The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน 1
หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 การดำรงชีวิตของพืช
บทที่ 1 การสืบพันธุ์และการขยายพันธุ์พืชดอก

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Mathurada Boonsong, 2021-11-21 02:44:18

เอกสารประกอบการเรียนรู้ I วิทยาศาสตร์ชั้น ม.1

รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน 1
หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 การดำรงชีวิตของพืช
บทที่ 1 การสืบพันธุ์และการขยายพันธุ์พืชดอก

เอกสารประกอบการเรียน

หน่วยที่ 4 การดารงชีวติ ของพืช

กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
รหสั วิชา ว21101 ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1

ช่ือ-นามสกุล...............................................................ชั้น............เลขท่ี...........
โรงเรียนสมทุ รสาครบรู ณะ

2

บทท่ี 1 การสืบพันธแ์ุ ละการขยายพนั ธุข์ องพืชดอก

พชื ดอกคอื อะไร ??

พชื ดอก หมายถงึ พชื ท่ีเม่อื เจริญเตบิ โตเตม็ ที่แล้วจะมดี อกใหเ้ ห็น
พืชดอกจดั เปน็ พชื ช้ันสูงทีม่ อี วัยวะต่าง ๆ ครบสมบูรณ์ คอื ราก ลาตน้ ใบ
ตา ดอก และเมลด็ พืชดอกมีอยทู่ ัว่ ไปหลายชนดิ มีทงั้ ทอ่ี ย่บู นบกและอยูใ่ นนา้

ดอก (Flower)
➢ เป็นสว่ นทีเ่ ปลยี่ นแปลงมาจากกง่ิ และใบ เปน็ สว่ นที่ใชใ้ นการสบื พนั ธ์ุ
➢ ดอกไมแ้ ตล่ ะชนดิ มีความแตกต่างกัน แตม่ ีโครงสร้างพ้ืนฐานทค่ี ลา้ ยกนั

ส่วนประกอบประกอบของดอกพชื มี 4 ส่วนประกอบหลัก ดงั นี้

4
3

2

1

3

บทท่ี 1 การสืบพนั ธแ์ุ ละการขยายพนั ธขุ์ องพืชดอก

ดอกของพชื มีสว่ นประกอบทสี่ าคญั 4 สว่ น

1. กลบี เลยี้ ง(Sepal) เป็นส่วนทอ่ี ยนู่ อกสุดของดอก แปลงมาจากใบ มกั มสี เี ขยี วคลา้ ยใบ

ทาหนา้ ที่ห่อหุ้มส่วนทอ่ี ยู่ขา้ งในของดอกไว้ ในขณะที่ดอกยงั ออ่ นอยู่ หรือท่ียงั เป็นดอกตูม
เพือ่ ป้องกนั อันตรายจากแมลง และศตั รู

2. กลีบดอก(petal) เป็นส่วนที่อยู่ถดั จากกลบี เล้ยี งเข้าไป มกั มสี สี นั สวยงามบางชนิด

มีกลิ่นหอม ซ่ึงสีสนั ท่ีสดใส ซงึ่ ล่อแมลงให้มาตอม เพ่ือชว่ ยในการผสมเกสร

3. เกสรเพศผู้ (stamen) เป็นส่วนที่อยถู่ ดั จากกลีบดอกเขา้ ไป เป็นอวยั วะสร้างเซลล์

สืบพนั ธเ์ุ พศผู้ มักมหี ลายอัน เกสรเพศผ้แู ต่ละอันประกอบดว้ ย
3.1. กา้ นเกสรตัวผู้ (Filament) หรอื กา้ นชูอบั เรณู มีลกั ษณะเป็นก้านยาวๆ
3.2. อับเรณู (Anther) มีลกั ษณะเปน็ กระเปาะ เป็นแหล่งสร้างและเก็บ"ละอองเรณ“ู
ซ่ึงภายในละอองเรณูจะมเี ซลลส์ ืบพันธ์ุเพศผ้อู ยู่

4. เกสรเพศเมยี (pistil) เปน็ ส่วนที่อย่ใู นสุด คอื ตรงกลางดอก ทาหนา้ ทีส่ รา้ งเซลล์สบื พนั ธุ์

เพศเมยี ทป่ี ลายยอดเกสรตวั เมยี จะมลี กั ษณะเปน็ ขนและมนี า้ เหนียว ๆ เคลอื บอยู่ เพือ่ ชว่ ยใน
การดกั จับละอองเรณู และในน้าเหนยี ว ๆ น้ีจะมี " นา้ ตาล "เป็นองคป์ ระกอบอยู่ จะช่วย
กระตุน้ ให้ละอองเรณเู กิดการงอกหลอด เกสรเพศเมยี ประกอบดว้ ย

4.1. ยอดเกสรตัวเมีย(stigma) อยตู่ รงสว่ นบนสุดของเกสรตวั เมีย
4.2. กา้ นชเู กสรตวั เมยี (style) ทาหน้าที่ชเู กสรตัวเมยี
4.3. รงั ไข่ (Ovary) อย่สู ว่ นล่างสดุ ของเกสรตัวเมีย มีลักษณะเปน็ กระเปาะ ภายในมี
" ไขอ่ อ่ น " หรือ " ออวลุ " ซ่ึงมเี ซลลส์ ืบพนั ธ์ุเพศเมียอยู่ และภายในออวุลมีถุง
เอม็ บรโิ อ (Embryo sac) ซงึ่ เปน็ อยู่ของเซลลไ์ ข่

1
3

24

4

ใบงาน พชื ดอกและโครงสร้างของดอก

ชอื่ …….................................................................... ชัน้ ………….. เลขท…่ี …………

คะแนน

ตอนท่ี 1 คาส่ัง : จงตอบคาถามต่อไปนใ้ี ห้ถกู ต้อง
1. จงอธิบายความหมายของพชื ดอกมาพอสังเขป
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

2. โครงสร้างสาคัญของดอก 4 ส่วน ได้แก่อะไรบ้าง
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ตอนที่ 2 คาช้ีแจง ใหน้ กั เรยี นเติมคาหรือขอ้ ความลงในช่องวา่ งให้ถกู ต้อง

1. อวยั วะสบื พันธขุ์ องพชื คือ …………………ซงึ่ เปลยี่ นแปลงมาจาก ………………… โดยมีเซลลเ์ พศผู้ คอื …………………
และเซลล์สบื พนั ธุเ์ พศเมียคอื …………………

2. ส่วนประกอบของดอกมดี ังนี้

7 89 1.) กลบี เลยี้ ง คอื หมายเลข …………
6 10 ทาหนา้ ท่ี ………………………………………………………………
…………………………………………………………………
5 1 2.) กลีบดอก คอื หมายเลข ……………
4 2 ทาหนา้ ท่ี ………………………………
3 3.) เกสรเพศผู้ คอื หมายเลข ………………………………
ทาหนา้ ท่ี …………………………………………………
4.) เกสรเพศเมีย คอื หมายเลข ………………………………
โดยออวลุ คือ หมายเลข ………… ซ่งึ ภายในออวุลจะมี
…………………ซงึ่ ทาหน้าท่ี ……………………………………….
5.) เซลล์สืบพันธุ์เพศผเู้ มอื่ มองดว้ ยตาเปลา่ จะเห็นคลา้ ยผง
สีเหลือง เรยี กว่า …………………ซึง่ พบที่ หมายเลข …………

5

บทท่ี 1 การสบื พนั ธุแ์ ละการขยายพนั ธ์ุของพชื ดอก

ประเภทของพชื ดอก

กรณีท่ี 1 : ใชส้ ว่ นประกอบของดอกไมเ้ ปน็ เกณฑ์ในการแบง่

1. ดอกครบสว่ น (Complete flower) คือ ……………………………………………............................
2. ดอกไม่ครบส่วน (Incomplete flower) คอื ……………………………………………......................

ต้อยตง่ิ บวั หลวง ดอกเฟื่องฟา้ ดอกกลว้ ยไม้

Complete flower Incomplete flower

กรณที ี่ 2 : ใชอ้ วัยสบื พนั ธุ์ของพชื เป็นเกณฑใ์ นการแบง่

1. ดอกสมบรู ณ์เพศ (Perfect flower) คอื …………………………………………….........................

2. ดอกไม่สมบรู ณ์เพศ (Inperfect flower) คือ …………………………………………….....................

ดอกชบา ดอกกล้วยไม้ ดอกข้าวโพด ดอกมะพร้าว

Perfect flower Inperfect flower

กรณที ี่ 3 : ใชจ้ านวนดอกบนหนง่ึ กา้ นดอกเปน็ เกณฑ์ในการแบง่

1. ดอกเด่ยี ว (Solitary flower) ดอกที่เกดิ ข้นึ บนกา้ นดอก ดอกเดียวในแต่ละขอ้ ของก่ิง หรอื ลาต้น

2. ดอกชอ่ (Inflorescence flower) ดอกที่เกดิ เปน็ กลมุ่ อย่บู ก้านดอกใหญเ่ ดียวกัน ประกอบดว้ ย
การดอกย่อย ๆ หลายดอก

6

ใบงานเรอื่ ง โครงสรา้ งดอกและการจาแนกพืชดอก

ชอื่ …….................................................................... ช้ัน………….. เลขท…่ี …………

คะแนน

คาสง่ั : จงจบั คขู่ อ้ ความที่มคี วามสมั พันธ์กันใหถ้ ูกตอ้ ง

อับเรณู กลีบเลย้ี ง ดอกไม่สมบรู ณ์เพศ ดอกเดย่ี ว ดอกช่อ Ovary พดุ ตาน
กา้ นชูเกสรตัวเมยี ดอกสมบูรณ์เพศ ดอกครบส่วน ดอกไมค่ รบสว่ น

……………….………… 1. เป็นส่วนทพี่ องออกเป็นกระเปาะ ภายในมี “ออวลุ .”

……………….………… 2. เปน็ ส่วนทีเ่ ชอ่ื มตอ่ จากยอดเกสรตัวเมียลงสูร่ ังไข่
……………….………… 3. ภายในแบ่งเป็นถงุ เล็กๆ 4 ถงุ เรยี กว่า “(pollen sac)”
……………….………… 4. กลบี ดอกบางชนิดสามารถเปลี่ยนสไี ด้
……………….………… 5. ทาหน้าท่หี อ่ หุ้มปอ้ งกันอนั ตรายตา่ งๆให้แกส่ ่วนในของดอกไม้

……………….………… 6. มีองค์ประกอบครบทั้ง 4 ส่วน คือ กลีบเลย้ี ง กลีบดอก เกสรตวั ผู้ เกสรตวั เมยี
ภายในดอกเดยี วกัน

……………….………… 7. มสี ว่ นประกอบไมค่ รบ 4 สว่ น ในดอกเดียวกนั
……………….………… 8. ตอ้ ยติง่ ดอกพริก บวั หลวง
……………….………… 9. มอี วยั วะสบื พนั ธทุ์ ้ังเพศผแู้ ละเพศเมีย ในดอกเดยี วกัน
……………….………… 10. ดอกบานเยน็ ดอกเฟ่ืองฟ้า กลว้ ยไม้

……………….………… 11. มอี วยั วะสืบพันธ์เุ พศผหู้ รือเพศเมยี อยา่ งเดียวในดอกเดียว
……………….………… 12. เกิดขนึ้ บนกา้ นดอก ดอกเดยี วโดด ๆ ในแต่ละขอ้ ของกง่ิ หรือ ลาตน้

……………….………… 13. เกดิ เปน็ กลุ่ม อยบู่ นก้านดอกใหญ่เดียวกนั และประกอบดว้ ยการดอกย่อย ๆ หลายดอก

……………….………… 14. จาปี การะเวก พรู่ ะหงส์

……………….………… 15. ทานตะวัน ดอกหางกระรอกแดง

7

บทท่ี 1 การสืบพนั ธ์แุ ละการขยายพนั ธ์ขุ องพชื ดอก

สง่ิ มีชีวติ ตอ้ งการสารอาหารเพอื่ การดารงชวี ิต เม่ือสิ่งมชี ีวิตเจรญิ เติบโตเตม็ ทก่ี จ็ ะสืบพนั ธ์ุ

เพ่อื การดารงเผา่ พันธุข์ องตนเองไว้ พืชกเ็ ช่นเดียวกนั การสบื พันธุ์ของพชื มีทง้ั แบบอาศยั เพศและ
ไมอ่ าศัยเพศ

การสบื พนั ธแ์ุ บบอาศัยเพศ ของพืชดอกจะตอ้ งมกี ารรวมกันของเซลล์สืบพนั ธ์ุเพศผ้กู บั เซลล์

สบื พันธุเ์ พศเมีย ซ่ึงเกิดขน้ึ ในดอก ดังนน้ั ดอกจงึ เปน็ อวยั วะสืบพนั ธุ์ของพืชดอก

การสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศของพชื ดอก มีขั้นตอนดังนี้
การถา่ ยละอองเรณู (Pollination)

การงอกของละอองเรณู

การปฏสิ นธขิ องพืชดอก (Fertilization)

การเปลยี่ นแปลงโครงสรา้ งหลงั การปฏสิ นธิ

การถ่ายละอองเรณู (pollination)

การถา่ ยละอองเรณู หมายถงึ ปรากฏการณ์ทีล่ ะอองเรณูของเกสรเพศ……..........
ปลวิ มาตกบนยอดเกสรเพศ………..ของดอกชนิดเดียวกนั จะเกิดข้นึ เม่ือละอองเรณู
แก่เตม็ ที่ โดยอาจอาศัยสอ่ื ตา่ ง ๆ พาไป เชน่ ลม นา้ แมลง สตั ว์ รวมทงั้ มนุษย์ เปน็ ตน้

8

บทที่ 1 การสืบพันธุแ์ ละการขยายพนั ธุข์ องพืชดอก

การเกิดการถา่ ยละอองเรณู

เกิดขึ้นได้ 2 ประเภท

เกดิ ขน้ึ ภายในดอกเดียวกัน เกดิ ขนึ้ ขา้ มดอก
(self pollination) (Closs pollination)

ไม่ต้องอาศัยพาหะหรือตัวกลาง ต้องอาศัยพาหะหรอื ตัวกลาง
ในการช่วยใหเ้ กดิ ถา่ ยละอองเรณู ในการช่วยใหเ้ กิดถ่ายละอองเรณู

อาศยั ส่งิ มชี ีวิต อาศัยสิ่งไม่มชี วี ติ

9

บทท่ี 1 การสบื พันธ์ุและการขยายพันธุ์ของพชื ดอก

กจิ กรรมที่ 4.1 การถ่ายเรณูเกิดข้นึ ได้อยา่ งไร

จุดประสงค์ …………………………………………………………………………………………………….
อุปกรณ์ …………………………………………………………………………………………………….
วธิ กี ารดาเนินกจิ กรรม (ให้นกั เรยี นเขียนเป็นแผนภาพ)

ตารางบันทึกผล การสังเกต รูปร่าง ลกั ษณะ กลน่ิ สี เกสรเพศผู้และเกสรเพศเมียของดอกพชื
กลมุ่ ท่ี …………….... ช่อื พชื ดอก……………………………………....

รปู ร่าง กลบี เลีย้ ง กลีบดอก เกสรเพศผู้ เกสรเพศ กลิ่น
ลักษณะ เมีย

10

บทที่ 1 การสบื พันธ์แุ ละการขยายพนั ธ์ขุ องพืชดอก

(ตอ่ )

อภปิ รายผล สิง่ ท่ีชว่ ยใหเ้ กดิ การถา่ ยละอองเรณูของพืชดอก

ชือ่ พืช…………………………..

สิ่งที่ชว่ ยในการถ่ายละอองเรณู คอื …………………………..……………………………………………………………
เหตุผล……………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………

สรุปผลการทดลอง
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………..……………………………………………………………………………………

คาถามท้ายกจิ กรรม
1. ลกั ษณะตา่ ง ๆ ของดอกมีสว่ นชว่ ยนการถ่ายเรณูของพืชดอกหรอื ไม่ อยา่ งไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………..……………………………………………………………………………………
2. ปจั จัยภายนอกท่ีชว่ ยในการถา่ ยเรณขู องพชื ดอกมอี ะไรบ้าง
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………..……………………………………………………………………………………
3. วธิ ีการถา่ ยเรณจู ากการอภปิ รายเหมือนหรือตา่ งจากของมูลท่ไี ดจ้ ากการสืบคน้ อย่างไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………….…………………………………………………………………………………….

11

บทท่ี 1 การสบื พนั ธแ์ุ ละการขยายพนั ธุข์ องพืชดอก

การงอกของละอองเรณู

➢ ละอองเรณูของเซลล์เพศผู้ จะมี 2 นวิ เคลียส คอื
- Generative Nucleus
- Tube nucleus

➢ เมื่อละอองเรณตู กลงบนยอดเกสรตัวเมีย

➢ Tube nucleus ซงึ่ มลี กั ษณะเป็นทอ่ จะงอก

ลงไปภายในกา้ นเกสรตวั เมยี จนถงึ ออวลุ แลว้
สลายตวั ไป

➢ ส่วน Generative Nucleus จะแบ่งตัวแบบ Mitosis

ไดส้ เปิรม์ นิวเคลยี ส 2 อนั เขา้ ไปตามหลอด เพอื่ ปฏสิ นธิในขัน้ ต่อไป

การปฏสิ นธขิ องพืชดอก (Fertilization)

▪ เมื่อละอองเรณตู กลงบนยอดเกสรเพศเมีย ทวิ บ์นวิ เคลียส (Tube nucleus) ของละอองเรณู
แต่ละอนั จะสร้างหลอดละอองเรณดู ้วยการงอกหลอดลงไปตามกา้ นเกสรเพศเมียผา่ นทาง
รไู มโครไพลข์ องออวลุ ระยะน้ีเจเนอเรทฟิ นวิ เคลยี ส (Generative Nucleus) จะแบ่ง
นวิ เคลียสแบบไมโทซิสได้ 2 สเปริ ม์ นวิ เคลียส (Spermnucleus)

▪ สเปริ ม์ นิวเคลยี สหนงึ่ จะผสมกับเซลลไ์ ข่
ได้ไซโกต (Zygote)

▪ ส่วนอีกสเปริ ์มนวิ เคลียสจะเขา้ ผสมกบั เซลล์
โพลาร์นิวเคลียสไอได้เอนโดสเปิร์ม (endosperm)

เรียกการผสม 2 ครั้ง ของสเปริ ์มนวิ เคลยี สนว้ี ่า
การปฏสิ นธซิ อ้ น (double fertilization)

12

บทที่ 1 การสบื พันธ์ุและการขยายพนั ธข์ุ องพืชดอก

การปฏสิ นธขิ องพชื ดอกสรุปได้ว่าอย่างไร ??

+ สเปริ ์มตวั ที่ 1 ไซโกต(Zygote)
เซลลไ์ ข่ (egg cell)

เจริญไปเปน็ …………………………………

+ สเปริ ม์ ตวั ท่ี 2
โพลาร์นิวเคลยี สไอ เอนโดสเปิร์ม
(Polar nuclei) (Endosperm)

เจริญไปเปน็ เปน็ ………………………………

การเปล่ียนแปลงโครงสรา้ งหลังการปฏิสนธิ

• กลีบเลีย้ ง เหยี่ วแห้งหลุดไป แตพ่ ชื บางชนิดยงั คงอยู่เช่น มงั คุด

• กลีบดอก-ยอดเกสรและกา้ นเกสรตวั เมยี เหี่ยวแห้ง และรว่ งหลดุ ไป

• ออวุล (Ovule ) เมล็ด

• รงั ไข่ (Ovary) กลายเป็น “ผล” (ผลบางชนิดเกิดจาก ฐานรองดอก)

• ผนงั รงั ไข่ (Ovary wall) เปลอื กและเน้ือของผล

• เยอื่ ห้มุ ออวุล ( integument) เปลือกหมุ้ เมล็ด

• สเปริ ม์ + ไข่ ไซโกต เอ็มบรโิ อ หรือ ตน้ ออ่ น

• สเปิรม์ + โพลาร์นิวเคลียส เอนโดสเปิร์ม อาหารเลีย้ งเอ็มบริโอ

13

ใบงานเร่อื ง การสืบพนั ธแุ์ ละการปฏิสนธขิ องพชื ดอก (Fertilization)

ชอ่ื …….................................................................... ช้ัน………….. เลขท…ี่ …………

คาส่งั : จงตอบคาถามต่อไปนใ้ี หถ้ ูกตอ้ ง คะแนน

1. พชื ดอกมกี ารสืบพันธแุ์ บบใด
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

2. จงระบุขนั้ ตอนการสบื พนั ธแุ์ บบอาศยั เพศของพชื ดอก
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

3. การถา่ ยละอองเรณเู กิดขึน้ ภายในดอกเดียวกนั หรือเกดิ ข้ามดอก และต้องอาศัยปจั จัยใดบา้ ง
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. ละอองเรณูของเซลล์สืบพนั ธุเ์ พศผู้ มจี านวนนวิ เคลยี สเท่ากับเท่าใด ไดแ้ ก่อะไรบา้ ง
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

5. “มลี กั ษณะเปน็ ทอ่ จะงอกลงไปภายในกา้ นเกสรตัวเมยี เมอื่ ถึงออวลุ แล้วสลายตัวไป” จากข้อความดงั กล่าว
หมายถึงสง่ิ ใด …………………………………………………………………………………………………………………………

6. จงเตมิ ข้ันตอนการปฏิสนธิซอ้ นของพชื ดอก เมอ่ื สเปริ ม์ 2 ตวั เขา้ ผสมกับเซลล์ไข่ ให้สมบูรณ์

สเปริ ์มตัวท่ี 1 + ไซโกต ซง่ึ เจริญตอ่ ไปเปน็ …………………………

+ โพลาร์ นวิ เคลียส ซึ่งเปน็ ………………………………………

7. จงระบุการเปลี่ยนแปลงโครงสรา้ งหลงั การปฏิสนธขิ องพชื ดอก

กลบี เลีย้ ง การเปล่ยี นแปลง

กลีบดอก-ยอดเกสรและก้านเกสรตัวเมีย การเปล่ียนแปลง

การเปลย่ี นแปลง เมล็ด

รงั ไข่ การเปลี่ยนแปลง กลายเป็น…………………

14

บทท่ี 1 การสบื พนั ธแ์ุ ละการขยายพนั ธ์ขุ องพชื ดอก

การเกดิ ผล

ภายหลังการปฏิสนธิ ออวุลแตล่ ะออวุลจะเจรญิ ไปเป็นเมลด็ สว่ นรงั ไขจ่ ะเจริญไปเปน็ ผล
มีผลบางชนิดทีส่ ามารถเจรญิ มาจากฐานรองดอกไดแ้ ก่ ชมพู่ แอปเปิ้ล สาลี่ ฝร่งั ผลของพืชบาง
ชนดิ อาจเจรญิ เติบโตมาจากรังไขโ่ ดยไมม่ กี ารปฏิสนธิ หรอื มีการปฏสิ นธติ ามปกติ แต่ออวลุ ไม่เจรญิ
เติบโตเป็นเมลด็ สว่ นรงั ไข่สามารถเจรญิ เติบโตเป็นผลได้ เชน่ กลว้ ยหอม องุน่ ไม่มเี มล็ด

นักพฤกษศาสตร์ ได้แบ่งผลตามลกั ษณะของดอกและการเกดิ ผลออกเปน็ 3 ชนิด ดงั น้ี

1. ผลเด่ียว (simple fruit)เป็นผลที่เกิดจากดอกเด่ยี ว หรอื ชอ่ ดอกซงึ่ แต่ละดอกมรี ังไข่เพยี ง

อนั เดียวเช่น ลนิ้ จี่ เงาะ ลาไย ทเุ รยี น ตะขบ เป็นตน้

2. ผลกลุ่ม (aggregate fruit) เป็นผลทเ่ี กิดจากดอกหนงึ่ ดอกซ่ึงมีหลายรงั ไขอ่ ย่แู ยกกนั หรือ

ติดกนั ก็ได้อยู่บนฐานรองดอกเดยี วกัน เชน่ น้อยหนา่ กระดงั งา สตรอเบอรี่ เปน็ ตน้

3. ผลรวม (multiple fruit) เป็นผลเกดิ จากรงั ไข่ของดอกย่อยแต่ละดอกของช่อดอกหลอมรวม

กนั เปน็ ผลใหญ่ เช่น ยอ ขนุน หมอ่ น สับปะรด เป็นต้น

simple fruit aggregate fruit multiple fruit

เมล็ด (Seed)

สว่ นที่เจริญมาจากออวุล (ovule) ประกอบด้วยเอม็ บริโอที่อยภู่ ายใน เปลือกหมุ้ เมลด็
อาจมีเนอื้ เยื่อสะสมอาหารอยภู่ ายในเมลด็ ด้วย เมลด็ ประกอบด้วยสว่ นต่าง ๆ ดังน้ี

15

บทที่ 1 การสืบพนั ธแุ์ ละการขยายพันธขุ์ องพชื ดอก

ส่วนประกอบของเมล็ด (Seed)

1. เปลือกหมุ้ เมล็ด (Seed Coat)

เป็นสว่ นทอ่ี ยนู่ อกสดุ ของเมลด็ เจริญเตบิ โตมาจากเน้ือเยอื่ ชั้นนอกสดุ ของออวลุ ทาหน้าท่ีป้องกนั
อันตรายตา่ ง ๆ ให้แกเ่ อ็มบริโอทอ่ี ยู่ภายในเมลด็ เช่น ปอ้ งกนั ไม่ใหจ้ ุลนิ ทรยี ์เขา้ ไปในเมล็ด
นอกจากน้ันเปลอื กหมุ้ เมลด็ ยงั มีสารพวกไขเคลอื บอยู่ทาใหล้ ดการสญู เสียนา้ ได้ด้วย

2. เอม็ บรโิ อ (Embryo) เป็นส่วนประกอบที่จะเจรญิ ไปเป็นตน้ พชื ประกอบดว้ ย

- รากแรกเกิดหรอื แรดิเคลิ (radicle) เปน็ สว่ นลา่ งสุดของเอม็ บรโิ ออยู่ตอ่ จากไฮโพคอทิล
ลงมา ต่อไปจะเจรญิ เปน็ รากแกว้
- ใบเลีย้ ง (cotyledon) เมล็ดพชื ใบเลี้ยงคู่มีใบเลย้ี ง 2 ใบ ส่วนเมล็ดพืชใบเลยี้ งเด่ียว
มีใบเล้ียงเพียง 1 ใบ ใบเลย้ี งของพชื บางชนดิ ทาหนา้ ท่สี ะสมอาหารให้กับต้นอ่อน
- เอพิคอทิล (epicotyl) เป็นสว่ นของเอม็ บริโอทีอ่ ยู่เหนือตาแหน่งท่ตี ดิ กบั ใบเลย้ี ง สว่ นน้ี
จะเจรญิ เตบิ โตไปเป็นลาต้น ใบและดอกของพชื บรเิ วณปลายสดุ จะมี “ยอดแรกเกดิ
(Plumule)” เปน็ ยอดออ่ น
-ไฮโพคอทลิ (hypocotyl) เป็นส่วนเอ็มบริโอทีอ่ ยูใ่ ตต้ าแหนง่ ทต่ี ดิ กับใบเลีย้ ง ในระหวา่ ง
การงอกของเมล็ดพืชใบเลย้ี งคู่หลายชนดิ ไฮโพคอทลิ จะเจรญิ ดงึ ใบเล้ยี งใหข้ ้นึ เหนือดนิ

3. เอนโดสเปิร์ม(endosperm)

เปน็ เนอื้ เยอ่ื ที่มอี าหารสะสมไวส้ าหรับการเจริญเติบโตของเอ็มบรโิ อ อาหารสว่ นใหญเ่ ปน็ ประเภท
แปง้ โปรตนี และไขมัน เมล็ดละหุ่ง เมลด็ ละมุด มเี อนโดสเปิร์มหนามาก สว่ นใบเลยี้ งมีลักษณะ
แบนบางมี 2 ใบ สาหรับพชื พวกข้าว หญ้า จะมีใบเลยี้ งเพียงใบเดยี ว อาหารสะสมอย่ใู น
เอนโดสเปิร์ม เมล็ดพืชบางชนิดไมม่ เี อนโดสเปิรม์ เนือ่ งจากสะสมอาหารไวท้ ่ีใบเลี้ยง

เปลอื กหุ้มเมลด็ (Seed Coat)

ยอดแรกเกิด (Plumule)

สว่ นท่ีอยใู่ ตใ้ บเลย้ี ง (Hypocotyl)
รอยแผล (Hilum)
รูไมโครไพล์ (Micropyle)
ใบเล้ียง (Cotyledon)

16

บทท่ี 1 การสืบพนั ธแ์ุ ละการขยายพันธ์ุของพืชดอก

การงอกของเมล็ด

เม่อื เอมบริโองอกออกจากเมล็ดจากนัน้ จะเจรญิ เติมโตเปน็ พชื ตน้ ใหมต่ อ่ ไป เมลด็ พชื แกเ่ ตม็ ท่กี จ็ ะสกุ
ไปพร้อมกนั เมล็ดจะกระจายออกจากต้นเดมิ และถ้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสม เมลด็ ก็จะ
สามารถงอกได้

รูปแบบการงอกของเมลด็

❖ การงอกทช่ี ใู บเล้ยี งขนึ้ มาเหนอื ดนิ (Epigeal germination)

❖ การงอกใต้ดนิ (Hypogeal germination)

ปัจจัยท่ีมีผลตอ่ การงอกของเมลด็

1. น้าหรอื ความชนื้

เมื่อเมลด็ ไดร้ ับน้า เปลือกหมุ้ เมล็ดจะออ่ นตัวลง ทาให้น้าและออกซเิ จนผ่านเข้าไปใน
เมล็ดไดม้ ากข้ึน น้าจะเปน็ ตัวกระตุ้นปฏิกริ ิยาทางชีวเคมตี า่ ง ๆ ภายในเมลด็
นอกจากนี้
น้ายังช่วยในการลาเลียงสารอาหารไปใชต้ วั ออ่ นใช้ในการงอก

2. ออกซเิ จน

เมล็ดขณะงอกมีอตั ราการหายใจสูง ต้องการออกซเิ จนไปใชใ้ นกระบวนการสลายสาร
อาหารเพอ่ื ให้ได้พลงั งาน ซึง่ จะนาไปใชใ้ นกระบวนการเมแทบอลิซึมต่าง ๆ ของเซลล์

3. อณุ หภูมิ

พืชแต่ละชนิดตอ้ งการอุณหภูมิทเ่ี หมาะสมในการงอกแตกตา่ งกนั เชน่ เมล็ดพชื เขต
หนาวจะงอกไดด้ ี ในชว่ งอุณหภูมิ 10-20 องศาเซลเซยี ส เช่น หอมหวั ใหญ่และผักกาด
แต่ก็มีบางชนิดต้องการอณุ หภูมใิ นชว่ งกลางวนั และกลางคนื ท่ตี ่างกนั หรอื ใหอ้ ณุ หภมู ิ
ตา่ สลบั กับ อุณหภูมสิ ูง การงอกจึงจะเกดิ ดี เช่น บวบเหล่ียม

4. แสง

เป็นปัจจัยหนึ่งทคี่ วบคมุ การงอกของเมลด็ เมล็ดพืชบางชนิดจะงอกได้ตอ่ เม่อื มแี สง เชน่
วัชพืชต่าง ๆ หญ้า ยาสูบ ผักกาดหอม สาบเสอื ปอต่าง ๆ เปน็ ตน้ เมลด็ พชื อีกหลาย
ชนิดไม่ต้องการแสงในขณะงอก เช่น กระเจ๊ยี บ แตงกวาผกั บงุ้ จีน ฝา้ ย ขา้ วโพด เป็นต้น

17

ใบงานเรือ่ ง การสบื พนั ธุ์และการเจรญิ เตบิ โตของพชื ดอก

ช่อื …….................................................................... ชั้น………….. เลขท…ี่ …………

คาชี้แจง ให้นกั เรยี นเตมิ คาหรือขอ้ ความลงในช่องว่างใหถ้ ูกต้อง คะแนน

1. การถา่ ยละอองเรณูเกิดได้ ………………. แบบ คือ ……………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
โดยมีปัจจยั ทช่ี ่วยในการถ่ายละอองเรณู ได้แก่ ……………………………………………………………………………………
การถา่ ยละอองเรณจู ะเกดิ ข้นึ เวลา ……………………………………………………………………………………………………
2. การปฏสิ นธิ คือ ……………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
3. ในขน้ั ตอนการผสมพันธพ์ุ ชื ดอกน้นั เจเนอเรทฟี นิวเคลยี สจะแบง่ ตัวให้สเปิรม์ นวิ เคลียส ………………. อนั โดย
สเปริ ์มนวิ เคลยี สอันหน่งึ จะเขา้ ไปผสมกับนิวเคลยี สของเซลล์ไข่ได้เปน็ ………………. ซง่ึ จะเจริญไปเปน็ ……………….
ส่วนสเปิรม์ นิวเคลียสอีกอนั หน่ึงจะเข้าผสมกบั เซลล์โพลารน์ ิวคลีไอ ได้เปน็ ………………. และเรียกการปฏสิ นธินว้ี ่า
……………….……………….……………….……………….
4. การเปลย่ี นแปลงหลงั การปฏิสนธิของพืชดอก ได้แก่

4.1 ตน้ ออ่ นภายในเมลด็ เจรญิ มาจาก ……………….
4.2 ผล เจรญิ มากจาก ……………….
4.3 เปลอื กและเน้อื ของผล เจริญมากจาก ……………….
4.4 เมลด็ เจรญิ มากจาก ……………….
4.5 เปลอื กหมุ้ เมลด็ เจรญิ มาจาก ……………….

5. เมลด็ ของพืชแต่ละชนิดจะมรี ปู ร่างแตกตา่ งกัน และมสี ่วนประกอบหลักเหมือนกัน ……………….ส่วน
ได้แก ……………………………………………………………………………….……………………………………………………………….

6. ปจั จยั ต่อไปนี้มคี วามจาเปน็ อย่างไรในการงอกของเมลด็
6.1 น้าหรือ …………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
6.2 แก๊สออกซเิ จน ……………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
6.3 อุณหภูมทิ ี่พอเหมาะ …………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

18

บทที่ 1 การสืบพันธุแ์ ละการขยายพนั ธข์ุ องพชื ดอก

การสืบพนั ธแ์ุ บบไม่อาศัยเพศของพืช

เปน็ การสบื พันท์ุ ไ่ี ม่ไดเ้ กดิ จากการปฏิสนธิ หรอื ปน็ การสืบพนั ธ์โุ ดยใชส้ ว่ นต่าง ๆ ของพชื ทไี่ มใ่ ช่ดอก
เช่น ราก ลาตน้ ใบและพฒั นากลายเปน็ ต้นใหม่ รนุ่ ลกู ทีไ่ ด้ทมี่ ีลกั ษณะ ทางพันธกุ รรมเหมอื นพ่อแม่

1. การแตกหนอ่ หรือเหง้า (Budding) เซลลใ์ หม่

จะเจรญิ จากกลุ่มเซลลท์ เี่ รียกว่า “หนอ่ ” โดยงอก
จากเซลล์ของตน้ พอ่ แม่

2. การสร้างสปอร์ (Sporulation) เมื่อพืชเจริญเตบิ โตเตม็ ท่ี

จะสรา้ งสปอรบ์ รเิ วณ ด้านหลังของใบ สามารถแพรก่ ระจายได้
โดยอาศัยลมหรือน้าเปน็ ตวั พาไป

3. การใชส้ โตลอน หรือ ไหล (Stolon) คือ ส่วนของลาต้น
ท่ีงอกออกมาต้นใหม่ได้ เช่น บัวบก ผกั ตบชวา บัว

4. การแตกตน้ ใหม่จากส่วนตา่ ง ๆ ของพืช

ใช้ใบ ใช้ราก ใชส้ ่วนของ “ลาต้น

ตน้ ตายใบเป็น มนั สาปะหลงั ข่า

19

ใบงานเรื่องเมล็ด การงอกของเมลด็ และการสืบพนั ธแ์ุ บบไมอ่ าศัยเพศ

ชือ่ …….................................................................... ชั้น………….. เลขท…่ี …………

คาสงั่ : จงจับคูข่ ้อความท่มี ีความสมั พันธ์กนั ให้ถกู ต้อง คะแนน

ขิง ขา่ ขมน้ิ ไหล(Stolon) หวายทะนอย เมล็ด เอนโดสเปริ ม์ การเพาะเลี้ยงเนอ้ื เยอ่ื
รูไมโครไพล์
Hypocotyl การงอกท่ีชใู บเล้ยี งข้ึนมาเหนือดิน Budding ยอดแรกเกิด
เฟริ ์น Epicotyl Radicle กหุ ลาบหนิ เปลือกห้มุ เมลด็

…………………………………………………….. 1. เป็นสว่ นท่ีเจรญิ มาจากออวลุ (ovule) หลังจากเกดิ การปฏิสนธิระหว่าง
เซลล์สืบพนั ธ์เุ พศผู้กับเซลล์สบื พันธุ์เพศเมยี ของดอก

…………………………………………………….. 2. เป็นส่วนที่อยนู่ อกสุดของเมล็ด มลี กั ษณะแข็ง
…………………………………………………….. 3. เป็นตาแหน่งทีร่ ากแรกเกิด งอกออกมาจากเมลด็

…………………………………………………….. 4. เป็นส่วนทส่ี ะสมอาหารไวเ้ พ่ือการเจริญเตบิ โตของเอ็มบริโอในพชื

…………………………………………………….. 5. เป็นสว่ นที่จะเจรญิ ไปเปน็ สว่ นของ ลาตน้ ใบ และดอกของพชื

…………………………………………………….. 6. เป็นส่วนทจ่ี ะเจริญไปเปน็ สว่ นหน่งึ ของลาต้น

…………………………………………………….. 7. อยลู่ า่ งสุดของเอม็ บริโอ ตอ่ จากHypocotylลงมา เจรญิ ไปเปน็ “ราก”
…………………………………………………….. 8. เปน็ ส่วนที่จะเจรญิ ไปเปน็ “ใบแท”้

…………………………………………………….. 9. รากแรกเกิดจะงอกออกจากเมล็ดเปน็ อนั ดับแรก แล้วลาต้นจะ
แทงทะลดุ นิ ข้นึ มาเพื่อชูใบเลย้ี ง

…………………………………………………….. 10. เซลล์ใหมจ่ ะเจริญจากกล่มุ เซลลท์ ี่เรยี กว่า “หนอ่ ” โดยงอกจากเซลล์
ของตน้ พอ่ แม่

…………………………………………………….. 11. สืบพนั ธ์ุโดยการสรา้ งสปอร์

…………………………………………………….. 12. เปน็ ส่วนของลาตน้ ที่งอกออกมาและทอดเล้ือยไปตามพนื้ ดนิ ส่วนน้ี
สามารถเจริญไปเป็นตน้ ใหมไ่ ด้

…………………………………………………….. 13. ใช้ส่วนของ “ลาต้น” ในการสบื พนั ธ์ุ
…………………………………………………….. 14. ใช้ส่วนของ “ใบ” ในการสืบพนั ธ์ุ
…………………………………………………….. 15. การนาเอาชิน้ ส่วนของพชื ท่ยี งั มชี ีวติ มาเลย้ี งบนอาหารสังเคราะห์

20

บทที่ 1 การสบื พนั ธุ์และการขยายพนั ธขุ์ องพชื ดอก

การขยายพันธุพ์ ืชดอก

ทาไมตอ้ งการขยายพันธ์พุ ชื ???

…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………..

วธิ กี ารขยายพันธ์พุ ชื

การขยายพันธุ์พชื แบง่ ออกเป็น 2 แบบคือ การขยายพันธุ์แบบ…………………..ไดแ้ ก่ การขยายพนั ธุ์
โดยการใช้เมลด็ กบั การขยายพันธุ์แบบ………………… ไดแ้ ก่ การขยายพันธุ์โดยการใชส้ ่วนต่าง ๆ
ของต้นพชื เชน่ การปกั ชา การตอนก่ิง การติดตา การต่อกง่ิ รวมถงึ การเพาะเลี้ยงเน้ือเย่อื

การเพาะเมลด็ (seeding)

การขยายพันธุ์พืชแบบอาศัยเพศการเพาะเมล็ด เป็นการขยายพันธุ์พืชโดยนาเมล็ดพันธ์ุพืช
ท่ีผ่านการคัดคุณภาพมาปลูกจนกระทั่งเมล็ดงอกเป็นต้นกล้า และเจริญเติบโตแข็งแรงแล้ว
จึงย้ายตน้ กลา้ ไปปลกู ในพื้นที่ที่ต้องการ หรือในแปลงปลูกต่อไปพันธ์ุพืชที่นิยมขยายพันธ์ุโดย
การเพาะเมล็ด เช่น แตงโม มะละกอ ทานตะวัน ข้าวโพด ดาวเรือง บานช่ืน วิธีการเพาะให้
กดเมล็ดด้วยน้ิวมือลึกประมาณ 2-3 เท่าของขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเมล็ด ดูแลรดน้าให้วัสดุ
มคี วามชน้ื พอเหมาะ ระวงั อยา่ งใหแ้ ฉะ

การปกั ชา

การตัดส่วนใดสว่ นหนงึ่ ของพชื เชน่ ใบ ก่ิง ลาต้น ราก ออกจาก
ตน้ เดมิ ไปเก็บไวใ้ นทีท่ มี่ ี สภาพแวดลอ้ มท่ีเหมาะสม ทาให้สว่ นต่าง ๆ
ดังกลา่ วของพืชงอกรากและแตกยอด เจริญเตบิ โตเป็นพชื ต้นใหมต่ อ่ ไปได้

21

บทท่ี 1 การสืบพนั ธุแ์ ละการขยายพันธ์ุของพชื ดอก

วธิ ีการขยายพนั ธพ์ุ ชื (ต่อ)

การตดิ ตา

การเช่ือมประสานสว่ นของตน้ พชื เข้าด้วยกัน เพ่อื ใหเ้ จริญเป็นพืชตน้ เดยี วกนั โดยการนาแผ่นตา
จากกิ่งพันธุ์ดี ไปติดบนตน้ ตอการติดตา เป็นการขยายพันธ์ใุ ห้ได้พชื พันธทุ์ ด่ี ี วธิ นี ี้จะใชต้ ้นไม้ 2 ต้น

การตอ่ กิ่ง

การนากง่ิ พนั ธ์ุดมี าต่อบนต้นตอ มกั ใช้สาหรับการเปลีย่ นพนั ธ์ุพชื มากกว่าการขยายพนั ธ์ุ นิยมใช้
แพร่หลายและได้ผลดีกับท้ังไมผ้ ลและไม้ประดบั เช่น มะม่วง ขนุน เฟอื่ งฟา้ ชบา โกศล เปน็ ตน้
ปจั จยั สาคญั ทสี่ ดุ ในการตอ่ กิง่ คอื ต้นตอและตน้ พนั ธด์ุ เี มอื่ ตอ่ แล้ว เนื้อเยอ่ื เจรญิ ของตน้ ตอและกิง่
พันธุ์ดีต้องเชือ่ มต่อกนั ได้ สามารถเจริญเตบิ โต ออกดอก และตดิ ผลได้

การทาบกงิ่

การนาพชื สองต้นมาทาการตอ่ เชอื่ มให้เปน็ ตน้ เดยี วกัน โดยมเี ซลลเ์ นื้อเย่อื เป็นตัวเช่อื มตดิ กนั
การทาบกิง่ ประกอบสว่ นท่เี ปน็ ตน้ ตอ (Stock) ทาหน้าทีเ่ ปน็ ระบบรากของตน้ พืชใหม่ และสว่ น
ของกิ่งพนั ธ์ดุ ี (Scion) อยู่เหนือรอยต่อ ทาหนา้ ที่เป็นส่วนยอดหรือก่งิ ก้านลาตน้ ของพืชต้นใหม่
ใชข้ ยายพันธ์กุ ับพืชท่ลี าต้นเลือ้ ยไปตามดิน

การตอนก่ิง คอื เทคนิคท่เี อากิง่ พันธ์ุ 2 ก่ิงพันธ์ุ มาเช่อื มกนั แล้วให้ต้นหน่อพืชแตกรากมาจาก

ต้นแม่ แทนการเพาะปลูกโดยใช้เมลด็ พนั ธ์ุ เพราะไม้ผลส่วนใหญ่นยิ มเพาะโดยการตอนกงิ่
เพราะทาให้หน่อพนั ธ์ไุ ดล้ ักษณะของตน้ แม่มาอยา่ งสมบูรณ์ และทาให้ใช้เวลาในการเพาะ
ปลูกนอ้ ยลงด้วย แต่อาจมขี อ้ จากัด คอื รากของกงิ่ ตอนนน้ั จะไม่แข็งแรง เพราะไม่มีรากแกว้

การต่อกงิ่

การตดิ ตา

การตอนกิง่ การทาบกงิ่

22

บทที่ 1 การสบื พันธุ์และการขยายพนั ธขุ์ องพืชดอก

การเพาะเลีย้ งเน้ือเย่อื เปน็ ความเจริญกา้ วหน้าในด้านการเกษตรเกย่ี วกับพืช ทม่ี ีการพฒั นา

เทคนคิ ในการขยายพนั ธุแ์ บบใหม่ ทที่ าใหไ้ ดพ้ ืชตน้ ใหม่ จานวนมาก อย่างรวดเร็วในเวลาอันจากัด
โดยมีคุณภาพดเี หมอื นตน้ เดิม และไดม้ าตรฐาน

การเพาะเลีย้ งเนือ้ เย่อื หมายถงึ การนาเอาส่วนใดส่วนหน่ึงของพชื ไม่วา่ จะเปน็ อวยั วะเน้อื เยอ่ื

เซลล์ หรือเซลลไ์ มม่ ีผนัง มาเลยี้ งในอาหารเลยี้ งในสภาพปลอดเช้อื จุลิทรีย์ และอยใู่ นสภาพควบคุม
อุณหภมู ิ แสงและความชืน้ เพื่อใหเ้ ซลล์พืชที่นามาเพาะเลยี้ งนั้น ปราศจากเชือ้ ท่ีมารบกวนและ
ทาลายการเจริญเติบโตของพืช

พชื ทีน่ ยิ มนามาเพาะเลีย้ งเนอื้ เย่ือ

การเพาะเลีย้ งเนอ้ื เย้อื นิยมใช้กับพชื ท่มี ีปญั หาในเรือ่ งของการขยายพันธุ์ หรือพชื ทมี่ ีปญั หา
เรือ่ งโรค เชน่ ขิง กลว้ ยไม้ หรือพชื เศรษฐกจิ เช่น กุหลาบ ดาวเรอื ง ขา้ ว แครอท คารเ์ นชน่ั เป็นตน้

ขนั้ ตอนการเพาะเล้ียงเน้อื เยอื่ ประโยชนข์ องการเพาะเลีย้ งเนื้อเย่ือ

1. การเตรยี มอาหาร 1. เพอ่ื การผลิตตน้ พนั ธ์พุ ืชปริมาณมาก
2. การฟอกฆ่าเชื้อสว่ นเนื้อเย่ือ ในเวลาที่รวดเร็ว
3. การนาเนื้อเยื่อลงขวดเล้ียง
4. การนาขวดเลีย้ งเนื้อเยื่อไปเล้ียง 2. เพื่อการผลิตพชื ท่ีปราศจากโรค
5. การยา้ ยเนอ้ื เยอ่ื ออกจากขวด 3. เพื่อการปรบั ปรงุ พนั ธุ์พืช
4. เพ่ือการผลิตพชื พันธต์ุ า้ นทาน
5. เพอ่ื การผลิตพชื พนั ธทุ์ นทาน
6. เพื่อการผลติ ยาหรอื สารเคมจี ากพชื
7. เพื่อการเกบ็ รักษาพนั ธุ์พชื มิใหส้ ูญพนั ธ์ุ


Click to View FlipBook Version