ที่มาและความสำคัญ
ของประเทศจีน
C中HIN国A 1
ที่มาและความสำคัญ
สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นรัฐเอกราชในเอเชียตะวันออก เป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก
กว่า 1,400 ล้านคน เป็นรัฐพรรคการเมืองเดียวปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน มีเมืองหลวงอยู่ที่กรุงปักกิ่ง
ประเทศจีนแบ่งการปกครองออกเป็น 22 มณฑล (ไม่รวมพื้นที่พิพาทไต้หวัน) , 5 เขตปกครองตนเอง ,
4 นครปกครองโดยตรง (ปักกิ่ง เทียนจิน เซี่ยงไฮ้ และฉงชิ่ง) , และ 2 เขตบริหารพิเศษ ได้แก่ ฮ่องกง
และมาเก๊า
ประเทศจีนมีพื้นที่ 9.6 ล้านตารางกิโลเมตร นับเป็นประเทศที่มีพื้นที่ทั้งหมดใหญ่ที่สุดในโลกเป็นอันดับ 3
หรือ 4 แล้วแต่วิธีการวัด ลักษณะภูมิประเทศของจีนมีความหลากหลาย ตั้งแต่ป่าสเต็ปป์และทะเลทรายในพื้นที่
แห้งแล้งทางตอนเหนือของประเทศติดกับ
ประเทศมองโกเลียและไซบีเรียของรัสเซีย และป่าฝนกึ่งโซนร้อนในพื้นที่ชื้นทางใต้ซึ่งติดกับเวียดนาม ลาว
และพม่า ส่วนภูมิประเทศทางตะวันตกนั้นขรุขระและเป็นที่สูง โดยมีเทือกเขาหิมาลัยและเทือกเขาเทียนชานกั้น
เป็นพรมแดนตามธรรมชาติกับประเทศอินเดีย เนปาล และเอเชียกลาง ในทางตรงกันข้าม แนวชายฝั่งด้าน
ตะวันออกของจีนแผ่นดินใหญ่นั้นเป็นที่ราบต่ำ และมีแนวชายฝั่งยาว 14,500 กิโลเมตร (ยาวที่สุดเป็นอันดับ
ที่ 11 ของโลก) ซึ่งติดต่อกับทะเลจีนใต้ทางใต้ และทะเลจีนตะวันออกทางตะวันออก นอกจากนี้ยังมีประเทศที่
เป็นเกาะอยู่ใกล้เคียง ได้แก่ เกาหลี และญี่ปุ่น
อารยธรรมเจริญมานานที่สุดประเทศหนึ่งของโลก มีหลักฐานจารึกในประวัติศาสตร์มานานเกือบ ๔,๐๐๐ ปี
และจากข้อมูลทางโบราณคดี เท่าที่ค้นพบในปัจจุบันพบว่า เมื่อประมาณ ๑ ล้านปีก่อน มนุษย์สมัยดึกดำบรรพ์
ได้เริ่มมีชีวิตอยู่ในดินแดนที่เริ่มเป็นประเทศจีนนี้อยู่แล้ว "มนุษย์หยวนเหมา" มนุษย์วานรที่กลายเป็นหินที่ขุด
พบในเขตท้องที่หยวนเหมาในมณฑลยูนาน กับมนุษย์หลันเถียน มนุษย์วานรที่กลายเป็นหินที่ขุดพบในเขต
ท้องที่หลันเถียน มณฑลซานซี ล้วนเป็นมนุษย์สมัยดึกดำบรรพ์ในประเทศจีนที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไปแล้ว
เมื่อประมาณสี่แสนปีมาแล้ว มนุษย์ปักกิ่งเป็นมนุษย์วานรที่มีชีวิตอยู่ในเขตท้องที่โจวเค่าเหี้ยน
ทางชานเมืองปักกิ่ง นั้นมีลักษณะความเป็นมนุษย์ครบถ้วนทุกประการคือ ยืนตัวก้าวเดินได้ สร้างเครื่องใช้
ไม้สอยขึ้นใช้ได้เอง และรู้จักใช้ไฟแล้ว
ประเทศจีนเคยผ่านประวัติศาสตร์สมัยที่ถือสกุลมารดาเป็นใหญ่ในครอบครัว เมื่อประมาณ ๖,๐๐๐ -
๗,๐๐๐ ปีมาแล้ว เป็นวัฒนธรรมอิ่งสาว ส่วนวัฒนธรรมหลงซัน เมื่อประมาณ ๕,๐๐๐ ปีมาแล้ว เป็นการถือ
สกุลบิดาเป็นใหญ่ในครอบครัว
ในสมัยราชวงศ์เสี้ย ก่อนคริสตกาล ๔ ศตวรรษ และก่อนคริสตกาล ๑๖ ศตวรรษ เป็นราชอาณาจักร
เริ่มมีระบบทาสเกิดขึ้นในจีนในสมัยราชวงศ์ซัง ที่สืบต่อจากราชวงศ์เสี้ย เป็นช่วงเวลาวิวัฒนาการของสังคม
ระบอบทาส เริ่มมีการกสิกรรม และการปศุสัตว์ เริ่มรู้จักเลี้ยงไหม สาวไหมและทอผ้าไหม เริ่มหล่อหลอมทอง
สำริด มีอักษรจีนแบบตายตัว มีคำจารึกบนกระดองเต่า กระดูกสัตว์ และแผ่นทองเหลือง
มนุษย์หยวนเหมา
ต่อมาเป็นสมัยซีโจว ประมาณ ๑๑ ศตวรรษก่อนคริสตกาล ถึง ๗๗๐ ปีก่อนคริสตกาล มีการผลิตทาง
กสิกรรมค่อนข้างเจริญ และมีการต้มกลั่นสุรากันมาก เมื่อราชวงศ์ซีโจวสิ้นอำนาจ ต้องย้ายราชสำนักโจวไปยัง
เมืองเลาะอี้ ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก (เมืองลั่วหยังในมณฑลเหอหนานในปัจจุบัน) ในประวัติศาสตร์เรียกว่า
ตงโจว แบ่งออกเป็นชุนชิว (๗๗๐ - ๔๗๖ ปีก่อนคริสตกาล) กับจ้านกว๋อ (๔๗๕ - ๒๒๑ ปีก่อนคริสตกาล)
เป็นระยะที่ผ่านสังคมทาสเข้าสู่สมัยสังคมศักดินา รู้จักใช้เหล็กทำเครื่องมือกสิกรรม เริ่มไถนาด้วยวัวควาย ขยาย
พื้นที่เพาะปลูกใหญ่ขึ้นมาก ชนชั้นเจ้าที่ดินที่เกิดขึ้นใหม่ได้เข้าแทนที่ชนชั้นเจ้าของทาส จากสมัยชุนชิวถึงสมัย
จ้านกว๋อ มีการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างรุนแรง มีการแบ่งก๊กแบ่งเหล่าออกไปกว่า ๑๔๐ ก๊กด้วยกัน เมื่อมา
ถึงสมัยจ้านกว๋อก็เหลือก๊กใหญ่ ๆ อยู่เจ็ดก๊กด้วยกันคือฉี ซู่ เอี้ยน จ้าว หาน ฮุ้ยและฉิน มีการต่อสู้ภายในของ
เจ็ดก๊กดังกล่าว มีปราชญ์ที่สำคัญ ๆ ในสมัยนี้อยู่หลายคน เช่น ขงจื๊อ เล่าจื้อและเม่งจื๊อ เป็นต้น
ในช่วงระยะเวลาเกือบ ๗๐๐ ปีตั้งแต่สมัยจ้านกว๋อถึงปลายสมัยตงฮั่น (๔๗๕ - ๒๒๐ ปีก่อน ค.ศ.)
ประชาชนผู้ใช้แรงงานหลุดพ้นจากภาวะความเป็นทาสเป็นอันมาก กลายเป็นชาวนาที่เป็นเอกเทศ
ก่อนคริสตกาล ๒๒๑ ปี กษัตริย์ฉินสือหวัง ยุบเลิกการแบ่งเขตอิทธิพลในสมัยจ้านกว๋อ ก่อตั้งราชวงศ์
ฉินขึ้น รวมหลายสิบชนชาติขึ้นเป็นเอกภาพ กษัตริย์จีนเป็นผู้เกื้อกูลกรรมสิทธิ์ในที่ดิน พัฒนาการคมนาคม ใช้
ตัวอักษรจีน เงินตราและมาตราชั่งตวงวัดที่เหมือน ๆ กัน
ก่อนคริสตกาล ๒๐๖ ปี ได้ตั้งราชวงศ์ซีฮั่น ได้สร้างงานชลประทานที่มีขนาด และแบบแผนที่ใหญ่โต
การค้าในประเทศเจริญรุ่งเรือง การค้ากับต่างประเทศ ก็พัฒนาขึ้นมาก เกิดหัวเมืองสำคัญ ๆ ขึ้นหลายแห่ง
จนถึงปี ค.ศ.๒๕ หลิวซิ่วจึงได้ตั้งราชวงศ์ตงฮั่นขึ้น
ราชวงศ์ฉิน ราชวงศ์ซีฮั่น และราชวงศ์ตงฮั่น ต่างถูกชาวนาลุกขึ้นโค่นล้ม ภายใต้สถานการณ์ที่แก้
ความขัดแย้งในสังคมไม่ได้
เหรียญแห่งราชวงศ์
การตั้งราชอาณาจักรฮุ้ย ราชอาณาจักรซู่ และราชอาณาจักรอู่ขึ้นเป็นเอกภาพในสมัยจิ้น ในสมัยราชวงศ์จิ้น
และราชวงศ์หนานเป่ย ชนชาติส่วนหนึ่งทางภาคเหนือได้ปรองดองกัน ในสมัยราชวงศ์สุยได้มีการขุดลอกคลอง
ขุดสายใหญ่จากเมืองลั่วหยังไปยังเมืองหางโจวเดิม คลองขุดสายนี้เป็นคลองขุดเก่า ต่อมาได้ขุดลอกเป็นคลองขุด
สายใหญ่ ที่เชื่อมต่อภาคใต้กับภาคเหนือวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมในสมัยราชวงศ์สุย และราชวงศ์ถังเจริญ
รุ่งเรืองมาก เริ่มใช้เบ้าพิมพ์ในสมัยราชวงศ์ถัง มีการนำดินระเบิดมาใช้ในปลายสมัยราชวงศ์ถัง
ความแตกแยกในห้ารัชสมัยคือ เหลียว ซิง ซี เซี้ยและจิต แล้วจึงนำมาสู่ความเป็นปึกแผ่นในสมัย
ราชวงศ์หยวน มีระยะเวลาประมาณ ๔๖๐ ปี (ค.ศ.๙๐๗ - ๑๓๖๘)
การค้ารวมถึงการค้าต่างประเทศในสมัยราชวงศ์ซ่ง และราชวงศ์หยวนเจริญมาก พ่อค้าและนักท่อง
เที่ยวชาวต่างประเทศ เข้ามาทำการค้าขายและท่องเที่ยวเมืองจีนกันมาก
จากต้นสมัยราชวงศ์เหม็ง ถึงกลางสมัยราชวงศ์เซ็ง ระยะเวลาประมาณ ๔๗๐ ปี (ค.ศ.๑๓๖๘ -
๑๘๔๐) การผลิตทางกสิกรรมและหัตถกรรมในสมัยราชวงศ์เหม็ง ได้ก้าวหน้าไปมีการผลิตที่มีขนาดใหญ่ขึ้น
ในสมัยราชวงศ์เซ็ง อาณาจักรทางทิศตะวันตกจรดทะเลสาบคาบากิน และปามีร์ ทิศเหนือจรด
ไซบีเรีย ทิศตะวันออกเฉียงเหนือเลียบภูเขาชิงอัน ด้านนอกจรดทะเล ทิศตะวันออกจรดมหาสมุทรแปซิฟิค
รวมทั้งเกาะไต้หวัน และเกาะโดยรอบเกาะไต้หวัน ทิศใต้จรดหมู่เกาะหมานซา ทิศตะวันตกเฉียงใต้รวมทั้งธิเบต
และยูนาน ในอาณาจักรที่กว้างใหญ่เป็นเอกภาพ และมากด้วยชนชาติต่าง ๆ มีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ และ
วัฒนธรรมอย่างแนบแน่น
ราชวงศ์สุย
ในคริสตศวรรษที่ ๑๖ อาณาจักรรัสเซีย ในสมัยพระเจ้าซาร์ได้พยายามแพร่อิทธิพลไปสู่ไซบีเรีย ในกลางค
ริสตศตวรรษที่ ๑๗ รัสเซียได้ลุกล้ำแม่น้ำเฮยหลงเจียงที่อยู่ในปกครองของจีนตลอดมา จักรพรรดิ์คังจี
(ค.ศ.๑๖๖๒ - ๑๗๒๒) ได้ยับยั้งการแผ่อิทธิพลของรัสเซียไว้ได้ ค.ศ.๑๖๘๙ จีนกับรัสเวียได้ตกลงทำสนธิ
สัญญานีบูซู กันอย่างเสมอภาค และได้ตราเป็นกฎหมายว่า ดินแดนอันกว้างใหญ่แถบลุ่มแม่น้ำเฮยหลงเจียง
และลุ่มแม่น้ำอูซุลี เป็นดินแดนจีน
จีนมีการไปมาหาสู่ฉันท์มิตรกับประเทศต่าง ๆ มาแต่โบราณกาล เมื่อประมาณ ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว ใน
สมัยราชวงศ์ฮั่นได้มีผู้บุกเบิกทางไปสู่เอเซียกลางและเปอร์เซีย (อิหร่าน) สิ่งทอด้วยไหม และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ
ในสมัยราชวงศ์ฮั่น ถูกส่งไปยังเอเซียตะวันตกเฉียงใต้กับยุโรป โดยเส้นทางสายนี้เรียกกันว่า ทางสายแพรไหม
เป็นการส่งเสริมแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจ และวัฒนธรรมระหว่างโลกตะวันตก กับโลกตะวันออก ในสมัย
ราชวงศ์ถัง ประเทศต่าง ๆ มีการคมนาคมติดต่อกันทั้งทางบก และทางเรือ จีน เกาหลี ญี่ปุ่น อินเดีย เวียดนาม
เปอร์เซีย ตลอดจนกลุ่มประเทศอาหรับ ประเทศต่าง ๆ ส่งคณะทูตมาเจริญสัมพันธไมตรีกับราชวงศ์ถังอยู่ไม่ขาด
เมืองฉางอาน อันเป็นราชธานีของราชวงศ์ถังมีพวกพ่อค้า ศิลปินศาสนิกชนของศาสนาต่าง ๆ มาพำนักอยู่เป็น
เรือนพัน
ราชวงศ์ถัง