประพันธ์ที่เรียกว่า “เพลง” เช่น เพลงเกี่ยวข้าว เพลงเรือ
เพราะจะมีสองบาทสุดท้ายเหมือนกลอน

ประยอม ชองทอง (2526:132-133) ได้กล่าวว่า กลอนเป็นคำประพันธ์ที่
เปลี่ยนแปลงมาตามรูปแบบของเพลงกล่อมเด็ก ด้วยวิธีการปรับปรุงจากรูปแบบ
ของเพลงกล่อมเด็กที่เป็นข้อความสั้น ๆ และวิวัฒนาการไปสู่รูปแบบกลอน
ที่สมบูรณ์

ตัวอย่างเพลงกล่อมเด็ก

นอนเสียเถิดเอย ​ขวัญเข้าเจ้าเกิดในดอกบัว

เลี้ยงไว้หวังจะเป็นเพื่อนตัว​ ทูนหัวเจ้าคนเดียวเอย

อ้ายตุ๊กแกเอย​ ตัวมันแลลายพร้อยพร้อย

งูเขียวตัวน้อย ห​้อยหัวลงมา

เด็กนอนไม่หลับ​ กินตับเสียเถิดวา

(อ้ายต๊กแกเอย)

นิธิ เอียวศรีวงศ์ กล่าวว่า กลอนมีต้นเค้ามาจากวรรณกรรมของ

ประชาชนซึ่งใช้เป็น เพลง และการขับร้องอย่างใดอย่างหนึ่ง

จากข้อมูลสรุปได้ กลอนมีที่มาจากวรรณกรรมมุขปาฐะโดยพัฒนาจากลักษณะ
สำคัญของการใช้เสียงคล้องจองกันมาสู่การแต่งเพื่อใช้ขับร้องในรูปเพลงพื้น
บ้าน กลอนเริ่มปรากฎในวรรณกรรมสมัยอยุธยาตอนปลายในรูปแบบกลอน
เพลงยาว กลอนดอกสร้อย กลอนบทละคร และพัฒนาเป็นกลอนที่มีรูปแบบ

สมบูรณ์ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น

ตัวอย่างเพลงกล่อมเด็กฉันทลักษณ์
ของกลอนแต่ละประเภท

กลอน นอกจากกำหนดคณะและสัมผัส ยังกำหนด
เสียงวรรณยุกต์ท้ายวรรคด้วย
1. คำสุดท้ายของวรรคแรกเรียก วรรคสลับ หรือ วรรค
สดับ ไม่นิยมใช้เสียงสามัญ
2. คำสุดท้ายของวรรคที่สอง เรียกว่า วรรครับ นิยมใช้
เสียงจัตวา ห้ามใช้เสียงสามัญและเสียงตรี
3. คำสุดท้ายของวรรคที่สามเรียกว่า วรรครอง นิยมใช้
เสียงสามัญ า้ มใช้เสียงจัตวา
4.คำสุดท้ายของวรรคที่สี่เรียกว่า วรรคส่ง นิยมใช้เสียง
สามัญ ห้ามใช้เสียงจัตวา

กลอนสุภาพ

แต่เดิมเรียก กลอนตลาด มีหลายประเภท
กลอนหก

ฉันทลักษณ์
1 บท มี 4 วรรค หรือ 2 บาท 1 บาท มี 2 วรรค วรรคละ 6 คำ
สัมผัส คำสุดท้ายของแรก สัมผัสกับคำที่สองหรือคำที่สี่ของวรรคที่ 2

คำสุดท้ายของวรรคที่2 สัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่ 3
คำสุดท้ายของวรรคที่ 3 สัมผัสกับคำที่สองหรือที่สี่ของวรรคที่ 4

สัมผัสระหว่าบท คำสุดท้ายของบทต้นสัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่ 2 ของบทถัดไป

ตัวอย่างบทกลอน

กลอนหกบทหนึ่งพึงคิด ประดิษฐ์สี่วรรคจัดสรร

วรรคหนึ่งพึงจำสำคัญ รำพันเพียงหกคำพอ

(ขัณธ์ชัย อธิเกียรติ)

กลอนเจ็ด












ฉันทลักษณ์

1 บท มี 4 วรรค หรือ 2 บาท 1 บาท มี 2 วรรค วรรคละ 7 คำ
-สัมผัส คำสุดท้ายของวรรคแรก สัมผัสกับคำที่สองหรือคำที่สามหรือ
คำที่สี่หรือคำที่ห้าของวรรคที่ 2
-คำสุดท้ายของวรรคที่ 2 สัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่ 3
-คำสุดท้ายของวรรคที่ 3 สัมผัสกับคำที่สองหรือคำที่สามหรือคำที่สี่หรือ
คำที่ห้าของวรรคที่ 4
สัมผัสระหว่างบท คำสุดท้ายของบทต้นสัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่ 2

ของบทถัดไป
ตัวอย่างบทกลอน
กลอนเจ็ดจำแบบว่าหนึ่งบท กำหนดสี่วรรคจักสร้างสรรค์
หนึ่งวรรคเจ็ดคำจึงรำพัน ครบครันกลอนเจ็ดสำเร็จดี

(ขัณธ์ชัย อธิเกียรติ)

กลอนแปด
















ฉันทลักษณ์

1 บท มี 4 วรรค หรือ 2 บาท 1 บาท มี 2 วรรค วรรคละ 8 คำ

- สัมผัส คำสุดท้ายของวรรคแรก สัมผัสกับคำที่สามหรือคำที่ห้าของวรรคที่ 2

- คำสุดท้ายของวรรคที่ 2 สัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่ 3

- คำสุดท้ายของวรรคที่ 3 สัมผัสกับคำที่สามหรือคำที่ห้าของวรรคที่ 4

สัมผัสระหว่างบท คำสุดท้ายของบทต้นสัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรที่สองของบทถัดไป

ตัวอย่างบทกลอน

น้ำค้างพรมลมเฉื่อยเรื่อยเรื่อยริ้ว หนาวดอกงิ้วงิ้วออกดอกไสว

เกสรงิ้วปลิวฟ้ามายาใจ ให้ทราบในทรวงช้ำสู้กล้ำกลืน

โอ้งิ้วป่าพาหนาวเมื่อคราวยาก สุดจะฝากแฝงหน้าไม่ฝ่าฝืน

แม้นงิ้วเป็นเช่นงานเมื่อวานซืน จะชูชื้นช่วยหนาวเมื่อคราวครวญ

โอ้ดูเดือนหมือนได้ยลวิมลพักตร์ ไม่ลืมรักรูปงามทรามสงวน

กระจ่างแจ้งแสงจันทร์ยิ่งรัญจวน คะนึงหวนนิ่งนอนอ่อนกำลัง

(นิราศพระประธม, 2518, หน้า 466)

กลอนเก้า







ฉันทลักษณ์

1 บท มี 4 วรรค หรือ 2 บาท 1 บาท มี 2 วรรค วรรคละ 9 คำ
- สัมผัส คำสุดท้ายของวรรคแรก สัมผัสกับคำที่สามหรือตำที่หกของวรรคที่ 2
- คำสุดท้ายของวรรคที่ 2 สัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่ 3
- คำสุดท้ายของวรรคที่สาม สัมผัสกับคำที่สามหรือคำที่หกของวรรคที่ 4
สัมผัสระหว่างบท คำสุดท้ายของบทต้นสัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่สองของบท
ถัดไป

ตัวอย่างบทกลอน



เขาว่าเรา เราอย่าโกรธ ลงโทษเขา ในเมื่อเรา ไม่ได้เป็น อย่างเขาว่า
หากว่าเรา นั้นเป็นจริง ดั่งวาจา เมื่อเขาว่า อ่าโกรธเขา เราเป็นจริง

(สำนวนเก่า)

กลอนสักวา



ฉันทลักษณ์

1 บทมี 4 วรรคหรือ 4 บาท 1 บาทมี 2 วรรค วรรคละ 6 – 9 คำ
- สัมผัส ขึ้นอยู่กับจำนวนคำในแต่ละวรรค เช่น หากวรรคหนึ่งมีแปดคำ
ตามแผนผัง สัมผัสบังคับ คือ คำสุดท้ายของวรรคแรกสัมผัสกับคำที่หนึ่ง สอง
สาม สี่ หรือคำที่ห้าของวรรคที่ 2
- คำสุดท้ายของวรรคที่ 2 สัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่ 3
- คำสุดท้ายของวรรคที่ 3 สัมผัสกับที่ หนึ่ง สอง สาม สี่ หรือคำ
ที่ห้าของวรรคที่ 4 เป็นต้น
สัมผัสระหว่างบาท-คำสุดท้ายของบาทที่ 2 สัมผัสกับคำสุดท้ายของบาทที่ 3
ไม่มีสัมผัสระหว่างบทถ้าจะแต่งบทต่อไปต้องขึ้นต้นบทสักวาใหม่
ขึ้นต้นบทด้วยคำว่า “สักวา” และลงท้ายด้วยคําว่า“ เอย”

กลอนสักวา

ตัวอย่างกลอน

สักวาโคลงกลอนของครูเทพ เลือกมาพอสังเขปเป็นตัวอย่าง
เคยพิมพ์แล้วสามเล่มเต็มละวาง หามาได้ใหม่บ้างแต่ก็น้อย
ที่ลงใน “หน้าห้าประมาญวัน” คำประพันธ์ของท่านอ่านอร่อย
เป็นกนะจกเงาส่องเห็นร่องรอย บอกทะยอยบทเบื้องการเมืองเอย

(พ.ณ. ประมวญมารค, 2520, หน้า220)

กลอนดอกสร้อย

ฉันทลักษณ์​

1​บทมี 8 วรรคหรือ 4 บาทเป็นอย่างน้อย ๑ บาทมี ๒ วรรค​วรรคแรกมี 4 คำวรรค
ต่อไปวรรคละ 6 – 8 คำ
สัมผัส​ขึ้นอยู่กับจำนวนคำในแต่ละวรรค​เช่น​หากวรรคหนึ่งมีแปดคำตามแผนผังสัมผัส

บังคับ​คือ​คําสุดท้ายของวรรคแรกสัมผัสกับคำที่หนึ่ง สอง สาม สี่ หรือคําที่ห้าของวรรคที่ 2
- คําสุดท้ายของวรรคที่ 2​สัมผัสกับคําสุดท้ายของวรรคที่ 3
- คำสุดท้ายของวรรคที่ 3 สัมผัสกับคำที่หนึ่ง​สอง​สาม​สี่​หรือคําที่ห้าของวรรคที่ 4

เป็นต้น
สัมผัสระหว่างบาท – คำสุดท้ายของบาทที่ 2​สัมผัสกับคำสุดท้ายของบาทที่ 3
วรรคแรกมีคำที่ 1 และ 3 เป็นคำตั้งคำเดียวกัน​คำที่ 2 เป็นคำว่าเอย
คำสุดท้ายของบทจะใช้คำธรรมดาหรือลงท้ายด้วยคำว่า“ เอย”
หมายเหตุ -ในบทละครอาจใช้คำว่า“ เอย” แทนคำว่า“ เอ๋ย” เช่น“ รถเอยรถวิมาน”

เป็นต้นหรือบางครั้งติดค่าสองค์แรกในวรรคแรกเช่น“ ดวงเอ่ยดวงตา “เหลือเพียง” ดวงตา”

เป็นต้น​

กลอนดอกสร้อย

ตัวอย่างกลอน

ดอกเอ๋ยดอกสร้อย บรรจงร้อยเรียงวรรคตามอักษร

บทหนึ่งนั้นท่านมีสี่คำกลอน ทุกวรรคตอนต้องสัมผัสจัดเร็ว

ไว

วรรคแรกเริ่มเติมเอ๋ยตามบัญญัติ วรรคอื่นจัดหกเจ็ดแดคำใส่

จัดสำเร็จเสร็จถ้วนกระบวนไป วรรคจบอย่าลืมใช้คำว่าเอย

(ขัณธ์ชัย อธิเกียรติ)

กลอนดอกสร้อย
ตัวอย่างก

ลอน

ดอกเอ๋ยดอกสร้อย บรรจงร้อยเรียงวรรคตามอักษร

บทหนึ่งนั้นท่านมีสี่คำกลอน ทุกวรรคตอนต้องสัมผัสจัดเร็วไว

วรรคแรกเริ่มเติมเอ๋ยตามบัญญัติ วรรคอื่นจัดหกเจ็ดแดคำใส่

จัดสำเร็จเสร็จถ้วนกระบวนไป วรรคจบอย่าลืมใช้คำว่าเอย

(ขัณธ์ชัย อธิเกียรติ)

กลอนบทละคร

ฉันทลักษณ์
1 บทมี 4 วรรคหรือ 2 บาทหรือ 1 บาทมี 2 วรรค​วรรคละ 6-8 คำ
- สัมผัส ขึ้นอยู่กับจำนวนคำในแต่ละวรรค​เช่น​หากวรรคหนึ่งมีแปดคำ
ตามแผนผังสัมผัสบังคับ​ คือ​ คำสุดท้ายของวรรคแรกสัมผัสกับคำที่หนึ่ง​ สอง​
สาม​สี่​หรือคำที่ห้าของวรรคที่ 2
- คำสุดท้ายของวรรคที่ 3 สัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่ 3
- คำสุดท้ายของวรรคที่ 3 สัมผัสกับคำที่หนึ่งสองสามสี่หรือคำที่ห้าของวรรค
ที่ 4 เป็นต้น
สัมผัสระหว่างบท​คำสุดท้ายของบทต้นสัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่สอง
ของบทถัดไป
หมายเหตุ วรรคแรกมักมีคำขึ้นต้น เช่น เมื่อนั้น บัดนั้น มาจะกล่าวบทไป
เป็นต้น หรือ ขึ้นต้นอย่างกลอนดอกสร้อย, คำสุดท้ายของบทอาจใช้คำว่า​
“เอย” หรือ​“เทอญ”

กลอนบทละคร

ตัวอย่างกลอน

เดินเอยเดินทาง ตามหว่างรุกขชาติเชิงผา

พิศพรรณมิ่งไม้นานา รื่นร่มรัถยาเรียงราย

บ้างเผล็ดดอกออกช่ออรชร บ้างเบ่งบานเกสรแย้มขยาย

หอมหวนอวลกลิ่นอบอาย คล้ายคล้ายเหมือนเมื่ออยู่ถ้ำทอง

แม้นได้ดวงยิหวามาด้วยพี่ จะชวนชี้ปรีดิ์เปรมเกษมสอง

เห็นการะเกดสีเหลืองเรืองรอง เหมือนผิวเนื้อน้องที่ต้องใจ

พระเหลือบแลดูดอกสร้อยฟ้า ยื่ยย้อยระย้างามไสง

เหมือนสร้อยห้อยมวนนางทรามวัย ฤาน้องน้อยห้อยไว้กระมังนา

จะให้รู้ว่าอยู่ที่ในป่า ให้พี่มาติดตามหา

เห็นเล็บนางบานตระการตา เหมือนขยาวิหวาของเรียมเอย

(อิเหนา, 2521, หน้า 576-577)

กลอนเสภา

ฉันทลักษณ์
1 บทมี 4​วรรคหรือ 2​บาท 1​บาทมี 2 วรรค​วรรคละ 6-10 คำ
- สัมผัส​ขึ้นอยู่กับจำนวนคำในแต่ละวรรค​เช่น​หากวรรคหนึ่งมีแปดคำตาม
แผนผังสัมผัสบังคับ​ คือ​ คําสุดท้ายของวรรคแรกสัมผัสกับคําที่หนึ่ง​ สอ​ง​ สาม​
สี่​หรือคําที่ห้าของวรรคที่​2
- คำสุดท้ายของวรรคที่ 2 สัมผัสกับคําสุดท้ายของวรรคที่ 3
- คำสุดท้ายของวรรคที่ 3 สัมผัสกับคําที่หนึ่ง​สอง​สาม​สี่​หรือคำที่ห้า
ของวรรคที่ 4 เป็นต้น
สัมผัสระหว่างบท​คำสุดท้ายของบทต้นสัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่สอง
ของบทไป
หมายเหตุ​วรรคแรกมักมีคำขึ้นต้น​เช่น​ครานั้น ..... เป็นต้น

ตัวอย่างกลอน

ครานั้นจึงโฉมเจ้าเณรแก้ว เพลแล้วหลีกเลี่ยงลงมาล่าง

ห่อผ้ากระหวัดลัดลอดทาง ย่างเข้าวิหารสำราญใจ

(เสภาเรื่องขุนข้างขุนแผน, 2544, หน้า 69-70)

กลอนนิราศ

ฉันทลักษณ์

1 บทมี 4 วรรคหรือ 2 บาท​1​บาท​มี 2 วรรควรรคละ 7-9 คำ
- สัมผัส ขึ้นอยู่กับจำนวนคำในแต่ละวรรค​เช่น​หากวรรคหนึ่งมีแปดคำตามแผนผัง

สัมผัสบังคับ​คือ​คำสุดท้ายของวรรคแรกสัมผัสกับคำที่สาม​หรือคำที่ห้าของวรรคที่​2
- คำสุดท้ายของวรรคที่ 2​สัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่ 3
- คำสุดท้ายของวรรคที่ 3 สัมผัสกับคำที่สาม​หรือคำห้าของวรรคที่ 4 เป็นต้น
สัมผัสระหว่างบท คำสุดท้ายของบทต้นสัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่สองของบทถัดไป

หมายเหตุ​วรรคแรกมักขึ้นต้นด้วยคำว่า “นิราศ” และลงท้ายเรื่องด้วยคําว่า “เอย”
บทแรกของนิราศมักขึ้นต้นด้วยวรรครับ

ตัวอย่างกลอน

โอ้สังเวชวาสนานิจจาเอ๋ย

จะมีคู่มิได้อยู่ประคองเชย ต้องละเลยดวงใจไว้ไกลตา

ถึงทุกข์ในโลกที่โศกเศร้า ไม่เหมือนเราภุมรินถวิลหา

จะพลัดพลากจากกันมิทันลา ใช้แต่ตาต่างถ้อยสุนทรวอน

(นิราศเมืองแกลง, 2544, หน้า 50)

กลอนเพลงยาว

ใช้ฉันทลักษณ์เดียวกับกลอนนิราศ แต่มีเนื้อหาที่แตกต่างกัน คือ กลอนเพลงยาว
เป็นสารรัก คร่ำครวญ พรรรณนาถึงความรัก หรือความแต่ะลบทไม่ยาวมากนักทุกข์

ตัวอย่างกลอน

อิศรญาณชาญกลอนอักษรสาร โดยตำนานสุภอรรถสวัสดี
เทศนาคำไทยให้เป็นทาน ด้วยมัวเมาโมห์มากในซากผี
สำหรับคนเจือจิตจริตเขลา สำหรับขี่เป็นม้าอชาไนย
ต้องหาม้ามโนมัยใหญ่ยาวรี น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าอัชฌาสัย
ชายข้าวเปลือกหญิงข้าวสารโบราณว่า รักกันไว้ดีกว่าชังระวังการ
เราก็จิตคิดดูเล่าเขาก็ใจ
(เพลงยาวอิศรญาณ, 2508, หน้า 88)

กลอนนิทาน

มีลักษณะเหมือนกลอนนิราศ ขึ้นต้นด้วยวรรครับแล้วแต่งเป็นเรื่องยาวๆทำนองนิทาน
หรือนิยาย มีพระเอกนางเอกมีตัวผู้ร้ายหรือตัวอิจฉา อิงหลักธรรมในศาสนาอาจจะ
มีการรบทัพจับศึกกระบวนการสงครามหรือมีความลึกลับมหัศจรรย์การแสดงอภินิหารหรือความ
สามารถของตัวเอกในเรื่องอาจจะแฝงด้วยลัทธิ ไสยศาสตร์มักจะลงเอยด้วยฝ่ายดีหรือฝ่ายธรรม
ชนะอธรรม

กลอนนิทานจะขึ้นต้นด้วยวรรครับของบาทเอก ส่วนวรรคสดับปล่อยเว้นว่างไว้
วรรคหนึ่งกำหนดคำ ตั้งแต่ 7-9 คำ

สัมผัสและความไพเราะอื่่นๆ เหมือนกับกลอนแปด
กลอนนิทานจะแต่งสั้นยาวอย่างไรก็ตามจะต้องจบด้วยบาทโท

ตัวอย่างกลอน ให้หวั่นหวาดวิญญามารศรี
ฝ่ายโฉมยงองค์ละเวงวัณลาราช เชิญพระพี่ขึ้นพลับพลาบนปราการ
แอบฉะอ้อนวอนพระอภัยมณีเ เป็นเจ้าลังกาเขตประเทปรากา
จงแต่งองค์สําอางอย่างฝรั่ง จะสำราญรักใคร่พร้อมใจกัน
พวกเสนาข้าบาทในราชการ ใครแข็งขัดเข่นฆ่าให้อาสัญ
ทั้งถือตราราหูคู่กษัตริย์ ไม่หวงกันตามประสงค์จำนงใน”​
ทั้งห้ามแหนแสนสุรางค์นางกำนัล (พระอภัยมณี, 2555, หน้า 432)

กลอนเพลงปฏิพาทย์

เป็นกลอนที่มีลักษณะพิเศษกว่าที่กล่าวมา เพราะเป็นกลอนปฏิภาณกวี โดยมี
ลักษณะแบบกลอนสด ซึ่งกล่าวโต้ตอบกันระหว่างบุคคล

ลักษณะบทกลอนและจำนวนคำที่ใช้ ก็กำหนดไว้กว้าง ไม่ชัดเจนใด ๆ
เพราะการปฏิภาณโวหารกำหนดจำกัดได้ยาก สุดแต่กลอนจะพาไป
ประเภทของกลอนเพลงปฏิพากย์

1. เพลงที่เล่นตามเทศกาล​เช่น​เพลงเกี่ยวข้าว​เพลงเรือ​เป็นต้น
2. เพลงที่เล่นไม่จำกัดเทศกาล​เช่น​เพลงฉ่อย​เพลงโคราช​เป็นต้น

ตัวอย่างกลอน

เกี่ยวเถิดหนาแม่เกี่ยว อ​ย่ามัวแลเหลียว​ เดี๋ยวเคียวจะบาดมือเอย

คว้าเถิดหนาแม่คว้า​ รีบตะบึงให้ถึงคันนา​ จะได้พูดจากันเอย

เกี่ยวข้าวแม่ยาย​ ผักบุ้งหญ้าหวาย​ พันที่ปลายกำเอย

คว้าเถิดหน้าแม่คว้า​ ผักบุ้งสันตะวา​ คว้าให้เต็มกำเอย

(พระวินิจวรรณการ (แสงสาลิตุล) รวบรวมอ้างในอเนกนาวิกมูล, 2527)​

สรุป

กลอน คือ คำประพันธ์หรือการเขียนเรียงความที่มีคำคล้องจองกันหรือ
มีความสัมผัสกัน ตำราการแต่งคำประพันธ์ เรียกว่า ชุมนุมตำรากลอน

กลอน​ในปัจจุบัน​ ​มีความหมาย​ชื่อคำประพันธ์​ชนิดหนึ่งที่มีกฎเกณฑ์​
ข้อบังคับต่าง​ๆ​ถูกใช้เรียกเป็นทางการ​วันที่​23​กรกฎาคม​2547 โดยกลอน
มีการเปลี่ยนแ​ปลงมาตามรูปแบบเพลง​และได้วิวัฒนาการ​ไปสู่รูปแบบกลอน
อย่างสมบูร​ณ์ โดยแบ่งชนิดกลอนได้ดังนี้
1. กลอนสุภาพ
2. กลอนสักวา
3. กลอนดอกสร้อย
4. กลอนบทละคร​
5. กลอนเสภา
6. กลอนนิราศ
7. กลอนเพลงยาว​
8. กลอนนิทาน
9. กลอนเพลงปฏิพาทย์

อ้างอิง

บุปผา บุญทิพย์. (2558). ร้อยกรอง. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์
มหาวิทยาลัยรามคำแหง.

เพ็ง พงศา. (2535). การศึกษาร้อยกรองประเภทกลอนในแง่วรรณศิลป์
และคีตศิลป์ไทย. (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อ 3 กันยายน 2565.
จาก https://www.google.com.

___________. (ม.ป.ป). ความรู้พื้นฐานในการแต่งคำประพันธ์.
(ออนไลน์). สืบค้นเมื่อ 3 กันยายน 2565. จาก http://old-
book.ru.ac.th/e-book/t/TL216(49)/TL216(49)-1.pdf.


Click to View FlipBook Version