เอกเทศสัญญา 1
เรื่องสัญญาเช่าซื้อ
Hire Purchase
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ
วิทยาเขตพัทลุง
ก
คำนำ
E-Book ฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา
เอกเทศสัญญา 1 ซึ่งได้รวบรวมเนื้อหาเกี่ยวกับสัญญาเช่าซื้อ
โดยคณะผู้จัดทำมุ่งมั่นให้เนื้อหาสาระในเรื่องสัญญาเช่าซื้อ เกิดเป็น
ประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ที่กำลังศึกษาค้นคว้า ทั้งนี้คณะผู้จัดทำได้วาง
หลักกฎหมายและอธิบายเนื้อหาของกฎหมายที่สำคัญเกี่ยวกับ
เรื่องสัญญาเช่าซื้อ เพื่อให้เข้าใจได้ง่าย มีตัวอย่างประกอบและมี
คำพิพากษาศาลฎีกาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเป็นตัวอย่างสำหรับ
ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
หวังว่า E-Book ฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่จะใช้ศึกษา
ค้นคว้าเพิ่มเติมที่จะได้นำเนื้อหาในรายงานฉบับนี้ไปใช้ในการศึกษา
ต่อไปและหวังว่าจะได้รับความรู้ไม่มากก็น้อยใน E-Book ฉบับนี้
ถ้ามีข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย
กลุ่มวันไนท์มิราเคิล
ข
สารบัญ
สัญญาเช่าซื้อ……………………
ทรัพย์สินที่สามารถเช่าซื้อกันได้ 1
ลักษณะของสัญญาเช่าซื้อ 2
การนำบทบัญญัติลักษณะเช่าทรัพย์มาใช้บังคับ 14
ความระงับแห่งสัญญาเช่าซื้อ 22
1. ผู้เช่าซื้อบอดเลิกสัญญา
2. ผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญา
3.สัญญาเช่าระงับด้วยเหตุอื่นๆ
อายุความห้องร้องเกี่ยวกับสัญญาเช่า 55
บรรณานุกรม 56
1
สัญญาเช่าซื้อ
สัญญาเช่าซื้อเป็นเอกเทศสัญญาอย่างหนึ่ง มีบทบัญญัติ
ตั้งแต่มาตรา 572-574 รวม 3 มาตรา
สัญญาเช่าซื้อจะมีลักษณะของสัญญาเช่าทรัพย์ผสมกับค่ามั่น
จะขาย กล่าวคือ เป็นสัญญาซึ่งเจ้าของเอาทรัพย์สินออกให้เช่า
และให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้น หรือว่าจะให้ทรัพย์สินนั้นตก
เป็นสิทธิแก่ผู้เช่าโดยมีเงื่ อนไขที่ผู้เช่าได้ใช้เงินเป็นจำนวนเท่านั้น
เท่านี้คราว ตามมาตรา 572 วรรคหนึ่ง
มาตรา 572 วรรคหนึ่ง วางหลักว่า “อันว่าเช่าซื้อนั้น คือ
สัญญาซึ่งเจ้าของเอาทรัพย์สินออกให้เช่าและให้คำมั่นว่าจะขาย
ทรัพย์สินนั้นหรือว่าจะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่า
โดยเงื่ อนไขที่ผู้เช่าได้ใช้เงินเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้คราว”
ทรัพย์สินที่สามารถเช่าซื้อกันได้
หลัก : สัญญาเช่าซื้อมีได้ในทรัพย์สินทุกประเภท
ยกเว้น : ทรัพย์สินนอกพาณิชย์ ตามมาตรา 143
2
ลักษณะของสัญญาเช่าซื้อ
สัญญาเช่าซื้อมีลักษณะที่สำคัญ ดังนี้
1. เจ้าของเอาทรัพย์สินออกให้เช่า
2. เจ้าของให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินหรือจะให้ทรัพย์สินนั้น
ตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่า
3. โดยมีเงื่อนไขที่ผู้เช่าได้ใช้เงินเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้คราว
1) เจ้าของเอาทรัพย์สินออกให้เช่า
หลัก : ผู้ให้เช่าซื้อต้องเป็นเจ้าของทรัพย์สินจึงจะทำสัญญา
ให้เช่าซื้อได้
ข้อยกเว้น : ผู้ที่จะเป็นเจ้าของทรัพย์สินในอนาคตสามารถทำ
สัญญาให้เช่าซื้อได้
ตัวอย่าง มอคตกลงซื้อรถยนต์ราคา 1 ล้านบาทจาก
สาวเจ้าของบริษัทโตโยต้า โดยมอคได้วางเงินดาวน์
200,000 บาทและกำหนดเงื่อนไขการผ่อนชำระเป็น 72 งวด
งวดละ 15,000 บาท เมื่อใดที่มอคผ่อนชำระเสร็จสิ้นมอคจะ
ได้เป็นเจ้าของรถยนต์คันดังกล่าวนี้
3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 734/2539 วินิจฉัยว่าสัญญาเช่าซื้อ คือ
สัญญาซึ่งเจ้าของเอาทรัพย์สินออกให้เช่าและให้คำมั่นว่าจะขาย
ทรัพย์สินนั้นหรือว่าจะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่าโดย
เงื่อนไขที่ผู้เช่าได้ใช้เงินเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้คราว แต่สัญญา
ฉบับที่โจทก์นำมาฟ้อง สาระสำคัญไม่มีลักษณะที่จำเลยทั้งสอง
นำทรัพย์สินออกให้เช่าและให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้นให้โจทก์
แม้จะระบุว่าเป็นสัญญาเช่าซื้อ แต่สัญญาดังกล่าวก็หาเป็น
สัญญาเช่าซื้อไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2791/2540 สัญญาเช่าซื้อ คือ สัญญา
ที่เจ้าของทรัพย์สินเอาทรัพย์สินออกให้เช่าและให้คำมั่นว่าจะขาย
ทรัพย์สินนั้น ดังนั้น เมื่อโจทก์มีวัตถุประสงค์ ซื้อ ขาย เช่า ให้เช่า
การที่โจทก์ให้จำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถยนต์ของโจทก์จึงเป็นการกระทำ
ภายในขอบวัตถุประสงค์ของโจทก์
4
ถ้าไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สินและไม่มีทางจะเป็นเจ้าของทรัพย์สินได้
จะไม่มีสิทธินำทรัพย์สินไปให้เช่าซื้อ (ฎีกาที่6180/2533)
อย่างไรก็ดี แม้ผู้ให้เช่าซื้อยังไม่ได้เป็นเจ้าของทรัพย์สินที่ให้เช่า
ซื้อในปัจจุบัน แต่อาจเป็นเจ้าของในอนาคตก็อาจทำสัญญาให้เช่าซื้อ
ทรัพย์สินนั้นได้ เป็นการทำสัญญาเช่าซื้อกันไว้ล่วงหน้าโดยเจตนาให้
มีผลบังคับกันได้เมื่อผู้ให้เช่าซื้อเป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้นแล้ว ทั้งนี้
เพราะโดยสภาพของสัญญาเช่าซื้อนั้นกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินย่อม
จะโอนไปยังผู้เช่าซื้อในอนาคต
ตัวอย่าง มอคตกลงซื้อรถยนต์ราคา 1 ล้านบาทจากสาวเจ้าของ
บริษัทโตโยต้า โดยมอคได้วางเงินดาวน์ 200,000 บาทและกำหนด
เงื่อนไขการผ่อนชำระเป็น 72 งวด งวดละ 15,000 บาท เมื่อใดที่มอค
ผ่อนช่าระเสร็จสิ้นมอคจะได้เป็นเจ้าของรถยนต์คันดังกล่าวนี้ ขณะนี้
มอคผ่อนชำระไปได้จำนวน60 งวดแล้ว และต้องการเปลี่ยนรถคันใหม่
จึงนำรถยนต์คันดังกล่าวไปให้หญิงเช่าซื้อต่อ โดยทำสัญญาผ่อน
ชำระกันจำนวน 24 งวด เมื่อใดที่มอคผ่อนชำระเสร็จสิ้นมอคย่อมเป็น
เจ้าของกรรมสิทธิ์จึงสามารถจะทำการโอนกรรมสิทธิ์ในรถให้แก่
หญิงได้ เมื่อหญิงผ่อนชำระเสร็จสิ้นจำนวน 24 งวด จะเห็นได้ว่ามอค
มีจำนวนงวดที่ต้องผ่อนอีกจำนวน 12 งวด ซึ่งเป็นระยะที่สั้นกว่าหญิง
ดังนั้น มอคจึงสามารถเป็นเจ้าของทรัพย์สินในอนาคตได้ก่อนที่
หญิงจะผ่อนชำระเสร็จสิ้น เช่นนี้ มอดจึงเป็นเจ้าของทรัพย์สินใน
อนาคตอันอาจนำทรัพย์สินนั้นออกให้เช่าได้
5
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2058/2520 แม้ขณะทำสัญญา
เช่าซื้อโจทก์ยังไม่ได้เป็นเจ้าของทรัพย์ที่ให้เช่าซื้อก็ตาม แต่จำเลย
ได้ตกลงให้โจทก์ซื้อทรัพย์นั้นมาให้จำเลยเช่าซื้อ เห็นได้ว่าการทำ
สัญญาเช่าซื้อนี้เป็นการทำไว้ล่วงหน้าโดยเจตนาให้มีผลบังคับ
กันในเมื่อเจ้าของทรัพย์ได้ขายทรัพย์ที่จะเช่าซื้อให้โจทก์แล้ว
ทั้งนี้เมื่อทำสัญญาแล้วโจทก์ก็ได้เป็นเจ้าของทรัพย์ดังกล่าวและ
จำเลยก็ได้ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่ บริษัทโจทก์อีกถึง 3 งวดตาม
สัญญาเช่าซื้อ ดังนี้จำเลยต้องผูกพันตามสัญญาเช่าซื้อจำเลยจะ
กลับมาอ้างว่าขณะทำสัญญาโจทก์ไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ที่เช่าซื้อจึง
ไม่มีอำนาจฟ้องหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7404/2547 ตาม ป.พ.พ. มาตรา
572 ผู้มีอำนาจทำสัญญาเช่าซื้อต้องเป็น“ เจ้าของ” แต่โดยสภาพ
ของสัญญาเช่าซื้อกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินย่อมจะโอนไปยังผู้เช่าซื้อ
ในอนาคตหาได้โอนกรรมสิทธิ์ในทันทีขณะทำสัญญาไม่ “เจ้าของ”
จึงหมายถึงผู้มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินขณะทำสัญญาเช่าซื้อและ
หมายรวมถึงผู้ที่จะมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินในอนาคตโดยชอบ
ด้วย
6
ประเด็นปัญหา: สัญญาเช่าซื้อสามารถตั้งตัวแทน
กระทำการแทนได้หรือไม่ และต้องมีการทำเป็น
หนังสือด้วยหรือไม่
สัญญาเช่าซื้อมิใช่กิจการที่ต้องทำเองเป็นการเฉพาะตัว
คู่สัญญา จึงอาจตั้งตัวแทนให้ทำสัญญาเช่าซื้อแทนตนได้ โดย
คู่สัญญาฝ่ายที่ตั้งตัวแทนนั้น จะต้องทำเป็นหนังสือตั้งตัวแทน
ด้วย โดยมีลายมือชื่อของตัวการและตัวแทนเป็นสำคัญด้วย
หากไม่มีการทำเป็นหนังสือหรือไม่มีลายมือชื่อย่อมทำให้สัญญา
เช่าซื้อเป็นโมฆะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 685/2508 วินิจฉัยว่าการเช่าซื้อ
เป็นสัญญาเช่าซื้อจะต้องทำเป็นหนังสือมิฉะนั้นจะเป็นโมฆะ
ดังนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 789
การตั้งตัวแทนให้ทำสัญญาเช่าซื้อจึงต้องทำเป็นหนังสือด้วย โจทก์
มอบหมายให้ผู้จัดการแผนกเข้าทำสัญญาให้เช่าซื้อทรัพย์สินของโจทก์
กับจำเลยโดยมิได้มีหลักฐานการตั้งตัวแทนเป็นหนังสือด้วย โจทก์จะนำ
พยานบุคคลมาสืบแทนว่าโจทก์ได้แต่งตั้งให้ผู้จัดการแผนกเป็นตัวแทน
เข้าทำสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวไม่ได้ การเช่าซื้อดังกล่าวจึงเท่ากับไม่ได้ทำ
เป็นหนังสือจึงตกเป็นโมฆะ
สรุป บุคคลที่เป็นผู้ให้เช่าซื้อได้มีดังนี้
(1) เจ้าของทรัพย์สิน
(2) ผู้ที่จะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์นั้นในอนาคตและอยู่ใน
วิสัยที่จะโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้เช่าซื้อได้
(3) ผู้ได้รับมอบอำนาจจากเจ้าของกรรมสิทธิ์
7
2) เจ้าของให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินหรือจะให้
ทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่า
หลัก: ผู้ให้เช่าเป็นผู้ให้คำมั่น มิใช่ผู้เช่าให้คำมั่น
ตามมาตรา 572 คำมั่นเป็นคำขอที่มุ่งต่อการผูกพันจึงเป็นคำ
เสนอด้วยในตัว แต่จะต่างกันตรงที่คำเสนอเป็นการแสดงเจตนา
ขอให้อีกฝ่ายหนึ่งสนองรับเข้ามาทำสัญญาด้วย แต่คำมั่นนั้นดุจว่า
เป็นคำสนองให้ไว้ล่วงหน้าคล้ายกับสนองรับไว้ก่อน
คำว่า “ ตกเป็นสิทธิ” หมายถึงเมื่อผู้เช่าซื้อชำระเงินให้แก่ผู้ให้
เช่าซื้อครบถ้วนแล้วให้ทรัพย์สินตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้เช่าซื้อหรือ
ผู้เช่าซื้ออาจจะสั่งให้โอนแก่ผู้ใดก็ย่อมเป็นสิทธิของผู้เช่าและ
หากทรัพย์สินที่เช่าซื้อเป็นทรัพย์สินดังต่อไปนี้ คือ
(1) สังหาริมทรัพย์
สังหาริมทรัพย์นั้นจะตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้เช่าซื้อเมื่อผู้
เช่าซื้อชำระราคาครบถ้วนตามข้อตกลงและหาสังหาริมทรัพย์
นั้นต้องมีการจดทะเบียนโอนด้วยเช่นกรณีรถยนต์ผู้ให้เช่าซื้อ
ต้องมีหน้าที่ไปจดทะเบียนโอนรถยนต์เป็นชื่อของผู้เช่าซื้อด้วย
8
ข้อสังเกต การจดทะเบียนการโอนนี้มิใช่แบบของการทำ
สัญญาเช่าซื้อหาก แต่เป็นการเกิดขึ้นภายหลังจากทำสัญญา
เช่าซื้ อและได้มีการชำระราคาเช่าซื้ อครบถ้วนตามเงื่ อนไขที่กำหนด
ไว้เป็นงวดๆ เสร็จสิ้นแล้วเจ้าของทรัพย์สินย่อมต้องดำเนินการ
ทางทะเบียนเพื่อให้มีการจดทะเบียนชื่อผู้เช่าซื้อลงในคู่มือทะเบียน
รถนั่นเอง แต่หากเป็นสังหาริมทรัพย์ชนิดอื่นที่ไม่จำเป็นต้อง
จดทะเบียนการโอนเช่นเช่าซื้อเครื่องกรองน้ำเช่าซื้อคอมพิวเตอร์
เช่นนี้ย่อมไม่ต้องมีการดำเนินการทางทะเบียน แต่ประการใด
ทรัพย์เหล่านี้ย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้เช่าซื้อทันทีที่ชำระค่า
เช่าซื้อเสร็จสิ้นนั่นเอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 423/2528 เมื่อผู้เช่าซื้อได้ใช้เงินค่า
เช่าซื้อครบถ้วนตามที่กำหนดไว้ในสัญญาแล้วกรรมสิทธิ์ใน
ทรัพย์สินที่เช่าซื้อ (รถยนต์) ย่อมตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่าซื้อโดยผล
ของกฎหมายแม้สัญญาเช่าซื้อจะมิได้ระบุข้อความดังกล่าวก็หา
ขัดต่อ ป.พ.พ. มาตรา 572 ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 503/2529 แม้โจทก์จะได้เป็นเจ้าของ
กรรมสิทธิ์รถที่เช่าซื้อเพราะได้ชำระค่าเช่าซื้อให้จำเลยครบถ้วนแล้ว
แต่เมื่อสัญญาเช่าซื้อกำหนดให้จำเลยจัดการโอนทางทะเบียนแก่
โจทก์ด้วยการที่จำเลยไม่ได้ดำเนินการให้จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิด
สัญญา
9
(2) อสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ
เมื่อผู้เช่าซื้อได้ชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนตามสัญญาแล้ว
และกรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้นได้โอนโดยผลของกฎหมาย
ตามมาตรา 572 วรรคหนึ่ง แต่การได้มายังไม่มี
ผลสมบูรณ์ผู้ให้เช่าซื้อยังคงมีหน้าที่ไปดำเนินการ
จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้เช่าซื้อด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2930/2530 แม้ผู้ร้องทำสัญญาเช่าซื้อที่ดิน
พิพาทจากส. และชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้วก่อนที่ ส. จะนำที่ดิน
ดังกล่าวมาวางศาลเป็นประกันการชำระหนี้ของจำเลยเพื่อขอทุเลา
การบังคับ แต่สิทธิของผู้ร้องเป็นเพียงบุคคลสิทธิซึ่งหาก ส. ผิด
สัญญาเช่าซื้อก็เป็นกรณีที่ผู้ร้องต้องว่ากล่าวบังคับเอากับ ส.
เมื่อ ส. ยังมิได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจึงยังไม่ตก
เป็นของผู้ร้องโดยสมบูรณ์ตามกฎหมาย ส. ยังคงเป็นเจ้าของที่ดิน
อยู่โจทก์ชนะคดีแล้วยึดที่ดินพิพาทออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่
โจทก์ได้ผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยที่ดินพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15303/2558 การที่โจทก์ชำระค่าเช่าซื้อให้
แก่จำเลยครบถ้วนแล้วแม้กรรมสิทธิ์ในห้องชุดตกเป็นของโจทก์โดย
ผลของกฎหมายตาม ป.พ.พ. มาตรา 572 วรรคหนึ่งแล้วก็ตาม
แต่ห้องชุดเป็นอสังหาริมทรัพย์ซึ่งการได้มาโดยนิติกรรมย่อมไม่
บริบูรณ์เว้นแต่จะได้ทำเป็นหนังสือและได้จดทะเบียนการได้มาต่อ
พนักงานเจ้าหน้าที่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคหนึ่งโจทก์ยังต้อง
มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุดในทางทะเบียนด้วยเพราะไม่เช่นนั้น
ย่อมไม่อาจที่จะใช้สอยห้องชุดในฐานะเป็นเจ้าของทรัพย์สินอย่าง
สมบูรณ์ได้ จำเลยจึงมีหน้าที่โอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดในทางทะเบียนให้
แก่โจทก์
10
เป็นที่น่าสังเกตว่า ห้องชุดเป็นอสังหาริมทรัพย์ เมื่อ
ผู้เช่าซื้อได้ชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้วย่อมเป็นไปตามมาตรา 572
วรรคหนึ่งที่เจ้าของให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินให้หรือให้ตกเป็น
สิทธิแลผู้เช่าซื้อเช่นนี้จึงถือว่าเป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์
โดยทางนิติกรรมตามมาตรา 1299 วรรคหนึ่งแม้ตามกฎหมาย
แล้วกรรมสิทธิ์จะโอนมาโดยผลทางกฎหมาย แต่อย่างไรก็ดี
ผู้ให้เช่าซื้อยังคงมีหน้าที่ต้องไปทำการจดทะเบียนให้แก่ผู้เช่าซื้อ
เพราะอสังหาริมทรัพย์นั้นเป็นทรัพย์ที่มีทะเบียนนั่นเองเพราะ
หากไม่ได้ดำเนินการทางทะเบียนให้เรียบร้อยสิทธิที่ได้มาย่อม
ไม่บริบูรณ์นั่นเอง ทั้งนี้ พิจารณาได้จากมาตรา 572 วรรคหนึ่งที่ได้
วางหลักว่าสัญญาเช่าซื้อคือสัญญาเช่าทรัพย์บวกคำมั่นจะขายให้
นั่นเอง
11
คำว่า“ ให้คำมั่นว่าจะขาย” นั้นภายหลังมีการซื้อขายกัน
แล้วผู้ให้เช่าซื้อซึ่งกลายเป็นผู้ขายภายหลังก็ย่อมจะต้องโอน
กรรมสิทธิ์ส่งมอบทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อและจะต้องปฏิบัติตาม
บทบัญญัติซื้อขายกันต่อไปดังนั้นเมื่อชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนย่อม
เป็นเรื่องของสัญญาซื้อขายต่อจึงย่อมดำเนินการตามลักษณะ
ของสัญญาซื้อขายและย่อมพิจารณาจากทรัพย์แต่ละประเภท
ต่อไป นอกจากนี้การที่ผู้ให้เช่าซื้อให้คำมั่นว่าจะขายและคำมั่น
ว่าจะขายจะต้องมีขึ้นในขณะที่ทำสัญญาเท่านั้นไม่ใช่มาตกลงกัน
ในภายหลังเป็นสัญญาอีกอันหนึ่งย่อมไม่เป็นสัญญาเช่าซื้อ
แต่เป็นคำมั่นตามมาตรา 454 เว้นแต่เป็นเรื่องตกลงกันแก้ไข
เปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมสัญญาเดิมที่ได้ทำไปแล้วนั้น (มาตรา 149)
ซึ่งก็ถือว่าเป็นข้อตกลงในสัญญาเช่าเดิมเป็นสัญญาเช่าซื้อได้
เช่นกัน
12
3) โดยมีเงื่อนไขที่ผู้เช่าได้ใช้เงินเป็น
จำนวนเท่านั้นเท่านี้คราว
จำนวนคราวไม่ใช่จำนวนเงินหาก แต่เป็นจำนวนแต่ละงวด
ในการกำหนดเพื่อให้ผู้เช่าซื้อชำระค่าเช่าซื้อเช่นกำหนด 24 งวด
ในแต่ละงวดให้ชำระทุกวันที่ 5 ของเดือนเป็นต้นแม้ในกรณีที่
คู่สัญญาตกลงชำระเงินกันคราวเดียวแม้ทางปฏิบัติไม่ทำกันก็ตาม
แต่โดยหลักย่อมปฏิบัติกันได้
ตัวอย่าง วันที่ 5 มกราคม 2564 สาวตกลงให้หนุ่มเช่า (ไม่ใช่
ตกลงขาย) รถยนต์ของสาวโดยหนุ่มยังไม่ได้ชำระค่าเช่าหรือ
มอบเงินให้และสาวให้คำมั่นแก่หนุ่มว่าจะให้รถยนต์คันนั้นตกเป็น
สิทธิแก่หนุ่มถ้าหนุ่มชำระเงินแก่สาว 100,000 บาทภายในวันที่ 5
มิถุนายน 2564 หนุ่มจะตกลงซื้อรถยนต์คันนั้นตามคำมั่นของสาว
หรือไม่ก็ตามดังนี้สัญญาระหว่างสาวกับหนุ่มเป็นสัญญาเช่าซื้อ
ตามมาตรา 572 ไม่ใช่สัญญาซื้อขายตามมาตรา 453 ถ้าหนุ่มชำระ
เงิน 100,000 บาทภายในกำหนดรถยนต์ก็ตกเป็นสิทธิแก่หนุ่ม
ผู้เช่าถ้าหนุ่มไม่ชำระเงิน 100,000 บาทภายในกำหนดรถยนต์ก็ไม่
ตกเป็นสิทธิแก่หนุ่ม แต่หนุ่มผู้เช่าจะบอกเลิกสัญญาในเวลาใด
เวลาหนึ่งก็ได้ด้วยการส่งมอบรถยนต์คืนให้แก่สาวโดยเสียค่าใช้
จ่ายของหนุ่มเอง (มาตรา 573) แต่ถ้าไม่ชำระเงิน 100,000 บาท
ภายในกำหนดก็ย่อมถือว่าหนุ่มผิดนัดไม่ชำระเงิน(ซึ่งต้องถือว่า
เป็นการผิดนัดไม่ชำระเงินซึ่งเป็นคราวที่สุด เพราะอยู่เพียงงวด
เดียวคราวเดียว) สาวจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ถ้าบอกเลิก
สัญญาแล้วจะเรียกค่าเช่าที่ค้างไม่ได้ แต่เรียกเป็นค่าเสียหายซึ่ง
รวมทั้งค่าที่ได้ขาดการใช้รถยนต์นั้นด้วย (มาตรา 391 วรรคสาม)
(ฎีกาที่ 1195/2511, 601/2513) และเงินที่ต้องใช้แต่ละงวดนั้น
อาจไม่เท่ากันก็ได้
13
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5591/2543 สัญญามีข้อความระบุ
ว่าหนังสือสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไขโดยตกลงในข้อ 1 ว่าผู้จะขาย
ตกลงจะขายและผู้จะซื้อตกลงจะซื้อรถยนต์พิพาทในราคา
1,235,680 บาทในวันทำสัญญาจะซื้อได้ชำระเงินค่าสินค้าให้แก่
ผู้จะขายแล้ว 70,000 บาทส่วนที่ยังค้างอยู่อีก 1,235,680 บาท
ผู้จะซื้อสัญญาว่าจะชำระให้แก่ผู้จะขายเป็นงวดทุก ๆเดือนงวดละ
48,570 บาท ณ สำนักงานของผู้จะขายให้เสร็จสิ้นภายในกำหนด
24 เดือนและข้อ 5 ระบุว่าสัญญาซื้อขายตามข้อความแห่งสัญญา
จะมีผลสมบูรณ์ให้กรรมสิทธิ์ตกเป็นของผู้ซื้อต่อเมื่อผู้จะซื้อปฏิบัติ
ตามข้อความในสัญญานี้ทั้งหมดแล้วและผู้จะขายมีสิทธิจะบอกเลิก
สัญญาและเรียกทรัพย์สินได้เมื่อผู้จะซื้อไม่ปฏิบัติตามสัญญานี้ไม่
ว่าข้อหนึ่งข้อใดก็ตามเห็นว่าสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาซื้อขายมี
เงื่ อนไขไม่มีข้อความแสดงให้เห็นว่าเป็นสัญญาเช่าซื้อที่เจ้าของ
ทรัพย์เอาทรัพย์สินออกให้เช่าและให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สิน
หรือจะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่าโดยเงื่อนไขที่ผู้เช่า
ได้ใช้เงินเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้คราวส่วนสัญญาข้อ 9 ที่ระบุว่า
หากผู้จะซื้อผิดนัดไม่ชำระราคาสินค้าตามงวดหนึ่งงวดใด ฯลฯ ผู้จะ
ซื้อยอมให้ถือว่าสัญญานี้เป็นอันเลิกกันทันทีตั้งแต่วาระนั้นโดยไม่
จำต้องบอกกล่าวและมีสิทธิเอารถยนต์ที่จะซื้อคืนโดยไม่ต้องคืน
เงินที่ผู้จะซื้อชำระแล้วนั้นเป็นข้อตกลงโดยความสมัครใจของคู่
สัญญาและเป็นการรักษาผลประโยชน์ของผู้ขายมิให้เสียหายเกิน
กว่าความจำเป็นเมื่อผู้ซื้อผิดสัญญาเท่านั้นหาทำให้สัญญาซื้อขาย
โดยมีเงื่ อนไขกลับกลายเป็นสัญญาเช่าซื้ อไม่
ส่วน “ค่าเช่าซื้อ” นั้นมาตรา 572 ได้กำหนดว่าต้องชำระเป็น
เงินเท่านั้น แต่ถ้าหากมีการชำระด้วยตราสารเช่นเช็คหรือตั๋วแลก
เงินก็ย่อมมีผลเช่นเดียวกันเพราะผู้ให้เช่าซื้อสามารถนำไปขึ้นเงิน
ได้
14
การนำบทบัญญัติลักษณะเช่าทรัพย์
มาใช้บังคับ
เนื่องจากสัญญาเช่าซื้อประกอบด้วยสัญญาเช่าทรัพย์กับ
คำมั่นว่าจะขายจึงต้องนำบทบัญญัติในเรื่องเช่าทรัพย์มาใช้โดย
อนุโลมทั้งในเรื่องของการส่งมอบการซ่อมแซมทรัพย์สิน
ความรับผิดในการชำรุดบกพร่องหรือการรอนสิทธิหน้าที่ความผิด
ของผู้ให้เช่าซื้อและผู้เช่าซื้อเป็นต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3943/2533 วินิจฉัยว่า แม้ตามสัญญา
เช่าซื้อรถแทรกเตอร์คันพิพาทระบุว่าผู้เช่าซื้อจะออกค่าใช้จ่ายทุก
อย่างในการใช้และการซ่อมรถที่เช่าซื้อเอง แต่ค่าซ่อมในที่นี้
หมายถึงการซ่อมแซมทั่ว ๆไปที่อาจซ่อมแซมได้การที่จำเลยใช้
รถแทรกเตอร์คนพิพาทได้เพียง 1 เดือนเครื่องยนต์เสียต้อง
เปลี่ยนอะไหล่โจทก์ซึ่งเป็นผู้แทนจำหน่ายรถแทรกเตอร์คนพิพาท
แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยไม่สามารถหาอะไหล่ได้เพราะต้องสั่ง
จากต่างประเทศถือได้ว่าจำเลยเช่าซื้อรถพิพาทไม่สามารถใช้หรือ
รับประโยชน์จากรถแทรกเตอร์ตามวัตถุประสงค์แห่งสัญญาเช่าซื้อ
ได้จําเลยจึงมีสิทธิไม่ชำระค่าเช่าซื้อและไม่ถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิด
สัญญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 635/2536 วินิจฉัยว่าเมื่อโจทก์เช่าซื้อ
รถยนต์คันพิพาทจากจําเลยแล้วโจทก์ได้ทำการซ่อมแซมรถหลาย
รายการ เช่น เปลี่ยนเฟืองท้าย โช้คอัพ เพลากลาง การซ่อมแซม
ดังกล่าวมิใช่ค่าใช้จ่ายเพื่อบำรุงรักษาตามปกติและเพื่อซ่อมแซม
เล็กน้อย แต่เป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นและสมควรเพื่อรักษารถคัน
พิพาทให้อยู่ในสภาพที่ใช้การได้จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้แก่โจทก์
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 547
15
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4974/2545 จำเลยเป็นผู้ให้เช่าซื้อ
รถยนต์ย่อมมีหน้าที่ต้องส่งมอบสำเนาทะเบียนรถยนต์และ
แผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ให้แก่โจทก์ผู้ให้เช่าซื้อเพราะสำเนา
ทะเบียนรถยนต์และแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์เป็นสาระสำคัญ
ในการใช้รถ (จำเลยส่งมอบรถยนต์โดยไม่มีสิ่งดังกล่าว )
จึงเป็นการส่งมอบรถยนต์ตามสัญญาเช่าซื้อโดยรถยนต์ไม่มี
สภาพเหมาะสมจะใช้งานได้ตามประโยชน์ที่มุ่งหมาย
โดยสัญญาจำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ตามมาตรา 372
ประกอบมาตรา 549 จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อ
จะอ้างเหตุอันเกิดจาก บริษัท ภายนอกว่ายังไม่โอนทะเบียน
ให้จำเลยไม่ได้โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและไม่ชำระค่า
เช่าซื้อได้ตามมาตรา 369
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2767/2560 สัญญาเช่าซื้อเป็นสัญญา
เช่าประเภทหนึ่งที่มีคำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์
ของผู้เช่าโจทก์ในฐานะผู้ให้เช่าซื้อจึงมีหน้าที่ต้องส่งมอบทรัพย์สิน
เช่าซื้อให้แก่ผู้เช่าซื้อได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ในสภาพที่เรียบร้อย
และสมบูรณ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 557 และมาตรา 572 โดยไม่อาจ
อ้างวิธีการทำธุรกรรมหรือการได้มาของรถที่โจทก์นำมาให้เช่าซื้อ
นั้นมาปฏิเสธความรับผิดเนื่องจากโจทก์มีฐานะเป็นเจ้าของ
กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ตามสัญญาเช่าซื้อเมื่อโจทก์ส่งมอบรถยนต์ที่
เช่าซื้อให้แก่จำเลยที่ 1 โดยรถยนต์มีความชำรุดบกพร่องไม่มี
ความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งหมายจะใช้เป็นปกติโจทก์จึงเป็น
ฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อตาม ป.พ.พ. มาตรา 472 และมาตรา 549
16
ข้อสังเกตเพิ่มเติม
(1) สัญญาเช่าซื้อจะมีข้อแตกต่างกับสัญญาอื่น ๆ
เช่น กรณีสัญญาเช่าซื้อกับสัญญาเช่าทรัพย์
สัญญาเช่าทรัพย์: เป็นสัญญาที่ถือเอาคุณสมบัติของผู้เช่าเป็น
สำคัญถ้าผู้เช่าตายสัญญาเช่าจะระงับ
สัญญาเช่าซื้อ: เป็นสัญญาที่เป็นสิทธิในทางทรัพย์สิน ถ้าผู้เช่าซื้อ
ตาย สัญญาเช่าซื้อไม่ระงับจะตกทอดไปยังทายาท (สัญญาเช่าซื้อสิทธิที่
จะได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินมิใช่เป็นการเฉพาะตัวจึงตกทอดยังทายาท
ได้ (ฎีกาที่ 2578-2579 / 2515) ในสัญญาเช่าซื้อวัตถุประสงค์แห่ง
สัญญามิได้อยู่ที่เฉพาะการใช้หรือการได้รับประโยชน์ในทรัพย์สินที่เช่า
เท่านั้น เมื่อผู้เช่าซื้อชำระเงินค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้ว ก็ต้องการได้รับ
โอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เช่าซื้อด้วยและสิทธินี้ไม่ใช่สิทธิเฉพาะตัว
ดังนั้นเมื่อผู้เช่าซื้อตาย ทายาทของผู้เช่าซื้อจึงสืบสิทธิของผู้เช่าซื้อได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2578-2579 / 2515 สัญญาเช่าซื้อมิใช่
สัญญาเช่าธรรมดา แต่มีคำมั่นว่าจะขายทรัพย์โดยมีเงื่อนไขการชำระเงิน
กันเป็นครั้งคราวรวมอยู่ด้วย ถ้าผู้เช่าซื้อชำระเงินแก่ผู้ให้เช่าซื้อครบถ้วน
ตามเงื่อนไข ก็ได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นซึ่งสิทธิที่จะได้กรรมสิทธิ์ใน
ทรัพย์สินนี้มิใช่สิทธิเฉพาะตัว สัญญาเช่าซื้อจึงมีผลที่อาจสืบสิทธิกันได้
เมื่อผู้เช่าซื้อตาย ทายาทจึงสืบสิทธิของผู้เช่าซื้อได้
17
(2) สัญญาเช่าซื้อแตกต่างกับสัญญาซื้อขายผ่อนส่งและ
สัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข
(2.1) สัญญาเช่าซื้อ ผู้เช่าซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้โดยไม่ต้อง
มีฝ่ายใดผิดสัญญาส่วนสัญญาซื้อขายผ่อนส่งหรือสัญญาซื้อขาย
มีเงื่ อนไขหากไม่มีการผิดสัญญาคู่สัญญาจะบอกเลิกสัญญาไม่ได้
(2.2) สัญญาเช่าซื้อ ต้องทำเป็นหนังสือ ส่วนสัญญาซื้อขายผ่อน
ส่งหรือสัญญาซื้ อขายมีเงื่ อนไขขึ้นอยู่กับประเภทของทรัพย์สิน
ที่ซื้อขาย
3) ความคล้ายคลึงกันของสัญญาระหว่างเช่าซื้อ
ซื้ อขายเงินผ่อนซื้ อขายมีเงื่ อนไขคือเป็นสัญญาต่าง
ตอบแทนที่มีการส่งมอบทรัพย์ให้อีกฝ่ายหนึ่งและจะได้รับ
การชำระราคาเป็นการตอบแทนซึ่งราคานั้นมักจะกำหนด
เป็นงวด ๆ คล้าย ๆ กัน
18
แบบของสัญญาเช่าซื้อ
มาตรา 572 วรรคสอง วางหลักว่า "สัญญาเช่าซื้อนั้น ถ้า
ไม่ทำเป็นหนังสือ ตกเป็นโมฆะ”
หลัก : สัญญาเช่าซื้อในทรัพย์ส
ินทุกชนิด ต้องทำเป็นหนังสือ
มิฉะนั้นเป็นโมฆะ
"ต้องทำเป็นหนังสือ" หมายความว่า คู่สัญญาต้องลงลาย
มือชื่อในสัญญาทั้งสองฝ่าย ถ้าฝ่ายใดมิได้ลงลายมือชื่อจะถือว่า
ฝ่ายนั้นทำหนังสือด้วยมิได้ แต่ไม่จำเป็นต้องลงลายมือชื่อใน
วันเดียวกันก็ได้ ก็ถือว่าสัญญาเช่าซื้อสมบูรณ์ เช่น ผู้เช่าซื้อลง
ลายมือในสัญญาฝ่ายเดียว สัญญาเช่าซื้อย่อมตกเป็นโมฆะ(ฎีกาที่
1800/2511)
ตัวอย่าง มอคเช่าซื้อรถยนต์จากสาวโดยตกลงชำระค่าเช่าซื้อ
ทุกวันที่ 5 เป็นเวลา 24 เดือน ทั้งคู่ได้ลงลายมือชื่อในสัญญาแล้ว
เช่นนี้ สัญญาเช่าซื้อรถยนต์มีผลสมบูรณ์ ในทางกลับกันหากมอค
ได้ลงลายชื่อแต่สาวกลับลืมลงลายมือชื่อ เช่นนี้ สัญญาเช่าซื้อ
ตกเป็นโมฆะ แม้มอคจะผ่อนชำระจนเสร็จสิ้นย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์
ในรถยนต์ เพราะสัญญาไม่มีผลมาตั้งแต่ต้นนั่นเอง
19
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1453/2530 บทบัญญัติ
มาตรา 572 วรรคสอง ไม่ได้ระบุแต่อย่างใด ว่าคู่
สัญญาเช่าซื้อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายต้อง
ลงชื่อในวันทำสัญญา เมื่อคู่สัญญาลงชื่อในสัญญา
เช่าซื้อทั้งสองฝ่าย ย่อมถือได้ว่าสัญญาเช่าซื้อได้ทำเป็น
หนังสือแล้วการที่ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ลงชื่อใน
สัญญาเช่าซื้อภายหลังจากวันทำสัญญาเช่าซื้อนั้น
สัญญาย่อมสมบูรณ์ตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4108/2540 วินิจฉัยว่า ตาม ป.พ.พ.
มาตรา 572 วรรคสอง ที่กำหนดให้สัญญาเช่าซื้อต้องทำเป็น
หนังสือมิฉะนั้นเป็นโมฆะนั้น หมายถึงเจ้าของทรัพย์สินผู้ให้
เช่าซื้อและผู้เช่าซื้อจะต้องลงลายมือชื่อในสัญญาเช่าซื้อด้วย
กันทั้งสองฝ่าย สัญญาเช่าซื้อจึงจะมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย
เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์สินผู้ให้เช่าซื้อมีกรรมการของบริษัท
โจทก์ลงลายมือชื่อในสัญญาเช่าซื้ออันไม่มีผลสมบูรณ์เป็น
ลายมือชื่อของโจทก์ ถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้ลงชื่อในสัญญาเช่าซื้อ
สัญญาดังกล่าวจึงเป็นโมมะ แม้ต่อมาโจทก์จะยอมรับเข้าถือ
ประโยชน์ตามสัญญาเช่าซื้อก็ไม่อาจถือได้ว่าโจทก์ลงชื่อเป็น
คู่สัญญากับจำเลยที่ 1 อันจะทำให้สัญญาเช่าซื้อซึ่งเป็นโมฆะ
กลับเป็นสัญญาเช่าซื้อที่มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายได้ โจทก์จึง
ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดตามสัญญาเช่าซื้อได้
20
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5746/2559 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 572
วรรคสอง บัญญัติให้สัญญาเช่าซื้อต้องทำเป็นหนังสือหมายถึงว่าผู้ให้
เช่าซื้อและผู้เซ่าซื้อจะต้องลงลายมือชื่อในสัญญาเช่าซื้อด้วยกันทั้ง
สองฝ่าย สัญญาเช่าซื้อจึงจะมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ตามข้อเท็จ
จริงนี้ปรากฏว่า ขณะคู่สัญญาเช่าซื้อทั้งสองฝ่ายลงนามในสัญญาเช่าซื้อ
โดยโจทก์ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าซื้อมีกรรมการของบริษัทโจทก์ลงลายมือซื่อของ
โจทก์ ถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้ลงลายมือชื่อในสัญญาเช่าซื้อ สัญญาเช่าซื้อจึง
เป็นโมฆะ
แม้ต่อมาโจทก์จะได้ยอมรับเข้าถือเอาประโยชน์ตามสัญญาเช่า
ซื้อด้วยการใช้ตราประทับในชื่อใหม่ของโจทก์มาประทับในสัญญาเช่า
ซื้อก็ไม่อาจถือได้ว่าโจทก์ลงชื่อเป็นคู่สัญญากับจำเลยอันจะทำให้
สัญญาเช่าซื้อซึ่งเป็นโมฆะกลับเป็นสัญญาเช่าซื้อที่สมบูรณ์ตาม
กฎหมายได้เพราะโมฆะกรรมนั้นไม่อาจให้สัตยาบันแก่กันได้ตาม
ป.พ.พ. มาตรา172 โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญา
เช่าซื้อได้
21
ผลของสัญญาเช่าซื้อที่ตกเป็นโมฆะ
สัญญาเช่าซื้อที่ตกเป็นโมฆะ มีผลทำให้สัญญานั้นเสียเปล่าไม่เกิด
ผลในทางกฎหมายเสมือนหนึ่งมิได้ทำสัญญาใดๆ ต่อกันเลย ฉะนั้น
ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะเรียกร้องให้อีกฝ่ายปฏิบัติตามสัญญากันมิได้หรือ
จะให้สัตยาบันรับรองกันในภายหลังก็ไม่ได้ หากมีการส่งมอบ
ทรัพย์สินหรือมีการชำระราคากันไปแล้ว คู่กรณีอาจเรียกคืนได้ฐาน
ลาภมิควรได้ (ป.พ.พ. มาตรา 172 วรรคท้าย) โดยผู้เช่าซื้อต้องคืน
ทรัพย์ที่เช่าซื้อ ส่วนผู้ให้เช่าซื้อต้องคืนเงินที่รับมาให้ผู้เช่าซื้อทั้งหมด
โดยไม่มีดอกเบี้ย(ฎีกาที่ 1799/2563)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1799/2563 สัญญาเช่าซื้อเป็นโมฆะ
โจทก์ไม่อาจอ้างเป็นเหตุให้ฟ้องเรียกค่าเสียหายได้ เพราะโมฆะกรรม
ถือว่าเสียเปล่ามาแต่เริ่มแรกเสมือนหนึ่งว่าไม่เคยมีการทำสัญญากัน
และหากจะต้องมีการคืนทรัพย์จำต้องนำบทบัญญัติว่าด้วยลาภ
มิควรได้มาใช้บังคับตามมาตรา 172 วรรคสอง อันมีผลทำให้จำเลย
จะต้องส่งมอบรถแทรกเตอร์กลับคืนให้แก่โจทก์และโจทก์มีหน้าที่
ต้องคืนเงินที่รับมาจากจำเลยไปแล้วทั้งหมดแก่จำเลย
การคืนทรัพย์สินอันเกิดจากโมฆะกรรมซึ่งเป็นเงินจำนวนหนึ่งนั้น
ไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติให้ต้องคืนพร้อมดอกเบี้ยและจำเลยมิได้
ฟ้องแย้งหรือมีคำขอให้โจทก์ต้องรับผิดคืนเงินพร้อมดอกเบี้ย
ศาลย่อมไม่อาจพิพากษาให้โจทก์ชำระดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่โจทก์
จะต้องคืนแก่จำเลยได้
22
ความระงับแห่งสัญญาเช่าซื้อ
สัญญาเช่าซื้อสามารถระงับสิ้นด้วยเหตุ ดังนี้
1. ผู้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญา
2. ผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญา
3. ระงับด้วยเหตุอื่นๆ
1) ผู้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญา
มาตรา 573 วางหลักว่า "ผู้เช่าจะบอกเลิกสัญญาในเวลาใดเวลาหนึ่ง
ก็ได้ ด้วยการส่งมอบทรัพย์สินกลับคืนให้แก่เจ้าของโดยเสียค่าใช้จ่ายของ
ตนเอง"
มาตรา 573 กำหนดให้ผู้เช่าซื้อสามารถบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้เสมอโดย
ไม่ต้องคำนึงว่าจะมีการผิดสัญญาหรือไม่ก็ตาม ซึ่งเป็นผลของกฎหมายที่
ให้สิทธิไว้ แม้จะไม่ได้ระบุไว้ในสัญญาก็ตาม
23
วิธีการบอกเลิกสัญญา
หลัก : ผู้เช่าซื้อต้องบอกเลิกสัญญาด้วยการส่งมอบทรัพย์สินที่
เช่าซื้อคืนแก่เจ้าของโดยเสียค่าใช้จ่ายเอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3149/2530 โจทก์เป็นผู้เช่าซี้อรถยนต์
จากจำเลย หากโจทก์จะบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อก็อาจทำได้ด้วยการ
ส่งมอบรถยนต์คืนจำเลย การที่โจทก็บอกกล่าวเลิกสัญญาโดยยัง
ครอบครองรถยนต์คันที่เช่าซื้ออยู่ การบอกเลิกสัญญาของโจทก์
ไม่ชอบด้วย ป.พ.พ. มาตรา 573
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 129/2534 เมื่อจำเลยได้ส่งมอบรถยนต์
เช่าซื้อกลับคืนให้แก่โจทก์ผู้ให้เช่าซื้อแล้ว ถือว่าจำเลยบอกเลิก
สัญญาแก่โจทก์ ดังนั้น ไม่ว่าการแปลงหนี้ใหม่ระหว่างโจทก์กับ
จำเลยจะทำถูกต้องหรือไม่ สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยก็
เป็นอันเลิกกันตามมาตรา 573
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 73/2522 โจทก์ไม่ได้ไช้รถยนต์ตาม
สัญญาเช่าซื้อเพราะตำรวจยึดไปสอบสวนกรณีรถนั้นถูกลักมา
เป็นการผิดวัตถุประสงค์ของการเช่าซื้อ โจทก์บอกเลิกสัญญาได้
โดยไม่ต้องคืนรถแก่จำเลยผู้ให้เช่าซื้อ แม้จำเลยมิได้ประมาท
เลินเล่อในการที่ถูกตำรวจยึดรถไปจำเลยจะอ้างว่าโจทก์เป็นฝ่าย
ผิดนัดไม่ชำระค่าเซ่าซื้อและบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อแก่โจทก์ซ้ำอีก
ย่อมไม่เกิดผลแต่อย่างใด
24
เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกัน คู่สัญญาต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม
สำหรับเงินจำนวน 40,000 บาทที่โจทก์ชำระแก่จำเลยในวันทำ
สัญญาเช่าซื้อ แมัสัญญาจะระบุให้เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยเด็ดขาด
แต่จำนวนเงินดังกล่าวเป็นเงินที่โจทก์มอบเพื่อตอบแทนในการที่
จำเลยมอบรถยนต์ให้โจทก์ใช้ประโยชน์ เมื่อรถยนต์ถูกยึดไปโดยมิใช่
ความผิดของโจทก์และโจทก์ไม่ได้ใช้รถยนต์ตามสัญญาครบถ้วน
จำเลยจึงต้องคืนเงินดังกล่าวแก่โจทก์ แต่โจทได้ใช้รถยนต์ชั่วระยะ
หนึ่ง จึงควรชำระตอบแทนที่ได้รับประโยชน์จากการใช้รถยนต์พิพาท
ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4974/2545 โจทก์ทวงถามสำเนาทะเบียน
รถยนต์และแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ จำเลยไม่สามารถดำเนินการให้ได้
จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาเพราะไม่สามารถจัดการแก้ไขให้รถยนต์ที่เช่าซื้ออยู่
ในสภาพที่ใช้งานได้ตามประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญา โจทก์ย่อมมีสิทธิ
บอกเลิกสัญญาได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 387 ถือว่าโจทก์บอกเลิกสัญญา
เช่าซื้อโดยชอบแล้ว โดยโจทก์ไม่จำต้องส่งมอบรถยนต์คืนจำเลยก่อน
เนื่องจากการบอกเลิกสัญญาโดยการส่งมอบรถยนต์คืนให้แก่เจ้าของ
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 573 นั้นเป็นบทบัญญัให้สิทธิผู้เช่าซื้อเลิกสัญญาใน
กรณีที่ไม่มีการผิดสัญญา ฉะนั้นเมื่อสัญญาเลิกโดยชอบแล้ว คู่สัญญา
แต่ละฝ่ายจำต้องให้คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 โจยโจทก์ต้องคืนรถยนต์ให้จำเลยและต้องใช้เงิน
ค่าแห่งการใช้สอยรถยนต์ให้แก่จำเลยด้วย ส่วนจำเลยต้องคืนค่าเช่าซื้อ
แก่โจทก์
25
ข้อสังเกตเพิ่มเติมเกี่ยวกับการบอกเลิก
สัญญาของผู้เช่าซื้อ
(1) การที่ผู้เช่าซื้อนำรถยนต์ไปให้ผู้ให้เช่าซื้อดำเนินการโอนสิทธิ
ตามสัญญาเช่าซื้ อให้ผู้อื่ นถือว่าเป็นการบอกเลิกสัญญาตามมาตรา
573 แล้ว แม้ภายหลังบริษัทผู้ให้เช่าซื้อจะไม่อนุมัติให้เปลี่ยนตัว
ผู้เช่าซื้อก็ตาม กรณีเช่นนี้ผู้ให้เช่าซื้อจึงไม่มีสิทธิฟ้องให้ผู้เช่าซื้อรับ
ผิดตามสัญญาเช่าซื้ออีกเพราะผู้เช่าซื้อมิได้ผิดสัญญาเช่าซื้อ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7024/2548 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์
กับโจทก์โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์
เรื่อยมา จนถึงงวดที่ 5 จำเลยที่ 1ได้ติดต่อกับ พ. พนักงานของโจทก์
ณ ที่ทำการของโจทก์ว่าจะเปลี่ยนสัญญาเช่าซื้อใหม่ โดยให้ ย. เป็นผู้เช่าซื้อ
และให้ ก. เป็นผู้ค้ำประกันแทนจำเลยทั้งสอง พ. จึงให้จำเลยที่ 1 และ ย. ซึ่ง
เป็นผู้เช่าซื้อเดิมและผู้เช่าซื้อใหม่ ลงลายมือในแบบพิมพ์หนังสือโอนสิทธิตาม
สัญญาเช่าของโจทก์ให้ ย. ลงลายมือชื่อเป็นผู้เช่าซื้อในสัญญาเช่าซื้อ โดย
ไม่มีกรอกข้อความและลงลายมือชื่อรับมอบรถยนต์ในหนังสือหลักฐานการ
รับมอบรถยนต์ที่ทำขึ้นโดยบริษัทโจทก์ โดย พ. พนักงานของโจทก็ลงลาย
มือชื่อในฐานะเป็นฝ่ายโอนสิทธิและผู้ส่งมอบ มีการตรวจสอบความถูกต้อง
ในการจัดทำเอกสารพนักงานฝ่ายอื่นของโจทก์อีกด้วย ทั้งในวันดังกล่าว
จำเลยที่ 1 ได้ชำระค่าธรรมเนียมในการโอนสิทธิให้แก่โจทก์รับไปถูกต้อง
ตามประเพณีปฏิบัติในการโอนสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อของโจทก์แล้ว ถือได้ว่า
จำเลยที่ 1 ได้ส่งมอบรถยนต์คันที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์แล้วในวันดังกล่าว
ฉะนั้น การที่จำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อได้ส่งมอบรถยนต์คันที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ผู้ให้
เช่าซื้อถือได้ว่าเป็นการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อแก่โจทก์แล้ว โดยไม่ต้องคำนึง
ว่าหนังสือโอนสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาเช่าซื้อระหว่าง ย. กับ
โจทก์จะได้ทำถูกต้องตามแบบที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ สัญญาเช่าซื้อ
ระหว่างจำเลยที่ 1 กับโจทก์ก็เป็นอันเลิกกันตาม ป.พ.พ.มาตรา 573 นับแต่
วันที่จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์คืนแก่โจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลย
ทั้งสองรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันได้
26
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3238/2552 การที่จำเลยที่ 1 นำรถยนต์ที่
เช่าซื้อคืนโจทก์เพื่อขอโอนสิทธิการเช่าซื้อให้แก่ ท. และโจทก์ได้เรียกเก็บ
เงินค่าเปลี่ยนสัญญา ค่าเปลี่ยนชื่อในเล่มทะเบียนโดยใช้แบบพิมพ์ของ
โจทก์ และจำเลยที่ 1 ได้ชำระค่าตรวจสภาพรถ ค่าปรับล่าช้าและสั่งจ่ายเช็ค
รวม 6 ฉบับ เพื่อชำระค่าเช่าซื้อล่วงหน้าและโจทก์ยึดรถจากผู้ครอบครอง คือ
ท. และเป็นการยึดรถที่จังหวัดยโสธร อันเป็นภูมิลำเนาของ ท.
พฤติการณ์ดังกล่าว ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์
ซึ่งเป็นการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อแก่โจทก์แล้ว ดังนั้น ไม่ว่าการเปลี่ยนตัวผู้
เช่าซื้อจากจำเลยที่ 1 เป็น ท. นั้นโจทก์จะไม่อนุมัติในภายหลัง สัญญาเช่าซื้อ
ก็เป็นอันเลิกกันแล้ว นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถพิพาทคืนโจทก์ตาม
ป.พ.พ.มาตรา 573 ซึ่งเป็นบทบัญญัติให้สิทธิผู้เช่าซื้อเลิกสัญญา เมื่อ
สัญญาเลิกกันโดยจำเลยที่ 1 มิได้ประพฤติผิดสัญญาและไม่มีหนี้ที่ต้องรับ
ผิดต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดราคาและค่าขาดประโยชน์
(2) การใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาต้องเป็นกรณีผู้เช่าซื้อยังไม่ผิดนัดชำระค่า
เช่าซื้อ แต่หากผู้ให้เช่าซื้อยอมรับรถไว้โดยไม่โด้แย้งให้ถือว่าเป็นการเลิกสัญญา
กันโดยปริยาย
27
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4576/2561 จำเลยที่ 1 ได้รับหนังสือ
บอกกล่าวจากโจทก์เมื่อวันที่5 สิงหาคม 2553 คำบอกเลิกสัญญาของ
โจทก์ไม่อาจเป็นผลทันทีเพราะต้องรอให้ครบ 30 วันที่โจทก์ต้องรอผล
การปฏิบัติชำระหนี้จากจำเลยที่ 1 เสียก่อน สัญญาเช่าซื้อจึงยังไม่
เลิกกันในทันทีที่หนังสือบอกกล่าวของโจทก์ถึงจำเลยที่ 1 การที่จำเลย
ที่ 1 นำรถที่เช่าซื้อไปส่งมอบคืนให้แก่โจทก์ทันทีเมื่อได้รับหนังสือ
บอกกล่าวของโจทก์ แสดงว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ
กับโจทก์ ไม่ประสงค์จะใช้สิทธิตามสัญญาเช่าซื้อต่อไป และระยะเวลาที่
กำหนดให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อภายใน 30 วันดังกล่าวไม่อาจเดินต่อ
ไปได้ การใช้สิทธิเลิกสัญญาตามข้อตกลงในสัญญาเช่าซื้อของโจทก์
ย่อมไม่เป็นผล แต่การที่จำเลยที่ 1 นำรถที่เช่าซื้อไปส่งมอบคืนแก่
โจทก์ภายหลังที่ตนผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อแล้วก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการ
บอกเลิกสัญญาตาม ป.พ.พ. มาตรา 573 แต่การที่โจทก์ยอมรับ
มอบรถไว้โดยไม่อิดเอื้อนหรือโต้แย้งประการใดจึงถือว่าโจทก์และ
จำเลยที่ 1 ตกลงเลิกสัญญาเช่าซื้อโดยปริยาย อันเป็นการบอกเลิก
สัญญาเช่าซื้ อเพราะเหตุอื่ นมิใช่เหตุที่ดูสัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้สิทธิ
โดยข้อตกลงในสัญญา หรือโดยผลของกฎหมาย โจทก์ไม่อาจเรียก
ค่าขาดราคาจากจำเลยที่ 1 ได้
28
เป็นที่น่าสังเกตว่า ตามฎีกานี้ผู้ให้เช่าซื้อได้มีการบอกกล่าวให้ผู้
เช่าซื้อชำระค่าเช่าซื้อภายใน 30 วัน หากไม่ชำระผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญา
ได้ แต่ข้อเท็จจริงกลับปรากฏว่าผู้เช่าซื้อไม่รอเวลาแต่กลับนำรถที่เช่าซื้อ
ส่งมอบคืนให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อ เช่นนี้ จึงมีประเด็นที่น่าสนใจตามฎีกานี้ คือ
ก. กรณีการบอกเลิกสัญญาของผู้ให้เช่าซื้อไม่เกิดผล จึงถือไม่ได้ว่า
สัญญาเลิกกันเพราะผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาตามมาตรา 574
ข. กรณีผู้เช่าซื้อส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืนแก่ผู้ให้เช่าซื้อภายหลังที่ผิดนัด
ชำระค่าเช่าซื้อ ไม่ถือเป็นการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อตามมาตรา 573
ค. กรณีผู้ให้เช่าซื้อยอมรับรถที่ผู้เช่าซื้อส่งมอบกลับมาให้โดยไม่มีข้อ
โต้แย้งถือว่าทั้งสอง
ฝ่ายตกลงเลิกสัญญาโดยปริยาย จึงไม่อาจเรียกค่าขาดราคาจากผู้เช่าซื้อ
ได้
(3) การที่ผู้ให้เช่าซื้อส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าซื้อมีความชำรุดบกพร่อง
แม้ไม่เห็นเป็นประจักษ์ก็ตาม ผู้ให้เช่าซื้อย่อมเป็นฝ่ายผิดสัญญา ผู้เช่าซื้อ
ย่อมส่งมอบทรัพย์นั้นคืนได้ถือเป็นการบอกเลิกสัญญา
29
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2767/2560 ข้อตกลงตามสัญญาเช่าซื้อที่ระบุ
ว่าเจ้าของไม่ต้องรับผิดความชำรุดบกพร่องใดๆ ไม่ว่าตรวจพบขณะ
ส่งมอบหรือไม่นั้น แม้บทบัญญัติเรื่องความชำรุดบกพร่องตาม ป.พ.พ.
มาตรา 472 และ 473 สัญญาสามารถตกลงกันได้เพราะมิใช่กฎหมาย
เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยที่จะตกลงเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ข้อตกลงที่
ยกเว้นความชำรุดบกพร่องที่ไม่เห็นประจักษ์ในขณะส่งมอบและเป็น
เรื่องที่ควรอยู่ในความรู้เห็นของผู้ประกอบธุรกิจ ย่อมเป็นที่เห็นได้ว่า
ข้อตกลงลักษณะดังกล่าวก่อให้เกิดความได้เปรียบแก่ผู้เช่าซื้อในฐานะ
ผู้บริโภคเกินสมควรย่อมไม่อาจบังคับได้ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยข้อ
สัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 มาตรา 4 และ 6 เมื่อสัญญาเช่าซื้อ
เป็นสัญญาต่างตอบแทนและโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยที่ 1
ผู้เช่าซื้อซึ่งมิได้เป็นฝ่ายผิดนัดหรือผิดสัญญาย่อมมีสิทธิที่จะไม่ยอมชำระ
หนี้จนกว่าโจทก์จะชำระหนี้หรือขอปฏิบัติการชำระหนี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา
369 โดยการจัดการแก้ไขรถยนต์ที่เช่าซื้อให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ตาม
ประโยชน์ที่มุ่งหมาย โดยสัญญาหรือเปลี่ยนรถคันใหม่ให้แก่ผู้เซ่าซื้อ
โจทก์จึงไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา เมื่อจำเลยที่ 1 นำรถยนต์ที่เช่าซื้อ
ส่งมอบกลับคืนแก่โจทก์จึงเป็นการเลิกสัญญาตามป.พ.พ. มาตรา 573
สัญญาเช่าซื้อเป็นอันเลิกกัน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องให้จำเลยทั้งสอง
รับผิดตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันได้
30
ผลของการบอกเลิกสัญญา
(1) เมื่อผู้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญามีผลทำให้คู่สัญญากลับคืน
สู่ฐานะเดิม
และผู้เช่าซื้อไม่ต้องรับผิดค่าขาดราคา หากการเลิกสัญญา
ไม่ได้เกิดจากความผิดของผู้เช่าซื้อ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14324/2558 จำเลยเป็นฝ่ายเริ่มต้นติดต่อกับ
โจทก์เพื่อคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อแสดงให้เห็นจุดประสงค์ของจำเลยที่ต้องการ
บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อเท่านั้น เมื่อโจทก์ได้รับการติดต่อก็ตกลงและ
นัดหมายรับรถยนต์ที่เช่าซื้อไปคืนโดยมอบหมายให้ ส. ตัวแทนโจทก์
การที่จำเลยส่งมอบรถยนต์คันที่เช่าซื้อให้แก่ ส. จึงเป็นการบอกเลิก
สัญญาเช่าซื้อด้วยการส่งมอบทรัพย์คืนแก่โจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 573
สัญญาเช่าซื้อเป็นอันเลิกกันนับแต่วันดังกล่าวแล้ว แม้ต่อมาจำเลยจะ
ตกลงขายสิทธิการเช่าซื้อให้แก่ ส. ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลังจาก
สัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้ว เมื่อจำเลยมิได้ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อและ
ไม่ปรากฏว่าขณะเลิกสัญญาจำเลยมีหน้าที่ต้องรับผิดต่อโจทก์อย่างไร
จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้อง
31
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5239/2561 ภายหลังจากจำเลยที่ 1 ทำสัญญา
เช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ จำเลยที่ 1 ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์ 2 งวด
โดยยังไม่ผิดนัด จำเลยที่ 1 นำรถยนต์ที่เช่าซื้อไปส่งมอบคืนให้แก่
โจทก์อันเป็นเวลาก่อนถึงกำหนดชำระค่าเช่าซื้องวดที่ 3 หนึ่งวัน แสดง
ว่าในขณะส่งคืนทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อจำเลยที่ 1 ยังหาได้ตกเป็นผู้
ผิดนัดไม่ กรณีไม่ใช่เรื่องที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อแล้วนำ
รถยนต์คันที่เช่าซื้อไปส่งมอบคืนให้แก่โจทก์ แต่เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ใช้
สิทธิเลิกสัญญาเช่าซื้อในขณะที่ตนเองยังมิได้ตกเป็นผู้ผิดนัด ตาม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 573 ซึ่งบัญญัติว่า ผู้เช่าซื้อจะ
บอกเลิกสัญญาในเวลาใดเวลาหนึ่งก็ได้ด้วยการส่งมอบทรัพย์สินกลับ
คืนให้แก่เจ้าของโดยเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง อันเป็นบทบัญญัติให้สิทธิผู้
เช่าซื้อเลิกสัญญาได้และส่งผลให้สัญญาเช่าซื้อเป็นอันเลิกกัน เมื่อสัญญา
เช่าซื้อเลิกกันโดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้ประพฤติผิดสัญญา แม้ในสัญญาเช่าซื้อ
จะมีข้อความว่า กรณีที่เจ้าของได้รถกลับคืนมาไม่ว่าจะด้วยเหตุที่เจ้าของ
เป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญา หรือผู้เช่าซื้อเป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญาโดยการส่ง
มอบพื้นที่เช่าซื้อคืนแก่เจ้าของ เจ้าของนำรถออกขายได้ราคาน้อยกว่ามูล
หนี้ส่วนที่ขาดทุนตามสัญญา ผู้เช่าซื้อตกลงรับผิดส่วนที่ขาดก็ตาม แต่การ
ที่จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาและไม่ปรากฏว่าขณะที่สัญญาเลิกกัน
จำเลยที่ 1 มีหนี้ต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เพียงใด โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิ
เรียกค่าขาดราคาจากจำเลยที่ 1 ได้ เมื่อจำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อไม่ต้องรับผิด
ชดใช้ค่าขาดราคาให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ผู้ถ้ำประกันย่อมไม่ต้อง
ร่วมรับผิดต่อโจทก์ด้วย
32
(2) กรณีผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ และเมื่อมี
การนำมาหักกลบแล้วมีค่าใช้จ่ายจำนวนมากกว่าเงินที่ผู้เช่า
ซื้อชำระไปแล้ว ผู้เช่าซี้อย่อมต้องรับผิดในส่วนค่าเช่าซื้อที่
ด้างชำระอยู่นั้น
(3) กรณีเมื่อเลิกสัญญาและส่งมอบทรัพย์คืนแต่
ทรัพย์เหล่านั้นมีสภาพชำรุดบุบสลายเนื่องจากการใช้
ทรัพย์ที่ไม่ชอบ ผู้เช่าซี้อย่อมต้องรับผิดต่อความชำรุดบุบ
สลายต่อผู้ให้เช่าซื้อ ในกรณีดังนี้
(3.1) กรณีผู้เช่าซื้อใช้ทรัพย์เพื่อการอย่างอื่นนอกจาก
การที่ใช้กันตามประเพณีนิยมปกติที่กำหนดในสัญญา
(3.2) กรณีผู้เช่าซื้อใช้ทรัพย์โดยไม่สงวนอย่างที่
วิญญูชนพึงกระทำตามมาตรา 552
(3.3) กรณีผู้เช่าซื้อมิได้บำรุงรักษาซ่อมแซมเล็กน้อย
ตามมาตรา 553
(3.4) กรณีที่ทรัพย์เสียหายเพราะความผิดของผู้เช่า
ซื้อหรือผู้ที่อยู่กับผู้เช่าซื้อตามมาตรา 562
33
2) ผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญา
มาตรา 574 วางหลักว่า "ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กันหรือ
กระทำผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนที่สำคัญ เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิก
สัญญาเสียก็ได้ ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้กันมาแล้วแต่ก่อน ให้ริบเป็นของ
เจ้าของทรัพย์สินและเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้น
ได้ด้วย
อนึ่ง ในกรณีกระทำผิดสัญญาเพราะผิดนัดไม่ใช้เงินซึ่งเป็นคราวที่สุดนั้น
เจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะริบบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อนและกลับเข้า
ครองทรัพย์สินได้ต่อเมื่อระยะเวลาใช้เงินได้พ้นกำหนดไปอีกงวดหนึ่ง"
ผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาตามมาตรา 574 ด้วยเหตุ 2 ประการ คือ
2.1) ผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติดต่อกัน
2.2) ผู้เช่าซื้อกระทำผิดสัญญาในข้อสำคัญ
2.1) ผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติดต่อกัน
คำว่า "ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ" หมายถึง การที่ผู้เช่าซื้อมิได้ชำระค่า
เช่าซื้อตามกำหนดโดยจงใจหรือโดยความผิดของผู้เช่าซื้อ และเป็นกรณีที่
ผู้เช่าซื้อไม่ได้ชำระหนี้สองคราวติดต่อกันจึงเกิดสิทธิให้ผู้ให้เช่าซื้อจะบอก
เลิกสัญญาได้ แต่การผิดนัดดังกล่าวนี้เป็นสิทธิของผู้ให้เช่าซื้อที่จะบอกเลิก
สัญญาหรือไม่ก็ได้ หากผู้ให้เช่าซื้อใช้สิทธิบอกเลิกก็ย่อมทำได้โดยไม่จำต้อง
บอกกล่าวให้เวลาแก่ผู้เช่าซื้อในการที่จะให้ชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างอยู่ก่อนแต่
อย่างใด
ตัวอย่าง มอคเช่าคอมพิวเตร์จากสาวในราคา 20,000 บาท ตกลงชำระ
เป็นรายเดือน เดือนละ 2,000 บาท รวมทั้งหมด 10 งวดโดยตกลงจะขายให้
เมื่อผ่อนชำระเสร็จสิ้น เมื่อมอดชำระค่าเช่าซื้อเรื่อยมา จนกระทั่งในงวดที่ 5
และ 6 มอคไม่ได้ชำระ เช่นนี้ เป็นกรณีที่มอคผู้เช่าซื้อผิดนัด 2 งวดติดต่อกัน
เป็นผลให้สาวมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อนั้นได้
34
การผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้รวมถึงผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระค่า
เช่าซื้องวดสุดท้ายหรือตามกฎหมายเรียกว่า "คราวที่สุด" ซึ่งกรณีนี้
ผู้ให้เช่าซื้อจะต้องรอให้กำหนดค่าเช่าซื้อ ผ่านไปอีกงวดหนึ่งก่อนจึง
จะบอกเลิกสัญญาได้
ตัวอย่าง สัญญาเช่าซื้อรถยนต์กำหนดให้ผู้เช่าซื้อชำระค่าเช่าซื้อ
ทุกเดือน มีกำหนด 72 เดือน ผู้เช่าซื้อชำระมาแล้ว 71 เดือน และไม่ได้
ชำระในเดือนที่ 72 ซึ่งเป็นงวดสุดท้าย เช่นนี้ผู้ให้เช่าซื้อยังบอกเลิก
สัญญาไม่ได้ต้องรอให้ผ่านกำหนดเวลาชำระค่าเช่าซื้อไปอีกหนึ่งเดือน
จึงจะบอกเลิกสัญญาได้
ข้อสังเกต หากมีข้อตกลงของคู่สัญญานอกเหนือจากมาตรา
572-574 ให้มีการบอกเลิกสัญญา และกรณีดังกล่าวไม่เป็นการ
ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ข้อ
ตกลงดังกล่าวเป็นอันใช้ได้ เช่น มีการตกลงให้ชำระเพียง
คราวเดียว หากมิชำระ ผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาได้ (ฎีกาที่
3842/2526) หรือไม่ถือเอาประโยชน์แห่งระยะเวลาตามสัญญา
(ฎีกาที่ 1728/2558)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1341/2518 วินิจฉัยว่า ข้อสัญญาในสัญญาเช่า
ซื้อรถยนต์ว่า แม้รถสูญหายโดยเหตุสุดวิสัย ผู้เช่าซื้อก็จะชำระราคาเช่าซื้อ
จนครบ ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
จึงใช้บังคับได้
35
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 575/2518 วินิจฉัยว่า ข้อสัญญาว่าผู้
เช่าซื้อต้องรับผิดแม้เหตุสุดวิสัย หมายความรวมถึงรถยนต์ที่เช่า
ซื้อถูกลักไปด้วย ศาลกำหนดให้ผู้เช่าซื้อใช้ราคาตามที่กำหนดใน
สัญญาหักด้วยเงินค่าเช่าซื้อที่ได้ชำระไปแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5363/2545 โจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกลงกันไว้
ตามสัญญาเช่าซื้อว่าถ้าจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระเงินใดๆ ตามสัญญา
จำเลยที่ 1 ยอมให้ผู้แทนหรือลูกจ้างของโจทก์เข้าไปยังสถานที่ของ
จำเลยที่ 1 เพื่อยึดรถยนต์ได้ไม่ว่าโจทก์จะได้บอกเลิกสัญญากับจำเลย
ที่ 1 แล้วหรือไม่ก็ตาม การที่โจทก์ติดตามยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนจาก
จำเลยที่ 1จึงเป็นกรณีที่โจทก์สามารถกระทำได้โดยที่ยังมิได้มีการบอก
เลิกสัญญากันและต่อมาภายหลังโจทก์จึงได้บอกเลิกสัญญาแก่จำเลย
ที่ 1 โดยที่จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิด
ชดใช้ค่าเสียหายอันเป็นค่าขาดราคารถยนต์แก่โจทก์
หมายเหตุ กรณีการเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ทำขึ้น
ระหว่างผู้บริโภคและผู้ประกอบธุรกิจตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้
บริโภค พ.ศ. 2522 ให้ปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา
เรื่อง ให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุม
สัญญา พ.ศ. 2561 โดยเป็นการกำหนดให้สัญญาเช่าซื้อรถยนต์และรถ
จักรยานยนต์ต้องระบุสาระสำคัญว่า ผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญา
เช่าซื้อได้ในกรณีที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อรายงวด 3 งวดติดต่อ
กัน และผู้ให้เช่าซื้อต้องมีหนังสือบอกกล่าวให้ผู้เช่าซื้อชำระเงินรายงวด
ที่
ค้างชำระภายในเวลาอย่างน้อย 30 วันนับแต่วันที่ผู้เช่าซื้อได้รับหนังสือ
และผู้เช่าซื้อละเลยไม่ปฏิบัติตามคำบอกกล่าวนั้น ผู้ให้เช่าซื้อจึงจะบอก
เลิกสัญญาได้
36
2.2) ผู้เช่าซื้อกระทำผิดสัญญาในข้อสำคัญ
การที่ผู้ให้เช่าซื้อจะบอกเลิกสัญญาด้วยเหตุดังกล่าวนี้ ต้องเป็นการ
กระทำผิดสัญญาในข้อที่เป็นสำคัญ ซึ่งข้อสัญญาใดจะเป็นข้อสำคัญ
หรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงเป็นกรณีๆ ไป เช่น เมื่อเช่าซื้อไปแล้ว
ห้ามกระทำการดัดแปลงตัวทรัพย์ใด ๆ ทั้งสิ้น หรือห้ามนำไปขายต่อ
หรือให้ผู้อื่นเช่าต่อ เป็นต้น
วิธีการบอกเลิกสัญญา
การบอกเลิกสัญญาของผู้ให้เช่าซื้อสามารถกระทำได้โดยการบอก
เลิกด้วยวาจา หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดที่แสดงให้เห็นเจตนา
ของผู้ให้เช่าซื้อว่าต้องการเลิกสัญญาก็ได้ (ฎีกาที่ 3842/2526
พิพากษาศาลฎีกาที่ 3842/2526 การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ
กฎหมายมิได้บังคับให้ต้องบอกเลิกสัญญาเป็นหนังสือ และการเช่าซื้อนั้น
ผู้ให้เช่าซื้อต้องเอาทรัพย์สินออกให้ผู้เช่าซื้อได้ใช้ การที่ผู้ให้เช่าซื้อยึดเอา
ทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อคืนไป ถือได้ว่าเป็นการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อแล้ว
37
ผลการบอกเลิกสัญญาของผู้ให้เช่าซื้อ
1. มีสิทธิริบบรรดาเงินที่ผู้ช่าซื้อได้ชำระมาแล้วทั้งหมด
เงินที่ริบได้ หมายถึง เงินดาวน์ และเงินค่างวดเช่าซื้อที่ได้ชำระมาแล้ว
ทั้งหมด
ตัวอย่าง มอคเช่าซื้อ notebook ราคา 30,000 บาท โดยวางเงินดาวน์
จำนวน 5,000 บาท และตกลงผ่อนชำระ 10 งวด งวดละ 2,500 บาทและ
เมื่อผ่อนชำระเสร็จสิ้นสาวผู้ให้เช่าซื้อจะโอนกรรมสิทธิ์ให้ ต่อมาเมื่อได้ผ่อน
งวดที่ 1-5 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เนื่องจากสถานการณ์ของโควิดเป็นเหตุ
ให้มอคตกงานและไม่มีเงินชำระค่างวดในงวดที่ 6 และงวดที่ 7 สาวจึงบอก
เลิกสัญญา เช่นนี้ สาวสามารถริบเงินดาวน์ที่ได้ชำระมาแล้วจำนวน 5,000
บาท และได้เงินค่างวดตั้งแต่งวดที่ 1-5 ทั้งสามารถเรียกให้มอคชำระค่า
งวดที่ค้างชำระในงวดที่ 6 และงวดที่ 7 ได้เพราะได้มีการใช้ทรัพย์แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1195/2511 (ประชุมใหญ่) เมื่อมีการผิด
สัญญาเช่าซื้อโดยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตาม ป.พ.พ. มาตรา 574 ผู้
ให้เช่าซื้อมีสิทธิกลับเข้าครอบครองทรัพย์สินที่เช่าซื้อ และริบเงิน
เช่าซื้อที่ส่งแล้วเท่านั้น ไม่มีสิทธิเรียกค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระอีก แต่ผู้ให้
เช่าซื้อมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทน เพราะการไม่ชำระหนี้ของผู้เช่าซื้อ
จนเป็นเหตุให้มีการบอกเลิกสัญญา อันได้แก่ค่าใช้ทรัพย์ตลอดเวลาที่ผู้
เช่าซื้อครอบครองทรัพย์อยู่ตามนัย ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคสาม
เท่านั้น และถ้าทรัพย์ที่คืนมาเสียหายผู้เช่าซื้อต้องรับผิดนอกเหนือไป
จากความเสียหายอันเกิดจากการใช้ทรัพย์โดยชอบอีกด้วย
38
เป็นที่น่าสังเกตว่า ตามฎีกาที่วินิจฉัยเช่นนี้ด้วยเหตุว่า สัญญาเช่า
ซื้อประกอบด้วยคำมั่นจะขายทรัพย์สินอยู่ด้วยและเงินค่าเช่าซื้อแต่ละ
งวดนอกจากจะเป็นการชำระค่าใช้ทรัพย์แล้ว ยังรวมราคาทรัพย์สินที่
ชำระตามคำมั่นจะขายทรัพย์ด้วย เมื่อผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาก็
เท่ากับไม่มีคำมั่นจะขายทรัพย์อีกต่อไป หากผู้ให้เช่าซื้อสามารถเรียกค่า
เช่าซื้อที่ค้างอยู่จนครบก็จะทำให้ผู้ให้เช่าซื้อได้รับชำระจากผู้เช่าซื้อมาก
จนเกินควรอันเป็นการเอาเปรียบผู้เช่าซื้อ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3745/2526 ตามมาตรา 574 เมื่อเลิกสัญญาเช่า
ซื้อแล้ว ผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิริบเงินที่ผู้เช่าซื้อส่งใช้มาแล้วและกลับเข้าครอบ
ครองทรัพย์สินเท่านั้นจะเรียกเอาค่าเช่าซื้อที่ค้างหาได้ไม่ คงเรียกได้เฉพาะค่า
เสียหายอันเนื่องจากจำเลยผิดสัญญาเช่าซื้อเท่านั้น ซึ่งได้แก่ ค่าขาด
ประโยชน์ที่จำเลยยังใช้รถยนต์ของโจทก์อยู่ตลอดเวลาที่ยังครอบครอง
รถยนต์อยู่ และเมื่อได้รับรถยนต์คืนมาแล้ว หากรถยนต์เสียหายเพราะ
เหตุอื่น อันจำเลยต้องรับผิดนอกเหนือไปจากความเสียหายอันเกิดแต่การใช้
รถนั้นโดยชอบ โจทก์ก็มีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อเหตุนี้ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5861/2545 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 574 บัญญัติ
ไว้เพียงว่าเมื่อมีการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อเพราะผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่า
เช่าซื้อ ผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิริบเงินที่ผู้ให้เช่าซื้อรับไว้และกลับเข้าครอบครอง
ทรัพย์ที่ให้เช่าซื้อเท่านั้น การที่โจทก์ผู้ให้เช่าซื้อกำหนดให้จำเลยที่ 1 ผู้
เช่าซื้อต้องชำระค่าเช่าซื้อทั้งหมด ในขณะที่โจทก์ยังมีสิทธิกลับเข้า
ครอบครองรถยนต์ย่อมเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องซ้ำซ้อนกัน ไม่
สอดคล้องกับบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้อง
ค่าเช่าซื้อก่อนสัญญาเลิกกันได้ คงเรียกได้แต่ค่าใช้ทรัพย์ดลอดเวลาที่
จำเลยที่ 1 ครอบครองทรัพย์อยู่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคสามและ
ค่าเสียหายอื่นที่จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดนอกเหนือจากค่าเสียหายอันเกิด
จากใช้ทรัพย์โดยชอบ
39
2. ผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิเข้าครอบครองทรัพย์สินที่ให้
เช่าซื้อด้วย ผู้เช่าซื้อต้องคืนทรัพย์เช่าซื้อให้แก่ผู้ให้
เช่าซื้อ หากไม่สามารถคืนได้ให้ใช้ราคาแทน
3. ผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิเรียกค่าเสียหายใด ๆ อันเกิด
จากการกระทำของผู้เช่าซื้อในระหว่างที่ผู้เช่าซื้อ
ครอบครองทรัพย์สินที่เช่าซื้อหรือระหว่างที่ผู้เช่าซื้อ
ยังไม่ส่งมอบทรัพย์สินคืนให้ผู้เช่าซื้อตามหน้าที่ด้วย
แต่ไม่อาจเรียกค่าเช่าซื้อที่ยังค้างอีกได้เพราะเป็น
กรณีที่ไม่ได้ใช้ทรัพย์แล้ว
คำว่า “ ไม่อาจเรียกค่าเช่าซื้อที่ยังค้างได้อีก” หมายถึงจะเรียก
ค่าเช่าซื้อที่ยังมาไม่ถึงไม่ได้เพราะไม่ได้มีการใช้ทรัพย์จริงเนื่องจาก
มีการคืนทรัพย์นั้นหรือถูกยึดกลับคืนไปแล้ว แต่ตราบใดที่ยังไม่ได้
คืนทรัพย์ถือว่าได้ใช้ทรัพย์สามารถเรียกได้
ตัวอย่าง มอคเช่าซื้อคอมพิวเตอร์ตกลงชำระ 14 งวดต่อมา
มอคผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อคอมพิวเตอร์งวดที่ 10 และ 11
กรณีเป็นการผิดนัดชำระ 2 งวดติดต่อกัน เมื่อสาวผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิก
สัญญาและได้กลับเข้าครอบครองทรัพย์นั้นแล้ว เช่นนี้ สาวจะเรียก
ค่าเช่าซื้อที่ยังค้างชำระภายหลังที่มีการนำทรัพย์กลับไปแล้วไม่ได้
คือ ไม่สามารถเรียกงวดที่ 12, 13 และ 14 ได้นั่นเอง
40
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6184/2547 เมื่อมีการบอกเลิกสัญญา
เช่าซื้อแล้วเจ้าของทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อมีสิทธิรับเงินที่ผู้เช่าซื้อส่ง
ใช้มาแล้วและกลับเข้าครอบครองทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อเท่านั้น
ป.พ.พ. มาตรา 574 วรรคหนึ่ง หาได้มีบทบัญญัติให้เรียกเอาค่า
เช่าซื้อที่ยังค้างได้อีก ดังนั้น โจทก์จะเรียกให้จำเลยทั้งสองร่วมกัน
ชำระค่าเช่าซื้อที่ยังค้างอยู่อีกไม่ได้เพราะสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้ว
คู่สัญญาไม่มีสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาอีกต่อไปโจทก์คงเรียกได้
แต่เฉพาะค่าเสียหายอันเนื่องมาจากที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาเช่าซื้อ
เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่คู่สัญญามีข้อตกลงว่าให้สัญญาเลิก
กันทันทีเมื่อผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตามกำหนดนั้น แต่ใน
ทางปฏิบัติคู่สัญญาไม่ได้ถือกำหนดเอาเวลาชำระค่าเช่าซื้อเป็นหาได้
เลิกสัญญาไม่กลับรับเอาเงินเช่าชื่ อดังกล่าวโดยมิได้คิดเอื้ อน
(ฎีกาที่ 3408/2530, 5794/2539, สาระสำคัญเห็นได้จากการที่
แม้ผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระหนี้ค่าเช่าซื้อตรงตามกำหนด แต่ผู้ให้
เช่าซื้อก็ 2677/2547) ดังนั้นหากผู้ให้เช่าซื้อจะบอกเลิกสัญญา
ต้องปฏิบัติตาม ป.พ.พ. มาตรา 387 กล่าวคือต้องบอกกล่าว
กำหนดระยะเวลาพอสมควรให้ผู้เช่าซื้อปฏิบัติการชำระหนี้ค่าเช่าซื้อ
งวดที่ค้างอยู่และหากผู้เช่าซื้อไม่ชำระภายในระยะเวลาที่กำหนดนั้น
ผู้ให้เช่าซื้อจึงจะบอกเลิกสัญญาได้ ป.พ.พ. มาตรา 574 วรรคหนึ่ง
แล้วจำเลย
41
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4279/2551 สัญญาเช่าซื้อมีข้อตกลงว่า
ถ้าเช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดหนึ่งงวดใดถือว่าสัญญาเลิกกันทันที
โดยไม่ต้องบอกกล่าวก่อน จำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อและสัญญา
เช่าซื้อเลิกกันทันทีตามสัญญาเช่าซื้อไปก่อนที่รถยนต์ที่เช่าซื้อจะสูญหาย
เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้วนอกจากโจทก์จะได้ใช้สิทธิตาม ป.พ.พ.
มาตรา 574 วรรคหนึ่งแล้ว จำเลยที่ 1 ยังมีหน้าที่ต้องส่งมอบรถยนต์ที่
เช่าซื้อคืนโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคหนึ่งด้วย จำเลยที่ 1
ไม่ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์จึงตกเป็นผู้ผิดนัดต้องรับผิดชอบ
ในความเสียหายหากต่อมาการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยตาม ป.พ.พ.
มาตรา 217 จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดตามที่สัญญาเช่าซื้อได้กำหนด
ไว้และย่อมมีหน้าที่ต้องส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ เมื่อส่งคืน
ไม่ได้ต้องใช้ราคาแทนและต้องใช้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์ตาม
สัญญาเช่าซื้อจนกว่าจำเลยทั้งสองจะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืน แต่
เนื่องจากรถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายโจทก์จึงเรียกค่าขาดประโยชน์ได้จนถึง
วันที่รถยนต์สูญหายไปหลังจากนั้นโจทก์จะเรียกค่าขาดประโยชน์จาก
การใช้รถยนต์ที่เช่าซื้อไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2904/2558 จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้อง
ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ตามสัญญาเช่าซื้อเมื่อสัญญาเช่าซื้อ
เลิกกัน แต่จำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อไม่ได้ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์
โดยยังครอบครองใช้ประโยชน์จากรถยนต์ที่เช่าซื้อตลอดมาตั้งแต่วันที่
จำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์ประจํางวดที่ 3 วันที่ 20 สิงหาคม
2546 ย่อมทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์มีสิทธิเรียกให้จําเลยทั้งสอง
ชดใช้ค่าเสียหายที่จำเลยที่ 1 ได้ใช้ทรัพย์ของโจทก์มาตลอดระยะ
เวลาที่จําเลยที่ 1 ครอบครองทรัพย์ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2546
เป็นต้นมาเพื่อชดเชยเป็นค่าเสียหายตาม ป.พ.พ. มาตรา 391
วรรคสามมิใช่เริ่มมีสิทธิเรียกร้องค่าขาดประโยชน์ตั้งแต่วันเลิก
สัญญา จําเลยทั้งสองต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์
ให้แก่โจทก์นับ แต่วันที่ 20 สิงหาคม 2546 จนถึงวันที่ติดตามยึดคืนได้
(ฎีกาที่ 14971/2558) มิใช่ต้องรับผิดเฉพาะกรณีที่ผิดนัดเท่านั้น
42
ข้อสังเกตเพิ่มเติม
(1) ในกรณีที่ผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาโดยมิชอบ แต่
เมื่อผู้ให้เช่าซื้อไปยึดทรัพย์ที่ให้เช่าชื่อคืนโดย
1.1) ผู้เช่าซื้อยินยอมให้ยึดคืนโดยไม่ได้โต้แย้ง ถือว่าคู่สัญญาสมัคร
ใจเลิกสัญญากันโดยปริยาย ผล ถือว่ามิใช่เป็นความผิดของผู้เช่าซื้อ
ผู้เช่าซื้อจึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าเสียหายแก่ผู้ให้เช่าซื้อ คงรับผิด
เฉพาะค่าขาดประโยชน์เนื่องจากผู้เช่าซื้อได้ครอบครองใช้ทรัพย์
ตลอดมาเท่านั้น (ฎีกาที่ 4211/2539, 4772/2540)
(1.2) หากผู้เช่าซื้อโต้แย้งไม่ยินยอม กรณีถือว่าสัญญาเช่าซื้อยัง
ไม่เลิกกันและมีผลบังคับกันต่อไป (ฎีกาที่7406 / 2547)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7406/2547 โจทก์ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อไม่ตรงตาม
กำหนดเวลาที่ระบุไว้ในสัญญาเช่าซื้อแต่จำเลยก็รับไว้ แสดงว่าจำเลยมิได้
ยึดถือข้อสัญญาเช่าซื้อที่ว่า หากโจทก์ไม่ชำระค่าเช่าซื้องวดใดงวดหนึ่ง
ให้ถือว่าสัญญาเช่าซื้อสิ้นสุดลงโดยมิต้องบอกกล่าว เป็นสาระสำคัญโดย
จำเลยยังถือว่าสัญญาเช่าซื้อมีผลบังคับต่อไปจึงรับค่าเช่าซื้อไว้ ดังนั้น
หากจำเลยมีความประสงค์จะบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ จำเลยจึงต้องบอกกล่าว
ไปยังโจทก์โดยให้ระยะเวลาแก่โจทก์พอสมควร เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้
บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ เพราะหวังเพียงได้รับค่าดอกเบี้ยที่ชำระค่าเช่าซื้อล่าช้า
และเบี้ยปรับ และการที่พนักงานของจำเลยไปยึดรถยนต์บรรทุกคืน โจทก์ก็ได้
โต้แย้งคัดค้านมิได้ยินยอมด้วยโดยไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงาน
ตำรวจสัญญาเช่าซื้อจึงยังไม่เลิกกันและมีผลบังคับกันต่อไป โจทก์ผู้เช่าซื้อ
ชอบที่จะครอบครองรถยนต์บรรทุกพิพาทต่อไปและจำเลยต้องส่งมอบรถยนต์
บรรทุกดังกล่าวคืนโจทก์ แต่จำเลยได้ขายรถยนต์บรรทุกดังกล่าวให้แก่ ส. ซึ่ง
เป็นบุคคลภายนอกไปแล้ว จึงเป็นการพ้นวิสัยที่จะนำรถยนต์บรรทุกพิพาทกลับ
คืนโจทก์ เพราะพฤติการณ์ที่จำเลยต้องรับผิดชอบ จำเลยจึงต้องชดใช้ค่าเสีย
หายแก่โจทก์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 218 วรรคแรกและการครอบครองรถยนต์
บรรทุกพิพาทของโจทก์เป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อที่
ยังมิได้เลิกกัน การใช้รถยนต์บรรทุกพิพาทของโจทก์จึงไม่อาจคิดเป็นค่าขาด
ประโยชน์ที่โจทก์ต้องชำระแก่จำเลยและนำไปหักกลบลบหนี้กับค่าเช่าซื้อได้
43
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 176/2559 จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่
ชำระค่าเช่าซื้อ 3 งวดติดต่อกันและโจทก์บอกเลิกสัญญา
แล้วโดยชอบ สัญญาเช่าซื้อย่อมเลิกกัน โจทก์ในฐานะเป็น
ผู้ให้เช่าซื้อและเป็นเจ้าของรถยนต์ที่เช่าซื้อย่อมชอบที่จะเข้า
ครอบครองรถยนต์ที่เช่าซื้อได้ตามข้อตกลงในสัญญา
เช่าซื้อและตาม ป.พ.พ. มาตรา 574 วรรคสองและจำเลย
ที่ 1 มีหน้าที่ต้องส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อแก่โจทก์เช่นกัน
การที่จำเลยที่ 1 ไม่ยินยอมหรือไม่อาจส่งมอบรถยนต์ที่
เช่าซื้อในสภาพที่เรียบร้อยและใช้การดีคืนแก่โจทก์ก็ต้อง
ชดใช้ราคา
โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อโดยชอบแล้ว จำเลยที่ 1 ยังคงครอบครอง
ใช้ประโยชน์ในรถยนต์ที่เช่าซื้อย่อมทำให้โจทก์ขาดประโยชน์ไม่อาจนำ
รถยนต์ที่เช่าซื้อไปใช้ประโยชน์ในฐานะที่เป็นเจ้าของรถได้ เป็นความเสียหาย
ตามปกติที่เกิดขึ้นจากการผิดสัญญาของจำเลยที่ 1 โจทก์เรียกค่าเสียหาย
ที่ขาดประโยชน์จากการใช้ทรัพย์สินของตนจากจำเลยที่ 1 ได้
(2) การกลับเข้าครอบครองทรัพย์สินของผู้ให้เช่าซื้อหาจำต้องฟ้อง
ศาลเสมอไปไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5363/2545 โจทก์กับจำเลยตกลงกันตาม
สัญญาเช่าซื้อว่า ถ้าจำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินใด ๆ จำเลยยอมให้ผู้แทน
หรือลูกจ้างของโจทก์เข้าไปยังสถานที่ของจำเลยเพื่อยึดรถยนต์ได้
ไม่ว่าโจทก์จะได้บอกเลิกสัญญากับจำเลยแล้วหรือไม่ก็ตาม การที่โจทก์
ติดตามยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนจากจำเลย จึงเป็นกรณีที่โจทก์สามารถ
กระทำได้โดยที่ยังมิได้มีการบอกเลิกสัญญากันและต่อมาภายหลัง
โจทก์จึงได้บอกเลิกสัญญาแก่จำเลย โดยจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา
จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดราคารถยนต์แก่โจทก์
44
(3) กรณีผู้ให้เช่าซื้อยึดทรัพย์กลับคืนและนำประมูลขายทอดตลาด
ส่วนที่ขาดผู้เช่าซื้อไม่ต้องรับผิดหากมิได้แจ้งสิทธิให้ผู้เช่าซื้อทราบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 31/2560 ไฟแนนซ์ยึดรถไปแล้วนำไปขาย
ทอดตลาดขาดทุนจำเลยต้องรับผิดส่วนที่ขาดเพราะโจทก์ไม่ได้แจ้ง
การประมูลรถยนต์ที่เช่าซื้อตามมูลหนี้ส่วนที่ขาดอยู่ตามสัญญา
เช่าซื้อและโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าวิธีประมูลหรือขายทอดตลาดได้ราคา
ที่เหมาะถูกต้องตามหลักเกณฑ์วิธีการขายทอดตลาด
เป็นที่น่าสังเกตว่า ฎีกาดังกล่าวนี้เกิดจากการที่ผู้ให้เช่าซื้อไม่ได้แจ้ง
การประมูลเพื่อให้ผู้เช่าซื้อได้มีโอกาสเข้าสู้ราคาประมูลรวมทั้งผู้ให้
เช่าซื้อเองกลับไม่สามารถนำสืบให้เห็นได้ถึงราคาที่เหมาะสมที่ได้ขาย
ทอดตลาดไปนั่นเอง ในทางกลับกัน หากผู้ให้เช่าซื้อได้แจ้งให้ผู้เช่าซื้อ
ทราบถึงการประมูลหรือนำสืบได้ว่าราคาประมูลนั้นมีความเหมาะสม
ศาลอาจจะพิจารณาให้ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดในส่วนที่ขาดได้
(4) กรณีมีการระบุข้อตกลงในเรื่องของค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระไว้ว่า
ผู้เช่าซื้อจะต้องรับผิดชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระทั้งหมด เช่นนี้ เป็นการ
กำหนดความรับผิดไว้ล่วงหน้าสามารถกระทำได้ แต่หากศาลเห็นว่า
สูงเกินส่วนย่อมลดลงได้เพราะมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15107/2558 เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้ว โจทก์
มีสิทธิรับเงินค่าเช่าซื้อที่จําเลยที่ 1 ชำระมาแล้วและกลับเข้าครอบครองรถยนต์ที่
เช่าซื้อตาม ป.พ.พ. มาตรา 574 วรรคหนึ่ง โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเช่าซื้อที่ค้าง
ชำระคงเรียกได้เพียงค่าขาดประโยชน์จากการใช้ทรัพย์ที่เช่าซื้อในระหว่างที่ยังมิได้
ส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าซื้อคืนเท่านั้น แม้สัญญาเช่าซื้อข้อ 14.2 กำหนดว่า “ก่อนวัน
ที่สัญญาเลิกกัน หากผู้เช่าติดค้างชำระหนี้ค่าเช่าซื้อที่ถึงกำหนดแล้วแต่ยังไม่ได้
ชำระ ผู้เช่าซื้อสัญญาว่าจะต้องชำระแก่เจ้าของจนครบถ้วนและการบอกเลิก
สัญญาเช่าซื้อไม่เป็นการลบล้างสิทธิของเจ้าของบรรดาที่มีอยู่ก่อนวันเลิกสัญญา”
ข้อตกลงดังกล่าวเป็นการกำหนดความรับผิดในการที่จำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ไว้ล่วง
หน้า มีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ ซึ่งศาลอาจพิจารณากำหนดค่าเสียหายให้ตามเห็น
สมควรได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 383 วรรคหนึ่ง
45
(5) กรณีการรับผิดส่วนที่ขาดราคาได้มีการระบุเอาไว้และ
การเลิกสัญญานั้นเกิดขึ้นตามข้อสัญญา ผล ผู้เช่าซื้อต้องรับ
ผิดค่าขาดราค าตามที่ได้ตกลงไว้ในข้อสัญญาที่กำหนดไว้
ตัวอย่าง บริษัท โอราฟนำเข้ารถยนต์หรูได้ทำสัญญาเช่าซื้อกับ
มอคผู้เช่าซื้อ โดยมีข้อสัญญาข้อหนึ่งระบุว่า “ผู้เช่าซื้อมีสิทธิเลิก
สัญญาได้โดยนำรถที่เช่าซื้อส่งคืนให้แก่ บริษัท ของผู้ให้เช่าซื้อโดย
ยอมรับผิดในหนี้ที่เกิดขึ้นและผู้เช่าซื้อปฏิบัติตามนั้น” ข้อตกลงเช่นนี้
ถือเป็นการเลิกสัญญาตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญา กรณีนี้มิใช่เป็นการ
เลิกโดยปริยาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1938/2563 จำเลยทั้งสองเจตนา
จะบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อโจทก์โดยส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อ
กลับคืนให้เจ้าของ ณ ภูมิลำเนาของเจ้าของและตกลงที่จะรับ
ผิดในบรรดาหนี้ที่เกิดขึ้นจากการบอกเลิกสัญญานี้
อันเป็นการใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามข้อสัญญาเช่าซื้อ
หาใช่สัญญาเช่าซื้อเลิกกันโดยคู่สัญญาสมัครใจเลิกสัญญา
ต่อกันโดยปริยายไม่ โจทก์มีสิทธิเรียกค่าขาดราคาได้
46
(6) กรณีผู้เช่าซื้อผิดสัญญา แต่ผู้ให้เช่าซื้อมิได้บอกเลิกสัญญา
หรือมีการบอกเลิก แต่การบอกเลิกนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือยัง
ไม่ครบกำหนดเวลาบอกกล่าวทวงถาม แต่ผู้เช่าซื้อสมัครใจนำ
ทรัพย์สินที่เช่าซื้อมาคืนโดยผู้ให้เช่าซื้อมิได้โต้แย้งแต่ประการใด
กรณีจึงเป็นการเลิกสัญญาโดยปริยาย ผล ผู้เช่าซื้อไม่ต้องรับผิด
ค่าขาดราคาเพราะการเลิกมิได้เกิดจากเหตุผิดสัญญา แต่อาจต้อง
รับผิดค่าใช้ทรัพย์ (ค่าขาดประโยชน์) ตาม ป.พ.พ. มาตรา 391
วรรคสาม (ฎีกาที่ 3115/2562 2735/2561, 1538/2558,
2330/2558, 4607/2562)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2735/2561 โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อแก่
จำเลยโดยไม่ชอบสัญญาเช่าซื้อยังไม่เลิกกันตามข้อตกลงในสัญญา แต่
การที่โจทก์ยอมรับรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนจากจำเลยโดยไม่ปรากฏว่าโจทก์
ได้โต้แย้งคัดค้านถือว่าคู่สัญญาสมัครใจเลิกกันโดยปริยายตั้งแต่วันที่
โจทก์ได้รับรถคืนอันเป็นการเลิกสัญญาเช่าซื้อเพราะเหตุอื่นมิใช่เหตุที่คู่
สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาโดยข้อตกลงในสัญญา
หรือโดยผลแห่งกฎหมาย ทั้งตามสัญญาเช่าซื้อไม่มีข้อตกลงให้โจทก์มี
สิทธิเรียกร้องค่าขาดราคากรณีจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อและนำรถยนต์
ที่เช่าซื้อมาคืนโจทก์จึงไม่อาจเรียกเอาค่าขาดราคาจากจำเลยได้คงมีสิทธิ
เรียกร้องค่าเสียหายเป็นค่าใช้ทรัพย์หรือค่าขาดประโยชน์ระหว่างจำเลย
ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อถึงวันที่จำเลยส่งมอบรถคืนแก่โจทก์ตาม ป.พ.พ.
มาตรา 391 วรรคสาม
47
คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 4303/2561 จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ไม่ตรงตาม
วันเวลาและจำนวนงวดที่กําหนดมาตลอดตั้งแต่งวดแรก แต่ บริษัท พ.
ในฐานะตัวแทนก็รับชำระหนี้เรื่อยมาอันถือเป็นพฤติการณ์ที่คู่กรณีไม่
คำนึงถึงกำหนดเวลาเป็นสาระสำคัญ ดังนั้น หากโจทก์ประสงค์จะบอก
เลิกสัญญาโจทก์ต้องปฏิบัติตาม ป.พ.พ. มาตรา 387 เสียก่อน กล่าวคือ
ต้องมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ภายในกำหนดเวลาพอ
สมควรและถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ภายในกำหนดระยะเวลาจึงจะเลิก
สัญญาได้ เมื่อโจทก์ไม่ได้ดำเนินการดังกล่าวสัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์
กับจำเลยที่ 1 จึงยังไม่เลิกกัน การที่โจทก์ไปยึดรถคืนมาโดยจำเลยที่ 1
ไม่ได้โต้แย้งคัดค้าน พฤติการณ์ถือว่าคู่สัญญาต่างสมัครใจเลิก
สัญญากันโดยปริยาย โจทก์ย่อมไม่อาจเรียกค่าขาดราคารถยนต์ที่เช่า
ซื้อโดยอาศัยข้อตกลงตามสัญญาเช่าซื้อได้อีก (ฎีกาที่ 15358/2558
มีหนังสือทวงถามและบอกเลิกสัญญา แต่ผู้ให้เช่าซื้อไปยึดรถคืนโดยที่ไม่
พ้นกำหนดเวลาตามหนังสือบอกกล่าวทวงถามแต่ผู้เช่าซื้อยินยอมให้
ยึดรถและไม่โต้แย้งทักท้วง ถือว่าสัญญาเลิกกันโดยปริยายนับแต่วัน
ยึดรถจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดราคาโดยอาศัยสัญญาที่ระงับไปแล้วได้ไม่