The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Khun Thatponkhun Darajorn, 2024-02-02 04:16:31

พันธุศาสตร์1

พันธุศาสตร์1

รวบรวมข ้ อสอบเร ื่องพนัธุศาสตร ์ 1 1.สมมติวา่ยนี A มีลกัษณะตาสีดา ข่มยนี a ที่นา ลกัษณะตาสีฟ้าไดอ้ยา่งสมบูรณ์จากการแต่งงานระหวา่งหญิงชายที่มีจี โนไทป์ Aa x Aa มีลูก 3 คน โอกาสที่ลูก 2 คนจะมีจะมีตาสีด าและลูกอีก 1 คนจะมีตาสีฟ้ าคือข้อใด(Ent'มีนา 48) 1. 9 / 16 2. 9 / 64 3. 18 / 64 4. 27 / 64 2.ลกัษณะเต้ียแคระ(Achondroplasia) ควบคุมโดยยนีเด่น autosome สามีภรรยาเป็นคนเต้ียแคระท้งัคู่แต่มาจาก ครอบครัวที่ไม่เคยมีประวตัิทางพนัธุกรรมเช่นน้ีมาก่อนเลยจงหาโอกาสที่บุตรคนแรกจะเป็นชายและแสดงลกัษณะเต้ีย แคระ (Ent'เมษา41) 1. 25% 2. 37% 3. 50% 4. 75% 3.หญิงศีรษะไม่ลา้น แต่มีพอ่ศีรษะลา้น แต่งงานกบัชายศีรษะลา้นไดลู้ก2 คน ลูกชายคนแรกศีรษะล้านและลูกคนที่ 2 เป็นหญิงจงคา นวณหาโอกาสที่เป็นไปไดท้ ี่ลูกสาวคนน้ีจะมีศีรษะไม่ลา้น (มอ.2550) 1. ร้อยละ 12.5 2. ร้อยละ 25 3. ร้อยละ 60 4. ร้อยละ 75 4.ลกัษณะสีขนกระต่ายถูกควบคุมดว้ย4 อลัลีลอลัลีลที่ควบคุมสีขนในเซลลผ์วิหนงัและเซลลส์ ืบพนัธุ์มีจา นวนเท่าใด (Ent' มีนา45) 1. 4และ2 2. 2 และ2 3. 2 และ1 4. 4 และ4


5.จากการตรวจหมู่เลือดพบวา่เลือดของพอ่ตกตะกอนกบัแอนติบอดีA และ B ส่วนเลือดแม่ไม่ตกตะกอนกบัท้งั แอนติบอดี A และ B โอกาสที่พอ่แม่คู่น้ีจะมีลูกซ่ึงมีหมู่เลือดที่จะถ่ายใหแ้ก่แม่ไดน้ ้นัมีกี่เปอร์เซ็นต์(Ent'40) 1. 0 2. 25 3. 50 4. 100 6.จากการตรวจสอบหมู่เลือดของนางสมรวา่เลือดตกตะกอนท้งัใน anti-A และ anti-B ขอ้ใดคือหมู่เลือดที่เป็นไปไดข้อง พอ่และแม่นางสมร(PAT-2 มีนาคม 2553) ก. A x B ข. AB x A ค. AB x B ง. AB x O 1. ก และ ง 2. ก ข และ ค 3. ข ค และ ง 4. ก ข ค และ ง 7. หญิงคนหน่ึงมีหมู่เลือด B มีบุตร 2 คน โดยเมด็เลือดแดงของหญิงคนน้ีตกตะกอนกบั serum ของลูกท้งัสองคน แต่ serum ของหญิงคนน้ีตกตะกอนกบัเมด็เลือดแดงเฉพาะลูกคนเล็กเท่าน้นัลูกคนโตและลูกคนเล็กมีหมู่เลือดใดตามลา ดบั 1. O O 2. A A 3. O A 4. A O 8.ถา้ลกัษณะความสูงและลกัษณะตา้นทานโรคของมะเขือเทศถูกควบคุมดว้ยยนีเด่น 2คู่และ1คู่ตามลา ดบัการผสมพนัธุ์ แทต้น้ สูงแต่ไม่ตา้นทานโรค(AA BB rr) กบัพนัธุ์แทต้น้เต้ียแต่ตา้นทานโรค(aa bb RR)ตอ้งปลูกมะเขือเทศรุ่นที่2 ประมาณกี่ตน้จึงจะมีโอกาสพบลกัษณะตน้ สูงและตา้นทานโรคพนัธุ์แท้2 ต้น (Ent'มีนา42) 1. 16 ต้น 2. 35 ต้น 3. 70 ต้น 4. 140 ต้น 9.จากภาพขา้งล่างแสดงจีโนไทป์ที่ไดจ้ากการปฏิสนธิซอ้น อยากทราบวา่จีโนไทป์ของพอ่และแม่คือขอ้ใด (มอ.2551)


1. AAbb(พอ่ ) aaBb(แม่) 2. AaBb(พอ่ ) AaBB(แม)่ 3. aabb(พอ่ ) AaBb(แม่) 4. aaBB(พอ่ ) Aabb(แม่) 10.การผสมพนัธุ์ระหวา่งนางพญาผ้งึและผ่งึตวัผคูู้่หน่ึงไดลู้กที่มีจีโนไทป์ต่างๆดงัน้ี ตัวเมีย AABB AABb AaBB AaBb ตัวผู้ AB Ab ab aB จีโนไทป์ของนางพญาผ้งึเป็นแบบใด (Ent'40) 1. AB 2. AABb 3. AaBb 4. AaBB หรือ AABb 11.ถา้ชายคนหน่ึงมีลกัษณะขนงอกจากใบหูลกัษณะน้ีเป็นยนีที่เกี่ยวเนื่องกบัโครโมโซม Y ถา้ชายคนน้ีแต่งงานกบั ผหู้ญิงที่ปกติคือไม่มีขนงอกจากใบหูซ่ึงไม่มีใครในครอบครัวมีขนงอกจากใบหูเลยอยากทราบวา่ลูกที่เกิดระกวา่งชาย หญิงคู่น้ีจะเป็นอยา่งไร (มข.2552) 1. ลูกทุกคนมีขนงอกจากใบหู 2. ลูกทุกคนปกติคือไม่มีขนงอกจากใบหูเลย 3. ลูกชายทุกคนไม่มีขนงอกจากใบหูแต่ลูกสาวทุกคนมีขนงอกจากใบหู 4. ลูกชายทุกคนมีขนงอกจากใบหูแต่ลูกสาวทุกคนจะไม่มีขนงอกจากใบหู


12.จากแผนภาพพันธุประวัติแสดงลักษณะตาบอดสีและตาปกติ จงหาจีโนไทป์ ของหมายเลข 1-4 ตามล าดับ (มอ.2552) 1. Xc Y , XC X C , Xc X c , Xc X c 2. XC X c , XC Y , XC Y , Xc Y 3. XC Y , XC X c , XC X C , XC X c 4. XC X C , Xc Y , Xc Y , XC Y 13.พงศาวลี (Pedigree)ของครอบครัวหน่ึงในสามชวั่อายแุสดงถึงการเป็นโรคทางพนัธุกรรมอยา่งหน่ึงเป็นดงัน้ี ความน่าจะเป็นของลูกในรุ่นที่สามที่เป็นเพศชายที่เป็นโรคเป็นเท่าใด (PAT-2 ตุลาคม2553) 1. 1.00 2. 0.75 3. 0.50 4. 0.25


14.จากเพดดีกรีลกัษณะผดิปกติที่แสดงออกน้ีน่าจะมีการถ่ายทอดโดยพนัธุกรรมแบบใด (PAT-2 กรกฎาคม 2552) 1. Autosomal dominant 2. Autosomal recessive 3. X-linked inheritance 4. Multiple alleles 15.ภาพโครงสร้างส่วนหน่ึงของ DNA สัญลักษณ์ และ คืออะไร ตามล าคับ(PAT-2 52) 1.ฟอสเฟต และ เบส 2.ฟอสเฟตและนิวคลีโอไทด์ 3.น้า ตาลและเบส 4.น้า ตาลและ ฟอสเฟต


16.สายพอลินิวคลีโอไทดส์ายคู่มีลา ดบัเบสดงัขอ้ใด ถา้พอลินิวคลีโอไทดส์ายหน่ึงของโมเลกุล DNA ประกอบด้วย ลา ดบัเบส ดงัน้ี 5’… A T G C A G G T A …3’ 1. 5’…T A C G T C C A T …3’ 2. 2. 5’…U A C G U C C A U …3’ 3. 5’… T A C C T G C A T…3’ 4. 5’ … U A C C U G C A U…3’ 17.สายช่วงหน่ึงของ DNA สายคู่มีลา ดบัเบส ดงัน้ี 5’--- A G T C A T G A ---3’ 3’--- T C A G T A C T ---5’ สายของนิวคลีโอไทดท์ ี่สามรถจบักบั DNA น้ีได้คือขอ้ใด (PAT-2 52) 1. 5’---A G T C A T G A ---3’ 2. 5’---A G T C T T G A ---3’ 3. 5’---T C A G T A C T ---3’ 4. ข้อ1และ ข้อ 3 ถูก 18.นกัวทิยาศาสตร์พบวา่ DNA ของสิ่งมีชีวติชนิดหน่ึงมีปริมาณ Cytosine 38% ดงัน้นั ปริมาณของ Thymine คิดเป็นกี่ เปอร์เซ็นต์ (A net 50) 1.12 2.24 3.31 4.38 19.ขอ้ใดกล่าวถูกตอ้งถา้โมเลกุลดีเอน็เอสายหน่ึง พบวา่มีปริมาณของนิวคลีโอไทดท์ ี่มีอะดินีนเป็นองคป์ระกอบ 18% (มข 51) 1.ปริมาณของนิวคลีโอไทดท์ ี่มีกวันีนเป็นองคป์ระกอบเท่ากบั 18% 2.ปริมาณของนิวคลีโอไทด์ที่มีไซโทซีนเป็ นองค์ประกอบ 18% 3.ปริมาณของนิวคลีโอไทดท์ ี่มีอะดินีนรวมกบันิวคลีโอไทดท์ ี่มีไทมีนเป็นองคป์ระกอบมีปริมาณ 50 % 4.ปริมาณของนิวคลิโอไทดท์ ี่มีอะดินีนเป็นองคป์ระกอบรวมกบันิวคลีโอไทดท์ ี่มีไทมีนเป็นองคป์ระกอบมีปริมา นอ้ยกวา่ของนิวคลีโอไมดท์ ี่มีกวันีนเป็นองคป์ระกอบรวมกบันิวคลีโอไทดท์ ี่มีไซโทซีนเนองคป์ระกอบ 20.DNA โมเลกุลหน่ึงพบวา่มีปริมาณนิวคลีโอไทดท์ ี่มีเสไซโทซีน 32% อยากทราบวา่ขอ้ใดเป็นองคป์ระกอบของ DNA โมเลกุลน้ี(มข 50) 1.ปริมาณนิวคลีโอไทด์ที่มีเบสอะดินีน 32% 2.ปริมาณนิวคลีโอไทด์ที่มีเบสไทมีน 32% 3.ปริมาณนิวคลีโอไทด์ที่เป็ นพิวรีน 50% 4.ปริมาณนิวคลีโอไทด์ที่มีเบสกวานีน 18 %


21.ในการท าลายดีเอ็นเอโดยใช้ความร้อน ข้อใดต้องใช้ความร้อนมากที่สุด(มข.2552) 1. ดีเอ็นเอที่ปะกอบด้วยไทมีน 30% 2. ดีเอน็เอประกอบดว้ยกวันีน 25% 3. ดีเอ็นเอประกอบด้วยอะดินีน 35% 4. ดีเอ็นเอประกอบด้วยไซโทซีน 30% 22.โมเลกุลขอลดีเอ็นเอ ของสัตว์ X และ Y ประกอบด้วย 1,500 นิวคลีโอไทดเ์ท่ากนัและมีอตัราส่วนของเบส A เท่ากบั 28%และ 32%ตามล าดับ ข้อใดถูกต้อง(มช 52) ก.โมเลกุล DNA ของสัตว์ X มีจ านวนเบสG มากกวา่ Y ข.โมเลกุล DNA ของสัตว์ X มีจ านวนเบสG นอ้ยกวา่ Y ค.โมเลกุล DNA ของสัตว์ X มีอุณหภูมิในการหลอมเหลวสูงกวา่สัตว์Y ง.โมเลกุล DNA ของสัตว์ X มีอุณหภูมิในการหลอมเหลวต่า กวา่สัตว์Y 1.ก ค 2.ก ง 3.ข ค 4.ข ง 23.จากแผนภาพต่อไปน้ี ก ข และ ค คืออะไรตามล าดับ 1. RNA พอลิเมอเรส DNA ไลเกส ไรโบโซท 2. RNA พอลิเมอเรส DNAพอลิเมอเรส อาเอ็นเอส 3. DNAพอลิเมอเรส DNAไลเทส อาร์เอ็นเอส 4. DNAพอลิเมอเรส RNAพอลิเมอเรส ไรโบโซม


24.ในยูคาริโอตเหตุการณ์ A B C พบในข้อใด(Ent 47) 1. นิวเคลียส พบเหตุการณ์ ABC 2. ไซโตพลาสซึม พบเหตุการณ์ BC 3. ไมโทคอนเดรีย พบเหตุการณ์ ABC 4. นิวคลีโอลัส พบเหตุการณ์ AB 25.ขอ้ใดอธิบายถูกตอ้งเกี่ยวกบัเซลลร์่างกายของสิ่งมีชีวติช้นัสูง(Ent 45) 1. ทุกเซลลม์ ีจา นวนยนีเท่ากนัและสร้าง mRNA เหมือนกนั 2. ทุกเซลลม์ ีจา นวนยนีเท่ากนัแต่สร้าง mRNA ต่างกนั 3. ทุกเซลลม์ ีจา นวนยนีต่างกนัและสร้างmRNA ต่างกนั 4. ทุกเซลลม์ ีจา นวนยนีต่างกนัและสร้าง mRNA และ tRNA ต่างกนั 26.ขอ้ใดไม่ใช่การสังเคราะห์แลกกิ่งสแตรนของดีเอน็เอเรพลิเคชนั (มข 52) 1. เป็นการสังเคราะห์ดีเอน็เออยา่งต่อเนื่อง 2. เป็ นการสังเคราะห์ดีเอ็นเอในทิศทาง5’ ไป 3’ 3. ในการสังเคราะห์ดีเอน็เอน้ีตอ้งใชเ้อน็ ไซมไ์ลเกส 4. เอนไซม์ดีเอ็นเอพอลิเมอเรสจะน านิวคลีโอไทด์มาสังเคราะห์เป็ นสายยาว 27. 3’—T T T A C G G G T A G A T A A C T C C A A T C –5’ ก ข ค ง การเกิดมิวเทชนัของเบสใด มีผลทา ใหก้ารสังเคราะห์พอลิเพปไทดส์ ้ันลง(Ent 44) 1.ก 2.ข 3.ค 4.ง 28.การเกิดมิวเทชนั ในยนีโดยมีเบสเพิ่มข้ึนหน่ึงตวัเมื่อสังเคราะห์RNA จะได้ RNA เปลี่ยนแปลง ดังภาพ


เพปไทดท์ ี่สังเคราะห์ไดจ้ะเปลี่ยนแปลงอยา่งไร (Ent 42) 1. ยาวข้ึนกวา่เดิม 2. ส้ันลงกวา่เดิม 3. เท่าเดิม แต่มีกรดอะมิโนเปลี่ยนแปลงไป 1 ตัว 4. เท่าเดิม แต่มีกรดอะมิโนเปลี่ยนแปลงไป 3 ตัว 29.รหสัพนัธุกรรมในขอ้ใด เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงเบสเพียง 1 ตวัอาจทา ใหไ้ม่เกิดการเปลี่ยนแปลงรหสัพนัธุกรรม (Ent 41) 1.GAA 2.GCA 3.GCC 4.GGC


30.จากตารางมิวเทชันที่ท าให้เบสล าดับที่ 5 ของmRNA ที่มีล าดับนิวคลีโอไทด์เป็ น 5’ AUGUCCGUA 3’ เปลี่ยนจาก C เป็ น A จะส่งผลถึงชนิดของกรดอะมิโนในลา ดบัที่2 ของสายพอลิพผไทดท์ ี่ถูกสร้างข้ึน จาก mRNA น้ี อยา่งไร( PAT 52) 1. ไม่มีการเปลี่ยนแปลงชนิดของกรดอะมิโน 2. เปลี่ยนชนิดของกรดอะมิโนจาก Ser เป็ น Tyr 3. เปลี่ยนชนิดของกรดอะมิดนจาก Arg เป็ นAsp 4. เปลี่ยนชนิดของกรดอะมิโนจาก Pro เป็ น Thr


31.ขอ้ใดไม่ใช่แนวคิดเกี่ยวกบัววิฒันาการ (Ent’ มีนา 46) 1. การเปลี่ยนแปลงชา้ๆ แต่ใชเ้วลานาน 2. มิวเทชนัทา ใหเ้กิดสิ่งมีชีวติใหม่ 3. มิวเทชนัมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงจา นวนของสิ่งมีชีวติ 4. การเปลี่ยนแปลงสิ่งมีชีวติในอดีตมีผลต่อสิ่งมีชีวติในปัจจุบนั 32.ขอ้ใดเป็นแนวคิดที่สอดคลอ้งกนัระหวา่งทฤษฎีววิฒันาการของลามาร์คกบัดาร์วนิ (Ent’ ตุลา 43) 1. การปรับตวัเป็นผลจากความสา เร็จในการสืบพนัธุ์ที่แตกต่างกนั 2. ววิฒันาการเป็นแรงขบัใหส้ิ่งมีชีวติมีโครงสร้างที่ซบัซอ้นมากข้ึน 3. การปรับตวัทางววิฒันาการเป็นผลมาจากการมีความสัมพนัธุ์ระหวา่งสิ่งมีชีวติและสิ่งแวดลอ้ม 4. หลกัฐานจากซากดึกดา บรรพข์องสิ่งมีชีวติสนบัสนุนแนวคิดวา่สิ่งมีชีวติมีววิฒันาการ 33.โครงสร้างใดคือร่องรอยของช่องเหงือกในระยะเอม็บริโอของคน (Ent’ มีนา 48) 1. ช่องหู 2. ท่อยสูเตเชียน 3. ปอด 4. คอหอย 34.โรคทางพันธุกรรมชนิดหนึ่ง เป็ นลักษณะด้อยพบในประชาการ 36% ถา้ประชากรอยใู่นสมดุลของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก โดยมีจ านวนประชากร 100000 คน จงคา นวณหาประชากรที่เป็นพาหะของโรคน้ี(มอ. 2550) 1. 16000 คน 2. 36000 คน 3. 48000 คน 4. 64000 คน 35.ขอ้ใดไม่ใช่สาเหตุใหป้ระชากรมีโครงสร้างทางพนัธุกรรมของยนีพลูเปลี่ยนแปลงไป (มข. 2550) 1. แรมดอมจีเนติกดริฟท์ 2. ปรากฏการคอขวด 3. ประชากรมีขนาดใหญ่ข้ึนอยา่งรวดเร็ว


4. เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างโครโมโซม 36.ในประชากรหน่ึงพบวา่ความถี่จีนเด่นและจีนดอ้ยที่นา ลกัษณะพนัธุกรรมหน่ึงมีค่าเท่ากนัเมื่อทา การคดัเลือกฟีโน ไทป์ที่มีลกัษณะดอ้ยในปะชากรน้ีออกไปในแต่ละรุ่น จะมีผลอยา่งไร (Ent’ ตุลา 44) 1. ความถี่ของฮอมอไซกสัจีนจะลดลง 2. จีโนไทป์ ด้อยจะสูญพันธุ์ไปในที่สุด 3. ความถี่ของเฮเทอโรไซกสัจะลดลง 4. ความถี่ของจีโนไทป์แบบต่างๆ จะต่างกนัเพียงเล็กนอ้ย 37.โรค Galactosemia ควบคุมโดยยีนด้อยใน autosome ในประชากรจ านวน 40000 คน มีอุบตัิการณ์ของโรคน้ี1 คน คาดวา่ ประชากรกลุ่มน้ีจะมีคนที่เป็นพาหะของโรคน้ีอยปู่ระมาณเท่าใด (Ent’ เมษา 41) 1. 100 คน 2. 200 คน 3. 400 คน 4. 800 คน 38.การแปรผนัของสิ่งมีชีวติเกิดจากผลของขอ้ใด (Ent’ ตุลา 44) 1. การเปลี่ยนแปลงของยีน 2. การคัดเลือกโดยธรรมชาติ 3. การแปรผนัของสิ่งแวดลอ้ 1. ก 2. ก ข 3. ก ค 4. ก ข ค 39.เซลลร์่างกายของพืช A ซึ่งเป็ น momoecious plant มีโครโมโซม 12 แท่ง เมื่อสร้างเซลลส์ ืบพนัธุ์โครโมโซมท้งั 12 แท่งไม่เขา้คู่กนัหากมีการผสมเกสรเกิดข้ึน พืชที่ไดจ้ะเป็นอยา่งไร (Ent’ 40) 1. Monoploid 2. Haploid 3. Diploid 4. Polyploid


40.ขอ้ใดเป็นสาเหตุทา ใหเ้กิดสปีชีส์ใหม่ (มข. 2550) 1. แมลงหวกี่ลุ่มหน่ึงติดไปกบัเรือสินคา้แลว้ไปอยบู่นเกาะที่ห่างไกล 2. มีการเกิดพอลิพลอยดีในประชากรเดิมจาก2n ไปเป็ น n 3. มีการอพยพเขา้มาของประชากรกลุ่มอื่น 4. มีประชากรบางส่วนเกิดการเปลี่ยนแปลงของช่วงฤดูผสมพนัธุ์ 41.กระบวนการใดบา้งที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงความหลากหลายทางดา้นชนิดของสิ่งมีชีวติ (Ent’ ตุลา 41) 1. Cladogenesis 2. Anagenesis และ Extinction 3. Cladogenesis และ Extinction 4. Anagenesisและ Cladogenesis 42.จากการสา รวจประชากรกลุ่มหน่ึงที่สมดุล พบความถี่ของยนีเด่น R ที่ควบคุมลกัษณะห่อลิ้นไดเ้ท่ากบั 0.6 ประชากร กลุ่มน้ีจะมีคนที่ห่อลิ้นไดแ้ละไม่ได้ตามลา ดบัเป็นเท่าใด (Ent’ มีนา 48) 1. 60 : 40 2. 36 : 64 3. 84 : 16 4. 80 : 20 43.ในเชิงววิฒันาการอลัลีล น่าจะมีกา เนิดมาจากขอ้ใด (Ent’ มีนา 45) 1. มิวเทชัน 2. การไขวก้นัของโครโมโซม 3. ยีนโฟลว์ 4. การรวมกลุ่มของยนีใหม่ 44.ปัจจยัใดที่มีผลกระทบต่อความถี่ยนีและความถี่จีโนไทป์ของประชากรที่อยใู่นภาวะสมดุลมากที่สุด (Ent’ มีนา 47) 1. การเกิดมิวเทชนั 2. การคัดเลือกตามธรรมชาติ 3. การอพยพและโยกย้ายของสมาชิก 4. การผสมพันธุ์แบบเจาะจงของสมาชิก


45.สาเหตุในขอ้ใดทา ใหล้่อ ซ่ึงเกิดจากการผสมพนัธุ์ระหวา่งมา้กบัลาไม่สามารถสืบพนัธุ์ได้(Ent’ มีนา 48) 1. ลูกที่เกิดมาจะแทง้ก่อนคลอด 2. ไม่สามารถสร้างเซลลส์ ืบพนัธุ์ได้ 3. อวยัวะสืบพนัธุ์ไม่เจริญ 4. มีจา นวนโครโมโซมเพิ่มข้ึน ทา ใหเ้ป็นหมนั 46.ขอ้ใดเป็นวธิีการแยกโมเลกุลของดีเอน็เอหรือโปรตีนที่มี่ขนาดประจุและรูปร่างต่างกนัออกจากกนั ในสนามไฟฟ้า ผา่นตวักลาง (มข.2551) 1. เทอร์มอไซเคลอร์ 2. เจลอิเล็กโทรโฟริซิส 3. พอลิอะคาริลาไมด์เจลเทอร์มอล 4. อิเล็กโทรแมกนิติก รีโซแนนซ์ 47.ขอ้ใดต่อไปน้ีเป็นประโยชน์ที่ไดจ้ากเรสทริกชนัแฟรกเมนท์เลงจท์ ี่พอลิเมอร์ฟิซึม (RFLP) 1. ชีวสารสนเทศน์ 2. ลายพิมพ์ดีเอ็นเอ 3. สร้างสิ่งมีชีวติดดัแปลงพนัธุกรรม 4. พอลิเมอร์เรสเชนรีเอกชัน หรือ พีซีอาร์ 48.ขอ้ใดไม่ถูกตอ้ง (PAT2 กรกฎาคม2553)


1. พีซีอาร์เป็นเทคนิคที่ใชเ้พิ่มปริมาณดีเอน็เอจึงนบัเป็นการโคลนยนีอีกแบบหน่ึง 2. เมื่อเอนไซมต์ดัจา เพาะตดัสยายดีเอนเอแลว้อาจทา ใหส้ายที่ถูกตดัมีปลายเหนียวหรือปลายทู่ก็ได้ข้ึนกบัชนิด ของเอนไซม์ 3. ในการแยกดีเอน็เอดว้ยเจลอิเล็กโทรโฟริซิสน้นัดีเอน็เอที่มีขนาดใหญ่ประจุลบมากจะเคลื่อนที่เขา้หาข้วับวก ไดเ้ร็วกวา่ดีเอน็เอที่มีขนาดเล็กกวา่ 4. เราสามารถมองเห็นโมเลกุลดีเอนเอที่อยบู่นเจล หลงัจากผา่นข้นัตอนเจลอิเลกโทรโฟริซิสแลว้โดยยอ้มดว้ย สีอิธีเดียมโบรไมด์แลว้ส่องดว้ยแสงอลัตราไวเลต 49.ข้อใดถูก 1. การโคลนยนีคือการเพิ่มจา นวนดีเอนเอส่วนที่ตอ้งการใหม้ีจา นวนมากและเหมือนกบัดีเอนเอตน้แบบ 2. การโคลนยนีนิยมใชพ้ลาสมิดของแบคทีเรีย ซ่ึงเป็นดีเอนเอที่อยบู่นโครโมโซมของแบคทีเรีย 3. การโคลนยนีในแบคทีเรีย นิยมใชย้นีที่ตา้นยาปฏิชีวนะที่อยบู่นโครโมโซมของแบคทีเรียเป็นเครื่องหมาย 4. การโคลนยนีภายนอกเซลลโ์ดยไม่ใชแ้บคทีเรีย สามารถเพิ่มจา นวนดีเอนไดด้ว้ยวธิีอิเลกโทรโฟริซิส 50.กา หนดใหอ้กัษรต่างๆต่อไปน้ีแทนข้นัตอนการทา recombinant DNA A=ตัดDNA ที่มียนีที่ตอ้งการเป็นชิ้นยอ่ยๆดว้ยเอนไซมต์ดัจา เพาะ B=เชื่อมต่อDNAชิ้นยอ่ยๆกบั DNAพาหะ ซึ่งตัดด้วยเอนไซม์ตัดจ าเพาะ C=แยกDNAออกจากเซลล์ผู้ให้ ที่มียีนที่ต้องการ


D=คัดเลือกเซลล์ของแบคทีเรีย(E.coli) ที่มียีนที่ต้องการ E=น าrecombinant DNA เขา้สู่เซลลข์องแบคทีเรีย (E.coli) ลา ดบัข้นัตอนที่ถูกตอ้งของการทา recombinant DNA เป็ นตามข้อใด 1.D→C→A→B→E 2.C→A→B→E→D 3.D→E→C→B→A 4.A→B→E→D→C 51.จงเรียงลา ดบัข้นัตอนการสร้างพืชดดัแปลงพนัธุกรรมตามข้นัตอนที่กา หนดให้ ก.สร้างDNAลูกผสม ข.ค้นหาDNAที่ต้องการ ค.ใส่พลาสมิดใหเ้ซลลพ์ ืช ง.สกดัพลาสมิดจากแบคทีเรีย ค าตอบคือ 1.ง ค ก ข 2.ข ง ค ก 3.ข ค ง ก 4.ง ข ก ค 52.ในการโคลนยีนสร้างโปรตีนเปลือกไวรัสเพื่อการผลิตวัคซีน ข้อใดถูกต้อง


1. การโคลนยีนด้วยวิธี PCR(polymerase chain reaction) 2. การโคลนยีนโดยอาศัยพลาสมิดของแบคทีเรีย มีการใช้แบคทีเรียชนิดพิเศษที่ทนอุณหภูมิสูงได้ 3. การโคลนยีนด้วยวิธี PCR มักต้องอาศัย DNA polymerase ชนิดพิเศษที่ทนอุณหภูมิสูงได้ 4. การโคลนยนีโดยอาศยัพลาสมิดของแบคทีเรียไม่สามรถทา ไดใ้นกรณีน้ีเพราะเป็นยนีของไวรัส 53.ขอ้ใดไม่จา เป็นตอ้งใชใ้นเทคนิพอลิเมอเรสเซนรีเอกชนั (polymerase chain reaction) 1. DNA polymerase 2. DNA แม่แบบที่ตอ้งการโคลน 3. DNA สายส้ันๆ ที่เรียกวา่ Primer 4. DNA ligase ที่สามารถท างานได้ในอุณหภูมิสูง 54.เมื่อเปรียบเทียบการจา ลองดีเอนเอที่เกิดข้ึนภายในเซลลพ์ ืช และการจา ลองดีเอนเอโดยเทคนิคพอลิเมอร์เรสรีเอกชนั มีองคป์ระกอบใดแตกต่างกนั ก.ไลเกส ข.ดีเอนเอพอลิเมอเรส ค.นิวคลีโอไทดอ์ิสระท้งั 4 ชนิด 1. ก และ ข 2. ข และ ค


3. ก และ ค 4.ก ข และ ค 55.ลา ดบัเบสจา เพาะและตา แหน่งการตดัของเอนไซมท์ ี่กา หนดใหเ้ป็นดงัน้ี หากตัดพลาสมิดด้วยเอนไซม์ A แลว้ตดัส่วนของยนีดว้ยเอนไซมต์ ่างๆ ยนีที่ตดัดว้ยเอนไซมใ์ดบา้งจึงจะสามารถโคลน เขา้สู่พลาสมิดได้ 1.A หรือ B 2.A หรือ C 3.A หรือ D 4.A เท่าน้นั 56.ครอบครัวหนึ่งมีลูก 3 คน ลายพิมพ์ DNA ของทุกคนในครอบครัวเป็นดงัภาพดา้นล่างลูกคนใดเป็นลูกติดพอ่


1.ลูกคนที่ 1 2.ลูกคนที่ 2 3.ลูกคนที่ 3 4.ไม่มีลูกคนใดเป็นลูกติดพอ่ 57.ตน้พอ่พนัธุ์แม่พนัธุ์คือตน้ A Bและ C ซ่ึงมีลายพิมพด์ีเอนเอที่ตา แหน่งดงัภาพ ต้นลูกผสม ก ซึ่งมีลายพิมพ์ดีเอนเอดังที่ปรากฏ เป็ นลูกผสมของต้นพันธุ์ใด 1.A x B 2.B x C


3.A x C 4.C x C 58.เอนไซม์ตัดจ าเพาะ(Restriction enzyme)ชนิดหน่ึงมีจุดตดัจา เพาะตามตา แหน่งลูกศรดงัภาพ ถา้นา เอนไซมน์ ้ีมาตดั DNA เส้นคู่ตามภาพขา้งล่างจะได้DNA เส้นคู่จา นวนกี่ท่อน 1.1 ท่อน 2.2 ท่อน 3.3 ท่อน 4.4 ท่อน 59.ข้อใดคือเอนไซม์ตัดจ าเพาะ ที่ตัดโมเลกุลของดีเอนเอเป็ นสองสายแล้วปลายมีลักษณะเป็ นปลายเหนียว 1. เอนไซม์ไลเกส 2. เอนไซม์ Hae III 3. เอนไซม์ Bam H1 4. ใชไ้ดท้ ้งั Hae III และเอนไซม์ Bam H1 แต่รอยตดัต่างกนั


60.เอนไซมช์นิดใดทา หนา้ที่เชื่อมต่อยนีส์ของคนเขา้กบัพลาสมิดในการสร้าง DNA สายผสม 1.DNA polymerase 2.DNA ligase 3.เอนไซม์ตัดจ าเพาะ 4.เอนไซม์ Eco RI


Click to View FlipBook Version