การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต คู่มือการเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี (Free range) ของศูนย์การเรียนรู้เทคโนโลยี การเกษตร วิทยาลัยชุมชนยะลา ภายใต้โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ที่ปรึกษา : นายวิชาพร ชินประพัทธ์ ผู้อำ นวยการวิทยาลัยชุมชนยะลา นางสุภามาศ เพชรรัตน์ ผู้อำ นวยการศูนย์วิจัยและส่งเสริม การเรียนรู้ตลอดชีวิต ผู้จัดทำ : นางสาวฮานีย๊ะ กะโด ผู้รับผิดชอบโครงการ พิมพ์ครั้งที่ 1 : เดือนกันยายน พุทธศักราช 2566 จัดพิมพ์โดย : ศูนย์วิจัยและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต วิทยาลัยชุมชนยะลา สถาบันวิทยาลัยชุมชน เลขที่ 2 ถนนสุขยางค์ 1 ตำ บลสะเตง อำ เภอเมือง จังหวัดยะลา 95000 โทรศัพท์ : 0-7321-6646-7 พิมพ์ที่ : บริษัท เอสพริ้นท์ (2004) จำกัด โทรศัพท์ 0-7325-5555
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต คำ นำ คู่มือการเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี (Free range) ของศูนย์การเรียนรู้ เทคโนโลยีการเกษตร วิทยาลัยชุมชนยะลา เป็นการจัดทำ ขึ้นเพื่อเผยแพร่ และประชาสัมพันธ์ให้แก่เกษตรกร หรือผู้ที่สนใจในเรื่องการเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี หรือปล่อยอิสระ เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคส่วนมากให้ความสำคัญในเรื่องสุขภาพ ความปลอดภัยด้านอาหารกันมากขึ้น รูปแบบการเลี้ยงไก่เบตงจึงจำ เป็นที่จะ ต้องตระหนักถึงสวัสดิภาพและการให้ผลผลิตที่ดี สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับไก่ที่เลี้ยง และที่สำ คัญความปลอดภัยของผู้บริโภค จึงได้จัดทำ คู่มือเพื่อเป็นแนวทาง การเลี้ยงไก่เบตงให้เกษตรกร หรือผู้ที่สนใจได้ใช้ประโยชน์ต่อไป วิทยาลัยชุมชนยะลา ก
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต สารบัญ หน้า คำ นำ ก สารบัญ ข สารบัญตาราง ค บทที่ 1 บทนำ 1 ประวัติความเป็นมาของไก่เบตง 1 ลักษณะประจำ พันธุ์ 3 บทที่ 2 การเลี้ยงไก่เบตงในระยะต่างๆ 7 การเลี้ยงลูกไก่อายุ 0-4 สัปดาห์ 7 การเลี้ยงไก่เบตงอายุ 5-16 สัปดาห์ 11 การเลี้ยงไก่เบตงอายุ 17-20 สัปดาห์ 14 การเลี้ยงไก่พ่อแม่พันธุ์อายุ 20-72 สัปดาห์ 17 พืชธรรมชาติใช้เป็นวัตถุดิบอาหารไก่ 18 บทที่ 3 การฟักไข่ 26 ปัจจัยที่สำคัญในการฟักไข่ 27 การคัดเลือกพันธุ์ไก่เบตง 30 บทที่ 4 โรงเรือนและอุปกรณ์ที่ใช้ในการเลี้ยง 31 โรงเรือนเลี้ยงไก่ 31 อุปกรณ์ในการเลี้ยงสัตว์ปีก 34 บทที่ 5 โรคที่สำ คัญของไก่เบตง 37 โรคนิวคาสเซิล 38 โรคฝีดาษ 39 โรคหวัดติดต่อ 40 โรคอหิวาต์เป็ด-ไก่ 40 โรคพยาธิ 41 วัคซีนสัตว์ปีก 43 เอกสารอ้างอิง 47 ข
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต สารบัญตาราง หน้า ตารางที่ 2.1 น้ำหนักตัว ปริมาณอาหารและวิธีการจัดการต่างๆ 8 ของลูกไก่เบตง อายุ 0-4 สัปดาห์ ตารางที่ 2.2 ส่วนประกอบและสูตรอาหารลูกไก่เบตง อายุ 0-4 สัปดาห์ 9 ตารางที่ 2.3 น้ำหนักตัว ปริมาณอาหารและวิธีการจัดการต่างๆ 12 ของไก่เบตง อายุ 5-16 สัปดาห์ ตารางที่ 2.4 ส่วนประกอบและสูตรอาหารไก่เบตง อายุ 5-16 สัปดาห์ 13 ตารางที่ 2.5 น้ำหนักตัว ปริมาณอาหารและวิธีการจัดการต่างๆ ของไก่เบตง 15 อายุ 17-20 สัปดาห์ ตารางที่ 2.6 ส่วนประกอบและสูตรอาหารไก่เบตง อายุ 17-20 สัปดาห์ 16 ตารางที่ 2.7 องค์ประกอบและแร่ธาตุต่างๆ ของตัวอย่างแหนแดง 21 ตารางที่ 2.8 องค์ประกอบทางเคมีของแหนแดง 21 โดยวิธี Atomic Absorption spectrophotometer และปริมาณลิกนิน ที่ทำการเพาะเลี้ยงในกระชัง ขนาด 32 ตารางเมตร ตารางที่ 2.9 ตัวอย่างการศึกษาองค์ประกอบของกรดอะมิโนของแหนแดง 22 ตารางที่ 5.1 สภาพที่บ่งบอกถึงความผิดปกติในฝูงไก่เบตงที่สำคัญ 37 ตารางที่ 5.2 การใช้วัคซีนอหิวาต์เป็ด-ไก่ 45 ตารางที่ 5.3 การใช้วัคซีนกาฬโรคเป็ด 46 ค
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ไก่เบตงอารมณ์ดี คือไก่เบตงที่เลี้ยงแบบปล่อยหรือกึ่งปล่อยกึ่งปิด คล้ายกับการเลี้ยงไก่ของคนไทยในสมัยก่อน หัวใจสำคัญคือการมีพื้นที่ให้ไก่ได้เดินเหิน อย่างอิสระ ได้คุ้ยเขี่ยหาอาหารเองบ้าง เป็นการช่วยลดความเครียด ผลพลอยได้คือ ผลผลิตไข่ที่ดกดี และยังได้รับการยอมรับในเรื่องของความปลอดภัย เพราะการเลี้ยง ไก่ในลักษณะนี้โดยมากมักหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีหรือฮอร์โมน การเลี้ยงแบบนี้ จึงเป็นที่ต้องการและตอบโจทย์ผู้บริโภคที่รักสุขภาพ อีกทั้งเป็นโอกาสอันดียิ่งของ เกษตรกรและผู้สนใจที่จะหันมาประกอบอาชีพผู้เลี้ยงไก่ที่ใช้ต้นทุนต่ำ เพื่อสร้าง รายได้ทั้งต่อตนเองและครอบครัว 1.1 ประวัติความเป็นมาของไก่เบตง เบตง เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดยะลา ซึ่งอยู่ใต้สุดของประเทศไทย มีอาณาเขตติดต่อกับรัฐเคดา ประเทศสหพันธรัฐมาเลเซีย ลักษณะเป็นพื้นที่สูง ราษฎรส่วนใหญ่เป็นคนไทยเชื้อสายจีน มีอาชีพในการทำสวนยางพาราเป็นหลัก และเป็นแหล่งกำเนิดไก่ที่มีชื่อเสียงมากพันธุ์หนึ่ง ในด้านรสชาติของเนื้อ มีเนื้อนุ่ม เนื้อไม่แน่นเหมือนไก่บ้าน มีรสชาติอร่อยติดปากผู้ไปชิมรส คือ ไก่พันธุ์เบตง ตามประวัติความเป็นมาของไก่พันธุ์เบตง เข้าใจว่าไก่พันธุ์นี้เป็นไก่ ซึ่งมี เชื้อสายมาจากไก่พันธุ์แลนซาน มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ไก่พันธุ์เบตงนี้มีชื่ออีกชื่อหนึ่งที่เรียกควบคู่กันไปในหมู่คนจีน คือ ไก่กวางไส กวงใส เป็นพันธุ์ไก่ที่นำเข้ามาจากเมืองกวางไส ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยคนจีน ที่อพยพถิ่นฐานจากเมืองกวางไสสมัยก่อนเป็นผู้นำเข้ามา ไก่ดังกล่าวนี้มีแพร่กระจาย อยู่ทั่วไปแถบอำเภอเบตง อำเภอธารโต และจังหวัดนราธิวาส รวมทั้งบางพื้นที่ บทที่ 1 บทนำ� 1
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ของประเทศมาเลเซียที่อยู่ติดกับชายแดนไทยด้านอำเภอเบตง ปัจจุบันไก่มีปริมาณ ลดน้อยลง เนื่องจากการอพยพบ้านเรือนของเกษตรกร และบางแห่งมีการจัดการ ในการเลี้ยงไม่ถูกต้อง คือ ไม่มีการทำวัคซีนป้องกันโรค ทำให้ไก่เกิดเป็นโรคระบาด ล้มตายเป็นจำนวนมาก และบางส่วนที่เหลือเกษตรกรที่เลี้ยงไก่ไม่ได้มีการคัดเลือก พันธุ์ที่ถูกต้อง มีการเลี้ยงปะปนกับไก่พันธุ์อื่น ทำให้ไก่เบตงพันธุ์แท้มีจำนวน ลดน้อยลง และผลิตเป็นไก่ลูกผสมรวมกับสายพันธุ์อื่น 2 ภาพที่ 1 ลักษณะของไก่เบตง ที่มา : ศูนย์วิจัยและบำรุงพันธุ์สัตว์ยะลา (มปป.)
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต 1.2 ลักษณะประจำพันธุ์ ไก่พื้นเมืองสายพันธุ์เบตงเป็นไก่ที่ชอบหากินเป็นฝูง ตัวผู้รักลูก บางครั้ง จึงพบว่าตัวผู้จะฟักลูกแทนตัวเมีย ลักษณะของไก่พื้นเมืองสายพันธุ์เบตงพันธุ์แท้ ยังไม่ชัดเจน แตกต่างตามความคิดเห็นของผู้เลี้ยงแต่ละกลุ่ม จากเอกสารเผยแพร่ ของกรมปศุสัตว์ได้กล่าวถึงลักษณะของไก่พื้นเมืองสายพันธุ์เบตงว่า มีลักษณะ หงอนใหญ่ แบบหงอนจักรสีแดง จงอยปากงุ้มแข็งแรงและมีสีเหลืองทอง ปีกและ ขนปีกสั้น ตัวผู้ขนหางสั้นย้อยเป็นภู่ ตัวเมียมีขนหางปุยเป็นพุ่ม ไม่มีขนแข้ง ผิวหนัง มีสีเหลือง ขา แข้ง นิ้ว เล็บสีเหลือง ลูกไก่อายุเมื่อแรกเกิดจนถึง 4 เดือน จะมีขนน้อย หรือแทบไม่มีขนเลย หลังจากนั้นจะมีขนสีเหลืองทองหรือเหลืองอ่อนตลอดตัว ขนที่ขึ้นจะเป็นขนอ่อนและสั้น จึงทำให้มองดูมีลักษณะปีกและหางสั้น ลักษณะท่ายืน สง่าหน้าตั้งดิ่ง ไม่ขนานกับพื้น ยืนยืดอกทั้งตัว ตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่มีขนสีดำแม้แต่ เส้นเดียว น้ำหนักตัวประมาณ 2-3 กิโลกรัม ตัวเมียประมาณ 2-2.5 กิโลกรัม ขั้นตอนการเจริญเติบโตของไก่เบตง สรุปได้ดังนี้ อายุ ลักษณะปรากฏ อายุ 1-2 สัปดาห์ มีขนเลี้ยงปกคลุม และยังไม่มีขนปีก ขนเลี้ยง มีสีเหลือง สีไข่ไก่ยังแยกเพศไม่ได้ อายุ 2-3 สัปดาห์ ขนเลี้ยงยาวขึ้น ค่อนข้างมันเรียบเป็นลอนเล็กๆ ขนงอกบ้าง มีขนปีกสั้นๆ สามารถแยกเพศได้ จากลักษณะของหงอน เพศผู้หงอนมีขนาดใหญ่ สีแดง เพศเมียจะมีหงอนซีดเหลืองเล็ก อายุ 1 เดือน ขนเลี้ยงเริ่มร่วง ขนจริงยังไม่งอก จึงเหลือแต่หนังเปลือย ปีกงอกยาวขึ้นเล็กน้อย สามารถแยกเพศได้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยสังเกตจากหงอน อายุ 2 เดือน ช่วง 1-2 เดือน ลูกไก่จะโตเร็ว กินจุ ขนเลี้ยงร่วงเกือบหมด เหลือแต่หนังสีแดงเรื่อๆ มีขนจริงขึ้นบริเวณหัว ปีก และขา เล็กน้อย ปีกยาวขึ้นเป็นปีกเล็กๆ แต่บางตัวยังไม่มีปีกให้เห็น แยกเพศได้ชัดเจน 3
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต อายุ 3 เดือน ไก่ตัวโตขึ้นสูงประมาณ 20 เซนติเมตร แข้งและคอยาวขึ้น ขนที่คอและขายาวขึ้น บริเวณหลังมีขนจริงขึ้นเล็กน้อย ขนที่หางเป็นขนอ่อนอุย เห็นหนังสีแดงชัดเจน ตัวผู้หงอน โตขึ้นมาก ตัวเมียหงอนเล็กซีด อายุ 4-5 เดือน ไก่จะโตเป็นหนุ่มสาวเต็มตัว ลักษณะที่แท้จริงปรากฏให้เห็น ชัดเจน 4
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต 1) ลักษณะประจำพันธุ์ไก่เบตงเพศผู้ ปาก สีเหลืองอ่อน มีจงอยปากงองุ้มแข็งแรง เพราะต้องหาอาหารกินเองตามธรรมชาติ ตา ตานูนแจ่มใส หงอน แบบหงอนจักร หัว ลักษณะกว้าง คอ คอตั้ง แข็งแรง ขนคอมีสีเหลืองทองที่หัวแล้วค่อยๆ จางลงมาถึงลำตัวคล้ายสร้อยคอ ปีก สั้น แข็งแรงพอเหมาะกับลำตัว มักไม่มีขนแข็ง อก กล้ามเนื้ออกกว้าง ตามลักษณะไก่พันธุ์เนื้อทั่วไป ขนที่อกและใต้ปีกสีเหลืองอ่อน หลัง มีระดับขนานกับพื้นดิน (กว้าง, เป็นแผ่นๆ) หาง มีขนหางไม่ดกมากนัก สั้น ไม่มีขนแข็ง สีเหลืองทอง บั้นท้าย (ก้นไก่) เป็นรูปตัดเห็นได้ชัด ขาไก่ มีขนาดใหญ่พอเหมาะกับลำตัว แข้ง กลม, ล่ำสัน, เกล็ดวาวแถวแนวเป็นระบบสีขาวเหลือง เล็บ สีขาวอมเหลือง 5
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต 2) ลักษณะประจำพันธุ์ไก่เบตงเพศเมีย หัว ลักษณะกว้าง ตา ตานูนแจ่มใส หงอน รูปถั่วสั้น หรือจักรติดหนังหัว ปาก โคนปากสีน้ำตาลเข้มค่อยๆ จางมาเป็นสีเหลือง ที่ปลายปากจงอยปากงองุ้มแข็งแรง คอ คอตั้ง แข็งแรง สีเหลืองอ่อน อก กล้ามเนื้อหน้าอกหนาตามลักษณะไก่พันธุ์เนื้อ ขนสีเหลืองดก มีขนคลุมทั่วตัว หลัง ขนสีเหลืองดก วางแนวขนานกับพื้น ปีก แข็งแรงพอเหมาะกับลำตัว มักไม่มีขนปีกแข็งแรง หาง มีขนดก สีเหลือง ขา มีขนาดใหญ่พอเหมาะกับลำตัว ผิวหนัง ผิวหนังสีขาว แดงเรื่อๆ แข้ง กลม, ลำ่ สัน, เกล็ดวาวแถวแนวเป็นระเบียบสีเหลือง เล็บ สีขาวอมเหลือง (ศูนย์วิจัยและบำรุงพันธุ์สัตว์ยะลา,มปป.) 6
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ไก่เบตงชอบหากินอิสระตามสนามหญ้าบริเวณบ้าน หรือป่าโปร่ง อาจเป็น เพราะไก่พันธุ์นี้มีลักษณะของไก่ป่าอยู่มาก ชาวบ้านมักเลี้ยงไก่เบตงตามบริเวณ ลานบ้าน ในสวนยางพารา ไก่เบตงเป็นไก่ที่เชื่องมากชอบหากินเป็นฝูง ตัวผู้มีนิสัย รักลูก บางครั้งอาจพบว่าตัวผู้จะกกลูกแทนตัวเมีย อาหารไก่ ไก่เบตงชอบกินมด แมลง ไส้เดือน ปลวก ผักต่างๆ หญ้าสด ปลายข้าว ข้าวโพด อาหารสำเร็จรูป แบ่งการเลี้ยงไก่เบตงออกดังนี้ 2.1 การเลี้ยงลูกไก่อายุ 0-4 สัปดาห์ ลูกไก่เบตง จำเป็นต้องมีการดูแลและเลี้ยงดูอย่างดี 1) ก่อนนำลูกไก่ควรเตรียมวัสดุรองพื้นให้เรียบร้อย โดยใช้ขี้กบหรือแกลบ หรือวัสดุอื่นที่หาได้ในท้องถิ่น ปูหนาประมาณ 3 นิ้ว 2) เริ่มจากลูกไก่ออกจากตู้ฟัก แล้วนำไปกกด้วยเครื่องกกลูกไก่เพื่อให้ ไก่อบอุ่น นาน 2-4 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับฤดูกาล ซึ่งฤดูหนาวจะต้องกกลูกไก่นานกว่า ฤดูร้อน และควรมีอุณหภูมิของการกกดังนี้ สัปดาห์ที่ 1 กกด้วยอุณหภูมิ 35 องศาเซลเซียส สัปดาห์ที่ 2 กกด้วยอุณหภูมิ 32 องศาเซลเซียส สัปดาห์ที่ 3 กกด้วยอุณหภูมิ 29 องศาเซลเซียส สัปดาห์ที่ 4 กกด้วยอุณหภูมิ 26 องศาเซลเซียส บทที่ 2 การเลี้ยงไก่เบตงในระยะต่างๆ 7
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต 3) ความต้องการพื้นที่ ลูกไก่ 1 ตัว ต้องการพื้นที่ในห้องกกลูกไก่ 0.5 ตารางฟุต หรือเท่ากับ 22 ตัว/ตารางเมตร การกกลูกไก่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด หากอากาศร้อนเกินไปให้ดับไฟกก เช่น กลางวันใกล้เที่ยงและบ่ายๆ ส่วนกลางคืน จะต้องให้ไฟกกตลอดคืน ในระหว่างกกจะต้องมีน้ำสะอาดให้กินตลอดเวลา และวาง อยู่ใกล้รางอาหาร ทำความสะอาดภาชนะใส่น้ำวันละ 2 ครั้ง คือ เช้าและบ่าย 4) การให้นำ้ลูกไก่ 100 ตัว ต้องใช้ขวดนำ้ขนาด 1 แกลลอน จำนวน 3 ใบ 5) การให้อาหารลูกไก่ ระยะกก ต้องให้อาหารบ่อยครั้งจะช่วยกระตุ้น ให้ไก่กินอาหารดีขึ้น อีกทั้งอาหารจะใหม่อยู่ตลอด จำนวนอาหารที่ให้ต้องไม่ให้มาก จนเกินไปจนล้นราง เพราะจะทำให้อาหารตกหล่น ทำให้สิ้นเปลืองอาหาร ลูกไก่ 100 ตัว ใช้ถาดอาหาร หรือรางอาหารที่กินได้ทั้งสองข้างยาว 6 ฟุต 6) อาหารในระยะ 0-4 สัปดาห์ ควรมีโปรตีน 20 เปอร์เซ็นต์ พลังงาน ใช้ประโยชน์ได้ 3,100 กิโลแคลอรี/กิโลกรัม แคลเซียม 0.8 เปอร์เซ็นต์ ฟอสฟอรัส 0.40 เปอร์เซ็นต์ เกลือ 0.5 เปอร์เซ็นต์ ไวตามินและแร่ธาตุปลีกย่อย (พรีมิกซ์) ที่ใช้ผสมในอาหาร 0.25 เปอร์เซ็นต์ หรือ 250 กรัมต่ออาหาร 100 กิโลกรัม และมี ส่วนประกอบของกรดอะมิโนครบตามความต้องการ (ดังแสดงในตารางที่ 2.2) ส่วนปริมาณอาหารที่ให้แต่ละสัปดาห์และน้ำหนักไก่โดยเฉลี่ย (ดังแสดงในตาราง ที่ 2.1) ตารางที่ 2.1 น้ำหนักตัว ปริมาณอาหารและวิธีการจัดการต่างๆ ของลูกไก่เบตง อายุ 0-4 สัปดาห์ อายุลูกไก่ ที่มา : ศูนย์วิจัยและบำรุงพันธุ์สัตว์ยะลา (มปป.) แรกเกิด สัปดาห์ที่ 1 สัปดาห์ที่ 2 สัปดาห์ที่ 3 สัปดาห์ที่ 4 - หยอดวัคซีนนิวคาสเซิล, หลอดลม อักเสบติดต่อ, ฝีดาษ เมื่ออายุ 1-7 วัน - อัตราการตายไม่เกิน 3 เปอร์เซ็น - สุ่มไก่ 10 เปอร์เซ็น ชั่งน้ำหนัก 31 54 93 146 220 0.8 17 23 34 น้ำหนักตัว (กรัม) ปริมาณอาหารที่กิน (กรัม/ตัว/วัน) โปรแกรมวัคซีน 8
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ตารางที่ 2.2 ส่วนประกอบและสูตรอาหารลูกไก่เบตง อายุ 0-4 สัปดาห์ สูตรอาหารผสม ส่วนประกอบ เปอร์เซ็นต์ วัตถุดิบ จำนวน (กิโลกรัม) ที่มา : ศูนย์วิจัยและบำรุงพันธุ์สัตว์ยะลา (มปป.) โปรตีน กรดอะมิโนที่จำเป็น ไลซีน เมทไธโอนีน+ซีสตีน ทริปโตเฟน ทริโอนีน ไอโซลูซีน อาร์จีนีน ลูซีน เฟนิลอะลานีน+ไทโรซีน ฮีสติดีน เวลีน ไกลซีน+เซรีน คุณค่าทางโภชนาการ พลังงานใช้ประโยชน์ได้ (กิโลแคลอรี/กิโลกรัม) แคลเซียม ฟอสฟอรัส 20 1.15 0.69 3.0 0.81 0.97 1.39 0.96 1.84 0.52 1.08 1.00 3,100 0.97 0.30 ข้าวโพด ปลายข้าว กากปาล์ม กากถั่วเหลือง ปลาป่น (55%) เปลือกหอย เกลือ พรีมิกซ์ น้ำมันปาล์ม รวม 42 15 6 28 5 0.5 0.5 0.25 3 100 9
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต สรุปการเลี้ยงลูกไก่เบตง อายุ 0-4 สัปดาห์ 1. เตรียมโรงเรือน และวัสดุรองพื้นที่สะอาด และอุปกรณ์ให้พร้อมก่อนเลี้ยง 2. ตรวจเช็คอุณหภูมิของอุปกรณ์กกลูกไก่ให้เหมาะสม โดยใช้ปรอทวัดอุณหภูมิ หรือสอดมือเข้าไปใต้กก เพื่อตรวจว่าอุณหภูมิว่าอุ่นหรือไม่ 3. ดูแลไม่ให้ลมโกรก หรือฝนสาดโดยการปิด-เปิด ผ้าม่าน 4. มีน้ำสะอาดและอาหารให้เพียงพอกับความต้องการ และให้กินอย่างเต็มที่ โดยให้อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และตรวจดูว่ามีอาหารเพียงพอให้ลูกไก่กินในตอนกลางคืน อีกครั้งในตอนเย็น 5. คัดไก่ป่วย ตัวเล็ก อ่อนแอ พิการออกจากฝูงไปทำลาย โดยการฝังหรือเผา 6. บันทึก การตาย การคัดออกลูกไก่ทุกวัน 7. กรณีเลี้ยงกกบนพื้นต้องตรวจดูว่าวัสดุรองพื้นเปียกแฉะหรือไม่ หากเปียก ต้องนำวัสดุรองพื้นเปียกแฉะนั้นออก และนำวัสดุรองพื้นใหม่มาใส่แทน 8. กวาดพื้นโรงเรือน ทั้งในและนอกโรงเรือน 9. ทำวัคซีนป้องกันโรคตามโปรแกรมที่กำหนด และบันทึกการทำวัคซีนทุกครั้ง 10.ถอดปลั๊กไฟเครื่องกกเวลา 10.00 น. และเสียบกลับเวลา 14.00 น. 11. เปิดไฟให้แสงสว่างให้ลูกไก่ในเวลากลางคืน 10
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต 2.2 การเลี้ยงไก่เบตงอายุ 5-16 สัปดาห์ การเลี้ยงไก่ระยะเจริญเติบโตระหว่าง 5-16 สัปดาห์ เป็นการเลี้ยงบนพื้นดิน ปล่อยฝูงๆ ละ 100-200 ตัว การเลี้ยงไก่ระยะนี้ไม่ต้องแยกไก่ตัวผู้ออกจากไก่ตัวเมีย อัตราส่วนไก่ 1 ตัว ต่อพื้นที่ 1.4 ตารางฟุต หรือไก่ 8 ตัว ต่อตารางเมตร พื้นคอกรองด้วยแกลบ หรือวัสดุดูดซับความชื้นได้ดีหนา 3-5 เซนติเมตร ไก่ระยะนี้ ต้องการอาหารโปรตีน 14 เปอร์เซ็นต์ พลังงานใช้ประโยชน์ได้ 3,100 กิโลแคลอรี/ กิโลกรัม แคลเซียม 0.8 เปอร์เซ็นต์ ฟอสฟอรัส 0.40 เปอร์เซ็นต์ เกลือ 0.5 เปอร์เซ็นต์ ไวตามินและแร่ธาตุปลีกย่อย (พรีมิกซ์) ที่ใช้ผสมในอาหาร 0.25 เปอร์เซ็นต์ และมี ส่วนประกอบของกรดอะมิโนครบตามความต้องการ (ดังตารางที่ 2.4) ต้องเลี้ยงแบบ ให้กินอาหารเต็มที่ โดยลูกไก่ 100 ตัว ต้องใช้ถังน้ำและถังอาหารชนิดแขวน จำนวน 3 ถัง และต้องมีน้ำและอาหารให้กินตลอดเวลา เพื่อเร่งการเจริญเติบโตให้ได้น้ำหนัก ตามที่ตลาดต้องการ ต้องทำความสะอาดขวดน้ำ วันละ 1 ครั้ง ในช่วงเช้า และทำความสะอาดถังอาหารสัปดาห์ละครั้ง สำหรับเกษตรกรที่มีพื้นที่กว้าง เช่น ในไร่นา หรือที่สวนปลูกไม้ผล หรือมี แปลงหญ้าก็สามารถเลี้ยงแบบปล่อยให้หากินเองตามธรรมชาติ แล้วเสริมอาหาร ผสมในเวลาเย็นใกล้ค่ำ และงดให้อาหารเช้าเพื่อบังคับให้ไก่ไปหากินเอง ถ้าเราให้ อาหารเช้าไก่จะไม่ออกหากิน ดังนั้น จึงเปลี่ยนให้อาหารเวลาเย็นเวลาเดียวให้กิน จนอิ่มเต็มกระเพาะ ส่วนน้ำจะต้องมีให้กินตลอดเวลา 11
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ตารางที่ 2.3 น้ำหนักตัว ปริมาณอาหารและวิธีการจัดการต่างๆ ของไก่เบตง อายุ 5-16 สัปดาห์ อายุไก่เบตง น้ำหนักตัว (กรัม) โปรแกรมวัคซีน ปริมาณอาหารที่กิน (กรัม/ตัว/วัน) - หยอดวัคซีน นิวคาสเซิล, หลอดลมอักเสบติดต่อ, ฝีดาษ - กลับแกลบ - สุ่มไก่ 10 เปอร์เซ็นต์ ชั่งน้ำหนัก สัปดาห์ที่ 5 สัปดาห์ที่ 6 สัปดาห์ที่ 7 สัปดาห์ที่ 8 สัปดาห์ที่ 9 สัปดาห์ที่ 10 สัปดาห์ที่ 11 สัปดาห์ที่ 12 สัปดาห์ที่ 13 สัปดาห์ที่ 14 สัปดาห์ที่ 15 สัปดาห์ที่ 16 299 406 534 641 783 893 1,033 1,150 1,100 1,192 1,294 1,376 50 62 67 75 68 81 68 58 58 75 84 85 ที่มา : ศูนย์วิจัยและบำรุงพันธุ์สัตว์ยะลา (มปป.) 12
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ตารางที่ 2.4 ส่วนประกอบและสูตรอาหารไก่เบตง อายุ 5-16 สัปดาห์ สูตรอาหารผสม ส่วนประกอบ เปอร์เซ็นต์ วัตถุดิบ จำนวน (กิโลกรัม) ที่มา : ศูนย์วิจัยและบำรุงพันธุ์สัตว์ยะลา (มปป.) โปรตีน กรดอะมิโนที่จำเป็น ไลซีน เมทไธโอนีน+ซีสตีน ทริปโตเฟน ทริโอนีน ไอโซลูซีน อาร์จีนีน ลูซีน เฟนิลอะลานีน+ไทโรซีน ฮีสติดีน เวลีน ไกลซีน+เซรีน คุณค่าทางโภชนาการ พลังงานใช้ประโยชน์ได้ (กิโลแคลอรี/กิโลกรัม) แคลเซียม ฟอสฟอรัส 15 0.79 0.55 0.19 0.62 0.74 1.16 0.88 1.45 0.41 0.86 0.72 3,100 0.6 0.12 ข้าวโพด ปลายข้าว กากปาล์ม กากถั่วเหลือง เปลือกหอย เกลือ พรีมิกซ์ น้ำมันปาล์ม รวม 50.75 10.5 14.0 20.5 0.5 0.5 0.25 3.0 100 สรุปการเลี้ยงไก่เบตงอายุ 5-16 สัปดาห์ 1. เก็บซากไก่ตาย ป่วยและแคระแกร็นออกจากคอก และนำไปทำลาย โดยการเผาหรือฝังหลังเลี้ยงไก่เสร็จ 2. ให้น้ำและอาหารไก่อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง 3. ทำความสะอาดถังน้ำวันละครั้ง ช่วงเช้า ทำความสะอาดถังอาหาร สัปดาห์ละครั้ง 4. กลับวัสดุรองพื้นทุกๆ 3 วัน หรือทันทีที่เห็นวัสดุรองพื้นเปียกชื้น 13
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต 5. บันทึกการตายและคัดออกและปริมาณอาหารที่ให้ทุกวัน 6. ตรวจสุขภาพไก่ทุกวัน โดยการสังเกตจากการหายใจ การยืน การเดิน และการกินน้ำและอาหาร 7. ตัดหญ้าสดให้ไก่กินทุกวัน 8. ดูแลตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆ อย่าให้ชำรุด และทำความสะอาดภายใน และรอบๆ โรงเรือน และบริเวณฟาร์ม 9. ทำวัคซีนตามโปรแกรมที่กำหนด 2.3 การเลี้ยงไก่เบตงอายุ 17-20 สัปดาห์ การเลี้ยงไก่เบตงอายุ 17-20 สัปดาห์ เลี้ยงในคอกเป็นฝูงๆ ละ 100-150 ตัว พื้นที่ 1 ตารางเมตร เลี้ยงไก่เบตงได้ 4-5 ตัว ซึ่งการเลี้ยงระยะนี้แบ่งวิธีการเลี้ยงออก ตามวัตถุประสงค์ของการเลี้ยง คือ 1) การเลี้ยงเพื่อเตรียมเป็นไก่พ่อแม่พันธุ์ การเลี้ยงไก่เบตงเพื่อเตรียม เป็นพ่อแม่พันธุ์จะต้องมีการจัดการที่ค่อนข้างยุ่งยาก คือ (1) ควบคุมจำนวนอาหารที่ให้กิน แบ่งให้อาหารวันละ 2 ครั้ง เวลา 07.00-08.00 น. และบ่ายเวลา 14.00-15.00 น. อาหารที่มีโปรตีน 14 เปอร์เซ็นต์ พลังงานใช้ประโยชน์ได้ 3,100 กิโลแคลอรี/กิโลกรัม (ตารางที่ 2.5) (2) การจัดการเรื่องแสงสว่าง การให้แสงสว่างแก่ไก่ในเล้าระยะนี้ จะต้องให้ไม่เกิน 11-12 ชั่วโมง ถ้าให้แสงสว่างมากกว่านี้จะทำให้ไก่ไข่เร็วขึ้น ก่อนกำหนด และอัตราการไข่ทั้งปีไม่ดี แต่จะดีเฉพาะใน 4 เดือนแรกเท่านั้น ดังนั้น แสงสว่างจึงต้องเอาใจใส่และจัดการให้ถูกต้อง กล่าวคือ ในเดือนที่เวลากลางวันยาว เช่น เดือนมีนาคม-ตุลาคม เราไม่ต้องให้แสงสว่างเพิ่มในเวลาหัวค่ำหรือกลางคืน โดยหลักการแล้ว แสงสว่างธรรมชาติ 8-12 ชั่วโมง เป็นใช้ได้ไม่ต้องเพิ่มไฟฟ้า ส่วนฤดูหนาวที่ตะวันตกดินและมืดเร็ว จำเป็นจะต้องให้แสงสว่างเพิ่ม แต่รวมแล้ว ไม่ให้เกิน 11-12 ชั่วโมงต่อวัน ความเข้มของแสงสว่างที่พอเหมาะคือ 1 ฟุตแคนเดิล 2) การเลี้ยงเพื่อขายเป็นไก่เบตงขุน เลี้ยงเหมือนไก่ในช่วงอายุ 5-16 สัปดาห์ คือ ต้องให้ไก่กินนำ้และอาหารเต็มที่ โดยให้อาหารที่มีโปรตีน 14 เปอร์เซ็นต์ พลังงาน ใช้ประโยชน์ได้ 3,100 กิโลแคลอรี/กิโลกรัม (ตารางที่ 2.6) 14
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต (1) ทำความสะอาดถังนำ้วันละครั้ง (ช่วงเช้า) ทำความสะอาดถังอาหาร สัปดาห์ละครั้ง (2) สุ่มชั่งน้ำหนัก 10 เปอร์เซ็นต์ ทุกๆ สัปดาห์ เปรียบเทียบตาราง มาตรฐาน (3) คัดไก่ป่วยออกจากฝูง เมื่อเห็นไก่แสดงอาการผิดปกติ (4) ทำความสะอาดคอกและกลับแกลบ หรือวัสดุรองพื้นเสมอๆ เมื่อเห็นว่าพื้นคอกเปียกชื้น แฉะ การรักษาพื้นคอกไม่ให้ชื้น และแห้งอยู่เสมอๆ เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดโรคไก่ ไก่จะแข็งแรง เลี้ยงง่าย ตายยาก เป็นเทคนิคง่ายๆ ที่เกษตรกรควรเอาใจใส่เป็นพิเศษ และไม่จำเป็นจะต้องใช้ยามาก ดังนั้น ในทางปฏิบัติ จึงต้องสร้างคอกไก่ให้สามารถระบายอากาศได้ดี มีลมผ่านพัดความชื้นออกไป และมี อากาศเย็น และสดชื่นเข้ามาแทน คอกไก่ไม่ควรจะมืดทึบ อับลม อับแสง (5) เกษตรกรที่มีพื้นที่เลี้ยงกว้าง เช่น ในไร่นา สวน สามารถปล่อยไก่ได้ แนะนำให้ปล่อยหากินเองตามธรรมชาติ จะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านอาหารลงมาก เราเพียงเสริมอาหารเฉพาะในเวลาเย็นครั้งเดียวก็พอ เสริมในปริมาณ 50-75 เปอร์เซ็นต์ ของอาหารที่เลี้ยงแบบขังคอก แต่ต้องมีน้ำใส่ภาชนะให้ไก่ได้กินตลอดเวลา การเลี้ยง ปล่อยแปลงไก่จะแข็งแรง และไม่จิกขนกัน ไก่จะดูสวยงาม ขนเป็นมัน เลี้ยงปล่อยแปลง ไปจนกว่าแม่ไก่เริ่มไข่ จึงเปลี่ยนสูตรอาหารเป็นอาหารไก่ไข่ หรือไก่พันธุ์ ตารางที่ 2.5 น้ำหนักตัว ปริมาณอาหารและวิธีการจัดการต่างๆ ของไก่เบตง อายุ 17-20 สัปดาห์ อายุไก่เบตง ที่มา : ศูนย์วิจัยและบำรุงพันธุ์สัตว์ยะลา (มปป.) สัปดาห์ที่ 17 สัปดาห์ที่ 18 สัปดาห์ที่ 19 สัปดาห์ที่ 20 - หยอดวัคซีนนิวคาสเซิล, หลอดลม อักเสบติดต่อ, ฝีดาษ - อัตราการตายไม่เกิน 3 เปอร์เซ็นต์ - สุ่มไก่ 10 เปอร์เซ็นต์ ชั่งน้ำหนัก 1,492 1,604 1,716 1,798 79 100 88 88 น้ำหนักตัว (กรัม) ปริมาณอาหารที่กิน (กรัม/ตัว/วัน) โปรแกรมวัคซีน 15
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ตารางที่ 2.6 ส่วนประกอบและสูตรอาหารไก่เบตง อายุ 17-20 สัปดาห์ สูตรอาหารผสม ส่วนประกอบ เปอร์เซ็นต์ วัตถุดิบ จำนวน (กิโลกรัม) ที่มา : ศูนย์วิจัยและบำรุงพันธุ์สัตว์ยะลา (มปป.) โปรตีน กรดอะมิโนที่จำเป็น ไลซีน เมทไธโอนีน+ซีสตีน ทริปโตเฟน ทริโอนีน ไอโซลูซีน อาร์จีนีน ลูซีน เฟนิลอะลานีน+ไทโรซีน ฮีสติดีน เวลีน ไกลซีน+เซรีน คุณค่าทางโภชนาการ พลังงานใช้ประโยชน์ได้ (กิโลแคลอรี/กิโลกรัม) แคลเซียม ฟอสฟอรัส 14 0.71 0.53 0.17 0.58 0.68 1.08 0.97 1.33 0.39 0.80 0.63 3,100 0.6 0.2 ข้าวโพด กากปาล์ม กากถั่วเหลือง เปลือกหอย เกลือ พรีมิกซ์ น้ำมันปาล์ม รวม 63.25 14.5 18.5 0.5 0.5 0.25 2.5 100 16
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต สรุปการเลี้ยงไก่เบตงอายุ 17-20 สัปดาห์ 1. เก็บซากไก่ตาย ป่วยและแคระแกร็นออกจากคอก และนำไปทำลาย โดยการเผาหรือฝังหลังเลี้ยงไก่เสร็จ 2. ให้น้ำและอาหารไก่อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง 3. ทำความสะอาดถังน้ำวันละครั้ง (ช่วงเช้า) ทำความสะอาดถังอาหาร สัปดาห์ละครั้ง 4. กลับวัสดุรองพื้นทุกๆ 3 วัน หรือทันทีที่เห็นวัสดุรองพื้นเปียกชื้น 5. บันทึกการตายและคัดออกและปริมาณอาหารที่ให้ทุกวัน 6. ตรวจสุขภาพไก่ทุกวัน โดยการสังเกตจากการหายใจ การยืน การเดิน การกินน้ำและอาหาร 7. ตัดหญ้าสดให้ไก่กินทุกวัน 8. ดูแลตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆ อย่าให้ชำรุด และทำความสะอาดภายใน และรอบๆ โรงเรือน และบริเวณฟาร์ม 9. ทำวัคซีนตามโปรแกรมที่กำหนด 2.4 การเลี้ยงไก่พ่อแม่พันธุ์อายุ 20-72 สัปดาห์ ไก่สาวจะเริ่มไข่ฟองแรกเมื่ออายุประมาณ 6-7 เดือน เมื่อไก่เริ่มไข่ให้เปลี่ยน สูตรอาหารใหม่ ให้มีโภชนะอาหารเพิ่มขึ้น เพื่อไก่นำไปสร้างไข่ รวมทั้งเพิ่มแคลเซียม จากเดิม 0.90 เปอร์เซ็นต์ เป็น 3.75 เปอร์เซ็นต์ ฟอสฟอรัสใช้ประโยชน์ 0.35 เปอร์เซ็นต์ เพื่อนำไปสร้างเปลือกไข่ ส่วนไก่พ่อพันธุ์นั้นให้อาหารเช่นเดียวกับแม่พันธุ์ แต่มีธาตุแคลเซียมต่ำกว่า คือ 0.90 เปอร์เซ็นต์ และฟอสฟอรัส 0.45 เปอร์เซ็นต์ เท่าๆ กับอาหารไก่รุ่นหนุ่มสาว เพราะไก่พ่อพันธุ์ไม่ไข่จึงไม่จำเป็นจะต้องให้แคลเซียม และฟอสฟอรัสสูง และอีกประการหนึ่งการให้ธาตุแคลเซียมสูงเช่นเดียวกับแม่พันธุ์ หรือให้อาหารสูตรเดียวกับแม่พันธุ์นั้น มีผลต่อการผลิตน้ำเชื้อมีปริมาณลดลง มีเปอร์เซ็นต์การผสมติดลดลง ดังนั้น การจัดการที่ดีจึงควรแยกสูตรอาหาร ไก่พ่อแม่พันธุ์จำนวนอาหารที่แม่ไก่กินอยู่ระหว่าง 80-100 กรัม/ตัว/วัน การให้อาหาร มากกว่านี้ แม่ไก่จะอ้วนมากไข่ลดลง 17
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต แสงสว่าง มีผลกระทบโดยตรงกับอัตราการไข่ การให้แสงสว่างไม่เพียงพอ แม่ไก่จะไข่ลดลง แสงเกี่ยวข้องกับการสร้างฮอร์โมนที่ใช้ในขบวนการผลิตไข่ของแม่ไก่ ต้องให้แสงสว่างวันละ 14-15 ชั่วโมง ติดต่อกัน แม่ไก่จะไข่ก่อนเวลา 14.00 น. ทุกๆ วัน จากการเลี้ยงไก่หนุ่มสาวอายุ 12-20 สัปดาห์ เราจำกัดเวลาการให้แสงสว่าง วันละไม่เกิน 11-12 ชั่วโมง แต่พอแม่ไก่เริ่มไข่เราจะต้องเพิ่มเวลาให้แสงสว่าง เพิ่มขึ้นสัปดาห์ละ 1 ชั่วโมง จนถึงวันสุดท้ายวันละ 14-15 ชั่วโมง รักษาระดับนี้ ตลอดไปจนกว่าแม่ไก่จะหยุดไข่และปลดระวาง 2.5 พืชธรรมชาติใช้เป็นวัตถุดิบอาหารไก่ 1. แหนแดง (Azolla) แหนแดง (Azolla) จัดเป็นพืชน้ำขนาดเล็ก อยู่ในตระกูลเฟิร์นชนิดลอยน้ำ มีขนาดเล็ก เจริญเติบโตลอยอยู่บนผิวนำ้ในเขตร้อนและเขตอบอุ่น สำหรับประเทศไทย พบได้ทั่วไปตามคู คลอง หรือแหล่งน้ำขังตามธรรมชาติ ต้นแหนแดง ประกอบด้วย ส่วนต่างๆ คือ ลำต้น (rhizome) ราก (root) และใบ (lobe) แหนแดงมีกิ่งแยกจาก ลำต้น ใบของแหนแดงเกิดตามกิ่งเรียงสลับกันไป ใบแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ใบบน และใบล่าง มีขนาดใกล้เคียงกัน ใบบนมีคลอโรฟิลล์เป็นองค์ประกอบมากกว่าใบล่าง จึงมีสีเขียวเข้มกว่า ที่กาบใบบนด้านหลังมีโพรงใบและมีสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน (Blue green algae) อาศัยอยู่แบบพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน (symbiosis) เช่นเดียวกับไรโซเบียมในรากพืชตระกูลถั่ว สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินนี้สามารถ ตรึงก๊าซไนโตรเจนจากอากาศแล้วเปลี่ยนเป็นสารประกอบในรูปของแอมโมเนียม ให้แหนแดงเอาไปใช้ประโยชน์ได้ในอัตรา 200-600 กรัมต่อไร่ต่อวัน (Watanabeet al.,1977) แหนแดงจึงเปรียบเสมือนโรงงานผลิตปุ๋ยไนโตรเจนทางชีวภาพ โดยผ่าน กระบวนการตรึงไนโตรเจนจากอากาศของสาหร่ายสีเขียวแกมนำ้เงินที่ชื่อ Anabaena azollae ซึ่งอาศัยอยู่ในโพรงใบของแหนแดง 18
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต แหนแดงจัดเป็นปุ๋ยชีวภาพชนิดหนึ่ง เนื่องจากตามพระราชบัญญัติปุ๋ย นิยามว่าปุ๋ยชีวภาพ หมายถึง ปุ๋ยที่ได้จากการนำจุลินทรีย์ที่มีชีวิตที่สามารถสร้าง ธาตุอาหาร หรือช่วยให้ธาตุอาหารเป็นประโยชน์กับพืชมาใช้ในการปรับปรุงบำรุงดิน ทางชีวภาพ ทางกายภาพ หรือทางชีวเคมี และให้หมายความรวมถึงหัวเชื้อจุลินทรีย์ Lumpkin และ Plucknett (1982) ได้วิเคราะห์แร่ธาตุที่เป็นองค์ประกอบของแหนแดง (Azolla sp.) พบว่า มีไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ร้อยละ 1.96-5.30, 0.16-1.59 และ 0.31-5.97 ตามลำดับ โดยแหนแดงอาจมีไนโตรเจนสูงถึงร้อยละ 6.5 เมื่อเลี้ยงในสภาพปลอดเชื้อ (Peter et al., 1980) นอกจากนั้นศิริลักษณ์และประไพ (2554) พบว่า แหนแดง (Azolla microphylla) มีไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และ โพแทสเซียมประกอบอยู่ร้อยละ 4.62 0.65 และ 5.27 ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่า พืชตระกูลถั่วที่มีไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบอยู่ประมาณร้อยละ 3 ชนิดของแหนแดง แหนแดงที่พบอยู่ทั่วโลกมีอยู่ด้วยกัน 7ชนิด (species) คือ Azolla nilotica, A. pinnata, A. caroliniana, A. filiculoides, A. mexicana, A. rubra และ A. microphylla ในประเทศไทยมักพบแหนแดง 2 สายพันธุ์ คือ อะซอลล่า พินนาต้า (Azolla pinnata) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่มีถิ่นกำเนิดกระจายอยู่เป็นบริเวณ กว้างของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จีน อินเดีย และออสเตรเลีย ซึ่งเป็นสายพันธุ์ ท้องถิ่นที่แพร่กระจายอยู่ตามแหล่งนำ้ธรรมชาติ และสายพันธุ์อะซอลล่า ไมโครฟิลล่า (Azolla microphylla) ที่มีถิ่นกำเนิดเดิมอยู่บริเวณเขตร้อนของอเมริกาตั้งแต่ ด้านทิศตะวันตก และทิศเหนือของอเมริกาใต้ ถึงด้านใต้ของอเมริกาเหนือ และ West Indies ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่กรมวิชาการเกษตรนำเข้ามาเพื่อคัดเลือกและปรับปรุงพันธุ์ จนได้แหนแดงพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่ มีการเจริญเติบโตได้รวดเร็ว สามารถตรึงไนโตรเจน ได้มากกว่าสายพันธุ์ท้องถิ่น โดยกรมวิชาการเกษตร ได้เริ่มทำการวิจัยค้นคว้าเรื่อง แหนแดงมาตั้งแต่ ปี 2520 และได้มีการเก็บ รักษาพันธุ์มาอย่างต่อเนื่อง จนเมื่อ ประเทศไทยหันมาส่งเสริมเรื่องการทำเกษตรอินทรีย์ แหนแดงของกรมวิชาการเกษตร จึงได้ถูกนำมาพัฒนาการใช้ประโยชน์เกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์อีกครั้งหนึ่งในปี 2540 เป็นต้นมา 19
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต แหนแดงที่พัฒนาโดยกรมวิชาการเกษตร แหนแดงที่กรมวิชาการเกษตรได้ทำการปรับปรุงพันธุ์คือสายพันธุ์อะซอลล่า ไมโครฟิลล่า (Azolla microphylla) มีลักษณะเด่นคือมีขนาดใหญ่ ขยายพันธุ์ ได้รวดเร็ว ให้ผลผลิตสูงกว่าสายพันธุ์พื้นเมืองถึง 10 เท่า แหนแดงสามารถเลี้ยงได้ง่าย เจริญเติบโตและเพิ่มปริมาณได้อย่างรวดเร็ว เป็น 2 เท่า จากเดิมภายในเวลา 3–5 วัน เมื่อแหนแดงเจริญเติบโตเต็มที่บนผิวน้ำในนาข้าว จะได้ผลผลิตแหนแดงสดประมาณ 3,000 กิโลกรัม หรือ 150 กิโลกรัมแห้ง เทียบได้กับปุ๋ยยูเรีย 6-7.5 กิโลกรัมต่อพื้นที่ 1 ไร่ ประยูร และบรรหาญ (2545) รายงานผลการวิเคราะห์ตัวอย่างแหนแดง พบว่า มีน้ำหนักแห้งร้อยละ 5-7 และประกอบด้วยแร่ธาตุต่างๆ หลายชนิด (ตารางที่ 2.7) ศิริลักษณ์ (2561) รายงานผลการเพาะเลี้ยงแหนแดงในกระชังขนาด 32 ตารางเมตร โดยหว่านแหนแดงอัตรา 300 กรัมต่อตารางเมตร เป็นเวลา 15 วัน ได้ผลผลิตประมาณ 300 กิโลกรัม การอบที่อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส พบว่า แหนแดงสด 15 กิโลกรัม ให้แหนแดงแห้ง 1 กิโลกรัม และผลตรวจวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของแหนแดง พบว่า มีปริมาณไนโตรเจนทั้งหมดร้อยละ 5.48 สัดส่วนของคาร์บอนต่อไนโตรเจน เท่ากับ 9.95 ปริมาณลิกนิน 24.2 ฟอสฟอรัสทั้งหมดร้อยละ 0.64 ปริมาณโพแทสเซียม ทั้งหมดร้อยละ 5.08 ปริมาณแคลเซียมทั้งหมดร้อยละ 2.59 และปริมาณแมกนีเซียม ทั้งหมดร้อยละ 0.39 (ตารางที่ 2.8) การทำแหนแดงแห้ง สามารถทำได้ง่ายโดยการนำ แหนแดงไปตากแดดให้แห้ง แล้วเก็บใส่ภาชนะ เช่น ถุงปุ๋ย ไว้ใช้ต่อไปได้ ภาพที่ 2 ลักษณะของแหนแดง ก) Azolla microphylla และ ข) A. pinnata ที่มา : นพพร ศิริพานิช (2566) 20
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ตารางที่ 2.7 องค์ประกอบและแร่ธาตุต่างๆ ของตัวอย่างแหนแดง ตารางที่ 2.8 องค์ประกอบทางเคมีของแหนแดง โดยวิธี Atomic Absorption spectrophotometer และปริมาณลิกนิน ที่ทำการเพาะเลี้ยงในกระชัง ขนาด 32 ตารางเมตร น้ำหนักแห้ง โปรตีน ไขมัน เซลลูโลส ไนโตรเจน (N) คาร์บอน (C) ฟอสฟอรัส (P) โพแทสเซียม (K) แคลเซียม (Ca) แมกนีเซียม (Mg) กำมะถัน (S) ซิลิกา (Si) โซเดียม (Na) คลอรีน (Cl) อะลูมิเนียม (Al) เหล็ก (Fe) 5-7 13-30 3.1 8.5-11.7 3.5 41-45 0.2-1.6 0.3-0.6 0.5-1.7 0.2-0.7 0.2-0.7 0.2-0.35 0.2-1.3 0.6-0.8 0.04-0.6 0.04-0.6 องค์ประกอบ อัตราร้อยละ ที่มา : นพพร ศิริพานิช (2566) อ้างอิงจาก ประยูร และบรรหาญ (2540) ที่มา : นพพร ศิริพานิช (2566) Total-N Carbon C/N ratio Lignin Total-P Total-K Total-Ca Total-mg (%) (%) (%) (%) (%) (%) (%) Azalla 4.58 45.6 9.95 24.2 0.64 5.08 2.59 0.39 21
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ตารางที่ 2.9 ตัวอย่างการศึกษาองค์ประกอบของกรดอะมิโนของแหนแดง Lysine Methionine Threonine Tryptophan 0.98 0.34 0.87 0.39 1.7 1.1 1.3 1.5 เปอร์เซ็นวัตถุแห้ง กรดอะมิโน Alalade and Lyayi, 2006 Basak, et al., 2002 ที่มา : Alalade and Lyayi, 2006 and Basak, et al., 2002 ประโยชน์ของแหนแดง ในประเทศไทยมีแหนแดงอยู่ในบ่อ สระ หนอง คลอง บึง ทั่วๆ ไป มาช้านานแล้ว แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีการใช้ประโยชน์อย่างจริงจัง จนกระทั่งเกิด วิกฤตการณ์ทางด้านพลังงาน ทำให้ปุ๋ยมีราคาแพง แหนแดงจึงได้รับความสนใจ จากนักวิชาการเกษตรทั่วโลก (1) การใช้ประโยชน์ของแหนแดงเพื่อเป็นปุ๋ย เนื่องจากแหนแดงเป็นพืชที่สามารถตรึงไนโตรเจนจากอากาศได้ จึงทำให้แหนแดงมีปริมาณไนโตรเจนที่สูงซึ่งเหมาะแก่การนํามาเป็นปุ๋ย โดยกอง ปฐพีวิทยา (2527) อ้างอิงในรอซาลี สะดียามู (2566) ได้เริ่มทดลองเลี้ยงแหนแดง เพื่อใช้เป็นปุ๋ยพืชสดในนาข้าวเมื่อประมาณ พ.ศ. 2520 ผลการทดลองปรากฏว่า ได้ผลดี ปุ๋ยพืชสดจากแหนแดงทำให้ประหยัดค่าปุ๋ยเคมีไนโตรเจนได้ 100-200 บาท/ไร่ และทำให้ผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้น 10-20 ถัง/ไร่ โดยแนะนําวิธีเลี้ยงแหนแดง เพื่อใช้เป็นปุ๋ยพืชสดในนาข้าวไว้ ดังนี้ เริ่มโดยนํากล้าแหนแดงประมาณ 50-100 กิโลกรัม/ไร่ มาเลี้ยงในนาข้าว ใช้ไม้รวกช่วยกั้นบริเวณในวงจากัดไว้ก่อนเพื่อให้แหนแดง ํ ตั้งตัวและไม่ถูกลมพัดไปติดตามคันนา ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ แหนแดง ก็จะเจริญเติบโตเต็มพื้นที่ ไถกลบเป็นปุ๋ยพืชสดในนาข้าวได้ ซึ่งจะช่วยให้ข้าวมีผลผลิต สูงขึ้นเท่ากับการใส่ปุ๋ยไนโตรเจน 6 กิโลกรัม/ไร่ การใช้แหนแดงเป็นปุ๋ยพืชสด ในนาข้าวอาจทำได้ 3 วิธีคือ 22
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต (1) เลี้ยงขยายแหนแดงก่อนปักดำแล้วไถกลบเมื่อแหนแดงโตเต็มที่ ซึ่งจะใช้เวลาเลี้ยงประมาณ 3 สัปดาห์ (2) เลี้ยงขยายแหนแดงเมื่อหลังจากปักดำแล้ว ปล่อยให้แหนแดง เจริญเติบโตร่วมกับข้าวโดยไม่ต้องไถกลบ คือ มีแหนแดงอยู่ในนาตลอดไป จนกระทั่ง เก็บเกี่ยวข้าว (3) เลี้ยงขยายแหนแดงก่อนปักดำแล้วไถกลบ โดยทิ้งบางส่วนไว้ให้ ขยายพันธุ์ เจริญเติบโตอยู่ในนาต่อไป จนกระทั่งเก็บเกี่ยว วิธีการที่ 3 เป็นวิธีการที่ทำให้ได้ผลผลิตข้าวสูงสุด โดยวิธีที่ 1 ได้ผลรองลงมา แต่ทั้ง 3 วิธีการให้ผลผลิตสูงกว่าการปลูกข้าวโดยไม่ใส่ปุ๋ย การเพาะเลี้ยง แหนแดงแล้วไถกลบ นอกจากทำให้ดินได้รับไนโตรเจนเพิ่มขึ้นแล้ว แหนแดง ยังให้อินทรียวัตถุแก่ดินอีกด้วย ซึ่งมีผลทำให้ดินมีคุณสมบัติทางฟิสิกส์ดีขึ้น แม้ว่า จะมีข้อมูลจากการทดลองยืนยันว่าการเพาะเลี้ยงและไถกลบแหนแดงสามารถทดแทน การใส่ปุ๋ยไนโตรเจนในนาข้าวได้ แต่การส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากแหนแดงก็มีปัญหา หลายประการ ปัญหาประการสำคัญที่สุดคือ การขาดน้ำและแหล่งน้ำในการเพาะ แหนแดงในฤดูแล้ง เพื่อใช้เป็นเชื้อพันธุ์เมื่อต้นฤดูฝน เกษตรกรที่จะใช้ประโยชน์ จากแหนแดงในนาข้าวได้มากที่สุดคือเกษตรกรที่อยู่ในเขตชลประทาน และทำนา ปีละ 2 ครั้ง (ปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่ง คือปุ๋ยเดี่ยวฟอสฟอรัสในตลาดบ้านเรา ไม่แพร่หลายและมีราคาแพง เมื่อเปรียบเทียบกับปุ๋ยนาสูตร (16-20-0) (2) การใช้แหนแดงเป็นอาหารสัตว์ แหนแดง พันธุ์ Azolla microphylla เป็นพันธุ์ที่สามารถเจริญเติบโต ได้ดีในเขตร้อน โดยมีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปเอเชีย จึงเหมาะแก่การเพาะเลี้ยงใน ประเทศไทย อีกทั้งแหนแดงพันธุ์นี้ยังมีอัตราการเจริญเติบโตที่รวดเร็ว และให้ปริมาณ โปรตีนที่สูง จึงเหมาะแก่การนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ 23
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต (3) การใช้ประโยชน์ของแหนแดงเป็นอาหารสัตว์ปีก ในสัตว์ปีกมีการนาแหนแดงมาเป็นวัตถุดิบเพื่อผสมในอาหาร เพราะว่า ํ แหนแดงมีปริมาณโปรตีนที่ดี และสามารถใช้ในสัตว์ปีกได้สูงถึง 15% ดังรายงานของ Basak, et al. (2002) อ้างอิงในรอซาลี สะดียามู (2566) ได้รายงานการใช้แหนแดง (A. pinnata), เพื่อทดแทนโปรตีนในสูตรอาหารไก่เนื้อในระดับ 0 5 10 และ 15% ในสูตรอาหาร เป็นระยะเวลานาน 7 สัปดาห์ พบว่า น้ำหนักตัวของไก่เนื้อที่ได้รับ แหนแดงในสูตรอาหารในสัปดาห์ที่ 1-4 ไม่แตกต่างกับสูตรควบคุม แต่น้ำหนักตัว ของไก่เนื้อที่ได้รับแหนแดงในสูตรอาหารในสัปดาห์ที่ 5-7 มีความแตกต่างกันทางสถิติ และมีแนวโน้มว่าเมื่อเพิ่มปริมาณแหนแดงในสูตรอาหารมากขึ้นจะทำให้น้ำหนัก ของไก่เนื้อลดลง 2. หญ้าหวานอิสราเอล หรือเนเปียร์อิสราเอล หญ้าหวานอิสราเอล มีชื่อวิทยาศาสตร์ Pennisetum purpureum cv. ahasarakham ซึ่งเป็นพืชที่มีโปรตีนในตัวเองมากถึง 20 เปอร์เซ็นต์ จึงเหมาะ แก่การนำมาเลี้ยงสัตว์ เพราะมีคุณค่าทางโภชนาการที่ดีต่อสัตว์ เป็นหญ้าที่มีลักษณะ กอ ลำต้น ใบ ข้อปล้อง และการให้ผลผลิตคล้ายหญ้าในตระกูลเนเปียร์ ซึ่งเกษตรกร ในจังหวัดมหาสารคาม กาฬสินธุ์ และจังหวัดใกล้เคียงนิยมปลูก เรียกว่าหญ้าหวาน บางพื้นที่เรียก หญ้าม้า เนื่องจากมีลักษณะคล้ายหางม้า สันนิษฐานว่ามีแหล่งกำเนิด จากประเทศปากีสถานและอิสราเอล เป็นหญ้าที่สามารถปลูกเป็นอาหารสัตว์ได้เป็น อย่างดี (เชาวฤทธิ์ และเมธา, 2560 อ้างอิงในคอรีเย๊าะ มาแจ, 2566) จากการศึกษาของ (ศรัณพงศ์ ทองเรือง, การต์กวี แคล้วเครือ, พงศธร พรมบุตร และสุภาวดี มานะไตรนนท์, 2564 อ้างอิงใน คอรีเย๊าะ มาแจ, 2566) กล่าวว่าหญ้าหวานมีโปรตีน หยาบ และเยื่อใย NDF เท่ากับ 15.2 และ 59.5 เปอร์เซ็นต์ เมื่อตัดที่อายุ 45 วัน และเท่ากับ 12.5 และ 61.3 เปอร์เซ็นต์เมื่อตัดที่อายุ 60 วัน เป็นด่างในกระเพาะ รูเมนที่ดีกว่าหญ้าหวานหมัก 24
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต (1) ข้อดีของหญ้าหวานอิสราเอล จะแตกต่างจากหญ้าทั่วๆ ไป เพราะมี โปรตีนมากถึง 20 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับเนเปียร์ที่มีโปรตีนเพียงแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น และสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะวัวจะชอบมาก เคี้ยวง่าย หวาน กรอบ ทำให้สัตว์เลี้ยง โตเร็ว นำไปเลี้ยงสัตว์ได้ทุกชนิด วัว ควาย แพะ แกะ จะให้กินทั้งใบ หรือสับให้ละเอียด วิธีการปลูก และการดูแลหญ้าหวานอิสราเอลง่ายมาก ปลูกระยะห่างราว 1 เมตร ขุดดินลึก 10 เซนติเมตร วางท่อนพันธุ์ลงดิน และกลบดินใช้มือกดให้แน่น จากนั้น ก็ใส่ปุ๋ยคอกบ้างนานๆ ครั้ง ส่วนเรื่องน้ำแทบไม่ต้องเป็นห่วงเพราะทนแล้ง (2) คุณประโยชน์ของหญ้าอิสราเอล พบว่า มีโปรตีนมากถึง 20 เปอร์เซ็นต์ สามารถใช้เลี้ยงสัตว์ได้หลากหลาย เช่น หมู วัว ควาย แพะ แกะ ม้า เป็ด ไก่ ปลา และ อีกหลายอย่าง ต้นหญ้าอิสราเอล สามารถตัดนำมาให้สัตว์กินได้เลยโดยไม่ต้องใช้ เครื่องสับ เคี้ยวง่าย หวาน กรอบ ลำต้นไม่สูงมาก (คอรีเย๊าะ มาแจ, 2566) 25
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต การฟักไข่เป็นกระบวนการที่ไข่สัตว์ได้รับการดูแลภายใต้สภาวะที่เหมาะสม เพื่อให้ตัวอ่อนภายในฟักออกมาเป็นสัตว์มีชีวิต การฟักไข่สามารถเกิดขึ้นได้เอง ตามธรรมชาติ หรือโดยมนุษย์ การฟักไข่ตามธรรมชาติเกิดขึ้นเมื่อสัตว์ตัวผู้และตัวเมีย ผสมพันธุ์กัน ไข่ที่ปฏิสนธิจะถูกเก็บรักษาไว้ในกรง หรือรังโดยสัตว์ตัวเมีย จากนั้น ตัวเมียจะกกไข่และดูแลให้อุณหภูมิและความชื้นภายในไข่เหมาะสมสำหรับการพัฒนา ของตัวอ่อน เมื่อตัวอ่อนพัฒนาเต็มที่แล้ว มันจะฟักออกมาเป็นสัตว์ตัวเต็มวัย การฟักไข่ แบ่งออกเป็น 2 วิธี คือ 1. การฟักโดยแม่ไก่ เมื่อแม่ไก่ไข่ครบจำนวนแล้ว แม่ไก่จะนอนกกไข่ ตลอดคืน และออกหากินในเวลาเช้า ตอนกลางวันแม่ไก่จะขึ้นกกไข่ครั้งประมาณ 2 ชั่วโมง แล้วลงจากรังไข่ออกหากินสลับกันไปแล้วกลับมากกไข่อีก เมื่อแม่ไก่ฟักไข่ ไปได้ประมาณ 5-7 วัน ควรเอาไข่มาส่องดูเชื้อโดยใช้กระดาษแข็งมาม้วนเป็นรูป กระบอก เอาไข่ไก่มาชิดที่ปลายท่อด้านหนึ่งแล้วยกขึ้นส่องดูกับแสงแดด ไข่ที่มีเชื้อ จะเห็นมีจุดดำอยู่ข้างในและมีเส้นเลือดกระจายออกไป ส่วนไข่ที่ไม่มีเชื้อจะใสไม่เห็น เส้นเลือด ต้องคัดออกและเอาไปกินได้ ซึ่งเป็นการช่วยให้แม่ไก่ฟักไข่ที่มีเชื้อที่เหลือ ได้ดีขึ้นและได้ลูกไก่มากขึ้น แม่ไก่จะใช้เวลาฟักไข่จนออกเป็นตัวประมาณ 21 วัน เมื่อลูกไก่ฟักออกหมดแล้วควรเอาฟางที่รองรังไข่เผาทิ้งเสียและทำความสะอาดรังไข่ 2. การฟักไข่ด้วยเครื่องฟักไข่ ซึ่งจะต้องเก็บไข่ทุกวัน และนำไข่เข้าฟัก ในตู้ฟักไข่ ซึ่งจะทำให้ได้ลูกไก่ครั้งละมากๆ แต่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง บทที่ 3 การฟักไข่ 26
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต 3.1 ปัจจัยสำคัญในการฟักไข่ ปัจจัยที่สำคัญในการฟักไข่ ประกอบด้วย 1. อุณหภูมิ (Temperature) อุณหภูมิเป็นปัจจัยสำคัญในการฟักไข่ อุณหภูมิฟักที่เหมาะสมมีความ แตกต่างกันตามชนิดของสัตว์ปีก ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิภายในตัวสัตว์นั้นๆ ขนาดไข่ ความพรุนของเปลือกไข่ และระยะเวลาในการฟักไข่ อุณหภูมิฟักไข่ไก่แบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะ 18 วันแรกจะใช้อุณหภูมิประมาณ 99.5-100 องศาฟาเรนไฮต์ และ ในระยะ 3 วันหลังใช้อุณหภูมิประมาณ 99-99.5 องศาฟาเรนไฮต์ อุณหภูมิในฟองไข่ ที่เพิ่งฟักใหม่ๆ จะผันแปรไปตามอุณหภูมิของสภาพแวดล้อมภายในตู้ฟัก ในขณะ ที่ตัวอ่อนภายในฟองไข่ฟักเริ่มมีการพัฒนาจะมีความร้อนเกิดขึ้นภายในฟองไข่ ดังนั้น จึงต้องควบคุมอุณหภูมิภายในตู้ฟักไม่ให้สูงเกินไป โดยให้เพิ่มการระบายอากาศและ ถ้าสามารถนำประโยชน์ของความร้อนจากไข่ฟักมาร่วมกับการใช้ความร้อนจากตู้ฟักได้ จะช่วยให้ประหยัดกระแสไฟได้ ในตู้ฟักบางชนิดมีชุดทำความเย็น (cooling unit) ไว้ป้องกันอุณหภูมิภายในตู้ฟักที่สูงเกินไป การควบคุมอุณหภูมิให้สม่ำเสมอจะต้อง ควบคุมการหมุนเวียนของอากาศภายในตู้ฟัก เพราะถ้ามีการหมุนเวียน หรือการระบาย อากาศมากเกินไป จะทำให้อุณหภูมิภายในตู้ฟักลดลง และยังมีผลต่อความชื้น และการระเหยของน้ำภายในตู้ฟักอีกด้วย 2. ความชื้น (Humidity) ในระหว่างการเจริญของตัวอ่อนจำเป็นต้องได้รับความชื้นที่เหมาะสม เพื่อทำให้กระบวนการต่างๆ ดำเนินไปได้ตามปกติ ไข่ฟักจะสูญเสียความชื้นตลอดเวลา ในระหว่างการฟัก อัตราการสูญเสียความชื้นประมาณ 11-13 เปอร์เซ็นต์ การสูญเสีย ความชื้นจะมากในระยะแรกและจะลดลงเรื่อยๆ แล้วจะเพิ่มขึ้นอีกครั้งในช่วงท้าย ของการฟัก โดยทั่วไปในช่วง 19 วันแรกของการฟัก ไข่ฟักต้องการความชื้นสัมพัทธ์ ประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ แต่ในช่วง 3 วันสุดท้ายของการฟัก ไข่ฟักจะต้องการ ความชื้นสัมพัทธ์ประมาณ 70-75 เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้ลูกไก่สามารถเจาะเข้าไปใน 27
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ช่องอากาศได้สะดวกและช่วยให้ขนฟูหลังจากฟักออกแล้ว อัตราการระเหยของน้ำ ถูกควบคุมโดยปริมาณของพื้นผิวเปลือกไข่ ลมที่พัดผ่าน อุณหภูมิและความอิ่มตัว ของนำ้ในอากาศในระหว่างการฟัก ดังนั้น ในระหว่างการฟักจำเป็นต้องมีการควบคุม การระเหยนำ้โดยการปรับ หรือเติมนำ้ในถาดในตู้ฟัก เพื่อควบคุมความชื้นให้เหมาะสม คุณภาพของเปลือกไข่มีผลต่อการสูญเสียน้ำจากฟองไข่ด้วย ไข่เปลือกบางไม่แข็งแรง หรือมีรูพรุนมากเกินไปจะสูญเสียน้ำจากฟองไข่มากกว่าไข่ที่มีเปลือกหนา 3. อากาศและการถ่ายเทอากาศในตู้ฟัก (Ventilation) ปริมาณอากาศและอัตราการไหลเวียนของอากาศในตู้ฟักจะต้อง เหมาะสม ปริมาณของอากาศที่แลกเปลี่ยนในตู้ฟักนั้นถูกควบคุมโดยตำแหน่ง และขนาดของรูระบายอากาศในตู้ฟัก ซึ่งสามารถปรับขนาดได้ตามความต้องการ ความต้องการอากาศจะมากขึ้นในช่วงท้ายๆ ของการฟัก โดยในระยะแรกของการฟัก การแลกเปลี่ยนก๊าซเกิดขึ้นน้อยแต่การแลกเปลี่ยนจะมากขึ้นเมื่อลูกไก่มีการเจริญ มากขึ้น โดยไข่ 100 ฟอง ต้องการออกซิเจนประมาณ 4.5 ลูกบาศก์ฟุต/วัน และ ปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาประมาณ 2.5 ลูกบาศก์ฟุต/วัน นอกจากนี้ ยังเกิดความร้อนจากการเมตาบอลิซึมอีกด้วย ดังนั้น การเปิดรูระบายอากาศจึงช่วย ในการระบายความร้อนออกด้วยความเข้มข้นของก๊าซออกซิเจนในอากาศที่บริสุทธิ์ มีค่าประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถ้าความเข้มข้นของก๊าซออกซิเจนลดลงเหลือ 17 เปอร์เซ็นต์ จะมีผลให้อัตราการฟักออกลดลง ส่วนความเข้มข้นของก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ที่เหมาะสม คือ 0.4 เปอร์เซ็นต์ ถ้าความเข้มข้นเพิ่มขึ้นถึง 2 เปอร์เซ็นต์ จะมีผลทำให้ตัวอ่อนตายได้ และถ้าสูงขึ้นจนถึง 5 เปอร์เซ็นต์ ตัวอ่อน ภายในไข่จะตายหมด ดังนั้น ในตู้ฟักไข่จึงควรมีระบบระบายอากาศที่ดี สามารถ ระบายอากาศได้อย่างเพียงพอ จึงจะทำให้การฟักไข่ได้ผลดี 4. การวางไข่ในตู้ฟัก (Egg positioning) โดยธรรมชาติแล้วการเจริญของลูกไก่ในฟองไข่นั้น ลูกไก่จะหันหัวขึ้น ด้านบนเสมอเมื่อไข่ฟักมีอายุมากขึ้น ส่วนหัวและปากของลูกไก่จะอยู่ใกล้ช่อง อากาศมากขึ้น จึงควรวางไข่ให้เหมาะสมกับลักษณะทางธรรมชาติ คือ วางเอา 28
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ด้านป้านขึ้น ซึ่งจะให้ผลดี และจากการทดลองวางไข่ฟักโดยเอาด้านแหลมขึ้น จะทำให้ การฟักออกลดลงประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งลูกไก่ที่ฟักออกจะมีคุณภาพต่ำลง ประมาณ 35-40 เปอร์เซ็นต์ ยกเว้นการวางในช่วงท้ายของการฟักควรวางไข่ ในแนวนอน เพื่อให้ลูกไก่สามารถดันเปลือกออกได้สะดวกขึ้น สำหรับตู้ฟักที่ไม่มีช่อง วางไข่ฟักจะใช้วิธีวางไข่แนวนอนเหมือนการฟักธรรมชาติจะให้ผลการฟักออก ไม่แตกต่างกัน แต่ต้องมีการกลับไข่ให้ทั่วถึงทุกฟอง ซึ่งไม่สะดวกถ้าฟักไข่ครั้งละมากๆ 5. การกลับไข่ฟัก (Egg turning) โดยธรรมชาติของการฟักไข่ของแม่ไก่จะมีการกลับไข่โดยเฉลี่ยทุกๆ 35 นาที และถ้าไม่มีการกลับไข่เลยจะทำให้ไข่นั้นฟักไม่ออก ดังนั้น อย่างน้อยที่สุด ควรต้องมีการกลับไข่วันละ 3 ครั้ง แต่สำหรับตู้ฟักที่มีอุปกรณ์สำหรับกลับไข่อัตโนมัติ ควรกลับไข่ทุกๆ ชั่วโมง การกลับไข่เป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับการฟักไข่ในระยะแรกๆ และจะหยุดกลับไข่ใน 3 วันสุดท้าย การกลับไข่บ่อยครั้งเกินไปไม่มีผลทำให้การฟัก ออกสูงขึ้นแต่อย่างใด แต่จะทำให้สิ้นเปลืองเวลาและแรงงาน มุมของการกลับไข่ ที่เหมาะสมคือ มุม 45 องศาจากแนวดิ่งกลับไปมา การใช้มุมกลับไข่ในระดับอื่น จะมีผลทำให้ผลการฟักออกลดลง 6. การส่องไข่ เป็นการตรวจหาไข่มีเชื้อ ไข่ไม่มีเชื้อ ไข่เชื้อตาย และแยกไข่ ไม่มีเชื้อและไข่เชื้อตายออกจากตู้ฟัก เพื่อลดปริมาณไข่ฟักในตู้ และป้องกันไข่ระเบิด ในตู้ โดยส่องวันที่ 7 และวันที่ 18 ของการฟัก ขั้นตอนการนำลูกไก่ออกจากตู้ฟักไข่ 1. เตรียมอุปกรณ์สำหรับใส่ลูกไก่ เตรียมคอกกกลูกไก่ 2. ลูกไก่ที่นำออกจากตู้ฟักไข่จะต้องรอให้ขนแห้งให้ดีก่อน โดยปล่อย ให้ลูกไก่อยู่ในตู้ก่อน 3. การคัดลูกไก่แคระแกร็น ไม่ได้ขนาด และพิการออก ก่อนนำลูกไก่ ที่เหลือไปกก 4. ทำวัคซีนนิวคาสเซิล และหลอดลมอักเสบติดต่อ 29
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต 3.2 การคัดเลือกพันธุ์ไก่เบตง การคัดเลือกพันธุ์ไก่ที่ดีไว้เป็นพ่อแม่พันธุ์จะช่วยให้ไก่ในฝูงมีขนาดตัวโต ให้ไข่ดก เลี้ยงลูกดี เลี้ยงลูกรอดมาก และลูกไก่โตเร็ว ทำให้ผู้เลี้ยงได้ผลตอบแทนสูง เกษตรกรสามารถคัดเลือกไก่ไว้ทำพันธุ์ได้ โดยคัดเลือกดังนี้ (1) ไก่พ่อพันธุ์ที่ดีจะต้องมีรูปร่างสมบูรณ์ ลักษณะตรงตามพันธุ์และ แข็งแรง มีน้ำหนักตั้งแต่ 2.5 กิโลกรัมขึ้นไป เมื่อมีอายุ 6 เดือน (2) ไก่แม่พันธุ์ที่ดีจะต้องมีรูปร่างสมบูรณ์ ลักษณะตรงตามพันธุ์และ แข็งแรง มีน้ำหนักตั้งแต่ 1.5 กิโลกรัมขึ้นไป เมื่ออายุ 6 เดือน ให้ไข่ไม่น้อยกว่า ปีละ 4 ชุด ให้ไข่ไม่น้อยกว่า ชุดละ 8 ฟอง มีนิสัยชอบฟักไข่ เลี้ยงลูกเก่ง เลี้ยงลูก รอดจนโต ชุดละ 5 ตัวไม่ดุร้าย คอยจิกตีลูกของแม่ไก่ตัวอื่น (3) พ่อพันธุ์ 1 ตัว สามารถใช้ผสมพันธุ์หรือคุมฝูงแม่ไก่ได้ 6-10 ตัว (4) ควรเก็บลูกไก่ที่เกิดจากพ่อแม่ไก่ที่ดีไว้ทำพันธุ์ รุ่นละ 2-3 ตัว 30
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต 4.1 โรงเรือนเลี้ยงไก่ โรงเรือนจัดเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อสุขภาพของสัตว์ที่สำคัญปัจจัยหนึ่ง การสร้างโรงเรือนที่ไม่ถูกแบบและไม่ถูกหลักสุขาภิบาลสัตว์จะมีผลกระทบกระเทือน ต่อสุขภาพของสัตว์และก่อให้เกิดความสิ้นเปลืองอีกด้วย 1) ลักษณะของโรงเรือนที่ดี โรงเรือนที่ดีจะต้องยึดหลักประหยัด แต่สัตว์ ต้องอยู่อย่างสุขสบาย ซึ่งสรุปได้เป็นข้อๆ ดังนี้ (1) แข็งแรง ทนทาน สามารถกันลม แดด ฝน และอันตรายต่างๆ ให้กับสัตว์ได้ (2) สามารถระบายอากาศได้ดี ภายในเย็นสบายแต่ไม่ถึงกับลมโกรก (3) สามารถกันพาหะนำโรคต่างๆ ได้ เช่น นก หนู แมว สุนัข เป็นต้น (4) ทำความสะอาดง่าย ไม่เป็นที่น้ำขัง และดูสะอาดตา (5) ห่างจากบ้านพักของคนงานพอสมควรเพื่อความปลอดภัย (6) ราคาถูก สร้างได้ง่าย วัสดุที่ใช้ควรหาได้ง่ายในท้องถิ่นนั้น (7) แยกออกเป็นอิสระต่อกันในแต่ละหลัง เพื่อลดปัญหาการติดต่อ ของเชื้อโรค (8) ความยาวของโรงเรือนอยู่ในแนวตะวันออก-ตก เพื่อหลีกเลี่ยง แดดร้อนจัด บทที่ 4 โรงเรือนและอุปกรณ์ที่ใช้ในการเลี้ยง 31
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ภาพที่ 3 ลักษณะของโรงเรือนแบบเพิงหมาแหงน ที่มา : ศูนย์วิจัยและบำรุงพันธุ์สัตว์ยะลา (มปป.) ภาพที่ 4 ลักษณะของโรงเรือนแบบหน้าจั่ว ที่มา : ศูนย์วิจัยและบำรุงพันธุ์สัตว์ยะลา (มปป.) (2) แบบหน้าจั่ว 2 ชั้น แบบนี้สร้างยาก ราคาค่อนข้างแพง แต่อากาศ ถ่ายเทได้ดีมาก เป็นแบบที่นิยมสร้างกันมากที่สุด 2) รูปแบบของโรงเรือน รูปแบบของโรงเรือนที่เหมาะสมกับประเทศไทย มีหลายแบบดังต่อไปนี้ (1) แบบเพิงหมาแหงน เป็นแบบที่สามารถสร้างได้ง่ายไม่ซับซ้อนและ ประหยัด แต่ฝนสาดได้ง่าย สามารถแก้ไขต่อเติมได้บ้าง 32
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต 3) ระบบของโรงเรือน (1) ระบบโรงเรือนเปิด (open house) เป็นโรงเรือนที่พบได้โดยทั่วไป ในฟาร์มสัตว์ปีก ซึ่งผู้เลี้ยงมักประสบปัญหา เช่น ฝนสาด อากาศร้อนจัด ลมโกรก การระบายอากาศ อุณหภูมิในโรงเรือนสูง ไก่จะโตช้า ผลผลิตลดลง มีแมลงรบกวน มีปัญหาการสุขาภิบาลป้องกันโรค (2) ระบบโรงเรือนปิด (evaporative cooling system houses) เป็น ระบบการทำความเย็นในโรงเรือนสัตว์ปีกที่เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศในประเทศไทย กำลังเป็นที่นิยมมาก โรงเรือนแบบปิดนี้สามารถควบคุมอุณหภูมิภายในโรงเรือนได้ด้วย แผ่นรังผึ้ง และโรงเรือนแบบพัดลม (pad and fan cooling) โดยการบังคับให้อากาศ เข้าไปในโรงเรือนโดยผ่านแผ่นรังผึ้ง (cooling pad) อุณหภูมิที่ผ่านเข้าไปนั้นจะลดลง และความชื้นจะสูงขึ้น ข้อดีของระบบทำความเย็นด้วยแผ่นรังผึ้ง (1) ลดความเครียดที่เกิดจากความร้อนและทำให้ไก่สุขภาพดีขึ้น (2) ในไก่พ่อแม่พันธุ์จะให้ผลผลิตสูงขึ้น (3) ใช้พัดลมน้อยกว่าเทียบกับโรงเรือนเปิด เป็นการประหยัดค่ากระแส ไฟฟ้า (4) ลดอัตราการตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงอากาศร้อนจัด (5) สามารถใช้ร่วมกับระบบทึบแสงได้ (6) การหมุนเวียนอากาศภายในโรงเรือนสม่ำเสมอ (7) สามารถเลี้ยงไก่ได้มากกว่าโรงเรือนเปิด (8) สามารถควบคุมอุณหภูมิความชื้น การระบายอากาศ แสงสว่าง ในโรงเรือนได้ 33
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต 4.2 อุปกรณ์ในการเลี้ยงสัตว์ปีก 1) อุปกรณ์ให้อาหารไก่ มีดังนี้ (1) รางอาหาร ความยาวของรางอาหารต่อตัวประมาณ 1-3 นิ้ว ขึ้นอยู่กับขนาดของไก่ (2) ถังอาหารแขวน ใช้เมื่อไก่อายุ 3 สัปดาห์ขึ้นไป ไก่กระทงใช้ถัง อาหาร 3-4 ถัง ต่อไก่ 100 ตัว (3) รางอาหารอัตโนมัติ มี 2 แบบ คือ แบบสายพานกับแบบถังแขวน นิยมใช้กับไก่ที่เลี้ยงแบบอุตสาหกรรม การใช้อุปกรณ์ในการให้อาหารแบบนี้ขึ้นอยู่กับ จำนวนไก่ที่เลี้ยง หากไก่ที่เลี้ยงจำนวนมากก็จะต้องตั้งเวลาในการทำงานให้เหมาะสม กับที่ไก่จะกินได้ตลอดเวลา นอกจากนี้จะต้องปรับระยะสูงต่ำตามอายุไก่ด้วย (4) ถาดอาหาร หรืออาจดัดแปลงจากกล่องบรรจุลูกไก่ ใช้เลี้ยงลูกไก่ อายุ 1-7 วัน ได้ 70-100 ตัว 2) อุปกรณ์ให้น้ำไก่ มีดังนี้ (1) ถังให้น้ำมีหลายชนิด เช่น ขนาด 1 ลิตร 4 ลิตร 8 ลิตร ควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับอายุของไก่ (2) ที่ให้น้ำอัตโนมัติ มี 2 ชนิด คือ แบบถังแขวน และแบบรางยาว รางน้ำอัตโนมัติจะมีวาล์ว สามารถปรับจำนวนน้ำได้ตามความเหมาะสมของขนาดไก่ 3) อุปกรณ์การให้วัคซีน กระบอกฉีดยา ขวดหยอดวัคซีน เข็มหยอดวัคซีน เข็มฉีดยา กระติกนำ้แข็ง 4) อุปกรณ์ในการกกลูกไก่ (1) เครื่องกกลูกไก่ ที่มีใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้มี 2 แบบใหญ่ๆ คือ - เครื่องกกแก๊ส ในฟาร์มที่เลี้ยงไก่เป็นการค้า ปัจจุบันนิยม ใช้เครื่องกกแบบกกแก๊ส เนื่องจากสามารถกกลูกไก่ได้จำนวนมากและไม่มีปัญหา เรื่องไฟฟ้าดับ 34
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต - เครื่องกกแบบไฟฟ้านั้นจะมีเทอร์โมสตัท เพื่อควบคุมอุณหภูมิ ให้ได้ตามความต้องการของไก่ ส่วนเครื่องกกแบบแก๊สนั้นจะใช้วิธีการปรับระดับ ความแรงของแก๊ส และความสูงต่ำของเครื่องกก หากต้องการกกลูกไก่จำนวนมาก ก็จะปรับระดับแก๊สให้ค่อนข้างแรงเล็กน้อย และยกให้สูงจากพื้นประมาณ 80-100 เซนติเมตร (2) แผงกั้นกก อาจทำด้วยไม้ไผ่สานหรือแผ่นสังกะสี สูงประมาณ 50 เซนติเมตร ล้อมเป็นวงกลมรอบเครื่องกก เพื่อจำกัดบริเวณให้ลูกไก่ได้รับ ความอบอุ่นอย่างทั่วถึง และป้องกันไม่ให้ลูกไก่ออกไปไกลที่กก อาจทำให้ไม่ได้รับ ความอบอุ่น วิธีการใช้เครื่องกกลูกไก่แบบไฟฟ้า (1) แขวนที่กกให้สูงจากพื้นประมาณ 1 ฟุต (2) ตั้งแผงกั้นลูกไก่ให้ห่างจากเครื่องกกประมาณ 50 เซนติเมตร (3) เสียบปลั๊กไฟของเครื่องกก (4) ปรับตั้งเทอร์โมสตัท โดยการหมุนให้แผ่นเวเฟอร์ห่างออกมาจาก สวิตช์ เมื่ออุณหภูมิได้ตามที่ต้องการจึงหมุนแผ่นเวเฟอร์เข้าไปให้กดสวิตช์พอดี จะสามารถควบคุมอุณหภูมิได้ตามต้องการ 5) อุปกรณ์อื่นๆ (1) ผ้าม่าน ใช้ป้องกันฝนสาด ลมโกรก ตลอดจนรักษาความอบอุ่น ในโรงเรือน (2) อุปกรณ์ควบคุมสภาพแวดล้อม เช่น พัดลม เทอร์โมมิเตอร์ เครื่องควบคุมการให้แสง (3) อุปกรณ์อื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น เครื่องตัดปากไก่ เครื่องฟักไข่ไฟฟ้า เครื่องพ่นยา เครื่องผสมอาหาร เครื่องมือผ่าตัด เป็นต้น 35
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต 6) การทำความสะอาดโรงเรือนและอุปกรณ์ในการเลี้ยงไก่ การทำความสะอาดโรงเรือนเป็นขั้นตอนแรกของการเตรียมโรงเรือน และอุปกรณ์ให้พร้อมก่อนที่จะนำไก่เข้าเลี้ยง การทำความสะอาดนั้นทำอย่างไรก็ได้ เพื่อให้โรงเรือนสะอาดที่สุด ก่อนที่จะทำการฆ่าเชื้อโรค วิธีการสามารถทำได้ดังนี้ (1) นำอุปกรณ์เลี้ยงไก่ และวัสดุรองพื้นออกจากโรงเรือนให้หมด โดยใช้ พลั่วตักวัสดุรองพื้นในโรงเรือน ใส่เข่งขนไปทิ้งในบริเวณที่กำหนดภายนอกโรงเรือน (2) ใช้ไม้กวาดกวาดหยากไย่ส่วนบนของโรงเรือน ฝาผนัง ตาข่ายและ พื้นโรงเรือนให้สะอาด (3) ใช้สายยางฉีดน้ำทำความสะอาดให้ทั่วโรงเรือน (4) ใช้ผงซักฟอกทำความสะอาดโดยใช้แปรงถูพื้น ไม้กวาดทางมะพร้าว กวาดถูพื้นให้สะอาด (5) ใช้น้ำฉีดล้างด้วยเครื่องฉีดแรงดันสูงให้สะอาดอีกครั้ง (6) นำอุปกรณ์การเลี้ยงทุกอย่างออกมาล้างทำความสะอาดให้เรียบร้อย ก่อนทำการฆ่าเชื้อโรคอีกครั้ง (7) ผสมยาฆ่าเชื้อตามฉลากข้างขวด ฉีดด้วยเครื่องฉีดแรงดันสูง เพื่อให้ น้ำยาฆ่าเชื้อเข้าได้ทั่วถึงทุกซอกทุกมุม (8) ปิดคอกทิ้งไว้ให้แห้ง 36
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ตารางที่ 5.1 สภาพที่บ่งบอกถึงความผิดปกติในฝูงไก่เบตงที่สำคัญ ไก่เบตงที่มีสุขภาพสมบูรณ์ ไก่เบตงที่มีสภาพบ่งบอกถึงความผิดปกติ 1. เดิน นั่งแยกกระจายกัน 2. ส่งเสียงตามปกติ 3. สนใจสิ่งแวดล้อม 4. ใบหน้า หงอน และเหนียงปกติ 5. ตาวาว สะอาด 6. จมูกแห้งและสะอาด 7. คอตั้งตรง แข็งแรง ลำตัวสมส่วน อกเต็ม 1. นั่ง หรือนอนสุมกัน ไม่ค่อยลุกเดิน 2. มีเสียงไอ จาม หรือเงียบผิดปกติ 3. ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม 4. หน้าบวม เหนียงบวม หงอนเป็นสะเก็ด ย่นและ ซีด หงอนเป็นตุ่ม 5. ตาบอด มีน้ำตาไหล ขนรอบตาเปียก ตาบวม อักเสบ ขอบตาดำไม่เรียบ 6. มีน้ำมูก 7. คอเป็นอัมพาต คอบิดหมุน คอพับลงใต้ท้อง หรือแหงนขึ้น 8. ลำตัวซูบผอม กระดูกหน้าอกแหลม กล้ามเนื้อ สั่นกระตุก บทที่ 5 โรคที่สำ�คัญของไก่เบตง เกษตรกรควรมีความรู้ในเรื่องของโรคไก่เบตงที่สำคัญ รวมทั้งวิธีการป้องกันโรค โดยการใช้วัคซีน และทราบได้ถึงสุขภาพของไก่เบตงที่เลี้ยงนั้นคือ สภาพภายนอก ตัวสัตว์ที่เกษตรกรสามารถเห็นได้ เพียงแต่เพิ่มความใส่ใจต่อสัตว์ที่เลี้ยง คอยหมั่น สังเกตความผิดปกติของตัวสัตว์ เมื่อใดก็ตามสัตว์ที่เลี้ยงไว้ มีสภาพแตกต่างไปจาก สภาพสัตว์ปกติ จะเปรียบเสมือนสัญญาณเตือนบ่งบอกความผิดปกติที่เกิดขึ้น เกษตรกรต้องเตรียมการป้องกันเสียแต่เนิ่นๆ และหาสาเหตุให้ได้ว่าไก่เบตงที่เลี้ยงไว้ มีความผิดปกติจากอะไร และรีบทำการแก้ไข แต่ถ้าไม่ทราบสาเหตุควรรีบปรึกษา สัตวแพทย์เพื่อไม่ให้ปัญหานั้นลุกลามออกไป สภาพที่บ่งบอกถึงความผิดปกติในฝูงไก่ เบตงที่สำคัญ ดังนี้ 37
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต 5.1 โรคนิวคาสเซิล เป็นโรคระบาดที่มีความสำคัญมาก เพราะมีการระบาดติดต่อกันอย่างรวดเร็ว และทำให้ไก่ตายเป็นจำนวนมาก ยังพบว่านกกระทา นกพิราบ นกยูง เป็ด ห่าน เป็นโรคได้ แต่นกกระจอกและนกป่าอีกหลายชนิดเป็นพาหะของโรคได้อย่างดี สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งมีความรุนแรงแตกต่างกัน ดังนั้น ความรุนแรง ของโรคที่ทำให้เกิดความเสียหายจึงแตกต่างกัน การติดต่อ ไก่ได้รับเชื้อโดยการหายใจ หรือโดยการกินอาหารหรือน้ำที่มี เชื้อปนเปื้อน อาการ ไก่ป่วยแสดงอาการแตกต่างกันตามความรุนแรงของเชื้อไวรัส อาการป่วยโดยทั่วไปจะแสดงอาการทางระบบหายใจ และร่วมกับอาการทางระบบ ประสาท ไก่จะหายใจลำบาก อ้าปากหายใจ คอบิด บางตัวเดินหมุนเป็นวง บางตัวมี อาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องเสีย อุจจาระเป็นสีเขียว ไก่จะตายภายใน 2-3 วัน ไก่เบตงที่มีสุขภาพสมบูรณ์ ไก่เบตงที่มีสภาพบ่งบอกถึงความผิดปกติ 8. ขาตรง ยืนได้สมส่วน แข็งแรง 9. ขนเรียบเป็นเงางาม 10.ผิวหนังเรียบ มีตุ่มขนปกติ สีออกชมพู อ่อนเรื่อๆ 11.อุจจาระสีปกติ เหลวเล็กน้อย ไม่มี เลือดปน 12. เปอร์เซ็นต์ไข่ปกติ 9. ขาเป็นอัมพาต (ข้างหนึ่งเหยียดไปข้างหน้า อีกข้างเหยียดไปข้างหลัง) ขาเป็นอัมพาตทั้ง 2 ขา ขาอ่อน นอนหมอน ไม่มีกำลัง ข้อขาบวม กระดูก ขาหนาขยายใหญ่ หน้าแข้งซีด 10. ขนยุ่งไม่เป็นระเบียบ ขนรอบทวารหนักเปียก ขนร่วง มีบาดแผลจากการจิกตีกัน 11. เกิดเม็ดตุ่มขยายใหญ่ตามผิวหนัง มีจุด เลือดออกสีดำคล้ำ ผิวหนังมีสีซีด 12. ถ่ายเป็นเลือดสด ถ่ายเป็นน้ำปนมูกเลือด ถ่ายเป็นน้ำสีขาว อุจจาระเป็นสีเขียว พบชิ้นสี่เหลี่ยมในอุจจาระ 13. เปอร์เซ็นต์ไข่ตกอย่างกะทันหัน หรือลดลง โดยไม่ทราบสาเหตุ ที่มา : ศูนย์วิจัยและบำรุงพันธุ์สัตว์ยะลา (มปป.) 38
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต การป้องกันและรักษาโรค เนื่องจากสาเหตุของโรคเกิดจากเชื้อไวรัส จึงไม่มียารักษาโรคได้โดยตรง การดูแลรักษาความสะอาดของโรงเรือนให้สะอาด อยู่เสมอ ป้องกันมิให้สัตว์อื่นเข้าในโรงเรือน การให้อาหารที่ดีและมีคุณภาพ เพื่อให้ไก่ มีสุขภาพแข็งแรง รวมทั้งจำเป็นต้องใช้วัคซีนป้องกันโรค ซึ่งปัจจุบันกรมปศุสัตว์ ได้ผลิตวัคซีนป้องกันโรค 2 ชนิดด้วยกัน คือ 1. วัคซีนนิวคาสเซิลเชื้อเป็น (สเตรนลาโซด้า) โดยการหยอดตาหรือ หยอดจมูกตัวละ 1 หยด และให้ซ้ำทุก 2 เดือน 2. วัคซีนนิวคาสเซิลเชื้อตาย (สเตรนลาโซต้า) โดยการฉีดเข้ากล้ามเนื้ออก หรือใต้ผิวหนังบริเวณคอ ตัวละ 0.5 มล. ฉีดในไก่ไข่และไก่พันธุ์ อายุ 18-22 สัปดาห์ 5.2 โรคฝีดาษ เป็นโรคที่เกิดขึ้นได้กับสัตว์ปีกทุกชนิด พบบ่อยในไก่และไก่งวง พบได้บ้าง ในเป็ด ห่าน นกกระทา สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัส การติดต่อ เชื้อไวรัสจะติดต่อโดยตรงจากตัวป่วยไปตัวอื่นๆ โดยผ่านเข้าทาง บาดแผล และยุงเป็นพาหะนำเชื้อโรค อาการของโรค ในช่วงแรกที่เป็นโรคจะไม่พบอาการ จนกว่าจะมีรอยโรค ที่ผิวหนังโดยเฉพาะของโรคมี 2 แบบ คือ (1) ฝีดาษแห้ง ไก่ส่วนใหญ่มักเกิดโรคฝีดาษแห้ง ซึ่งภายหลังไก่ได้รับเชื้อ 4-10 วัน จะเกิดตุ่มฝีดาษ มีลักษณะคล้ายหูดเกิดขึ้นตามผิวหนังบริเวณที่ไม่มีขน เช่น ตามบริเวณหน้า หงอน เหนียง หนังตา และขา เริ่มแรกเป็นตุ่มเล็กๆ ต่อมาจะ ค่อยๆ ใหญ่ขึ้น ที่หัวของฝีดาษจะเป็นแผลมีสะเก็ดสีน้ำตาลคลุมอยู่ ต่อมาจะแห้ง และลอกหลุดไป ไก่ที่เป็นโรคฝีดาษแห้ง พบว่า เติบโตช้าถ้าเป็นไก่ไข่ ไข่จะลดลง แต่อัตราการตายต่ำ (2) ฝีดาษเปียก เป็นชนิดที่มีเม็ดตุ่มขาวใสที่เยื่อบุภายในปาก ลำคอ แล้วขยายใหญ่กลายเป็นสีเหลือง การอักเสบอาจลุกลามเข้าสู่ไซนัส กล่องเสียง ทำให้ไก่หายใจลำบาก กินอาหารไม่ได้ อาจถึงตายได้ 39
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต การป้องกันและรักษาโรค (1) ในการเลี้ยงลูกไก่เล็ก ควรระวังอย่าให้ยุงกัด (2) โดยให้วัคซีนป้องกันโรคฝีดาษของกรมปศุสัตว์ โดยการแทงปีก (3) ควรหมั่นสังเกตดูไก่เล็ก และรีบแยกลูกไก่ป่วยออกจากฝูงโดยเร็ว ส่วนในไก่พันธุ์ หรือไก่พื้นเมือง ถ้ามีตุ่มฝีเกิดขึ้น ควรใช้ทิงเจอร์ทาจะช่วยให้ตุ่มฝีหาย ได้เร็วขึ้น 5.3 โรคหวัดติดต่อ เป็นโรคติดต่อของระบบหายใจ มีการแพร่ระบาดของโรคเร็ว พบบ่อยใน ไก่รุ่น และไก่โตต็มที่แล้ว สาเหตุ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย การติดต่อ ติดต่อโดยการหายใจ หรือกินอาหารหรือน้ำที่มีเชื้อปะปนอยู่ และจากการแพร่โรคของไก่ที่เป็นพาหะของโรค อาการของโรค จะพบอาการบวมใต้ผิวหนังที่บริเวณหน้าและเหนียง เยื่อตาขาวอักเสบแบบมีเมือก ไก่จะมีน้ำมูก น้ำตาไหล จาม อาจมีแผ่นสีเหลือง คล้ายเนยเกิดขึ้นในปากและจมูก ถ้าเป็นมากตาจะแดง ใต้ตาบวม ลูกไก่มักสุมกัน ยืนหลับตา ขนพอง เป็นมากๆ จะเกิดปอดบวม หรือมีโรคอื่นแทรกทำให้ตายได้ การป้องกันและรักษาโรค ใช้หลักสุขาภิบาล เลี้ยงไก่ในที่ไม่อับทึบ หรือชื้นแฉะ เมื่อมีไก่ป่วย ควรปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อให้ยาปฏิชีวนะ และแยกสัตว์ป่วย ออกจากฝูง การป้องกันโรคโดยการฉีดวัคซีนเชื้อตาย 5.4 โรคอหิวาต์เป็ด-ไก่ เป็นโรคติดต่อร้ายแรงของเป็ด และสัตว์ปีกที่ชอบน้ำ โรคนี้เป็นได้กับเป็ด ทุกอายุมีอัตราการตายสูง สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัส การติดต่อ ติดต่อโดยตรงจากการสัมผัสกับเชื้อที่ปนเปื้อนสิ่งแวดล้อม เช่น เครื่องมือ เครื่องใช้ พาหนะขนส่งอาหาร และน้ำในลำคลอง 40
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต อาการของโรค เป็ดป่วยจะมีอาการขาอ่อน ไม่มีแรง นอนหมอบ ท้องเสีย อุจจาระเหลวเป็นสีขาว หรือขาวปนเขียว น้ำมูกน้ำตาไหล หนังตาหรี่ และชอบซุกตัว อยู่ในที่มืด เป็ดจะตายภายใน 1-3 วัน การป้องกันและรักษาโรค ไม่มียาสำหรับรักษาโดยตรง การจัดการ ด้านสุขาภิบาลจึงเป็นเรื่องสำคัญ (1) เมื่อทราบว่ามีโรคระบาดเกิดขึ้นในบริเวณใกล้เคียง อย่าปล่อยเป็ด ลงเลี้ยงในริมน้ำ ลำคลอง หรือแหล่งน้ำที่เลี้ยงเป็ด ควรนำเป็ดไว้บนที่ดอน (2) ทำความสะอาดเล้าเป็ด และบริเวณใกล้เคียงด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ และดูแลให้สะอาดอยู่เสมอ (3) ระวังการติดต่อเยี่ยมเยียนระหว่างผู้เลี้ยงเป็ด เครื่องมือ เครื่องใช้ ภาชนะใส่อาหารที่อาจนำเชื้อโรคแพร่ระบาดต่อไปได้ (4) เป็ดป่วย หรือตายด้วยโรคนี้ ไม่ควรนำออกไปที่อื่น เพราะจะทำให้ โรคระบาดต่อไปได้ ให้กำจัดซากเป็ดที่ตายด้วยการเผา หรือฝัง (5) โดยการใช้วัคซีนป้องกันโรค สำหรับวัคซีนของกรมปศุสัตว์เริ่มฉีด ครั้งแรกเมื่อเป็ดอายุ 3-4 สัปดาห์ ฉีดครั้งที่ 2 เมื่ออายุ 3 เดือน และครั้งที่ 3 เมื่ออายุ 6 เดือน หรือก่อนวางไข่ และฉีดซ้ำทุก 6 เดือน 5.5 โรคพยาธิ (1) โรคพยาธิภายนอก พยาธิภายนอก ได้แก่ เหา หมัด ไร ที่อาศัยอยู่ตามผิวหนังและขนของไก่ จะดูดเลือดและกัดกินเซลล์ผิวหนังและขนไก่ รบกวนไก่ทั้งกลางวันและกลางคืน ทำให้ไก่อ่อนแอ ซูบผอม ให้ผลผลิตต่ำ และมีโรคอื่นแทรกซ้อนได้ง่าย การรักษา ใช้ยากำจัดพยาธิภายนอกที่มีจำนวนหลายชนิดในตลาด เช่น ฟลูเมทริน 6 เปอร์เซ็นต์ ใช้ผสมน้ำ สำหรับจุ่มอาบ หรือฉีดพ่นบนตัวไก่ โดยใช้ ฟลูเมทริน 1 ส่วน ผสมน้ำ 2,000 ส่วน (ยา 1 มิลลิลิตรต่อน้ำ 2 ลิตร) 41
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต (2) โรคพยาธิภายใน พยาธิภายในที่สำคัญ ได้แก่ พยาธิตัวกลม พยาธิเส้นฝอย และพยาธิ ตัวแบน ที่จะดูดกินอาหารในลำไส้ ทำให้ไก่อ่อนเพลีย ซูบผอม ขนหยาบ เจริญเติบโต ช้า ท้องเสีย ในไก่ไข่จะทำให้อัตราไข่ลดลงได้ การป้องกันและรักษาพยาธิตัวกลม การสุขาภิบาลที่ดี จะทำให้การเกิด โรคพยาธิในไก่น้อยลงได้ แต่อย่างไรก็ตามควรให้ยาถ่ายพยาธิด้วย สำหรับพยาธิ ตัวกลม ใช้ยาพวกปิเปอร์ราซีน ขนาด 150-250 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัวไก่ 1 กิโลกรัม ผสมในอาหารให้ไก่อายุได้ 3 เดือน แล้วต่อไปให้ซ้ำเป็นระยะๆ ทุก 3-4 เดือน จะช่วย ให้ไก่สมบูรณ์แข็งแรงขึ้น หรือจะให้นำ้มะเกลือคั้นกรอกให้ไก่กิน เพื่อถ่ายพยาธิตัวกลม ก็ได้ผล การป้องกันและรักษาพยาธิตัวแบน พยาธิตัวแบนติดต่อกันได้โดยมีพาหะ ของพยาธิ คือ เมื่อพยาธิหลุดจากลำไส้ติดมากับอุจจาระไก่เป็นปล้องๆ ขนาดเท่าเมล็ด ข้าวสาร แต่ละปล้องจะมีไข่พยาธิอยู่เต็ม พวกแมลงต่างๆ มด ไส้เดือน ทาก และหอย จะกินไข่พยาธิเข้าไปเจริญเติบโตต่อไป เมื่อไก่มากินแมลงพาหะที่มีตัวอ่อนของพยาธิ ตัวพาหะจะถูกย่อยเป็นอาหาร แต่พยาธิตัวอ่อนจะอยู่ในลำไส้ของไก่และเจริญเติบโต เป็นตัวแก่มีปล้องหลุดออกมากับอุจจาระวนเวียนเช่นนี่เรื่อยไป การควบคุมพยาธิ ตัวแบนจึงทำได้โดยการกำจัดแมลง มด ไส้เดือน ทาก และหอย ที่เป็นพาหะของพยาธิ ให้หมดจากบริเวณที่เลี้ยงไก่ โดยการรักษาความสะอาดคอก เล้า หรือที่เลี้ยงไก่ อย่าให้เป็นที่อาศัยของพาหะเหล่านั้น การใช้ยาถ่ายพยาธิตัวแบนในไก่ เช่น ยามีเบนดาโซล ชนิดเม็ดขนาด 100 มิลลิกรัม 1 เม็ด ต่อน้ำหนักไก่ 3-5 กิโลกรัม ป้อนให้กิน 3 ครั้ง (วันเว้นวัน) (3) พยาธินัยน์ตา พยาธินัยน์ตามักพบเสมอในไก่ที่เลี้ยงปล่อยให้หากินตามที่รก หรืออยู่ใน เล้าที่มีแมลงสาบอาศัย จะพบว่า นัยน์ตาไก่มีพยาธิตัวเล็กๆ สีขาวขนาดยาวประมาณ ครึ่งเซนติเมตร อาศัยอยู่ที่มุมตาด้านหัวตาของไก่ 42
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต สาเหตุ แมลงเป็นพาหะชั่วคราว ที่พยาธิจะไปเจริญเติบโตจากไข่เป็นตัวอ่อน อยู่ภายในตัวแมลงสาบ เมื่อไก่กินแมลงที่มีไข่ของพยาธิชนิดนี้เข้าไปจะทำให้ตัวอ่อน ของพยาธิในแมลงสาบ เคลื่อนตัวจากปากของไก่เข้าไปทางช่องจมูกแล้วเข้าไปในท่อ น้ำตา ไปอาศัยอยู่ที่มุมตาด้านหัวตาของไก่ การติดต่อ โดยไก่กินแมลงสาบที่มีไข่ หรือตัวอ่อนของพยาธิเข้าไป อาการ ไก่จะกระพริบตาบ่อยๆ น้ำตาไหล ถูตากับหัวปีก พยาธิจะทำให้ ตาไก่อักเสบ เป็นหนอง ตาบวมปิด การป้องกันและรักษา ในฟาร์มและบริเวณโรงเรือน ที่เก็บอาหารต้องรักษา ความสะอาด อย่าให้รกรุงรังเป็นที่อาศัยของแมลงสาบ การรักษาโดยใช้ไม้พันสำลี เขี่ยเอาก้านหนองที่นัยน์ตาออก แล้วใช้น้ำเกลือ หรือน้ำมะเกลือคั้นหยอดนัยน์ตา แล้วเขี่ยเอาพยาธิออก หยอดตาด้วยยาหยอดตาที่มียาปฏิชีวนะ เช่น คลอแรมเฟนิคอล เพื่อลดการอักเสบของตา วันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น 5.6 วัคซีนสัตว์ปีก 1. วัคซีนรวมนิวคาสเซิล และหลอดลมอักเสบติดต่อในไก่ (Newcastle and Infectious bronchitis vaccine) วัคซีนเชื้อเป็นชนิดแห้ง ขนาดบรรจุ 100 โด๊ส พร้อมน้ำยาละลาย วัคซีนรวม ขนาด 5 มิลลิลิตร ประกอบด้วย ไวรัสนิวคาสเซิลสเตรนลาโซต้า และไวรัสหลอดลมอักเสบ ติดต่อในไก่ วิธีใช้ : หยอดตาหรือจมูกตัวละ 2 หยด ไก่จะมีความคุ้มโรคทั้งสอง ภายหลังได้รับวัคซีน 2 สัปดาห์ และอยู่ได้นาน 3 เดือน โปรแกรมวัคซีนนิวคาสเซิล และหลอดลมอักเสบติดต่อในไก่ ครั้งที่ 1 2 3 หมายเหตุ อายุสัตว์ 1 สัปดาห์ 2-3 สัปดาห์ 6-8 สัปดาห์ หยอดซ้ำทุกๆ 3 เดือน 43
การเลี้ยงไก่เบตงอารมณ์ดี โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต พันธุ์สัตว์ ครั้งที่ ไก่ไข่ ไก่พันธุ์ ขนาดฉีด ความคุ้มโรค ขนาดบรรจุ การเก็บรักษา เป็ดและไก่พื้นเมือง ตัวละ 1 มิลลิลิตร เข้ากล้ามเนื้อ หรือใต้ ผิวหนัง สัตว์จะมีความคุ้มโรคหลังจากฉีดวัคซีน 2 สัปดาห์ และอยู่ ได้นาน 3 เดือน ขวดละ 100 มิลลิลิตร (100 โด๊ส) เก็บในตู้เย็นอุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส ห้ามเก็บในช่อง แช่แข็ง ไก่พื้นเมือง วิธีการใช้ เป็ด ห่าน 1 2 ซ้ำ 1 2 3 ซ้ำ 3 สัปดาห์ 5 สัปดาห์ ทุกๆ 12 สัปดาห์ อายุ 3-4 สัปดาห์ อายุ 5-6 สัปดาห์ อายุ 10-12 สัปดาห์ ทุกๆ 3 เดือน อายุสัตว์ ที่มา : สถาบันสุขภาพสัตว์ (2566) 44 ตารางที่ 5.2 การใช้วัคซีนอหิวาต์เป็ด-ไก่ 2. วัคซีนอหิวาต์เป็ด-ไก่ เป็นวัคซีนแบคทีเรียเชื้อตายชนิดบรอทแบคเทอริน ผลิตจากเชื้อ Pasteurella multocida serotype 8 : A (Namioka: carter) หรือ A : 1 (Carter : Heddleston) สเตรนท้องถิ่น ที่ทำให้เกิดโรคอหิวาต์เป็ด-ไก่ สรรพคุณ : ใช้ฉีดป้องกันโรคอหิวาต์เป็ด-ไก่ สำหรับสัตว์ปีก