ทวปี ออสเตรเลีย ประวัตศิ าสตร์ ม.3 กบั ครจู เู นียร์
และโอเชยี เนยี
• ทวีปทเ่ี ล็กทสี่ ดุ
• ประกอบดว้ ยแผน่ ดินในภาคพนื้ ทวีปรอ้ ยละ 99.5 สว่ นท่ีเหลอื เป็นเกาะขนาดเลก็
• หมเู่ กาะตา่ งๆในทวีปออสเตรเลยี และโอเชียเนยี เปน็ แผ่นดนิ ทตี่ ง้ั อยู่บรเิ วณแนวมุดเกยของแผน่ เปลือกโลก ท่ี
เรียกว่า "วงแหวนแห่งไฟ"
• แบง่ ภูมภิ าคเปน็ ออสเตรเลยี แผน่ ดินใหญ,่ หมเู่ กาะไมโครนเี ซยี ,หมู่เกาะโปลินีเซยี และหมูเ่ กาะเมลานีเซยี
• มีฉายาว่า "ทวีปแหง่ ความแปลกประหลาด"
ทวปี ออสเตรเลยี ประวัตศิ าสตร์ ม.3 กับครูจเู นียร์
และโอเชียเนีย
ทะเลทรายเกรตแซนดี
• ลักษณะภูมิประเทศโดยทว่ั ไปเปน็ ท่ี
ราบสูงและตัง้ อย่ทู างทศิ ตะวนั ตก
• พืน้ ที่สว่ นใหญเ่ ปน็ ทะเลทราย แหง้
แล้งและทุรกันดาร
• สว่ นบรเิ วณตอนกลางเปน็ เขตแหง้ แลง้ มากทสี่ ดุ
• ขณะทเ่ี ขตชายฝ่งั ตะวันออกจะมแี ม่นา้ สายสาคัญไหลผา่ น
ทาใหม้ ผี ู้คนตั้งถ่ินฐานอยูอ่ ยา่ งหนาแน่น
ทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย ประวตั ิศาสตร์ ม.3 กับครูจเู นียร์
พฒั นาการดา้ นการเมืองการปกครอง กัปตันเจมส์ คกุ
ออสเตรเลยี เป็นดินแดนสดุ ท้ายท่ชี าวตะวนั ตกค้นพบ โดยวลิ เลยี ม ยานซ์
ชาวดชั ช์และลกู เรอื ของบริษทั อินเดียตะวนั ออกของเนเธอแลนด์เป็นคนขาว
พวกแรกที่เหน็ ทวปี ออสเตรเลีย ชาวดัชชจ์ ึงเรียกว่า นิวฮอลแลนด์
เม่ือตอ่ มาใน ค.ศ.1857 กปั ตันเจมส์ คกุ แหง่ กองทพั เรือองั กฤษได้เดนิ ทางมา
สารวจและทาแผนที่ชายฝั่งตะวันออกของออสเตรเลียและประกาศให้เป็น
ดนิ แดนขององั กฤษตง้ั ช่ือวา่ นิวเซาธ์เวลส์ ผู้ตงั้ ถิ่นฐานในชว่ งแรกเปน็ นักโทษ
และผอู้ พยพอน่ื ๆ
ทวีปออสเตรเลียเป็นดนิ แดนของชาวอะบอรจิ นิ ีส ต่อมาเมอื่ องั กฤษสูญเสยี อณา
นิคมอเมริกา จึงใช้ออสเตรเลยี เปน็ แหลง่ ระบายนักโทษใหม่
ทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย ประวตั ิศาสตร์ ม.3 กบั ครูจเู นยี ร์
พัฒนาการดา้ นการเมอื งการปกครอง
ค.ศ.1821 รัฐบาลองั กฤษเรมิ่ สง่ เสรมิ ให้เสรชี นเข้ามาตง้ั หลักแหล่งในออสเตรเลยี
ทาใหเ้ กิดการขยายตัวของชุมชนและมีการจดั ตัง้ รฐั ต่างๆ ข้นึ เปน็ อสิ ระจากกัน
ค.ศ.1842 ฐบาลอังกฤษผา่ นพระราชบญั ญตั ิ ค.ศ.1842 ทาใหม้ กี ารจัดต้ังสภา
นิตบิ ญั ญัติขนึ้ ในรฐั นิวเซาท์เวลส์
ค.ศ.1851 มีการค้นพบทองคาในออสเตรเลยี ทาใหช้ าวตะวนั ตกและชาติตา่ งๆ
อพยพกันเข้ามาอาศยั และดาเนนิ ธุรกจิ เพ่ิมขน้ึ
ค.ศ.1846 รัฐวิกตอเรียจดั การเลอื กตั้งทั่วไป โดยการลงคะแนน
ด้วยวิธลี ับ ออสเตรเลยี จงึ เป็นชาตแิ รกท่ีใช้วธิ ดี ังกล่าว
ทวปี ออสเตรเลยี และโอเชยี เนยี ประวัติศาสตร์ ม.3 กับครจู เู นียร์
พฒั นาการดา้ นการเมอื งการปกครอง
ค.ศ.1857 รัฐวกิ ตอเรียยกเลกิ ข้อกาหนดการครองทรพั ยส์ ินอนั เป็นคุณสมบตั ิ
ของผ้ลู งคะแนนเสยี งในสภาลา่ ง
ค.ศ.1858 รัฐนวิ เซาทเ์ วลส์ออกกฎหมายการปฏิรูปการเลอื กตงั้ โดยใหส้ ิทธิ
เลือกต้ังแกผ่ ชู้ ายทุกคนทเ่ี ขา้ มาอาศยั ในรฐั 6 เดอื นขน้ึ ไป
ค.ศ.1894 รัฐเซาทอ์ อสเตรเลยี ให้สิทธกิ ารลงสมัคร เลอื กต้ังและการลงคะแนน
เสยี งเลอื กตั้งแก่สตรีเป็นรัฐแรก
ค.ศ.1901 รัฐต่างๆ รวมตัวกันเปน็ ประเทศ เรยี กวา่ เครือรฐั ออสเตรเลยี จัดการ
ปกครองในรปู แบบสหพันธรัฐใช้ระบบสองสภา มีสมาชิกมาจากการเลอื กตงั้
ทวปี ออสเตรเลยี และโอเชยี เนยี ประวัติศาสตร์ ม.3 กบั ครจู ูเนยี ร์
พฒั นาการด้านเศรษฐกิจ
แกะเปน็ สตั ว์เศรษฐกิจสาคญั ของออสเตรเลยี โดยเริม่ เลย้ี งกนั มาตง้ั แต่กลาง
ทศวรรษท่ี 1790 และขยายพืน้ ท่เี ลี้ยงอย่างกวา้ งขวาง ทาใหข้ นแกะกลายเป็น
สนิ คา้ สง่ ออกไปยังอังกฤษที่สาคัญ สง่ ผลให้อตุ สาหกรรมทอผ้าขนสัตวใ์ น
อังกฤษขยายตวั อยา่ งตอ่ เนื่อง
หลงั จากทองคาเรม่ิ ลดลง ออสเตรเลียไดด้ าเนนิ นโยบายเปิดพรมแดนเพื่อ
ขยายพื้นทีก่ ารเกษตร พรอ้ มทงั้ ตง้ั วิทยาลัยการเกษตรและใช้เทคโนโลยี
สมยั ใหม่มาปรบั ปรุงพฒั นาพันธพ์ุ ชื และการเพาะปลกู จนกลายเปน็
ประเทศที่เจรญิ กา้ วหน้าดา้ นการเกษตรและเปน็ ผู้นาส่งออกพชื พันธุต์ ่างๆ
ทวปี ออสเตรเลยี และโอเชยี เนยี ประวตั ิศาสตร์ ม.3 กบั ครจู ูเนยี ร์
พฒั นาการด้านสังคมและวฒั นธรรม
ชนเผ่าพ้นื เมอื งแอบอริจินี ชนเผา่ พื้นเมืองแอบอริจนี ีทวปี ออสเตรเลียมีชาว
แอบอรจิ ินีเปน็ ชนเผ่าดงั้ เดิมตัง้ ถ่นิ ฐานอยู่แถบรัฐนิว
เซาทเ์ วลส์ลักษณะเดน่ คือมผี ิวดาและผมหยกิ มี
วัฒนธรรมชนเผ่าเปน็ ของตนเอง
เมือ่ องั กฤษอพยพเข้ามาตง้ั ถนิ่ ฐานในออสเตรเลีย
ทาใหเ้ ผา่ แอบอรจิ ินกี ลายเปน็ ชนกล่มุ น้อย
จนกระทงั่ เม่อื พ.ศ. 2556 รัฐบาลเครอื รฐั
ออสเตรเลยี ได้ผ่านกฎหมายรับรองชาวแอบอริจินี
เปน็ ชนพน้ื เมืองกลุม่ แรกทอ่ี าศัยอยู่ในทวีป
ออสเตรเลยี ปจั จบุ ันอาศยั อยใู่ นดินแดน นอรเ์ ทริ ์น
เทอรทิ อรี
ทวปี ออสเตรเลยี และโอเชยี เนีย ประวัติศาสตร์ ม.3 กบั ครจู เู นยี ร์
พัฒนาการดา้ นสังคมและวฒั นธรรม
ชนเผา่ เมารใี นนวิ ซีแลนด์
ชาวเมารเี ปน็ กลมุ่ เชือ้ ชาตดิ งั้ เดิม
ของประเทศนิวซแี ลนดจ์ ดั อยู่ใน
กลมุ่ โปลนิ เี ซยี นอาศยั อย่ใู นเกาะ
เหนือและเกาะใต้ มีลกั ษณะเด่นคอื
มีผิวสเี ขม้ ปานกลางผมสีดาอยาก
เป็นคล่ืนดวงตาสีดาและรูปรา่ งสงู
โปรง่ มีวัฒนธรรมเปน็ ของตนเอง
ทวปี ออสเตรเลียและโอเชยี เนยี ประวัติศาสตร์ ม.3 กบั ครจู เู นยี ร์
พฒั นาการด้านสังคมและวฒั นธรรม
• ในระยะของการบกุ เบกิ สังคมและวฒั นธรรมของออสเตรเลียมลี ักษณะเป็น
ตะวนั ตก?และเป็นสงั คมแบบสมภาค
• เมือ่ มีการค้นพบแหล่งทองคาในทศวรรษท่ี 1850 ทาให้มีผูอ้ พยพชนช้ัน
กลางเข้ามาในออสเตรเลียมากขน้ึ เกดิ เปน็ ขบวนการเรยี กรอ้ งและปฏริ ูป
กฎหมายการเลอื กตงั้ จนนาไปส่กู ารเลอื กตัง้ เปน็ ผลสาเร็จ
• การเข้ามาของชาวจีน ทน่ี าเอาวฒั นธรรมของตนเข้ามาดว้ ย ทาใหเ้ กดิ
นโยบายออสเตรเลีย สาหรับคนผวิ ขาว เพือ่ ป้องกันการเขา้ มาของคนผิว
เหลอื งและคนผิวดาซ่ึงถูกยกเลิกไปในชว่ งทศวรรษท่ี 1960
ทวีปออสเตรเลียและโอเชยี เนยี ประวตั ศิ าสตร์ ม.3 กบั ครจู ูเนยี ร์
พัฒนาการดา้ นสงั คมและวฒั นธรรม
• หลงั สงครามโลกครัง้ ท่ี 2 ออสเตรเลยี มีลักษณะเปน็ สังคมนานาชาตทิ ่ีมคี วาม
หลากหลายทางด้านวัฒนธรรม เริ่มเปดิ ตัวตอ่ สงั คมโลกมากขนึ้ และการศกึ ษา
ในระดับอดุ มศึกษาเกิดการขยายตวั เป็นอย่างมาก
• ตง้ั แต่ทศวรรษ 1960 รฐั บาลออสเตรเลยี เรมิ่ ใหค้ วามสนใจและสนบั สนนุ ใน
ศิลปะ วฒั นธรรมและชวี ิตความเปน็ อยู่ของชาวอะบอรจิ นิ สิ พรอ้ มทั้งสร้างความ
สมานฉันทร์ ะหวา่ งชาวออสเตรเลียผวิ ขาวและชนพ้นื เมอื งอย่างเปน็ รปู ธรรม
ทวีปออสเตรเลียและโอเชยี เนยี ประวตั ิศาสตร์ ม.3 กับครูจเู นียร์
อิทธพิ ลของทวีปออสเตรเลยี และโอเชยี เนยี ตอ่ สังคมโลก
ศิลปะวทิ ยาการของชาวอะบอรจิ นิ ิสชนพ้ืนเมอื ง ออสเตรเลยี เป็นประเทศผลผลติ ทางเกษตรกรรม
ของออสเตรเลยี ได้รบั การฟืน้ ฟจู นกลายเปน็ ท่ี รายใหญ่ของโลก มกี ารปรบั ปรุงพนั ธ์พุ ืช และใช้
นิยมและชื่นชอบของคนท่ัวโลก
เทคโนโลยสี มยั ใหม่มาพัฒนาผลผลติ ให้มี
คณุ ภาพ
ออสเตรเลยี เปน็ ประเทศผนู้ าในดา้ น
โทรทัศน์ วทิ ยุ อตุ สาหกรรมบนั ทกึ เสียง
และอตุ สาหกรรมภาพยนตร์ ซงึ่ เป็นท่รี จู้ ัก
ไปทั่วโลก
ทวีปออสเตรเลยี และโอเชียเนยี ประวัติศาสตร์ ม.3 กับครูจเู นยี ร์
อิทธพิ ลของทวปี ออสเตรเลียและโอเชยี เนียต่อสงั คมโลก
ปัจจุบนั ออสเตรเลยี เปน็ ประเทศผ้นู าทส่ี าคัญ ออสเตรเลียเปน็ ประเทศแรกทีใ่ ช้ วธิ กี าร
ทส่ี ุดในการส่งออกแร่ ถ่านหนิ บอ็ กไซต์ และโอ ลงคะแนนเสียงเลอื กต้ังโดยวิธลี ับ จนมกี าร
พอล
นาไปใชใ้ นหลายประเทศทว่ั โลก