The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

4. ต.นาดี - คู่มือฐานฯ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Pitchapim Aaew, 2022-06-15 02:49:28

4. ต.นาดี - คู่มือฐานฯ

4. ต.นาดี - คู่มือฐานฯ

แผนกิจกรรมฐานการเรียนรู้

ฐานการเรียนรู้
สวนพฤกษศาสตรแ์ ละการอนุรักษพ์ นั ธกุ รรมพืช

ศูนยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั อำเภอสุวรรณคหู า

สำนักงานส่งเสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั จงั หวัดหนองบัวลำภู
สำนักงานส่งเสริมการศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั
สำนกั งานปลดั กระทรวงศกึ ษาธิการ
กระทรวงศึกษาธกิ าร

แผนกจิ กรรมฐานการเรยี นรู้ท่ี 4 ฐานการเรียนรู้ สวนพฤกษศาสตร์และการอนรุ กั ษ์พนั ธกุ รรมพชื
ช่ือกิจกรรม การสำรวจเก็บรวบรวมและเรียนรู้พนั ธ์ุกรรมพืช
จำนวน 50 นาที

1. กิจกรรมการเรยี นรู้ที่ 4 ฐานการเรยี นรู้ สวนพฤกษศาสตร์และการอนรุ ักษพ์ ันธุกรรมพืช

กิจกรรมการสำรวจเก็บรวบรวมและเรยี นรพู้ ันธุ์กรรมพืช
2. วทิ ยากรประจำฐานการเรยี นรู้

2.1 นางสภุ าวดี ไชยโพธ์ิ ครู กศน.ตำบล

2.2 นายอฒั ชา คำสีทา ครู กศน.ตำบล

2.3 นายพสิ ษิ ฐ โคตุราช ครู กศน.ตำบล

3. นักศึกษาประจำฐานการเรียนรู้

3.1 นางสาวสุพรรษา จนั ทกุล ระดับ ม.ตน้

3.2 นางสาวพญิ ญาภรณ์ โหลก ระดบั ม.ตน้

3.3 นายธนศกั ด์ิ สขุ แก้ว ระดบั ม.ตน้

3.4 นายสุรชัย แสงสุรนิ ทร์ ระดับ ม.ตน้

4. วัตถปุ ระสงค์

4.1 เพื่อใหผ้ ู้เรยี นมีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

4.2 เพ่อื ใหผ้ ูเ้ รยี นมีความรู้และใช้ประโยชน์จากการสำรวจเก็บรวบรวมและเรียนรูพ้ นั ธ์ุกรรมพืช

4.5 เพื่อใหผ้ เู้ รียนไดน้ ำความรู้ ประสบการณ์ ท่ีได้รบั จากฐานการเรียนรู้ ไปประยกุ ต์ใช้ในชวี ิตจรงิ ได้

4.6 เพอ่ื ให้ผู้เรยี นถอดบทเรยี น 2 3 4 จากฐานการเรยี นรู้ไดอ้ ย่างถูกต้อง

5. ความคิดรวบยอด/ขอ้ มลู ความรู้
ฐานการเรียนรู้สวนพฤกษศาสตร์และการอนุรกั ษพ์ ันธุกรรมพชื กิจกรรมการสำรวจเก็บรวบรวมและเรยี นรู้

พันธ์ุกรรมพืช จัดเป็นกิจกรรมท่ีส่งเสริมและสร้างจิตสำนึกให้ผู้เรียน ท่ีอยู่โดยรอบพ้ืนท่ีอนุรักษ์ให้ตระหนักถึง
ความสำคัญของการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช และการนำพันธุกรรมพืชไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ และจากการ
สำรวจเก็บรวบรวมพันธุกรรมพืช สามารถนำมาขยายผล โดยนำไปสู่การอนุรักษ์และใช้ประโยชน์พันธุกรรม พืช
การจัดตั้งศูนย์ข้อมลู พันธุกรรมพืช และการพัฒนาพันธพุ์ ชื เพื่อใชป้ ระโยชนต์ ่อไปในอนาคต

6. วธิ ีการใชฐ้ านการเรียนรู้
6.1 วตั ถุประสงค์ของฐานการเรียนรู้
6.2 ชดุ การเรยี น การศึกษาต่อเนือ่ ง
6.3 ใบความรู้
6.4 ขนั้ ตอนการปฏบิ ตั ิ/ถอดบทเรียน 2 3 4 ได้อย่างถูกต้อง
6.5 สรปุ ผลการเรียนรู้

ลำดบั การปฏิบตั ิ เวลาท่ใี ช้

1. ข้นั นำเขา้ สบู่ ทเรยี น 5 นาที
- วทิ ยากรชแี้ จงวัตถปุ ระสงค์ของฐานการเรียนรู้
- วิทยากรสนทนาและซักถามผู้เรียนเปน็ รายบุคคล เกยี่ วกับการสำรวจเกบ็ 25 นาที
รวบรวมและเรียนรูพ้ นั ธุ์กรรมพชื 20 นาที

2. ข้นั สอน/ปฏิบัติ

- วทิ ยากรแบง่ กลุ่มออกเป็น 2 กลุ่ม โดยการแลกเปล่ียนเรียนรู้กัน

1. การสำรวจเก็บรวบรวมพันธกุ รรมพชื
2. การอนุรกั ษ์พนั ธ์ุกรรมพชื
3. ขัน้ สรุป
-วทิ ยากรและผูเ้ ข้าศกึ ษาฐานการเรยี นรู้รว่ มกนั ถอดบทเรยี น 2 3 4 สรปุ ความร้ทู ่ี
ได้รับ เป็น My Mapping พรอ้ มกบั ให้ไปศึกษาเพ่ิมเติมจากแหล่งเรียนรู้จริง
และนำเสนอ
7. ตารางการปฏบิ ตั ิ

8. สอื่ /เครอื่ งมือช่วยสร้างการเรียนรู้ของผู้เรยี น

8.1 วดี ที ศั น์

8.2 ใบความรู้

8.3 ใบงานการถอดบทเรยี น 2 3 4
8.4 แบบประเมินพฤตกิ รรม/แบบทดสอบประจำฐาน

9. คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์

1. อยู่อยา่ งพอเพยี ง : นำหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียงไปใชใ้ นชวี ติ ประจำวัน

2. มุ่งมน่ั ในการทำงาน : ปฏิบตั ิงานทไ่ี ดร้ บั มอบหมายจนสำเร็จได้เป็นช้นิ งาน

3. มีวนิ ยั : เขา้ รว่ มกจิ กรรมและทำกิจกรรมแล้วเสร็จได้ตรงตามเวลา

4. ใฝเ่ รียนรู้ : ตงั้ ใจ เพียรพยายามในการศึกษาเรียนรแู้ ละเข้ารว่ มกจิ กรรมการเรียนรขู้ องฐานการเรียนรู้

5. มีจติ สาธารณะ : แกนนำเสียสละเวลาในการถา่ ยทอดความรใู้ หก้ บั ผู้ท่ีเขา้ รว่ มกิจกรรมภายในฐาน

10. การวดั และประเมินผล

ส่งิ ทต่ี ้องการวดั วธิ ีวดั เครอื่ งมือ

1. สงั เกตพฤติกรรมการทำงานกล่มุ การสงั เกต แบบประเมินฐานการเรยี นรู้

2. ชิ้นงาน/ผลงาน การประเมินจากใบกจิ กรรม ใบงานฐานการเรียนรู้

3. คณุ ลกั ษณะพอเพยี ง การสังเกต บันทึกหลังการเรยี นรู้ ฐานการเรียนรู้

4. พฤตกิ รรมดา้ นทักษะ การตอบคำถาม แบบทดสอบกอ่ น-หลัง การเรียนรู้

แบบทดสอบก่อนเรยี น – หลังเรยี น
ฐานการเรยี นรู้ สวนพฤกษศาสตร์และการอนรุ กั ษ์พันธุกรรมพชื

คำสัง่ ใหน้ กั เรยี นทำเคร่ืองหมายกากบาท (X) ทับข้อทีถ่ ูกทสี่ ุด

1. สว่ นประกอบใดที่ทำหนา้ ที่ชดู อกให้ตดิ กับกิ่ง

ก. ก้านดอก ข. ฐานรองดอก ค. กลีบประดับ ง. กา้ นชูอับเรณู

2. หลังจากการเกิดการปฏิสนธทิ รี่ งั ไขเ่ กสรเพศเมียแลว้ ส่งิ ที่ไดค้ ือ

ก. ใบ ข. ดอก ค. ผล ง. ราก

3. พืชชนิดใดไมเ่ ปน็ ดอกสมบูรณ์เพศ

ก. ดอกฟักทอง ข. ดอกกุหลาบ

ค. ดอกมะยม ง. ดอกข้าวโพด

4. พืชในข้อใดมีใบแทท้ ส่ี มบูรณม์ สี ว่ นประกอบครบทงั้ 3 สว่ น

ก. ใบกระถนิ ณรงค์ ข. ใบมะม่วง

ค. ใบวาสนา ง. ใบขนุน

5. ขอ้ ใดคือหน้าท่หี ลักของใบ

ก. ดูดซับอาหาร ข. สงั เคราะหแ์ สง

ค. คำ้ จุนลำต้น ง. ล่อแมลง

6. ข้อใดไมใ่ ช่วิธีการอนรุ ักษป์ ่าทีถ่ กู ต้อง

ก. ปลูกป่า ข. การบกุ รุกป่า

ค. ใชไ้ ม้อยา่ งประหยัด ง. การรณรงคป์ ลกู จิตสำนึก

7. อวยั วะของพชื ที่ไม่มีขอ้ ปลอ้ ง ตา และใบ เจรญิ เติบโตลงสู่ดิน หมายถงึ ข้อใด

ก. Stem ข. Root

ค. Leaf ง. Flower

8. พชื ชนดิ ใดมีใบประกอบแบบนิ้วมอื

ก. ใบประดู่ ข. ใบเพกา

ค. ใบมนั สำปะหลงั ง. ใบมะขาม

9. ขอ้ ใดไม่ใช่สว่ นประกอบของใบ

ก. ก้านใบ ข. แผน่ ใบ

ค. หใู บ ง. ออวุล

10. รากแกว้ หรอื รากฝอยทอ่ี ยใู่ ต้ดิน ทำหน้าที่สะสมอาหาร หมายถงึ ข้อใด

ก. รากสะสมอาหาร ข. รากเกาะ

ค. รากคำ้ จนุ ง. รากสงั เคราะหแ์ สง

ใบความรู้
เรื่อง สวนพฤกษศาสตร์และการอนุรักษพ์ นั ธกุ รรมพชื

สวนพฤกษศาสตร์

สวนพฤกษศาสตร์ เป็นสถาบันทางวชิ าการทีเ่ ป็นแหล่งรวบรวมพรรณพืชตา่ ง ๆ เอาไว้เพื่อทำการอนรุ ักษ์
ศกึ ษา วิจยั ทางวิทยาศาสตรโ์ ดยเฉพาะทางด้านพฤกษศาสตร์หรือวทิ ยาศาสตร์วา่ ด้วยพืช โดยมักจะมีการปลูก
รวบรวมไว้เป็นหมวดหมู่ ตามแต่ละนโยบาย ลกั ษณะพืน้ ที่ และงบประมาณของสวนพฤกษศาสตรน์ ัน้ ๆ เชน่ สวน
กล้วยไม้ สวนสมุนไพร สวนพืชให้สี สวนพืชมพี ิษ หรอื ตามการจดั จำแนกพชื เป็นวงศต์ ่าง ๆ เช่น วงศป์ าล์ม วงศข์ งิ
ข่า เป็นต้น โดยสวนพฤกษศาสตร์ทมี่ ีมาตรฐานจะมีองคป์ ระกอบทสี่ ำคัญ เชน่ แปลงรวบรวมพรรณพชื ห้องสมุด
หอพรรณไม้ ห้องปฏบิ ัติการ นอกจากงานด้านอนรุ กั ษ์พืชแลว้ ยังเป็นแหล่งเรยี นรดู้ า้ นพืชสำหรบั การศึกษาของ
นกั วิจยั นักเรียนนักศึกษา หรือตอบสนองต่อการเปน็ แหลง่ ทอ่ งเทีย่ วและสถานพกั ผ่อนหยอ่ นใจ ซ่ึงแนวโนม้ ใน
ปจั จุบันสวนพฤกษศาสตร์จะตอ้ งตอบสนองต่อความเปน็ อยู่ของมนุษย์ เชน่ การเปน็ แหลง่ พันธกุ รรมให้แกช่ มุ ชนใน
ท้องถิน่

สวนพฤกษศาสตร์ และสวนรุกขชาติในประเทศไทย
สวนพฤกษศาสตร์

• สวนพฤกษศาสตรส์ มเดจ็ พระนางเจา้ สิริกติ ิ์ จังหวัดเชยี งใหม่ (องคก์ ารสวนพฤกษศาสตร์)
• สวนพฤกษศาสตร์ 100 ปี กรมป่าไม้ จงั หวัดสระแกว้
• สวนพฤกษศาสตรภ์ าคตะวันออก (เขาหินซ้อน) จังหวดั ฉะเชิงเทรา[1]
• สวนพฤกษศาสตร์ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื (ดงฟา้ ห่วน) จังหวดั อุบลราชธานี
• สวนพฤกษศาสตร์ภาคกลาง (พแุ ค) จังหวัดสระบุรี
• สวนพฤกษศาสตรภ์ าคใต้ (เขาชอ่ ง) จงั หวัดตรัง
• สวนพฤกษศาสตรส์ ากลภาคใต้ (ทงุ่ ค่าย) จังหวัดตรัง
• สวนพฤกษศาสตร์พัทลุง จังหวัดพัทลุง
• สวนพฤกษศาสตรช์ ายแดนภาคใต้ จังหวัดนราธิวาส
สวนพฤกษศาสตร์วรรณคดี 4 แหง่

• สวนพฤกษศาสตรว์ รรณคดภี าคกลาง จังหวดั ราชบุรี
• สวนพฤกษศาสตร์วรรณคดีภาคเหนอื จังหวดั เชยี งใหม่
• สวนพฤกษศาสตรว์ รรณคดภี าคตะวันออกเฉยี งเหนือ จังหวัดรอ้ ยเอ็ด
• สวนพฤกษศาสตร์วรรณคดภี าคใต้ จงั หวัดสงขลา

สวนรวมพรรณไมป้ า่ 60 พรรษามหาราชินี 4 แห่ง

• สวนรวมพรรณไม้ปา่ 60 พรรษามหาราชนิ ี ภาคกลาง จังหวดั ราชบรุ ี
• สวนรวมพรรณไมป้ ่า 60 พรรษามหาราชนิ ี ภาคเหนือ จังหวดั เชยี งใหม่[2]
• สวนรวมพรรณไม้ปา่ 60 พรรษามหาราชนิ ี ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ จงั หวัดอุดรธานี
• สวนรวมพรรณไมป้ ่า 60 พรรษามหาราชนี ี ภาคใต้ จังหวดั นราธวิ าส

สวนรกุ ขชาติ 55 แห่ง[แก้]

ภาคเหนือ

• สวนรุกขชาตสิ กโุ ณทยาน จังหวดั พิษณุโลก
• สวนรุกขชาติบ้านแพะ จังหวัดอตุ รดิตถ์
• สวนรุกขชาตซิ บั ชมภู จังหวดั เพชรบรู ณ์
• สวนรุกขชาตเิ มืองราด จังหวดั เพชรบรู ณ์
• สวนรกุ ขชาติผาเมอื ง จังหวดั เพชรบรู ณ์
• สวนรกุ ขชาติ 100 ปี กรมป่าไม้ (ซับสมบรู ณ์) จังหวัดนครสวรรค์
• สวนรุกขชาตกิ าญจนกุมาร จังหวดั พิจติ ร
• สวนรกุ ขชาติหว้ ยทรายขาว จงั หวัดแพร่
• สวนรกุ ขชาตหิ ้วยโรง จังหวัดแพร่
• สวนรุกขชาติชอ่ แฮ จังหวดั แพร่
• สวนรุกขชาติหว้ ยทาก จังหวัดลำปาง
• สวนรุกขชาตพิ ระบาท จังหวัดลำปาง
• สวนรกุ ขชาติหา้ งฉัตร จังหวัดลำปาง
• สวนรุกขชาตแิ ชแ่ หง้ จังหวดั นา่ น
• สวนรุกขชาตหิ ว้ ยนำ้ อุน่ จงั หวัดนา่ น
• สวนรกุ ขชาตเิ ขาดนิ ไพรวนั จงั หวดั สโุ ขทยั
• สวนรกุ ขชาติโปง่ สลี จงั หวัดเชยี งราย
• สวนรกุ ขชาตไิ ม้เมืองหนาว จงั หวดั เชียงใหม่
• สวนรุกขชาติห้วยแก้ว จงั หวดั เชียงใหม่
• สวนรกุ ขชาติแม่สุรนิ จังหวัดแมฮ่ ่องสอน
• สวนรกุ ขชาตหิ ว้ ยชมภู จงั หวดั แม่ฮ่องสอน
• สวนรุกขชาติ 100 ปี กรมป่าไม้ (ดอยหมากหนิ หอม) จังหวัดแม่ฮ่องสอน
• สวนรุกขชาตโิ ปง่ แข่ จงั หวัดแมฮ่ ่องสอน

ภาคกลาง

• สวนรุกขชาตมิ วกเหล็ก จังหวัดสระบรุ ี
• สวนรกุ ขชาติเขาฉกรรจ์ จงั หวดั สระแก้ว
• สวนรกุ ขชาตนิ ้ำตกวังกา้ นเหลือง จงั หวัดลพบุรี
• สวนรกุ ขชาตคิ ่ายบางระจนั จังหวดั สิงหบ์ ุรี
• สวนรุกขชาติคูเมือง จงั หวดั สงิ ห์บุรี
• สวนรุกขชาตถิ ้ำจอมพล จงั หวัดราชบุรี
• สวนรกุ ขชาตดิ อนเจดีย์ จงั หวัดสุพรรณบุรี
• สวนรกุ ขชาตดิ ่านช้าง จังหวดั สุพรรณบุรี
• สวนรกุ ขชาตกิ ำแพงแสน จังหวดั นครปฐม
• สวนรุกขชาติ 100 ปี กรมปา่ ไม้ (ทุ่งขนาย) จงั หวัดเพชรบุรี

ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื

• สวนรุกขชาตนิ ้ำผดุ ทัพลาว จงั หวัดชัยภูมิ
• สวนรุกขชาติ 100 ปี กรมป่าไม้ (ภูกุม้ ขา้ ว) จังหวดั ชยั ภมู ิ
• สวนรกุ ขชาตพิ ทุ ธมณฑล จังหวดั มหาสารคาม
• สวนรกุ ขชาติท่าสองคอน จังหวัดมหาสารคาม
• สวนรุกขชาตดิ งมะอี่ จงั หวดั ร้อยเอ็ด
• สวนรกุ ขชาตดิ อนหัวนาค จังหวดั ร้อยเอด็
• สวนรกุ ขชาตโิ พนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด
• สวนรกุ ขชาติ 100 ปี กรมป่าไม้ (ปากปวน) จังหวดั เลย
• สวนรุกขชาตภิ ขู ้าว จงั หวดั เลย
• สวนรกุ ขชาติอุบลวนารมย์ จงั หวัดอบุ ลราชธานี
• สวนรุกขชาติ 100 ปี กรมปา่ ไม้ (น้ำตกสำโรงเกียรติ) จังหวดั ศรีสะเกษ
• สวนรุกขชาติดงบงั อ่ี จงั หวดั มุกดาหาร
• สวนรุกขชาตนิ ้ำตกธารทอง จังหวัดหนองคาย
• สวนรุกขชาตวิ ังปอพาน จงั หวัดนครพนม

ภาคตะวนั ออกเฉยี งใต้

• สวนรุกขชาตหิ นองตาอยู่ จงั หวัดชลบรุ ี
• สวนรุกขชาตเิ พ จังหวัดระยอง

• สวนรุกขชาติหนองสนม จงั หวัดระยอง

ภาคตะวันออก

• สวนรกุ ขชาติสมเดจ็ พระปิน่ เกล้า จังหวดั ฉะเชิงเทรา

ภาคใต้

• สวนรกุ ขชาติเขาพุทธทอง จงั หวัดสุราษฎรธ์ านี
• สวนรุกขชาติรกั ษะวารนิ จังหวัดระนอง
• สวนรกุ ขชาติถำ้ เขานยุ้ จังหวัดสงขลา
• สวนรุกขชาตพิ ฤกษามหาราชนิ ี จงั หวดั ปัตตานี

การอนรุ กั ษ์พนั ธกุ รรมพืช

การอนุรักษ์เชื้อพันธุกรรมพืช มีความสำคัญต่อชีวติ และความเป็นอยู่ของประชากรในอนาคตเป็นอย่างย่ิง
พันธุกรรมพืชถือเป็น ทรพัยากรที่มีค่าและมีความสำคัญต่อการปรับปรุงพันธ์ุพืชในอนาคต ความหลากหลายทาง
พนั ธุกรรมของทรัพยากรเหล่านี้อาจจะสูญหาย ไป เนื่องจากความไม่ร้ขู องมนุษย์ในการใช้ทรัพยากรเหล่านี้ วิทยาการ
ในการจำแนกและการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชจึงมีบทบาทสำคัญ ท่ีจะดำรงทรัพยากรน้ีให้ยั่งยืนและถูกต้องตามหลัก
วชิ าการ เราอาจจำแนกพืชโดยดจู ากลักษณะทางสัณฐานวิทยาที่แตกต่างกนั แต่ บางคร้ังเราก็ไม่สามารถจำแนกพืชได้
ถูกต้อง ด้วยลักษณะดังกล่าวจึงจำเป็นต้องใช้เทคนิคต่าง ๆ มาประกอบในการช่วยจำแนก เช่น chemotaxonomy,
phyto-biochemistry หรือ molecular biology

คณะนักวิจยั ของฝ่ายปฏิบัตกิ ารวิจัยและเรอื นปลูกพชื ทดลอง สถาบันวจิ ยั และพัฒนาแห่งมหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์
จึงได้ทำการ ศกึ ษาคน้ คว้าและพัฒนาวธิ กี ารจำแนกสายพนั ธุกรรมโดยเริม่ จากเมล็ดพันธุ์ที่มีความสำคญั ทางเศรษฐกิจ
อีกท้ังยังเก็บรักษาสายพันธุ์ ในสภาพปลอดเชอื้ และในสภาพเย็นย่ิงยวด เพื่อให้สามารถดำรงไว้ซ่งึ พนั ธุกรรมทีส่ ำคัญ
และป้องกนั ไมใ่ ห้สูญหายไปจาก ธรรมชาติ
การจำแนกพันธพ์ุ ชื

การศกึ ษาทางเคมีและชวี เคมภี ายในต้นพชื เพอ่ื ใชก้ บั งานด้านการจำแนกพันธุพ์ ืชมมี ากขึ้น โดยเฉพาะการใช้
โมเลกลุ ของ โปรตีน เอนไซม์หรอื กรดนิวคลีอิค นับเป็นวิธีหนึง่ ทแ่ี สดงความสัมพันธ์ระหว่างตน้ พืชได้วา่ เหมือนกนั หรือ
ตา่ งกัน เน่ืองจากขอ้ มลู ทาง พันธุกรรมที่ถา่ ยทอดจากพ่อแม่มาสลู่ กู ทำให้มีการเปล่ียนแปลงโมเลกลุ โปรตนี หรอื
เอนไซม์โดยตรงก่อนท่ีจะสร้างโมเลกุลอ่นื ดงั นนั้ ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมของพชื ยอ่ มอาศัยดีเอน็ เอ เอนไซม์หรือโปรตนี
เป็นตวั บ่งชไี้ ด้ จำแนกพันธ์พุ ชื จากลักษณะภายนอกเพยี งอย่าง เดยี วนนั้ นับว่าเปน็ วิธที สี่ ะดวกแต่อาจจะยงุ่ ยากได้ถ้า
ลกั ษณะทางสัณฐานวิทยาที่คลา้ ยคลงึ กนั มาก ทำให้ไมเ่ ห็นความแตกต่างระหว่าง พันธุไ์ ดเ้ ดน่ ชัด บางครัง้ ไมส่ ามารถ
เก็บตวั อยา่ งหรือช้ินสว่ นของพืชได้ครบสมบรู ณท์ ุกส่วนจำเป็นต้องอาศยั ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญใน การพิจารณาความ
แตกต่างระหว่างพันธุ์อีกด้วย

เทคนิคอเิ ลคโตรโฟรีซีส เป็นเทคนคิ การแยกวิเคราะห์สารหรอื โมเลกุลทม่ี ีประจโุ ดยให้สารเคลือ่ นทจี่ ะขึน้ อยู่กบั ความ
เข้มของสนามไฟฟ้าและจำนวนประจุไฟฟา้ ระหวา่ งขัว้ บวกและข้วั ลบ อัตราการเคลอื่ นท่ีจะขึน้ อยู่กับความเข้มของ
สนามไฟฟา้ และ จำนวนประจุไฟฟา้ รวมของอนภุ าค ดงั นั้นจึงนำเทคนิคอิเลคโตรโฟรซี ีสมาใชเ้ พื่อการจำแนกพันธพุ์ ชื
ไดเ้ ปน็ อย่างดีโดยอาศยั การแยก โมเลกุลของโปรตีน เอนไซม์ หรอื ดเี อ็นเอ
โปรตีนเป็นโมเลกุลทางชวี เคมีของสิง่ มีชีวติ ทีป่ ระกอบขนึ้ ดว้ ยกลุม่ ของกรดอะมโิ นทมี่ าต่อกนั เป็นสายโพลีเปปไทด์ ตาม
ชนิด ของโปรตนี ทต่ี า่ งกนั โมเลกุลโปรตนี จะแสดงประจุ และขนาดของโมเลกลุ ต่งกันทำใหส้ ามารถแยกโมเลกุลโปรตนี
ด้วยกระแสไฟฟา้ บนตวั กลางได้ดี ดังน้ันเทคนคิ อิเลคโตรโฟรซี สี ท่นี ำมาใชแ้ ยกโมเลกลุ โปรตีนโดยเฉพาะโปรตีนใน
เมล็ด ซ่ึงสว่ นใหญ่เป็นโปรตีนใน กลมุ่ โครงสรา้ งหรือโปรตีนสะสมรวม 4 กลมุ่ คือ เอลบูมิน โกลบลู ิน พบในเมล็ด
ตระกลู ถั่ว โปรลามนิ เชน่ ฮอรด์ นี ในบารเ์ ล่ยแ์ ละ กลเู ทลิน พบในธญั พืช เช่น กลเู ทนนิ ในขา้ วสาลี สว่ นไอโซไซม์ ซง่ึ
เป็นเอนไซมท์ ่ีเรง่ ปฏกิ ิรยิ าชนดิ เดยี วกัน โมเลกุลมรี ูปร่างได้หลาย แบบโดยมีคณุ สมบตั ิทางกายภาพทางไฟฟา้ ต่างกนั
และโครงสร้างต่างกัน อีกท้ังมีการเรง่ ปฏิกิริยาตา่ งกนั เลก็ น้อย ไอโซไซม์แต่ละ โมเลกลุ มีพันธุกรรมต่างกนั และถูก
ควบคมุ การสังเคราะหด์ ้วยยีนต่างกนั ความแตกตา่ งของไอโซไซม์แต่ละโมเลกุลมีพนั ธุกรรม ต่างกันและถูกควบคุมการ
สงั เคราะห์ดว้ ยยนี ที่ต่างกนั ความแตกต่างของไอโซไซม์ จงึ เปน็ ผลมาจากลำดบั ของกรดอะมโิ นในสาย โพลีเปปไทด์
ประจุหรือการแปรสภาพหลังการสงั เคราะห์โปรตีนในพชื ชนดิ หนงึ่ ๆ จะแสดงความแตกตา่ งได้ก็ข้ึนกับชนิดของพืช
ชิน้ ส่วนของเน้อื เย่ือทสี่ กดั เอนไซม์ และชนิดของไอโซไซม์ซึง่ พบว่าสามารถใชแ้ บบของไอโซไซม์และโปรตีน เป็น
marker แสดงความแตกต่างไดท้ ง้ั ในระดบั สกุล (genus) ชนิด (species) พันธุ์ (cultivar) หรือกอพันธุ์ (clone)
ปจั จุบนั ได้มีการพฒั นาวธิ กี าร Random amplifed polymorphic DNA (RAPD) หรือเรยี กส้นั ๆ ว่า Rapid ซ่ึงเปน็
เทคนิคทางดา้ นอณูพันธศุ าสตร์ที่อาศัยหลักการของวิธกี ารพเพิม่ ปริมาณชน้ิ สว่ นดีเอ็นเอ ให้ได้ปริมาณมากใน
ระยะเวลาอนั ส้ัน หลังจากนัน้ นำผลผลิตของดเี อน็ เอท่ไี ด้มาทำอิเลคโตรโฟรซี สี เพื่อหาลายพมิ พ์ดเี อน็ เอ (DNA
fingerprints) ซงึ่ ใช้เป็น marker ในการจำแนกพนั ธกุ รรมพืชเพื่อการอนรุ กั ษ์พันธ์ุ ตลอดจนการใช้ประโยชนใ์ นการ
ปรับปรงุ พนั ธพุ์ ชื และการผลติ เมล็ดพันธ์ุพืชที่ตรงตาม พันธ์ุ นอกจากนเี้ ทคนิคดังกล่าวยงั สามารถใชศ้ ึกษาการกระจาย
ตัวทางพนั ธุกรรมของเชอ้ื พันธุ์ทเี่ ก็บมาใหม่ การเปลีย่ นแปลงทาง พันธุกรรมของเชอ้ื พนั ธ์ุทั้งก่อนและหลงั การ
ขยายพนั ธ์วุ ธิ ีนี้สามารถทำไดส้ ะดวกรวดเร็ว วิธีการไม่ยงุ่ ยากซับซ้อน ตน้ ทุนในการทำ ไม่สูงนัก ใช้ช้ินส่วนของพชื เพยี ง
เลก็ นอ้ ย ไมต่ อ้ งการ probe ทีเ่ ฉพาะเจาะจงสามารถแสดงความแตกต่างของแถบดเี อน็ เอได้สงู ดำเนนิ การได้ท้ังจโี นม
ของพืชและสภาพแวดลอ้ มไม่มีอทิ ธิพลตอ่ การแสดงออกของลายพมิ พด์ เี อน็ เอ นักวิจัยของฝา่ ยปฏบิ ตั ิการวิจยั และ
เรือนปลกู พืชทดลองได้ศึกษาและจำแนกพนั ธุพ์ ืชได้หลายชนิด ได้แก่ ถวั่ ฝกั ยาว มะเขอื เทศ แตงกวา ไผ่ ขา้ วโพด ถว่ั
เขียว เป็นตน้

การเกบ็ รักษา
เทคนคิ การเก็บรักษาเชอ้ื พันธุกรรมพชื ในปัจจบุ นั สามารถทำได้ 2 วิธี คือ
การเก็บรักษาในสภาพธรรมชาติดัง้ เดิมเป็นการนำช้นิ สว่ นของสายพันธ์ุหรือกอพนั ธจุ์ ากแหล่งปลูกมาเลยี้ งดูในสภาพ
อาหารสังเคราะห์และปลอดเชื้อ ถือเป็นการลดการเสี่ยงจากศัตรูพืชและดิน ฟ้า อากาศ รวมทั้งประหยัดพื้นที่ในการ
เกบ็ รักษา
สำหรับการเก็บรักษาเชื้อพันธุกรรมพืชในสภาพปลอดเชื้อน้ัน ทางฝ่ายปฏิบัติการวิจัยฯ ได้ทำการศึกษาและพัฒนา
เทคนคิ เพือ่ ให้เหมาะสมกับชนดิ ของพชื โดยแบ่งชว่ งระยะเวลาการเก็บรักษาได้ 3 ระยะ ตามความเหมาะสมดงั น้ี
การเก็บรักษาในระยะสั้นคือการเก็บรักษาชิ้นส่วนหรือเน้ือเย่ือในอาหารสังเคราะห์ที่ควบคุมการเจริญเติบโต เมื่อ
เนื้อเย่ือเจริญเติบโตได้ระยะหนึ่งต้องเปล่ียนอาหารใหม่และตัดแยกเน้ือเย่ือ วิธีน้ีทำให้เสียเวลาในการตัดแยกเนื้อเยื่อ
และเปลี่ยนอาหาร ่บ่อย ๆ ดังน้ันจึงต้องอาศัยเทคนิค การเก็บรักษาในระยะปานกลาง มาช่วยชะลอการเจริญเติบโต
อย่างช้าหรือการเก็บรักษาในอุณหภูมิ ต่ำ เพ่ือยืดระยะเวลาการเปล่ียนอาหารและวิธีการหยุดการเจริญเติบโตของ
เนื้อเยอื่ ในสภาพเย็นย่งิ ยวด ซงึ่ สามารถเก็บรกั ษาได้เปน็ เวลานานโดยไมต่ อ้ งเปลย่ี นอาหารใหม่

ที่มา : https://th.wikipedia.org/

เอกสารชดุ การเรียนการเรยี นรู้

การศึกษาพนั ธุ์พืช

ต้นหว้า ตน้ สกั ตน้ เพกา ต้นมะม่วง

ต้นยางนา ตน้ ประดู่ ตน้ พะยงู ต้นจามจรุ ี

ราชพฤกษ์ แคนา สะเดา มะคา่ โมง

ใบงานท่ี 1
การวเิ คราะห์หลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
ฐานการเรยี นรู้ที่ 4 สวนพฤกษศาสตรแ์ ละการอนรุ กั ษพ์ ันธุกรรมพืช

เงือ่ นไขคณุ ธรรม เงอ่ื นไขความรู้

.......................................................................... ..........................................................................
………………………………………………………………..
……………………………………………………………….. …………………………………………………………………
………………………………………………………………..
………………………………………………………………… …………………………………………………………………
…………. ความมเี หตุผล
………………………………………………………………..
........................................................
………………………………………………………………… ........................................................
........................................................
…………. ความพอประมาณ

........................................................
........................................................
........................................................

ภูมิค้มุ กันในตัวท่ีดี

........................................................
........................................................
........................................................

การเชือ่ มโยงแบบ 4 มิติ
สงั คม-............................................................................................................................. .....................................
วัตถุ/เศรษฐกิจ.....................................................................................................................................................
วฒั นธรรม-............................................................................................................................. ..............................
สิ่งแวดล้อม-............................................................................................................................... ...........................

ชื่อ-สกลุ .............................................................................................................................
ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัยอำเภอสวุ รรณคหู า

ใบงานท่ี 2

ฐานการเรยี นรทู้ ี่ 4 สวนพฤกษศาสตรแ์ ละการอนุรักษ์พนั ธกุ รรมพืช

1.ให้นักเรยี นเตมิ ลักษณะวิสยั ของพชื ใต้ภาพที่กำหนดให้ ว่าเปน็ ไม้เถา , ไม้ต้น, ไม้ลม้ ลุก, ไมพ้ มุ่

1.1……………………………………………………………………………………

..........................................................................
………………………………………………………………..
…………………………………………………………………
………………………………………………………………..
…………………………………………………………………
………….

1.2……………………………………………………………………………………

..........................................................................
………………………………………………………………..
…………………………………………………………………
………………………………………………………………..
…………………………………………………………………
…1.…3…………….……………………………………………………………………………
..........................................................................
………………………………………………………………..
…………………………………………………………………
………………………………………………………………..
…………………………………………………………………
………….

1.4……………………………………………………………………………………

..........................................................................
………………………………………………………………..
…………………………………………………………………
………………………………………………………………..
…………………………………………………………………
………….
ช่อื -สกลุ ......................................................................................................................... ....
ศนู ยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอสุวรรณคหู า

แบบทดสอบกอ่ นเรียน-หลังเรียน
ฐานการเรยี นรู้ท่ี 4 ฐานสวนพฤกษศาสตรแ์ ละการอนุรักษพ์ นั ธกุ รรมพชื

คำสัง่ ให้นักเรียนทำเครือ่ งหมายกากบาท (X) ทับข้อที่ถูกท่สี ุด

1. สว่ นประกอบใดทีท่ ำหนา้ ที่ชดู อกให้ตดิ กบั ก่ิง

ก. ก้านดอก ข. ฐานรองดอก ค. กลีบประดบั ง. ก้านชอู บั เรณู

2. หลังจากการเกิดการปฏสิ นธทิ ่ีรงั ไข่เกสรเพศเมยี แลว้ สง่ิ ที่ได้คือ

ก. ใบ ข. ดอก ค. ผล ง. ราก

3. พชื ชนิดใดไมเ่ ปน็ ดอกสมบูรณ์เพศ

ก. ดอกฟกั ทอง ข. ดอกกหุ ลาบ

ค. ดอกมะยม ง. ดอกขา้ วโพด

4. พืชในข้อใดมีใบแทท้ สี่ มบูรณม์ ีส่วนประกอบครบทัง้ 3 ส่วน

ก. ใบกระถินณรงค์ ข. ใบมะมว่ ง

ค. ใบวาสนา ง. ใบขนนุ

5. ข้อใดคือหนา้ ทหี่ ลักของใบ

ก. ดูดซบั อาหาร ข. สงั เคราะห์แสง

ค. คำ้ จนุ ลำต้น ง. ล่อแมลง

6. ข้อใดไม่ใช่วิธกี ารอนุรักษป์ ่าท่ถี กู ต้อง

ก. ปลูกปา่ ข. การบกุ รุกปา่

ค. ใช้ไมอ้ ย่างประหยัด ง. การรณรงค์ปลกู จติ สำนึก

7. อวัยวะของพืชที่ไม่มีขอ้ ปล้อง ตา และใบ เจรญิ เตบิ โตลงส่ดู ิน หมายถงึ ข้อใด

ก. Stem ข. Root

ค. Leaf ง. Flower

8. พชื ชนิดใดมีใบประกอบแบบน้ิวมือ

ก. ใบประดู่ ข. ใบเพกา

ค. ใบมันสำปะหลงั ง. ใบมะขาม

9. ขอ้ ใดไม่ใช่สว่ นประกอบของใบ

ก. กา้ นใบ ข. แผน่ ใบ

ค. หใู บ ง. ออวูล

10. รากแกว้ หรอื รากฝอยทอี่ ยู่ใต้ดิน ทำหนา้ ท่ีสะสมอาหาร หมายถงึ ข้อใด

ก. รากสะสมอาหาร ข. รากเกาะ

ค. รากคำ้ จุน ง. รากสังเคราะหแ์ สง

เฉลยใบงานที่ 2

ฐานการเรยี นร้ทู ่ี 4 สวนพฤกษศาสตรแ์ ละการอนรุ กั ษพ์ นั ธกุ รรมพืช

1.ใหน้ กั เรยี นเตมิ ลักษณะวิสัยของพชื ใต้ภาพท่กี ำหนดให้ ว่าเปน็ ไมเ้ ถา , ไม้ต้น, ไม้ล้มลุก, ไมพ้ ุ่ม

1.1.ไม้พุ่ม (Shrub) พืชทม่ี ีการแตกก่ิงก้านสาขาตัง้ แต่โคนตน้ ลำ
ต้นมีเนอ้ื ไม้แขง็ ทำให้มีลักษณะเปน็ ทรงพุ่ม โดยพมุ่ ไมน้ ม้ี ีขนาด
เลก็ หรือขนาดกลาง เช่น โกสน ชบา ชาปตั ตาเวยี

1.2.ไมเ้ ลือ้ ย หรอื ไม้เถา คือ พชื ท่ีไม่มเี นื้อไม้แขง็ ทำให้ไมส่ ามารถ
ทรงตัวไดโ้ ดยลำพัง ลำตน้ เลื้อยไปตามดนิ หรือพนั สิ่งทอ่ี ยู่ใกลเ้ คียง
เป็นทยี่ ึดเกาะเพอ่ื พยงุ ใหล้ ำต้นเจริญอยู่ได้ โดยอาจมีอวยั วะพิเศ

ชว่ ยในการเกีย่ วยึด เช่น ราก มอื เกาะ ขอเก่ยี ว ไมเ้ ลือ้ ยเปน็
ประเภทหน่งึ ในการจำแนกพืชตามโครงสรา้ งและทรงของลำตน้

1.3ไม้ล้มลุก (Herb) พชื ที่มขี นาดเลก็ ลำต้นอ่อนมีเน้ือเยื่อท่ี
ให้ความแข็งแรงแก่ลำตน้ นอ้ ย อายุการเจริญเติบโตส้ัน ลำต้น
ออ่ นนุ่มไม้ล้มลุมกจะตายเม่ือหมดฤดขู องการเจริญเติบโต
ไดแ้ ก่ พืชอายุหนึง่ ปีเช่น ดาวกระจาย ดาวเรอื ง บานชื่น พืช
อายุสองปีเช่น ผกั กาด
และพืชอายหุ ลายปีเชน่ แพงพวยฝร่งั พุทธรักษา

1.4.ไม้ต้น (Tree) พชื ที่มีลำต้นเด่ยี ว ป็นเน้อื ไม้แขง็ และมกี าร
แตกก่ิงกา้ นสาขาด้านบนของลำตน้ ซึ่งมขี นาดเล็กถึงขนาดใหญ่

เชน่ มะมว่ ง หูกวาง ประดู่บา้ น มะยม ชมพู่

เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรยี น – หลังเรียน

ฐานการเรยี นรู้ สวนพฤกษศาสตร์และการอนรุ ักษ์พนั ธุกรรมพืช

คำสัง่ ให้นกั เรียนทำเครอ่ื งหมายกากบาท (X) ทับข้อที่ถูกที่สุด

1. สว่ นประกอบใดท่ีทำหนา้ ท่ีชดู อกใหต้ ิดกบั กิ่ง

ก. ก้านดอก ข. ฐานรองดอก ค. กลบี ประดับ ง. กา้ นชอู ับเรณู

2. หลังจากการเกดิ การปฏิสนธิที่รงั ไขเ่ กสรเพศเมยี แลว้ สง่ิ ที่ได้คือ

ก. ใบ ข. ดอก ค. ผล ง. ราก

3. พืชชนดิ ใดไมเ่ ป็นดอกสมบูรณ์เพศ

ก. ดอกฟักทอง ข. ดอกกหุ ลาบ

ค. ดอกมะยม ง. ดอกขา้ วโพด

4. พืชในข้อใดมใี บแทท้ ี่สมบูรณ์มสี ่วนประกอบครบทงั้ 3 สว่ น

ก. ใบกระถินณรงค์ ข. ใบมะม่วง

ค. ใบวาสนา ง. ใบขนนุ

5. ข้อใดคือหนา้ ที่หลักของใบ

ก. ดูดซับอาหาร ข. สงั เคราะหแ์ สง

ค. คำ้ จุนลำตน้ ง. ลอ่ แมลง

6. ข้อใดไมใ่ ช่วธิ ีการอนุรักษป์ ่าทถี่ กู ต้อง

ก. ปลูกป่า ข. การบุกรกุ ป่า

ค. ใชไ้ มอ้ ย่างประหยัด ง. การรณรงค์ปลกู จติ สำนึก

7. อวยั วะของพืชที่ไมม่ ีขอ้ ปล้อง ตา และใบ เจริญเติบโตลงสู่ดนิ หมายถงึ ข้อใด

ก. Stem ข. Root

ค. Leaf ง. Flower

8. พชื ชนดิ ใดมใี บประกอบแบบน้วิ มอื

ก. ใบประดู่ ข. ใบเพกา

ค. ใบมนั สำปะหลัง ง. ใบมะขาม

9. ข้อใดไม่ใชส่ ว่ นประกอบของใบ

ก. กา้ นใบ ข. แผ่นใบ

ค. หใู บ ง. ออวูล

10. รากแก้วหรือรากฝอยทอ่ี ยใู่ ตด้ นิ ทำหน้าท่สี ะสมอาหาร หมายถึงข้อใด

ก. รากสะสมอาหาร ข. รากเกาะ

ค. รากค้ำจุน ง. รากสังเคราะห์แสง

แบบสอบถามความพงึ พอใจ

ฐานการเรยี นรูท้ ่ี...........ช่ือฐาน ..................................................................
กิจกรรม .............................................................................

******************************

คำชแี้ จง แบบสอบถามความพึงพอใจ มีจำนวน 3 ตอน ให้ผู้ตอบแบบสอบถามความพงึ พอใจทำเคร่ืองหมาย 
ลงในช่อง ท่ตี รงกบั ความคดิ เห็นของท่านมากท่สี ุดเพยี งข้อเดยี ว

ตอนท่ี 1 ขอ้ มลู ท่ัวไป

เพศ  ชาย  หญงิ  เพศทางเลือก (LGBTQ+)

ระดบั การศกึ ษา  ต่ำกวา่ ป.6  ป.6/ประถมศึกษา  ม.3 หรอื ม.ตน้

 ม.6 หรือเทียบเท่า  ปวส./อนุปริญญา  ปริญญาตรขี ้นึ ไป

อายุ  ต่ำกว่า 15 ปี  15 - 20 ปี  21 - 30 ปี

 31 - 40 ปี  41 - 50 ปี  51 - 60 ปี

 61 ปีขนึ้ ไป

อาชพี  นกั เรยี น/นักศึกษา  รับจ้าง  เกษตรกร  ค้าขาย

 อ่นื ๆ (ระบ)ุ .............................................................................................

ตอนที่ 2 ความพึงพอใจที่มีต่อฐานการเรียนรู้ โดยระดบั ความพงึ พอใจ แบง่ ออกเปน็ 5 ระดับ ดงั น้ี

5 หมายถงึ มากทสี่ ุด

4 หมายถงึ มาก

3 หมายถึง ปานกลาง

2 หมายถึง นอ้ ย

1 หมายถงึ นอ้ ยทสี่ ุด

รายละเอียด ระดับความพึงพอใจ
5 4321

1. ผู้เรียน/ผเู้ ขา้ ร่วมกิจกรรมได้รับความรู้และมคี วามเข้าใจจากการเรยี นรู้

ในฐานการเรยี นรู้

2. ผู้เรียน/ผูเ้ ข้าร่วมกิจกรรมมีทักษะจากการเรียนรใู้ นฐานการเรยี นรู้

3. วัสด/ุ อุปกรณ์ในการสาธิตหรอื ให้ผู้เรยี น/ผเู้ ข้ารว่ มกิจกรรมไดฝ้ ึกปฏบิ ตั เิ พียงพอ

4. ส่ือท่ใี ช้ในการจดั กิจกรรมกระบวนการเรียนรมู้ ีความเหมาะสม หลากหลาย

เพยี งพอ และน่าสนใจ

5. ผู้สอน/วิทยากร สง่ เสริมใหผ้ เู้ รียน/ผเู้ ข้ารว่ มกิจกรรมทำงานรว่ มกนั เป็นทีม

6. ผู้สอน/วิทยากร สง่ เสรมิ ให้ผเู้ รยี น/ผเู้ ข้ารว่ มกิจกรรมมีความคดิ ริเริ่มสร้างสรรค์

รายละเอยี ด ระดบั ความพึงพอใจ
5 4321
และคิดเปน็
7. ผสู้ อน/วทิ ยากร รับฟงั ความคิดเห็นทแี่ ตกตา่ งของผ้เู รยี น/ผูเ้ ข้าร่วมกจิ กรรม
8. ผ้สู อน/วทิ ยากร ให้ความสนใจผูเ้ รยี น/ผูเ้ ข้าร่วมกิจกรรม อย่างทั่วถึง เทา่ เทยี ม

ไมเ่ ลือกปฏิบตั ิ
9. ผสู้ อน/วทิ ยากร เปิดโอกาสให้ผู้เรียน/ผูเ้ ข้าร่วมกิจกรรมซักถามปญั หาหรือข้อ

สงสยั
10. การจดั กระบวนการเรียนรู้ในฐานการเรยี นรู้มีความสนกุ สนานและน่าสนใจ

ตอนท่ี 3 ข้อคดิ เห็น/ข้อเสนอแนะ
............................................................................................................................. .......................................................
....................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .......................................................
............................................................................................................................. .......................................................
................................................................................................................................................................. ...................

ขอขอบคุณในความร่วมมือ


Click to View FlipBook Version