The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ข้อ1กลยุทธ์ในการจัดหน่วยการเรียนรู้ รายวิชาการออกแบบผลิตภัณฑ์หัตถกรรมพื้นบ้าน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by nuchnada522, 2020-08-13 22:28:08

ข้อ1กลยุทธ์ในการจัดหน่วยการเรียนรู้ รายวิชาการออกแบบผลิตภัณฑ์หัตถกรรมพื้นบ้าน

ข้อ1กลยุทธ์ในการจัดหน่วยการเรียนรู้ รายวิชาการออกแบบผลิตภัณฑ์หัตถกรรมพื้นบ้าน

รหสั วิชา 2302-2112 รายวชิ า การออกแบบผลิตภัณฑห์ ตั ถกรรมพ้นื บา้ น 1

1.2.3 กลยุทธก์ ารจัดการเรียนรู้

แผนการจดั การเรียนรู้
รหัสวชิ า 2302-2112 ชือ่ วิชา การออกแบบผลิตภัณฑห์ ตั ถกรรมพื้นบ้าน

จำนวน 2 หน่วยกติ 4 คาบต่อสปั ดาห์

จุดประสงค์รายวิชา
1. มคี วามรูเ้ กยี่ วกบั ประวตั ิความเปน็ มา และประเภทของผลติ ภัณฑพ์ น้ื บา้ น
2. มคี วามรู้ความเข้าใจเก่ียวกับวสั ดแุ ละกรรมวิธกี ารผลติ ในการผลิตผลิตภณั ฑ์พื้นบา้ น
3. มที ักษะในการออกแบบ เขียนแบบหตั ถกรรมพน้ื บ้านของไทย
4. มีกิจนสิ ยั ท่ดี ีในการทำงาน และเห็นคุณคา่ ของผลติ ภัณฑห์ ัตถกรรมทอ้ งถนิ่ ของไทย

มาตรฐานรายวชิ า
ปฏิบัติงานไดจ้ รงิ ในเรอ่ื งของผลติ ภัณฑ์พื้นบ้านด้านวัสดุ กรรมวธิ กี ารผลิต ตลอดจนออกแบบ เขียน

แบบหัตถกรรมพ้ืนบ้านของไทยอย่างชำนาญ สามารถนำไปใช้ไดจ้ ริง ตลอดจนมีกจิ นสิ ัยทีด่ ี มคี ุณธรรม และ
เห็นคณุ ค่าของผลิตภัณฑ์หัตถกรรมพื้นบ้านของไทย

สมรรถนะรายวิชา

1. แสดงความร้เู กีย่ วกบั หลักการเขยี นแบบ งานออกแบบผลิตภณั ฑพ์ นื้ บา้ น การใช้วัสดทุ ่ีใช้ในงาน
ออกแบบผลิตภัณฑ์หตั ถกรรมพื้นบา้ น

2. ร่างแบบผลิตภัณฑห์ ัตถกรรมพืน้ บา้ น (SKETCE DESIGN) พัฒนารูปแบบผลิตภัณฑห์ ตั ถกรรม
พน้ื บา้ น ทำหุ่นจำลอง Model

คำอธิบายรายวชิ า

ศึกษาและปฏิบัติเกี่ยวกับ การออกแบบผลิตภัณฑ์หัตถกรรมพื้นบ้านของไทย การนำวัสดุจาก
ธรรมชาติ วัสดุสังเคราะห์ในท้องถิ่นมาประยุกต์ใช้ และพัฒนาหัตถกรรมพื้นบ้านในท้องถิ่นปฏิบัติการ
ออกแบบและพัฒนารูปแบบผลติ ภณั ฑ์หัตถกรรมพ้นื บ้านในท้องถ่นิ ได้

รหัสวชิ า 2302-2112 รายวิชา การออกแบบผลิตภัณฑ์หตั ถกรรมพืน้ บา้ น 2

กำหนดการสอน
รหัสวชิ า 2302-2112 วิชา การออกแบบผลิตภณั ฑ์หตั ถกรรมพ้นื บา้ น
ระดับชน้ั ปวช. 2 สาขาวิชาการออกแบบ จำนวน 4 คาบ ตอ่ สปั ดาห์ รวมเวลาเรียน 72 ชวั่ โมง

หน่วย ชือ่ หน่วยการเรียนรู้ / สมรรถนะประจำหน่วย สปั ดาหท์ ี่ ชว่ั โมงที่
1-2 1-8
ท่ี รายการสอน

1 ความหมายประวัตคิ วาม แสดงความรู้เกี่ยวกบั

เป็นมาและประเภทของผลิตภัณฑ์ ความหมาย และประเภท

พ้ืนบา้ น ของผลิตภณั ฑ์

- ความหมายของผลิตภณั ฑ์

พน้ื บ้าน

- ประวัติความเปน็ มาของ

ผลติ ภัณฑ์พ้นื บา้ น

- ประเภทของผลิตภัณฑ์

พืน้ บ้าน

2 การออกแบบผลิตภัณฑ์ แสดงความร้เู ก่ียวกับการ 3 9-12

หัตถกรรมพ้นื บา้ นของไทย ออกแบบผลิตภณั ฑ์หตั กรรม

- ความหมายของการออกแบบ พนื้ บ้าน

- ปัจจยั ทีมีอทิ ธพิ ลตอ่ การ

กำหนดองค์ประกอบของงาน

ออกแบบผลิตภณั ฑ์

3 ประเภทของวสั ดุ สามารถแยกแยะประเภท 4-5 13-20

- การใชว้ ัสดุจากธรรมชาติ ของวัสดุ และเหน็ คุณค่าของ

- การใชว้ ัสดสุ ังเคราะห์ วัสดทุ ้องถนิ่ มาใช้ในการ

- การนำวสั ดทุ ้องถิ่นมาใช้การ ออกแบบผลิตภณั ฑ์

ออกแบบผลิตภณั ฑ์

รหัสวชิ า 2302-2112 รายวชิ า การออกแบบผลิตภณั ฑห์ ตั ถกรรมพ้ืนบ้าน 3

หน่วย ช่ือหน่วยการเรยี นรู้ / สมรรถนะประจำหนว่ ย สปั ดาหท์ ่ี ชวั่ โมงที่
ท่ี รายการสอน
4 การออกแบบ เขียนแบบ ปฏิบัติเขียนแบบผลิตภัณฑ์ 6-9 21-40
ผลติ ภัณฑห์ ัตถกรรมหัตถกรรม หตั ถกรรมพนื้ บ้าน
พืน้ บ้าน

5 การพัฒนารูปแบบผลติ ภณั ฑ์ พฒั นารปู แบบผลิตภัณฑ์ 10-13 41-60
หตั ถกรรมพ้ืนบา้ น หัตถกรรมมพ้นื บา้ น

6 การทำหนุ่ จำลอง Model 14-17 61-70
Project work

7 สอบปลายภาค 18 71-72

รหสั วชิ า 2302-2112 รายวิชา การออกแบบผลติ ภัณฑห์ ตั ถกรรมพน้ื บา้ น 4

❖ แผนการจัดการเรยี นรู้ โดยใชเ้ ทคนิคการสอนแบบกลุ่ม ทกั ษะการใช้คำจำกัด
ความ (defining) การเรียนร้เู ชิงประสบการณ์

หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 1
เร่อื ง ความหมายประวัติความเปน็ มาและประเภทของผลติ ภัณฑ์พืน้ บา้ น จำนวน 4 คาบ

รหัสวชิ า 2302-2112 วิชา การออกแบบผลิตภัณฑ์หัตถกรรมพืน้ บ้าน
ระดับชนั้ ปวช. 2 สาขาวชิ าการออกแบบ

1. สาระสำคญั

ศิลปหัตถกรรมพืน้ บ้านเป็นสิ่งที่ชาวบ้านสรา้ งสรรค์ขึ้นเพื่อประโยชน์ใช้สอยใน ชีวิตประจำวัน โดย
กลุ่มชนแตล่ ะกลุ่มจะพัฒนาสิ่งของขึ้นมาใชโ้ ดยสอดคลอ้ งกับวถิ ีชีวิตและสภาพแวดล้อม ดังนั้น อาจจะเรียก
อีกช่ือหน่ึงวา่ “ศิลปะชาวบา้ น” หรือ “ศิลปะพน้ื บา้ น”หตั ถกรรมพน้ื บา้ นของไทยครอบคลุมงานศิลปกรรมที่
เปน็ สถาปัตยกรรม จติ รกรรม และประติมากรรม (ซงึ่ อาจรวมเรียกว่า ทัศนศลิ ป์พน้ื บา้ น) และงานศิลปกรรม
เพื่อใช้สอย ซึ่ง หมายถึง ศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านประเภท เครื่องเคลือบดินเผา การทอผ้าและเย็บปกั ถักร้อย
การแกะสลัก หัตถกรรมโลหะ เครื่องจักสาน การทำเครื่องกระดาษ รวมทั้งเคร่ืองเขิน เครื่องดนตรี
เครอ่ื งประดับ และยานพาหนะ

2. จุดประสงค์การเรียนรู้

1. อธิบายความหมายของ ผลิตภัณฑพ์ ้นื บา้ นได้

2. บอกประวตั ิความเป็นมาของผลิตภณั ฑไ์ ด้

3. เน้อื หาสาระ

1. ความหมายของ ผลิตภัณฑพ์ ืน้ บ้าน

2. ประวตั คิ วามเป็นมาของผลิตภัณฑ์

รหัสวิชา 2302-2112 รายวิชา การออกแบบผลติ ภณั ฑ์หัตถกรรมพน้ื บ้าน 5

4. ขนั้ ตอนของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้

❖ จัดกจิ กรรมการเรียนรู้ โดยใช้เทคนคิ การสอนแบบกลมุ่ ทักษะการใชค้ ำจำกัดความ
(defining) การเรียนรู้เชิงประสบการณ์

ขน้ั นำ :
1. ครูแจ้งจดุ ประสงคเ์ ปา้ หมายการเรยี นรู้ โครงร่างรายละเอยี ดของหน่วยการสอน และขอ้ กำหนด
ขอ้ ตกลงเรว่ มกนั ในการเรียนร่วมกนั โดยครูจะเนน้ วินัยการทำงาน การทำกจิ กรรม และเรียนเป็นกลุม่
2. ทำแบบทดสอบกอ่ นเรียน 10 ขอ้ จากนั้นครใู ห้นักเรียนสลับการตรวจแบบทดสอบ
3. นกั เรียนแยกกลมุ่ กลุ่มละ 3 คน โดยคละความสามารถตามแบบทดสอบก่อนเรยี น
(เกง่ กลาง อ่อน)
4. ครูนำภาพของงานหัตถกรรมพ้ืนบา้ นใหน้ ักเรยี นดู แลว้ ต้ังคำถาม

- นกั เรยี นเคยเห็นภาพแบบน้ีหรอื ไม่ ถ้าเคยเห็น นกั เรยี นคิดว่าภาพทีเ่ ห็นน่าสนใจหรือไม่ เพราะ
เหตใุ ด (รว่ มกนั อภปิ ราย)

ขั้นกิจกรรม :
5. ครนู ำเสนอตัวอย่างความหมายของผลติ ภัณฑพ์ น้ื บา้ น ทลี ะตวั อย่าง จากนนั้ ใหแ้ ต่ละกลุ่มเขียนคำ
นิยามลงบนกระดาษ จากนนั้ ใหต้ วั แทนกลมุ่ แต่ละกลมุ่ ออกมาเขียนคำนิยามของความหมายบนกระดาน
6. นักเรยี นชว่ ยกนั พจิ ารณาลกั ษณะรว่ มระหวา่ งตวั อย่างทคี่ รูให้ไป แลวนำลกั ษณะร่วมนั้นออกมา
เรยี บเรียงเป็นความคิดรวบยอดของกลุ่ม จดบันทึกลงในงานที่ 1
7. ครูและนักเรนี นร่วมกนั สรปุ เรยี บเรยี งความคิดรวบยอดของทกุ กลุ่ม ที่มีลกั ษณะร่วมกันให้
ความหมายของผลติ ภณั ฑพ์ ื้นบ้าน
8. ครแู จกใบงานท่ี 2 ประวตั คิ วามเปน็ มาของผลติ ภณั ฑ์ ให้นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มอา่ นทำความเข้าใจ
จากน้ันนำเสนอหน้าชนั้ เรียน

ขนั้ สรปุ :
9. ครแู ละนกั เรียนร่วมกนั สรปุ เนอื้ หาความหมายและประวัตคิ วามเป็นมาของผลิตภณั ฑ์พ้นื บา้ น
10. นักเรยี นทำในงานเดย่ี ว สรุปความหมายของผลิตภัณฑพ์ ้นื บา้ น และประวตั คิ วามเป็นมาเปน็ แผน
ท่ีความคิด (mind map)
11. ทดสอบหลงั เรียน

รหัสวิชา 2302-2112 รายวิชา การออกแบบผลิตภณั ฑ์หัตถกรรมพ้ืนบ้าน 6

5. ส่ือการเรียนรู้
1. โครงการสอน เอกสารแนะนำจุดประสงค์รายวชิ า มาตรฐานรายวิชา คำอธบิ ายรายวิชา
2. ตวั อยา่ งงานแบบร่าง Sketch Design การออกแบบผลิตภณั ฑ์หตั ถกรรมพน้ื บ้าน
3. ใบความรู้
4. สอ่ื ควิ อารโ์ คด้
5. สือ่ ช้นิ งาน โครงการ

6. การวัดและประเมนิ ผล
1. สงั เกตกระบวนการทำงาน
2. ทดสอบ
3. สง่ ใบงาน

7. เคร่อื งมอื วัด
➢ แบบสังเกตกระบวนการทำงาน
➢ แบบทดสอบ
➢ แบบประเมินใบงาน เกณฑก์ ารผ่าน :
- นักเรยี นทำแบบทดสอบไดไ้ ม่นอ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 70
- นกั เรยี นทำใบงานได้ถูกต้อง รอ้ ยละ 80

กจิ กรรมมอบหมาย

➢ ใหน้ ักเรยี นไปสมั ภาษณ์ผู้สูงอายุในหมบู่ า้ น เรือ่ ง หัตถกรรมพ้นื บ้านคอื อะไร และลกั ษณะของ
หัตถกรรมพื้นบา้ นมลี ักษณะเป็นอย่างไร แล้วมานำเสนอชว่ั โมงหนา้

รหัสวชิ า 2302-2112 รายวิชา การออกแบบผลิตภัณฑห์ ัตถกรรมพ้ืนบ้าน 7

บันทึกหลงั สอน

รหัสวชิ า 2302-2112 รายวชิ า การออกแบบผลติ ภณั ฑห์ ตั ถกรรมพื้นบ้าน 8

ใบความรู้ท่ี 1
เร่อื ง ความหมายของหัตถกรรมพื้นบา้ นและประวตั ิความเป็นมา
รหสั วิชา 2302-2112 วชิ า การออกแบบผลติ ภัณฑ์หตั ถกรรมพ้นื บ้าน

ระดบั ชัน้ ปวช. 2 สาขาวิชาการออกแบบ

ความหมายของงานหตั ถกรรม
หัตถกรรม หมายถึง การทำด้วยฝีมือ การช่างซง่ึ เริ่มตน้ ทำกนั ในบา้ น หมบู่ า้ น โดยท่ี ชาวบ้าน

ใชเ้ วลานอกเหนือเหนือจากอาชีพหลกั เป็นการทำงานอดิเรกเพ่ือเพมิ่ พนู รายได้ เพ่ือการดำรงชีวิตให้ดีข้ึนและ
ทำขนึ้ เพอื่ ใชก้ ันเองในครอบครวั โดยใชว้ สั ดทุ ี่หาง่ายตามท้องถ่นิ นน้ั ๆ มีรูปแบบเฉพาะตามลกั ษณะของวสั ดุ
สภาพการใชง้ านและความพอใจของผผู้ ลติ ในแต่ละทอ้ งถิ่นทำใหเ้ กดิ รปู แบบเฉพาะ (STYLE) ของท้องถิน่
เปน็ เอกลักษณข์ องแต่ละทอ้ งถ่ินสิ่งท่ปี ระดิษฐ์ได้ขยายมากขนึ้ จนกลายเป็นอาชีพสามารถขยายตลาดไปทว่ั
ประเทศหรอื เผยแพร่ไปยังตา่ งประเทศ

หตั ถกรรม (CRAFT) หมายถงึ สิ่งท่ีสร้างขน้ึ ด้วยฝีมือมนษุ ย์ แสดงออกถงึ ความชำนิ ชำนาญของ
ผูผ้ ลิต ในชั้นแรกสรา้ งข้นึ เพอ่ื ประโยชน์ใชส้ อยในชีวติ ประจำวัน ต่อมามีการพฒั นาและ ปรับปรุงรปู แบบ การ
ใชว้ ัสดุและกรรมวิธีการผลติ มาโดยตลอดเปน็ เวลานับพนั ปีจนเปน็ งานหตั ถกรรมพนื้ บ้านศลิ ปะท่ตี อบสนอง
ประโยชน์ใชส้ อยและมคี ุณค่าความงามจนแยกไมอ่ อกจึงเรยี กวา่ “ศลิ ปหตั ถกรรม”(วบิ ูลย์ ล้ีสวุ รรณ.2533: 5)

ศิลปหัตถกรรมพ้ืนบ้าน หมายถงึ สิ่งทีช่ าวบา้ นสร้างสรรคข์ ึ้นเพอื่ ประโยชนใ์ ช้สอยใน
ชวี ิตประจำวัน โดยกลุ่มชนแต่ละกล่มุ จะพัฒนาสิ่งของข้นึ มาใช้โดยสอดคลอ้ งกับวถิ ีชวี ติ และสภาพแวดล้อม
ดงั นั้น อาจจะเรยี กอกี ช่ือหน่งึ ว่า “ศิลปะชาวบา้ น” หรือ “ศลิ ปะพนื้ บ้าน” (วบิ ูลย์ ลี้สุวรรณ. 2533: 10)

หัตถกรรมพ้ืนบา้ นของไทยครอบคลุมงานศิลปกรรมทเี่ ปน็ สถาปัตยกรรม จติ รกรรม และ
ประตมิ ากรรม (ซง่ึ อาจรวมเรยี กว่า ทัศนศลิ ป์พื้นบ้าน) และงานศลิ ปกรรมเพอ่ื ใช้สอย ซงึ่ หมายถึง
ศลิ ปหัตถกรรมพนื้ บ้านประเภท เคร่อื งเคลือบดินเผา การทอผา้ และเย็บปกั ถกั รอ้ ย การแกะสลกั หัตถกรรม
โลหะ เครื่องจกั สาน การทำเคร่ืองกระดาษ รวมทัง้ เคร่ืองเขนิ เครื่องดนตรี เคร่อื งประดบั และยานพาหนะ
(เอกสารประกอบการสอน “ศิลปะกับสังคมไทย หน่วยท่ี 7 ” มหาวิทยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธิราช. 2544: 18)

รหัสวชิ า 2302-2112 รายวิชา การออกแบบผลติ ภณั ฑห์ ัตถกรรมพื้นบา้ น 9

ประวตั คิ วามเป็นมา

จาก หนงั สือสารานกุ รมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เลม่ 13

นานมาแล้ว คนเราอาศยั อย่ตู ามทุ่งนา ป่าเขา เก็บผกั ผลไมจ้ บั ปลา ลา่ สตั วเ์ ป็นอาหาร ใช้กิ่ง
ไม้ใบไม้รองนอนในถำ้ เก็บฟืนสุมไฟให้อบอุ่น มือ เล็บ ฟัน เป็นเครือ่ งมือท่ีธรรมชาติสร้างให้มนุษย์ใช้ฉีก
กดั ขบ เคี้ยว เพอื่ ดำรงชวี ิต ตอ่ มา คนเราฉลาดขึ้น รู้จกั สรา้ งเคร่ืองมือเครอื่ งใช้ เอาหินมาลับใหแ้ หลม นำ
เหล็กมาตีให้คม ใช้เป็นอาวธุ เครื่องมือล่าสัตว์ และเป็นเครื่องใช้ในครัวเรือน คนมีมีด ขวาน จอบ เสียม
เป็นเคร่ืองมือทำมาหากิน

ชาวบ้านตัดไม้มาสร้างบ้าน ทำเครื่องเรือน และเครื่องเล่น บางคนตัดไม้ไผ่มาจักตอก สาน
กระบงุ ตะกรา้ งอบ และสุ่มไก่ ขดุ ดนิ เหนยี วมาปน้ั หมอ้ โอง่ ไห ววั ควาย ต๊กุ ตา ปลกู ฝ้าย เลี้ยงไหม เพ่ือ
นำมาทอผ้าลาย และผ้าดอกสีสวย บ้างก็นำหนังสัตว์มาทำเครื่องใช้ต่างๆ และตัวหนัง เอาเยื่อไม้มาทำ
กระดาษ และประดิษฐ์เป็นร่ม สมุดไทย ตัวหุ่น และตุ๊กตา คนไทยนั้นมีฝีมือทางช่าง รักความสวยงาม
ละเอยี ดประณีต เครอื่ งมอื เครอื่ งใชต้ ่างๆ จึงไดร้ ับการตกแตง่ แกะสลกั ลวดลายออ่ นชอ้ ย สลบั สเี รืองอรา่ ม
มีชีวติ ชีวา ขัน เคร่ืองเขนิ ใบน้อย ครอบคนโทต้นไวร้ ินน้ำเยน็ ฉำ่ ชน่ื ลูกข่างเหลากลมเกลี้ยง เหวี่ยงหมุนดัง
หึ่งๆ เด็กน้อยนอนเปลดูลูกปลาตะเพียนใบลานสีสวย ผูกแขวนแกว่งไกวตามลมไหววับวับ คุณยายนุ่ง
ผ้าลาย นั่งบนเสื่อกกทอด้วยฝีมือละเอียดชาวบ้านโม่แป้ง ขูดมะพร้าวทำขนม เดินกางร่มไปทำบุญ งาน
ช่างงานฝมี ือของชาวบ้าน ที่ประดษิ ฐข์ ึ้นใช้ในชวี ติ ประจำวนั อยา่ งมีศลิ ปะน้เี อง เรยี กวา่ หัตถกรรมพื้นบ้าน

ชาวบา้ นสร้างเครื่องมอื เครอ่ื งใช้ขนึ้ เพอ่ื ประโยชนใ์ ชส้ อยในชีวิตประจำวนั และเพ่ือสนอง
ความเช่ือของตนในพิธกี รรมต่างๆ เนือ่ งจากคนไทย และผปู้ กครองบา้ นเมอื ง ลว้ นเปน็ ผทู้ ่มี คี วามละเอยี ด
ประณตี อกี ทง้ั มีความคิดสรา้ งสรรค์ เคร่ืองมอื เครอ่ื งใช้ ทีป่ ระดษิ ฐข์ ึ้น จึงมที ัง้ ประโยชน์ใชส้ อย และความ
งามทางศิลปะหตั ถกรรมพ้ืนบา้ นมหี ลายชนดิ แยกตามลักษณะของวสั ดุ เทคนคิ การทำ และวตั ถปุ ระสงค์
ของการนำไปใชห้ ตั ถกรรมท่เี ป็นเครอ่ื งไม้ มักทำจากไมส้ ัก ไม้ชิงชัน ไม้โมกมัน และไม้แดง ประดษิ ฐเ์ ปน็

รหสั วิชา 2302-2112 รายวิชา การออกแบบผลิตภัณฑ์หตั ถกรรมพน้ื บา้ น 10

กระตา่ ยขดู มะพรา้ ว กระจ่า เชี่ยนหมาก เครือ่ งเรอื นแกะสลกั ฉลลุ าย เครอ่ื งเล่น เช่น ลูกข่าง ชา้ งไม้ และ
ต๊กุ ตา

ลูกขา่ ง จาก หนงั สือสารานุกรมไทยสำหรบั เยาวชน ฯ เล่ม 13

เคร่อื งจกั สานน้ันเปน็ สิ่งประดษิ ฐ์จากไม้ไผ่ ใบลาน ทช่ี าวบา้ นทำเป็นของใช้ และเปน็
เคร่ืองมือประกอบอาชพี ไดแ้ ก่ ส่มุ ไก่ ข้อง ชะลอม ฝาชี กระบงุ ตะกรา้ หมวกงอบ ตะกร้อสอยผลไม้ และ
เปน็ ของเล่น เชน่ พวงปลาตะเพียนแขวนใหเ้ ดก็ นอนดใู นเปล

ชะลอม จาก หนังสอื สารานกุ รมไทยสำหรบั เยาวชน ฯ เล่ม 13

เคร่อื งดินเผาเป็นผลงานประยุกตศ์ ลิ ป์ ทใ่ี ชป้ ระโยชนไ์ ดม้ าก ในชีวติ ประจำวัน และพัฒนาเปน็ งาน
วจิ ิตรศิลปท์ ี่งดงาม แสดงถงึ วัฒนธรรมอนั สูงส่งของคนไทยมาแต่โบราณ เครอื่ งใชท้ ่ที ำดว้ ยดนิ ได้แก่ ครก
หมอ้ โอง่ ไห คนโท และทป่ี ระดิษฐ์รปู ร่างสวยงาม ใช้เทคนิคการเคลอื บสตี ่างๆ ได้แก่ เครอ่ื งสังคโลก
เคร่ืองเบญจรงค์ และลายน้ำทอง เปน็ ตน้

รหสั วิชา 2302-2112 รายวชิ า การออกแบบผลติ ภัณฑ์หตั ถกรรมพื้นบ้าน 11

จาก หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 13

เครอ่ื งทอเปน็ หัตถกรรมพน้ื บ้านอกี อย่างหน่ึง แบง่ เปน็ ประเภทเสอ่ื ซง่ึ ใชต้ ้นกกยอ้ มสมี าทอเป็น
ผนื ใหญ่ และประเภทผ้า ซึง่ มที ้ังการทอผา้ พน้ื และผ้าลายยกดอก วัสดทุ นี่ ำมาใชท้ อผ้า ได้แก่ ฝ้าย ไหม
และขนสตั ว์ ลวดลายของผา้ ทีท่ อในภาคต่างๆ ลว้ นมีความงดงามแสดงถึงศิลปะในทอ้ งถน่ิ นนั้ เชน่ ผ้ายก
ผา้ ลายขดิ ผา้ ตีนจก และผา้ มดั หมี่ เปน็ ตน้

ผ้าตนี จก จาก หนงั สือสารานุกรมไทยสำหรบั เยาวชน ฯ เลม่ 13

เครอ่ื งรักเป็นเครอื่ งใชส้ อย และภาชนะท่สี านดว้ ยไมไ้ ผ่ เคลือบดว้ ยรัก ซึ่งเป็นยางไม้ชนดิ หน่งึ ขดั
ใหเ้ กล้ียง แลว้ เขยี นลวดลายเปน็ สตี ่างๆ หรอื ลายทอง เคร่ืองรักน้ีมชี ือ่ เรยี กอีกอย่างหนง่ึ ว่า เครือ่ งเขิน มี
ความงดงาม และมปี ระโยชนใ์ ชส้ อยในชวี ิตประจำวันของคนภาคเหนือ ไดแ้ ก่ พาน เชยี่ นหมาก ขนั น้ำ
ถาดใส่ของถวายพระ และแจกัน

เครื่องโลหะ ชาวบ้านนำโลหะ เชน่ เหลก็ มาทำเปน็ เครอื่ งมือ ใชใ้ นครวั เรือน และในการประกอบ
อาชพี ทางการเกษตร เชน่ มีด กรรไกร ขวาน เคยี ว สว่ิ จอบ เสยี ม ใชท้ องเหลือง และทองแดง มาทำเชิง

รหัสวิชา 2302-2112 รายวิชา การออกแบบผลติ ภัณฑห์ ัตถกรรมพน้ื บา้ น 12

เทยี น เชย่ื นหมาก ใชท้ องแดงมาผสมกบั ดีบกุ และเศษทอง เปน็ สัมฤทธ์ิ สรา้ งพระพทุ ธรปู ทำขันลงหิน
มดี และช้อน ซ่ึงเปน็ หัตถกรรมไทย ทีม่ ชี ่ือเสยี งไปทวั่ โลก

พระพทุ ธรูปสมั ฤทธิ์ จาก หนงั สอื สารานกุ รมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เลม่ 13

เครอ่ื งหนัง หนงั สตั ว์เปน็ วสั ดุ ทคี่ นไทยนำมาประดิษฐเ์ ปน็ สว่ นประกอบของเคร่ืองมอื เช่น สายธน
และหนงั สตก๊ิ ทีใ่ ช้ยิงไลน่ กกาในทอ้ งนา เปน็ สิง่ สอ่ื ความหมาย เพื่อการบันเทงิ เช่น ตัวหนังตะลงุ ท่ใี ช้เชิด
เป็นเรอื่ งราว สว่ นทเ่ี ปน็ เคร่ืองใช้ ได้แก่ อานม้า สายบังเหยี น เปน็ ตน้

หนังสต๊ิก จาก หนังสือสารานกุ รมไทยสำหรบั เยาวชน ฯ เล่ม 13

รหัสวชิ า 2302-2112 รายวิชา การออกแบบผลติ ภัณฑ์หตั ถกรรมพน้ื บา้ น 13

เครือ่ งกระดาษ ศลิ ปะพน้ื บ้าน ทค่ี นไทยร้จู กั นำกระดาษมาประดษิ ฐ์นั้น มีมากมาย ในดา้ น
การศกึ ษา มีการทำข่อย สมุดไทย ส่วนเครื่องใช้ ไดแ้ ก่ ร่ม ซึ่งทำดว้ ยกระดาษสา ด้านการบันเทงิ ใช้
กระดาษมาทำหัวโขน หนา้ กาก หวั โต บางคร้งั นำมาทำเครื่องเลน่ เช่น ตกุ๊ ตา สัตวจ์ ำลอง และวา่ ว เปน็ ตน้

หวั โขน จาก หนังสือสารานกุ รมไทยสำหรบั เยาวชน ฯ เล่ม 13

เคร่อื งหิน คนไทยมีฝมี อื ในการแกะสลกั หิน เพือ่ ใหไ้ ด้งานศลิ ปะ และเคร่ืองมอื เครอ่ื งใช้ งานศลิ ปะ
ไดแ้ ก่ การสลกั หินเป็นรปู สตั วต์ า่ งๆ การทำลกู นมิ ติ และใบเสมา สว่ นทเี่ ปน็ เคร่อื งใชท้ ที่ กุ คนรู้จักดี คอื
ครก สาก และโม่ เป็นตน้

โมห่ นิ จาก หนงั สอื สารานกุ รมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 13

ชาวบ้านในแตล่ ะท้องถิ่น มักจะใช้วสั ดุธรรมชาติ ที่มีอยู่ในทอ้ งถิน่ นั้น มาประดิษฐ์เปน็ เคร่ืองมอื
เครื่องใชใ้ นชวี ติ ประจำวนั ครัน้ เม่อื มเี วลาวา่ ง กจ็ ะใชฝ้ ีมอื ประดิษฐส์ ลักเสลาให้ดูงดงามขน้ึ กลายเป็นงาน
ศลิ ปะ แสดงถึงความประณีตละเอยี ดอ่อน ของจติ ใจ ปัจจุบนั นคี้ วามเจรญิ ทางเทคโนโลยมี ีมาก
เครือ่ งจักรกล และเคร่ืองไฟฟ้าไดแ้ พรห่ ลายเขา้ สหู่ มบู่ า้ น ทำให้งานศิลปหตั ถกรรมเหลือนอ้ ยลง เครอ่ื งใช้
ในครวั เรอื น เช่น หม้อดินหุงขา้ ว กระตา่ ยขูดมะพรา้ ว กระบวยตกั นำ้ หรอื เครอ่ื งเล่น เชน่ ปนื และมา้ ก้าน
กลว้ ย ลกู ข่าง กระบอกไม้ซาง เหลา่ น้ี ในคนรุน่ หลงั มีผู้รู้จักนอ้ ย เยาวชนจึงควรสนใจศกึ ษา

รหสั วิชา 2302-2112 รายวิชา การออกแบบผลติ ภัณฑห์ ัตถกรรมพ้นื บ้าน 14

ใบงานที่ 1
เรอ่ื ง ความหมายและประวัติความเปน็ มาของหัตถกรรมพืน้ บา้ น
รหสั วชิ า 2302-2112 วิชา การออกแบบผลติ ภัณฑ์หัตถกรรมพนื้ บ้าน

ชื่อกลุม่ :…………………………………………………………………………………..
สมาชิกในกลมุ่ :

1…………………………………………………………………………………..
2…………………………………………………………………………………..
3…………………………………………………………………………………..
1. จากท่คี รูยกตัวอย่างเกย่ี วกับความหมายของหตั ถกรรมพืน้ บ้าน ใหน้ กั เรยี นพจิ ารณาสรปุ ความหมาย
➢ ตวั อย่างที่ 1
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
➢ ตัวอย่างท่ี 2
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
➢ ตวั อย่างที่ 3
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
➢ สรปุ ความคดิ รวบยอดของกล่มุ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

รหัสวิชา 2302-2112 รายวิชา การออกแบบผลติ ภัณฑห์ ัตถกรรมพ้นื บ้าน 15

ใบงานท่ี 1
เรอื่ ง ความหมายและประวัติความเปน็ มาของหัตถกรรมพื้นบา้ น
รหสั วิชา 2302-2112 วชิ า การออกแบบผลิตภัณฑห์ ัตถกรรมพืน้ บา้ น
คำชี้แจง ให้นักเรยี นตอบคำถามตอ่ ไปนี้เพอ่ื ใหไ้ ดข้ ้อความทส่ี มบรู ณ์
1. หัตถกรรมพื้นบา้ น หมายถงึ .................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
2. ให้นกั เรียนสรปุ ประวัตคิ วามเปน็ มาของหัตถกรรมพนื้ บ้าน โดยเขยี นเขียนเส้นเพ่ิมเติมให้สมบูรณ์ตาม
ประวตั ิความเป็นมาของหัตถกรรมพ้นื บ้าน

หัตถกรรมพืน้ บา้ น

รหัสวิชา 2302-2112 รายวชิ า การออกแบบผลติ ภัณฑห์ ตั ถกรรมพืน้ บ้าน 16

แบบทดสอบกอ่ นเรียน / หลังเรียน
หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 1

เร่อื ง ความหมายของหัตถกรรมพน้ื บา้ นและประวัติความเปน็ มา
รหัสวชิ า 2302-2112 วชิ า การออกแบบผลติ ภัณฑ์หัตถกรรมพ้ืนบา้ น

คำชแี้ จง : ใหน้ ักเรียนเลือกคำตอบท่ถี ูกท่ีสดุ เพยี งขอ้ เดียว

1. ข้อใดไมใ่ ช่ความหมายของการออกแบบ
ก. การสร้างสรรค์ส่งิ ใหม่
ข. การปรบั ปรุงดัดแปลงของเดิมทมี่ ีอย่แู ลว้
ค. มกี ารวางแผนอย่างเป็นกระบวนการในการสร้างผลงาน
ง. การอนุรกั ษร์ ูปแบบของเดมิ ให้มคี ุณค่าทางศิลปะสงู ข้ึน

2. การออกแบบท่ีมีวตั ถปุ ระสงค์มงุ่ ทางด้านประโยชนใ์ ช้สอยและให้คุณคา่ ทางความงาม คือข้อใด
ก. การออกแบบตกแตง่
ข. การออกแบบผลิตภัณฑ์
ค. การออกแบบพาณิชยศ์ ิลป์
ง. การออกแบบสื่อสาร

3. การตั้งคำถามเกีย่ วกบั การประดษิ ฐ์โคมไฟควรมรี ปู แบบอย่างไร การประดษิ ฐโ์ คมไฟจากวัสดุท้องถน่ิ
มีวธิ กี ารใดบ้าง วัสดุท้องถน่ิ ใดบา้ งหาง่ายและราคาถกู การตง้ั คำถามความต้องการอยู่ในขน้ั ตอนใด
ของกระบวนการเทคโน.

ก. การกำหนดปญั หาหรอื ความต้องการ
ข. การรวบรวมขอ้ มลู
ค. การเลอื กวธิ ีการ
ง. การออกแบบและปฏบิ ตั กิ าร
4. การออกแบบหมายถึงอะไร
ก. การออกแบบที่มุ่งเน้นเสนอความงามและอารมณส์ ะเทือนใจเป็นสำคญั
ข. การวางโครงการหรือการออกแบบทสี่ ร้างความพอใจให้แกผ่ พู้ บเห็น
ค. การปรับปรงุ แบบผลงานที่มอี ยแู่ ล้วให้มีความแปลกใหม่
ง. การงางแผนจัดสว่ นประกอบให้สัมพันธ์กับประโยชนใ์ ชส้ อย

รหสั วชิ า 2302-2112 รายวิชา การออกแบบผลิตภัณฑห์ ตั ถกรรมพน้ื บ้าน 17

5. การออกแบบอุปกรณ์เคร่อื งใช้ในสำนักงานและธุรกิจบริการ คอื ขอ้ ใด
ก. ผลติ ภัณฑเ์ พือ่ บรโิ ภค
ข. ผลิตภณั ฑเ์ พ่ือบริการ
ค. ผลิตภัณฑก์ ารผลติ
ง. ผลิตภณั ฑ์เพื่อการคมนาคม

6. ข้อใดไมใ่ ช่ คุณคา่ การออกแบบในชวี ติประจำวันของมนษุ ย์
ก. คุณค่าด้านประโยชน์ใช้สอย
ข. คณุ ค่าด้านสุนทรียภา
ค. คุณค่าด้านการส่ือสาร
ง. คณุ คา่ ด้านการค้าขาย

7. ข้อใดเป็นคุณสมบตั ิของผู้ทีม่ คี วามคดิ ริเริม่ สรา้ งสรรค์
ก. ฝึกเลยี นแบบมาก่อน
ข. หมน่ั ซกั ถามผู้รู้
ค. กล้ายอมรับความจริง
ง. มีความอ่อนไหวงา่ ย

8. ผลิตภัณฑ์ใดที่สร้างสรรค์เพอ่ื ประโยชน์การใช้งาน
ก. กระถางดนิ แดง
ข. หมวกกระดาษ
ค. ตกุ๊ ตาเปลอื กหอย
ง. ขวดแกว้ เพนท์สี

9. ขอ้ ใดเป็นปัจจัยท่ีทำให้ผลติ ภัณฑ์มีคุณค่าด้านการใช้สอยหรอื ความสวยงามมากหรือน้อย
ก. การวางแผนผลิต
ข. ความนยิ มของคน
ค. การออกแบบ
ง. ความต้องการของผู้ใช้

10. ผลิตภัณฑใ์ นขอ้ ใดเกดิ จากการออกแบบด้วยรูปทรงอสิ ระ
ก. ทน่ี อน โคมไฟ
ข. แจกนั ภาพฝาผนัง
ค. เข็มขัด งานถัก
ง. ไมแ้ ขวนเสื้อ ขวด

รหัสวชิ า 2302-2112 รายวิชา การออกแบบผลติ ภัณฑห์ ตั ถกรรมพื้นบา้ น 18

แบบประเมินพฤติกรรมขณะทำงานในกลุ่ม
หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 1

เร่ือง ความหมายของหัตถกรรมพ้ืนบา้ นและประวัตคิ วามเป็นมา
รหัสวชิ า 2302-2112 วชิ า การออกแบบผลิตภัณฑห์ ตั ถกรรมพ้นื บ้าน

การแสดง การรับฟัง การรว่ มมอื ความตั้งใจใน รวม
ความคดิ เหน็ ความเหน็ กับกลุ่ม การทำงาน
ช่ือ-สกลุ
ของผูอ้ ื่น
1.
2.
3.
4.

เกณฑ์การประเมนิ ดา้ นกระบวนการ ให้คะแนนชอ่ งละ 1-3 คะแนน โดยมเี กณฑ์ดังน้ี

- ปฏิบตั ิบอ่ ย ๆ ได้ 3 คะแนน

- ปฏิบัติบางครง้ั ได้ 2 คะแนน

- ปฏบิ ตั นิ อ้ ยมากหรอื ไม่ปฏิบัติเลย ได้ 1 คะแนน

สรปุ คะแนนเฉลยี่ ของกล่มุ ได้ …………………………….คะแนน

หมายเหตุ : แบบประเมินพฤตกิ รรมขณะทำงานกล่มุ ใช้กับทกุ แผนการเรยี น ท่ีมีกระบวนการทำงานกล่มุ

รหัสวชิ า 2302-2112 รายวชิ า การออกแบบผลิตภณั ฑห์ ัตถกรรมพืน้ บ้าน 19

แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 2 : โดยใช้เทคนิคการสอนแบบกลุ่ม การสรา้ งความคิดรวบยอด แผนทคี่ วามคดิ
และทกั ษะการคดิ วิเคราะห์

หนว่ ยที่ 1 เรื่อง ความหมายประวัติความเปน็ มาและประเภทของผลติ ภณั ฑพ์ ้นื บ้าน
เรือ่ ง ประเภทของผลติ ภัณฑ์พื้นบ้าน จำนวน 4 คาบ
รหัสวชิ า 2302-2112 ชื่อวิชา การออกแบบผลิตภัณฑ์หตั ถกรรมพน้ื ฐาน
ระดับชนั้ ปวช.ปที ี่ 2 สาขาวิชาออกแบบ

1. สาระสำคัญ

ศิลปหัตถกรรมพืน้ บ้านเป็นสิ่งที่ชาวบ้านสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อประโยชน์ใช้สอยใน ชีวิตประจำวัน โดย
กลุ่มชนแตล่ ะกลุ่มจะพัฒนาสิง่ ของข้ึนมาใชโ้ ดยสอดคล้องกับวถิ ีชวี ิตและสภาพแวดล้อม ดังนัน้ อาจจะเรียก
อกี ช่อื หนงึ่ วา่ “ศิลปะชาวบ้าน” หรอื “ศิลปะพน้ื บ้าน”หตั ถกรรมพ้ืนบา้ นของไทยครอบคลุมงานศิลปกรรมท่ี
เป็นสถาปัตยกรรม จิตรกรรม และประตมิ ากรรม (ซึ่งอาจรวมเรยี กว่า ทศั นศิลป์พื้นบ้าน) และงานศิลปกรรม
เพื่อใช้สอย ซึ่ง หมายถึง ศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านประเภท เครื่องเคลือบดินเผา การทอผ้าและเย็บปกั ถักร้อย
การแกะสลัก หัตถกรรมโลหะ เครื่องจักสาน การทำเครื่องกระดาษ รวมทั้งเคร่ืองเขิน เครื่องดนตรี
เครือ่ งประดับ และยานพาหนะ

2. จุดประสงค์การเรยี นรู้
1. บอกลักษณะประเภทของผลิตภัณฑพ์ ้นื บา้ นได้
2. วิเคราะหล์ ักษณะของผลิตภัณฑพ์ นื้ บ้านจากตัวอย่างทก่ี ำหนดให้ได้

3. เนอื้ หา
- ประเภทของผลิตภัณฑ์พื้นบา้ น

4. กจิ กรรมการเรยี นการสอน
โดยใชเ้ ทคนคิ การสอนแบบกลมุ่ การสรา้ งความคิดรวบยอด และทกั ษะการคดิ วเิ คราะห์

ข้นั นำ
1. ตกลงวิธีการเรยี นรรู้ ่วมกนั แจ้งจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ และร่วมกันกำหนดขอ้ ตกลงในการเรยี น

รว่ มกนั
2. นักเรียนแยกกลุ่ม กลมุ่ ละ 3 คน โดยใช้กล่มุ เดิมจากช่ัวโมงทแ่ี ลว้

รหัสวิชา 2302-2112 รายวชิ า การออกแบบผลิตภณั ฑห์ ัตถกรรมพน้ื บ้าน 20

3. ครสู อบถามการไปสมั ภาษณค์ นแก่ในหมบู่ า้ นที่ไดร้ บั มอบหมายจากช่ัวโมงที่แล้ว ใหน้ กั เรียน
นำเสนอขอ้ มลู จากการสมั ภาษณ์

ขัน้ กจิ กรรม
- ครูแจกใบงานเร่อื ง ประเภทของงานหตั ถกรรมพนื้ บา้ น โดยแตล่ ะกลมุ่ จะได้ประเภทของเน้ือหา

แตกต่างกนั กล่มุ ละ 2 ประเภท ให้นกั เรียนอา่ นใหเ้ ขา้ ใจประเภทที่ตนรบั ผิดชอบ ให้แต่ละกลุม่ นำเสนอ
จุดเด่นของประเภทงานหตั ถกรรมพ้ืนบ้านท่ีตนเองรับผดิ ขอบ

- แต่ละกลมุ่ นำเสนอหนา้ ช้นั เรยี น
- ครยู กตวั อยา่ งภาพงานหัตถกรมพื้นบา้ นหนา้ ชนั้ เรยี น ทีละตัวอย่าง จากน้ันให้นกั เรยี นตอบว่าเป็น
งานหัตถกรมพ้ืนบา้ นประเภทใด

ข้นั สรปุ
-ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรปุ เนือ้ หา
- ให้นักเรยี นใบงานที่ 1 สรปุ ความคิดของตนเอง
- ทดสอบหลงั เรยี น

รหัสวชิ า 2302-2112 รายวิชา การออกแบบผลิตภณั ฑ์หตั ถกรรมพน้ื บา้ น 21

บันทึกหลังสอน

รหสั วชิ า 2302-2112 รายวิชา การออกแบบผลติ ภณั ฑห์ ตั ถกรรมพน้ื บ้าน 22

ใบความรู้ท่ี 2
เร่อื ง ประเภทของหตั ถกรรมพ้นื ฐาน
เร่ือง ความหมายและประวตั ิความเปน็ มาของหัตถกรรมพน้ื บา้ น
รหสั วิชา 2302-2112 วชิ า การออกแบบผลิตภัณฑห์ ัตถกรรมพนื้ บา้ น

ประเภทของงานหตั ถกรรมพื้นบา้ น

"หตั ถกรรมพ้นื บ้าน" เป็นประยกุ ต์ศิลป์ หรือศิลปะ ทม่ี ปี ระโยชน์ใช้สอยประเภทหนง่ึ ที่ชาวบ้าน
ธรรมดาเปน็ ผูส้ รา้ งข้นึ เพ่อื ตอบสนองความต้องการของตนเอง หรืออกี นัยหนงึ่ กค็ อื เป็นผู้สร้างเครื่องมือ
ภาชนะ สำหรับใช้เองในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ ยังมีหัตถกรรมพื้นบ้านอยู่อีกสองลักษณะคือ งาน
หัตถกรรมที่ชาวบ้านสร้างขึ้น เพื่อสนองความต้องการของคนในอกี ระดับหนึ่ง หรืออีกสังคมหนึ่งคือ ขุน
นาง ข้าราชการ และพระมหากษัตริย์ และลักษณะสุดท้ายคือ งานหัตถกรรมท่ีสร้างขึ้น เพื่อสนองความ
เชื่อของตนในพิธีกรรมต่างๆ และในพระศาสนา ในที่นี้ ผู้เขียนใคร่จะขอกล่าวถึงแต่งานหัตถกรรม ท่ี
ชาวบา้ นสร้างขึ้น เพือ่ ใชส้ อยเอง และใชใ้ นระหวา่ งชาวบา้ นด้วยกนั เทา่ นน้ั

หตั ถกรรมดังกลา่ วน้มี ีหลายชนดิ ด้วยกนั ซ่งึ จะขอกล่าวตามลักษณะของวสั ดุ และเทคนิคการทำ
อันมีอยู่ท้งั สิ้น 9 ชนดิ ด้วยกนั คือ

1. เครือ่ งไม้
2. เคร่ืองจกั สาน
3. เครื่องดิน
4. เครอื่ งทอ (เคร่ืองผ้า)
5. เครื่องรกั
6. เคร่ืองโลหะ
7. เครอ่ื งหนัง
8. เครอื่ งกระดาษ
9. เครื่องหิน

หตั ถกรรมชนิดตา่ งๆ ดงั กล่าวมานี้ ชาวบ้านสร้างข้ึน โดยใชว้ ตั ถดุ ิบทมี่ อี ยใู่ นท้องถ่นิ ของตนเอง
เป็นส่วนมาก และมิได้นำไปผสมกับวัตถเุ ทยี มอน่ื ใดเลย แตพ่ อมาถึงปัจจบุ ัน ความก้าวหนา้ ทางเทคโนโลยี
มสี ว่ นทำใหเ้ ปลย่ี นแปลงไป กลา่ วคอื มกี ารนำเอาวสั ดเุ ทยี ม มาใช้ประกอบในการทำงานหตั ถกรรม อย่าง
ไม่สามารถจะหลีกเล่ียงได้ ซึ่งนับว่า เป็นการลดคุณค่าทางสุนทรียภาพของหัตถกรรมพื้นบ้าน อย่างไรก็
ตาม สภาพเช่นนี้บังเกิดขึ้นเสมอมา จึงสมควรที่เราจะต้องทำการอนุรักษ์เอาไว้ ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ที่
สามารถจะทำได้

รหัสวิชา 2302-2112 รายวิชา การออกแบบผลิตภัณฑ์หตั ถกรรมพืน้ บา้ น 23

เคร่อื งไม้
ไมเ้ ปน็ ทรพั ยากรธรรมชาติท่ีมมี าแต่ดกึ ดำบรรพ์ มนุษยม์ ีความสมั พนั ธก์ ับไมม้ าแต่สมยั เร่ิมแรกแลว้

ประการแรก มนษุ ย์ไดใ้ ชไ้ ม้ สรา้ งทีอ่ ยู่อาศยั เม่อื มีววิ ฒั นาการตอ่ มา มนุษย์จึงรจู้ ักใช้ไม้ทำเคร่ืองมอื เครอ่ื งใช้
ตา่ งๆ ในการดำรงชีวิต และเมอ่ื ได้รบั ความสะดวกสบายอย่างเพียงพอแล้ว กเ็ ริม่ สนใจในเรือ่ งของความ
สวยงาม ซง่ึ ให้ประโยชนท์ างอารมณ์ จึงเริ่มสรา้ งเครือ่ งไม้ข้ึนไวส้ ำหรบั ชนื่ ชมอกี ด้วย เครื่องไม้ท้ังสองประเภท
คือ เครอื่ งไม้ประเภทเครือ่ งมอื เคร่อื งใช้ และประเภทสวยงามน้ี เป็นงานหตั ถกรรมทชี่ าวบ้านทำสืบทอดกัน
มา จนถงึ ทกุ วันน้ี วสั ดุสำคัญที่คนไทยใช้ทำคอื ไมส้ ัก ซงึ่ เป็นที่นิยมใช้กันมาก เพราะเนอ้ื ไมไ้ ม่แข็ง ไม่หดตวั
และปลวกไม่กัดกินทำลายเน้ือไม้ นอกจากนแี้ ลว้ ก็มไี ม้ชิงชนั ไม้โมกมัน และไม้แดง เคร่อื งมอื และเครอ่ื งใช้ท่ี
ทำจากไม้ เหลา่ นี้คือ หบี ใส่ของ กระต่ายขูดมะพรา้ ว เคร่ืองหบี อ้อย นมไม้ กระจา่ สำหรบั ตกั ของ สาก ครก
กระเด่อื ง กระสวย (เคร่อื งบรรจุ ดา้ ยสำหรบั ทอผ้า) ไน (เครอื่ งมอื ป่ันฝา้ ย) โปง (ท่แี ขวนคอสัตว)์ หรอื ฮอก
(ภาษาเหนอื ) กระสม (ไมท้ อี่ ยใู่ นเคร่อื งทอผ้า สำหรับบิดมว้ นผา้ ท่ีทอแลว้ ) เครือ่ งเรอื น (เตยี งตง่ั ) และ
เช่ยี นหมาก ซ่งึ นยิ มใชก้ นั ในอดีตทางภาคอีสาน โดยเฉพาะที่จงั หวัดมหาสารคาม และจงั หวัดขอนแก่น

กระจ่า หรือจวกั สำหรบั คดขา้ วหรือตักแกง ทำดว้ ยกะลามะพร้าวมดี ้ามถือ
จาก หนงั สือสารานกุ รมสำหรับเยาวชนไทย ฯ เล่ม 13

สำหรบั เช่ยี นหมากนี้มเี รอ่ื งเลา่ มาแต่อดตี ว่า ในสมยั รชั กาลที่ ๔ ท่หี มบู่ ้านเลก็ ๆ แห่งหนึ่ง ทีจ่ ังหวัด
มหาสารคาม มคี รอบครวั ชาวนาอยู่ครอบครัวหน่ึง ซึง่ มลี กู ชาย และลูกสาว ลกู ชายมคี วามพงึ พอใจลูกสาว
ของหมอกลางบ้านในละแวกนั้น เป็นประเพณีของชาวอีสาน เมื่อผู้ชายต้องการจะสู่ขอหญิงเพื่อจะ
แต่งงานกันนั้น จะต้องเอาเชี่ยนหมากให้กับพ่อแม่ของฝ่ายหญิง เชี่ยนหมาก ที่จะให้นี้ จะมีรูปลักษณะ
แตกต่างกันไปตามฐานะ คนมีเงินก็อาจให้เชี่ยนหมากเงิน คนพอมีฐานะ ก็จะให้เชี่ยนหมากทองเหลือง
ส่วนคนธรรมดา ก็จะให้เชี่ยนหมากไม้ หรือจักสาน ซึ่งซื้อมาจากช่างไม้ชาวบ้านนั่นเอง ลูกชายของ
ครอบครัวชาวนาดงั กล่าวนี้ เป็นคนมีฝีมือ และนิสัยรักงานช่าง จึงทำเชี่ยนหมากขึ้นเอง เพื่อประสงค์จะ
เอาไปเปน็ ของกำนลั สขู่ อลกู สาวหมอกลางบ้านดังกล่าว ลูกชายไดท้ ำเช่ียนหมากอย่างสวยงาม จนสุดฝมี ือ
ใครได้เห็นกช็ มเชย จนเปน็ ทีเ่ ลือ่ งลอื กนั จนท่ัวหมู่บ้าน จนความทราบถึงลูกสาวของหมอ ทำให้อยากเห็น

รหัสวชิ า 2302-2112 รายวิชา การออกแบบผลติ ภณั ฑ์หตั ถกรรมพนื้ บ้าน 24

เชี่ยนหมากข้ึนมาเปน็ อย่างมาก ในที่สุดลูกชายชาวนากไ็ ด้แต่งงานกบั ลูกสาวของหมอสมความปรารถนา
เร่อื งน้ีเปน็ ท่ีประทบั ใจแก่พวกหนมุ่ ๆ ในหมู่บ้าน จนพากนั ทำตามอยา่ ง

การทำเชีย่ นหมากไดเ้ ปน็ ทนี่ ยิ มกันแพร่หลาย โดยเฉพาะบรรดาคนหนุ่มๆ ในหมบู่ า้ น ชนบทแถบ
นน้ั ต่อมาในสมยั รัชกาลท่ี ๕ เช่ียนหมากท่หี นมุ่ ๆ ชาวบ้านทำขึ้น เพือ่ ทจ่ี ะใหแ้ ก่บรรดาสาวคนรักของตน
หรือขายให้แก่ผู้ที่ตอ้ งการ หรือผู้ที่ไม่มีฝมี ือ ที่จะทำขึ้นได้เอง ได้เปลี่ยนมือผู้ทำมาเปน็ พระ พระภิกษทุ ำ
เช่ียนหมากขน้ึ มา ก็เพือ่ ประสงค์ ท่จี ะเอาไว้ใหก้ บั ชาวบา้ น เปน็ ของตอบแทนแก่ผทู้ ี่มาทำบุญ ในเวลาน้ัน
พระจึงมีบทบาทสำคัญในการทำเชี่ยนหมาก ต่อมาการกินหมากไม่เป็นที่นิยม เนื่องจากทางราชการได้
ห้ามกิน มีผลกระทบ ทำให้การทำเชี่ยนหมากลดน้อยลงโดยปรยิ าย และสญู หายไปในท่ีสุด เชี่ยนหมากมี
หลายรูปแบบ มีชนิดที่ทาสี ชนิดสีธรรมชาติ ชนิดที่มีลายแกะด้านข้าง บ้างก็มีฝาเลื่อนปิดได้ ฯลฯ ส่ิง
เหล่านี้ ล้วนแต่เปน็ งานฝมี ือ ที่มศี ลิ ปะท้ังสิน้

นอกจากเคร่อื งไมท้ ีเ่ ป็นเคร่ืองใช้ภายในครวั เรือนแล้ว ชาวบ้านยงั ใช้ไม้ ทำช้นิ สว่ นของอาคารและ
สถานที่ ส่วนมากเป็นการประดับ และตกแต่งให้งดงาม เช่น ลายฉลุไม้ประดับส่วนบนของช่องลม และ
ประตูหน้าต่าง ไม้ค้ำยันชายหลังคา จั่วหลังคา หน้าบันโบสถ์ หรือวิหาร ลูกกรง หัวเสา งานเหล่านี้ ช่าง
ชาวบ้านจะช่วยกนั ทำ อาคารสว่ นใหญจ่ ะเป็นเรือนพกั อาศัยภายในหมู่บา้ น รองลงมาคอื วดั และศาลพระ
ภูมิ ชาวบ้านจะทำขึ้น เพื่อสนองตอบความต้องการของตนเอง และเพื่อเป็นพุทธบูชา ทำด้วยฝีมือที่
ประณตี และมักจะตกแตง่ เพิ่มเตมิ ให้สวยงาม ตามทัศนะของตนเอง การตกแต่งน้นั กม็ ีหลายวิธี วิธีที่นิยม
กันคอื แกะสลกั และฉลุ กรรมวิธกี ารแกะ หรือการจำหลัก ซึ่งเป็นศพั ท์ทางวชิ าการนัน้ แบ่งออกได้เป็น ๓
ลักษณะคือ แกะเป็นรูปนูนต่ำ หรือภาพจำหลักแบน รูปนูนสูง หรือภาพจำหลักนูน และรูปลอยตัว ช่าง
ชาวบ้านจะมที ้ังเด็กหนุ่ม และคนแก่ สว่ นมากไมเ่ คยไดเ้ ล่าเรยี นการแกะ หรือฉล มุ าจากสถาบันการศึกษา
แห่งใด แต่จะเรยี นรู้จากการถา่ ยทอดด้วยวาจา และการปฏิบตั จิ ากบรรพบรุ ษุ

ศาลภูมิ
จาก หนังสอื สารานุกรมสำหรบั เยาวชนไทย ฯ เล่ม 13

รหสั วชิ า 2302-2112 รายวชิ า การออกแบบผลติ ภณั ฑห์ ตั ถกรรมพน้ื บ้าน 25

ช้างไม้แกะสลัก จาก หนงั สอื สารานกุ รมสำหรับเยาวชนไทย ฯ เลม่ 13

หัตถกรรมเครื่องไม้ประการสุดท้ายทีจ่ ะกล่าวถึงคือ เครื่องเล่น เครื่องดนตรี และเครือ่ งประดับ
ตกแต่ง เช่น หมากขุม ลกู ข่าง โปงลาง ซึง ตกุ๊ ตา โดยเฉพาะชา้ งไม้ การแกะชา้ ง ทำกนั มากทางภาคเหนือ
เน่ืองจากชา้ งเปน็ พาหนะสำคญั ที่ใชส้ ำหรบั ขนทอ่ นซุงออกมาจากป่า เพือ่ นำสง่ ยงั โรงงานตัดไม้อีกทีหนึ่ง
ช่างชาวบ้านไดเ้ กิดความบันดาลใจในการทำงานของชา้ ง จงึ นำเอาช้างในอากัปกริ ยิ าต่างๆ มาเป็นเน้ือหา
สำหรับแกะสลกั นอกจากนี้อาจมีสาเหตุอื่นๆ อีก เช่น ในอดีต สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ทรงใช้ชา้ ง
เป็นพาหนะ และใช้ในการออกศึกดว้ ย และชา้ งเคยเปน็ สัญลกั ษณ์ของธงชาติไทย เราจึงนยิ มนำเอาช้างมา
เป็นแบบในการแกะ ศิลปะแห่งการจำหลกั หรือแกะไม้นัน้ ไดก้ ระทำกนั มาแตโ่ บราณกาล แต่เนอื่ งจากไม้
เป็นวัตถุท่ีเกดิ ความเสยี หายไดง้ ่าย ดว้ ยสาเหตทุ วั่ ไป และด้วยความชนื้ ของอากาศ งานจำหลักไม้จึงเหลือ
ตกมาถึงยคุ ปจั จุบันนีเ้ พียงจำนวนนอ้ ย และผลงานที่เก็บรกั ษาไว้ภายในอาคาร ไม่ถูกแดดเผา และถูกฝน
ชะเทา่ นน้ั ทย่ี งั คงสภาพดอี ยจู่ นถึงปจั จุบนั นี้
เครื่องจกั สาน
เคร่อื งจกั สานเป็นหัตถกรรมชนิดหน่งึ ทชี่ าวบา้ นสร้างขนึ้ มา เพอื่ สนองประโยชนต์ ่างๆ ในการดำรงชีวติ
เครือ่ งจกั สานบางชนิด มคี ณุ สมบตั ิพเิ ศษคอื ความงดงาม ซ่ึงเปน็ ผลพลอยได้ จากการท่ีไดส้ ร้างขึ้นด้วย
ฝมี อื ประณตี จนมีรปู ลักษณะ ทไ่ี มน่ ่าจะนำมาใชส้ อยเลย ทั้งนเ้ี พราะเปน็ การสร้างขน้ึ ดว้ ยจิตใจท่ีบรสิ ทุ ธิ์

รหัสวิชา 2302-2112 รายวชิ า การออกแบบผลิตภัณฑห์ ัตถกรรมพ้นื บ้าน 26

หวาย วัสดอุ ย่างหน่ึงสำหรับการจกั สาน
จาก หนงั สอื สารานุกรมสำหรับเยาวชนไทย ฯ เลม่ 13

สมุ่ ครอบไก่ จาก หนังสอื สารานกุ รมสำหรับเยาวชนไทย ฯ เล่ม 13

จากการศกึ ษาคน้ ควา้ เรือ่ งคนกอ่ นประวตั ศิ าสตรใ์ นประเทศไทยเรา ของศาสตราจารย์ ชนิ อยดู่ ี
แหง่ มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร กบั นกั โบราณคดชี าวตา่ งประเทศ โดยขุดคน้ พบจารกึ ทเ่ี กา่ แกท่ สี่ ดุ และใชเ้ ป็น
หลักแบง่ ระยะเวลา ในประเทศไทยออกเป็น ๒ ยคุ คือ ยคุ กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ และยคุ ประวัติศาสตร์
มนษุ ย์ในยุคกอ่ นประวัติศาสตร์ มคี วามเจรญิ รูจ้ กั ทำเครือ่ งมือ ทำการเพาะปลูก และเลย้ี งสตั ว์ ทำ
เครื่องปนั้ ดินเผา และเครอ่ื งจักสาน หลกั ฐานทสี่ ำคัญ ซงึ่ เพ่งิ จะคน้ พบคือ ภาพเขยี นท่หี น้าผา ทีม่ แี นว
ขนาบไปกบั ลำนำ้ โขง ซึง่ อย่ใู นเขตบา้ นกุ่ม อำเภอโขงเจยี ม จงั หวัดอบุ ลราชธานี ซึง่ มภี าพเขยี นเปน็ รปู สัตว์
และรปู ร่างคลา้ ยเครื่องจับสัตว์นำ้ ที่พบเหน็ มีใช้ ตามแมน่ ำ้ โขงทว่ั ไป คือ ส่มุ และขอ้ ง ซ่งึ มขี นาดใหญ่มาก
บางภาพสงู ถึง ๓ เมตร หลกั ฐานทไ่ี ดพ้ บนี้ ผู้เขยี นคิดว่า พอจะเป็นเคร่ืองยืนยนั ไดว้ า่ เครอ่ื งจักสานใน
ประเทศไทยเรานน้ั น่าจะมมี าแตโ่ บราณแลว้ ในทุกภาคของประเทศ เราจะพบเหน็ เครอื่ งจกั สานชนิด

รหสั วิชา 2302-2112 รายวิชา การออกแบบผลิตภณั ฑ์หัตถกรรมพ้ืนบา้ น 27

ต่างๆ เพราะเป็นเครื่องใชป้ ระจำบา้ นทส่ี ำคญั ยิง่ ซง่ึ ทกุ คนต้องใช้ ประกอบกบั ความจำเปน็ ทางดา้ นเศรฐ
กจิ ของชนบท จงึ ทำใหช้ าวบา้ นตอ้ งทำเครอ่ื งจกั สาน เปน็ เคร่อื งใชส้ อย ดว้ ยตนเอง และบางทกี ็มมี าก
เหลือพอทจ่ี ะแลกเปลีย่ น หรือขายใหแ้ กเ่ พอื่ นบ้านได้ดว้ ย ในปจั จบุ ันนคี้ วามตอ้ งการเครอื่ งจกั สานท่ีมี
ลักษณะ และรปู แบบดงั้ เดมิ นัน้ มไิ ด้จำกดั อยเู่ ฉพาะแก่ชาวบา้ น และชาวเมืองของท้องถิ่น ที่มีการทำ
(ผลติ ) เท่าน้ัน แต่เป็นท่ตี ้องการของชาวกรงุ เทพฯ อีกดว้ ย เคร่ืองจักสานพนื้ บ้านที่มชี ้กนั อยู่ในชนบท
ปัจจุบนั นี้ ผเู้ ขียนได้จดั แบง่ ตามหน้าที่ใชส้ อยได้เปน็ ๔ ประเภท คอื

ตะกรอ้ สอยผลไม้
จาก หนังสอื สารานุกรมสำหรับเยาวชนไทย ฯ เลม่ 13

เคร่อื งดนิ
ผลงานสร้างสรรคข์ องมนษุ ย์ขนั้ แรกคอื หตั ถกรรมเคร่ืองดนิ เผา ซึ่งสรา้ งข้ึน เพ่อื ใชส้ อยใน

ชีวิตประจำวนั และมเี จตจำนง ท่ีจะแสดงออกถงึ ความนกึ คดิ และจติ ใจของตนเองอยู่ดว้ ย การแสดงออก
จะเรมิ่ ต้น เมอื่ นำเอาดินเหนียวมาป้นั เปน็ รปู รา่ งต่างๆ ตามปรารถนา สรา้ งตุ๊กตา และเคร่อื งเลน่ ใหก้ บั
ลูกหลานของตนเอง เพ่ือให้มีความสนกุ สนาน ในการใชช้ วี ิตอยรู่ ่วมกนั ในครอบครวั สร้างภาชนะตา่ งๆ
เช่น หม้อ โอ่งใสน่ ำ้ ไหและครก ส่ิงเหล่านีแ้ สดงใหเ้ ห็นถึงความเจรญิ รุ่งเรอื งของฝมี อื และความงดงาม ที่มี
มาแตอ่ ดตี ดังทมี่ ตี ัวอยา่ งที่ได้จากการขดุ ค้นทางโบราณคดี การทำงานหตั ถกรรมนี้ ในระยะเร่มิ ตน้
ชาวบ้านจะใช้มือตนเอง ซงึ่ มีขดี จำกดั ในการผลติ ไมเ่ พยี งพอแกค่ วามต้องการ จึงคิดค้นหาวธิ ีใหมๆ่ ข้ึน
คือ วธิ กี ารปน้ั โดยใช้แป้นหมนุ ซง่ึ ดูจะเปน็ เครอื่ งผ่อนแรงชนิ้ แรก ทมี่ นษุ ยค์ ิดคน้ ขน้ึ เพ่อื เปน็ ประโยชน์ใน
การผลิตเปน็ จำนวนมาก และต่อมากค็ ดิ แมพ่ ิมพข์ น้ึ ไดอ้ กี แมพ่ มิ พ์นเ้ี องทชี่ ว่ ยในการผลิตให้ได้รปู แบบ
เหมอื นๆ กันเปน็ จำนวนมาก ในทำนองเดียวกนั ความรเู้ รื่องความงาม กม็ วี ิวฒั นาการด้วย กลา่ วคอื
มนุษย์ปรารถนาทจี่ ะตกแตง่ ผวิ ของหัตถกรรมเคร่ืองดนิ ของตน ให้มีความงดงามกว่าท่ีเคยทำ จึงคดิ คน้
เร่อื งการนำเอาหนิ มาผสมกบั ดนิ ทปี่ ัน้ และทำน้ำยาเคลอื บราดไปบนผวิ ของเครื่องดิน กอ่ นท่ีจะนำไปเผา

รหัสวิชา 2302-2112 รายวชิ า การออกแบบผลิตภัณฑห์ ัตถกรรมพื้นบา้ น 28

ไฟ ทำใหไ้ ดเ้ ครอื่ งดนิ ทงี่ ดงาม และคงทนถาวรอกี ด้วย จึงกล่าวไดว้ า่ เครอ่ื งดนิ เผานน้ั มอี ยสู่ องลกั ษณะคือ
เครื่องดนิ เผาชนิดไม่เคลอื บ และเคลอื บ ส่วนการเผานัน้ แรกเร่ิมเดมิ ที เผาบนลานดิน หรอื ขดุ หลมุ ลงไป
ในดินเล็กน้อย ภายหลงั ตอ่ มาจนถงึ ปัจจุบนั นี้ จึงได้มกี ารกอ่ เตาอิฐทนไฟขนึ้

การป้นั ภาชนะดนิ เผาโดยใช้แป้นหมนุ
จาก หนงั สือสารานุกรมสำหรับเยาวชนไทย ฯ เล่ม 13

เคร่ืองดินเผาในประเทศไทยเรา ไดม้ วี วิ ัฒนาการมาเชน่ เดยี วกบั ศลิ ปกรรมแขนงอืน่ กลา่ วคือ
เร่มิ ตน้ จากสมยั ก่อนประวัตศิ าสตร์ ไดพ้ บหม้อดนิ เผาเปน็ แห่งแรกทบ่ี ้านเชยี ง อำเภอหนองหาน จงั หวัด
อดุ รธานี มอี ายปุ ระมาณ ๖,๐๐๐ ปี ต่อมา คือ สมยั ทวาราวดี สมยั ศรวี ชิ ยั สมัยลพบรุ ี สมัย เชยี งแสน
และสมยั สโุ ขทยั ซง่ึ มกี ารทำถ้วยชามที่เคลอื บสเี ขยี วแบบหยก หรอื เขยี วไขก่ า เรยี กวา่ เครอ่ื งสังคโลก มี
คณุ ลกั ษณะคอื รปู ทรงภายนอกงดงามมาก นอกจากนแ้ี ล้วยังมกี ารทำหมอ้ ไห และเครอ่ื งประกอบงาน
สถาปตั ยกรรม เตาทใ่ี ชเ้ ผาเรียกวา่ "เตาทุเรยี ง" ต่อจากนก้ี ถ็ งึ สมยั อทู่ อง สมยั อยุธยา ซ่งึ มีเคร่ืองดนิ เผา ที่
ควรจะกลา่ วถึง คอื เครือ่ งเบญจรงค์ และลายนำ้ ทอง ซึ่งมหี ลายสี เกดิ จากการประดับตกแตง่ เปน็ เครอื่ ง
ถว้ ยท่สี ง่ั ทำจากประเทศจีน แตล่ วดลายและสี เป็นฝมี ือเขยี นของชา่ งไทย และสมัยสดุ ท้ายคือ สมัย
รตั นโกสนิ ทร์ (สมัยกรเุ ทพฯ) ซงึ่ มีววิ ฒั นาการสบื ต่อมา จากสมยั อยธุ ยา จนถึงสมัยรชั กาลท่ี ๕ (พ.ศ.
๒๔๑๑-๒๔๕๓) นบั เปน็ ยคุ สดุ ทา้ ยของเครอื่ งเบญจรงคแ์ ละลายน้ำทอง เพราะต่อจากนี้ เปน็ สมยั ท่ีนิยม
เครอื่ งดินเผาจาก ยุโรป จีนและญปี่ ุ่น ในสมยั นีม้ กี ารเขยี นสี และเขยี นลายไทย ทบั บนเครือ่ งลายครามจีน

ในปจั จุบนั ยงั คงมีการทำเครอื่ งดินเผา กนั อยูท่ ว่ั ทกุ ภาคของประเทศ วัตถปุ ระสงค์เดมิ ท่ีทำขนึ้
เพอ่ื ใชส้ อยกนั ภายในหมู่บ้าน กเ็ ปลี่ยน แปลงไปทำเพอ่ื การจำหน่าย ทำให้การสร้างงาน หัตถกรรมต้อง
อาศยั เคร่อื งจกั รมากข้นึ ชาวบา้ นท่ีเคยชนิ อยู่กบั วธิ ีการเดิม ตอ้ งพยายามตอ่ สูก้ ับความเจรญิ ทางเทคโนโลยี
ใหม่ๆ ท่ีเขา้ มามีบทบาท วธิ ีการทำแบบเดิมก็จะคอ่ ยๆ เลอื นหายไป ตามกระแสแหง่ ความเจรญิ (ทางวตั ถุ)
ดงั กล่าว กระแสแห่งความเจริญ จงึ มผี ลกระทบตอ่ การอนุรักษอ์ ยา่ งหลกี เลี่ยงไม่ได้ ในภาคกลาง มีการทำ
หัตถกรรมเคร่ืองดนิ เผากนั มาก ท่จี งั หวดั ราชบรุ ี และนนทบุรี ผลงานทขี่ ้ึนหนา้ ขึ้นตา คอื ครก หมอ้ โอง่

รหสั วชิ า 2302-2112 รายวิชา การออกแบบผลิตภณั ฑห์ ัตถกรรมพื้นบ้าน 29

และไห ทางภาคใต้มีทำหมอ้ น้ำดื่ม หวด (สำหรบั นึ่งข้าว) และหมอ้ หงุ ตม้ ฯลฯ ที่ หมบู่ า้ นตำบลสทิงหมอ้
อำเภอสทงิ พระ จงั หวดั สงขลา ตามความเป็นจรงิ แลว้ ชาวบ้านในตำบลนน้ั มีอาชีพหลกั ในการทำน้ำตาล
โตนด อีกแหง่ หนง่ึ คือ ที่ตำบลเกาะยอ ซงึ่ อยู่ในทะเลสาบสงขลา ชาวบา้ นทำหมอ้ ไห และโอง่ ตา่ งๆ สว่ น
ทางภาคอสี านนั้น หมบู่ า้ นท่ีอำเภอหนองหาน และอำเภอบา้ นเชียง จังหวัดอดุ รธานี มกี ารทำโอง่ นำ้ กนั มา
แต่เดมิ แลว้ ใช้ดินเหนียวจากบรเิ วณใกลๆ้ กบั หมู่บ้านนนั้ เอง ทต่ี ำบลดา่ นเกวียน จงั หวัดนครราชสีมา มี
การตหี มอ้ โดยใชว้ ิธีพื้นบา้ นเดิม แหล่งสุดท้ายคอื ทจี่ งั หวัดเชียงใหม่ มีการป้ันคนโทนำ้ หรอื "น้ำตน้ " ซง่ึ
ชาวเหนือนยิ มใสน่ ำ้ เอาไวด้ ืม่ และใสด่ อกไมใ้ นเวลามงี านเทศกาลสลากภตั ทำกนั ท่ตี ำบลบ้านเหมอื นกงุ
โดยใช้วธิ ีบบี และขด เชน่ เดยี วกับมนษุ ยก์ อ่ นประวตั ศิ าสตร์ได้เคยทำกนั มากอ่ น วธิ บี บี และขดนี้ ได้ผลดี
สำหรบั งานทางศลิ ปะ แต่ไมเ่ หมาะกบั งานอุตสาหกรรม ท่ตี อ้ งการผลติ เปน็ จำนวนมาก

เครอื่ งทอ
เครอื่ งทอทีเ่ ปน็ หัตถกรรมพ้ืนบ้านมอี ยู่ ๒ ชนิด คอื ทอเส่อื และทอผา้ ซ่ึงมคี วามแตกต่างกนั ท่ี

วัสดเุ ทา่ นน้ั สว่ นกรรมวธิ กี ารทำนัน้ คลา้ ยคลึงกนั มาก ยกเวน้ ในการทอเสอื่ น้ัน ไมส่ ามารถจะทอคนเดยี ว
ได้ ต้องมคี นอกี คนหน่ึงคอยทำหนา้ ทส่ี ่งตน้ กกใหค้ นทอ วสั ดุที่ใชท้ อเสอ่ื กนั เปน็ สว่ นใหญ่ คือ ตน้ กกเหลย่ี ม
และต้นกกกลม เพราะเปน็ พชื ทีข่ ึน้ ไดง้ ่าย เสือ่ กกน้นี ยิ มทำกนั ทกุ ภาค แต่ทท่ี ำกันมากที่สดุ คือ ท่จี งั หวัด
จนั ทบรุ ี ตราด ปราจนี บรุ ี และฉะเชงิ เทรา หูกทอเสื่อมลี กั ษณะคลา้ ยกบั หูกทอผ้า แตเ่ ต้ียกวา่ กันมาก จน
คนทอไมต่ ้องนั่งม้าทอ แตต่ ้องขึ้นไปน่ังอยบู่ นหกู เลย การทอไมส่ ะดวกเท่าทอผา้ หกู อนั หน่ึงๆ เขาทำเชือก
ขวางกลางเปน็ โครงยาว พอทจี่ ะทอเส่อื ได้ ๑ คหู่ รอื ๒ ผนื การวัดขนาด วดั กันตามความกวา้ งเปน็ คืบ
ขนาดเล็กกวา้ งส่ีคบื ขนาดใหญ่กวา้ งแปดคบื ชนดิ ของเสื่อจะดีหรือไม่ดีนน้ั ขนึ้ อยกู่ บั คุณภาพของกกวา่ มี
เส้นละเอียดเท่ากนั หรือไม่ ตามธรรมดา เมือ่ ชาวนาเกบ็ เกย่ี วข้าวกนั เสรจ็ แลว้ ก็จะเรม่ิ ปลูกต้นกกกนั ตอ่ ไป
กกที่ตัดแล้วนำมาขายนนั้ ยงั ใชท้ อเสอื่ ไมไ่ ด้ ต้องนำมาแชน่ ้ำเสียกอ่ นหนง่ึ คนื ต่อจากนน้ั ก็เอาไปยอ้ มสี ผง่ึ
แดด หรือผึ่งลมให้แหง้ แล้วจงึ เอาไปทอได้เลย

สว่ นผ้านั้น ในงานหตั ถกรรมพน้ื บา้ น โดยทว่ั ไปมีอยสู่ องลักษณะคอื ผ้าพนื้ และผา้ ลาย ผา้ พื้น
ไดแ้ ก่ ผา้ ทท่ี อเปน็ สีพนื้ ธรรมดา ไมม่ ีลวดลาย ใชส้ ีตามความนยิ ม ในสมัยโบราณ สที ่ีนิยมทอกนั คอื สนี ำ้
เงิน สีกรมทา่ และสเี ทา สว่ นผ้าลายนนั้ เป็นผ้าทม่ี ีการประดิษฐ์ลวดลาย หรอื ดอกดวงเพิ่มขน้ึ เพอื่ ความ
งดงาม มชี อ่ื เรยี กเฉพาะตามวธิ ี เชน่ ถา้ ใชท้ อ (เปน็ ลายหรอื ดอก) กเ็ รียกว่า ผ้ายก ถา้ ทอดว้ ยเสน้ ด้ายคน
ละสีกบั สพี น้ื เป็นลายขวาง และตาหมากรุกเรยี กว่า ลายตาโถง ถ้าใชเ้ ขยี นหรอื พมิ พ์จากแท่งแมพ่ ิมพ์ โดย
ใชม้ ือกด กเ็ รียกว่า ผา้ พิมพ์ หรือผ้าลายอย่าง ซง่ึ เปน็ ผา้ พิมพล์ าย ทค่ี นไทยเขียนลวดลายเปน็ ตวั อย่าง
สง่ ไปพิมพท์ ต่ี ่างประเทศ เชน่ อนิ เดีย

ผ้าเขียนลาย สว่ นมากเขียนลายทอง แต่เดมิ ชาวบา้ นรจู้ ักทอแตผ่ า้ พืน้ (คือ ผ้าทอพน้ื เรียบ ไม่
ยกดอก และมลี วดลาย) ส่วนผา้ ลาย (หรอื ผา้ ยก) นั้น เพ่งิ มารู้จักทำขน้ึ ในสมัยรตั นโกสนิ ทร์ตอนตน้ หรือ
สมยั อยธุ ยาตอนปลาย สนั นิษฐานว่า ไดแ้ บบอยา่ งการทอมาจากแขกเมอื งไทรบุรี ซ่ึงถูกเจา้ เมอื งนครกวาด

รหัสวิชา 2302-2112 รายวชิ า การออกแบบผลิตภณั ฑห์ ัตถกรรมพ้ืนบ้าน 30

ตอ้ นมา เมอ่ื ครั้งท่ีเมืองไทรบรุ ีคิดขบถ ประมาณ พ.ศ. ๒๓๕๔ อย่างไรก็ตาม ผ้าทงั้ สองประเภทนี้ ใช้
วิธกี ารทอดว้ ยกนั ท้ังสนิ้ วสั ดทุ ี่นยิ มนำมาใชท้ อคอื ฝ้าย ไหม และขนสตั ว์ (แตส่ ว่ นมากจะใชฝ้ ้ายและไหม)
ชาวบา้ นจะปลกู ฝา้ ยเป็นพืชไร่ และเลี้ยงไหมกนั ฤดทู ป่ี ลูกฝ้ายกนั คือ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม จนถงึ เดือน
พฤศจกิ ายน ซง่ึ กินเวลาถงึ ๖ เดือน ตน้ ฝ้ายจึงจะแก่ เมื่อเกบ็ ฝา้ ยมาแลว้ จึงนำมาปัน่ และกรอใหเ้ ปน็ เส้น
ม้วนเปน็ หลอด เพ่อื ท่จี ะนำไปเขา้ หูก สำหรบั ทอต่อไป ชาวบ้านรู้จักทอผา้ ขนึ้ ใชเ้ อง หรอื สำหรบั
แลกเปลี่ยนกบั เครอ่ื งอุปโภคบรโิ ภค ท่ีจำเปน็ จะต้องใช้ภายในครอบครวั การทอนี้มมี าแต่โบราณกาลแลว้
ไม่มีใครทราบว่า มีมาแตเ่ มอื่ ไร และได้แบบอยา่ งมาจากใคร ถา้ จะพจิ ารณาดตู ามหลักฐานทาง
ประวัติศาสตร์แลว้ ในสมัยศรีวชิ ัย (ราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๓) ชาวบ้านคงร้จู กั การทอผา้ แลว้ เพราะว่าใน
สมัยนัน้ เปน็ สมยั ที่ได้มีการตดิ ต่อการคา้ และรบั เอาศิลปะ และวัฒนธรรมมาจากชนชาติทเี่ จรญิ กว่า เชน่
จีน อินเดีย อาหรบั และเปอรเ์ ซีย ชนต่างชาติดังกล่าวคงไดม้ าถา่ ยทอดไว้

ผ้ายก ผ้าไหมชนิดหนึง่
ทท่ี อยกเปน็ ดอกให้เปน็ ลายเด่นขนึ้
จาก หนงั สือสารานุกรมสำหรับเยาวชนไทย ฯ เลม่ 13

ไหมทีย่ ้อมสีแล้ว
จาก หนังสอื สารานกุ รมสำหรับเยาวชนไทย ฯ เลม่ 13

การทอผ้าทชี่ าวบา้ นทำกนั นน้ั ต้องอาศัยความจำ และความชำนาญเปน็ หลกั เพราะไมม่ เี ขียน
บอกไวเ้ ป็นตำรา นอกจากน้แี ลว้ ยงั พยายามรักษารูปแบบ และวิธีการเอาไวอ้ ย่างเคร่งครดั จงึ นบั ว่า เป็น
การอนุรกั ษ์ศลิ ปกรรมแขนงนี้ไว้อีกด้วย

รหสั วชิ า 2302-2112 รายวชิ า การออกแบบผลติ ภัณฑห์ ัตถกรรมพื้นบ้าน 31

การทอผ้า จาก หนงั สือสารานุกรมสำหรบั เยาวชนไทย ฯ เลม่ 13

เคร่ืองรัก
เครือ่ งรกั เปน็ หตั ถกรรมทใ่ี ชร้ ักเป็นวสั ดุสำคญั ในการสรา้ งผลงาน ซึง่ มีอยู่หลายชนิดดว้ ย กัน

เช่น ปดิ ทองรดนำ้ ภาพกำมะลอ ประดบั มกุ ประดับกระจกสี ปน้ั กระแหนะ และเขนิ ทง้ั หมดน้ี ผเู้ ขยี นจะ
ขอนำเสนอแตเ่ ฉพาะทเ่ี ปน็ หัตถกรรมพน้ื บา้ นเทา่ นัน้ นนั่ คอื เขนิ หรอื เครือ่ งเขนิ ซง่ึ นยิ มทำกนั มากใน
จงั หวัดภาคเหนอื เครือ่ งเขนิ น้มี ชี อ่ื เรยี กตามเผ่าพนั ธุข์ องคนไทยเผ่าเขนิ ซึง่ มถี นิ่ ฐานเดิม อย่ใู นเมืองเชียง
ตงุ ประเทศ พม่า พระเจ้าเชยี งใหม่ไดท้ ำสงครามกับพม่า (พ.ศ. ๒๓๒๕) และได้กวาดต้อนราษฎรเมอื ง
เชียงตุง มาเชียงใหม่ ในจำนวนน้มี พี วกช่างรักดว้ ย ซึ่งรวมตวั กนั อยู่เปน็ หมบู่ า้ นเรยี กวา่ หมบู่ ้าน "เขิน" ซง่ึ
มีอาชีพทำเครอื่ งเขินกันท้ังหมบู่ า้ น

เครื่องเขินสว่ นมากจะเป็นภาชนะสำหรบั ใช้สอยจำพวก พาน ขนั นำ้ เชี่ยนหมาก ถาด ฯลฯ
ในการทำน้นั จะตอ้ งนำไม้ไผ่มาสานขน้ึ เปน็ รปู เสยี ก่อน โดยมหี นุ่ ไม้เปน็ แบบ หรืออาจไม่ตอ้ งใช้หนุ่ กไ็ ด้ แต่
ใชก้ ารขดและสานเปน็ รปู ตอ่ จากนนั้ จะใช้รัก ซึง่ เปน็ ยางไม้ (ยางรัก) ผสมกับถ่านของขา้ วเปลอื ก หรอื
หญา้ คา (ทำให้เกดิ สีดำ) ทาใหเ้ รยี บ เพอื่ ปดิ รอยสานให้มดิ ชดิ ขัดผวิ ให้เรียบ แลว้ เขยี นลวดลาย ประดับ
ด้วยสนี ้ำมนั หรือใชเ้ หลก็ แหลมที่เรียกว่า เหล็กจาร ขดู หรอื ขดี เป็นเสน้ ลึกลงบนผวิ ใชส้ ฝี ่นุ ผสมนำ้ มนั ทา
ทบั ตามรอยอีกทีหน่งึ สจี ะเข้าไปอุดในเส้น ตอ่ จากนั้น ใช้ผ้าเช็ดสที ผี่ ิวออก พนื้ รักที่เปน็ สีดำ จะขบั
เส้นลายใหเ้ หน็ เป็นลวดลายงดงาม

รหสั วิชา 2302-2112 รายวชิ า การออกแบบผลติ ภัณฑห์ ัตถกรรมพืน้ บ้าน 32

ตะลมุ่ ประดับมกุ จาก หนงั สือสารานกุ รมสำหรับเยาวชนไทย ฯ เลม่ 13

เครอื่ งโลหะ
โลหะเปน็ วัสดทุ ใี่ ชก้ นั มากถัดจากดิน หัตถกรรมพืน้ บา้ นที่ทำกนั มาแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และ

มีทำกนั อยเู่ กือบทว่ั ทุกจงั หวดั ในประเทศไทย นยิ มใช้วสั ดหุ ลกั อยู่ ๓ ชนิด คือ เหล็ก ทองเหลอื ง และ
ทองแดง เคร่อื งเหล็กทน่ี ิยมทำกนั นนั้ คือ เคร่ืองใชใ้ นครวั เรือน และการเกษตร เช่น มีด ขวาน คอ้ น เคยี ว
ส่วิ จอบ เสียม กรรไกรหนบี หมาก และกระดงิ่ ในการทำเครอ่ื งเหลก็ เหล่านี้ จะตอ้ งใชว้ ธิ ีตเี ปน็ วธิ หี ลกั ใน
การน้ี จะตอ้ งนำเอาแทง่ เหล็กท่ีเตรียมเอาไวม้ าเผาไฟให้ร้อน จนเป็นสีแดงในเตา เพอ่ื ใหอ้ ่อนตวั แลว้ ใชค้ มี
คีบนำมาวางบนทัง่ ตดี ว้ ยคอ้ นใหญ่ ใหเ้ ป็นรูปทรงตา่ งๆ ตามท่ตี ้องการ แล้วนำไปเผาอกี คร้งั หนึ่ง เพือ่ จะ
นำมาตีแตง่ ให้ไดส้ ัดสว่ นตามตอ้ งการ แล้วจึงตกแตง่ เปน็ ครงั้ สุดทา้ ย ดว้ ยการขูดผวิ และถูดว้ ยตะไบ
เพ่อื ให้ผิวเรยี บ หตั ถกรรมบางชนิดต้องการความแข็งเปน็ พเิ ศษ ในบางส่วน ซง่ึ ต้องนำไปชบุ น้ำอกี ครั้งหนึง่
กอ่ นท่จี ะชบุ น้นั จะต้องนำเอาสว่ นท่ตี อ้ งการใหแ้ ข็ง เผาไฟใหร้ ้อนแดงพอประมาณเสยี ก่อน ในกรณีที่
ต้องการความแขง็ โดยทวั่ ไป ทง้ั หมดของหัตถกรรมนั้นๆ จะต้องนำไปชบุ นำ้ มนั สว่ นมากใชน้ ้ำมนั เครอ่ื ง
หรอื นำ้ มนั เตา การชบุ ทง้ั หมดนี้จะต้องอาศยั ความรู้ และความชำนาญเปน็ พเิ ศษ งานหตั ถกรรมจงึ จะมี
ประสทิ ธภิ าพ เครอื่ งเหลก็ โดยเฉพาะมีด ทำกนั มากท่ีตำบลอรัญญกิ อำเภอเมอื ง จังหวัด
พระนครศรอี ยธุ ยา ตำบลบ้านโพธ์ิ อำเภอเมือง จงั หวัดนครราชสมี า และตำบลบ้านนาออ้ ย อำเภอเมือง
จังหวัดสกลนคร เป็นตน้

หัตถกรรมทีใ่ ชท้ องเหลอื งเป็นวัสดใุ นการสร้างนั้น ทนี่ ิยมกนั คือ ระฆัง เชงิ เทยี น ทใ่ี ส่ เครื่อง
กนิ หมาก เชน่ ตะบนั ทใ่ี สใ่ บพลู ถาด และฆอ้ ง (ฆ้องราว และฆอ้ งวง) ในการทำสง่ิ เหล่าน้ี จะต้องนำเอา
ทองเหลอื งมาเผาจนหลอมเหลว แลว้ จงึ นำไปเทลงในแบบรปู ตา่ งๆ ตามลกั ษณะทต่ี อ้ งการ หลงั จากน้นั จึง
นำมาตกแตง่ ใหเ้ รียบร้อย โลหะชนิดสดุ ทา้ ยท่ีจะกล่าวถงึ คือ ทองแดง ในการทำหัตถกรรมน้นั จะต้อง

รหัสวิชา 2302-2112 รายวิชา การออกแบบผลิตภณั ฑ์หตั ถกรรมพืน้ บา้ น 33

นำเอาทองแดง มาผสมกบั โลหะอีก ๑ หรอื ๒ ชนดิ คือ ทองและดบี กุ ส่ิงทรี่ จู้ ักกันดี และชาวบ้านใชก้ นั
แพร่หลาย คือ "ขนั ลงหิน" ซึง่ ทำกันมาก ท่ตี ำบลอรญั ญิก อำเภอเมอื ง จังหวัดพระนครศรอี ยธุ ยา และบา้ น
บุ อำเภอบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ขันลงหนิ ทำดว้ ยโลหะทองแดงผสมกบั ดบี ุก และเศษทอง นำไป
ใส่ในเบา้ หลอม ซง่ึ ทำจากดินผสมแกลบเหมือนอฐิ หมกลงไปในถา่ นไฟท่ีรอ้ นจดั จนโลหะท้งั สามอยา่ ง
ละลายเปน็ เนอื้ เดียวกนั แลว้ เทลงไปในเบ้าทมี่ นี ำ้ หล่ออยู่ เป็นแผน่ กลม แลว้ เอาไปเผาไฟอีกทหี นง่ึ พอได้ที่
แลว้ กล็ งมอื ตีแผ่ โดยใช้คอ้ นขนาดใหญ่ตี จนเนอื้ ทองแขง็ ตีไมอ่ อก ก็เอากลบั สมุ ถ่านไฟใหม่ พอได้ท่ี ก็
นำเอาออกมาตีอีก ทำเรอื่ ยไป จนขึ้นเปน็ รปู ขนั ตามขนาดท่ีตอ้ งการ การตขี นั ตอ้ งใชค้ วามชำนาญเปน็
พเิ ศษ ต่อจากนั้น ก็นำขันทีต่ ีเปน็ รปู แลว้ น้ัน มาตตี กแตง่ อกี ทหี นึ่ง เรยี กว่า "ตลี าย" นอกจากนนั้ กถ็ ึงขน้ั ขัด
เงา ซ่งึ เรียกว่า"ลงหิน" ในปจั จุบันการขัดดว้ ยหนิ ได้เปลี่ยนไปเป็นใชเ้ บ้าแทน โดยทุบเบา้ หลอมใหล้ ะเอยี ด
ผสมน้ำ แล้วหอ่ ผา้ ใช้ขัดแทนหิน เรยี กวา่ "เหยยี บเบา้ " ถา้ ต้องการให้เงามากย่ิงขน้ึ ก็นำมาขัดกับเครื่อง
สมัยใหมท่ ป่ี ่ันดว้ ยไฟฟ้า ทายา แลว้ ขัดจนเปน็ เงาอีกทีหน่งึ นอกจากขันแล้ว กม็ สี ิ่งอ่ืนอกี เช่น พาน ถาด
เชงิ เทยี น ช้อน มดี กใ็ ช้ กรรมวธิ ีเดียวกนั แต่แตกตา่ งกันท่ี การตี หรอื การหลอมเทา่ นั้น เครอ่ื งโลหะลงหนิ
ไมค่ ่อยเปน็ ทรี่ ูจ้ กั กนั เท่าใดนกั ในปจั จุบนั

กรรไกรหนบี หมาก
จาก หนังสือสารานกุ รมสำหรบั เยาวชนไทย ฯ เลม้ 13

เครือ่ งหนงั
หนงั สตั วเ์ ปน็ วัตถุธรรมชาตอิ ีกชนิดหน่งึ ท่นี ำมาใชป้ ระดษิ ฐ์งานหตั ถกรรมพื้นบา้ น

โดยเฉพาะอย่างยิง่ ตวั หนัง จะขอกลา่ วถงึ ตัวหนงั ตะลุง ซึง่ เปน็ องคป์ ระกอบสว่ นหน่งึ ของการละเลน่
พื้นบ้าน ชนิดทใ่ี ช้ตะเกยี งสอ่ งตัวหนงั เพือ่ ให้เกดิ เงาไปตกทอดบนจอผา้ ท่ขี ึงเตรียมรบั ไว้ นอกจากนีแ้ ลว้
กม็ บี ทพากย์ บทเจรจา ดนตรี และการเชิด สำหรบั กำเนดิ ของหนังตะลงุ น้ัน มีอยูห่ ลายความคิดดว้ ยกัน
เชน่ หนงั ตะลุงเกดิ ขึน้ ในสมยั รชั กาลท่ี ๕ โดยท่เี จา้ พระยาสรุ วงศ์ไวยวฒั น์ (วร บุนนาค) นำจากจังหวดั
พัทลุง เข้ามาเล่นในกรงุ เทพฯ ถวายแด่ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั เปน็ ครง้ั แรก ทีบ่ างปะ
อิน เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๑๙ พระองค์ทรงถามวา่ มาจากไหน ซ่งึ ได้รับคำตอบจากคนใต้ ซึ่งชอบพูดสน้ั ๆ ว่า "หนงั

รหสั วชิ า 2302-2112 รายวชิ า การออกแบบผลติ ภัณฑ์หตั ถกรรมพ้นื บา้ น 34

ลุง"ซึ่งหมายถงึ หนังที่มาจากเมอื งพทั ลงุ จงึ เรียกกนั มาวา่ "หนังตะลงุ " สว่ นพวกชาวบา้ นควนมะพรา้ ว
จังหวดั พัทลุง เรยี กกันวา่ "หนังควน" อกี ความเหน็ หนง่ึ กลา่ ววา่ หนงั ตะลุงไดร้ บั อทิ ธิพลมาจากหนงั ของ
ชวา โดยผ่านทางมาเลเซยี ซงึ่ ต่างกไ็ ดร้ ับอทิ ธพิ ลมาจากอนิ เดียอกี ตอ่ หนงึ่ ดว้ ยกนั

หนงั ตะลุงนิยมเล่นกันในจงั หวดั ภาคใต้ เรอ่ื งท่แี สดงกันคือ เร่อื งรามเกยี รติ์ แต่ได้นำมา
เพ่ิมเติม หรอื เสริมแตง่ นทิ านพนื้ บา้ นผสมเข้าไปบ้าง เพ่ือใหเ้ กิดความเพลดิ เพลนิ และแสดงใหเ้ หน็ ถึงความ
ผกู พันกบั ชวี ิต และขนบประเพณี ของชาวบ้าน ในสมยั กอ่ นมักจะเลน่ ในงานบวชนาค งานศพ และงานวัด
ปัจจุบัน เลน่ ไดท้ กุ โอกาส ตัวหนงั ตะลงุ แตล่ ะคณะมีจำนวนไม่เทา่ กัน ต้งั แตป่ ระมาณ ๑๐๐-๓๐๐ ตัว ตาม
ความจำเปน็ ทีต่ อ้ งใช้ อนั ประกอบด้วยรปู ฤาษี พระอศิ วร ปรายหน้าบท ตัวตลก เจา้ เมอื ง มนุษย์ ยกั ษ์ โจร
ต้นไม้ ยานพาหนะ ปราสาท อาวธุ สตั ว์ มขี นาดความสงู ประมาณ ๑-๒ ฟตุ ทำด้วยหนังววั ดิบทต่ี ากแหง้
ขงึ ใส่สะดึง เพือ่ ใหห้ นงั ตึง เมือ่ แผน่ หนงั จวนแห้ง จงึ นำมาขูดดว้ ยกะลามะพรา้ ว ทัง้ ดา้ นนอกและดา้ นใน
เพอื่ ให้ขนและเน้ือเยอื่ ออกหมด จนบางจนกระทง่ั ดโู ปรง่ แสง เมอื่ แผ่นหนังแหง้ ดแี ล้ว กใ็ ช้ถา่ น
กะลามะพรา้ ว หรือถ่านใบลำโพง ตำละลายนำ้ ขา้ ว ทาให้ทวั่ แผน่ หนังจะมสี ดี ำ หลังจากน้นั ก็เรมิ่ ร่างภาพ
หนงั ชา่ งรา่ งภาพกบั ช่างสลกั หนงั นนั้ บางทกี ็เปน็ คนๆ เดียวกัน การร่างภาพนนั้ มีหลายวธิ ดี ้วยกัน เชน่
ร่างภาพบนผา้ ขาวผนื ใหญ่ หรือบนแผน่ กระดาษ แล้วจึงนำกระดาษท่ีรา่ งนนั้ ไปปิดบนแผน่ หนา้ แลว้ ใช้
ตุ๊ดตู่ และส่วิ ขนาดหน้าตา่ งๆ ฉลุตามรอยร่อง หรือใช้ดนิ สอขาวร่างลงบนแผ่นหนงั เลยก็ได้ ชา่ งรา่ งจะตอ้ ง
เปน็ ผู้ออกแบบทา่ ทาง และจัดองคป์ ระกอบด้วยตนเอง สว่ นช่างฉลจุ ะฉลเุ ปน็ ตวั โปรง่ โดยจะตอ้ งรู้วา่ จะ
ฉลุเสน้ อย่างไร จะเวน้ ชอ่ งว่างอยา่ งไร จงึ จะเกิดช่องไฟท่พี อดี มีพนื้ หนงั ทบึ สำหรบั ให้หนังเกาะยดึ ติดกัน
อยไู่ ด้ นอกจากนแี้ ล้ว ยังจะต้องทำแขนให้เคล่อื นไหวได้ โดยมีคนั ไม้เล็กๆ โยงแขนหรือมือ ให้เคล่ือนไหว
ออกท่าทางได้ในเวลากระตุก ถา้ เปน็ ตัวตลก จะมไี ม้ชักใหส้ ่วนปากอา้ พดู ได้ ตวั หนังจะมที ั้งหนงั ทาดำและ
สีอื่นๆ สีท่ีใชท้ าก็มี หมกึ จีน สยี อ้ มผ้า หรือสีหมกึ (สีแดง เหลือง เขยี ว) ทีต่ วั หนงั จะมีไมป้ ระกบตามตวั
หนงั เลยลงมาดา้ นลา่ ง สำหรบั มือจับเชิดอันเดียว และมคี นั ไม้โยง สำหรบั ชักให้แขนของตัวเคลอ่ื นไหวไป
ตามบทของตวั หนงั ตะลงุ ตามทก่ี ล่าวมานี้ มลี กั ษณะเป็นหนังเดี่ยว คือ เปน็ ภาพๆ เดียว จะเปน็ ตัวพระ
หรือตัวอืน่ ใดก็ได้ ซงึ่ ไมม่ ขี อบ

รหสั วิชา 2302-2112 รายวิชา การออกแบบผลิตภณั ฑ์หัตถกรรมพืน้ บา้ น 35

ตัวหนังตะลงุ (ตัวนาง)
จาก หนงั สือสารานกุ รมสำหรบั เยาวชนไทย ฯ เล่ม 13

เครอื่ งกระดาษ
เครื่องกระดาษเป็นงานหัตถกรรมชนดิ หนึ่ง ทชี่ าวบา้ นสรา้ งข้นึ เพอื่ สนองความตอ้ งการตา่ งๆ

กัน คอื เพ่ือใช้สอย เชน่ สมดุ ไทย รม่ ฯลฯ เพือ่ ประดับตกแต่งในโอกาสต่างๆ เชน่ สายรุ้ง ธงฉัตร เพ่ือการ
บันเทงิ อารมณ์ เชน่ หัวโขน หนา้ กาก (กระต้วั แทงเสอื ) หัวโต รปู สัตว์ ตุ๊กตา และวา่ ว เปน็ ต้น
สมดุ ไทย

เปน็ หนังสือของไทยโบราณ ทม่ี ีลักษณะพิเศษ ซ่งึ มไิ ด้เย็บเปน็ เล่มเหมอื นหนังสอื ในปจั จบุ นั ใช้
กระดาษยาวตดิ ต่อกันเปน็ แผ่นเดียว พบั กลบั ไปกลับมาเปน็ เลม่ หนาหรอื บาง กวา้ งหรือยาวเทา่ ใดกไ็ ด้
ตามแตค่ วามตอ้ งการของผู้ใช้ ส่วนมากการเขยี นหนังสือนัน้ ในสมัยกอ่ นนิยมเขยี นใต้เสน้ บรรทัด การ
เขียนหนงั สือบนเส้นบรรทัด เพิ่งจะมานิยมกันในสมยั ที่ตวั อักษรโรมันเข้ามาสู่ประเทศไทย ประมาณปลาย
รชั กาลท่ี ๓ วสั ดทุ ใี่ ชเ้ ขยี นมหี ลายอยา่ ง เชน่ ดนิ สอขาว นำ้ หมึก ซง่ึ มีสดี ำ ทท่ี ำจากเขมา่ ไฟ หรอื หมกึ จีน สี
ขาวทำจากเปลือกหอยมกุ สีแดง ทำจากชาด สที องทำจากทองคำเปลว และสีเหลือง ทำจากสว่ นผสมของ
รงและหรดาล สมดุ ไทยมีความแตกตา่ งกันในตวั ของมนั เอง เปน็ เหตุใหเ้ รียกชอื่ แตกตา่ งกันไป เชน่
เรยี กช่อื ตามประโยชนท์ ีใ่ ช้ ไดแ้ ก่ สมุดถือเฝ้า สมดุ รองทรง และสมดุ ไตรภมู ิ เรยี กชอื่ ตามสีของเสน้ อักษร
ไดแ้ ก่ สมดุ ดำเสน้ ขาว สมุดดำเสน้ หรดาล สมุดเสน้ รง และสมุดเสน้ ทอง อย่างไรก็ดี เปน็ ทนี่ ่าเสียดาย ที่ใน
ปจั จบุ ันหมดความนยิ มไปแลว้ เพราะอปุ กรณก์ ารเขยี นสมยั ใหมห่ าไดง้ ่าย และราคาถกู และมีการผลติ
จำนวนมากสำหรบั ใช้กนั ทัว่ โลก จึงไดร้ บั ความนยิ มกันโดยทวั่ ไป ทำให้การเขียนแบบเกา่ ในสมดุ ไทย ซึ่ง
เปน็ วฒั นธรรมสำคญั ของไทยเราคอ่ ยๆ ลบเลอื นไป

รหัสวิชา 2302-2112 รายวิชา การออกแบบผลติ ภณั ฑห์ ตั ถกรรมพื้นบา้ น 36

สมุดไทย จาก หนงั สอื สารานกุ รมสำหรบั เยาวชนไทย ฯ เล่ม 13

รม่
เป็นเคร่อื งใช้สอยอย่างหน่ึงสำหรบั กนั แดดและฝน ซึ่งรจู้ กั ใชก้ นั มานานแล้ว มโี ครงทำด้วยไม้

ไผ่ ปิดดว้ ยกระดาษสา สว่ นหัวหรือตมุ้ ร่ม ทำดว้ ยไมเ้ น้อื ออ่ น ซงึ่ สะดวกแก่การกลึงและผา่ รอ่ งซ่ขี องร่ม ซี่
รม่ ทำด้วยไมไ้ ผ่ สว่ นคนั รม่ นัน้ ใชไ้ มเ้ น้ืออ่อนกลึง หรือทำด้วยไมไ้ ผ่ขนาดเลก็ ด้ามร่มพนั ด้วยเสน้ หวายผ่าซกี
ขนาดเลก็ ปลอกสวมหวั ร่มใช้ใบลาน หรือกระดาษหนา หว่ งร่มทำจากเสน้ ตอกไม้ไผ่ขดเปน็ วงกลม และ
พันดว้ ยกระดาษสาโดยรอบ สว่ นครอบหวั รม่ ทำดว้ ยแผน่ สังกะสี เมื่อชาวบา้ นทำเสร็จแล้ว จะนำไป
จำหนา่ ยในเมอื ง ร่มมีทำกนั มากท่ีตำบลบอ่ สรา้ ง อำเภอสนั กำแพง จงั หวดั เชยี งใหม่

สายรงุ้ ธง และฉตั ร
สายรงุ้ เปน็ แถบกระดาษสตี ่างๆ ขนาดเล็กและยาว ใช้ขวา้ งแสดงความรื่นเริง หรือใชต้ กแตง่

สถานท่ี โดยโยงติดกบั ตวั อาคาร ส่วนธงเปน็ รูปสามเหล่ยี ม สว่ นมากมรี ปู ร่างสามเหลย่ี มหนา้ จั่ว และ
ส่เี หลย่ี มผืนผ้า มสี ตี ่างๆ กนั มักใชใ้ นงานเฉลมิ ฉลองต่างๆ ทม่ี ีลกั ษณะช่ัวคราว มกี ้านทำดว้ ยไม้ไผ่ หรือไม้
จรงิ เป็นด้ามกลมหรอื สี่เหลี่ยม

สว่ นฉัตรน้ันมีรปู คล้ายร่มทซ่ี อ้ นกันข้ึนเป็นชั้นๆ ชนั้ บนมีขนาดเลก็ กวา่ ชั้นล่างลดหลน่ั กัน ทำ
ด้วยแผน่ กระดาษแข็งเปน็ วงกลม มเี สน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางประมาณ ๑๕ เซนตเิ มตร ขอบกระดาษแขง็ ปิดดว้ ย
กระดาษสี กระดาษเงนิ หรือทอง ชายกระดาษตดั เปน็ แฉกๆ มีกา้ นทำด้วยไมไ้ ผ่ หรือไม้รวก สว่ นยอดจะ
เปน็ ธงสามเหลยี่ ม ฉตั รใชป้ ักประดับบริเวณวดั ในเทศกาลตา่ งๆ และในงานทอดกฐิน และผา้ ปา่ ส่วนธง
กระดาษแกว้ สีตา่ งๆ ขนาดเล็ก มักนิยมใชป้ กั เจดยี ท์ รายในงานวัดทว่ั ไป

หวั โขน
คอื หนา้ กากสวมหวั ทใ่ี ชใ้ นการแสดงแบบหน่ึงของไทย มลี ักษณะตา่ งๆ กนั ไป ตามฐานะของผู้

แสดง ซึ่งไมอ่ าจจะขับร้อง หรือเจรจาเองได้ จงึ ทำใหเ้ กดิ การพากยข์ นึ้ ผ้แู สดง และผพู้ ากย์ จะตอ้ งมี
ความสัมพันธ์กนั เปน็ อย่างดี ขณะทเี่ ราชมการแสดงโขน จะรสู้ กึ วา่ ผูแ้ สดง ทส่ี วมหัวโขน จะแสดงอาการดี

รหสั วชิ า 2302-2112 รายวชิ า การออกแบบผลติ ภัณฑห์ ัตถกรรมพื้นบา้ น 37

ใจ เศร้าโศก ได้เหมอื นกับมนษุ ยธ์ รรมดา หัวโขนไดถ้ ูกนำมาใชใ้ นการแสดง ต้งั แตส่ มยั อยธุ ยาตอนปลาย
(พ.ศ. ๒๓๐๐) ตามปกตจิ ะมเี พยี ง ๒ แบบ คอื แบบสวมมงกฎุ และไมส่ วมมงกฎุ หรอื ที่เรยี กว่า "ศรี ษะ
โลน้ " มงกฎุ ทีส่ วมหัวโขนนน้ั โดยทั่วไปแลว้ มกั จะทำตดิ กนั ตายตวั แต่บางครง้ั กท็ ำใหถ้ อดแยกออกจากกนั
ได้ ในการทำหวั โขนนน้ั สิ่งสำคญั จะตอ้ งมีหุ่นหัวโขน ซ่ึงทำดว้ ยปนู หรือสลกั ไม้กไ็ ด้ (หุ่นนีจ้ ะมลี ักษณะของ
ใบหน้า และรปู ศรี ษะเปน็ เคา้ พอใหเ้ หน็ เพยี งเลก็ นอ้ ยเท่าน้นั มีหลายชนิด เชน่ ห่นุ หัวยักษ์ หวั ลงิ อ้าปาก
และหุบปาก หวั ฤาษี หัวชา้ ง ฯลฯ) หลงั จากน้ันกใ็ ช้กระดาษฟาง หรือกระดาษสา หรอื กระดาษขอ่ ยอยา่ ง
บาง ชบุ น้ำพอเปยี ก แลว้ นำมาวางทาบกบั หุน่ ใหท้ ว่ั หวั ประมาณ ๓-๔ ชนั้ ชน้ั ต่อมาใช้กระดาษทาแป้ง
เปียกปดิ ทบั ลงไปอีก จนหนาพอสมควร แลว้ นำไปผงึ่ แดด ให้ (ภายนอก) แห้ง แลว้ ขดั ถดู ว้ ยชน้ิ ไม้ไผ่ หรือ
เขาสัตวใ์ ห้เรียบทวั่ หวั แลว้ ผง่ึ แดดอีกครั้งหนึ่ง พอแห้งสนทิ จึงรีด (ขัด) ใหก้ ระดาษทป่ี ิดข้นึ มนั และเรยี บ
จากนนั้ ใช้มดี กรดี ผ่า ตั้งแตก่ ลางศรี ษะ จนถงึ ทา้ ยทอย (ไมผ่ า่ ด้าน หน้า เพราะจะเป็นรอย) ค่อยๆ ลอกเอา
กระดาษ ทปี่ ดิ ออกจากหุ่น แลว้ เยบ็ รอยผ่าใหส้ นทิ ใชก้ ระดาษบางๆ ทาแป้งเปียกปิดทับรอยเยบ็ ให้
เรยี บร้อย สำหรบั การตกแต่งหวั โขนนนั้ ใชร้ กั สมกุ ปนั้ เปน็ หางคิว้ หนวด ริมฝปี าก และส่วนทตี่ ้องการให้
นนู ข้ึน ส่วนลวดลายตา่ งๆ กใ็ ชร้ กั สมกุ กดลงในแม่พิมพ์หนิ อ่อน ซึง่ แกะเปน็ ลวดลายตา่ งๆ เชน่ ลายเทศ
ตาออ้ ย ตากนก ฯลฯ เมื่อได้ พอแกค่ วามต้องการแลว้ กใ็ ชร้ กั อย่างใสทาปิดประดับลงในท่ีๆ ต้องการจน
ท่ัว แลว้ ก็ตกแตง่ ดว้ ยสอี ีกทหี นงึ่ โดยลงสพี ื้นเสียกอ่ น สว่ นภายในของหัวโขนนั้น มักใชส้ ีหรือรักอย่างใสทา
เพอื่ ป้องกันตวั สตั วม์ าแทะ

หวั โขนรปู ต่างๆ
จาก หนงั สอื สารานกุ รมสำหรบั เยาวชนไทย ฯ เลม่ 13

หวั โต
มลี กั ษณะเช่นเดียวกบั หวั โขน แตใ่ ชส้ วมใส่ เพื่อร่วมแสดงในกระบวนแห่ต่างๆ เชน่ บวชนาค

หัวโตมกั จะทำกนั สองลักษณะ คอื หวั ผ้หู ญงิ และหัวผชู้ าย วธิ ีการทำหัวโตนน้ั เชน่ เดียวกบั หวั โขน แตไ่ ม่
ละเอยี ด และประณีตเท่าเทียมกนั ปกติแลว้ จะสร้างให้มขี นาดใหญ่กวา่ ความเป็นจรงิ มาก ทัง้ น้ีเพ่อื ความ

รหัสวิชา 2302-2112 รายวิชา การออกแบบผลิตภัณฑห์ ตั ถกรรมพนื้ บ้าน 38

สะดวกในการสวมใสป่ ระการหน่งึ และเพอื่ เพ่มิ ความสนุกสนาน ให้กับผ้พู บเหน็ มากขึ้นอกี ประการหนงึ่

หนา้ กาก
ใชส้ วมใส่เพ่อื ร่วมแสดงในขบวนแหเ่ ช่นเดยี วกนั กบั หัวโต เชน่ การแสดง "กระตว้ั แทง

เสือ" หนา้ กากกระตั้วจะมีเพยี งคร่งึ เดียว ไมเ่ หมอื นกบั หวั โขน หรอื หวั โต สว่ นหัวเสอื นน้ั มลี ักษณะ
เชน่ เดียวกบั หวั สตั วใ์ นการแสดงโขน ผสู้ วมจะแตง่ ตวั ดว้ ยผา้ สลี ายคลา้ ยลายเสอื และผูกหางเสอื ด้วย
เพอื่ ใหม้ องดูสมจริง

หนา้ กาก จาก หนงั สอื สารานุกรมสำหรบั เยาวชนไทย ฯ เล่ม 13

หมแู ละต๊กุ ตา
หมแู ละตุ๊กตากระดาษ เปน็ ของเลน่ ทน่ี ยิ มกนั มากในหมชู่ าวชนบท มักจะทำออกจำหน่ายตาม

งานวดั ในเทศกาลตา่ งๆ การทำกเ็ ชน่ เดียวกบั หวั โขน กลา่ วคอื จะต้องมตี ัวหนุ่ ทำด้วยไม้หรอื ปนู
ปลาสเตอร์ เปน็ รปู หมู และตุก๊ ตา หมบู างตัวมีขนาดใหญพ่ อ ทีเ่ ด็กตวั เลก็ ๆ จะขีเ่ ลน่ ได้ บางครัง้ คนทำจะ
นำหมูตวั เลก็ มาเจาะรทู ส่ี ่วนหลัง สำหรับใสส่ ตางค์ เป็นท่สี ะสมเงินใหก้ ับเดก็ ๆ ไดอ้ ีกด้วย

ว่าว
เปน็ เครื่องเลน่ ชนดิ หน่งึ ทมี่ นษุ ยป์ ระดษิ ฐ์ขน้ึ เพ่ือใหล้ อยอยใู่ นอากาศได้ด้วยแรงลม และมีสาย

ปา่ นคอยบงั คบั ใหล้ อยอยใู่ นทศิ ทางท่ีตอ้ งการ ว่าวไทยในอดตี น้นั มกี ลา่ วอย่ใู นพงศาวดารเหนอื วา่ พระร่วง
ทรงเลน่ วา่ วอย่างไมถ่ ือพระองค์ วา่ เป็นท้าว เปน็ พระยา ในสมัยกรงุ ศรีอยุธยา (พ.ศ. ๑๘๙๓-๒๓๐๐) กม็ ี
การเลน่ ว่าวกันมาก ถงึ กบั มีกฎมณเฑยี รบาล หา้ มมิให้ประชาชนเล่นวา่ วทบั พระราชวัง ต่อมาในสมยั
รตั นโกสินทร์ ก็มกี ารเล่นว่าวดงั เช่นในสมยั รชั กาลที่ ๕ ซงึ่ ทรงโปรดใหใ้ ช้สถานทีใ่ นพระราชวงั ดุสิต และ
สนามสโมสรเสือปา่ เปน็ ทีเ่ ลน่ วา่ วจุฬากบั ปกั เปา้ เป็นตน้ วา่ วของไทยทท่ี ำข้นึ เลน่ กันเปน็ พน้ื มีอยู่ ๔ ชนดิ
ดว้ ยกนั คอื อลี มุ้ ปกั เป้า จุฬา และต๋ยุ ตุ่ย

รหัสวชิ า 2302-2112 รายวชิ า การออกแบบผลิตภณั ฑห์ ตั ถกรรมพ้ืนบา้ น 39

เครือ่ งหนิ
วสั ดุธรรมชาติอีกชนดิ หนึ่ง ทชี่ าวบ้านนำมาทำหัตถกรรมก็คอื หนิ ซง่ึ มีอย่หู ลายชนดิ ด้วยกัน

เช่น หนิ แกรนติ และหินทราย ซ่งึ มสี ีต่างๆ คอื สเี ทา สเี หลอื ง และสีน้ำตาล หินแกรนิตนนั้ เป็นหนิ ทมี่ ี
คุณภาพดี ไดม้ าจากภูเขาในจงั หวดั ตาก และจงั หวัดเลย หนิ ทรายได้มาจากจังหวัดนครราชสมี า ชาวบ้าน
จะนำหินมาแกะสลกั เพอื่ นำมาใชป้ ระโยชน์หลายประการดว้ ยกนั เช่น ทำเกยี๊ บ สำหรบั ประดบั ตกแตง่
ฮวงซุย้ หรอื ท่ฝี ังศพ รปู สงิ โตนั่ง ซ่ึงส่วนมากใชป้ ระดบั ไวต้ รงประตทู างเข้าไปในโบสถ์หรอื วหิ ารตา่ งๆ ครก
และโมส่ ำหรบั ตำและบดอาหาร ลกู นิมิต และใบเสมา ซ่ึงใชส้ ำหรบั ปักเขตพระอโุ บสถในวดั หรอื ใช้สำหรบั
กำหนดเขตวัด หรอื ทขี่ องสงฆ์ ลูกนมิ ิตนนั้ มีลกั ษณะกลม เสน้ ผ่าศนู ยก์ ลางประมาณ ๖๐ เซนติเมตร ใชฝ้ ัง
อยใู่ ต้ฐานเสมาโดยรอบ เขา้ ใจวา่ จะเป็น ประเพณที ำมาแตส่ มยั อยุธยาตอนปลายลงมา (พ.ศ. ๒๓๐๐)
การใชห้ นิ มาทำใบเสมานั้น กเ็ พราะมคี วามคงทนกวา่ ไม้ ซึง่ ผุพังได้งา่ ย ส่วนเหลก็ และทองแดงนนั้ เป็นวสั ดุ
ท่ีมคี ่า อาจถกู นำไปหลอมเป็นอย่างอ่นื ได้ หินทีน่ ยิ มใช้ทำกนั คือ หนิ ชนวน หินอ่อน และหินทรายขาว
ตอ่ มาในสมัยรัตนโกสนิ ทร์ ใชห้ นิ ครก และหินที่สง่ มาจากเมอื งจีน ใบเสมาของแตล่ ะสมยั จะมีขนาดไม่
เหมอื นกัน ความสำคัญพเิ ศษของใบเสมากค็ ือ ลวดลายทจ่ี ำหลกั ลงไป ซง่ึ แสดงถงึ ความคิด และรสนิยม
ของคนในแต่ละสมยั การแกะสลกั หินนนั้ จะเร่ิมตน้ ด้วยการสลกั หนิ จากภูเขาตามขนาดทตี่ ้องการ จะไม่ใช้
วธิ ีระเบดิ เพราะจะทำให้หินแตกร้าว นำมาแกะสลกั ไมไ่ ด้ ต่อจากนัน้ จะแต่งผวิ หนา้ ให้เปน็ รปู ทรงตาม
ตอ้ งการ ด้วยการสับแต่ง ซ่ึงมอี ยู่ ๒ ขัน้ ดว้ ยกนั คือ สบั หยาบ และสบั ละเอยี ด แลว้ จงึ จะแต่งผวิ หนุ่ ใน
กรณีทต่ี อ้ งการลวดลายเพิม่ เตมิ จึงจะลอกลายลงไปในหน้าหิน แล้วสกัดด้วยเครอื่ งมือ ซึง่ มลี กั ษณะปลาย
แบนเหมือนขวาน เป็นลวดลายต่อไป สำหรบั ลูกนิมติ นนั้ หุ่นเดิมเปน็ รปู ส่ีเหล่ยี ม หรอื ทรงกลม แตย่ ังไมด่ ี
พอ ตอ้ งนำมาทำให้กลมขึน้ อกี ช่างแกะสลักหนิ หัดใหมน่ ิยมหัดจากการทำลูกนมิ ติ กอ่ น ซงึ่ ต้องใช้เวลา
ฝกึ ฝน ประมาณ ๘ เดอื น ถึง ๑ ปี เม่ือมีฝมี ือดขี น้ึ แล้ว จงึ จะสามารถแกะสลกั งานทมี่ ลี วดลายละเอยี ดได้

จาก หนังสือสารานกุ รมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 13

รหสั วชิ า 2302-2112 รายวิชา การออกแบบผลติ ภณั ฑ์หัตถกรรมพืน้ บา้ น 40

ใบงานที่ 1
เรื่อง ประเภทของงานหัตถกรรมพ้ืนบ้าน
รหสั วิชา 2302-2112 วิชา การออกแบบผลิตภัณฑ์หัตถกรรมพน้ื บา้ น
1. ให้นักเรยี นสรปุ ลกั ษณะประเภทของ หตั ถกรรมพน้ื บา้ นเป็นแผนภาพ

2. ให้นักเรียนบอกลักษณะเดน่ ของหัตถกรรมพืน้ บ้านแตล่ ะประเภท
..........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................

รหัสวชิ า 2302-2112 รายวิชา การออกแบบผลิตภัณฑห์ ตั ถกรรมพืน้ บ้าน 41

แบบทดสอบหลังเรียน
ช่ือหนว่ ย ความหมาย ประวตั ิความเปน็ มาและประเภทของผลิตภัณฑ์พืน้ บา้ น

รหสั วิชา 2302-2112 วิชา การออกแบบผลิตภัณฑ์หตั ถกรรมพ้ืนบา้ น

คำช้แี จง ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปน้เี พอื่ ใหไ้ ดข้ ้อความที่สมบรู ณ์
1. ให้บอกความหมายของหัตถกรรมพืน้ บา้ น
...........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
2. จงบอกประเภทของผลติ ภัณฑพ์ ืน้ บา้ นมาให้มากทสี่ ุด
...........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
3. ใหน้ กั เรยี นบอกประเภทของผลิตภณั ฑ์พน้ื บา้ นทน่ี กั เรยี นรูจ้ กั มา 1 ประเภท

➢ ช่อื ประเภท ..................................................................................................................................
➢ ลักษณะของผลิตภัณฑพ์ ื้นบ้าน .....................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................

*******************************************


Click to View FlipBook Version