The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sayamol.kc401, 2022-01-30 07:49:04

ภูมิปัญญาจากมาตุภูมิ

Man with Elephant Children's Book Cover

ภูมิปัญญาจากมาตุภูมิ

บ้านทุ่งมน



ห้วยถ่มคล้องใจ ไร่มันสำปะหลัง
พลังคนดี มีฝีมือช่าง อ่างวังตะเข้น้อย
หลากหอยธรรมชาติ นักปราชญ์ทุ่งมน



บ้านทุ่งมนหมู่บ้านแห่งหนึ่ งที่ตั้งอยู่ในอำเภอคำเขื่ อนแก้วจังหวัดยโสธร
“หมู่บ้านที่เป็ นพื้ นที่ราบสูงเหมาะสำหรับการเพาะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารพื้ นที่
ส่วนใหญ่เป็นทุ่งนามีอาณาเขตคล้ายทรงกลม รี”
หากอ่านมน เป็น [มะนะ, มน, มะนะ-] น. จ. (ป.).
จะแปลได้อีกความหมายคือ “พื้นที่ท้องทุ่งเกิดขึ้นจากการร่วมใจเป็นหนึ่ง”



บ้าน

น. ที่อยู่เช่น เลขบ้านเจ้าบ้าน, สิ่งปลูกสร้างสำหรับเป็นที่อยู่อาศัย
เช่น บ้านพักตากอากาศบ้านเช่า, บริเวณที่เรือนตั้งอยู่ เช่น เขตบ้านหมู่บ้าน
เช่น ผู้ใหญ่บ้าน, ถิ่นที่มีมนุษย์อยู่ เช่นสร้างเป็นบ้านเป็นเมือง
ว. ที่มีอยู่ตามบ้านเช่นหนูบ้านคู่กับหนูนาหรือที่เลี้ยงไว้เช่น หมู่บ้านคู่กับ
หมูป่ า

ทุ่ง

น. ที่ราบโล่งใช้เพาะปลูกเช่นทุ่งไร่ทุ่งนา

หรือใช้ประกอบพิธีต่าง ๆ เช่นทุ่งพระเมร


มน

ก. อยู่กับที่ (ใช้แก่ดาวนพเคราะห์ซึ่งปรากฏแก่ตาเป็น ๓ ทางคือเสริดว่าไปข้าง
หน้ า, พักร ว่า ถอยหลัง, มน ว่า อยู่กับที่)
ว. กลม ๆ , โค้ง ๆ , ไม่เป็นเหลี่ยม, เช่น ทองหลางใบมน ขอบโต๊ะมน
ปกเสื้อมน มม. (3) [มะนะ, มน, มะนะ-] น. ใจ. (ป.).



ภูมิปั ญญาจากมาตุภูมิของบ้านทุ่งมนเดิมชื่ อบ้านดงสูงโดยมีขุนโซง
เยาวรักษ์เป็ นกำนันปกครองตำบลปั จจุบันได้เปลี่ยนชื่ อมาเป็ นบ้านทุ่งมนอยู่ใน
เขตการปกครองของอำเภอคำเขื่ อนแก้วจังหวัดยโสธรมีนายไหลพิจารณ์เป็ น
กำนันแบ่งการปกครองออกเป็น ๔ หมู่บ้านพื้นที่ตำบลทุ่งมนจะมีสภาพพื้นที่ ๒
ลักษณะคือเป็ นพื้ นที่ลาดเอียงและที่ราบลุ่มประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพด้าน
การเกษตรและนับถือศาสนาพุทธแรกเริ่มก่อนที่จะมีการตั้งแหล่งที่อยู่อาศัยคือ
ก่อนหน้ านั้นมีคนกลุ่มใหญ่ย้ายถิ่นฐานมาจากเวียงจันทน์มาก่อนแยกสลายกันอยู่
ตามแต่ละพื้นที่เช่นบ้านเตาไหบ้านศรีฐานในสมัยนั้นบ้านทุ่งมนมีแค่ ๕๐ ครัว
เรือน



ชาวบ้านทุ่งมนมีอาชีพหรือวิถีชีวิตโดยทำไร่ทำนาเป็ นอาชีพหลังตั้งแต่
บรรพบุรุษแล้วชาวบ้านทุกคนจึงทำไร่ทำนาอีกทั้งสำเนียงการพูดของชาว
บ้านจะเหนือกว่าปกติหรือเหนือกว่าชาวบ้านในบ้านโขงบ้านเหล่าโปบ้าน
มะพริกหรือแม้กระทั่งบ้านดงเจริญ แต่บ้านหนองคูจะพูดคล้าย ๆ กับชาว
บ้านบ้านทุ่งมนหรือเหน่อกว่า แต่ก่อนนั้นชาวบ้านนิยมเลี้ยงควายและวัว
โดย แต่ก่อนนั้นเวลาเช้าและเย็นชาวบ้านจะจูงควายและวัวออกจากบ้าน
จึงจะเห็นภาพที่ถนนในหมู่บ้านเต็มไปด้วยควายและวัวก็เป็ นภาพที่ทุกวัน
นี้ไม่มีให้ดูแล้วเพราะในปัจจุบันชาวบ้านมีความนิยมในการเลี้ยงน้ อยลง



ถ้าเทียบในอดีตกับปั จจุบันชาวบ้านยังไม่มีน้ำปะปาใช้ชาวบ้านจะใช้วิธีการ
เจาะเอาน้ำบาดาลขึ้นมาดื่ มมาใช้ได้อีกทั้งยังไม่มีน้ำดื่ มที่เป็ นการจำหน่ายของ
โรงงานน้ำเหมือนในปั จจุบันต่อมาได้มีโรงจัดตั้งขึ้นชาวบ้านจึงเปลี่ยนวิธีการดื่ ม
น้ำ แต่ยังไม่มีน้ำปะปาชาวบ้านจึงเลิกดื่มน้ำบาดาลเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ทาง
องค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งมนจึงมีการทำโครงการสร้าวหอสูงส่งน้ำให้ชาวบ้าน
ได้มีน้ำปะปาใช้กันอย่างทันสมัยมากขึ้น



การสร้างบ้านเรือนของชาวบ้านบ้านทุ่งมนในปัจจุบันและใน แต่ก่อนนี้มี
ความแตกต่างกันอย่างมากใน แต่ก่อนนั้นการสร้างบ้านเรือนจะทำบ้านยกสูง
โดยในส่วนของชั้นล่างจะทำเป็ นที่อยู่อาศัยของสัตว์เลี้ยงหรือคอกสัตว์เช่นหมู
ไก่ควายวัว ฯลฯ ส่วนชั้นที่สองเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์มีการประกอบอาหารที่
ชั้นสองของบ้านและอยู่อาศัยในปั จจุบันนี้ได้มีการสร้างทำบ้านที่แปลกใหม่มาก
ขึ้นและไม่ได้ทําคอกสัตว์ไว้ใต้ถุนเหมือน แต่ก่อนบ้านบางหลังอาจทําเป็นบ้าน
ชั้นเดียวหรือบ้านสองชั้นครึ่งไม้ครึ่งปูน



โคก-หนอง-นา โมเดล คือ การจัดการพื้นที่ซึ่งเหมาะกับพื้นที่
การเกษตร ซึ่งเป็นผสมผสานเกษตรทฤษฎีใหม่ เข้ากับภูมิปัญญาพื้นบ้านที่อยู่
อย่างสอดคล้องกับธรรมชาติในพื้นที่นั้นๆ โคก-หนอง-นา โมเดล เป็นการที่ให้
ธรรมชาติจัดการตัวมันเองโดยมี มนุษย์เป็นส่วนส่งเสริมให้มันสำเร็จอย่างเป็น
ระบบ

โคก-หนอง-นา โมเดล ซึ่งเป็นแนวทางทำเกษตรอินทรีย์และการสร้าง
ชีวิตที่ยั่งยืน โดยมีองค์ประกอบดังนี้

๑. โคก: พื้นที่สูง
– ดินที่ขุดทำหนองน้ำนั้นให้นำมาทำโคก บนโคกปลูก “ป่า ๓อย่าง ประโยชน์
๔ อย่าง” ตามแนวทางพระราชดำริ

– ปลูกพืช ผัก สวนครัว เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา ทำให้พออยู่ พอกิน พอใช้ พอร่มเย็น ๙

เป็นเศรษฐกิจพอเพียงขั้นพื้นฐาน ก่อนเข้าสู่ขั้นก้าวหน้า คือ ทำบุญ ทำทาน เก็บรักษา ค้าขาย
และเชื่อมโยงเป็นเครือข่าย
– ปลูกที่อยู่อาศัยให้สอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศ และภูมิอากาศ

๒. หนอง: หนองน้ำหรือแหล่งน้ำ
– ขุดหนองเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ยามหน้าแล้งหรือจำเป็น และเป็นที่รับน้ำยามน้ำท่วม (หลุม
ขนมครก)
– ขุด “คลองไส้ไก่” หรือคลองระบายน้ำรอบพื้นที่ตามภูมิปัญญาชาวบ้าน โดยขุดให้คดเคี้ยวไป
ตามพื้นที่เพื่อให้น้ำกระจายเต็มพื้นที่เพิ่มความชุ่มชื้น ลดพลังงานในการรดน้ำต้นไม้
– ทำ ฝายทดน้ำ เพื่อเก็บน้ำเข้าไว้ในพื้นที่ให้มากที่สุด โดยเฉพาะเมื่อพื้นที่โดยรอบไม่มีการกัก
เก็บน้ำ น้ำจะหลากลงมายังหนองน้ำ และคลองไส้ไก่ ให้ทำฝายทดน้ำเก็บไว้ใช้ยามหน้าแล้ง
– พัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ ทั้งการขุดลอก หนอง คู คลอง เพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ยามหน้าแล้ง และ
เพิ่มการระบายน้ำยามน้ำหลาก

๓. นา:
– พื้นที่นานั้นให้ปลูกข้าวอินทรีย์พื้นบ้าน โดยเริ่มจากการฟื้นฟูดิน ด้วยการทำเกษตรอินทรีย์ยั่งยืน
คืนชีวิตเล็กๆ หรือจุลินทรีย์กลับคืนแผ่นดินใช้การควบคุมปริมาณน้ำในนาเพื่อคุมหญ้า ทำให้ปลอด
สารเคมีได้ ปลอดภัยทั้งคนปลูก คนกิน
– ยกคันนาให้มีความสูงและกว้าง เพื่อใช้เป็นที่รับน้ำยามน้ำท่วม ปลูกพืชอาหารตามคันนา

๑๐

สมัยก่อนแทบทุกหมู่บ้านในภาคอีสานจะมี“ ดอนปู่ตา” ซึ่งถือ
เป็ นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในชุมชนโดยมีความเชื่ อว่าดอนปู่ตาเป็ นที่อยู่อาศัย
ของผีบรรพบุรุษของหมู่บ้าน ปู่ตา หมายถึงวิญญาณของบรรพบุรุษที่ล่วง
ลับไปแล้วปู่เป็นวิญาณทางพ่อ ตา เป็นวิญญาณทางแม่ คนในชุมชน จึง
ปลูก ตูบ หรือ หอให้ผีปู่ตาอาศัยซึ่งอาจจะมีรูปปั้นแทนหรือไม่มีก็ได้ โดย
ถือว่าเป็นเขตพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ใดจะรุกล้ำหรือตัดต้นไม้แสดงวาจาหยาบ
คายไม่ได้ ดังนั้นตอนตาจึงกลายเป็นป่าขนาดเล็ก ๆ และเป็นพื้นที่ป่า
สงวนของคนในชุมชนไปในตัว

๑๑

พิธีเลี้ยงศาลปู่ตาหรือชาวบ้านเรียกว่าพิธีเลี้ยงบ้านจะทำกันในวัน
พุธแรกของเดือน ๕ เฒ่าจะประกาศให้ลูกบ้านเตรียมข้าวปลาอาหาร
และให้เอาหญ้าคามัดแทนวัวควายเป็ ดไก่และคนให้ครบตามจํานวนของ
แต่ละครอบครัวโดยนำไปรวมกันบริเวณพิธีที่ดอนปู่ตาจากนั้นเฒ่าก็จะ
เป็นผู้นำประกอบพิธีเสี่ยงทายดินฟ้ าอากาศรวมทั้งเหตุเภทภัยที่อาจเกิด
ขึ้นกับหมู่บ้านหลังเสร็จพิธีดังกล่าวชาวบ้านก็จะแบ่งข้าวปลาอาหารไป
กินเพื่ อเป็ นสิริมงคล

๑๒

บุญข้าวสาก เป็นประเพณีการทำบุญที่จัดขึ้นเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับ
ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว และเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับสัตว์นรกหรือเปรต
นิยมทำในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ เป็นประจำทุกปีของประเพณีสิบสอง
เดือน หรือ "ฮิตสิบสอง” (ฮีต มาจากคำว่า จารีต ฮีตสิบสอง คือ จารีต
ประเพณีสิบสองเดือน) ของชาวอีสาน

๑๓

บุญข้าวสาก มีเรื่องเล่าไว้ในธรรมบทว่า มีบุตรชายกฎุมพี(คนมั่งมี)ผู้หนึ่ง เมื่อพ่อ
สิ้นชีวิตแล้วแม่ได้หาหญิงผู้มีอายุและตระกูลเสมอกันมาเป็นภรรยา แต่อยู่ด้วยกัน
หลายปีไม่มีบุตร แม่จึงหาหญิงอื่นมาให้เป็นภรรยาอีก ต่อมาเมียน้ อยมีลูก เมีย
หลวงอิจฉา จึงคิดฆ่าทั้งลูกและเมียน้ อยเสีย
ฝ่ายเมียน้ อยเมื่อก่อนจะตายก็คิดอาฆาตเมียหลวงไว้ ชาติต่อมาฝ่ายหนึ่งไปเกิดเป็น
แมว อีกฝ่ายหนึ่งไปเกิดเป็นไก่ แมวจึงกินไก่และไข่ ชาติต่อมาฝ่ายหนึ่งไปเกิดเป็น
เสือ อีกฝ่ายหนึ่งไปเกิดเป็นกวาง เสือจึงกินกวางและลูก ชาติสุดท้าย ฝ่ายหนึ่งไป
เกิดเป็ นคนอีกฝ่ ายหนึ่ งไปเกิดเป็ นยักษิณี

๑๔

พอฝ่ายคนแต่งงานคลอดลูก นางยักษิณีจองเวร ได้ตามไปกินลูกถึง
สองครั้งต่อมามีครรภ์ที่สาม นางได้หนีไปอยู่กับพ่อแม่ของตนพร้อมกับ
สามี เมื่อคลอดลูกเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงพร้อมด้วยสามีและลูกกลับ
บ้าน พอดีนางยักษิณีมาพบเข้า นางยักษิณีจึงไล่นาง สามีและลูก นาง
จึงพาลูกหนีพร้อมกับสามีเข้าไปยังเชตวันมหาวิหาร ซึ่งพอดี
พระพุทธเจ้ากำลังทรงแสดงพระธรรมเทศนาอยู่ นางและสามีจึงนำลูก
น้ อยไปถวายขอชีวิตไว้ นางยักษ์จะตามเข้าไปในเชตวันมหาวิหารไม่
ได้ เพราะถูกเทวดากางกั้นไว้ พระพุทธเจ้าจึงโปรดให้พระอานนท์ไป
เรียกนางยักษ์เข้ามาฟังพระธรรมเทศนา พระองค์ทรงสั่งสอนไม่ให้
พยาบาทจองเวรกัน แล้วจึงโปรดให้นางยักษ์ไปอยู่ตามหัวไร่ปลายนา
นางยักษ์ตนนี้มีความรู้เกณฑ์เกี่ยวกับฝนและน้ำโดยจะแจ้งให้ชาวเมือง
ได้ทราบ ชาวเมืองให้ความนับถือมาก จึงได้นำอาหารไปส่งนางยักษ์
อย่างบริบูรณ์สม่ำเสมอ นางยักษ์จึงได้นำเอาอาหารเหล่านั้นไปถวาย
เป็นสลากภัต แด่พระภิกษุสงฆ์วันละแปดที่เป็นประจำ
ชาวอิสานจึงถือเอาการถวายสลากภัต หรือบุญข้าวสากนี้เป็นประเพณี
สืบต่อกันมา และเมื่อถึงวันทำบุญข้าวสาก นอกจากนำข้าวสากไป
ถวายพระภิกษุ และวางไว้บริเวณวัดเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติผู้ล่วง
ลับไปแล้ว ชาวนาจะเอาอาหารไปเลี้ยงนางยักษ์ หรือผีเสื้อนาในบริเวณ
นาของตนเปลี่ยนเรียกนางยักษ์ว่า "ตาแฮก"

๑๕

ทำบุญข้าวจี่ วันเพ็ญเดือน 3 เป็นวันมาฆบูชา รุ่งขึ้นวันแรม ๑ ค่ำก็
ถวายข้าวจี่ เรียกว่าวันทำบุญเนื่องในวันมาฆบูชานั่นเอง ชาวบ้านทุ่ง
มนเอาข้าวเหนียวปั้นเป็นก้อนเอาไม้เสียบย่างไฟเหมือนไก่ย่าง เมื่อ
ข้าวสุกเกรียมแล้วก็เอาไข่ซึ่งตีไว้แล้วทาแล้วย่างซ้ำอีกกลายเป็ นไข่
เคลือบข้าวเหนียว เสร็จแล้วถอดไม้ออกแล้วเอาน้ำอ้อยหรือน้ำตาลที่
เป็นก้อนยัดใส่แทนกลายเป็นข้าวเหนียวยัดไส้ แล้วถวายพระเณรฉัน
ตอนเช้า ส่วนมากชาวบ้านจะรีบทำแต่เช้ามืด พอสว่างก็ลงศาลา
การเปรียญ (ชาวบ้านเรียกหอแจก) นิมนต์พระเณรเจริญพระพุทธมนต์
แล้วฉัน เป็นทั้งงานบุญและงานรื่นเริงประจำแต่ละหมู่บ้าน เพราะได้ทำ
ข้าวจี่ไปถวายพระหลังจากพระฉันแล้วก็เลี้ยงกันเองสนุกสนาน

๑๖

ในปัจจุบัน ตามชุมชนค่อนข้างมีน้ อยคนที่จะยังทอเสื่ออยู่เนื่องจาก สภาพสังคมที่
เปลี่ยนไป ที่วัยรุ่นให้ความสนใจกับสื่อออนไลน์มากกว่าการเรียนรู้วิถี ชุมชน ยังคง
เหลือแค่บางบ้านที่มีผู้เฒ่าผู้แก่ยึดถือการทอเสื่อเป็นอาชีพสร้างรายได้ ให้กับตนเอง
และเก็บไว้ฝากญาติพี่น้ อง ซึ่งวิธีการทอเสื่อมือนั้น มีดังนี้ นำต้นผือที่ตัดมา มาตัด
ส่วนปลายที่เป็นใบออก และวัดให้มีขนาดเท่า ๆ กันนำต้น ผือที่ตัดจนมีขนาดเท่า ๆ
กัน ไปผึ่งแดดพอหมาด ๆ สอยเส้นผือออกเป็นเส้นเล็ก ตามเหลี่ยมของต้นผือ นำ
เส้นผือที่สอยแล้วไปผึ่งแดดให้แห้ง นำมาย้อมสีโดยใช้สี ย้อมกก ย้อมผือ สีที่นิยม
คือ สีชมพู สีแดง สีเขียว สีเหลือง สีม่วง โดยนำไปต้มในน ต้มน้ำให้เดือดแล้วใส่สี
ลงไปตามด้วยมือที่ต้องการย้อม นำสื่อที่ย้อมแล้วมาล้างด้วย น้ำเปล่า จากนั้นนำไป
ผึ่งแดดให้แห้ง กางโฮงสำหรับทอเสื่อโดยนำเชือกไนลอน สําหรับทอเสื่อมาโยงใส่
พึมจนเสร็จ นำเส้นผือที่ย้อมสีตากจนแห้งแล้วนำมาทอเสื่อ ลายตามต้องการ พอทอ
เสร็จก็ตัดแล้วหลังจากนั้นก็นำไปตากแดดเพื่อให้สีไม่ออกหลังจากนั้นก็นำมาเก็บใน
ที่ร่ม

๑๗

ประเพณีลงแขกเกี่ยวข้าวนี้เป็ นประเพณีไทยที่แสดงให้เห็นถึงความมี
น้ำใจที่มีการ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อีกทั้งยังสามารถช่วยสร้างความ
สมัครสมานสามัคคีกันใน หมู่บ้านได้อีกด้วย นอกจากนี้ทำให้เกิด
วัฒนธรรมและการขับร้องเพลงอันเป็น เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของผู้ที่
ประกอบอาชีพทำนา ประเพณีลงแขกเกี่ยวข้าว เป็นประเพณีที่เจ้าของ
นาจะบอกเพื่อน บ้านให้รู้ว่าจะเกี่ยวข้าวเมื่อใด และเมื่อถึงวันที่กำหนด
เจ้าของนาก็จะต้องปักธงที่ที่ นาของตนเพื่อให้เพื่อนบ้านหรือแขกที่รู้จะ
ได้มาช่วยเกี่ยวได้ถูกต้องทั้งนี้เจ้าของนา

๑๘

ประเพณีลงแขกเกี่ยวข้าว เป็นประเพณีไทยอีกอย่างหนึ่งของชาวนา
ไทย ซึ่งนับวันจะหาดูได้ยากในสภาพปัจจุบัน ชาวอีสานส่วนใหญ่จะ
เป็นผู้มีน้ำใจ ไมตรี ดังนั้นในการทำกิจการงานใดๆ ไม่ว่างานเล็กงาน
ใหญ่ จะสำเร็จลุล่วงไปได้ ด้วยดีเพราะทุกคนต่างมีน้ำใจให้กันและกัน

ช่วยงานกันคนละมือละไม้ใช้เวลาไม่ นานงานก็สำเร็จลุล่วงไปได้
สมปรารถนา การทำงานแบบนี้ คนอีสานเรียกว่า “ลง แขก” การ
ลงแขกในภาคอีสานก็คือการบอกกล่าวขอแรงบรรดาญาติสนิทมิตร
สหาย ให้มาช่วยทำงานนั่นเอง งานที่จะลงแขกกันนั้นอาจจะเป็นงาน
ส่วนรวมหรือ งานส่วนตัวก็ได้ สำหรับงานส่วนตัวนั้นส่วนมากมักจะ
เป็นงานใหญ่สุดกำลังคนใน ครอบครัวจะทำได้ประเพณีลงแขกเกี่ยว
ข้าวนี้เป็นประเพณีไทยที่แสดงให้เห็นถึง ความมีน้ำใจที่มีการช่วย
เหลือซึ่งกันและกัน อีกทั้งยังสามารถช่วยสร้างความสมัคร สมาน
สามัคคีกันในหมู่บ้านได้อีกด้วย นอกจากนี้ทำให้เกิดวัฒนธรรมและ
การขับ ร้องเพลงอันเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของผู้ที่ประกอบอาชีพ
ทำนา ประเพณีลงแขกเกี่ยวข้าว เป็นประเพณีที่เจ้าของนาจะบอก
เพื่อนบ้านให้รู้ว่าจะ เกี่ยวข้าวเมื่อใด และเมื่อถึงวันที่กำหนดเจ้าของ
นาก็จะต้องปักธงทีที่นาของตน เพื่อให้เพื่อนบ้านหรือแขกที่รู้จะได้มา
ช่วยเกี่ยวได้ถูกต้องทั้งนี้เจ้าของนาจะต้อง จัดเตรียมอาหารคาวหวาน
สุรา บุหรี่ น้ำดื่ม ไว้รองรับด้วย และในการขณะเกี่ยว ข้าวก็จะมีการ
ละเล่นร้องเพลงเกี่ยวข้องระหว่างหนุ่มสาวเป็ นที่สนุกสนาน

๑๙

วัดบ้านทุ่งมน
ก่อสร้างเมื่อวันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ.๒๕๔๕

วัดป่ าพุทธรักษา

๒๐

โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลทุ่งมน

โรงเรียนบ้านทุ่งมน

เเหล่งที่มา

นางลำปาง สายเเสง
นายอุทัย เขาทอง
นายเดชา เเสวงเเล้ว
นายทองใบ ชิงชัย

จัดทำโดย
นางสาวศยามล คูโนรัมย์
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕/๑ เลขที่๑๑

เสนอ
คุณครูอนุชัย หัวดอน

โรงเรียนคำเขื่อนเเก้วชนูปถัมภ์
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาศรีสะเกษ ยโสธร


Click to View FlipBook Version