The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานวิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้เรื่อง การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค STAD ของนักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาการบัญชี วิทยาเทคนิคกาญจนาภิเษก มหานคร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ชัยชาญ บุญซ้อน, 2023-10-11 15:36:00

รายงานวิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้เรื่อง การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค STAD ของนักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาการบัญชี วิทยาเทคนิคกาญจนาภิเษก มหานคร

รายงานวิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้เรื่อง การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค STAD ของนักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาการบัญชี วิทยาเทคนิคกาญจนาภิเษก มหานคร

42 เครื่องมือหรือแบบวัดและประเมินผลตัวแปรตาม : แบบประเมินความพึงพอใจ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค STAD รายวิชาการบัญชีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เรื่อง การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้รายวิชาการบัญชีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เรื่อง การคำนวณภาษีเงิน ได้บุคคลธรรมดา โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนแบบร่วมมือ STAD ของนักเรียน ปวช.1 สาขาวิชาการบัญชี วิทยาลัยเทคนิคกาญจนาภิเษก มหานคร ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 คำชี้แจง โปรดระบุเครื่องหมาย ✓ ลงในช่องที่กำหนดให้ ตอนที่ 1 ข้อมูลส่วนตัว 1. ชื่อ - นามสกุล 2. เพศ ( ) ชาย ( ) หญิง 3. อายุ ( ) 15-16 ปี ( ) 17-18 ปี ( ) 19-20 ปี 4. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (เกรดเฉลี่ยสะสมเทอมก่อน) ( ) เกรดเฉลี่ยต่ำกว่า 2.00 ( ) เกรดเฉลี่ย 2.00 – 2.49 ( ) เกรดเฉลี่ย 2.50 – 2.99 ( ) เกรดเฉลี่ย 3 ขึ้นไป ตอนที่ 2 ประเมินความพึงพอใจของนักเรียน โดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค STAD เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ ตามแนวคิดของ Likert ในรายวิชาการบัญชี ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เรื่อง การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เกณฑ์การประเมินค่าระดับความพึงพอใจของของนักเรียน แบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ โดยการตรวจให้คะแนนใช้เกณฑ์ดังนี้(บุญชม ศรีสะอาด, ๒๕๔๕ : ๑๐๓) มากที่สุด ให้5 คะแนน มาก ให้4 คะแนน ปานกลาง ให้3 คะแนน น้อย ให้2 คะแนน น้อยที่สุด ให้1 คะแนน


43 นำคะแนนที่ได้มาแปลความหมาย โดยนาไปเทียบกับเกณฑ์แปลความหมาย ดังนี้ 4.51 – 5.00 หมายถึง มีความพึงพอใจในระดับ มากที่สุด 3.51 – 4.50 หมายถึง มีความพึงพอใจในระดับ มาก 2.51 – 3.50 หมายถึง มีความพึงพอใจในระดับ ปานกลาง 1.51 – 2.50 หมายถึง มีความพึงพอใจในระดับ น้อย 1.00 – 1.50 หมายถึง มีความพึงพอใจในระดับ น้อยที่สุด หัวข้อประเมิน มากที่สุด 5 มาก 4 ปานกลาง 3 น้อย 2 น้อยที่สุด 1 ด้านผู้สอน 1. ผู้สอนจัดแบ่งกลุ่มนักศึกษาโดยคละ ความสามารถได้อย่างเหมาะสม 2. ผู้สอนให้คำปรึกษาและอํานวยความ สะดวกในการเรียนรู้อย่างทั่วถึง 3. ผู้สอนส่งเสริมให้ผู้เรียนกระตือรือร้นใน การเรียนรู้ 4. ผู้สอนใช้ข้อคําถามระหว่างการเรียน การสอนเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนได้เกิดการ คิด 5. ผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดง ความคิดเห็นในแต่ละหัวข้อ ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน 1. กิจกรรมการเรียนรู้มีเนื้อหา รูปแบบ ตรงตามความต้องการของผู้เรียน 2. กิจกรรมการเรียนรู้ส่งเสริมการมี ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียน 3. กิจกรรมการเรียนรู้เหมาะสมกับเวลา 4. กิจกรรมการเรียนรู้สามารถกระตุ้นให้ ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิด 5. กิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือส่งเสริม ให้ผู้เรียนมีการคิดวิเคราะห์มากขึ้น


44 ด้านประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียนรู้ 1. ผู้เรียนมีความรับผิดชอบและเรียนรู้ วิธีการทำงานร่วมกับผู้อื่น 2. ผู้เรียนสามารถทำงานได้อย่างเป็น ระบบ 3. ผู้เรียนมีการคิดวิเคราะห์และบูรณา การความรู้ได้ดีขึ้น 4. ผู้เรียนมีทัศนคติหรือเจตคติที่ดีต่อวิชา บัญชี ตอนที่ 3 ข้อเสนอแนะจัดการเรียนการสอนรายวิชาการบัญชีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เรื่อง การคำนวณ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนแบบร่วมมือ STAD .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................


45 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาการบัญชีภาษีอากร เรื่อง การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รหัสวิชา 20201-2005 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 คำสั่ง : จงเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว 1. ผู้ที่มีเงินได้สุทธิเกิน 500,000 บาท แต่ไม่เกิน 750,000 บาท เสียภาษีในอัตราใด 1. ร้อยละ 5 2. ร้อยละ 10 3. ร้อยละ 15 4. ร้อยละ 20 2. อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาร้อยละ 25 ใช้กับเงินได้สุทธิตามข้อใด 1. เกิน 300,000 บาท แต่ไม่เกิน 500,000 บาท 2. เกิน 500,000 บาท แต่ไม่เกิน 750,000 บาท 3. เกิน 750,000 บาท แต่ไม่เกิน 1,000,000 บาท 4. เกิน 1,000,000 บาท แต่ไม่เกิน 2,000,000 บาท 3. การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีจากเงินได้สุทธิ มีขั้นตอนตามข้อใด 1. เงินได้พึงประเมิน – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน = เงินได้สุทธิ × อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2. เงินได้พึงประเมิน – ค่าลดหย่อน – ค่าใช้จ่าย = เงินได้สุทธิ × อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 3. เงินได้สุทธิ– ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน = เงินได้พึงประเมิน × อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 4. เงินได้สุทธิ– ค่าลดหย่อน – ค่าใช้จ่าย = เงินได้พึงประเมิน × อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จงใช้ข้อมูลต่อไปนี้ตอบคำถามข้อ 4 นางสาวพิมพ์รัตน์มีเงินได้จากเงินเดือนเดือนละ 50,000 บาท ระหว่างปีจ่ายค่าเบี้ยประกันชีวิตให้ บริษัท สหมงคลประกันภัย จำกัด 40,000 บาท กรมธรรม์มีกำหนดเวลา 20 ปี จ่ายเงินสะสมเข้ากองทุน สำรองเลี้ยงชีพ ในอัตราร้อยละ 10 ของค่าจ้าง จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมในอัตราร้อยละ 5 บริจาคเงินให้มูลนิธิสายใจไทย 10,000 บาท 4. นางสาวพิมพ์รัตน์ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามข้อใด 1. 9,600 บาท 2. 10,600 บาท 3. 12,600 บาท 4. 17,600 บาท


46 จงใช้ข้อมูลต่อไปนี้ตอบคำถามข้อ 5–6 นายแพทย์ไพโรจน์มีภริยาซึ่งไม่มีเงินได้ มีบุตรผู้เยาว์กำลังศึกษา 2 คน ระหว่างปีนายแพทย์ไพโรจน์มี เงินได้จากเงินเดือนเดือนละ 65,000 บาท มีเงินได้จากการเปิดคลินิกทั้งปี 1,450,000 บาทมีค่าใช้จ่ายจริง ตามหลักฐาน 950,000 บาท นายแพทย์ไพโรจน์ได้อุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาซึ่งไม่มีเงินได้อายุ 62 ปี และ 58 ปี ตามลำดับ ได้จ่ายเบี้ยประกันชีวิตให้บริษัท อยุธยาประกันภัย จำากัด สำหรับตนเองปีละ 150,000 บาท สำหรับภริยาปีละ 50,000 บาท จ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการในอัตราร้อยละ 3 ของเงินเดือน 5. ภาษีที่คำนวณได้ตามวิธีที่ 1 คือข้อใด 1. 64,490 บาท 2. 82,320 บาท 3. 92,320 บาท 4. 181,600 บาท 6. ภาษีที่คำนวณได้ตามวิธีที่ 2 คือข้อใด 1. 2,500 บาท 2. 3,900 บาท 3. 7,250 บาท 4. 10,850 บาท 7. การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปีกรณีคนโสด ใช้สำหรับเงินได้พึงประเมินตามข้อใด 1. มีเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 2–8 ตั้งแต่ 30,000 บาท ขึ้นไป 2. มีเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 2–8 ตั้งแต่ 60,000 บาท ขึ้นไป 3. มีเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 5–8 ตั้งแต่ 30,000 บาท ขึ้นไป 4. มีเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 5–8 ตั้งแต่ 60,000 บาท ขึ้นไป 8. การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี สามารถหักลดหย่อนสำหรับผู้มีเงินได้และคู่สมรสได้คนละ เท่าใด 1. 15,000 บาท 2. 17,000 บาท 3. 30,000 บาท 4. 45,000 บาท 9. ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี ค่าลดหย่อนตามข้อใดที่ไม่สามารถนำมาหักได้ 1. ค่าลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิต 2. ค่าลดหย่อนดอกเบี้ยเงินกู้ยืม 3. ค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว 4. ค่าลดหย่อนเงินสะสมที่จ่ายเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ


47 10. ระหว่างเดือนมกราคม–มิถุนายน นายพิศาลได้รับเงินปันผลจากบริษัท ยางสยาม จำกัด 40,000 บาท (บริษัทเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตรา 20%) มีเงินได้จากการรับเหมาก่อสร้างที่ต้องจัดหาสัมภาระในส่วน สำคัญนอกจากเครื่องมือ 3,000,000 บาท นายพิศาลเป็นคนโสดและอุปการะเลี้ยงดูมารดาอายุ 68 ปี ไม่มี เงินได้ นายพิศาลต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปีตามข้อใด 1. 87,000 บาท 2. 96,000 บาท 3. 155,000 บาท 4. 161,250 บาท 11. การหักลดหย่อนสำหรับผู้มีเงินได้และคู่สมรส สามารถหักลดหย่อนได้ฝ่ายละเท่าใด 1. 15,000 บาท 2. 17,000 บาท 3. 30,000 บาท 4. 60,000 บาท 12. การหักลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิต ต้องเข้าหลักเกณฑ์ข้อใด 1. กรมธรรม์มีกำหนดเวลาไม่เกิน 10 ปี 2. เป็นเบี้ยประกันชีวิตของผู้มีเงินได้ คู่สมรส และบุตร 3. เป็นเบี้ยประกันชีวิตของบิดามารดาซึ่งอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของผู้มีเงินได้ 4. เป็นเบี้ยประกันชีวิตของผู้มีเงินได้และของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ ซึ่งความเป็นสามีภริยาได้มีอยู่ ตลอดปีภาษี 13. กรณีสามีภริยาต่างฝ่ายต่างมีเงินได้พึงประเมิน สามารถหักค่าลดหย่อนได้ตามข้อใด 1. กรณีเสียภาษีรวมกัน หักลดหย่อนสำหรับผู้มีเงินได้ 60,000 บาท คู่สมรส 60,000 บาท กรณีแยกเสีย ภาษีต่างฝ่ายต่างหักลดหย่อนสำหรับผู้มีเงินได้ 60,000 บาท และคู่สมรส 60,000 บาท 2. กรณีเสียภาษีรวมกัน หักลดหย่อนสำาหรับผู้มีเงินได้ 60,000 บาท คู่สมรส 60,000 บาท กรณีแยกเสีย ภาษีต่างฝ่ายต่างหักลดหย่อนสำหรับผู้มีเงินได้ 60,000 บาท 3. กรณีเสียภาษีรวมกัน หักลดหย่อนสำาหรับผู้มีเงินได้ 60,000 บาท คู่สมรส 60,000 บาท กรณีแยกเสีย ภาษีต่างฝ่ายต่างหักลดหย่อนสำหรับผู้มีเงินได้ 60,000 บาท และเฉพาะสามีสามารถหักลดหย่อนให้ภริยา ได้อีก 60,000 บาท 4. กรณีเสียภาษีรวมกัน หักลดหย่อนสำาหรับผู้มีเงินได้60,000 บาท กรณีแยกเสียภาษี ต่างฝ่ายต่างหัก ลดหย่อนสำหรับผู้มีเงินได้ 60,000 บาท


48 14. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับการหักค่าลดหย่อนกรณีผู้มีเงินได้มิได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย 1. ไม่สามารถหักลดหย่อนได้ เนื่องจากมิได้อยู่ในประเทศไทย 2. สามารถหักลดหย่อนสำหรับผู้มีเงินได้ แต่ไม่สามารถหักลดหย่อนให้คู่สมรสและบุตรได้ 3. สามารถหักลดหย่อนสำหรับผู้มีเงินได้สามีหรือภริยา บุตร บิดามารดาของตนเองและคู่สมรสได้ 4. สามารถหักลดหย่อนสำหรับผู้มีเงินได้ แต่สำหรับสามีหรือภริยา บุตร และบิดามารดา จะนำมาหัก ลดหย่อนได้ต้องเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย 15. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับการหักค่าลดหย่อนกรณีผู้มีเงินได้ถึงแก่ความตายในระหว่างปีภาษี 1. หักลดหย่อนไม่ได้เลย 2. หักลดหย่อนได้เฉพาะผู้มีเงินได้ 60,000 บาท 3. หักลดหย่อนได้เสมือนผู้ตายยังมีชีวิตอยู่ตลอดปีภาษีนั้น 4. หักลดหย่อนได้เฉพาะผู้มีเงินได้ สามีหรือภริยา และบุตรของผู้ถึงแก่ความตาย 16. กองมรดกที่ยังมิได้แบ่ง สามารถหักลดหย่อนได้ตามข้อใด 1. หักลดหย่อนไม่ได้เลย 2. หักลดหย่อนสำหรับกองมรดก 60,000 บาท 3. หักลดหย่อนได้เสมือนเจ้าของกองมรดกยังมีชีวิตอยู่ตลอดปีภาษีนั้น 4. หักลดหย่อนได้เฉพาะผู้มีเงินได้ สามีหรือภริยา และบุตรของเจ้าของกองมรดก 17. ห้างหุ้นส่วนสามัญ สามารถหักลดหย่อนได้ตามข้อใด 1. หักลดหย่อนไม่ได้เลย 2. หักลดหย่อนสำหรับผู้เป็นหุ้นส่วนได้ทุกคน 3. หักลดหย่อนสำหรับผู้เป็นหุ้นส่วนแต่ละคนที่เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย คนละ 60,000 บาท 4. หักลดหย่อนสำหรับผู้เป็นหุ้นส่วนแต่ละคนที่เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย คนละ 60,000 บาท แต่รวมกันต้อง ไม่เกิน 120,000 บาท 18. การหักลดหย่อนเงินบริจาคเพื่อสนับสนุนการศึกษา สามารถหักลดหย่อนได้ตามข้อใด 1. หักได้ 2 เท่าของจำนวนที่บริจาคจริง 2. หักได้เท่าจำนวนที่บริจาคจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้สุทธิ 3. หักได้ 2 เท่าของจำนวนที่บริจาคจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้สุทธิ 4. หักได้ 2 เท่าของจำนวนที่บริจาคจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้ก่อนหักเงินบริจาคเพื่อสนับสนุน การศึกษา


49 จงใช้ข้อมูลต่อไปนี้ตอบคำถามข้อ 19–20 นายชัชวาลมีเงินได้จากเงินเดือนเดือนละ 85,000 บาท นายชัชวาลย์มีภริยาซึ่งไม่มีเงินได้มีบุตรผู้เยาว์กำลัง ศึกษา 2 คน นายชัชวาลย์ได้อุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาซึ่งไม่มีเงินได้อายุ 64 ปี และ 57 ปีตามลำดับ ระหว่างปีได้จ่ายค่าเบี้ยประกันชีวิตสำหรับตนเองเดือนละ 5,000 บาท ให้บริษัทอินเตอร์ไลฟ์(ประเทศ ไทย) จำกัด กรมธรรม์มีกำหนดเวลา 15 ปี และได้จ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพในอัตราร้อยละ 10 ของค่าจ้าง จ่ายเงินสมทบ เข้ากองทุนประกันสังคมในอัตราร้อยละ 5 นอกจากนี้ยังได้บริจาคเงินเพื่อ สนับสนุนการศึกษา 50,000 บาท และบริจาคเงินให้มูลนิธิสายใจไทย 20,000 บาท 19. นายชัชวาลสามารถหักค่าลดหย่อน (ยกเว้นเงินบริจาค) ได้ตามข้อใด 1. ลดหย่อนผู้มีเงินได้ 60,000 บาท ภริยา 60,000 บาท บุตร 2 คน 60,000 บาท บิดา 30,000 บาท ค่าเบี้ย ประกันชีวิต 60,000 บาท เงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 10,000 บาท เงินสมทบเข้ากองทุน ประกันสังคม 9,000 บาท 2. ลดหย่อนผู้มีเงินได้ 60,000 บาท ภริยา 60,000 บาท บุตร 2 คน 60,000 บาท บิดา 30,000 บาท มารดา 30,000 บาท ค่าเบี้ยประกันชีวิต 60,000 บาท เงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 10,000 บาท เงิน สมทบเข้ากองทุนประกันสังคม 9,000 บาท 3. ลดหย่อนผู้มีเงินได้60,000 บาท ภริยา 60,000 บาท บุตร 2 คน 60,000 บาท บิดา 30,000 บาท ค่าเบี้ย ประกันชีวิต 60,000 บาท เงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 100,000 บาท เงินสมทบเข้ากองทุน ประกันสังคม 9,000 บาท 4. ลดหย่อนผู้มีเงินได้ 60,000 บาท ภริยา 60,000 บาท บุตร 2 คน 60,000 บาท บิดา 30,000 บาท ค่าเบี้ย ประกันชีวิต 60,000 บาท เงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 10,000 บาท เงินสมทบเข้ากองทุน ประกันสังคม 51,000 บาท 20. นายชัชวาลสามารถหักลดหย่อนเงินบริจาคได้ตามข้อใด 1. เงินบริจาคเพื่อสนับสนุนการศึกษา 50,000บาท เงินบริจาคเพื่อการกุศลสาธารณะ 40,000 บาท 2. เงินบริจาคเพื่อสนับสนุนการศึกษา 50,000บาท เงินบริจาคเพื่อการกุศลสาธารณะ 20,000 บาท 3. เงินบริจาคเพื่อสนับสนุนการศึกษา 53,900บาท เงินบริจาคเพื่อการกุศลสาธารณะ 48,510 บาท 4. เงินบริจาคเพื่อสนับสนุนการศึกษา 53,900 บาท เงินบริจาคเพื่อการกุศลสาธารณะ 20,000 บาท


50 แบบสังเกตพฤติกรรมรายบุคคล ผู้ประเมิน นายชัยชาญ บุญซ้อน ประเมินผลครั้งที่ วันที่ เดือน พ.ศ. เรื่อง การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ลำดับ ที่ ชื่อ-สกุล พฤติกรรม ความสนใจ การแสดงความ คิดเห็น การตอบ คำถาม การรับฟังความ คิดเห็น ทำงาน ตามที่ได้รับ มอบหมาย รวม 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 20 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 เกณฑ์การวัดผล ให้คะแนนระดับคุณภาพของแต่ละพฤติกรรมดังนี้ ดีมาก = 4 สนใจฟัง ไม่หลับ ไม่พูดคุยในชั้น มีคำถามที่ดีตอบคำถามถูกต้อง ทำงานส่ง ครบตรงเวลา ดี = 3 สนใจฟัง มีการตั้งคำถามบ้าง ตอบคำถามบ้าง ส่งงานครบตรงเวลา พอใช้ = 2 สนใจฟังบ้างแต่มีการแสดงออกอยู่ในเกณฑ์น้อย ประมาณ 50% ควรปรับปรุง = 1 เข้าชั้นเรียนบ้าง ไม่สนใจฟัง ไม่มีการตั้งคำถาม ไม่ส่งงาน และไม่ตรงเวลา ลงชื่อ………………………………..…………….ผู้สังเกต (………………………………..……….……) ….……..……/………….……/………….


51 แบบประเมินพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม ผู้ประเมิน นายชัยชาญ บุญซ้อน ประเมินผลครั้งที่ วันที่ เดือน พ.ศ. เรื่อง การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คำสั่ง ให้สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนตามพฤติกรรมที่กำหนด คำชี้แจง ให้ผู้สอนประเมินและใส่เครื่องหมาย ลงในช่องที่ตรงกับพฤติกรรมของนักเรียนในแต่ละกลุ่ม หัวข้อเรื่อง พฤติกรรม ลำดับ ที่ ความ ร่วมมือกัน การแสดงความ คิดเห็น ความตั้งใจใน การทำงาน ทำงานเสร็จ ตามเวลา การนำเสนอ ผลงาน รวม 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 20 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 เกณฑ์การวัดผล ให้คะแนนระดับคุณภาพของแต่ละพฤติกรรมดังนี้ ดีมาก = 4 สนใจฟัง ไม่หลับ ไม่พูดคุยในชั้น มีคำถามที่ดีตอบคำถามถูกต้อง ทำงานส่ง ครบตรงเวลา ดี = 3 สนใจฟัง มีการตั้งคำถามบ้าง ตอบคำถามบ้าง ส่งงานครบตรงเวลา พอใช้ = 2 สนใจฟังบ้างแต่มีการแสดงออกอยู่ในเกณฑ์น้อย ประมาณ 50% ควรปรับปรุง = 1 เข้าชั้นเรียนบ้าง ไม่สนใจฟัง ไม่มีการตั้งคำถาม ไม่ส่งงาน และไม่ตรงเวลา ลงชื่อ………………………………..…………….ผู้สังเกต (………………………………..……….……)


52 แบบประเมินคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ชื่อผู้ประเมิน นายชัยชาญ บุญซ้อน ประเมินผลครั้งที่ วันที่ เดือน พ.ศ. เรื่อง การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รหัสวิชา 20201-2005 ชื่อวิชา การบัญชีภาษีเงินได้บุคคล ธรรมดา ระดับชั้น ปวช. แผนก / กลุ่ม……………………………. ความมีมนุษย์สัมพันธ์ ความมีวินัย ความรับผิดชอบ ความซื่อสัตย์สุจริต ความเชื่อมั่นในตนเอง การประหยัด ความสนใจใฝ่รู้ การละเว้นสิ่งเสพติดและการพนัน ความรักสามัคคี ความกตัญญูกตเวที รวม (ในส่วนของผู้สอน) รวมคะแนนที่ได้จากทั้ง ๒ ส่วน ลำดับ ที่ ชื่อ-สกุล 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 10 20 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 ลงชื่อ………………………………..…………….ผู้สังเกต (………………………………..……….……) ….……..……/………….……/………….


53 แบบประเมินคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ชื่อผู้ประเมิน……………………………………………………………. ประเมินผลครั้งที่ วันที่ เดือน พ.ศ. เรื่อง การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รหัสวิชา 20201-2005 ชื่อวิชา การบัญชีภาษีเงินได้บุคคล ธรรมดา ระดับชั้น ปวช. แผนก / กลุ่ม……………………………. ความมีมนุษย์สัมพันธ์ ความมีวินัย ความรับผิดชอบ ความซื่อสัตย์สุจริต ความเชื่อมั่นในตนเอง การประหยัด ความสนใจใฝ่รู้ การละเว้นสิ่งเสพติดและการพนัน ความรักสามัคคี ความกตัญญูกตเวที รวม (ในส่วนของผู้สอน) รวมคะแนนที่ได้จากทั้ง ๒ส่วน ลำดับ ที่ ชื่อ-สกุล 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 10 20 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 ลงชื่อ………………………………..…………….ผู้สังเกต (………………………………..……….……) ….……..……/………….……/………….


54 วิธีการใช้แบบประเมินคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. ในการทำกิจกรรมทุกครั้ง ผู้สอนจะใช้แบบประเมินคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะ อันพึง ประสงค์ทำการสังเกตและประเมินนักศึกษา 2. ในขณะเดียวกัน เพื่อความเที่ยงตรงในการประเมิน ผู้สอนจะมอบแบบประเมินคุณธรรม จริยธรรม และ ค่านิยม คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ซึ่งเป็นชุดเดียวกับของผู้สอนให้หัวหน้าห้องสังเกตและประเมินนักศึกษา 3. คุณลักษณะที่ประเมินตลอดจนพฤติกรรมบ่งชี้ที่ระบุในแบบประเมินคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และ คุณลักษณะอันพึงประสงค์นี้มาจาก กรมอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ที่ ศธ ๐๙๑๑/๓๓๖๓ ลงวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๔ เรื่อง แนวปฏิบัติในการกำกับดูแลการบูรณาการคุณธรรม ที่กำหนดให้ครู อาจารย์ผู้สอนต้อง บูรณาการคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ในทุกรายวิชาโดยให้มีคะแนน 20% เมื่อการ จัดการเรียน การสอนครบทุกรายวิชาตามโครงสร้างของหลักสูตรแล้ว จะต้องมี การบูรณาการ คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ครบ 1 คุณลักษณะ ดังนั้นคุณลักษณะที่ประเมิน ตลอดจนพฤติกรรมบ่งชี้จึงขึ้นอยู่กับสถานศึกษาและผู้สอนเห็นสมควรว่า เหมาะสมกับเนื้อหาวิชาเพียงใด ตัวอย่างที่แสดงมานี้จึงสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ในที่นี้ได้เลือกคุณลักษณะและ พฤติกรรมบ่งชี้ จำนวน 10 ข้อ กำหนดข้อละ 1 คะแนน 4. เมื่อทำการประเมินในแต่ละครั้ง ผู้สอนจะนำคะแนนของนักศึกษาแต่ละคนไปสรุปในแบบรวมคะแนน การประเมินคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตลอดภาคการศึกษา เพื่อดูพัฒนาการของ ผู้เรียน 5. ผู้สอนมอบให้หัวหน้าห้องสรุปคะแนนการประเมินในแต่ละครั้งที่ประเมินลงในแบบรวมคะแนน การ ประเมินคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตลอดภาคการศึกษา 6. หลังจบภาคการศึกษานำหลักฐานคะแนนที่ได้ทั้ง 2 ส่วน คือจากผู้สอนและหัวหน้าห้องไปสรุปลงในแบบ สรุปผลการประเมินคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ในที่นี้ได้แบ่งคะแนนที่ได้จากผู้สอน 10% และจากหัวหน้าห้อง 10% ก็จะได้ผลรวมคะแนนคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 20%


55


วิทยาลัยเทคนิคกาญจนาภิเษก มหานคร ส านักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ


Click to View FlipBook Version