The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kotchamon191, 2022-05-14 08:38:08

บทที่ 5 การผลิต

บทที่ 5 การผลิต

0

วิชาหลักเศรษฐศาสตร์ รหัสวิชา 30200-1001

หน่วยที่ 5 เร่อื งการผลติ

จดั ทำโดย
นางกชมน เอยี ดแกว้
บธ.ม. (การจดั การโลจิสตกิ ส์และโซ่อุปทาน)

1

หน่วยที่ 5

ช่ือหนว่ ย การผลิต จำนวน 3 ชว่ั โมง

สาระสำคัญ
การผลิต คือ การสร้างอรรถประโยชน์หรือความพอใจของปัจจัยการผลิตชนิดต่าง ๆ ข้ึนมาใหม่ เพื่อ

ก่อให้เกดิ สนิ ค้าและบริการชนิดต่าง ๆ ข้ึน เพื่อนำไปตอบสนองความต้องการของมนุษยไ์ ด้อย่างเตม็ ท่ี การผลิต
ทด่ี ีต้องใช้ต้นทุนการผลิตต่ําสุดหรือใชต้ ้นทุนเท่าเดิม แต่ผลิตได้ปรมิ าณมากท่ีสุด การผลติ ที่มีประสิทธภิ าพทำ
ได้ท้ังในระยะสั้นและระยะยาว การวิเคราะห์การผลติ จะใช้ฟังกช์ ันการผลิต เสน้ ผลผลิตเท่ากนั และเส้นต้นทุน
เท่ากัน (Isoquant - Isocost Approach) เป็นการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของจำนวนผลผลิตและปัจจัยการ
ผลิต และศึกษาดุลยภาพของการผลิต ณ จุดท่ีเสน้ ผลผลิตเท่ากันสัมผสั กับเส้นต้นทนุ เท่ากนั พอดี

จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1. อธิบายความหมาย ลักษณะของการผลติ และฟงั กช์ นั การผลิตได้
2. วิเคราะห์การผลติ ในระยะสน้ั ได้
3. วเิ คราะห์การผลติ ในระยะยาวได้
4. อธิบายดุลยภาพของการผลิตได้

สมรรถนะประจำหน่วย
แสดงความร้เู ก่ียวกบั การผลติ และดุลยภาพของการผลติ

สาระการเรียนรู้
1. ความหมายและลกั ษณะของการผลติ
2. การวเิ คราะหก์ ารผลิตในระยะสน้ั
3. การวิเคราะหก์ ารผลติ ในระยะยาว
4. ดุลยภาพของการผลติ

2

1. ความหมายและลักษณะของการผลิต

การผลิต (Production) หมายถึง กระบวนการแปลงสภาพของทรัพยากรหรือปัจจัยการ
ผลิต ได้แก่ ท่ีดิน ทุน แรงงาน และผู้ประกอบการ ให้ออกมาเป็นสินค้าและบริการ เพื่อตอบสนองความ
ต้องการของมนุษย์ ซึ่งผลผลิตท่ีได้อาจอยู่ในรูปของสินค้า (Goods) ที่จับต้องได้ เช่น อาหาร เส้ือผ้า
เครื่องนุ่งห่มยารักษาโรค รถยนต์ เคร่ืองใช้ไฟฟ้า เป็นต้น หรือบริการ (Services) เป็นสิ่งท่ีจับต้องไม่ได้ เช่น
การให้บริการต่าง ๆ อาทิ การตัดผม การตัดเสื้อผ้า การเสริมสวย การศึกษา เป็นตน้ ความหมายของการผลิต
ในทางเศรษฐศาสตร์จะมคี วามหมายรวมถึงกระบวนการในการผลิตให้เป็นสินค้าและบรกิ าร

จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของการผลิต คือ การแสวงหากำไรสูงสุด (Profit Maximization)
แมว้ ่าผผู้ ลิตจะมจี ดุ มุ่งหมายรว่ มหรือยุทธวิธีทางธรุ กิจหลายอยา่ ง เช่น เพมิ่ ยอดขาย เพ่ิมสว่ นแบ่งทางการตลาด
เพม่ิ ประสิทธิภาพในการผลติ กต็ าม ในการศกึ ษาทฤษฎกี ารผลิตจะเกีย่ วข้องกับฟงั ก์ชันการผลิตดังนี้

ฟังกช์ นั การผลิต (Production Function)
ฟงั ก์ชันการผลิต คือ การแสดงความสมั พันธ์ระหว่างปัจจยั การผลติ ต่าง ๆ กับจำนวนผลผลิต

ท่ผี ู้ผลติ ผลิตได้จากการใช้ปจั จัยการผลิตจำนวนหนึ่ง ภายใตเ้ ทคโนโลยีการผลติ ท่ีมอี ยู่ นั่นคือ ฟังก์ชันการผลิต
จะอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการผลิตและผลผลิต ในระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง สามารถเขียนเป็น
ฟงั ก์ชันไดว้ ่า

Q = ƒ(X1, X2, X3, …, Xn)

โดยท่ี Q คอื จำนวนผลผลิต
X1, X2, X3, …, Xn คอื ปจั จัยการผลติ

อ่านได้ว่า จำนวนผลผลิตจะมากน้อยอย่างไรขึ้นอยู่กับปัจจัยการผลิตท่ีใช้ในการผลิต ผู้ผลิต
สามารถเพม่ิ หรือลดจำนวนผลผลติ ได้ด้วยการเพ่ิมหรือลดจำนวนของปัจจยั การผลติ ชนิดใดชนดิ หนง่ึ หรือหลาย
ชนิดทใี่ ชอ้ ยูใ่ นขณะน้นั

ยกตวั อย่างเช่น ถ้าเป็นการผลติ มันสำปะหลังสามารถเขยี นเป็นฟงั กช์ นั ได้ว่า
Q = ƒ(S, F, L, R, T, etc)

โดยที่ Q คือ จำนวนผลผลติ ท่ไี ดร้ ับ
S คอื จำนวนทอ่ นพันธ์ุ
F คอื ปริมาณปยุ๋ ที่ใช้
L คอื จำนวนแรงงานทใี่ ชใ้ นการผลิต
R คือ ปริมาณน้ำฝน
T คอื เทคโนโลยีท่ใี ชใ้ นการผลิต

3

จากฟังก์ชันการผลิต สมมติวา่ เป็นการผลิตมันสำปะหลังซ่ึงต้องใช้ท้ังท่อนพันธุ์ ปุ๋ย แรงงาน
น้ําฝนและเทคโนโลยี ประกอบกันเป็นปัจจัยการผลิต ดังนั้น ผลผลิตจะออกมามากน้อยเพียงใดข้ึนอยู่กับ
ปริมาณของปจั จยั การผลติ และระยะเวลาของการผลิต สำหรับการแบ่งระยะของการผลิตในทางเศรษฐศาสตร์
จะพจิ ารณาจากความสามารถในการเปล่ียนแปลงปัจจยั การผลิตเปน็ สำคัญในการศึกษาทฤษฎกี ารผลติ เพื่อให้
ง่ายต่อการวิเคราะห์ โดยทั่วไปนิยมท่ีจะสมมติให้มีปัจจัยการผลิตเพียง 2 ชนิด คือ ปัจจัยทุน และปัจจัย
แรงงาน ซึ่งเขียนเป็นฟังก์ชันได้ดงั น้ี

Q = ƒ(K, L)

โดยที่ K คอื จำนวนปจั จยั ทนุ
L คอื จำนวนปัจจัยแรงงาน

การใชป้ ัจจัยการผลิตแตล่ ะชนิดในช่วงแรก ๆ หากผู้ผลติ สามารถปรับเปลี่ยนปรมิ าณการผลิต
ได้ในการผลิตนั้นปจั จัยบางชนิดอาจเปล่ียนแปลงได้ยากในระยะส้ัน เช่น ที่ดิน เครื่องจักร อาคาร โรงงานเป็น
ต้น ซ่ึงปัจจัยน้ีเรียกว่า “ปัจจัยคงท่ี (Fixed Factors)” ส่วนปัจจัยที่สามารถเปล่ียนแปลงได้ง่ายเช่น แรงงาน
วตั ถดุ บิ ค่านํา้ และคา่ ไฟ เปน็ ต้น ปัจจัยน้เี รียกวา่ “ปจั จัยผันแปร (Variable Factors)”

ความหมายของการผลติ ในระยะสนั้ และระยะยาว
โดยท่ัวไปเม่ือผู้ผลิตพบว่าสินค้าของตนขายได้มากหรือน้อย ผู้ผลิตย่อมจะพยายามปรับ

จำนวนผลผลติ ให้มากขึ้นหรือนอ้ ยลงตามไปด้วยซงึ่ มีผลตอ่ การเพิ่มหรือลดปัจจยั การผลิต อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิต
มักจะพบว่าในขณะที่ตนสามารถเปลี่ยนแปลงปริมาณปัจจยั การผลิตหลายอย่างได้ทันที แต่ก็มีปัจจัยการผลิต
บางอย่างที่ตอ้ งใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะเพิ่มหรือลดจำนวนลงได้ การผลิตในทางเศรษฐศาสตร์จึงแบง่ การ
วิเคราะห์การผลติ ออกเปน็ 2 กรณี ดังน้ี

1. การผลิตในระยะส้ัน (Short Run Production) หมายถึง ช่วงเวลาของการผลิตท่ี
ผู้ผลิตไม่สามารถเปล่ียนแปลงระดับการใช้ปัจจัยการผลิตบางชนิดได้ตามความต้องการ กล่าวคือ ผู้ผลิต
สามารถปรับเปลีย่ นปริมาณการผลิตโดยการเพมิ่ หรอื ลดการใชป้ ัจจัยการผลติ บางชนิดได้ แต่ยังคงใชป้ ัจจัยการ
ผลิตบางชนิดในปริมาณเท่าเดิม เช่น ชาวไร่ออ้ ยสามารถเพิ่มผลผลิตออ้ ยได้โดยการเพิ่มเมล็ดพันธ์ุ ปุ๋ยเวลาใน
การดูแลเอาใจใส่ นาํ้ เปน็ ตน้ โดยท่ยี ังใชท้ ีด่ นิ ในขนาดเทา่ เดิม เราเรยี กปจั จยั การผลติ ท่ไี ม่สามารถเปล่ียนแปลง
ตามระดับผลผลิตว่า “ปัจจัยคงท่ี” และเรียกปัจจัยการผลิตที่เปล่ียนแปลงตามระดับผลผลิตว่า “ปัจจัยผัน
แปร” จงึ สรปุ ได้ว่า การผลิตในระยะสั้นจะประกอบไปดว้ ยปัจจัยคงทแี่ ละปัจจยั ผนั แปร

4

2. การผลิตในระยะยาว (Long Run Production) หมายถึง ช่วงเวลาของการผลิตที่
ผู้ผลิตสามารถเปล่ียนแปลงระดับการใช้ปัจจัยการผลิตทุกชนิดได้ตามความต้องการ กล่าวคือ ผู้ผลิตสามารถ
ปรับเปลี่ยนปริมาณการใช้ปัจจัยการผลิตให้มากหรือน้อยได้ตามต้องการ การจะปรับใช้ปัจจัยการผลิตแต่ละ
ชนิดมากน้อยเท่าไรนั้น ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนผลผลิตที่ผู้ผลิตต้องการกับปริมาณปัจจัยการ
ผลิตทใี่ ช้และราคาของปัจจัยการผลิตแต่ละชนิด ซึ่งราคาของปัจจัยการผลิตจะสะท้อนถึงคา่ ใชจ้ ่ายหรือต้นทุน
การผลิต ตลอดจนผลกำไรที่ผู้ผลิตควรจะได้รับ แต่อย่างไรก็ตาม เง่ือนไขท่ีจำเป็นของการได้กำไรสูงสุดของ
ผู้ผลติ คือ ผู้ผลิตจะต้องใช้ส่วนผสมของปัจจัยการผลิตแตล่ ะชนิดให้เกิดประสิทธิภาพสูงก่อน จึงสรุปไดว้ ่าการ
ผลติ ในระยะยาว ปัจจัยการผลติ จะมีประเภทเดียวคือ ปจั จยั ผันแปร ปัจจัยท่ีเคยเปน็ ปัจจัยคงทใี่ นระยะสั้นเช่น
ท่ีดิน เคร่ืองจักร อาคาร โรงงาน เป็นต้น สามารถเปล่ียนแปลงได้เมื่อจำนวนผลผลิตเปล่ียนแปลงไปในระยะ
ยาว ซึง่ หมายความวา่ ในระยะยาวปัจจยั เหลา่ นจ้ี ะกลายเป็นปจั จัยผนั แปรทัง้ สน้ิ

จะพบว่า การผลิตในระยะส้ันและการผลิตในระยะยาวจะแบง่ ตามการเปลี่ยนแปลงปจั จัยการ
ผลิตคงท่ีทุกชนิดให้เป็นปัจจัยผันแปรทั้งหมด ซ่ึงข้ึนอยู่กับความสามารถของผู้ผลิตในการเปลี่ยนแปลงปัจจัย
คงที่ให้เป็นปัจจัยผันแปร นอกจากนี้ในการผลิตสินค้าแต่ละชนิดยังใช้เวลาท่ีแตกต่างกัน สำหรับการ
เปล่ยี นแปลงปจั จยั คงทใี่ หเ้ ปน็ ปัจจัยผนั แปร

4. ครูใช้ส่ือ Power Point / เขียนกระดาน ประกอบเทคนิคการบรรยาย การวิเคราะห์การผลติ ใน
ระยะสัน้

การผลิตในระยะสั้น เป็นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนผลผลิตกับปัจจัยการผลิตซึ่ง
ปัจจัยการผลิตในระยะส้ันประกอบด้วยปัจจัยคงท่ีและปัจจัยผันแปร ถ้ากำหนดให้ปัจจัยการผลิต 2 ชนิดคือ
ปัจจัยทุน (K) ซึ่งเป็นปัจจัยคงท่ี และแรงงาน (L) เป็นปัจจัยผันแปร สามารถนำความสัมพันธ์ของปัจจัยการ
ผลติ และจำนวนผลผลิต มาเขยี นเป็นฟงั ก์ชนั การผลิตในระยะส้นั ไดด้ ังนี้

Q = ƒ(K, L)

เน่อื งจากในระยะสนั้ ปัจจยั ทุน (K) ไม่สามารถเปล่ียนแปลงจำนวนได้ การเพ่ิมจำนวนผลผลิตจึง
ตอ้ งทำโดยการเปลีย่ นแปลงแรงงาน (L) ให้เพ่มิ ขน้ึ เพยี งอยา่ งเดยี ว จงึ เขยี นฟังกช์ นั การผลิตใหมไ่ ด้วา่

Q = ƒ(L)

ฟงั ก์ชนั การผลิตในระยะสั้น จะแสดงถงึ จำนวนผลผลิตท่ีผลติ มาจากการใช้ปัจจัยทุนซึง่ เป็นปัจจัย
คงท่ีร่วมกับปัจจัยแรงงานซ่ึงเป็นปัจจัยผันแปร ดังน้ัน จำนวนผลผลิตท่ีเปล่ียนแปลงไปจึงข้ึนอยู่กับจำนวน
ปจั จยั แรงงานท่ใี ชใ้ นการผลิต

5

2. การวเิ คราะห์การผลติ ในระยะสนั้

การวิเคราะห์การผลติ ในระยะสั้น จะอธบิ ายถงึ กำว่าด้วยการใช้ปัจจยั การผลิตที่มสี ัดส่วนไม่คงท่ี
(Law of Variable Proportions) ซ่ึงอธิบายถึงลักษณะและความสัมพันธ์ของผลผลิตแต่ละชนิด และอธบิ าย
ถึงกฎการลดน้อยถอยลงของผลได้ (Law of Diminishing Returns) รวมทั้งการแบง่ ช่วงของการผลิต

2.1 กฎวา่ ด้วยการใช้ปัจจยั การผลิตที่มีสัดสว่ นไมค่ งที่
การศึกษาความสมั พันธ์ระหว่างผลผลิตกับปัจจยั การผลิตในระยะส้ัน เป็นไปตามกฎว่าด้วย

การใช้ปัจจัยการผลิตท่ีมีสัดส่วนไม่คงท่ีจะอธิบายว่า เม่ือปัจจยั คงท่ีทำงานร่วมกับปัจจัยผันแปรท่ีเพ่ิมขึ้นทีละ
หน่วยโดยกำหนดให้เทคโนโลยีการผลิตไม่เปลี่ยนแปลง พบว่าจำนวนผลผลิตรวม (Total Product: TP) ท่ี
ได้รับในช่วงแรกจะเพ่ิมข้ึนเร่ือย ๆ จนระดับจำนวนผลผลิตรวมสูงสุด จากน้ันผลผลิตรวมจะลดลงผลผลิต
ประเภทต่าง ๆ ทใี่ ชใ้ นการวิเคราะห์การผลิตในระยะสน้ั ประกอบด้วย ผลผลติ รวม ผลผลิตเฉลย่ี

ตาราง การเปล่ยี นแปลงของจำนวนผลผลิตมันสำปะหลัง
เม่อื เพิ่มปจั จัยผันแปร (ปยุ๋ ) ทลี ะหน่วยใหก้ ับปจั จัยคงท่ี (ท่ีเดิม)

จากตารางข้างต้น เป็นตัวอย่างฟังก์ชนั การผลิตมันสำปะหลังในระยะส้ันของเกษตรกรราย
หนึ่งโดยกำหนดให้ปุ๋ยเป็นปัจจัยผันแปร ซ่ึงเพ่ิมข้ึนคร้ังละ 1 กิโลกรัม และท่ีดินเป็นปัจจัยคงท่ีเท่ากับ 1 ไร่
ทำงานร่วมกันเพื่อผลิตมันสำปะหลัง โดยผลผลิตมันสำปะหลังท่ีได้รับเป็นไปตามตาราง นำมาเขียนเป็นเส้น
ผลผลิตประเภทตา่ ง ๆ และชว่ งการผลิตได้ดงั น้ี

6

เสน้ ผลผลิตชนิดตา่ ง ๆ และการแบง่ ชว่ งการผลิต

2.2 ความสัมพันธ์ของผลผลติ รวม ผลผลติ เฉล่ีย และผลผลิตหนว่ ยสดุ ทา้ ย
ลักษณะและความสัมพันธข์ องผลผลติ รวม ผลผลิตเฉลี่ย และผลผลติ หน่วยสดุ ท้าย
จากรูป สรุปลกั ษณะและความสัมพันธ์ระหว่างผลผลิตแบบต่าง ๆ และระหวา่ งผลผลิตกับปัจจัย

การผลิตได้ ถ้ากำหนดให้ผผู้ ลิตรายหนึ่งใชป้ ัจจยั การผลติ เพียง 2 ชนิด คือ ที่ดินและป๋ยุ โดยให้ที่ดินเป็นปัจจัย
คงท่ี และปุ๋ยเป็นปัจจัยผันแปรเพียงชนิดเดียว ผลของการเปล่ียนแปลงการใช้ปัจจัยผันแปรพิจารณาได้จาก
ผลผลิตชนดิ ต่าง ๆ ดังนี้

1. ผลผลิตรวม (Total Product: TP) หมายถึง จำนวนผลผลิตทั้งหมดที่ได้จากการใช้ปัจจัย
ผันแปรจำนวนหนึ่ง ๆ ร่วมกับปัจจัยคงท่ีที่มีอยู่ในขณะนั้น (Marginal Product) ต้ังแต่บรรทัดแรกจนถึง
บรรทัดสุดท้ายในช่อง 5 เส้นผลผลิตรวมจะมีลักษณะคล้ายรูประฆังคว่ํา ที่เป็นเช่นนี้เพราะการเพ่ิมปัจจัยผัน
แปรหน่วยแรก ๆ เพื่อทำงานร่วมกับปจั จัยคงที่นั้น มีสัดสว่ นพอเหมาะ และดึงศกั ยภาพของปจั จัยคงท่ีมาใช้ได้
อย่างเต็มที่ ผลผลิตหน่วยสุดท้ายจึงเพิ่มข้ึนตามลำดับ ส่งผลให้ผลผลิตรวมเพ่ิมขึ้นอย่างรวดเร็วแต่เม่ือเพิ่ม
ปจั จัยผันแปรมาถึงจดุ หนึ่งแล้ว การเพิ่มปัจจัยผันแปรต่อไป จะทำให้ผลผลติ หน่วยสุดทา้ ยลดลงเร่ือย ๆ จนถึง
ศูนย์ ซ่ึงทำให้ผลผลิตรวมเพิ่มขึ้นช้ากว่าระยะแรก ผลผลิตรวมจะสูงสุดเม่ือผลผลิตหน่วยสุดท้ายเป็นศูนย์
ดังนั้น ถ้ายังเพิ่มปัจจัยผันแปรต่อไปอีก จะทำให้ผลผลิตหน่วยสุดท้ายติดลบ เป็นผลให้ผลผลิตรวมลดลง ซ่ึง
ทั้งหมดนี้เปน็ ไปตามกฎวา่ ด้วยการใช้ปจั จยั การผลติ ท่ีมสี ัดสว่ นไมค่ งที่

2. ผลผลิตเฉล่ีย (Average Product: AP) หมายถึง ผลผลิตท่ีได้รับต่อหนึ่งหน่วยของปัจจัย
ผนั แปร ซึง่ หาไดโ้ ดยการนำจำนวนผลผลิตรวมทีไ่ ด้รบั หารดว้ ยจำนวนปจั จัยผันแปรท่ีใช้ ผลผลติ เฉลี่ยจะบอกว่า
ปัจจัยผันแปรแต่ละหน่วยโดยเฉลี่ยแล้วก่อให้เกิดผลผลิตเท่าใด เช่น ผลผลิตรวมท้ังหมด 100 หน่วยใช้ปัจจัย
แรงงาน 5 คน รว่ มกับปัจจัยทุน แสดงว่า แรงงานแต่ละคนก่อให้เกิดผลผลิตโดยเฉล่ียต่อคนเท่ากับ 20 หน่วย
เปน็ ต้น สามารถหาคา่ AP ไดจ้ าก

7

AP = TP
L

โดยท่ี AP = ผลผลิตเฉล่ีย
TP = ผลผลิตรวม
L = ปจั จยั ผันแปร (แรงงาน)

3. ผลผลิตหน่วยสุดท้าย (Marginal Product: MP) หมายถึง จำนวนผลผลิตรวมท่ี
เปล่ียนแปลงไปเมื่อเพิ่มการใช้ปัจจัยผันแปรเข้าไปทีละหนึ่งหน่วย กล่าวคือ ผลผลิตหน่วยสุดท้ายจะบอกให้
ทราบว่าเมื่อผู้ผลิตเปลี่ยนแปลงปัจจัยผันแปรไปจากเดิม 1 หน่วย ทำให้ผลผลิตรวมเปล่ียนแปลงไปจากเดิมกี่
หน่วยค่า MP บอกให้รู้ว่า การใชป้ ัจจัยผันแปรเพิ่มขึ้นแต่ละหน่วย จะทำให้จำนวนผลผลิตเพ่ิมขึ้นเท่าใด เช่น
เดมิ ใช้แรงงาน 5 คน ผลผลิตรวมท่ีได้รบั 100 หน่วย หากเพิม่ แรงงานคนท่ี 6 เข้าไป ทำให้ผลผลิตรวมเพ่ิมขึ้น
เป็น 110 หน่วย แสดงวา่ แรงงานคนท่ี 6 น้ี ก่อใหเ้ กดิ ผลผลิตเท่ากับ 10 หน่วย เป็นต้น สามารถหาคา่ MP ได้
จาก

MP = ΔTP
ΔL

โดยที่ MP = ผลผลิตหน่วยสุดทา้ ย ซ่ึงเป็นค่าความชนั ของเสน้ TP
ΔTP = ส่วนเปลีย่ นแปลงของผลผลติ รวม
ΔL = สว่ นเปล่ยี นแปลงของปัจจยั ผนั แปร (แรงงาน)

การผลิตในระยะสน้ั จำนวนผลผลติ ท่ีได้รับจากการใช้ปจั จยั คงที่ร่วมกับปัจจัยผันแปรเป็นไปตาม
กฎการลดน้อยถอยลงของผลได้ (Law of Diminishing Returns) กฎนี้กล่าวว่า “การผลิตที่มีการใชป้ ัจจยั คงท่ี
ร่วมกับปจั จยั ผันแปร เมื่อใช้ปัจจัยผนั แปรเพิ่มข้ึนเร่ือย ๆ ในระยะแรก ผลผลิตรวมจะเพิ่มขนึ้ ในอตั ราท่ีเพิ่มขึ้น
(Increasing Returns) ต่อมาผลผลติ รวมจะเพ่มิ ข้ึนในอตั ราที่ลดลง (Diminishing Returns)จนกระท่ังถึงระดับ
ท่ีผลผลิตรวมสูงสุด หากยังเพิ่มปัจจัยผันแปรเข้าไปอีก ผลผลิตรวมจะลดลง (NegativeReturns)” ซึ่งกฎน้ีมี
สาเหตุเน่ืองมาจากการใช้ปัจจัยการผลิตในสัดส่วนที่ไม่เท่ากัน เช่น การปลูกมันสำปะหลัง สมมติว่าใช้ท่ีดิน 1
ไร่ กบั ชาวไร่ 2 คน เป็นอัตราส่วนผสมของปจั จยั ที่เหมาะสมในการปลูกมันสำปะหลัง หากเราเพมิ่ ชาวไรซ่ ึ่งเป็น
ปัจจัยผนั แปรเข้าไปเรื่อย ๆ ในการปลูกมันสำปะหลงั 1 ไร่ ซึ่งเป็นปัจจัยคงท่ี จะเห็นว่า ผลผลติ หน่วยสุดท้าย
จะคอ่ ย ๆ ลดลง เพราะชาวไร่มจี ำนวนมากเกินไปสำหรับการปลูกมันสำปะหลงั 1 ไร่

8

4. ความสัมพันธ์ระหว่างผลผลิตรวม (TP) ผลผลิตเฉลี่ย (AP) และผลผลิตหน่วยสุดท้าย
(MP) แบง่ การวเิ คราะหอ์ อกเปน็ 3 ขั้น ดงั นี้

ขั้นท่ี 1 (Stage I) เป็นช่วงแรกของการใช้ปัจจัยผันแปรในช่วงที่ผลผลิตเฉลี่ย (AP) มีค่าเพิ่มข้ึน
เรื่อย ๆ และส้ินสุดตรงที่ผลผลิตเฉล่ียมีค่าสูงสุด ในขั้นน้ีผลผลิตรวม (TP) จะเพ่ิมข้ึนในอัตราท่ีเพิ่มข้ึน และ
เพิ่มข้ึนในอัตราที่ลดลง ค่าของผลผลิตหน่วยสุดท้ายมากกว่าผลผลิตเฉลี่ย (MP > AP) และ ณ จุดที่ AP มี
คา่ สูงสดุ คา่ ของ AP = MP จะเป็นเสน้ แบง่ ขน้ั ของการผลิตข้นั ท่ี 1 และข้นั ท่ี 2

ข้ันท่ี 2 (Stage II) เป็นช่วงของการเพิ่มการใช้ปัจจัยผันแปรเข้าไปแล้ว ทำให้ผลผลิตเฉลี่ยเร่ิม
ลดลงและส้ินสุดตรงที่ผลผลิตรวมสูงสุด น่ันคือค่าของผลผลิตหน่วยสุดท้ายมีค่าเป็นศูนย์ (MP = 0) ในช่วงนี้
ผลผลติ รวมเพมิ่ ข้นึ ในอตั ราทีล่ ดลง ผลผลิตหนว่ ยสุดท้ายมคี ่าลดลง แตย่ ังมากกวา่ ศนู ย์ และคา่ ของ AP > MP

ข้ันท่ี 3 (Stage III) เป็นช่วงของการเพิ่มการใช้ปัจจัยผันแปรเข้าไปแล้ว ทำให้ผลผลิตหน่วย
สุดท้ายลดลง และมีค่าติดลบ แสดงว่ามีการใช้ปัจจัยผันแปรมากเกินไปเม่ือเทียบกับปัจจัยคงท่ี เม่ือมีการใช้
ปจั จัยผันแปรเพิ่มขน้ึ ผลผลิตรวมลดลง ดังน้ัน แม้ว่าผู้ผลิตจะใช้ปจั จัยผันแปรโดยไม่เสียค่าใช้จา่ ยแต่ผ้ผู ลิตที่มี
เหตุผลจะไมด่ ำเนินการผลติ ในข้นั นี้

สรุป การใช้ปจั จัยผันแปรทีเ่ หมาะสมจะอยู่ในการผลิตข้ันที่ 2 เนื่องจากการผลิตในข้ันที่ 1 ปัจจัย
ผันแปรมีน้อยเกินไปเม่ือเทียบกับปัจจัยคงที่ การเพิ่มปัจจัยผันแปรเพื่อทำงานร่วมกับปัจจัยคงท่ีทำให้ผลผลิต
หน่วยสุดท้ายมีค่ามากกว่าผลผลิตเฉลี่ย (MP > AP) แสดงว่าผู้ผลิตสามารถใช้ปัจจัยผันแปรอย่างมี
ประสิทธิภาพ โดยที่ผลผลิตหนว่ ยสดุ ทา้ ย (MP) จะแสดงถงึ ประสทิ ธภิ าพของปัจจัยผันแปรหน่วยทเี่ พ่ิมขนึ้ และ
ผลผลิตเฉล่ีย (AP) แสดงถึงประสิทธภิ าพของปจั จยั ผันแปรโดยเฉล่ีย ดงั นั้น เมื่อเพ่ิมการใช้ปัจจยั ผนั แปรมผี ลให้
ผลผลิตหน่วยสุดท้ายลดลง แสดงถึงการลดลงในประสิทธิภาพของปัจจัยผันแปรหน่วยท่ีใช้เพิ่มขึ้น แต่ผลผลิต
รวมยังคงเพิ่มโดยเพิ่มในอัตราที่ลดลง แสดงว่าผลผลิตรวมท่ีเพ่ิมขึ้นเกิดจากการเพิ่มของประสิทธิภาพของ
ปัจจัยคงท่ี ฉะน้ัน ผู้ผลิตจึงไม่ควรหยุดการใช้ปัจจัยผนั แปรในช่วงนี้ เนือ่ งจากการเพิ่มการใช้ปัจจัยผันแปร ทำ
ให้มีการเพิ่มข้ึนของประสิทธภิ าพของปจั จัยคงที่ จึงทำให้ผลผลิตรวมยงั คงเพิ่มขึ้น ถึงแม้ผลผลิตหน่วยสุดท้าย
ของปัจจัยผันแปรจะลดลง แต่ผลผลิตเฉลย่ี ยังคงเพ่ิมขน้ึ แสดงถึงการเพ่ิมข้นึ ในประสิทธิภาพของปจั จัยผันแปร
โดยเฉลี่ย ในข้ันการผลิตนี้จึงมีการใช้ปัจจัยผันแปรน้อยไปเม่ือเทียบกับปัจจัยคงที่ สำหรับการผลิตขั้นท่ี 2
(Stage II) ถึงแม้การเพิ่มขึ้นของปัจจัยผันแปรจะทำให้ผลผลิตหน่วยสุดท้ายและผลผลิตเฉลี่ยลดลง แต่ผลผลิต
หน่วยสุดท้ายยังคงเป็นบวก และผลผลิตรวมยังคงเพ่ิมข้ึนแต่เพิ่มข้ึนในอัตราที่ลดลง แสดงว่าการเพ่ิมการใช้
ปจั จยั ผันแปรร่วมกับปัจจัยคงท่ีจำนวนหน่ึงผลผลิตหน่วยสุดท้ายลดลง แสดงถึงการลดลงในประสทิ ธิภาพของ
ปจั จัยผันแปรท่ีเพ่ิมข้นึ และผลผลติ เฉลี่ยลดลง แสดงถึงการลดลงของประสทิ ธิภาพของปัจจัยผันแปรโดยเฉลี่ย
แต่ผลผลิตรวมยังคงเพิ่ม แสดงให้เห็นว่าการเพิ่มปัจจัยผันแปรข้ึนอีกจะทำให้สามารถเพ่ิมประสิทธิภาพของ
ปัจจัยคงท่ี มีผลให้ผลผลิตรวมยังคงเพิ่มขึ้นฉะน้ันข้ันการผลิตท่ีเหมาะสมท่ีผู้ผลิตจะใช้ปัจจัยผันแปรร่วมกับ
ปัจจัยคงท่ี จึงอยู่ในขั้นการผลิตท่ี 2 (Stage II) เพราะเป็นชว่ งการผลิตท่ีสิ้นสดุ ความคงที่ผลผลติ หน่วยสุดท้าย
(MP) มีค่าเท่ากับศูนย์ ถ้ามีการขยายการผลิตโดยการเพ่ิมปัจจัยผันแปรเข้าไปอีก จะทำให้ประสิทธิภาพของ
ปจั จยั คงท่ลี ดลง และทำใหผ้ ลผลิตรวม (TP) ลดลง เพราะฉะนน้ั ไมค่ วรเพิ่มปจั จัยผนั แปรเกินกวา่ จดุ นี้

9

3. การวเิ คราะห์การผลติ ในระยะยาว

การวิเคราะห์การผลิตในระยะยาว จะใช้ทฤษฎีเส้นผลผลิตเท่ากัน (Isoquant Curve) และเส้น
ตน้ ทุนเท่ากัน (Isocost Curve) เนื่องจากการผลิตในระยะยาว ผูผ้ ลิตสามารถเปลี่ยนแปลงปัจจัยการผลิตทุก
ชนดิ ได้ตามตอ้ งการ และมปี จั จัยผันแปรเพียงชนิดเดียว ผู้ผลิตทีต่ อ้ งการกำไรสูงสูดจะเลือกส่วนผสมของปัจจัย
การผลติ ท่สี ามารถผลิตสินค้าไดจ้ ำนวนมากทส่ี ดุ ภายใตง้ บประมาณหรอื ต้นทนุ ทม่ี ีอยู่

1. เส้นผลผลิตเท่ากัน (Isoquant Curve: IQ) คือ เส้นท่ีแสดงส่วนผสมต่าง ๆ ของปัจจัยการ
ผลิตสองชนิดท่ีทำให้ได้ผลผลิตในจำนวนที่เท่ากัน ไม่ว่าผู้ผลิตจะเลือกผลิตสินค้าโดยใช้ปัจจัยการผลิตท้ังสอง
ชนิดบนเส้นผลผลิตเท่ากัน ย่อมทำให้ผู้ผลิตผลิตสินค้าไดใ้ นจำนวนที่เท่ากันตลอด กล่าวคือเมื่อผู้ผลิตต้องการ
ใช้ปจั จยั การผลิตชนดิ หน่ึงเพิ่มขึ้น ผ้ผู ลติ จำเปน็ ต้องลดการใชป้ ัจจัยการผลิตอีกชนดิ หนง่ึ ลงเพ่อื รักษาระดับของ
จำนวนผลผลติ ที่ผลิตให้เท่าเดมิ ตลอด ดงั แสดงในตารางตอ่ ไปนี้

ตาราง ส่วนผสมตา่ งๆ ของการใช้ปัจจัย L และปัจจยั K
ในการผลิตสินค้าจำนวน 100 หน่วย

ส่วนผสม ปัจจยั L (หนว่ ย) ปัจจัย K (หนว่ ย)
A 0 30
B 1 20
C 2 12
D 3 6
E 4 2
F 5 0

10

แสดงเส้นผลผลิตเทา่ กัน
จากตาราง สมมตวิ า่ ผูผ้ ลิตมีปจั จยั การผลติ 2 ชนิด คือ ปัจจัย L และปัจจัย K ในการเลอื กใชป้ ัจจัย
Lและปัจจัย K เพื่อใหส้ ามารถผลติ สินค้าไดใ้ นจำนวนเท่ากัน คอื 100 หน่วย ดังนั้น ถ้ามีการใช้ปัจจัยชนิดหนึ่ง
เพ่ิมขึ้นจะต้องลดการใช้ปัจจัยอีกชนิดหน่ึงลง เช่น ส่วนผสม A ผู้ผลิตใช้ปัจจัย L จำนวน 1 หน่วย ใช้ปัจจัยK
จำนวน 30 หน่วย ส่วนผสม B ใช้ปัจจัย L จำนวน 2 หน่วย จึงลดการใช้ปัจจัย K ลงเหลือ 20 หน่วยจากรูป
กำหนดให้แกนต้ังเป็นปัจจยั K และแกนนอนเป็นปัจจัย L เม่ือนำข้อมูลจากตารางมาวาดกราฟจะได้จุด A – F
ซึ่งแต่ละจุดแสดงถึงส่วนผสมของการใช้ปัจจัย L และปัจจัย K ท่ีมีจำนวนต่างกันแต่ให้ผลผลิตเท่ากัน เม่ือ
ลากเสน้ เชื่อมจดุ ทั้งหมดจะได้ “เสน้ ผลผลติ เท่ากนั (Isoquant Curve: IQ)”
คณุ สมบตั ิของเสน้ ผลผลิตเทา่ กนั
เส้นผลผลิตเท่ากนั มคี ุณสมบตั ดิ ังน้ี
1. เส้นผลผลติ เท่ากันเปน็ เส้นท่ีทอดลงจากซา้ ยมาขวาหรือมีความชันเป็นลบ และโค้งเวา้ เข้าหาจุด
กำเนิด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าปัจจัยการผลิตทั้งสองชนิดสามารถใช้ทดแทนกันได้แต่ไม่สมบูรณ์ กล่าวคือถ้าผู้ผลิต
เพ่มิ การใช้ปัจจยั การผลิตชนดิ หน่ึงข้ึน กต็ ้องลดการใช้ปัจจัยการผลิตอีกชนดิ หน่ึงลง เพอ่ื ใหจ้ ำนวนผลผลติ ยังคง
เท่าเดมิ
2. เส้นผลผลิตเท่ากันมีได้หลายเส้น เสน้ ที่อยู่ทางขวาหรืออยูส่ ูงกวา่ เส้นเดมิ แสดงถงึ ส่วนผสมของ
การใช้ปัจจัยการผลิตที่ทำให้ได้ผลผลิตในจำนวนที่มากกว่า เส้นผลผลิตเท่ากันสามารถสรา้ งขึ้นได้หลายเสน้ ซ่ึง
เรียกว่า “แผนภาพเส้นผลผลิตเท่ากัน (Isoquant Map)” เส้นผลผลิตเท่ากันท่ีอยู่สูงกว่า แสดงถึง จำนวน
ผลผลิตท่ีมากกว่า ส่วนเส้นผลผลิตเท่ากนั ทต่ี ํ่าสุด (IQ1) แทนจำนวนผลผลิต 100 หน่วย เส้นที่อยู่ถัดขึ้นไปจาก
เส้นต่ำสดุ (IQ2) แทนจำนวนผลผลติ 200 หน่วย และเส้นทีอ่ ยสู่ ูงสุด (IQ3) แทนจำนวนผลผลติ 300 หน่วย

11

แสดงแผนภาพเสน้ ผลผลติ เทา่ กัน

จากรูป แสดงแผนภาพเสน้ ผลผลิตเท่ากันประกอบด้วย เส้นผลผลิตเท่ากัน 3 เส้น โดยเส้นที่ให้ผล
ผลติ มากท่ีสดุ และรองลงมาคือ เสน้ IQ3 เส้น IQ2 และเส้น IQ1

3. เส้นผลผลิตเท่ากันตัดกันไม่ได้ เน่ืองจากขัดแย้งกับคุณสมบัติข้อ 2 หากเส้นผลผลิตเท่ากัน
จำนวน 2 เส้นตัดกัน หมายความว่า ณ จุดท่ีตัดกันส่วนผสมของปัจจัยการผลิตจะเท่ากันและผลผลิตที่ได้ก็
เท่ากันดว้ ย ซ่ึงขัดแย้งกับจำนวนผลผลิตที่ได้จากเสน้ ผลผลิตเทา่ กันในช่วงที่ไม่ไดต้ ัดกัน โดยเส้นท่ีสูงกวา่ จะให้
ผลผลติ มากกวา่ ดังนั้น เสน้ ผลผลติ เท่ากันจงึ ตัดกนั ไมไ่ ด้

อัตราการใช้ปัจจัยการผลิตทดแทนกัน (Marginal Rate of Technical Substitution:
MRTS)

1. อัตราการใช้ปัจจัยการผลิตทดแทนกัน หมายถึง จำนวนปัจจัยการผลิตชนิดหนึ่งที่ผู้ผลิต
สามารถใช้ลดลงเมื่อมีการใช้ปัจจัยการผลิตอีกชนิดหนึ่งเพิ่มข้ึนหนึ่งหน่วย โดยที่ผลผลิตยังคงเท่าเดิม ดังนั้น
อตั ราการใช้ปัจจัยการผลติ ทดแทนกันจึงแสดงถึงความสามารถในการทดแทนกันของปัจจัยการผลิตชนิดหน่ึง
(ที่เพ่ิมข้ึนทีละหน่วย) กับปัจจัยการผลิตอีกชนิดหน่ึง (ท่ีลดลง) โดยผลผลิตยังคงเท่าเดิม สามารถเขียนสมการ
ไดด้ งั นี้

MRTSLK = -ΔK
ΔL

โดยท่ี ΔK = ส่วนเปลีย่ นแปลงของปจั จัย K
ΔL = สว่ นเปล่ยี นแปลงของปจั จัย L

12

จากตารางข้างต้น เมื่อมีการใช้ปัจจัย L เพ่ิมขึ้นทีละหนึ่งหน่วย ผู้ผลิตต้องลดการใช้ปัจจัย K ลง
เร่ือยๆกล่าวคือ ค่า MRTSLK มีค่าลดลง ปรากฏการณ์นี้เป็นไปตามกฎการลดน้อยถอยลงของผลได้ (Law of
Diminishing Returns) เกิดจากการเพิ่มปัจจัยการผลิตชนิดหน่ึงเข้าไปเร่ือย ๆ แล้วทำให้สัดส่วนของการใช้
ปจั จยั การผลิตท้ังสองชนิดไมเ่ หมาะสม

2. เส้นต้นทุนเท่ากัน (Isocost Curve หรือ Isocost Line) คือ เส้นทีแ่ สดงการเลือกซ้ือปัจจัย
การผลิต 2 ชนิด ในอัตราส่วนต่าง ๆ โดยกำหนดให้ราคาของปัจจัยการผลิตสองชนิดที่สามารถซื้อได้ด้วย
เงินทุนท่ีเท่ากันเส้นต้นทุนเท่ากัน จึงเป็นเส้นที่บอกให้ทราบว่า ณ จุดที่ปัจจัยการผลิตถูกนำเข้ามาใน
กระบวนการผลิตผู้ผลติ จะเสียต้นทุนเท่าไร สำหรับค่าใช้จ่ายในการซ้ือปัจจัยการผลติ นั้น สมมติให้มีปจั จัยการ
ผลติ 2 ชนดิ คอื K และ L ดงั นน้ั สมการต้นทุนก็คือ

TC = L⋅ PL + K⋅PK

โดยที่ TC คือ ต้นทุนการผลิตรวม
L คอื จำนวนปจั จัย L
K คอื จำนวนปัจจยั K
PL คอื ราคาต่อหนว่ ยของปัจจยั L
PK คอื ราคาตอ่ หน่วยของปจั จัย K

เสน้ ตน้ ทนุ เท่ากัน มีวธิ กี ารหาคลา้ ยกับเสน้ งบประมาณ ดงั รปู

เส้นต้นทุนเท่ากนั

13

จากรูป สมมติว่าผู้ผลติ กำหนดต้นทุนการผลิตไว้ 100 บาท สำหรับซื้อปัจจัยการผลิต 2 ชนิด คือ
ปัจจัย K และปัจจัย L โดยราคาปัจจัย K หน่วยละ 25 บาท ปัจจัย L หน่วยละ 10 บาท ถ้าผู้ผลิตไม่ซ้ือปัจจัย
K แต่ซ้ือปัจจัย L อย่างเดียว เขาจะซ้ือปัจจัย L ได้ 10 หน่วย (ณ จุด C) แต่ถ้าไม่ซื้อปัจจัย L แต่ซื้อปัจจัย K
เพยี งอย่างเดยี ว เขาจะซ้อื ปัจจัย K ได้ 4 หน่วย (ณ จุด A) ถ้าผู้ผลิตซื้อปัจจยั การผลิตท้ัง 2 ชนิด (ณ จดุ B) เขา
จะซื้อปัจจัย K ได้ 2 หน่วย และปัจจัย L ได้ 5 หน่วย ซ่ึงใช้เงินซื้อปัจจัยการผลิตเป็นเงิน100 บาทเท่ากัน
กล่าวคือ

ณ จดุ A ค่าใชจ้ า่ ยในการซอ้ื ปัจจยั การผลิต = 0(10) + 4(25) = 100 บาท
ณ จดุ B ค่าใชจ้ ่ายในการซื้อปัจจัยการผลิต = 5(10) + 2(25) = 100 บาท
ณ จดุ C ค่าใช้จ่ายในการซอ้ื ปจั จยั การผลิต = 10(10) + 0(25) = 100 บาท
ลกั ษณะของเส้นตน้ ทนุ เท่ากนั มดี งั นี้
1. เปน็ เส้นตรงทอดลงจากซ้ายไปขวา
2. มสี ่วนตัดแกนต้ังและแกนนอนเทา่ กับต้นทนุ หารด้วยราคาของปัจจยั การผลติ ในแกนตงั้ และแกน
นอน ตามลำดับ
3. ความชัน (Slope) ของเส้นต้นทุนเท่ากันมีค่าเท่ากับราคาของปัจจัยการผลิตในแกนนอนหาร
ดว้ ยราคาของปัจจัยการผลติ ในแกนตั้ง น่ันคอื

ความชันของเสน้ ตน้ ทนุ เทา่ กนั = PL
PK

โดยที่ PL คอื ราคาของปจั จัย L
PK คอื ราคาของปัจจัย K

4. ดุลยภาพการผลิต

หลังจากการศึกษาเก่ียวกับเส้นผลผลิตเท่ากันและเส้นต้นทุนเท่ากันแล้ว สามารถนำเส้นเหล่านี้มา
ใช้ในการวิเคราะห์ว่า ผู้ผลิตควรตัดสินใจเลือกใช้ปัจจัยการผลิตสองชนิดในส่วนผสมใด จึงจะทำให้คุ้มค่ามาก
ท่สี ุดกบั งบประมาณทีม่ ีอยู่

ดุลยภาพของการผลิต (Production's Equilibrium) คือ จุดท่ีมีการใช้ปัจจัยการผลิตท่ี
เหมาะสมที่สุด ผู้ผลิตเสียต้นทุนการผลิตต่ําท่ีสุด ได้รับผลผลิตมากที่สุด กล่าวคือ การใช้ปัจจัยการผลิตที่
เหมาะสมที่สุด โดยเสียต้นทนุ การผลิตตํ่าสุดอยู่ ณ จุดท่ีเส้นผลผลติ เท่ากันสัมผัสกับเสน้ ต้นทนุ เท่ากันพอดี และ
ค่าความชันของจุดน้จี ะเท่ากนั คือ

14

MRTSLK = -ΔK = PL
ΔL PK

การใช้สว่ นผสมของปจั จัยการผลติ ทเ่ี สยี ต้นทุนตา่ํ ที่สุดพจิ ารณาได้ดงั รปู

แสดงดลุ ยภาพของการผลติ

จากรูป สมมติว่าผู้ผลิตมีต้นทนุ การผลิตเท่ากับ 100 บาท โดยซ้ือปจั จัยการผลติ 2 ชนดิ คือ ปัจจัย
L และปัจจัย K โดยที่ราคาปัจจัย L หน่วยละ 10 บาท และราคาปัจจัย K หน่วยละ 25 บาท ซ่ึงผลิตสินค้าได้
จำนวน 100 หน่วย เส้น IQ คือ เส้นผลผลิตเท่ากัน และเสน้ ED คือ เส้นต้นทุนเท่ากัน ผู้ผลิตจะเลือกผลิต ณ
จดุ A ซึ่งเปน็ จุดที่เส้นผลผลิตเท่ากันสัมผัสกับเส้นต้นทุนเท่ากนั พอดี ทำให้ผู้ผลิตเสียตน้ ทุนการผลิตต่ำท่ีสดุ ใน
การผลิตสินคา้ จำนวน 100 หน่วย โดยผู้ผลิตจะใช้ปัจจัย L จำนวน 5 หน่วย และปัจจัย K จำนวน 2 หน่วย
โดยเสียต้นทุนการผลิตเท่ากันคือ 100 บาท สำหรับการผลิต ณ จุด B และจุด C แม้ผู้ผลิตจะได้รับผลผลิต
จำนวน 100 หน่วยเท่ากันก็ตาม แต่ทัง้ จดุ B และจุด C อย่สู งู กวา่ เส้นตน้ ทุนเท่ากันแสดงให้เหน็ ว่าผ้ผู ลิตจะตอ้ ง
ใช้ต้นทุนมากกว่า 100 บาท ส่วนการผลิตในจุด F จะได้ปริมาณผลผลิตเท่ากับ 200 หน่วย ซึ่งเป็นจุดท่ีไม่
สามารถทำการผลติ ได้ เนอื่ งจากเกินงบประมาณท่มี อี ยู่

กฎผลได้ตอ่ ขนาด
การผลิตในระยะยาวเป็นการผลิตท่ีผู้ผลิตสามารถเปล่ียนแปลงปัจจัยการผลิตได้ทุกชนิดตามท่ี
ต้องการ ถ้าผู้ผลิตเพ่ิมปัจจัยการผลิตทุกชนิดในอัตราส่วนเท่ากัน จะมีผลทำให้ผลผลิตที่ได้รับจากการขยาย
ขนาดของการใช้ปัจจัยการผลติ เพม่ิ ขนึ้ ในอตั ราท่ีสงู กว่า เท่ากัน หรือตา่ํ กว่าอัตราการเพิ่มขนึ้ ของปจั จยั การผลิต
แต่ปรากฏการณ์นี้จะเกิดข้ึนเฉพาะการผลิตในระยะยาวเท่าน้ัน ซึ่งเรียกว่า “กฎผลได้ต่อขนาด (returns to
scale)” ซึง่ มลี กั ษณะของผลไดต้ อ่ ขนาดดงั น้ี

15

1. ผลไดต้ ่อขนาดเพ่ิมข้นึ (Increasing Returns to Scale) เป็นลักษณะที่ผผู้ ลิตไดร้ ับผลผลิต
เพ่มิ ข้นึ ในอตั ราท่ีสงู กว่าอตั ราการเพม่ิ ขึ้นของปัจจยั การผลิตทกุ ชนิดท่ใี ช้

2. ผลได้ต่อขนาดคงท่ี (Constant Returns to Scale) เป็นลักษณะท่ีผู้ผลิตได้รับผลผลิต
เพมิ่ ข้นึ ในอัตราที่เทา่ กบั อัตราการเพ่ิมขน้ึ ของปจั จยั การผลิตทุกชนิดที่ใช้ ซ่ึงอาจเกิดจากประสิทธิภาพที่มาจาก
ผลของการแบง่ งานกนั ทำไดเ้ พมิ่ จนถงึ จุดสงู สุดแล้ว และไมส่ ามารถเพมิ่ ประสทิ ธิภาพในการผลติ ไดอ้ ีก

3. ผลได้ต่อขนาดลดลง (Decreasing Returns to Scale) เป็นลักษณะที่ผู้ผลิตได้รับผลผลิต
เพิ่มข้ึนในอัตราที่ต่ํากว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของปัจจัยการผลิตทุกชนิดที่ใช้ ซ่ึงเกิดจากปัญหาความยุ่งยากอัน
เนอ่ื งมาจากการผลติ ทีม่ ีขนาดใหญม่ ากเกินไป

สรุป การผลิต (Production) หมายถึง การนำทรัพยากรหรือปัจจัยการผลิตต่าง ๆ อันได้แก่
ที่ดิน ทุน แรงงาน และผู้ประกอบการ มาผ่านกระบวนการแปรสภาพให้กลายเป็นสินค้าและบริการเพื่อ
ตอบสนองความต้องการของมนษุ ย์ ผผู้ ลติ มจี ดุ ม่งุ หมาย คอื แสวงหากำไรสงู สดุ (profit maximization)

การผลิตในระยะส้นั เป็นการผลิตในช่วงระยะเวลาที่ผู้ผลติ ไม่สามารถเปลยี่ นแปลงการใชป้ ัจจัยการ
ผลิตบางชนิดไดต้ ามความต้องการ ดังน้ัน การผลิตในระยะส้ันประกอบด้วยปัจจัยคงที่และปัจจัยผันแปร เม่ือ
เพิ่มปัจจัยผันแปรทีละหนึ่งหน่วยในช่วงแรก ผลผลิตหนว่ ยสดุ ท้ายจะมคี า่ เพม่ิ ข้ึนมคี ่าสงู สุด และหลังจากน้นั จะ
มคี า่ ลดลงเร่ือย ๆ ซงึ่ เปน็ ไปตามกฎการลดนอ้ ยถอยลงของผลผลิตหน่วยสุดท้าย

การผลิตในระยะยาว เป็นการผลิตในชว่ งระยะเวลาท่ีผผู้ ลิตสามารถเปลี่ยนแปลงการใช้ปัจจัยการ
ผลิตทุกชนิดได้ตามความต้องการ ดังนัน้ การผลิตในระยะยาว ปัจจัยการผลิตจะมีประเภทเดียวคือ ปัจจัยผัน
แปร ปจั จยั ท่ีเคยเป็นปจั จัยคงทีใ่ นระยะสั้น เชน่ ที่ดนิ เคร่ืองจักรอาคาร โรงงาน เปน็ ต้น สามารถเปลี่ยนแปลง
ไดเ้ มอ่ื จำนวนผลผลิตเปลี่ยนแปลงไปในระยะยาวซึง่ หมายความว่าในระยะยาว ปัจจยั เหลา่ นี้จะกลายเป็นปัจจัย
ผนั แปรทั้งสิ้น

การวิเคราะห์การผลติ ในระยะยาวจะใชเ้ ส้นผลผลติ เทา่ กันและเส้นต้นทุนเท่ากัน ผู้ผลติ ท่ีตอ้ งการ
กำไรสงู สูดจะเลือกส่วนผสมของปจั จัยการผลิตที่สามารถผลติ สนิ ค้าได้จำนวนมากทีส่ ุดภายใต้งบประมาณ
หรือต้นทุนที่มีอยู่ ผู้ผลิตจะเลือกใชส้ ่วนผสมปจั จยั การผลติ ท่ีเสยี ต้นทุนการผลิตตาํ่ สดุ ณ จุดที่เส้นผลผลิต
เท่ากันสัมผัสกับเส้นต้นทุนเท่ากันพอดี และค่าความชันของจุดน้ีจะเท่ากัน เรียกจุดนี้ว่า “ดุลยภาพของ
การผลติ ”

16

แบบประเมินผลการเรยี นรู้หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 5

ตอนที่ 1 จงตอบคำถามตอ่ ไปน้ี
1. อธิบายความหมายของการผลิต และฟังก์ชันการผลติ

............................................................................................................................. ........................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ........................................................

2. อธบิ ายการผลิตในระยะสั้นและระยะยาววา่ แตกต่างกันอย่างไร

............................................................................................................................. ........................................................
............................................................................................................................. ........................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

3. กฎว่าดว้ ยการใชป้ ัจจัยการผลติ ทม่ี ีสัดส่วนไมค่ งที่ อธบิ ายไวว้ ่าอย่างไร

.....................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ........................................................
...................................................................................................................................................................... ...............
.....................................................................................................................................................................................

4. ผลผลิตเฉลี่ย ผลผลติ หน่วยสดุ ท้าย หมายความว่าอยา่ งไร

.....................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ........................................................
....................................................................................................................................................... ..............................
.....................................................................................................................................................................................

5. การผลิตแบง่ ออกไดก้ ช่ี ่วง แตล่ ะชว่ งมีลกั ษณะอย่างไร และชว่ งการผลิตใดเปน็ ช่วงที่เหมาะสมท่ีสดุ

...................................................................................................................................................................... ...............
.....................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ........................................................
.................................................................................................................................... .................................................

6. เสน้ ผลผลติ เท่ากนั คอื อะไร และมีคณุ สมบตั ิอย่างไร

......................................................................................................................................................... ............................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

17

7. เสน้ ต้นทนุ เทา่ กนั คืออะไร และมีคณุ สมบัติอยา่ งไร

............................................................................................................................................. ........................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

8. อัตราการใช้ปจั จัยการผลิตทดแทนกันหมายความวา่ อย่างไร

.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

9. เง่ือนไขการใชส้ ว่ นผสมของปจั จยั การผลติ ทีเ่ สยี ต้นทุนต่ําทีส่ ุดมวี า่ อย่างไร

.....................................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................. ....................................
.....................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................. ...................

10. สมการต้นทนุ จากการใช้ปจั จยั การผลติ 2 ชนดิ มวี ่าอย่างไร

.................................................................................................................................................................................. ...
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................ .....................................

18

ตอนที่ 2 จงเลอื กขอ้ ท่ีถูกตอ้ งท่สี ุดเพยี งขอ้ เดยี ว

1. ขอ้ ใดคอื จุดมุ่งหมายทีส่ ำคญั ที่สุดของการผลิตในทางเศรษฐศาสตร์ของผ้ผู ลติ

ก. ตน้ ทนุ การผลติ คงท่ี ข. ต้นทุนการผลิตลดลง

ค. แสวงหาซึง่ กำไรสูงสุด ง. รายรับจากการขายสนิ ค้าเพม่ิ ขึ้น

จ. รายรับจากการขายปจั จัยการผลิตเพมิ่ ขน้ึ

2. การผลติ ในระยะสัน้ ข้ันใดท่ีผลผลติ หน่วยสุดท้าย (MP) มีคา่ เท่ากับศูนย์

ก. ขน้ั ที่ 1 ข. ขัน้ ท่ี 2

ค. ขั้นที่ 3 ง. ข้ันที่ 4

จ. ขนั้ ที่ 1 และ 2

3. ตามทฤษฎีการผลิต ขอ้ ใดเปน็ การผลิตขน้ั ท่ี 1 ในการผลิตระยะสั้น
ก. เป็นระยะกอ่ ตั้งกจิ การใหม่
ข. เปน็ ช่วงการผลิตที่ MP เทา่ กบั ศูนย์
ค. เปน็ ช่วงการผลิตที่ MP นอ้ ยกว่า AP
ง. เปน็ ช่วงการผลิตท่ี MP มากกวา่ AP
จ. เปน็ ชว่ งการผลิตที่ MP น้อยกวา่ 0

4. ข้อใดไมใ่ ช่ปัจจัยคงท่ี ข. อาคารโรงเรือน
ก. ท่ีดนิ ง. เครือ่ งจักร
ค. วตั ถดุ บิ
จ. โรงงาน

5. ขอ้ ใดเปน็ กฎทใ่ี ช้ในการผลติ ระยะส้นั
ก. กฎการลดนอ้ ยถอยลงของตน้ ทุนการผลิต
ข. กฎวา่ ดว้ ยเทคโนโลยีการผลิตท่มี ีประสทิ ธิภาพ
ค. กฎว่าดว้ ยการลดนอ้ ยถอยลงของผลผลิตเฉล่ยี
ง. กฎการลดนอ้ ยถอยลงของผลผลิตหน่วยสุดท้าย
จ. กฎการลดนอ้ ยถอยลงของผลผลติ รวม

19

6. ขอ้ ใดไมใ่ ช่คณุ สมบตั ขิ องเสน้ ผลผลิตเท่ากนั

ก. เป็นเสน้ ที่ทอดลงจากซา้ ยไปขวา ข. เปน็ เส้นต่อเน่อื งกันไม่ขาดตอน

ค. เปน็ เส้นท่ีตดั กันได้ และมไี ด้หลายเสน้ ง. เปน็ เส้นโคง้ เว้าเข้าหาจุดกำเนดิ

จ. เส้นทีอ่ ยู่สงู กวา่ ให้ผลผลิตมากกวา่

7. ขอ้ ใดเปน็ เครอ่ื งมอื ท่ใี ช้ในการวเิ คราะหก์ ารผลิตในระยะยาว

ก. เส้น TP, MP และ AP ข. เสน้ ต้นทุนการผลติ

ค. เสน้ อปุ สงค์และเส้นอปุ ทาน ง. เสน้ ผลผลิตเท่ากนั และเส้นตน้ ทุนเทา่ กนั

จ. เสน้ ความพอใจเท่ากันและเสน้ งบประมาณ

8. ค่า MRTSLK = -5 มีความหมายว่าอยา่ งไร
ก. การเพิ่มปจั จัย L = 1 ต้องลดปัจจยั K = 5
ข. การเพมิ่ ปัจจยั K = 1 ต้องลดปัจจัย L= 5
ค. การเพิ่มปัจจัย L = 5 ตอ้ งลดปัจจัย K = 5
ง. การเพมิ่ ปจั จยั K = 5 ตอ้ งลดปัจจยั L = 1
จ. ผิดทกุ ข้อ

9. สมมตวิ า่ ผผู้ ลิตเพิ่มปัจจยั การผลติ ทกุ ชนิดในอัตรา A ผลผลิตท่ไี ด้รับเพมิ่ ขึ้นในอตั รา B ผู้ผลิตเห็นว่า

A นอ้ ยกวา่ B เราเรียกการผลติ น้ีวา่ อะไร

ก. ผลตอบแทนต่อขนาดลดลง ข. ผลตอบแทนตอ่ ขนาดเพ่ิมขึ้น

ค. ผลตอบแทนตอ่ ขนาดคงท่ี ง. ผลตอบแทนตอ่ ขนาดลดนอ้ ยถอยลง

จ. ผลตอบแทนตอ่ ขนาดไม่มกี ารเปลี่ยนแปลง

10. ขอ้ ใดเปน็ ความหมายของกฎว่าด้วยการลดนอ้ ยถอยลงของผลผลิตหนว่ ยสดุ ทา้ ย (MP)
ก. เม่อื ใชป้ ัจจยั คงท่ีเพ่ิมขึ้นทีละ 1 หนว่ ย ผลผลิตเพมิ่ จะมคี ่าลดลงเรอื่ ย ๆ
ข. เมอ่ื ใช้ปจั จัยผนั แปรเพิ่มข้ึนทลี ะ 1 หนว่ ย ผลผลิตเพิม่ จะมคี า่ ลดลงเร่อื ย ๆ
ค. ผลผลติ เพิ่มจะลดลงเรื่อย ๆ เม่ือใชป้ ัจจยั ผันแปรมากขนึ้
ง. ผลผลิตเพิ่มจะลดลงเร่ือย ๆ เมอ่ื ผูผ้ ลิตขยายกจิ การ
จ. ผิดทกุ ข้อ

20
ตอนท่ี 3 จงใช้ข้อความตอ่ ไปน้ตี อบคำถามขอ้ 1 ถงึ ขอ้ 5

หน่วยผลิตแห่งหน่ึงทำการผลิตสินคา้ ชนิดหนึ่งโดยใช้เงินลงทุน 1,000 บาท สำหรับซื้อปัจจัยการผลิต
L และ K ท้ังน้ีราคาของปัจจัยการผลิต L และ K หนว่ ยละ 10 บาท และ 20 บาท ตามลำดบั และลกั ษณะการ
ใชส้ ่วนผสมระหวา่ งปจั จยั การผลติ ทง้ั 2 ชนดิ เปน็ ดงั รปู ข้างลา่ ง

1. ณ จุด L1 มคี ่า …………………………………....................................................……....…..………. หน่วย
2. ณ จุด L2 มีค่า …………………………………………………..................................…….….....………. หนว่ ย
3. ณ จุด K1 มีคา่ …………………………………………………..................................……….….....……. หน่วย
4. ตน้ ทนุ รวม (TC) ณ จุด A มีค่า ………………………………………………..............................………. บาท
5. ณ จุด B และ C หมายความวา่ อย่างไร ……………………………………….……………………...................….

21

ใบงานท่ี 1

เป้าหมายของหน่วยผลิตมีอะไรบ้าง

............................................................................................................................. ........................................................
........................................................................................................................................................................ .............
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

ใบงานที่ 2

อธบิ ายความหมายของคำตอ่ ไปนี้ การผลิต หน่วยผลติ อตุ สาหกรรม ทีใ่ ชใ้ นหนังสอื หลัก
เศรษฐศาสตร์

............................................................................................................................. ........................................................
.....................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................ .........
.....................................................................................................................................................................................

ใบงานท่ี 3

เกษตรกรรายหนึ่งต้องการผลิตรังไหมน้ําหนัก 1 ตัน ภายใน 1 ปี ด้วยตน้ ทุนตํ่าสดุ โดยใช้ปัจจัย
การผลิต 2 ชนิด คือ แรงงาน และต้นหมอ่ น สมมติวา่ ไม่มีต้นทุนอน่ื และสมมตวิ ่าปัจจัยทัง้ 2 ชนดิ นีม้ ี
ราคาคงที่ พบว่าเขาจะต้องใชต้ ้นหม่อน 20 ตัน และแรงงาน 80 คน ตน้ หมอ่ นราคาตันละ 1,000 บาท
MP ของต้นหม่อนและแรงงานเท่ากับ 2.5 และ 10 ตามลำดับ จงแสดงการคำนวณหาค่าจ้างต่อปีที่
ตอ้ งจ่ายให้คนงาน และตน้ ทนุ รวม

................................................................................................................................................................. ....................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

22


Click to View FlipBook Version