The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by , 2022-11-28 04:01:30

มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี

มหาเวสสันดรชาดก

มหาเวสสั นดรชาดก
กัณฑ์มัทรี

จัดทำโดย

นายกิตติภัทร ลอยชื่ น ม.๕/๒ เลขที่๓

ผู้แต่ง

ประวัติ

เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เป็นขุนนางและ กวี เอกคนหนึ่งในสมัยต้น กรุงรัตนโกสินทร์ มี
นามเดิมว่า หน เกิดเมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด น่าจะอยู่ในช่วงปลายสมัย กรุง

ศรีอยุธยา และถึงแก่ อสัญกรรม ในสมัยรัชกาลที่ ๑ พ.ศ. ๒๓๔ ประวัติอื่น ๆ มีปรากฏ
น้อยเต็มที นอกเสียจากผลงานด้าน วรรณคดี ที่ท่านได้แต่งไว้หลายเรื่องด้วยกัน


การรับราชการ

-หลวงสรวิชิต (พระเจ้าตาก )
-นายด่านเมืองอทัยธานี (รัชกาลที่๑)
-พระยาพิพัฒน์โกษา (รัชกาลที่๑)
-เจ้าพระยาพระคลังเสนาบดีจตุสดมภ์กรมท่า (รัชกาลที่๑)

เจ้าพระยาคลัง (หน)

ผลงานการประพันธ์

๑. ลิลิตเพชรมงกุฎ ๑๑. กากีคำกลอน
๒. อิเหนาคำฉันท์ ๑๒. เพลงยาวเล่นว่าความ
๑๓. เพลงยาวปรารภ หรือ
๓. ราชาธิราช เพลงยาวปรารภถึงเรื่องวัฏฏสงสาร
๔. กลอนและร่ายจารึกเรื่องสร้างภูเขาที่วัดราชคฤห์ ๑๔. เพลงยาวตำรามโหรี
๑๕. เพลงยาวไหว้ครูมโหรี
๕. โคลงพยุหยาตราเพ็ชรพวง* ๑๖. โคลงภาพฤาษีดัดตน
๖. สามก๊ก


๗. ลิลิตศรีวิชัยชาดก
๘. ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์กุมาร
๙. ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี

๑๐. สมบัติอมรินทร์คำกลอน

ที่มาของเรื่องมหาเวสสั นดรชาดกกัณฑ์มัทรี

มาจากร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก ซึ่งเป็นชาดกเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุด โดยกล่าวถึงเรื่องราวของพระโพธิสัตว์ซึ่งเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร
เดิมแต่งเป็นภาษาบาลี ต่อมามีการแปลเป็นภาษาไทยในสมัยกรุงสุโขทัย ต่อมาในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ โปรดเกล้าฯให้ปราชญ์ราช

บัณฑิตแต่งมหาชาติคำหลวง ซึ่งเป็นมหาชาติสำนวนแรก โดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้สวด ในสมัยพระเจ้าทรงธรรม โปรดเกล้าให้แต่งกาพย์มหาชาติ
เพื่อใช้สำหรับเทศน์ แต่เนื้อความในกาพย์มหาชาติค่อนข้างยาว ไม่สามารถเทศน์ให้จบภายใน ๑ วัน จึงเกิดมหาชาติขึ้นใหม่อีกหลายสำนวน เพื่อ

ให้เทศน์จบภายใน ๑ วัน มหาชาติสำนวนใหม่นี้เรียกว่า มหาชาติกลอนเทศน์ หรือ ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก
ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯโปรดเกล้าฯให้มีการชำระและรวบรวมมหาชาติกลอนเทศสำนวนต่าง ๆ แล้วคัดเลือก
สำนวนที่ดีที่สุดของแต่ละกัณฑ์ นำมาจัดพิมพ์เป็นฉบับของหลวง ๒ ฉบับ คือ ฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ และ ฉบับกระทรวงศึกษาธิการ

จุดประสงค์

เพื่อใช้เทศน์ให้ประชาชนฟัง มหาเสสันดรชาดก แต่งขึ้นเพื่อใช้เทศน์มหาชาติ เนื่องจากร่าย
ยาวหมาเสสันดรชาดกเป็นชาดกเรื่องใหญ่ที่สุด เป็นชาติที่พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็น
พระเสสันดรซึ่งเป็นพระชาติสุดท้ายก่อนจะประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แล้วเสด็จออกผนวช
กระทั่งได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเรื่องราวในพระชาติที่เป็นพระเวสสันดรได้ทรง
บำเพ็ญทศบารมี ครบทั้ง ๑๐ ประการ โดนเฉพาะอย่างยิ่ง ทานบารมี ซึ่งทรงบริจาคบุตรทาร
ทาน คือ บริจาคพระชาลี พระกัณหา และพระนางมัทรี จึงเป็นชาติที่สำคัญและยิ่งใหญ่ เรียก

ว่า “มหาชาติ” หรือ “มหาเสสันดรชาดก”

เรื่องย่อ

พระนางมัทรีฝันร้ายว่ามีบุรุษมาทำร้าย จึงขอให้พระเวสสันดรทำนายฝันให้ แต่พระนางก็ยังไม่สบายพระทัย ก่อนเข้าป่า พระนางฝากพระโอรส
กับพระธิดากับพระเวสสันดรให้ช่วยดูแล หลังจากนั้นพระนางมัทรีก็เสด็จเข้าป่าเพื่อหาผลไม้มาปรนนิบัติพระเวสสันดรและสองกุมาร ขณะที่อยู่
ในป่า พระนางพบว่าธรรมชาติผิดปกติไปจากที่เคยพบเห็น เช่นต้นไม้ที่เคยมีผลก็กลายเป็นต้นที่มีแต่ดอก ต้นที่เคยมีกิ่งโน้มลงมาให้พอเก็บผลได้
ง่าย ก็กลับกลายเป็นต้นตรงสูงเก็บผลไม่ถึง ทั้งท้องฟ้าก็มืดมิด ขอบฟ้าเป็นสีเหลืองให้รู้สึกหวั่นหวาดเป็นอย่างยิ่ง ไม้คานที่เคยหาบแสรกผลไม้ก็
พลัดตกจากบ่า ไม้ตะขอที่ใช้เกี่ยวผลไม้พลัดหลุดจากมือ ยิ่งพาให้กังวลใจยิ่งขึ้นบรรดาเทพยดาทั้งหลายต่างพากันกังวลว่า หากนางมัทรีกลับ
ออกจากป่าเร็วและทราบเรื่องที่พระเวสสันดร ทรงบริจาคพระโอรสธิดาเป็นทาน ก็จะต้องออกติดตามพระกุมารทั้งสองคืนจากชูชก พระอินทร์จึง
ส่งเทพบริวาร 3 องค์ให้แปลงกายเป็นสัตว์ร้าย 3 ตัว คือราชสีห์ เสือโคร่ง และเสือเหลือง ขวางทางไม่ให้เสด็จกลับอาศรมได้ตามเวลาปกติ เมื่อ
ล่วงเวลาดึกแล้วจึงหลีกทางให้พระนางเสด็จกลับอาศรม เมื่อพระนางเสด็จกลับถึงอาศรมไม่พบสองกุมารก็โศกเศร้าเสียพระทัย เที่ยวตามหา
และร้องไห้คร่ำครวญ พระเวสสันดรทรงเห็นพระนางเศร้าโศก จึงหาวิธีตัดความทุกข์โศกด้วยการแกล้งกล่าวหานางว่าคิดนอกใจคบหากับชาย

อื่น จึงกลับมาถึงอาศรมในเวลาดึก เพราะทรงเกรงว่าถ้าบอกความจริงในขณะที่พระนางกำลังโศกเศร้าหนักและกำลังอ่อนล้า พระนางจะเป็น
อันตรายได้ ในที่สุดพระนางมัทรีทรงคร่ำครวญหาลูกจนสิ้นสติไป ครั้นเมื่อฟื้ นขึ้น พระเวสสันดรทรงเล่าความจริงว่า พระองค์ได้ประทานกุมาร
ทั้งสองแก่ชูชกไปแล้วด้วยเหตุผลที่จะทรงบำเพ็ญทานบารมี พระนางมัทรีจึงทรงค่อยหายโศกเศร้าและทรงอนุโมทนาในการบำเพ็ญทานบารมี

ของพระเวสสันดรด้วย

ลักษณะคำประพันธ์

มหาเวสสันดรชาดกเป็นมหาชาติกลอนเทศน์ มีลักษณะคำประพันธ์เป็นร่ายยาวที่มีคาถาบาลีนำ
ร่ายยาว บทหนึ่งไม่จำกัดจำนวนวรรค แต่ที่นิยมคือตั้งแต่ ๕ วรรคขึ้นไป และแต่ละวรรคก็ไม่จำกัดจำนวนคำเช่นกัน แต่ไม่ควรน้อยกว่า
๕ คำ ซึ่งคำสุดท้ายของวรรคหน้าจะส่งสัมผัสไปวรรคหลังคำใดก้ได้ แต่เว้นคำสุดท้ายของวรรคอาจจบลงด้วย “คำสร้อย” (คำสร้อย เช่น ฉะนี้

ดังนี้ นั้นเกิด นั้นแล แล้วแล ด้วยประการฉะนี้ เป็นต้น)

ถอดคำประพันธ์

เวลานั้นพระนางมัทรีได้ทรงเข้าไปหาผลไม้ในป่า ก็ทรงหวั่นกลัว เมื่อเห็นธรรมชาติผิดปกติไป ก็ทรงคิดถึงลูกทั้งสอง เดินไปก็เศร้าไป
ร้องไห้ไป พอดูผลไม้ในป่าจากที่เคยมีลูกก็มีแต่ดอก ทั้งดอกไม้ที่พระนางเคยร้อยไปฝากลูกทั้งสอง ท้องฟ้าก็แดงเป็นสายเลือด มืดหมดทั้งแปด
ทิศ ผลไม้ก็ยังมาหล่นจากมือ ยิ่งผิดสังเกตเลยรีบก้าวเท้าเดินโดยเร็ว มาถึงกลางทางก็ดันมาเจอสัตว์ทั้งสามตัว คือ พญาราชสีห์ พญาเสือเหลือง
และพญาเสือโคร่ง ยิ่งร้องไห้ รอเวลาก็คิดว่าป่านี้ลุกคงคอย หากจะเดินไปทางอื่นก็ไกลมาก มีทั้งขอนไม้ ก้อนหินมากมาย เลยกราบไหว้อ้อนวอน

ขอทางกลับ แล้วจะแบ่งผลไม้ให้สักครึ่ง
เทพทั้งสามที่แปลงกายมาเมื่อได้ฟังแล้วก็เห็นพระนางร้องไห้น้ำตาเต็มไปทั้งสองตาก็หลีกทางให้ พระนางรีบวิ่งไปแล้วร้องไห้ไปไม่ยอมหยุด สัก
พักก็ถึงอาศรม ถึงที่ที่ลูกทั้งสองเคยเล่นกันก็ไม่เห็น ใจเริ่มเริ่มหวั่นเรียกหาก็ไม่มี พระนางทรงพรรณนาถึงความหลังมากมายถึงลูกทั้งสอง คิดว่า

ลูกจะสิ้นใจไปเสียแล้ว
เมื่อตรัสถามพระเวสสันดรก็พูดไม่ใยดีแต่สักนิด คิดว่าคบชายอื่นแต่พระนางก็ไม่ถือโกรธเพราะทั้งลูกและสามีล้วนเป็นเพื่อนร่วมในยามยาก แต่
กราบทูลเท่าไรพระสามีก็ไม่ฟัง ไม่ตรัสตอบแต่คำเดียว จึงยิ่งทำให้พระนางมัทรียิ่งกลุ้มใจยิ่งขึ้น พระนางหนักใจเหลือเกิน เหมือนคนเอาเหล็กแดง

มาแทงใจให้เจ็บใจจนทนไม่ได้ ทั้งลูกก็หายไปแม่แทบทนไม่ไหว หากพระเวสสันดรไม่ใยดี เห็นว่าพระนางคงจะสิ้นใจอยู่ในป่านี้แล้ว

เมื่อพระเวสสันดรทรงได้ฟังพระนางมัทรีแล้ว จึงรีบคิดหาวิธีดับโศกให้ ว่าพระนางมีพักตร์อันผุดผ่องเสมือนเอาน้ำทองเข้ามาทาบทับ
ผิว เหมือนเป็นนางฟ้าลงมา ใครเห็นก็อยากจะชื่นชม พระองค์เลยเลยพูดกล่าวโทษว่าไปลอบคบชายอื่น แล้วยังมามารยา เมื่อตอนเช้าก่อนจะไป
ยังทำเป็นห่วงใยลูกไม่อยากจาก แต่ไปซะนานเพิ่งจะกลับมาเอาปานนี้ หรือจะไปติดใจผลไม้ดีๆ แล้วลืมลูกลืมสามี ช่างไม่รู้จริงๆ กับใจหญิง หาก

เป็นเหมือนเมื่อก่อนนั้นตอนที่เป็นกษัตริย์ พระนางก็คงไม่มีชีวิตอยู่ เพราะพระองค์จะสั่งประหาร ร่างกายก็ขาดสบั้นไปทันตาแล้ว
ส่วนพระนางมัทรีเมื่อได้ฟังคำพระเวสสันดรก็ทรงเจ็บใจและหายทุกข์โศกลงบ้าง แล้วก้มกราบบังคมทูลพระเวสสันดรว่าที่พระนางมาช้าเพราะว่า
ภายในป่าทั้งผลไม้ต้นไม้ พืชพรรณนานาชนิดมันแปรปรวนหมด ทั้งป่ามืดทั้งแปดทิศ พระนางก็รีบวิ่งไม่หยุดหย่อน แต่ก็มาเจอสัตว์ราชสีห์ และ
เสืออีกสองตัว กัดไว้ จนเวลาตะวันตกดินแล้วจึงมาได้พระนางพยายามอธิบายและแสดงความจงรักภักดีต่อพระเวสสันดร ว่าพระนางเป็นเพื่อน
ยากให้พระองค์มาตลอดแล้วเห็นตรงไหนที่ผิดสังเกตบ้าง เมื่อไม่ว่าจะทุกข์ยากยังไงก็ทนหาผลไม้ เข้าไปในป่าก็โดนขุดขวนจนเป็นริ้วรอยเลือด
ไหล พระนางทรงรักสามีเหมือนดังบิดาของตน ไม่เคยคิดที่จะนอกใจ ด้วยพระคุณพระกรุณาให้พระเวสสันดรทรงให้อภัยความผิดครั้งนี้ของนาง

ด้วย
เมื่อพระนางมัทรีทรงกราบทูลไปแล้วพระเวสสันดรก็ยังนิ่งเฉยไม่กล่าวอะไร พระนางจึงออกอาการเศร้าโศกยิ่งสะอึกสะอื้น และกราบบังคมออก
มาเที่ยวตามหาพระกุมารทั้งสองตามสถานที่ต่างๆ รำลึกถึงความหลังเมื่อถึงสถานที่ตรงที่พระกุมารทั้งสองเคยเล่นกัน ยิ่งมองในน้ำก็มีแต่น้ำขุ่น
มองป่าก็จากที่เคยดำผุดดำว่ายอยู่ก็ไม่มี นกที่เคยบินลงจิกอาหารก็ไม่เห็น ทุกอย่างแปลกตาแปรปรวนไปทุกอย่างยิ่งทำให้ใจหาย ออกตามหาต่อ
เมื่อได้ยินเสียงอะไรก็คิดว่าเป็นเสียงพระกุมารทั้งสอง มองเห็นอะไรตะคุ่มๆ ก็คิดว่าจะเป็นพระกุมารทั้งสอง ทุกอย่างรอบกายที่ได้ยินได้เห็นก็คิด
ว่าจะเป็นลุกทั้งสอง จึงกล่าวว่า เวลาปานนี้จะดึกดื่น จนจะรุ่งแล้วก็ไม่รู้เลย ลมพัดเรื่อยๆอกแม่เองก้อ่อนล้า ทั้งดาวเดือนก็ลับกิ่งไม้ลง ฝูงลิงฝูง
ค้างก็เที่ยวกลับเกลือกอยู่มากมาย นกก็เงียบไปทุกรัง แต่ตัวแม่ยังคงเที่ยวตามหาลูกอยู่ในป่าทุกหนแห่ง สุดแล้วสายตาที่แม่จะตามลูกไปดูแล สุด
ที่จะได้ยินเสียง สุดปัญญาสุดค้นหาสุดที่จะคิดแล้วที่แม่จะได้พบลูกน้อยแต่รอยสักนิดก็ไม่มี ลูกทั้งสองเจ้าเอ๋ย หรือว่าเจ้าทั้งสองจะสิ้นเสียแล้ว

เหมือนดังที่แม่ได้ฝันเมื่อคืน

เมื่อพระนางมัทรีทรงตามหาแล้วจนทั่วแห่งละ ๓ หน ก็ยังไม่เจอ ทรงหมดเรี่ยวแรง และเมื่อกลับมาที่อาศรมก็เหมือนจะสิ้นใจลงตรงนั้น ทรง
พรรณนาถึงลุกทั้งสอง ทรงร้องไห้น้ำตานองหน้าตลอดตั้งแต่ตามหาก็ยังไม่หยุด คร่ำครวญร้องไห้ หากว่าพระนางรู้ว่าลูกอยู่หนแห่งใดก็จะไป
ตามหาหรือลูกจะข้ามน้ำทะเลไปเขตแคว้นอื่นแล้ว หากแม่รู้แม่จะไปตามลูกด้วยเรี่ยวแรงที่เหลือ เมื่อตอนเช้าแม่ยังได้กอดจูบลูกอยู่แต้ตอนนี้ไม่
เห็นเสียแล้ว ยามลูกทั้งสองอยู่แม่กล่อมเจ้าแล้วต่อแต่นี้แม่จะกล่อมใครให้นิทรา แม่คิดว่าเจ้าจะได้เป็นเพื่อนยากกันยามหน้าแม่จะได้ฝากผีพึ่งลูก
ทั้งสองคน แต่เจ้าก็ทิ้งแค่ชื่อไว้ให้เปล่าออก แล้วสมควรหรือไงที่มาสลัดทิ้งแม่ไปให้แม่ต้องเสียใจ และจะสิ้นใจเสียให้ เลยกราบบังคมทูลน้อมศีรษะ
ลงต่อพระเวสสันดรเพื่อที่จะได้รู้ แล้วกราบบังคมลาเมื่อเท้าย่องย่างก็ไม่ไหวต่อร่างกายที่อ่อนล้า ร่างกายหน้าตาง่วงงอให้พระนางไม่ไหวไม่ทันได้
บังคมทูล พอพูดพระคุณเจ้าเอ๋ยแค่คำเดียวเท่านั้นก็ไม่มีเสียง ตาหลับร่างลงสลบตรงหน้าพระเวสสันดร ดั่งพุ่มฉัตรทองถูกสายอัสนีฟาดลง

ระเนนเอนแล้วก็ล้มลงตรงหน้าพระที่นั่งพระเวสสันดรทันที
เวลานั้นพระเวสสันดรก็ทรงทอดพระเนตรเห็นพระนางมัทรีสลบไปก็คิดว่าพระนางจะสิ้นใจแล้ว จึงพรรณนาว่า บุญของพี่นี้น้อยนักเพื่อนยาก
เจ้ามาตายจากพี่ไปภายในวัด เจ้าจะเอาป่าแห่งนี้เป็นป่าช้า จะเอาอาศรมหลังนี้หรือเป็นบริเวณเมรุทอง จะเอาเสียงสาริดร่ำร้องเสียงจักจั่นและเรไร
อันร่ำร้องหรือมาเป็นกลองประโคมใน และแตรสังข์เป็นพิณพาทย์ จะเอาเมฆหมอกเป็นเพดาน จะเอายุ่งในป่าหรือมาแต่งฉัตรเงินและฉัตรทอง
แล้วจะเอาแสงพระจันทร์หรือมาเป็นแสงไฟประดับ ช่างน่านิจจามัทรีมาตายไร้ญาติอยู่ในป่า เมื่อได้ตั้งสติลดโศกเศร้าจึงพิจารณาก็รู้ว่ายังไม่สิ้น

จึงเอาผ้ากับน้ำมาประคบเพื่อให้ฟื้ น ยกศีรษะพระนางตั้งบนตัก แล้วประคบเพื่อให้นางฟื้ นตื่นขึ้นมา
เมื่อพระนางมัทรีตื่นขึ้นมาเห็นตนนอนอยู่บนตักพระเวสสันดร ก็เห็นว่ามิควร เลยรีบลุกแล้วถัดลงไป ก็ทรงทูลถามพระเวสสันดรต่อว่าลูกทั้ง
สองอยู่ที่ไหน พระองค์ทรงเล่าให้ฟังว่า ได้ให้ทานแก่พราหมณ์เมื่อวานนี้แล้ว ขอให้พระนางจงอย่าโศกเศร้าไปเลย ให้ศรัทธาในการทำทานครั้งนี้
หากเรายังมีชีวิตอยู่ต้องได้เจอกันสักวัน พระองค์จะต้องให้ผู้ที่มาขอ ถึงแม้จะมีผู้มาขอเนื้อหนัง เลือด หรือจะเป็นดวงตา พระองค์พร้อมที่จะให้

และถ้าหากพระองค์มีเงินทองมากมาย หากมียาจกมาไหว้วอนขอก็จะให้เช่นกัน มัทรีจงช่วยอนุโมทนาทานในครั้งนี้ด้วย
พระนางมัทรีทรงถามว่า เมื่อวานนี้ทำไมพระองค์ไม่บอกให้รู้ พระเวสสันดรจึงตอบว่า หากจะเล่าให้พระนางฟังก็สุดใจมาจากป่าไกลยังเหนื่อยอยู่
และด้วยความรักร้อนรนที่มีต่อลูก ที่ลูกทั้งสองไปไกลตา พระนางมัทรีเลยพูดต่อว่า พระกุมารทั้งสองคนพระนางอุตสาถนอม เลี้ยงดูมา ก็ขอ

อนุโมทนาด้วยปิยบุตรทานบารมีด้วย ขอให้น้ำพระทัยพระองค์จงผ่องแผ้วอย่ามีมัจฉริยธรรมอกุศลอย่าปนในน้ำพระทัยของพระองค์

ข้อคิด

ความรักของแม่ที่มีต่อลูกนั้นยิ่งใหญ่นัก แนวคิด พระนางมัทรีมีความรัก
ในสองกุมารยิ่งนัก พระนางทุ่มเททั้งกำลังกาย กำลังสติปัญญาที่มีเพื่อ
ค้นหาสองกุมารจนหมดสิ้นเรี่ยวแรง และสิ้นเสียงที่ร่ำร้องเรียกหา พระนา
งมัทรีดั้นด้นตามหาสองกุมารในป่าโดยมิได้พรั่นกลัวต่อภยันตรายเลยถึง

๓ รอบ จนกระทั่งหมดกำลังและสิ้นสติไปในที่สุด

คุณค่าที่ได้จากเรื่อง

๑.คุณค่าด้านวรรณศิลป์
๑.๑ ใช้ถ้อยคาไพเราะ มีการเล่นคา เล่นสัมผัสอักษร มีการใช้โวหารภาพพจน์ และการพรรณนาให้เกิดความรู้สึกที่ละเอียดอ่อน รวมทั้ง

เกิดจินตภาพชัดเจน
๑.๒ เนื้อหาของกัณฑ์มัทรีแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างธรรมชาติกับอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครได้อย่างชัดเจน จะเห็นได้จาก

ตอนที่เกิดเรื่องร้ายแก่พระนางมัทรีขณะที่หาผลาหารอยู่ในป่า

๒. คุณค่าด้านสังคม
๒.๑ สะท้อนให้เห็นค่านิยมแนวโลกุตตรธรรมของประชาชนว่า มีความปรารถนาจะบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ
๒.๒ เรื่องพระมหาเวสสันดรชาดก เป็นวรรณกรรมที่เกิดขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น จึงเป็นภาพสะท้อนชีวิตความเป็นอยู่
ขนบธรรมเนียม และค่านิยมของคนในยุคนั้น ๆได้ดีว่า มีการซื้อขายบุคคลเป็นทาส นิยมการบริจาคทานเพื่อหวังบรรลุนิพพาน มีความเชื่อเรื่อง
ลางบอกเหตุ เชื่อเรื่องอำนาจของเทพยดาฟ้าดินต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังแสดงภาพชีวิตในชนบทเกี่ยวกับการละเล่นและการเล่นซ่อนหาของเด็ก ๆ
๒.๓ ให้แง่คิดเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของผู้หญิงในฐานะที่เป็นแม่และเป็นภรรยาที่ดี ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด
๒.๔ มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี สะท้อนแนวคิดสำคัญเกี่ยวกับความรักของแม่ที่มีต่อลูกอย่างสุดชีวิต
๒.๕ ข้อคิด คติธรรม ที่สามารถนาไปใช้ในชีวิตประจาวันของทุกคนได้ เกี่ยวกับการเป็นคู่สามีภรรยาที่ดี การเสียสละ เป็นคุณธรรมที่น่า

ยกย่อง และการบริจาคทาน เป็นการกระทาที่สมควรได้รับการอนุโมทนา


Click to View FlipBook Version