The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

บทที่10 การเงินการธนาคารและนโยบายการเงิน.doc

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kotchamon191, 2022-05-09 07:47:40

บทที่ 10 การเงินการธนาคารและนโยบายการเงิน

บทที่10 การเงินการธนาคารและนโยบายการเงิน.doc

0

วิชาหลักเศรษฐศาสตร์ รหัสวิชา 30200-1001

หนว่ ยที่ 10 เรื่องการเงนิ การธนาคารและนโยบายการเงนิ

จดั ทำโดย
นางกชมน เอยี ดแก้ว
บธ.ม. (การจดั การโลจสิ ติกส์และโซ่อปุ ทาน)

หน่วยท่ี 10 1

ชอื่ หนว่ ย การเงนิ การธนาคารและนโยบายการเงนิ จำนวน 3 ช่ัวโมง

สาระสำคัญ
เงินเป็นสื่อกลางในการแลกเปล่ียนสินค้าและบริการและเป็นปัจจัยการผลิตท่ีสำคัญประเภทหน่ึงใน

ระบบเศรษฐกิจ ปริมาณเงินจะมีมากหรือน้อยข้ึนอยู่กับอุปสงค์และอุปทานของเงิน ผู้ลงทุนทำการผลิตสินค้า
และบริการสามารถแสวงหาเงิน ได้จากตลาดการเงิน ไม่ว่าจะเป็นจากสถาบันการเงินหรือตลาดหลักทรัพย์
ประเทศต่าง ๆ รวมท้ังประเทศไทยต้องพยายาม ใช้นโยบายการเงินให้เหมาะสม เพื่อความเจริญเติบโตทาง
เศรษฐกิจและความมเี สถยี รภาพทางเศรษฐกิจ

จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อธิบายความหมาย ววิ ัฒนาการของเงนิ หน้าทีแ่ ละประเภทของเงนิ ได้
2. เข้าใจความสำคัญของเงินท่มี ีตอ่ ระบบเศรษฐกจิ
3. อธบิ ายความหมายและประเภทของตลาดการเงินได้
4. อธิบายระบบและการดำเนนิ ธรุ กรรมของธนาคารพาณชิ ยไ์ ด้
5. เข้าใจความเป็นมา ประเภทและหนา้ ทข่ี องธนาคารกลาง
6. เขา้ ใจประเภทและเครอ่ื งมือของนโยบายการเงิน รวมทัง้ นโยบายการเงินของประเทศไทย

สมรรถนะประจำหนว่ ย
1. แสดงความรเู้ กย่ี วกับการเงินและการธนาคาร
2. แสดงความรู้เก่ยี วกบั นโยบายการเงนิ

สาระการเรียนรู้
1. ความร้เู บ้ืองต้นเกีย่ วกับการเงนิ
2. ความสำคัญของเงินต่อระบบเศรษฐกิจ
3. ตลาดการเงิน
4. ธนาคารพาณิชย์
5. ธนาคารกลาง
6. นโยบายการเงิน
7. นโยบายการเงนิ ของประเทศไทย

2

1. ความรเู้ บอื้ งต้นเกยี่ วกบั การเงิน

ในสมัยโบราณยังไม่มีการใช้เงินเป็นสื่อกลางในการแลกเปล่ียนสินค้าและบริการ จึงใช้วิธีการ
แลกเปลี่ยนส่ิงของต่อของ (Barter System) ซึ่งการแลกเปล่ียนในลักษณะนี้จะขาดความสะดวก และ เป็น
อุปสรรคขัดขวางการขยายขอบเขตของการแลกเปล่ียน เม่ือสังคมมีขนาดใหญ่ข้ึน ผู้บริโภคมี ความต้องการ
สินค้าและบริการเพิ่มข้ึน การแลกเปล่ียนแบบของต่อของจึงไม่สะดวก จึงต้องใช้เงินเป็น สื่อกลางในการ
แลกเปล่ียน ซ่ึงการแลกเปลย่ี นโดยวิธีนี้ทำได้โดยสะดวกและรวดเร็ว และสามารถ ขยายขอบเขตได้กว้างขวาง
เหมาะสมกบั สภาพเศรษฐกิจทีก่ า้ วหน้า

เงินเป็นส่ิงที่มนุษย์ยอมรับให้เป็นสื่อกลางในการซ้ือขายแลกเปล่ียนกันโดยมีธนาคารเป็นตัวกลาง
ในการระดมเงินจากประชาชน ระบบธนาคารจะสร้างเงินฝากขึ้นมา ซ่ึงจะเป็นส่วนหนึ่งของปริมาณเงิน เพ่ือ
นำไปใหผ้ ปู้ ระกอบธรุ กจิ กยู้ มื ไปลงทุนขยายการผลิตสนิ ค้าและบรกิ าร

1.1 ความหมายของเงิน
เงิน (Money) คือ ส่ิงที่คนในสังคมยอมรับกันโดยท่ัวไปให้เป็นสื่อกลางในการแลกเปล่ียน

หรอื ใช้จ่าย ในการซ้ือสนิ คา้ และบริการ หรือใช้ในการชำระหนี้ ในทางเศรษฐศาสตร์ หมายรวมถงึ เงนิ ตราและ
เงินประเภทอ่นื ได้แก่ เงนิ เหรียญกษาปณ์ ธนบัตร และเงินฝากธนาคารประเภทฝากกระแสรายวนั โดยใชเ้ ช็ค

1.2 วิวฒั นาการของเงนิ
ก่อนที่จะเร่ิมมีการใช้เงินนั้นมนุษย์ใช้วิธีการแลกเปลี่ยนสิ่งของต่อส่ิงของ ซึ่งเป็นการแลกเปล่ียน
โดยตรง เช่น ชาวนานำข้าวไปแลกเนื้อสัตว์กับนายพราน หรือนำข้าวไปแลกเสื้อผ้ากับชาวบ้าน หรือนำไข่ไป
แลกเสือ้ ผา้ กับชาวบา้ น เป็นตน้ แตก่ ารแลกเปลีย่ นโดยตรงนข้ี าดความสะดวกสบาย เมื่อสังคมมีขนาดใหญ่ข้นึ
ความต้องการในการแลกเปลี่ยนมีมากข้ึน การแลกเปล่ียนโดยตรงจึงไม่สามารถทำหน้าท่ีได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ จึงได้หาวิธีแลกเปล่ียนทางอ้อมโดยใช้เงนิ เป็นส่ือกลางในการแลกเปลี่ยน กล่าวคือ จะต้อง นำ
สิง่ ของท่ีต้องการแลกเปลี่ยนน้ันไปเปลย่ี นเป็นเงินก่อน โดยขายให้กับผู้ที่ต้องการสิ่งของน้ันแล้วจึงน ำเงนิ ไป
ซื้อส่งิ ของทีต่ นตอ้ งการอกี ตอ่ หนงึ่
ในระยะแรกสิ่งท่ีใช้เป็น “เงิน” ได้แก่ สง่ิ ของหรือสินค้าบางชนิดที่สงั คมน้ันยอมรับซ่ึงแตกต่างกัน
ไป ตามท้องถ่ิน และเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เช่น ขนสัตว์ หนังสัตว์ ใบชา ยาสูบ เกลือ เปลือกหอย
ลูกปัด ซ่ึงส่วนมากจะเปน็ ส่ิงของทหี่ ายากในสังคมนัน้ เพื่อใหม้ ีคณุ ค่าในตัวของมนั เอง แตเ่ งินทเี่ ปน็ สิง่ ของนม้ี ี
ข้อจำกดั หลายประการ เช่น ขาดความคงทนถาวร นำติดตัวไปด้วยไมส่ ะดวก แบ่งแยกเป็นหนว่ ยย่อย ๆ ไดย้ าก
คุณภาพของสิ่งของก็ไม่เหมอื นกัน ในระยะเวลาตอ่ มาจงึ เปล่ียนมาใช้เงินที่ทำด้วยโลหะแทน
เงินโลหะ ได้แก่ โลหะที่มีค่า เช่น ทองคำ เงิน ในตอนแรกการชำระเงินใช้วธิ ีชั่งโลหะให้มีน้ำหนัก
เท่ากับมูลค่าที่ต้องการจะชำระ ต่อมาได้มีการนำโลหะมาหลอมเป็นเหรียญซึ่งมีค่าแน่นอน มีการทำเหรียญ
กษาปณไ์ ด้โดยเสรี และอนุญาตใหโ้ ลหะน้ันเคลื่อนยา้ ยระหวา่ งประเทศไดโ้ ดยเสรี มูลคา่ ของเหรยี ญกษาปณ์ จะ
มีมูลค่าเท่ากับเนื้อโลหะที่มาทำเป็นเหรียญกษาปณ์ ต่อมาเหรียญกษาปณ์ได้วิวัฒนาการมาเป็นเงินท่ีมี ค่าไม่
เต็ม กล่าวคือ มูลค่าของเน้ือโลหะที่มาทำเป็นเหรียญกษาปณ์จะน้อยกว่ามูลค่าของเหรยี ญกษาปณ์น้ัน เพราะ

3

เมอื่ โลหะหายากและมรี าคาสูงข้ึน ประชาชนจึงพากันฝนเนอื้ โลหะออก หรอื นำไปหลอมทำเป็น เครื่องประดับ
หรือเครื่องใช้อื่นและเหรียญกษาปณ์ก็มีจำนวนน้อยลงทุกที จึงได้มีการทำขอบเหรยี ญกษาปณ์ ให้มีรอยหยัก
และผสมโลหะเน้ือแข็งที่มีค่าน้อยลงไปเพ่ือให้ทนทานข้ึน เหรียญกษาปณ์ในปัจจุบันนี้ เป็นเงินที่มีค่าไม่เต็ม
ทัง้ สิน้ และตอ่ มาโลหะหายากขนึ้ มรี าคาแพงและไม่สะดวกในการผลิตและ การพกพา จึงเร่ิมวิวัฒนาการมาใช้
เงินกระดาษข้นึ

เงินกระดาษมีกำเนิดมาจากใบรับฝากเงนิ ของพวกช่างทองในสมัยโบราณ กล่าวคือ ประชาชนมัก
จะฝากโลหะมีค่า เงิน ทองไว้กับช่างทอง เน่ืองจากเป็นบุคคลที่ได้รับความเช่ือถือและมีท่ีเก็บรักษาที่แข็งแรง
และพวกพ่อค้าไม่สามารถจะนำเงินและทองติดตัวไปไหนมาไหนได้ตลอดเวลา เพราะไม่สะดวกและ ไม่
ปลอดภัย พวกช่างทองก็จะออกใบรบั ฝากให้เจา้ ของถือไวแ้ ทน ใบรับฝากนสี้ ามารถจะโอนกรรมสิทธ์ิกันได้ โดย
การเซ็นช่ือสลักหลงั ใบรับ ในตอนแรกพวกช่างทองจะออกใบรับใหก้ ับคนท่ีนำโลหะมาฝากเท่านั้น ต่อมา จาก
ประสบการณ์พวกชา่ งทองพบว่า ผู้ฝากมักจะไมถ่ อนโลหะหรือเงินเหรียญออกไปพรอ้ ม ๆ กัน และถอนคนื ไม่
หมด ดังน้ัน พวกช่างทองจงึ นำเอาโลหะเหล่าน้ีออกให้กู้ โดยออกใบรับให้แก่ผู้ที่ไม่ได้นำโลหะมาฝาก และคิด
คา่ บริการเป็นดอกเบี้ยตามสมควร ใบรับน้ีสามารถนำมาข้ึนเป็นโลหะได้เช่นเดียวกับใบรับทว่ั ไป พวกช่างทอง
เหลา่ น้ีจึงทำหน้าทเี่ ป็นนายธนาคารและใบรบั นกี้ ็ได้แก่ บตั รธนาคาร (Bank Card)

ปัจจุบันเงินกระดาษ ได้แก่ ธนบัตร ซ่ึงรัฐบาลพิมพ์ข้ึนมาใช้และรับรองให้ใช้ชำระหนี้ได้ตาม
กฎหมาย โดยทั่วไปแล้วการพมิ พ์ธนบัตรจะตอ้ งมีทุนสำรองเงินตราหนนุ หลัง ทนุ สำรองเงินตราน้ีประกอบด้วย
ทองคำและเงินตราต่างประเทศ ท้ังเงินเหรียญและธนบัตรน้ีไมม่ มี ูลค่าเตม็ ตามโลหะ กลา่ วคอื ไมส่ ามารถนำไป
แลกโลหะคืนได้เตม็ ตามจำนวน นอกจากนย้ี งั มกี ารชำระหน้หี รอื จ่ายเงินซื้อสนิ ค้าโดยใชเ้ ช็ค ซึง่ กระทำได้ โดยมี
เงินฝากหรือทำความตกลงกับธนาคารไว้ว่า ให้จ่ายเงนิ เม่ือเขียนเช็คส่ังจ่าย การใช้เช็คน้ีเรียกกัน โดยท่ัวไปว่า
เงนิ ฝากเผอื่ เรยี ก หรอื เงินฝากกระแสรายวัน (Current Account)

ปัจจุบันการสื่อสารท่ีทนั สมัยทำให้การใช้เงินโดยผ่านธนาคารสะดวกสบายและมหี ลายรูปแบบมาก
ขน้ึ บางคร้งั เงินฝากกระแสรายวันสามารถตัดบัญชีออกจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ หรือบัญชีเงนิ ฝากประจำ
ได้ หรอื หลกั ทรัพย์อน่ื ๆ ทมี่ ีความคล่องตัวมาก ๆ ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ บัตรเครดิต เช็คของขวญั เช็ค
เดนิ ทางกอ็ าจใช้แทนเงนิ ไดอ้ กี ดว้ ย สิ่งตา่ ง ๆ เหลา่ น้ีเรยี กว่า “สิง่ คล้ายเงนิ ” ซงึ่ อาจเปลีย่ นเปน็ เงนิ ได้งา่ ย

ประเทศที่มคี วามเจริญก้าวหน้าในทางเศรษฐกิจมาก ๆ เชน่ ประเทศในยุโรปและอเมรกิ ายงั มี การ
โอนเงินกันทางโทรศัพท์ ทางคอมพิวเตอร์ ซึ่งในอนาคตอาจจะนับรวมอยู่ในประเภทของเงินต่อไป เน่ืองจาก
ววิ ัฒนาการของเงินนัน้ ยงั คงมอี ยู่เรอ่ื ย ๆ ไมส่ ้ินสุดเพยี งเท่าน้ี

สำหรบั ประเทศไทยนั้นได้มีวิวัฒนาการมาต้ังแต่โบราณเช่นเดียวกัน ในสมัยโบราณการผลิต เป็น
แบบเลี้ยงตัวเอง การค้าขายแลกเปล่ยี นมนี ้อย ความจำเปน็ ในการใชเ้ งินมไี มม่ ากนัก อย่างไรกต็ าม มีหลักฐาน
วา่ มกี ารใช้เงนิ ตรามาเป็นเวลานานแล้วต้ังแตก่ ่อนสมัยทวารวดี ศรีวิชยั ในสมัยสุโขทัย ซึ่งการค้าเจรญิ รุ่งเรือง
จนถึงสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ มิได้มีการเปล่ียนแปลงระบบการเงินมากนัก จนกระทั่งในรัชกาล
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ไดเ้ ปิดประตกู ารค้ากับต่างประเทศ มากย่ิงขนึ้ มีการทำ
สนธิสัญญาเบาวร์ งิ ใน พ.ศ. 2398 ให้สิทธิแก่ชาวองั กฤษที่จะมาทำการค้ากับคนไทยได้ โดยเสรีและก็มีประเทศ

4

อนื่ ๆ อกี หลายประเทศทีไ่ ดเ้ ข้ามาทำสัญญาในทำนองเดียวกัน ทำให้ปรมิ าณเงิน ท่ีมีอยู่ไมเ่ พียงพอกับปริมาณ
การค้าและเงินท่ีใช้ในสมัยนั้นผลิตโดยแรงงานคนจึงผลิตได้เป็นจำนวนน้อย ต่อมาจึงมีก ารผลิตโดยใช้
เครื่องจักรเป็นครั้งแรก ซ่ึงเป็นเครอื่ งจกั รท่ีพระนางเจ้าวิคตอเรีย ราชนิ ีแห่งองั กฤษ ถวายเป็นของขวัญแด่พระ
เจ้ากรงุ สยาม ผลิตเหรียญออกมาใช้ครั้งแรก เป็นเหรยี ญเงิน 4 ชนิด คอื หนึ่งบาท กึ่งบาท หนึ่งสลึง และหน่ึง
เฟอื้ ง มเี หรียญทองแดง 2 ขนาดเรียกว่า ซีกและเส้ยี ว มีเหรยี ญดีบุก 2 ขนาด ให้เป็นเงนิ ยอ่ ยแทนเบ้ยี เรียกว่า
อัฐและโสฬส และมีทองคำอีก 3 ขนาด เรียกวา่ ทศ พิศ และพัดดึงส์

นอกจากนี้ยังมีการพิมพ์กระดาษหรอื ธนบัตรข้ึนอีกดว้ ย เรยี กวา่ “หมาย” ซ่ึงมีอยู่ 3 ราคา คือ ใบ
ละเฟ้ือง ใบละสลึง และใบละแปดสิบบาท ซึ่งสามารถนำมาแลกเป็นเหรียญกษาปณ์ได้ท่ีพระคลังมหาสมบัติ
และได้ มกี ารจ่ายเบ้ียหวดั ให้แก่ข้าราชการ เรียกว่า ใบพระราชทานเงินตรา ซึ่งสามารถนำมาแลกเป็นเหรียญ
กษาปณ์ได้ เช่นเดียวกัน ดังน้ัน เงินกระดาษทั้ง 2 ชนิดน้ีจึงมีลักษณะคล้ายเช็คและไม่นิยมใช้แลกเปล่ียนกัน
สว่ นมากจะนำไปขึน้ เป็นเหรยี ญกษาปณ์จากพระคลังมหาสมบัติหมด ในท่สี ดุ กเ็ ลกิ ใช้ไปเมอื่ สิ้นรัชกาลท่ี 4

ในสมัยรัชกาลที่ 5 แร่ดบี กุ และทองแดงมรี าคาสงู ข้นึ ทำให้ราษฎรพากันหลอมเปน็ โลหะเพือ่ สง่ ขาย
ต่างประเทศ จงึ ขาดแคลนเงินตราเป็นจำนวนมาก ต่อมาได้มีธนาคารพาณิชย์เข้ามาเรมิ่ ดำเนินการ ในประเทศ
ไทยเป็นครั้งแรก ได้แก่ ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ ใน พ.ศ. 2431 รัชกาลท่ี 5 ได้โปรดให้ ประกาศใช้
พระราชบัญญัติธนบัตร เม่ือวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2445 (ร.ศ. 121) และโปรดให้ตั้งกรมธนบัตรขึ้น
รับผดิ ชอบในการออกธนบัตรรวม 5 ชนิด ได้แก่ ใบละ 5, 10, 20, 100 และ 1,000 บาท ตามลำดับ พิมพ์โดย
บริษัท โทมัส เดอ ลารู (Thomas de La Rue) ประเทศอังกฤษ และต่อมาเน่ืองจากการค้า ได้เจริญมากข้ึน
การท่ีมีหน่วยเงินแบบดั้งเดิมคือ ช่ัง ตำลึง บาท สลึง เฟื้อง และโสฬสไม่สะดวกในการ ลงบัญชี จึงมีการ
เปลีย่ นแปลงมาเปน็ ระบบบาท สตางคห์ รือระบบหนงึ่ ส่วนตอ่ รอ้ ยสว่ นโดยไดต้ รา พระราชบัญญัติมาตราทองคำ
พ.ศ. 2451 (ร.ศ. 127) ขึน้ และได้เพิ่มสตางค์ปลีก ไดท้ ำเหรยี ญกษาปณ์ ทองขาวและทองแดงข้ึน 3 ชนิด คือ
10 สตางค์ 5 สตางค์ และ 1 สตางค์ และประชาชนชาวไทยก็เริ่มยอมรบั ธนบัตรเป็นเงินตราใช้หมุนเวียนใน
ท้องตลาดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จนกระท่ังในปัจจุบันน้ี เมื่อกิจการ ธนาคารพาณิชย์เจริญรุ่งเรืองข้ึนเงินฝาก
กระแสรายวันก็เรมิ่ มีบทบาทข้ึนและเร่ิมมกี ารใช้เช็คกันมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการใช้บัตรเครดติ ของธนาคาร
และสถาบนั การเงนิ ตา่ ง ๆ ท้ังในและนอกประเทศ

จากวิวัฒนาการของเงนิ จะเห็นได้ว่า เงนิ ที่มคี ุณสมบตั ิไมด่ ีกค็ อ่ ย ๆ เลิกใช้กันไปในที่สุด และเงนิ ท่ี
ใชอ้ ยู่ในปจั จบุ ันมคี ณุ สมบตั ขิ องเงินทดี่ ดี ังน้ี

1.3 คุณสมบัตขิ องเงนิ
1. เป็นที่ยอมรับในสังคม คือ สามารถใชซ้ ื้อสินค้าและบริการต่าง ๆ ไดแ้ ละเปน็ ท่ียอมรับใน

การ ชำระหนี้ ซ่ึงเป็นคุณสมบตั ิท่ีสำคญั ท่สี ดุ เพราะถา้ ไม่มีคนยอมรับก็ไมส่ ามารถใชจ้ า่ ยสิ่งของได้
2. มีความทนทาน ไม่เน่าเป่ือยหรือเสียหายได้ง่ายเม่ือเก็บเอาไว้นาน ๆ หรือเม่ือมีการ

เปลี่ยนมือ เพราะเงินย่อมมีการหมุนเวียนในท้องตลาดจากมือหนึ่งไปสู่มือหน่ึงเสมอ เช่น สิ่งของต่าง ๆ เป็น
หนังสัตว์ ใบชา อาจข้ึนรา หรอื เปลอื กหอยอาจแตกหักได้ ดังน้นั เหรยี ญที่เป็นโลหะส่วนมากจะมีการนำไปผสม

5

กับ โลหะอ่ืน ๆ บางชนิดเพ่ือให้ทนทานย่ิงข้ึน หรือถ้าเป็นธนบัตรกจ็ ะใช้กระดาษท่ีมีความเหนียวและทนทาน
กว่ากระดาษท่ัวไป มาทำธนบตั ร

3. แบ่งเป็นหน่วยย่อยได้ง่าย แบ่งเป็นหน่วยย่อยได้ง่ายและจะต้องเหมือนกันทุกหน่วย
กล่าวคือ ต้องมีมาตรฐานท้ังด้านรปู ร่าง น้ำหนัก และคุณภาพ ไม่เช่นนั้นจะทำให้เกิดความสับสนได้ จะเห็นได้
วา่ สิ่งของทีใ่ ชเ้ ป็นเงินต่าง ๆ ส่วนใหญ่ไมม่ คี ุณสมบตั ินีจ้ งึ ได้เลิกใชไ้ ปในท่ีสุด

4. เป็นสิ่งท่ีหายาก เป็นสง่ิ ท่ีหายากและยากต่อการปลอมแปลง กล่าวคือ จะต้องมีปริมาณ
จำกัด เพราะถ้าหาง่ายจะไมม่ ีค่าและอาจจะมกี ารปลอมแปลงไดง้ ่าย ดังนั้นจะเห็นได้ว่าในการทำเงนิ เหรียญจะ
มี การยกขอบหรือทำลวดลายทีข่ อบ ในการพมิ พ์ธนบัตรก็จะทำเป็นลายนำ้ เพื่อให้เหน็ ลักษณะของเงนิ แต่ละ
ชนิดได้ชัดเจนยง่ิ ขึ้น และยากต่อการปลอมแปลง

5. สะดวกสบายในการใช้จ่าย เงินควรทำจากวัสดุท่ีมีน้ำหนักเบา มีขนาดพอเหมาะเพ่ือ
สะดวก แก่การแลกเปล่ียน กล่าวคือ จะต้องไม่หนักหรือใหญ่เกินไปจนยากต่อการพกพาและไม่เล็กเกินไป
จนกระท่ังหยบิ ไมต่ ดิ หรือทำให้สญู หายได้งา่ ย

1.4 หนา้ ที่ของเงิน
หน้าที่ของเงินในระบบเศรษฐกิจมี 4 ประการ ดงั น้ี

1. เป็นส่ือกลางในการแลกเปล่ียน (Medium of Exchange) คือ แลกเปล่ียนสนิ ค้าและ
บรกิ าร เป็นเงนิ แลว้ จงึ นำเงนิ ไปซื้อสินคา้ และบรกิ ารอืน่ ๆ หนา้ ท่ีนี้นบั วา่ เปน็ หน้าทที่ ม่ี ีความสำคญั มากที่สุด จะ
เห็นได้ว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจส่วนมากต้องกำหนดเป็นตัวเงินท้ังน้ัน เช่น ราคาสินค้าและบริการ ค่าจ้าง
แรงงาน คา่ เช่าท่ดี ิน ค่าใช้จา่ ยและรายไดต้ ่าง ๆ

2. เป็นมาตรฐานและหน่วยในการวัดมูลค่า (Standard of Value and Unit of
Account) เม่ือมี การแลกเปล่ียนสนิ ค้าจำเป็นต้องมีหน่วยในการวัดมูลค่าสินค้าแตล่ ะชนิดไม่เหมือนกัน เช่น
กำหนดให้ไข่ไก่ ฟองละ 4 บาท ไก่ตัวละ 150 บาท ค่าตัดผมคร้ังละ 150 บาท เป็นต้น และเป็นประโยชน์
เพราะสามารถ รวมมลู คา่ สิ่งของตา่ ง ๆ เข้าด้วยกนั ได้เนอื่ งจากมีหน่วยเดียวกนั

3. เป็นมาตรฐานในการชำระหนี้ภายหน้า (Standard of Deferred Payments) การ
ใช้เงิน ทำให้สามารถเลื่อนเวลาชำระหนไี้ ปในอนาคตได้ ทำใหม้ กี ารซอื้ ขายเงินเชอ่ื เกดิ ข้นึ เชน่ ในการทำสัญญา
ซ้ือขายสินค้าต่าง ๆ จะต้องทำความตกลงว่าจะชำระหน้ีเมื่อได้รับมอบงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว การตกลง ทำ
สัญญานี้จะต้องตกลงกันเป็นตัวเงิน ถ้าตกลงกันเป็นสิ่งของจะค่อนข้างลำบากเพราะคุณภาพและราคา ของ
สินค้าอาจเปลี่ยนแปลงหรอื เนา่ เสียได้

4. เป็นเครื่องสะสมมูลค่า (Store of Value) กล่าวคือ สะสมเงินในปัจจุบันนี้เพ่ือใช้ใน
โอกาสต่อไป เช่น เก็บไว้ใช้เม่ือยามป่วยไข้ หรือยามชรา เป็นต้น เหตทุ ่ีคนนิยมเก็บเงนิ ก็เพราะสามารถใช้จ่าย
ได้ทันที แต่มีข้อจำกัดอยู่บ้างคือ ไม่ก่อให้เกิดผลกำไรมากนักอาจจะได้ดอกเบี้ยบ้างเล็กน้อยและค่าของเงิน
อาจจะ เปลีย่ นแปลงไปเม่ือเทียบกับระดับราคาสินคา้ เชน่ ค่าของเงนิ จะลดลงเมอื่ ระดับราคาสินค้าโดยทั่วไป
สงู ข้ึน

6

สำหรับหน้าที่ของเงิน นั้นเป็น หน้าที่ท่ีช่วยให้การดำเนิน การของระบบเศรษฐกิ จเป็นไปได้
ด้วยดี กล่าวคือ เป็นเครื่องหล่อลื่นของระบบเศรษฐกิจและสนองความต้องการของผู้ที่ต้องการถือเงินและ
ชุมชน กลุ่มตา่ ง ๆ

1.5 ประเภทของเงิน
ปัจจบุ นั ประเภทของเงินทใ่ี ช้ในประเทศไทยมีอยู่ 3 ชนดิ คือ

1. เหรียญกษาปณ์ (Coins) หมายถึง เงินเหรียญท่ีชำระหน้ีได้ตามกฎหมาย การออก
เหรียญกษาปณ์ เป็นหน้าที่ของกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง สำหรับชนิด ราคา โลหะ อัตราเนื้อโลหะ
น้ำหนัก ขนาด ลวดลายและลกั ษณะอ่นื ๆ ของเหรยี ญกษาปณน์ ้ันใหก้ ำหนดโดยกฎกระทรวงการคลัง

2. ธนบัตร (Bill) หมายถึง เงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ธนบัตรท่ีออกใช้ ในปัจจุบันเป็น
ธนบัตรของรัฐบาล ซง่ึ ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้จดั ทำและนำออกใช้

3. เงินฝากธนาคารประเภทฝากกระแสรายวัน หรือเงินฝากเผ่ือเรียก ( Current
Account) คอื เงนิ ฝากกระแสรายวันซึง่ จา่ ยโอนกันด้วยเช็ค เงนิ ฝากประเภทนีม้ อี ำนาจซ้ือเช่นเดียวกบั ธนบตั ร
และ เหรียญกษาปณ์

2. ความสำคญั ของเงนิ ตอ่ ระบบเศรษฐกจิ

เงินมีความสำคัญในทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก เพราะการเปลี่ยนแปลงปริมาณเงินจะก่อให้เกิด
การเปล่ียนแปลงในระดับรายได้ผลผลิตและการจ้างงาน กล่าวคือ ถ้าพิจารณาด้านความต้องการใช้จ่าย มวล
รวม เม่ือปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจเพ่ิมข้ึน โดยส่งิ อื่น ๆ คงท่ี อัตราดอกเบ้ยี จะลดลง ทำให้ ความต้องการ
ในการลงทุนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น การจ้างงานเพิ่มขน้ึ ซ่ึงมีผลทำให้รายได้ประชาชาติเพิ่มข้ึน ในทางตรงข้าม ถ้า
ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจลดลง โดยสิ่งอ่ืน ๆ คงท่ี อัตราดอกเบ้ียจะเพ่ิมขึ้น ทำให้ ความต้องการในการ
ลงทุนมีแนวโน้มลดลง ส่งผลให้รายได้ประชาชาติลดลง ดังน้ัน เงินจึงมีความสำคัญต่อ ระบบเศรษฐกิจและ
ความเปน็ อยขู่ องมนษุ ย์เป็นอยา่ งมาก กลา่ วคือ

1. ความสำคัญในด้านการผลิต ผู้ประกอบการมักแสวงหาเงินตรามาลงทุนประกอบการผลิต
หรือทำการค้าโดยหวังผลกำไรตอบแทนเป็นเงินตรา หากผู้ประกอบการคาดว่าจะได้รับกำไรสูง ย่อมมี การ
ลงทุนเพิ่มมากขึ้น การใชจ้ า่ ยลงทุนยอ่ มเป็นผลดีต่อสังคม ชว่ ยให้ผูบ้ ริโภคไดร้ ับสินคา้ และบรกิ ารเพ่ิมขึ้น

2. ความสำคัญในด้านการแลกเปล่ียนและการอุปโภคบรโิ ภค เน่ืองจากเงินตราเป็นสิ่งท่ีมนุษย์
ยอมรบั และใช้เปน็ สอื่ กลางในการซือ้ ขายแลกเปล่ียนกันอย่างแพร่หลาย เงนิ ตราจึงเป็นสง่ิ กระตนุ้ ใหส้ นิ ค้า จาก
แหล่งผลิตสู่มือผู้บริโภคได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ตามปกติผู้บริโภคจะมีรายได้เป็นเงินตราในรูปของเงินเดือน ค่าจ้าง
ดอกเบี้ย หรือค่าเช่า ส่ิงเหล่านี้ชว่ ยให้ผบู้ รโิ ภคใช้จ่ายเงนิ รายได้ไปแลกเปลี่ยนสนิ คา้ และบรกิ าร มาบำบัดความ
ตอ้ งการไดม้ ากกว่าการแลกเปล่ียนแบบด้ังเดมิ คอื การแลกเปล่ียนส่งิ ของกับส่ิงของ และ ระบบเศรษฐกิจท่ีใช้
เงินตราในการแลกเปลี่ยนน้ันช่วยให้ระบบการแลกเปลี่ยนสม่ำเสมอ ชุมชนมีมาตรฐาน การครองชีพสูงข้ึน
เพราะชว่ ยใหม้ ีการผลติ สินคา้ สูม่ ือผบู้ รโิ ภคสงู ขน้ึ

7

3. ความสำคัญในด้านสังคม การท่ีมนุษย์นิยมใช้เงินตรากันอย่างกว้างขวางเพราะสามารถ ซ้ือ
ขายแลกเปล่ียนสินคา้ และบริการได้ทุกชนิด เงนิ ตราจะเป็นหลักประกันท่ีมนั่ คงในระบบการเปลี่ยนแปลง แต่
ละคนจึงเลือกทำงานแต่เฉพาะท่ีตนมีความชำนาญเพ่ือให้ได้มาซ่ึงเงินตราไปใช้จ่าย การแบ่งงานกันทำเป็น
ลักษณะของสังคมปัจจุบัน ซงึ่ ก่อใหเ้ กิดการผลิต การคา้ และความเป็นอยู่ของสังคมมนุษยส์ งู ยง่ิ ข้ึน

3. ตลาดการเงิน

ตลาดการเงิน (Financial Market) คือ ตลาดที่อำนวยความสะดวกในการโอนเงินจาก หน่วย
เศรษฐกจิ ทม่ี ีเงินออมไปยังหนว่ ยเศรษฐกจิ ทต่ี ้องการเงินออมเพ่ือนำไปลงทนุ

ตลาดการเงนิ ประกอบด้วยตลาดเงนิ และตลาดทนุ
1. ตลาดเงนิ (Money Market) คือ ตลาดทีม่ ีการระดมเงินทุนและการให้สินเชื่อระยะส้ัน ไม่

เกิน 1 ปี ได้แก่ การโอนเงิน การซื้อขายหลักทรัพย์ทางการเงินทม่ี ีอายุการไถ่ถอนระยะสนั้ เช่น ตั๋วเงนิ คงคลัง
ตวั๋ แลกเงิน ตวั๋ สัญญาใช้เงิน เปน็ ต้น ตลาดเงนิ เป็นที่รวมกลไกที่ทำใหก้ ารหมุนเวียนของเงินทุนระยะสั้น เปน็ ไป
ด้วยดี ได้แก่ การให้สินเช่ือแก่บุคคล การจดั หาทุนเพื่อการประกอบการของธรุ กิจ การจัดหาเงินทุน ระยะสั้น
ของภาครฐั บาล ตลาดเงินยังแบง่ ออกเปน็

1) ตลาดเงินในระบบ ประกอบด้วย สถาบันการเงินที่ต้ังข้ึนตามกฎหมาย ได้แก่ ธนาคาร
กลาง ธนาคารพาณิชย์ สถาบันเฉพาะกิจของรัฐ บริษัทเงินทุนและหลักทรัพย์ กิจกรรมหลักของตลาดเงินใน
ระบบ ไดแ้ ก่ การกู้โดยตรงหรอื เบิกเกินบัญชี (Over Draft) การกู้ยืมระหวา่ งธนาคารด้วยกันเอง (Inter Bank)
การก้โู ดยขายตราสารทางการเงิน ตวั๋ สญั ญาใช้เงนิ ตว๋ั เงินคลงั ตราสารการคา้ และ ตราสารที่ธนาคารรบั รอง

2) ตลาดเงินนอกระบบ เป็นแหล่งการกู้ยืมที่ไม่มีกฎหมายรองรับสถานภาพของผู้ให้กู้
กิจกรรมท่สี ำคัญของตลาดเงินประเภทนี้ ได้แก่ การเลน่ แชร์ การให้กู้ และการขายฝาก

2. ตลาดทุน (Capital Market) คือ ตลาดท่ีมีการระดมเงินออมและให้สินเชื่อในระยะยาว
ตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป ได้แก่ เงินฝากประจำ หุ้นสามัญ หุ้นกู้ และพันธบัตรท้ังของรัฐบาลและเอกชน โดยอาจ
แบง่ เป็น ตลาดสินเชือ่ ทั่วไป และตลาดหลักทรพั ย์ ตลาดสินเชื่อทว่ั ไป ซ่ึงประกอบด้วย ธนาคารพาณิชย์ บรษิ ัท
ประกนั ชวี ติ และบรษิ ัทเงนิ ทนุ ส่วนตลาดหลกั ทรพั ย์ แบง่ ออกเปน็ ตลาดย่อยได้ 2 ตลาด คือ

1) ตลาดแรก (Primary Market) คือ ตลาดที่ทำการซื้อขายหลักทรพั ย์ท่ีออกใหม่ เป็นการ
ซือ้ ขายที่หน่วยธรุ กจิ ผู้ออกหลักทรัพย์ได้รบั เงินทุนจากผซู้ ื้อหลักทรัพย์ใหม่ ทางเศรษฐศาสตรถ์ ือว่าการซื้อขาย
หลกั ทรพั ย์ในตลาดนเ้ี ปน็ การลงทนุ ทีแ่ ทจ้ รงิ

2) ตลาดรอง (Secondary Market) คือ ตลาดท่ีทำการซื้อขายหลักทรัพย์เก่า ในทาง
เศรษฐศาสตร์ ถือวา่ ไม่ใช่การลงทุนท่ีแทจ้ ริง เปน็ เพียงการเปล่ียนมือระหว่างผ้ถู ือหลักทรัพย์โดยหนว่ ยธุรกิจผู้
ออก หลักทรัพยน์ ั้น ๆ ไม่ได้รบั เงนิ ทุนจากการซ้ือขายเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม ตลาดรองก็มีบทบาทเกื้อกูล ต่อ
ตลาดแรก เพราะทำใหผ้ ู้ซอื้ หลกั ทรพั ย์ในตลาดแรก มีความม่ันใจวา่ จะสามารถเปลี่ยนหลกั ทรัพย์ เปน็ เงินสดได้
เม่อื ตอ้ งการ

8

ปัจจุบันการแบ่งตลาดเงินและตลาดทุนออกจากกันชัดเจนทำได้ค่อนข้างยาก เพราะสถาบัน
การเงิน แต่ละแห่งมักมีธุรกรรมที่เกี่ยวข้องท้ังสินเชื่อระยะส้ันและระยะยาว ในการศึกษาจงึ พิจารณารวมกัน
เปน็ ตลาดการเงนิ

3.1 ความสำคญั ของตลาดการเงนิ
1. ระดมทุนจากหนว่ ยเศรษฐกจิ ทีม่ ีเงนิ ออม หากไม่มีตลาดการเงิน เงินสว่ นทเ่ี หลอื จากการใช้

จ่าย ของหนว่ ยเศรษฐกิจบางสว่ นจะถูกถือไวโ้ ดยไม่มผี ลประโยชน์งอกเงย เมื่อมีตลาดการเงนิ หน่วยเศรษฐกิจ
เหล่านั้นก็สามารถนำเงินออกไปฝากไว้กับสถาบันการเงินในรูปเงินฝากประเภทต่าง ๆ แ ละสามารถ
แลกเปลีย่ นเป็นหลักทรพั ยป์ ระเภทต่าง ๆ ได้ตามความเหมาะสมโดยได้รบั ผลตอบแทน

2. เกดิ การจัดสรรเงนิ ทุนอย่างมีประสิทธิภาพ หน่วยเศรษฐกิจใดท่ีต้องการลงทุน ถ้าไม่มีเงิน
ออม ของตนกส็ ามารถหาไดจ้ ากตลาดการเงิน โดยจา่ ยค่าตอบแทนแกเ่ จา้ ของเงนิ ทนุ และจ่ายค่าใช้จา่ ยใน การ
ดำเนินงานของสถาบันการเงิน ดังนั้น โครงการลงทุนท่ีอาศัยเงินทุนจากตลาดการเงิน จึงต้องมีอัตรา
ผลตอบแทนสูงเพียงพอเพื่อให้คุ้มกับต้นทุนเงินทุนที่กู้ยืมมา ทำให้ระบบเศรษฐกิจมีการใช้เงินทุนอย่างมี
ประสทิ ธิภาพ

3. รักษาอัตราการเติบโตของระบบเศรษฐกิจ สินเช่ือจากตลาดการเงินมีส่วนช่วยให้การ
บริโภค และการผลิตเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ หากขาดตลาดการเงิน อุปสงค์มวลรวมจะลดต่ำลง ในช่วงที่เกิด
ภาวะ เศรษฐกิจตกต่ำ แต่เม่ือมีตลาดการเงินท่ีปล่อยสินเช่ือได้อยา่ งพอเพียงในช่วงเวลาท่ีเหมาะสม กจ็ ะช่วย
รักษา ระดับการใช้จา่ ยมวลรวมไม่ใหต้ กต่ำลง

4. ระบบเศรษฐกิจที่มีตลาดการเงินท่ีได้รับการพัฒนา ธนาคารกลางสามารถใช้นโยบาย
การเงิน เพอื่ ปรบั สภาวะทางเศรษฐกจิ ใหเ้ ป็นไปตามท่ตี ้องการได้ เพื่อแก้ปญั หาเศรษฐกิจระดับมหภาค

3.2 ทฤษฎีการเงิน
ปริมาณเงินหรืออุปทานของเงิน (Supply of Money: Ms) หมายถึง ปริมาณเงินท่ีหมุนเวียน
อยู่ ในระบบเศรษฐกิจในขณะใดขณะหน่ึง กล่าวคือ เน่ืองจากแต่ละประเทศใช้เงินเป็นสื่อกลางในการ
แลกเปลี่ยนหลายชนิด บางชนิดเป็นที่ยอมรับอยา่ งแพร่หลายในทุกประเทศ เชน่ ธนบัตร เหรียญกษาปณ์ เป็น
ตน้ แต่ บางชนิดก็ยอมรับมากน้อยไม่เท่ากันในแต่ละประเทศ เช่น เช็ค ดราฟต์ เป็นต้น ดังนั้นคำวา่ ปริมาณ
เงนิ หรืออุปทานของเงนิ ในประเทศต่าง ๆ จงึ แตกตา่ งกนั โดยเฉพาะในกรณีของประเทศไทยน้ันธนาคาร แห่ง
ประเทศไทยได้กำหนดความหมายของปรมิ าณเงนิ ไว้ดงั นี้
3.2.1 ปรมิ าณเงนิ ในความหมายแคบ (Narrow Money) หมายถงึ ปรมิ าณของเหรียญกษาปณ์
ธนบตั ร และเงินฝากกระแสรายวัน รวมกนั ทงั้ หมดที่ใชห้ มุนเวียนอยูใ่ นมือเอกชน องค์กร ห้างร้าน บริษทั และ
หน่วยราชการต่าง ๆ ในขณะใดขณะหนึ่ง โดยไม่นับรวมเงินท่ีอยู่ในมือของธนาคารและรัฐบาล เพร าะเงิน
เหล่านี้ยังไม่ได้ถูกนำออกมาใช้หมุนเวียน การกำหนดปรมิ าณเงินตามความหมายอย่างแคบน้ี มีวัตถุประสงค์
เพ่อื ใช้วัดอำนาจซ้อื ของประชาชนในระบบเศรษฐกิจ ถ้าปริมาณเงนิ เพ่ิมขนึ้ อำนาจซอื้ ของ ประชาชนในระบบ
เศรษฐกิจกจ็ ะเพิม่ ขน้ึ ในทางตรงข้าม ถ้าปริมาณเงินลดลงอำนาจซ้อื ของประชาชน ในระบบเศรษฐกิจจะลดลง

9

3.2.2 ปริมาณเงินในความหมายกว้าง (Broad Money) เป็นแนวคิดของนักเศรษฐศาสตร์
สมัยใหม่ท่ีเช่ือว่า บทบาทของเงินไม่ได้มีไว้เพื่อใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการเท่านั้น แต่มีบทบาทในการ เป็น
เคร่ืองรกั ษามูลค่าด้วย นั่นคอื มคี วามต้องการถอื เงนิ ไวเ้ พอื่ เก็งกำไร ดงั นั้น นักเศรษฐศาสตรส์ มยั ใหม่จึง เหน็ ว่า
ความหมายของปริมาณเงินควรขยายเพิ่มเติมออกไป โดยรวมหลักทรัพย์ทางการเงินประเภทอื่นท่ีมี สภาพ
คล่องสูง ได้แก่ เงินฝากออมทรัพย์ และเงินฝากประจำ เข้าไว้ในปริมาณเงินด้วย ฉะน้ันปริมาณเงิน ใน
ความหมายกวา้ งจึงประกอบด้วยเหรียญกษาปณ์ ธนบัตร เงินฝากกระแสรายวัน เงนิ ฝากออมทรัพย์ และ เงิน
ฝากประจำ ท่ีอยูใ่ นมอื ของหนว่ ยเศรษฐกิจในขณะใดขณะหนง่ึ

ดังนั้น การวิเคราะห์อุปทานของเงินในทางทฤษฎีโดยทั่วไป มักจะใช้ปริมาณเงินในความหมาย
กว้าง นั่นคือ ปริมาณเงนิ ที่หมุนเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจในขณะใดขณะหน่ึง ซ่ึงจะมีจำนวนเท่าใดก็ตาม จะ
ไม่ข้ึนอยู่กับอัตราดอกเบ้ีย แต่ขึ้นอยู่กับนโยบายการเงินของรัฐบาลหรือธนาคารกลาง เม่ือเป็นเช่นนี้ เส้น
อปุ ทานของเงนิ จึงไมม่ ีความยดื หย่นุ ตอ่ อัตราดอกเบ้ยี และมีลักษณะเปน็ เสน้ ตรงตงั้ ฉากกบั แกนนอน ดังรปู

เส้นปริมาณเงนิ หรืออปุ ทานของเงนิ (Ms)
3.3 ความตอ้ งการถือเงนิ หรอื อุปสงคข์ องเงิน
อปุ สงค์ของการถือเงิน คือ ปรมิ าณเงินท้ังสิ้นที่ระบบเศรษฐกิจต้องการถือไว้ในขณะใดขณะหนึ่ง
ซึง่ ทฤษฎีการเงนิ ของเคนส์ ไดจ้ ำแนกความตอ้ งการถือเงนิ หรอื อปุ สงค์ของเงินไว้ 3 ประเภท ดังนี้
3.3.1 ความต้องการถอื เงนิ เพือ่ ใชจ้ ่ายประจำวนั (Transaction Demand for Money) เช่น
ค่าอาหาร ค่าพาหนะ ค่าเส้ือผ้า ค่าใช้จ่ายในกิจการของธุรกิจ ค่าของใชภ้ ายในสำนักงาน เป็นต้น จะมมี ากหรือ
น้อยเพียงใดข้ึนอยู่กับรายได้ อุปนิสัยในการบริโภค และระยะเวลาท่ีได้รับรายได้นั้น กล่าวคือ คนที่มีรายได้
เดือนละ 7,500 บาท ก็อาจจะมคี วามต้องการถือเงินเพ่ือใช้จา่ ยประจำวันมากกวา่ คนทม่ี ีรายได้เดอื นละ 4,000
บาท หรือคนที่มีนิสัยใช้จ่ายฟุ่มเฟือยก็อาจมีความต้องการถือเงินมากกว่าคนท่ีมีนิสัยประหยัด ระยะเวลาที่
ได้รับรายได้ก็เช่นเดียวกัน คนที่ได้รับรายได้เป็นรายเดือนก็ต้องถือเงินไว้จำนวนหน่ึงเพื่อเฉล่ียไว้ ใช้ท้ังเดือน
ขณะที่คนมีรายได้เป็นรายวันอาจมีความจำเป็นจะต้องถือเงินประเภทนี้น้อยมาก สำหรับธุรกิจ ย่อมต้องการ

10

เงินจำนวนหน่ึงไว้เป็นค่าใช้จ่าย เงินเดือน วัตถุดิบ สาธารณูปโภค เป็นต้น ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ย จะไม่มี
ความสัมพันธ์กับความตอ้ งการถอื เงนิ ประเภทน้ี

3.3.2 ความตอ้ งการถอื เงินเพื่อใช้จ่ายยามฉุกเฉิน (Precautionary Demand for Money)
ได้แก่ เงินท่ีเก็บไว้ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ เจ็บป่วย หรือว่างงาน เพ่ือเปน็ การไม่ประมาทคนสว่ นมากจะมีความ
ต้องการ ถือเงินไว้จำนวนหน่ึงเพื่อเหตุเหล่าน้ี ซ่ึงจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับรายได้ อุปนิสัยส่วนบุคคล และ
สวัสดิการ ทางสังคมของประเทศ ในประเทศท่ีเจริญแล้วมักจะมีโครงการสวัสดิการทางสังคม เพื่อช่วยเหลือ
คนงาน เมื่อยามชราหรือเมื่อเกิดอุบัติเหตุ เจ็บป่วย โครงการสวัสดิการทางสังคมทำให้ความต้องการถือเงิน
ประเภทนี้ ลดน้อยลง ความต้องการถอื เงินเพื่อใช้จ่ายยามฉกุ เฉินจะมีความสมั พนั ธ์กับรายได้เช่นเดียวกบั ความ
ตอ้ งการ ถือเงินเพือ่ ใช้จา่ ยประจำวัน และอัตราดอกเบยี้ ไมม่ ีความสมั พันธก์ บั ความตอ้ งการถือเงินประเภทน้ี

3.3.3 ความต้องการถือเงินเพื่อเก็งกำไร (Speculative Demand for Money) หมายถึง
ความต้องการถือเงินไวเ้ พื่อเสี่ยงหากำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ โดยจะซื้อขายหลักทรัพย์ในขณะที่มี ราคา
ตำ่ แล้วนำออกขายเม่ือหลักทรพั ย์มีราคาสูงขึ้น ส่วนต่างของราคาซอ้ื กับราคาขายกค็ ือกำไรท่ีจะได้รับ ซึ่งโดย
ปกติราคาหลักทรัพย์จะมีความสัมพันธ์ในทางตรงข้ามกับอัตราดอกเบี้ย กล่าวคือ เม่ืออัตราดอกเบ้ียสูง ราคา
หลักทรัพย์จะต่ำ และเม่ืออัตราดอกเบ้ียต่ำ ราคาหลักทรัพย์ก็จะสูง ดังนั้น เพื่อให้ได้กำไร บุคคลจะซ้ือ
หลักทรัพย์เป็นจำนวนมาก เมื่อหลักทรัพย์มีราคาต่ำและอัตราดอกเบี้ยสูง ก็จะเหลือเงินที่ถือไว้เพื่อการ เก็ง
กำไรน้อย การที่บุคคลถือหลักทรัพย์ไว้มากในขณะท่ีอัตราดอกเบี้ยสูง เพราะคาดว่าในอนาคตอัตรา ดอกเบี้ย
จะต่ำลง จะมีผลทำให้ราคาหลักทรัพย์สูงข้ึน เม่ือนำหลักทรัพย์ออกขายก็จะได้กำไร ในทางตรงกันข้าม ถ้า
หลกั ทรัพยม์ ีราคาสูงและอัตราดอกเบ้ยี ต่ำ บคุ คลจะไมซ่ อ้ื หลักทรัพย์เลยก็จะเหลอื เงินท่ีถือไว้ เพ่ือการเกง็ กำไร
เป็นจำนวนมาก ฉะน้ันอาจกล่าวได้ว่า ความต้องการถือเงินเพ่ือเก็งกำไร จะมีความสัมพันธ์ ตรงกันข้ามกับ
อัตราดอกเบ้ีย ดงั รูป

เส้นอุปสงค์ของความตอ้ งการถือเงินเพ่ือเกง็
กำไร

11

จากรูป Md คือ เส้นอุปสงค์ของความต้องการถือเงินเพื่อเก็งกำไร มีลักษณะเป็นเส้นที่ลาดลงจาก
ซ้ายมือไปขวามือ ซึ่งหมายความว่า เม่ืออัตราดอกเบ้ียสงู ข้ึน ความต้องการถือเงินเพื่อเก็งกำไรของบคุ คลและ
หน่วยธรุ กิจจะน้อยลง และถ้าอัตราดอกเบี้ยตำลง ความตอ้ งการถอื เงนิ เพ่ือเกง็ กำไรของบุคคลและหน่วย ธุรกิจ
จะเพ่ิมข้ึน กล่าวคือ ณ ระดับอัตราดอกเบ้ีย r0 ความต้องการถือเงินเพ่ือเก็งกำไรจะมีค่าเท่ากับ M0 เมื่ออัตรา
ดอกเบ้ียลดลงเปน็ r1 ความต้องการถอื เงินเพอ่ื เก็งกำไรจะเพ่มิ ข้นึ เปน็ M1

3.4 ดุลยภาพของตลาดเงิน
เน่ืองจากอปุ สงค์ของการถือเงินมีความสัมพันธ์ในทางตรงกันข้ามกับอัตราดอกเบ้ีย โดยที่อุปทาน
ของเงินไม่มีความสัมพันธ์กับอัตราดอกเบี้ย เพราะปริมาณเงินจะเปลยี่ นแปลงตามนโยบายของรัฐบาล ดังนั้น
ดลุ ยภาพของตลาดเงินจะเกิดขน้ึ ณ ระดับทีอ่ ปุ สงคข์ องการถือเงินเทา่ กับอุปทานของเงิน ดงั รปู

ดุลยภาพของตลาดเงนิ
จากรูป Md คือ เส้นอปุ สงคข์ องความต้องการถือเงิน และ Ms คือ เส้นอุปทานของเงิน ตัดกัน ณจุด
ดลุ ยภาพ E ปริมาณเงินจะเท่ากับ M ซ่ึงเป็นปริมาณเงินทั้งหมดท่ีถอื อยู่จริงและเท่ากับปริมาณเงินที่ ต้องการ
ถือ และอัตราดอกเบ้ียดุลยภาพของตลาดเงินจะเท่ากับ r ถ้าอัตราดอกเบ้ียอยู่สูงกว่าดุลยภาพของ ตลาดเงิน
เช่น r1 ปริมาณเงินท่ีต้องการถือมีจำนวนน้อยกวา่ ปริมาณเงินท้ังหมดทถี่ ืออยจู่ ริง จึงเป็นเหตุให้ ตลาดการเงิน
ตอ้ งปรบั ลดอตั ราดอกเบ้ียลงจาก r1 เป็น r ซงึ่ เป็นระดบั ดุลยภาพของตลาดเงนิ และจะไม่ลดต่ำต่อไปอกี เพราะ
ความต้องการถือเงินจะเทา่ กบั ปริมาณเงินท่ีถืออยู่จริง ในทางตรงขา้ ม ถ้าอัตราดอกเบ้ีย อยู่สูงข้ึนจาก r2 เป็น r
เพือ่ ลดอุปสงคข์ องการถอื เงินลง ณ ระดบั ดุลยภาพของตลาดเงิน อตั ราดอกเบีย้ จะไม่สูงข้ึนตอ่ ไปอกี
ฉะนัน้ อาจกลา่ วได้ว่า ดุลยภาพของตลาดเงนิ เมือ่ เกดิ ข้ึนแลว้ จะอยู่เช่นนน้ั ตราบใดที่อปุ สงค์ของ การ
ถือเงินและอปุ ทานของเงินไม่เปล่ียนแปลง เหตุผลก็คอื ถา้ อัตราดอกเบยี้ เปลี่ยนแปลงไปจากดุลยภาพ ด้วยเหตุ
ใดก็ตาม จะทำให้อุปสงค์ของการถือเงินและอุปทานของเงินขาดความสมดุล อัตราดอกเบ้ียท่ีเปล่ียน ไปจาก
ดลุ ยภาพจึงดำรงอย่ไู มไ่ ด้ ต้องเปลย่ี นแปลงอยูเ่ รือ่ ย ๆ จนเกดิ ดุลยภาพของตลาดเงนิ อกี คร้งั หนึ่ง จงึ จะหยดุ น่ิง

12

อย่างไรก็ตาม ดุลยภาพของตลาดเงินจะเปลี่ยนแปลงไป ถ้าอุปสงค์ของการถือเงนิ หรืออุปทานของ
เงิน อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้ง 2 อย่างเปลี่ยนแปลงไป และการเปล่ียนแปลงดุลยภาพของตลาดเงินจะมี
ผลกระทบ ตอ่ การลงทุน ซึ่งเปน็ ส่วนหน่ึงของความต้องการใช้จา่ ยมวลรวม และการเปลีย่ นแปลงความต้องการ
ใช้จ่าย มวลรวมจะก่อให้เกิดการเปล่ียนแปลงในผลผลิต รายได้และการจ้างงาน ด้วยเหตุน้ี การใช้นโยบาย
การเงิน จึงมีผลต่อการเปล่ียนแปลงปริมาณเงิน มีผลกระทบถึงการเปลี่ยนแปลงของผลผลิต รายได้และการ
จา้ งงาน

4. ธนาคารพาณิชย์

ธนาคารพาณิชย์ (Commercial Bank) เป็นสถาบันการเงินท่ีมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของ
ประเทศมาก เพราะเป็นสถาบันการเงินที่สามารถระดมเงินฝากและให้สินเช่ือมากกว่าสถาบันการเงินอื่น ๆ
ธนาคารพาณิชยม์ ีบทบาทหน้าทีแ่ ตกต่างจากสถาบันการเงินท่ัวไปประการหนงึ่ คอื ธนาคารพาณชิ ย์รบั ฝาก เงิน
กระแสรายวัน ซึ่งจ่ายโอนโดยเช็ค แต่สถาบันการเงินเฉพาะอย่างไม่สามารถกระทำการได้ หากกระทำการ
ดงั กล่าวถือว่าผิดกฎหมาย หน้าท่ีน้ีเองท่ีทำให้ธนาคารพาณิชย์สามารถสร้างเงินฝากขึ้นได้เอง โดยอยู่ ภายใต้
การควบคุมของเจ้าหน้าท่ีทางการเงินของรัฐบาล คือ ธนาคารกลาง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความ เสียหายต่อ
เศรษฐกิจของประเทศ

ธนาคารในประเทศไทยเร่ิมขึ้นครั้งแรกเม่ือธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ได้เปิดดำเนินการเม่ือวันท่ี 2
ธันวาคม พ.ศ. 2431 ธนาคารแหง่ แรกทเ่ี ปน็ ของคนไทยเดิมชื่อวา่ “ธนาคารสยามกมั มาจล” และไดเ้ ปลีย่ นชื่อ
เป็นธนาคารไทยพาณิชย์เมื่อวันท่ี 27 มกราคม พ.ศ. 2482 มีทุนเริ่มแรก 3 ล้านบาท ตั้งข้ึนเมื่อ พ.ศ. 2449
กิจการธนาคารพาณิชย์มีความเจรญิ ก้าวหนา้ มรี ากฐานมัน่ คง ธนาคารพาณิชยจ์ ึงกลายเป็นสถาบันการเงิน ที่มี
อทิ ธิพลต่อเศรษฐกิจมากที่สุด

การดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.
2505 และ 2522 (ฉบับปรับปรุง) ซ่ึงให้คำจำกดั ความของธนาคารพาณิชย์ไว้ว่า ธนาคารพาณิชย์ คือ ธนาคาร
ท่ีได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจ ประเภทรับฝากเงินท่ีต้องจ่ายคืนเม่ือทวงถาม หรือเม่ือหมดระยะ เวลาที่
กำหนดไว้และใช้ประโยชน์ จากเงินนั้นในทางหน่ึงหรือหลายทาง เช่น การให้กู้ยื มการซ้ื อขายหรื อเก็บเงิน
ตามต๋ัวแลกเงินหรือตราสารเปลย่ี นมอื อนื่ ใด หรอื การซ้อื หรอื ขายเงนิ ปริวรรตเงนิ ตราต่างประเทศ เป็นตน้

ระบบของธนาคารพาณิชย์ทีจ่ ัดตัง้ ขึ้นทีน่ ยิ มในปัจจบุ นั อาจจำแนกออกได้เป็น 2 ระบบ ดังนี้
1. ระบบธนาคารเด่ียวหรือระบบธนาคารเอกเทศ คือ ระบบธนาคารที่แต่ละธนาคารมีสำนักงาน
เพียงแห่งเดียว ไม่มีสาขา ไม่เก่ียวข้องหรืออยู่ภายใต้การควบคุมของผู้หนึ่งผู้ใด หรือธนาคารหน่ึงธนาคารใด
ส่วนใหญ่ต้ังข้ึนตามความต้องการทางเศรษฐกิจของคนในท้องถิ่นหน่ึง ๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือผลประโยชน์
ทางเศรษฐกิจโดยส่วนรวมของท้องถ่ินเป็นสำคัญ เช่น สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศหน่ึงท่ีมีระบบธนาคารเด่ียว
อย่างแพร่หลาย เน่ืองจากลักษณะการปกครองแบ่งออกเป็นมลรัฐ อีกท้ังเพื่อส่งเสริมให้กิจกา รธนาคาร
พาณชิ ย์มกี ารแขง่ ขนั กนั อย่างเสรี

13

2. ระบบธนาคารสาขา คือ ระบบท่ีธนาคารแต่ละแห่งมีสาขาตั้งแต่ 1 สาขาข้ึนไป โดยกระจาย อยู่
ในท้องที่ต่าง ๆ ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ระบบธนาคารสาขาจะบริหารโดยมีสำนักงานใหญ่ เป็นผู้
วางนโยบายและควบคุมดูแลการดำเนินงาน ประเทศต่าง ๆ ส่วนมากรวมทั้งประเทศไทยใช้ระบบ ธนาคาร
สาขา

หนา้ ทขี่ องธนาคารพาณชิ ย์ ทีส่ ำคัญมดี งั น้ี
1. การรบั ฝากเงิน แบง่ ออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

1) เงินฝากประเภทกระแสรายวัน เป็นการรับฝากเงินท่ีจะต้องจ่ายคืนทันทีเมื่อทวงถาม ปัจจุบัน
ธนาคารจะไม่จ่ายดอกเบีย้ ให้แกผ่ ฝู้ าก เงินฝากประเภทนเ้ี ป็นที่นยิ มกันในวงการธุรกจิ

2) เงินฝากประเภทฝากประจำ เป็นเงินฝากประเภทที่ถอนคืนได้เม่ือหมดกำหนดระยะเวลา หรือ
ถอนคืนเม่ือไปแจ้งให้ธนาคารทราบล่วงหน้าเท่าน้ัน ธนาคารจะให้ดอกเบ้ียเงินฝากชนิดนี้ ตามกำหนด
ระยะเวลาที่ฝาก และอัตราดอกเบี้ยจะสงู กว่าการฝากเงนิ แบบอ่นื ๆ เพราะธนาคารสามารถนำเงินไปลงทุน ใน
ระยะยาวได้ แต่ถา้ ถอนก่อนกำหนดจะไม่จา่ ยดอกเบี้ยให้

3) เงนิ ฝากประเภทฝากออมทรพั ย์ เงินฝากประเภทนเี้ หมาะสำหรบั ผู้มรี ายไดน้ อ้ ย เกบ็ สะสมทรัพย์
2. การให้เงินกู้และการขยายสินเชื่อ ลูกหน้ีธนาคารสามารถกู้ยืมเงินจากธนาคารตามเง่ือนไข และ
นโยบายของธนาคาร โดยการทำสัญญากูเ้ งนิ กับธนาคารพาณิชย์ อาจใช้หลกั ทรัพย์หรือบุคคลค้ำประกัน ก็ได้
ทง้ั น้ขี นึ้ อยู่กับนโยบายและเงือ่ นไขของแต่ละธนาคาร
3. การให้บรกิ ารอนื่ ๆ อาทิ

1) การให้บริการในด้านเป็นตัวแทนของลูกค้า เช่น ซ้ือขายหุ้น เก็บเงินตามเช็ค ต๋ัวเงิน และตรา
สารอื่น ๆ และช่วยเก็บเงินประเภทอ่ืน ๆ เช่น ค่าเช่า ดอกเบ้ีย ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ หรือ
ทะเบียนรถยนต์ ช่วยจัดทำพินัยกรรม และช่วยเป็นตัวแทนรัฐบาลในการจัดการเงินบางประเภท เช่น ขาย
พนั ธบตั ร ตั๋วเงินคลัง เป็นต้น

2) การให้บริการช่วยเหลือด้านการชำระเงินระหว่างประเทศ เช่น การเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต
เพ่ือส่ังซือ้ สินค้าเข้ามาขายในประเทศ การซื้อขายเงินตราต่างประเทศ ค่าสินคา้ ส่งออก การเรยี กเก็บเงนิ ตาม
ตวั๋ เงนิ ต่างประเทศ

3) การให้บริการอื่น ๆ ที่ให้ความสะดวกแก่ลูกค้า เช่น การรับฝากของมีค่า การบริการขายเช็ค
เดินทาง รับโอนเงินภายในและภายนอกประเทศ บริการด้านการศึกษาต่อต่างประเทศ ออกหนังสือและ
เอกสารตา่ งๆ แจ้งข่าวสารทางการค้าและเศรษฐกจิ แก่ลกู ค้า

14

5. ธนาคารกลาง

เนื่ อ งจ าก ป ริม าณ เงิน เป็ น ปั จ จั ยสำคั ญ อ ย่ างห น่ึ งท่ี ท ำให้ ระ บ บ เศรษ ฐกิ จ ด ำเนิ น ไป ได้ ด้ วย ดี
เมือ่ ปรมิ าณเงินมีพอเหมาะ แต่ถ้าปรมิ าณเงินในระบบเศรษฐกิจมีมากหรือนอ้ ยเกินไป กจ็ ะกระทบต่อภาคการ
ผลิต ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อหรือเงินฝืดได้ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการควบคุมปริมาณเงินให้มีความพอเหมาะ
สถาบันท่ีทำหน้าท่ีนี้คือ “ธนาคารกลาง (Central Bank)” ซึ่งเป็นสถาบันท่ีมีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบเก่ียวกับ
การควบคุมปริมาณเงินและการจัดการทางด้านการเงินของระบบเศรษฐกิจ เพ่ือให้บรรลุเป้าหมายทาง
เศรษฐกจิ เชน่ ความเจริญเตบิ โตทางเศรษฐกจิ การรกั ษาเสถยี รภาพทางเศรษฐกจิ เป็นตน้

สำหรบั ธนาคารกลางของประเทศไทย คือ “ธนาคารแหง่ ประเทศไทย (Bank of Thailand)” หรือ
เรยี กสัน้ ๆ ว่า “ธนาคารชาติ” ไดก้ อ่ ต้ังข้ึนเมือ่ วนั ที่ 10 ธนั วาคม พ.ศ. 2485 ตามพระราชบญั ญัติ ธนาคารแห่ง
ประเทศไทย พ.ศ. 2485 กำหนดให้เป็นองค์กรอิสระ โดยได้เลียนแบบมาจากธนาคารแห่ง ประเทศอังกฤษ
(Bank of England) ธนาคารแห่งประเทศไทยมีสาขาท้ังสิ้น 4 แห่ง คือ ที่จังหวัดลำปาง จังหวัดขอนแก่น
จังหวัดสงขลา และที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ส่ีแยกบางขุนพรหม และมีสำนักงานอีกแห่ง
หน่งึ อยทู่ ี่ถนนสรุ วงศ์ กรุงเทพฯ

ลกั ษณะสำคัญของธนาคารกลาง
ธนาคารกลางมีลักษณะแตกต่างจากธนาคารพาณิชย์ ดงั น้ี

1. ธนาคารกลางทำหน้าท่ีเพ่ือประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ ดังน้ัน จึงไม่ใช่สถาบันท่ี
แสวงหากำไรเหมอื นธนาคารพาณิชย์

2. ธนาคารกลางจะไมด่ ำเนนิ ธรุ กจิ แขง่ ขนั กับธนาคารพาณชิ ย์
3. ลูกค้าของธนาคารกลางเป็นคนละประเภทกับลูกค้าของธนาคารพาณิชย์ ลกู คา้ ของธนาคาร
กลาง ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ หน่วยงานราชการ และรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ สำหรับลูกค้าของธนาคารพาณิชย์
ได้แก่ พ่อค้าและประชาชนทว่ั ไป
4. ธนาคารกลางเป็นผู้ควบคุมการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ อย่างใกล้ชิดเพ่ือประโยชน์
ต่อระบบเศรษฐกจิ ของประเทศ
บทบาทและหน้าทีข่ องธนาคารกลาง
ธนาคารกลางในทุกประเทศมีวัตถุประสงค์และนโยบายหลักคล้ายคลึงกัน คือ รักษาเสถียรภาพ
ของเงินตราและเศรษฐกิจของประเทศ โดยอาจสรุปหน้าที่หลักของธนาคารกลางโดยเฉพาะธนาคารแห่ง
ประเทศไทย ไดด้ งั น้ี
1. การออกธนบัตร หนา้ ทีข่ องธนาคารกลาง ได้แก่ การออกธนบัตรใช้หมนุ เวียนในระบบเศรษฐกิจ
โดยปรมิ าณท่ีออกใชจ้ ะต้องเหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกจิ เพราะถา้ มีการออกธนบัตรมากเกนิ ความจำเปน็ อาจ
ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ หรือถ้าปริมาณธนบัตรท่ีออกใช้มีน้อยเกินไปก็จะเกิดภาวะเงินฝืดได้ เพ่ือให้ การออก
ธนบัตรมีความมั่นคงเป็นท่ีเช่ือถือของประชาชน และมีความยืดหยุ่นได้ตามความต้องการทางเศรษฐกิจ
กฎหมายธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ จึงได้กำหนดให้การออกธนบัตรต้องมีเงินทุนสำรองเงินตราเป็น

15

อตั ราส่วนไม่น้อยกวา่ ทีก่ ำหนด สำหรบั ประเทศไทยปจั จบุ ันการออกธนบตั รจะตอ้ งมีเงนิ ทุนสำรองเงินตรา เป็น
ทองคำ และสนิ ทรัพย์ต่างประเทศรวมกันท้ังสิ้นไม่น้อยกว่ารอ้ ยละ 100 ของยอดธนบัตรท่ีพิมพ์ออกใช้ และใน
จำนวนน้ไี มน่ อ้ ยกวา่ ร้อยละ 60 ต้องเป็นทองคำและเงนิ ตราต่างประเทศสกลุ หลัก

2. การเป็นนายธนาคารของรฐั บาล หน้าท่ีในฐานะทเ่ี ป็นนายธนาคารของรัฐบาลมีดงั นี้
1) รักษาบัญชีเงนิ ฝากของรฐั บาล หน่วยงานราชการ และรฐั วิสาหกิจตา่ ง ๆ
2) ให้รัฐบาลและรัฐวิสาหกิจกู้ยืมเงิน เป็นแหล่งเงินกู้ยืมแหล่งสุดท้ายของรัฐบาลและ

รฐั วิสาหกจิ ในกรณที ่ีรฐั บาลและรฐั วิสาหกจิ ไม่สามารถกู้ยมื เงินจากแหล่งอืน่ ได้ ธนาคารกลางมี 2 ลักษณะ คือ
ให้กู้ได้เพ่ือชดเชยการขาดดุลงบประมาณรายจา่ ยของรัฐบาล และให้กู้เพื่อใช้จ่ายตามโครงการเฉพาะกิจ ของ
รัฐบาลและรัฐวิสาหกจิ

3) เป็นตัวแทนในการจัดการทางการเงินของรัฐบาล ได้แก่ เป็นตัวแทนในการจัดการหน้ีของ
รัฐบาล และเป็นตัวแทนของรัฐบาลในองค์การการเงินระหว่างประเทศ เช่น การกู้ยืมเงินจากเอกชนให้แก่
รัฐบาล โดยวิธีประมูลขายต๋ัวเงินคลัง การจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาล และตราสารอื่น ๆ ทำหน้าท่ีโอนเงิน
ระหว่างประเทศ และภายในประเทศให้รฐั บาล ทำการซอ้ื ขายทองคำ ควบคุมและปริวรรตเงินตราต่างประเทศ
และซื้อขายเงินตรา ตา่ งประเทศ

4) เป็นท่ีปรึกษาทางการเงนิ ของรัฐบาล ในการดำเนินนโยบายการคลังและหนี้สาธารณะ ของ
รัฐบาล รัฐบาลจำเป็นต้องระวังไม่ให้เกิดผลเสียหายแก่ระบบการเงินของประเทศอันจะส่งผลกระทบ ไปถึง
เศรษฐกิจของประเทศในท่ีสุด ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงเป็นที่ปรึกษาทางการเงินของรัฐบาลได้ อย่างมี
ประสิทธิภาพ ในการดำเนนิ นโยบายการเงินและนโยบายการคลัง

3. การเปน็ นายธนาคารของธนาคารพาณชิ ย์ ธนาคารกลางให้บริการต่าง ๆ แก่ธนาคารพาณิชย์
ในลักษณะเดียวกับที่ธนาคารพาณิชย์ให้แก่ลูกค้าของธนาคาร การทำหน้าท่ีเป็นนายธนาคารของ ธนาคาร
พาณชิ ย์ ได้แก่ การรับฝากเงนิ ของธนาคารพาณิชย์ การควบคมุ ปริมาณเงินและเครดติ การเป็นสำนักงานกลาง
ในการหักบัญชีระหว่างธนาคาร การให้ธนาคารพาณิชย์กู้ยืมเงิน และการเป็นศูนย์กลาง การโอนเงิน รวมท้ัง
การแก้ปญั หาทางการเงนิ ของธนาคารพาณชิ ย์ ดงั นน้ั การให้บริการของธนาคารกลาง จึงสามารถกระทำได้โดย
ผา่ นธนาคารพาณิชยอ์ ีกทหี นงึ่ ซ่งึ การทำหนา้ ทีเ่ ปน็ นายธนาคารของธนาคารพาณชิ ย์ อาจแยกไดด้ งั น้ี

1) หน้าท่ีในการรับฝากเงิน โดยธนาคารพาณิชย์จะนำเงนิ สำรองตามกฎหมายส่วนหนึ่งฝากไว้
ท่ีธนาคารกลาง นอกจากน้เี งินฝากของธนาคารพาณิชยท์ ี่ธนาคารกลางยังใช้ประโยชน์ในการหักบัญชีชำระหน้ี
ระหว่างธนาคารพาณิชยไ์ ด้อกี ดว้ ย

2) หน้าท่ีในการให้กู้ยืม เม่ือธนาคารพาณิชย์ขาดแคลนเงินสดและมีความจำเป็นต้องใช้เงิน
ธนาคารพาณิชย์สามารถขอกู้จากธนาคารกลางโดยมีหลักทรัพย์ประกันหรือนำต๋ัวเงินท่ีเช่ือถือได้ขายลด แก่
ธนาคารกลาง
ในการนี้ธนาคารกลางจะคิดดอกเบี้ยจากธนาคารพาณิชย์ โดยหักอตั ราดอกเบ้ียจากเงินต้นทันที ก่อนที่จะจ่าย
เงินกู้ จึงเรียกว่า “อัตราส่วนลด (Discount Rate)” ธนาคารกลางจะใช้อตั ราส่วนลด น้ีเป็นเคร่ืองมือควบคุม
สนิ เช่อื อยา่ งหนง่ึ เพราะการเพม่ิ หรือลดอตั ราส่วนลดจะมีผลยบั ยงั้ หรือส่งเสริม การกูย้ ืมของธนาคารพาณิชย์

16

3) หน้าท่ีในการกำกับและตรวจสอบธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงิน เพ่ือดูแลการ
ประกอบการของธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินต่าง ๆ เชน่ บริษทั เงินทนุ และหลกั ทรพั ย์ให้ถกู ต้อง ตาม
กฎหมาย มีความมน่ั คงและมเี สถยี รภาพ เพือ่ ความปลอดภัยของลูกค้าผู้ฝากเงนิ

4) ทำหนา้ ทเ่ี ป็นศูนยก์ ลางในการหักบัญชแี ละการโอนเงิน ธนาคารกลางเปน็ ศูนยก์ ลางการโอน
เงนิ ระหว่างธนาคารตา่ ง ๆ ท่ัวประเทศ เพราะทกุ ธนาคารมีเงนิ ฝากอยทู่ ธี่ นาคารกลาง การหักหนีแ้ ละการโอน
เงนิ โดยผา่ นธนาคารกลางจงึ ทำได้สะดวก และเสยี ค่าใช้จ่ายนอ้ ยท่ีสุด

4. เป็นผู้รักษาเงินสำรองระหว่างประเทศ เนื่องจากเงนิ สำรองระหว่างประเทศจะมมี ากหรอื นอ้ ย
เพียงใด ข้ึนอยู่กบั ฐานะทางเศรษฐกิจและดลุ การชำระเงนิ ของประเทศ จึงเป็นหนา้ ท่ีของธนาคารกลาง ซ่งึ เป็น
ผมู้ ีสิทธิในการออกธนบัตรและรักษาเงินสำรองของธนาคารพาณิชย์ ดังน้ัน ธนาคารกลางจึงควร เป็นผู้รักษา
เงนิ สำรองระหว่างประเทศทง้ั หมด เพ่อื ผลประโยชน์ในการดำเนินหน้าทีข่ องธนาคารกลาง และสะดวกแก่การ
ควบคมุ เงินสำรองน้ี

5. เป็นผู้ควบคุมปริมาณเงินและเครดิต หน้าท่ีหลักของธนาคารกลาง คือ ควบคุมปริมาณเงิน
และเครดิตที่เหมาะสมในประเทศ กลา่ วคือ ถ้าปริมาณเงินมีมากหรือน้อยเกินไป จะกระทบต่อความกา้ วหน้า
และเสถียรภาพทางเศรษฐกจิ ซ่ึงการควบคมุ ปริมาณเงินของระบบเศรษฐกิจ ธนาคารกลางจะใชว้ ธิ คี วบคมุ การ
ขยายเครดติ เป็นสำคัญ ถ้าต้องการเพ่มิ ปริมาณเงินก็จะขยายเครดิตมากขึน้ และถ้าตอ้ งการลดปริมาณเงนิ ก็จะ
ลดการขยายเครดิต มาตรการต่าง ๆ ท่ีนำมาใช้ก็คือ นโยบายการเงิน ซ่ึงถือเป็นนโยบายหลักอันหน่ึง ของ
ประเทศทใี่ ชส้ ำหรบั รักษาเสถียรภาพและความเจรญิ กา้ วหน้าทางเศรษฐกิจ

6. เป็นผู้ให้กู้ยืมแหล่งสุดท้าย ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินต่าง ๆ สามารถกู้ยืมเงินจาก
ธนาคารกลางได้ วธิ ีก้มู ี 3 วิธี คอื

1) นำตว๋ั เงินที่เชื่อถอื ได้ขายลดแก่ธนาคารกลาง
2) ขายตว๋ั เงินคลังและพันธบตั รรฐั บาลแก่ธนาคารกลาง
3) ก้ยู ืมโดยมที รัพยส์ นิ เป็นหลกั ประกัน
ธนาคารกลางมีความสำคัญอย่างย่ิง เพราะช่วยให้ภาวะเงินฝืดทางการเงินลดลง ธนาคารกลางและ สถาบัน
การเงินมีสภาพคล่องสูงข้ึน ธนาคารกลางสามารถให้กู้ยืมได้เกือบจะไม่มีขอบเขตจำกัด แต่การให้กู้ยืม ของ
ธนาคารกลางควรเปน็ ไปอย่างรอบคอบเพ่ือไมใ่ ห้เกิดผลเสียแก่เศรษฐกิจของประเทศ
7. เป็นผูค้ วบคุมธนาคารพาณิชย์ เนอ่ื งจากการขยายสนิ เชื่อของธนาคารพาณิชยจ์ ะมีผล โดยตรง
ตอ่ การลงทนุ ธนาคารกลางจงึ เขา้ มาควบคมุ การดำเนนิ งานของธนาคารพาณชิ ย์ หากธนาคารกลาง
พบข้อบกพร่องอย่างไรจะแจ้งให้ทราบเพื่อแก้ไขได้ทันท่วงที และธนาคารกลางยังมีอำนาจในการอนุมัติ การ
จดั ตง้ั ธนาคารและสาขาอีกด้วย

17

6. นโยบายการเงนิ

นโยบายการเงิน (Monetary Policy) หมายถึง การควบคุมดูแลปริมาณเงินและสินเชื่อ โดย
ธนาคารกลางเพื่อบรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจประการใดประการหนึ่ง หรือหลายประการ ได้แก่ การรักษา
เสถียรภาพของราคา การสง่ เสริมใหม้ ีการจ้างงานเพ่ิมข้ึน การรกั ษาความเจรญิ เติบโตทางเศรษฐกิจ การรกั ษา
ดุลยภาพของดลุ การชำระเงินระหว่างประเทศ และการกระจายรายไดอ้ ย่างเป็นธรรม

ประเภทของนโยบายการเงนิ
การดำเนนิ นโยบายการเงนิ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คอื
1. นโยบายการเงินแบบเข้มงวด (Restrictive Monetary Policy) โดยใช้เครื่องมือต่าง ๆ ทาง
การเงินเพื่อทำใหป้ ริมาณเงินมีขนาดเลก็ ลง มักใช้ในกรณีท่ีระบบเศรษฐกิจเกิดภาวะเงนิ เฟ้อ คือ ภาวะ ทร่ี าคา
สินค้าสูงข้ึน ประชาชนจะใช้จ่ายมากกวา่ ความสามารถในการผลิตของระบบเศรษฐกิจ หรือประชาชน ใช้จ่าย
เกินตัว ดุลการค้าและดุลการชำระเงินขาดดุล เป็นต้น การใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวดจะช่วย ลดความ
รุนแรงในระบบเศรษฐกิจลงได้
2. นโยบายการเงินแบบผอ่ นคลาย (Easy Monetary Policy) โดยใช้เครื่องมือต่าง ๆ ทางการเงิน
เพ่ือทำให้ปริมาณเงนิ มีขนาดใหญ่ขึ้น มักใช้ในกรณีต่อไปนี้ ภาวะเศรษฐกิจซบเซา กล่าวคือ การลงทุนรวมท้ัง
การผลิตและการใช้จา่ ยของประชาชนอย่ใู นระดบั ต่ำ ความต้องการสนิ เชื่อมีนอ้ ย เม่ือเทยี บกับปริมาณเงินออม
ทม่ี อี ยู่ การใช้นโยบายการเงนิ แบบผ่อนคลายจะชว่ ยกระตุ้นใหเ้ ศรษฐกิจ มีการฟนื้ ตัว
เครอ่ื งมือของนโยบายการเงนิ
เครื่องมือของนโยบายการเงิน แบ่งได้ 2 ลักษณะ คือ การควบคุมทางปริมาณหรือโดยท่ัวไป
(Quantitative or General Control) และการควบคมุ ทางคณุ ภาพหรอื การควบคุมเฉพาะอยา่ ง (Qualitative
or Selective Credit Control)
1. การควบคมุ ทางปรมิ าณหรือโดยทั่วไป เปน็ การควบคมุ ปรมิ าณเครดิต เครอ่ื งมือทีใ่ ช้ได้แก่

1) อัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน (Bank Rate) เป็นอัตราดอกเบี้ยท่ีธนาคารกลางคิดจากธนาคาร
พาณิชย์ โดยปกตเิ ป็นการกู้ยืมโดยมีหลักทรัพย์รัฐบาลค้ำประกัน หากธนาคารกลางต้องการเพม่ิ ปริมาณเงนิ ก็
จะลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน ในทางตรงขา้ ม หากธนาคารกลางตอ้ งการลดปรมิ าณเงนิ ก็จะข้ึนอัตรา ดอกเบ้ีย
มาตรฐาน การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานมีผลต่อดุลการชำระเงินระหว่างประเทศ ในบางประเทศ
การปรับอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานอาจมีผลทำให้อัตราดอกเบ้ียโดยทั่วไปภายในประเทศ ปรับตัวไปในทิศทาง
เดียวกับอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน และอาจกอ่ ให้เกดิ ความแตกต่างระหว่างอัตราดอกเบ้ีย ภายในและภายนอก
ประเทศมากขึ้น ซ่ึงก่อให้เกิดการเคล่ือนย้ายเงินทุนระยะสั้นจากประเทศท่ีมีอัตรา ดอกเบี้ยต่ำกว่าไปยัง
ประเทศท่ีมีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า ซึ่งมีผลกระทบต่อบัญชีทุนเคล่ือนย้ายอันเป็นส่วนหนึ่ง ของบัญชี
ดุลการชำระเงนิ ระหว่างประเทศ

2) อัตรารับช่วงซ้ือลด (Rediscount rate) หมายถึง ดอกเบยี้ เงนิ กู้ท่ีธนาคารกลางเก็บล่วงหน้า
จากธนาคารพาณิชย์ เม่ือธนาคารพาณชิ ย์นำตั๋วเงนิ ทีธ่ นาคารพาณชิ ย์รับซ้ือลดไปขายลดตอ่ ให้กับธนาคารกลาง

18

ธนาคารกลางสามารถเพ่ิมหรือลดอัตรารับช่วงซื้อลดเพ่ือเปลี่ยนแปลงปริมาณเงินโดยเฉพาะอย่างยิ่งสินเช่ือ
ของธนาคารพาณิชย์ กล่าวคือ ถ้าธนาคารกลางลดอัตรารับช่วงซื้อลด ธนาคารพาณิชย์จะกู้ยืมจากธนาคาร
กลาง มากขึ้น ดังนั้น เงินสดสำรองจึงเพ่ิมขึ้น ธนาคารพาณิชย์สามารถขยายสินเชื่อได้มากขึ้น ปริมาณเงินซ่ึง
รวมทง้ั เงินฝากจึงเพ่มิ ขึน้ ในทางตรงขา้ ม ถ้าธนาคารกลางเพิ่มอัตรารบั ช่วงซือ้ ลด ปรมิ าณเงินและเงินฝากก็จะ
ลดลง ปัจจุบันธนาคารกลางได้โอนกิจการรับช่วงซ้ือลดไปให้ธนาคารเพ่ือการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศ
ไทย เพอื่ ดำเนินการต่อโดยมีจุดมงุ่ หมายเพอ่ื ส่งเสรมิ การคา้ ระหว่างประเทศเปน็ หลัก

3) อัตราเงินสดสำรองตามกฎหมาย (Legal Reserve Ratio) การเปล่ียนแปลงอัตราเงินสด
สำรองตามกฎหมายนี้ มีผลกระทบต่อกระบวนการสร้างเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ กล่าวคือ ในกรณีที่
ธนาคารกลางประกาศเพ่ิมอัตราเงินสดสำรองตามกฎหมายให้สูงขึ้น หากธนาคารพาณิชย์ไม่มีเงินสดสำรอง
ส่วนเกิน ธนาคารพาณิชย์ต้องการเพ่ิมเงินสดสำรองตามกฎหมายให้เพียงพอตามอัตราใหม่ จะมีทางเลือก 4
ทาง คือ (ก) ขายหลกั ทรัพย์ท่ีมีอยู่ (ข) ขอกู้ยมื จากธนาคารพาณิชย์ด้วยกัน (ค) ขอกยู้ ืมจากธนาคารกลาง และ
(ง) ลดเงินฝากโดยเรียกเงินกู้ที่มีอยู่ขณะนั้นบางส่วนกลับคืน หรือ ไม่ต่ออายุสินเชื่อที่ถึงเวลาชำระคืน ในทาง
ตรงข้าม เมื่อธนาคารกลางลดอัตราเงินสดสำรองตามกฎหมาย ธนาคารพาณิชยจ์ ะสามารถขยายสินเช่ือ ต่อไป
ไดอ้ ีก ทำให้จำนวนเงินฝากทงั้ สิน้ เพ่มิ ข้นึ และปริมาณเงินเพ่ิมขึ้นด้วย การเพ่ิมหรือลดอัตราเงินสด สำรองตาม
กฎหมายเป็นวิธีการที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงปริมาณเงินและสินเช่ือค่อนข้างมาก ดังน้ัน การเปลี่ยนแปลง
อตั ราเงนิ สดสำรองตามกฎหมายต้องใช้อย่างระมดั ระวัง หรือใช้เม่ือมีวิกฤตการณท์ างการเงิน และมีแนวโนม้ ว่า
จะยืดเยือ้ เปน็ เวลานาน

4) การซื้อขายหลักทรพั ย์ (Securities Trading) ธนาคารกลางจะขายหลักทรัพย์ เม่อื ต้องการ
ลดปรมิ าณเงนิ และสินเช่ือในระบบเศรษฐกจิ เพราะการขายหลกั ทรพั ยจ์ ะทำใหธ้ นาคารกลาง ดึงเงนิ ส่วนทมี่ ีอยู่
มากเกินไปออกจากระบบเศรษฐกิจ ในทางตรงข้าม ธนาคารกลางจะซื้อหลักทรัพย์กลับคืน เม่ือต้องการเพิ่ม
ปริมาณเงินและสินเชื่อในระบบเศรษฐกิจให้มากขึ้น การซื้อหลักทรัพย์ของธนาคารกลาง จะเพิ่มเงินสดสำรอง
ของธนาคารพาณิชย์ จึงทำให้ปริมาณเงินและสินเช่ือเพ่ิมข้ึน การซ้ือขายหลักทรัพย์ ของธนาคารกลางยังมีผล
ตอ่ การเปล่ียนแปลงเงินสดสำรองและการขยายสนิ เชือ่ ของธนาคารพาณิชย์ รวมท้ังยังมีผลต่อการเปล่ียนแปลง
อตั ราดอกเบ้ยี ในตลาดเงนิ อกี ดว้ ย เมือ่ ธนาคารกลางซ้อื หลักทรัพย์ ราคาหลักทรัพย์จะสงู ข้นึ และอัตราดอกเบ้ีย
จะต่ำลงเพ่ือจงู ใจให้นำหลกั ทรัพย์มาขายแก่ธนาคารกลาง ถ้าปริมาณซื้อหลักทรัพย์มีมากพอ ปรมิ าณทุนเพื่อ
การให้ก้ยู ืมจะลดลง อตั ราดอกเบี้ยในตลาดเงนิ จงึ ลดลง ในทางตรงขา้ มถา้ ธนาคารกลางตอ้ งการขายหลักทรพั ย์
ราคาหลกั ทรัพย์จะตำ่ และอัตราดอกเบ้ยี จะสูงข้นึ เพอ่ื จงู ใจให้ผูล้ งทนุ ซื้อหลักทรพั ย์ของธนาคารกลาง

2. การควบคมุ ทางคุณภาพหรือด้วยวิธเี ลือกสรร เปน็ การควบคุมการให้เครดติ ของธนาคาร พาณิชย์
บางประเภท วิธีการทั่วไปได้แก่ การกำหนดเง่ือนไขการกู้ยืมประเภทท่ีต้องการจำกัดเครดิต เช่น จำนวนเงิน
ดาวน์ (Down Payment) ระยะเวลาของการผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย เป็นต้น ซ่ึงธนาคาร พาณิชย์และ
สถาบันการเงินตา่ ง ๆ ต้องปฏิบตั ิตามโดยเครง่ ครัด ชนิดของเครดิตที่ธนาคารกลางใช้ในการ ควบคมุ ได้แก่

1) การควบคุมเครดิตเพ่ือการซื้อขายหลักทรัพย์ ประเทศที่ตลาดทุนมีระดับการพัฒนาสูง จะมี
บุคคลประเภทหนึ่งประกอบอาชีพค้าขายหากำไรจากหลักทรัพย์ บุคคลเหล่าน้ีจะซื้อหลักทรัพย์ เม่ือราคา

19

หลักทรัพยต์ ่ำ (ดอกเบย้ี สูง) และขายเม่ือราคาหลักทรัพยส์ ูง (ดอกเบยี้ ต่ำ) การซ้ือขายหลักทรัพย์ เป็นเรอื่ งของ
การเก็งกำไรทัง้ สิน้ เพราะต้องมีการคาดคะเนอัตราดอกเบี้ยในอนาคต ซึ่งอาจก่อให้เกิด ความเสยี หายแก่ตลาด
หลักทรัพย์ได้ ธนาคารกลางสามารถควบคุมเหตุการณ์เช่นน้ีได้ด้วยวิธีจำกัดเครดิต เพื่อการซ้อื ขายหลักทรัพย์
กล่าวคอื โดยปกตผิ ู้ซือ้ หลกั ทรัพย์มักจะมีเงินสดไม่พอ จำเป็นต้องกู้ยืมเงินบางส่วน โดยใช้หลักทรัพย์ทีซ่ ้ือเป็น
หลักประกันจากธนาคารพาณิชย์หรอื สถาบันการเงนิ อ่นื ๆ จึงใช้วิธีกำหนดอัตราต่ำสุดของราคาหลกั ทรัพย์ท่ีผู้
ซ้ือต้องชำระเป็นเงนิ สดที่เรียกว่า Margin Requirement ยิ่งมีอัตรา สูงเท่าใด ก็หมายความว่า ธนาคารกลาง
ตอ้ งการจำกดั เครดิตเพอ่ื การซ้ือขายหลักทรัพยม์ ากเท่านัน้

2) การควบคุมเครดิตเพ่ือการอุปโภคบริโภค เคร่ืองมือที่ธนาคารกลางใช้สำหรับควบคุม เครดิต
ประเภทนม้ี ี 2 ชนิด คอื การกำหนดจำนวนเงินต่ำสุดทตี่ อ้ งชำระคร้ังแรก และระยะเวลาสูงสดุ ของ การ
ผ่อนชำระ กล่าวคือ การเพิ่มจำนวนเงินต่ำสุดท่ีต้องชำระคร้ังแรก และการลดระยะเวลาสูงสุดของการ ผ่อน
ชำระจะทำใหส้ ามารถจำกัดเครดิตเพอ่ื การอุปโภคบริโภคได้มากข้ึนและมีผลต่อการจัดสรรทรัพยากรใหเ้ ป็นไป
ตามทีต่ ้องการ

3) การชักชวนให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตาม ธนาคารกลางอาจดำเนินนโยบายการเงินผ่อน
คลายหรือเข้มงวดได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือดังกล่าวข้างต้นแต่ใช้วิธีการชักชวนด้วยวาจาให้ธนาคาร
พาณิชย์ ปฏิบัติตามในเรอ่ื งท่ีขอร้อง เช่น การขอรอ้ งใหล้ ะเว้นจากการให้กู้ยืมแกธ่ ุรกิจเก็งกำไร เป็นตน้ การท่ี
ธนาคารกลาง สามารถใชบ้ ังคับด้วยวิธกี ารน้ีได้ด้วยเง่ือนไข 2 ประการ คือ ธนาคารกลางมีเครอื่ งมืออื่นพร้อม
จะนำมาใช้บังคับได้ถ้าไม่ปฏบิ ัติตามและธนาคารพาณิชย์ต้องพึ่งธนาคารกลางทงั้ ด้านการเงินและบริการต่าง ๆ
อย่างมาก

7. นโยบายการเงนิ ของประเทศไทย

ธนาคารกลางไดด้ ำเนินนโยบายการเงินและเลอื กใชม้ าตรการทางการเงินท่ีแตกตา่ งกัน เพื่อให้บรรลุ
เปา้ หมาย 3 ประการ ดังนี้

1. การรกั ษาเสถียรภาพทางการเงนิ มาตรการทางการเงินท่ีใช้มี 2 กรณี กรณภี าวะเงินเฟ้อ ใช้
นโยบายการเงนิ แบบเขม้ งวด ประกอบด้วยมาตรการต่าง ๆ เช่น เพิ่มอัตราดอกเบีย้ มาตรฐาน เพิม่ อัตรา เงินสด
สำรองตามกฎหมาย เพิ่มเพดานอตั ราดอกเบี้ยเงินกแู้ ละเงินฝาก การซ้ือหลกั ทรัพย์ รัฐบาล ส่วนกรณี ภาวะเงิน
ฝดื ใชน้ โยบายการเงินแบบผอ่ นคลาย โดยใชม้ าตรการตา่ ง ๆ ในทศิ ทางตรงกนั ขา้ มกบั กรณเี งนิ เฟ้อ

2. การเสริมสร้างความม่ันคงของสถาบันการเงิน มาตรการที่นำมาใช้ได้แก่ การกำหนดอัตรา
เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงท่ีสถาบันการเงินต้องดำรง กำหนดอัตราการสำรองหนี้ที่สงสัยจะสูญ (Non-
Performing Loan: NPL) กำหนดเงื่อนไขและอัตราสูงสุดท่ีสถาบันการเงินจะให้บุคคลกู้ยืม จำกัด การถือหุ้น
ของผู้ถือหุ้น ส่งเสริมการกระจายการถือหุ้นไปยังประชาชน ควบคุมการปล่อยสินเช่ือ ของกรรมการสถาบัน
การเงนิ นน้ั ๆ รวมทัง้ ปรับปรุงกฎระเบยี บในการกำกบั และตรวจสอบสถาบันการเงนิ

20

3. การส่งเสรมิ การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม มาตรการท่ีใช้ได้แก่ การรบั ช่วงซื้อลดตั๋วสญั ญาใช้เงิน
ในภาคเศรษฐกิจทตี่ ้องการสนับสนุน เช่น การส่งออก การเกษตร อุตสาหกรรม เป็นต้น กำหนดนโยบายและ
ขอความร่วมมือจากธนาคารพาณิชย์ในการเพ่ิมสินเชื่อให้สาขาเศรษฐกิจดังกล่าว การให้ ความช่วยเหลือแก่
สถาบันการเงินท่ีมีบทบาทในการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม เช่น ธนาคาร พัฒนาวิสาหกิจขนาด
กลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารเพ่ือการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารเพ่ือการส่งออก
และนำเข้าแหง่ ประเทศไทย เป็นตน้

นโยบายอตั ราการแลกเปลยี่ น
ตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา ประเทศไทยได้เปลยี่ นมาใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยน
แบบลอยตัว (Managed Float Currency) ซ่ึงค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินตราสกุลต่าง ๆ ถูกกำหนดโดย
กลไกตลาดตามอุปสงค์และอุปทานของตลาดเงินตราในประเทศและต่างประเทศ และสามารถเปลี่ยนแปลง
ขน้ึ ลงไดต้ ามปัจจยั พ้ืนฐานทางเศรษฐกิจ โดยธนาคารกลางจะเขา้ ซื้อหรือขายดอลลาร์สหรัฐฯ ตามความจำเป็น
เพ่ือไม่ให้อัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวนมากเกินไป และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนโยบายเศรษฐกิจ ระบบ
ดังกล่าวทำให้นโยบายการเงินมีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากย่ิงข้ึนในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ช่วย
เสริมสรา้ งความม่นั ใจของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ รวมท้ังทำให้ทางการสามารถดูแลการไหล เขา้ ออก
ของเงินทุนตา่ งประเทศไดด้ ขี น้ึ
สรปุ ธนาคารกลางเปน็ ผคู้ วบคมุ ธนาคารพาณชิ ย์ ซ่งึ เปน็ สถาบันการเงนิ เอกชนที่ ทำหนา้ ท่รี ับฝากเงิน
และใหก้ ้ยู ืมแกป่ ระชาชน สว่ นธนาคารกลางจดั ตัง้ ข้นึ เพื่อรักษาเสถยี รภาพ ของเงินตราและเศรษฐกจิ ของ
ประเทศโดยการใชน้ โยบายการเงนิ ควบคมุ การดำเนนิ งานของ ธนาคารพาณชิ ย์ และทำหนา้ ที่ในการควบคมุ
ทางด้านปริมาณ โดยการซ้อื ขายหลกั ทรัพยร์ ฐั บาล เพ่มิ ลด อัตรารบั ชว่ งซอ้ื ลดต๋วั เงนิ เพิ่มลดอตั ราเงินสด
สำรองตามกฎหมาย หรือการควบคุมทางด้านเครดิต เฉพาะอยา่ ง ซ่ึงเป็นการควบคมุ เครดิตเพือ่ การเกง็ กำไร
ควบคุมเครดติ เพ่อื การบริโภค ควบคุม เครดิตเพ่ือการกอ่ สร้าง ควบคมุ เครดิตโดยการขอร้องอย่างเปน็ กันเอง
ตามปกติปริมาณเงินในระบบเศรษฐกจิ หากมมี ากหรือนอ้ ยเกนิ ไป จะไมเ่ ป็นผลดีตอ่ การ พฒั นาเศรษฐกิจ
รัฐบาลของประเทศตา่ ง ๆ จึงใชน้ โยบายการเงินเพ่ือป้องกนั หรอื แกไ้ ขไม่ให้มภี าวะ เงินเฟ้อหรอื ภาวะเงนิ ฝืด
เพอื่ สร้างความเจรญิ เติบโตทางเศรษฐกิจตามเป้าหมาย

21

แบบเรยี นร้หู น่วยการเรยี นรทู้ ่ี 10

ตอนที่ 1 จงตอบคำถามตอ่ ไปนี้
1. เงนิ คอื อะไร และมีหน้าที่อะไรบา้ ง

.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

2. เงินท่ีใชใ้ นประเทศมกี ป่ี ระเภท อะไรบ้าง

.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

3. อธบิ ายความสำคัญของตลาดการเงนิ

.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

4. ตามแนวคดิ ของเคนส์ (John Moynard Keynes) อุปสงคข์ องการถอื เงนิ ประกอบดว้ ยอะไรบ้าง

................................................................................................................................................................................ .....
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................. .......................................

5. อุปทานของเงนิ หรือปริมาณเงินประกอบด้วยอะไรบา้ ง

................................................................................................................................................................. ....................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

22

6. ธนาคารกลางมลี กั ษณะทแี่ ตกต่างจากสถาบันการเงินอื่นอยา่ งไร

........................................................................................................................................ .............................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

7. ระบบธนาคารพาณิชย์แบง่ ออกเป็นกร่ี ะบบ อะไรบ้าง

.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

8. นโยบายการเงนิ หมายถงึ อะไร แบ่งออกเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง

.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................................ .....

9. เม่อื ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกจิ เพ่มิ ขึน้ มีผลตอ่ อตั ราดอกเบยี้ อย่างไร

............................................................................................................................................................................... ......
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................. ........................................

10. การควบคมุ ปริมาณเงินทีน่ ยิ มใชก้ นั โดยทว่ั ไปเป็นการควบคมุ แบบใด และมเี ครื่องมอื อะไรบา้ ง

.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

23

ตอนท่ี 2 จงเลือกข้อท่ถี ูกต้องทีส่ ุดเพยี งข้อเดียว

1. ประเทศอิหรา่ นตอ้ งการแลกน้ำมันกับข้าวของประเทศไทย ถือเปน็ การแลกเปลยี่ นแบบใด

ก. Barter System ข. Modern System

ค. Commodity System ง. Credit System

จ. Indirect System

2. ในทัศนะของเคนสป์ ระชาชนมีความตอ้ งการถือเงินสดไวเ้ พ่ืออะไร
ก. เพอื่ ใช้จ่ายประจำวนั ข. เพอื่ เกง็ กำไร
ค. เพอื่ สำรองยามฉกุ เฉนิ ง. เพื่อหากำไรจากหลกั ทรัพย์
จ. ถูกทุกขอ้

3. อุปทานของเงินขึ้นอยกู่ บั ปัจจยั อะไรบา้ ง ข. อัตราดอกเบ้ีย
ก. นโยบายของรฐั บาลและธนาคารกลาง ง. การใช้จา่ ยของรฐั บาล
ค. ระดบั รายได้
จ. การใช้จ่ายของประชาชน

4. ธนาคารแห่งแรกในประเทศไทยคอื ธนาคารใด ข. ธนาคารหวง่ั หลี
ก. ธนาคารซ่ีไฮทง ง. ธนาคารสยามกมั มาจล
ค. ธนาคารสยามรัฐ
จ. ธนาคารฮอ่ งกงและเซ่ียงไฮ้

5. ระบบธนาคารพาณชิ ย์ในประเทศไทยเปน็ ระบบใด

ก. ระบบธนาคารเดีย่ ว ข. ระบบธนาคารสาขา

ค. ระบบธนาคารคู่ ง. ระบบธนาคารกล่มุ

จ. ระบบธนาคารลูกโซ่

6. ขอ้ ใดมใิ ช่ลกั ษณะของธนาคารกลาง
ก. ไม่ทำธรุ กจิ ตดิ ต่อโดยตรงกบั ประชาชนท่ัวไป
ข. ทำธรุ กจิ โดยไมแ่ สวงหากำไร
ค. ธนาคารกลางเป็นของรัฐบาลเทา่ นน้ั
ง. ธนาคารทำเพ่ือประโยชน์ของชาติ
จ. ธนาคารกลางมีลูกค้าประเภทเดยี วกับธนาคารพาณชิ ย์

24

7. ธนาคารกลางพิมพ์ธนบัตรเป็นจำนวนเท่าใดขน้ึ อยกู่ ับสิ่งใด

ก. ปรมิ าณสินค้าท่ีผลติ ขึ้น ข. ทนุ สำรองเงินตรา

ค. ตามคำขอของรัฐบาล ง. รายจ่ายของรฐั บาล

จ. โครงการเรง่ ด่วน

8. ถ้าธนาคารกลางต้องการใหธ้ นาคารพาณชิ ย์ให้สนิ เชอ่ื มากขน้ึ จะทำได้โดยวิธีใด
ก. เพมิ่ อัตราเงนิ สดสำรองตามกฎหมาย
ข. ขายพันธบตั รรัฐบาลให้ธนาคารพาณชิ ย์
ค. การเพิ่มอัตราดอกเบย้ี มาตรฐาน
ง. ลดอตั รารบั ช่วงซ้ือลด
จ. ไม่มขี ้อใดถกู

9. ขอ้ ใดมิใชเ่ ปา้ หมายของการดำเนนิ นโยบายการเงินของประเทศไทย
ก. เพ่ือรกั ษาเสถยี รภาพของราคาสินค้า
ข. เพื่อขยายอตั ราการเจริญเตบิ โตทางเศรษฐกิจ
ค. เพือ่ หาทางใช้หนเ้ี งนิ ก้ตู ่างประเทศของภาคเอกชน
ง. เพื่อสรา้ งความเขม้ แขง็ ของสถาบนั การเงิน
จ. ส่งเสรมิ ให้มกี ารจ้างงานเพ่ิมขนึ้

10. ข้อใดมิใช่ความสำคัญของตลาดการเงนิ

ก. ระดมเงินออม ข. จดั สรรเงินทุน

ค. การจัดเก็บภาษีเป็นธรรม ง. รกั ษาการเจรญิ เติบโตทางเศรษฐกจิ

จ. ผดิ ทกุ ข้อ

25

ตอนท่ี 3 จงใสเ่ ครือ่ งหมาย ✓ หรือ × หนา้ ขอ้ ความทีเ่ หมาะสม

.............. 1. เงนิ เปน็ สงิ่ ท่ีสงั คมยอมรับโดยท่ัวไปใชเ้ ปน็ สือ่ กลางในการแลกเปล่ยี นและชำระคา่ สินค้า
.............. 2. โลหะที่นำมาใชไ้ ดแ้ ก่ ธนบัตรและทองคำ
.............. 3. เงนิ ฝากกระแสรายวนั เปน็ เงินฝากทม่ี ีการจ่ายโอนกันดว้ ยใบโอนเทา่ นนั้
.............. 4. ตลาดเงินเปน็ ตลาดที่มีการระดมเงนิ ทนุ และใหส้ ินเชอื่ ระยะสั้นไมเ่ กิน 1 ปี
.............. 5. ตลาดทุนเป็นตลาดท่ีมกี ารระดมเงินออมและใหส้ นิ เช่อื ในระยะปานกลาง
.............. 6. ตลาดรองเปน็ ตลาดที่ทำการซื้อขายหลักทรัพย์เกา่ ซึ่งเป็นการลงทนุ ทีไ่ ม่แทจ้ รงิ
.............. 7. การใช้นโยบายการเงินมีผลกระทบต่อการเปลีย่ นแปลงผลผลติ รายได้ และการจ้างงาน
.............. 8. ธนาคารพาณชิ ย์ของคนไทยแหง่ แรกคอื ธนาคารฮ่องกงและเซีย่ งไฮ้ จำกัด
.............. 9. การออกธนบตั รมากเกินความจำเปน็ จะทำใหเ้ กิดภาวะเงินเฟ้อ
.............. 10. การออกธนบตั รต้องมีทุนสำรองเงนิ ตราเปน็ ทองคำและสินทรัพย์ตา่ งประเทศ

26

ใบงานท่ี 1

ธนาคารกลางเลือกใชห้ ลกั การใดในการพิจารณาว่าจะใชน้ โยบายการเงนิ แบบหดตวั หรอื แบบขยายตัว

.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................... ..........

ใบงานที่ 2

หากกำหนดให้สิ่งอ่ืน ๆ คงท่ีเม่ือระบบเศรษฐกิจเกิดช่องห่างเงินฝืด ธนาคารกลางควรใช้นโยบาย
การเงินแบบใดเพ่ือแก้ไขปัญหาดงั กลา่ ว ยกตัวอยา่ งมาตรการการเงนิ มา 1 มาตรการ

.....................................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................. ....................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

ใบงานที่ 3

ธนาคารกลางควรเลือกใช้เครือ่ งมอื ของนโยบายการเงนิ อะไรบ้าง เพอื่ กอ่ ให้เกิดผลต่าง ๆ ดังน้ี
(ก) ควบคุมการใหส้ นิ เชอ่ื ของธนาคารพาณชิ ย์ใหอ้ ย่ใู นระดับทล่ี ดลง

.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................

(ข) สนับสนนุ ธนาคารพาณชิ ย์ปล่อยสนิ เชอ่ื โดยไมเ่ ปล่ยี นแปลงอตั ราเงนิ สดสำรองตามกฎหมาย

.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................

27

(ค) สง่ เสริมธนาคารพาณชิ ยจ์ ัดสรรสินเชื่อด้านการเกษตร

.................................................................................................................................................. ...................................
.....................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................... ............
....................................................................................................................................................................................

(ง) ส่งเสรมิ ธนาคารพาณชิ ยจ์ ัดสรรสนิ เช่ือในธรุ กิจขนาดเลก็

.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................

28

29


Click to View FlipBook Version