0
วิชาหลักเศรษฐศาสตร์ รหัสวชิ า 30200-1001
หนว่ ยที่ 9 เร่ืองการกำหนดรายไดป้ ระชาชาติ
จัดทำโดย
นางกชมน เอียดแกว้
บธ.ม. (การจัดการโลจสิ ติกสแ์ ละโซอ่ ปุ ทาน)
หน่วยท่ี 9 1
ช่อื หน่วย การกำหนดรายไดป้ ระชาชาติ จำนวน 3 ชั่วโมง
สาระสำคัญ
กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีส่วนสำคัญในการกำหนดรายได้ประชาชาติ ได้แก่ รายจ่ายเพื่อการบริโภค
และการออม รายจ่ายเพื่อการลงทุน การใชจ้ ่ายของภาครฐั บาล และการส่งออกสุทธิ กิจกรรมเหล่าน้ีจะมมี าก
หรือน้อยข้ึนอยู่กับปัจจยั หลายประการ เช่น รายได้ อัตราดอกเบี้ย โดยการบริโภค การออม การลงทุน และ
การส่งออก-นำเขา้ ทีม่ ีความสมั พันธ์กัน และการบรโิ ภค การออม และการลงทุน จะมผี ลก่อให้เกิดกจิ กรรมทาง
เศรษฐกจิ ทตี่ ่อเน่ืองตอ่ ๆ กันไป
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อธิบายรายจ่ายเพ่ือการบริโภคและการออม ปัจจัยที่กำหนดการบริโภคและการออม ฟงั ก์ชันการ
บรโิ ภค และการออม เส้นการบริโภคและเส้นการออม และทราบถึงกฎว่าดว้ ยการบริโภคของเคนส์
2. อธิบายเก่ียวกับรายจ่ายเพ่ือการลงทุน ปัจจัยที่กำหนดการลงทุน ฟังก์ชันการลงทุน การ
เปลีย่ นแปลงระดบั การลงทุนและการย้ายเสน้ การลงทุน ความไม่มเี สถยี รภาพของการลงทุนได้
3. อธิบายการใช้จ่ายของภาครัฐบาล ปัจจัยที่กำหนดการใช้จ่ายของรัฐบาล เส้นรายจ่ายของรัฐบาล
และ การยา้ ยของเสน้ รายจ่ายของรฐั บาลได้
4. อธิบายการส่งออกและการนำเข้า ปจั จยั ท่ีกำหนดความตอ้ งการสง่ ออก เส้นความต้องการสง่ ออก
และ การยา้ ยเส้นความต้องการส่งออก ปจั จัยที่กำหนดความต้องการนำเข้า และเส้นความต้องการนำเขา้ และ
การยา้ ยเสน้ ความต้องการนำเข้าได้
สมรรถนะประจำหนว่ ย
อธิบายการกำหนดรายไดป้ ระชาชาตจิ ากปจั จัยท่กี ำหนด
สาระการเรยี นรู้
1. รายจา่ ยเพือ่ การบรโิ ภคและการออม
2. รายจา่ ยเพ่อื การลงทุน
3. การใช้จา่ ยของภาครัฐบาล
4. การสง่ ออกสุทธิ
2
1. รายจา่ ยเพ่อื การบรโิ ภคและการออม
รายได้ประชาชาตเิ ป็นดัชนีตวั หน่ึงทแ่ี สดงให้เห็นถึงการเจรญิ เติบโตทางเศรษฐกจิ ดงั น้ัน จึงจำเป็น
ตอ้ งศึกษารายละเอยี ดของรายได้ประชาชาตโิ ดยเฉพาะรายจา่ ยเพื่อการบรโิ ภคและการออม ท้งั น้ี เมื่ อประชา
ชนมีการบริ โภคมากข้ึน จะทำให้ ความต้ องการในสิ นคา้ และบริ การในตลาดสูงขึ้ นและการออม ก็จะส่งผล
ให้มีเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการลงทุนมากขึ้น ซึ่งจูงใจให้ผู้ผลิตขยายการลงทุนมากขึ้น และเม่ือมี การลงทุน
เพิ่มขึ้นก็จะมีการใช้ปัจจัยการผลิตต่าง ๆ เพิ่มมากข้ึน เจ้าของปัจจัยการผลิตจะมีรายได้เพิ่มขึ้น คนมีงานทำ
มากขนึ้ ซง่ึ จะสง่ ผลใหป้ ระเทศมีรายไดป้ ระชาชาติสูงข้ึน
1.1 ปจั จัยทีก่ ำหนดการบริโภคและการออม
การท่ีประชาชนจะสามารถมีรายจ่ายเพ่ือการบริโภคและการออมมากน้อยเพียงใดนั้น ข้ึนอยู่กับ
ปจั จัยตา่ ง ๆ ทีม่ ีอทิ ธิพลต่อการบรโิ ภคและการออมดังนี้
1. รายได้สุทธิส่วนบุคคล เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อรายจ่ายในการบริโภคและการออมมาก
ทีส่ ดุ กล่าวคอื รายไดส้ ุทธิสว่ นบุคคลเป็นรายไดท้ ี่ภาคครวั เรอื นไดร้ ับหลังจากหักภาษีเงินไดบ้ ุคคลธรรมดาแล้ว
จงึ สามารถนำไปใช้จา่ ยเพ่อื การบริโภคและการออมได้ ผู้ทีม่ รี ายไดส้ ว่ นนี้มากสามารถใชจ้ า่ ยเพ่ือการบรโิ ภคและ
การออมได้มากกวา่ ผทู้ ม่ี ีรายได้สุทธิส่วนบคุ คลน้อย
2. สภาพคล่องสินทรัพย์ที่บุคคลมีอยู่ เน่ืองจากทรัพย์สินท่ีครัวเรือนถือครองอยู่มีสภาพ
คล่องสูง หรือต่ำไม่เท่ากัน ซึ่งทรัพย์สินท่ีมี สภาพคล่อง ได้แก่ เงินสด เงินฝากกระแสรายวันเงินฝากประจำ
พนั ธบัตร หุน้ ทองคำ และทีด่ ิน ในกรณีทีป่ ระชาชนถือครองสินทรัพยส์ ภาพคล่องสูงไว้มากประชาชนจะรสู้ ึกว่า
ตน มีฐานะทางการเงินท่ีม่ันคง สามารถใช้จ่ายเพ่ือการบริโภคและการออมไดม้ ากกวา่ ประชาชนที่ถือสินทรัพย์
สภาพคล่องต่ำ เพราะไม่แน่ใจว่าจะสามารถเปล่ียนสินทรัพย์ให้เป็นเงินสดได้ตามเวลาที่ต้องการหรือไม่ และ
ได้รบั มูลค่าท่ตี นพอใจมากน้อยเพียงใดหรือไม่ จงึ ต้องชะลอการบริโภคและการออมบางสว่ นไวก้ ่อน
3. สินทรัพย์ถาวรท่ีบุคคลมีอยู่ ถ้าประชาชนมีสินทรัพย์ถาวร เช่น รถยนต์ โทรทัศน์ ตู้เย็น
คอมพวิ เตอร์ เคร่ืองเรอื น อยูแ่ ลว้ ความจำเป็นในการซื้อสินค้าเหล่านจี้ ะอยู่ในระดบั ตำ่ ทำให้ ลดการใช้จา่ ยลง
ได้มาก เพราะสนิ คา้ เหล่านี้มคี วามคงทนถาวรและมีอายุการใช้งานนาน
4. รายได้ในอนาคต เก่ียวกับรายได้ในอนาคตน้ี จะมีผลต่อการบริโภคและการออมใน
ปัจจุบัน ซึ่งเป็นปัจจัยที่เอ้ือให้มีการออมเพิ่มมากข้ึน หากประชาชนคาดการณ์ว่าจะมีรายได้เพ่ิมขึ้นในอนาคต
เขาอาจจะ เพิม่ การบรโิ ภคและการออมในปจั จุบนั ใหม้ ากขึ้น ในทางตรงข้าม เขาจะลดการบรโิ ภคและการออม
ในปัจจุบนั ลง ถา้ เขาคาดวา่ รายไดใ้ นอนาคตจะลดน้อยลง
5. การคาดคะเนระดับราคาสินค้าถ้าหากประชาชนคาดว่าราคาสินค้าในอนาคตจะสูงขึ้น
เขาจะรีบ ซ้ือสินค้ามากกว่าปกติเพ่ือกักตุนไว้ ทั้งน้ีเป็นพฤติกรรมของบุคคลโดยทั่วไปที่ไม่อยากซ้ือของแพง
โดยเฉพาะ สนิ ค้าประเภทคงทนถาวร ทำให้รายจา่ ยเพ่ือการบริโภคขณะน้นั เพ่ิมขึ้น การออมลดลง แต่ถ้าหาก
คาดว่า ราคาสินค้าในอนาคตจะลดลง เขาจะชะลอการซอื้ สินค้าในปัจจบุ ันเพ่อื รอซอ้ื สินค้าในอนาคตแทน จะ
ทำให้ รายจ่ายเพือ่ การบรโิ ภคในระยะนั้นลดลง
3
6. สินเช่ือเพ่ือการบริโภค ณ ระดับรายได้ท่ีใช้จ่ายได้เท่ากนั ในกรณีทสี่ ังคมน้ันมีระบบการ
ให้ สินเช่อื เพ่อื การบรโิ ภคในรูปของการจ่ายเงินดาวน์ต่ำและดอกเบี้ยตำ่ จะจงู ใจให้ประชาชนมีการใชจ้ า่ ย เพื่อ
การบริโภคสูงกว่าในกรณที ี่ไมม่ รี ะบบการให้สินเช่ือในลักษณะดังกลา่ ว
7. อัตราดอกเบ้ีย เม่อื ประชาชนมีรายได้ สว่ นหนึ่งจะถกู ใช้ไปในการบรโิ ภค ส่วนท่ีเหลอื ก็จะ
เก็บ ออมไว้ และการท่ีประชาชนจะมีการออมมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ย ถ้าอัตราดอกเบ้ียเงิน
ฝากสูง ก็จะจงู ใจให้ประชาชนเก็บออมมากขน้ึ และใช้จ่ายเพื่อการบริโภคลดลง แต่ถา้ อัตราดอกเบีย้ เงินฝากต่ำ
บุคคลจะมกี ารออมลดลง และมีใชจ้ า่ ยเพอื่ การบรโิ ภคมากข้นึ
8. การเก็บภาษี มีผลโดยตรงต่อรายได้สุทธิส่วนบุคคล ถ้ารัฐบาลเก็บภาษีมาก รายได้สุทธิ
สว่ นบุคคลท่ีจะนำไปใช้จา่ ยเพ่ือการบริโภคจะเหลอื น้อย การบริโภคและการออมของบุคคลจะลดลง ซึ่งการข้ึน
ภาษีน้ีจะมีผลกระทบต่อบุคคลที่มีรายได้ต่ำมากกว่าผู้ท่ีมีรายได้สูง เน่ืองจากผู้ท่ีมีรายได้ต่ำจะใช้ รายได้ส่วน
ใหญ่เพอ่ื การบริโภคและเหลอื ก็เก็บออม
9. การกระจายรายได้ เน่อื งจากผูท้ ่มี ีรายได้ต่ําจะใชจ้ ่ายในการบรโิ ภคในสัดส่วนที่มากกวา่ ผทู้ ่ี
มีรายได้สูง การกระจายรายได้ท่ีมีความยุติธรรมจะทำให้ค่าใช้จ่ายในการบริโภคของสังคมสูง แต่ถ้าหาก การ
กระจายรายไดม้ ีความเหล่ือมลํ้ากนั มาก รายจา่ ยเพือ่ การบริโภค รวมไปถึงการออมของสงั คมจะตำ่ ลง เพราะว่า
ผู้มีรายได้สูงจะมีเพียงกลุ่มน้อย เมื่อมีรายได้สูงข้ึน รายจ่ายเพ่ือการบริโภคจะเพ่ิมข้ึนเพียงเล็กน้อย ดังนั้น
ประเทศใดท่ีมีการกระจายรายได้เท่าเทยี มกัน รายจ่ายเพ่ือการบรโิ ภคและการออมของประเทศน้ัน จะสูงกว่า
ประเทศทม่ี กี ารกระจายรายไดท้ ีไ่ มเ่ ท่าเทยี มกัน
10. ค่านิยมทางสังคม เป็นคุณค่าท่ีสังคมได้กำหนดไว้ว่าเป็นสิ่งท่นี ่าประพฤติปฏิบัติ โดยไม่
คำนงึ ถึง ความเหมาะสมและความสอดคลอ้ งกบั ภาวะเศรษฐกิจและสังคม หากค่านยิ มทางสังคมใหค้ วามสำคัญ
กบั วตั ถุ จะทำให้บุคคลบางกลมุ่ มกี ารใช้จ่ายในสินค้าและบริการทฟ่ี ุ่มเฟือยและมรี าคาสูง ทำให้สังคมนน้ั มีการ
บริโภค อยู่ในระดับสูงและการออมอยู่ในระดับต่ำ ส่วนสังคมท่ียึดค่านิยมการประหยัด สังคมน้ันก็จะมีการ
บริโภค และการออมอยใู่ นระดบั ท่ีเหมาะสมและเป็นผลดีต่อระบบเศรษฐกิจในระยะยาว
11. อัตราเพ่ิมของประชากรและโครงสร้างอายุของประชากร ถ้าหากอัตราเพ่ิมของ
ประชากร อย่ใู นระดับสูง รายจ่ายเพอ่ื การบรโิ ภคและการออมจะเพม่ิ มากขึน้ แต่ถา้ อตั ราเพิม่ ของประชากรอยู่
ในระดบั ต่ำรายจ่ายเพ่ือการบรโิ ภคก็จะลดลง นอกจากนี้โครงสรา้ งอายุของประชากรกม็ ีอิทธพิ ลต่อรายจา่ ยเพื่อ
การบริโภค โดยท่ัวไปหากจำนวนประชากรวัยทำงานมีสัดส่วนต่ำ การใช้จ่ายเพ่ือการบริโภคจะมีมาก เพราะ
ประชากร ที่ไม่อยู่ในวัยทำงานแม้จะไม่มีรายได้แต่กย็ ังต้องบริโภค แต่ถ้าจำนวนประชากรวัยทำงานมีสัดส่วน
มาก รายจา่ ยเพ่อื การบริโภคและการออมก็จะนอ้ ย
1.2 ฟังกช์ นั การบริโภคและการออม
ฟังก์ชันการบริโภค จากปัจจัยต่าง ๆ ที่เป็นตัวกำหนดรายจ่ายเพื่อการบริโภค เราสามารถ
แสดง ความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคกับตัวกำหนดต่าง ๆ ด้วยสัญลักษณ์ทางพีชคณิตซึ่งเรียกว่า “ฟังก์ชัน
การบรโิ ภค (Consumption Function)”
4
C = f(Yd, A1, A2, A3, ...)
เมื่อ C = รายจ่ายเพอ่ื การบรโิ ภค
Yd = รายไดส้ ทุ ธสิ ว่ นบุคคล
A1 = สินทรพั ย์ท่บี คุ คลมอี ยู่
A2 = สนิ ค้าถาวรท่ีบคุ คลมอี ยู่
A3 = รายไดใ้ นอนาคต เป็นตน้
จากฟังก์ชันการบริโภค จะเห็นได้ว่ารายจ่ายเพ่ือการบริโภคขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ มากมาย
แตใ่ นระยะสั้นปัจจัยที่มคี วามสำคัญและมีอิทธพิ ลต่อการบริโภคมากทสี่ ดุ คือ รายไดส้ ุทธสิ ว่ นบคุ คล สว่ นปจั จัย
อืน่ ๆ ค่อนขา้ งคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง จึงสรุปได้ว่า รายได้สุทธิส่วนบุคคลเป็นตัวกำหนดโดยตรง ของการบรโิ ภค
สว่ นปัจจัยอืน่ ๆ ถอื เป็นตวั กำหนดโดยออ้ มของการบริโภค
ดงั นั้น ถ้าสมมติให้ปัจจัยอ่ืน ๆ ที่เป็นตัวกำหนดโดยออ้ มอยู่คงที่ ฟังก์ชันการบรโิ ภคจะเป็นตัว
แสดง ให้เหน็ ถงึ ความสัมพันธ์ระหว่างรายไดส้ ทุ ธิสว่ นบุคคลกบั รายจา่ ยเพอื่ การบรโิ ภค ดังน้ี
C = f(Yd)
โดยธรรมชาตขิ องบุคคลต้องมกี ารบริโภคขั้นตำ่ สุดระดบั หน่ึง ซึง่ เปน็ การบริโภคเพอื่ การยงั ชีพ
ให้ชีวิตอยู่รอด ถึงจะไม่มีรายได้เลยก็ตาม หรือเป็นการบริโภคโดยอัตโนมัติ เงินท่ีนำมาใช้จ่ายนี้อาจได้มาจาก
การกู้ยืมหรอื นำเงนิ ออมที่มีอยู่ออกมาใช้ หรอื นำทรัพย์สินท่ีมีอยู่ออกขายเพ่ือให้ได้เงินมาใชจ้ ่ายในการบรโิ ภค
และเม่ือรายได้สูงข้ึน การบริโภคก็จะสูงข้ึน เมื่อรายได้ลดลง การบริโภคก็จะลดลงเช่นกัน ดังนั้น อาจแสดง
ความสมั พันธ์ระหว่างการบรโิ ภคกบั รายได้สุทธิสว่ นบคุ คลในรูปสมการเส้นตรง (Linear Equation) ดงั น้ี
C = Ca + bYd
เมอื่ C = รายจ่ายเพื่อการบรโิ ภค
Yd = รายไดส้ ทุ ธิส่วนบคุ คล
Ca = ระดับการบรโิ ภคเมอื่ รายไดเ้ ท่ากบั ศูนย์หรอื ระดบั การบรโิ ภคที่ไม่ข้ึนกบั รายได้
b = สดั สว่ นของรายจา่ ยเพ่ือการบรโิ ภคท่ีเพม่ิ ข้ึน เม่ือรายไดเ้ พม่ิ ขน้ึ 1 หน่วย หรือ คา่
ความชันของเส้นการบริโภค
5
ฟังก์ชันการออม เม่ือบุคคลมีรายได้เขาจะตัดสินใจว่า จะจัดสรรรายได้ของเขาอย่างไร
ระหว่าง การบรโิ ภคกบั การออม กล่าวคือ ถ้าตดั สินใจที่จะบริโภคมากข้ึน กจ็ ะมเี งินออมน้อยลง แต่ถา้ ตัดสินใจ
ที่จะ ลดการบริโภคก็จะมีเงินออมมากข้ึน ฉะน้ัน จึงกล่าวได้ว่า การออมเป็นรายได้สุทธิส่วนที่เหลือจากการ
บริโภค และจากที่กล่าวมาข้างต้นเราทราบว่าการบริโภคจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับรายได้สุทธิส่วนบุคคล
เช่นเดียวกับ การออมท่ีข้ึนอยู่กับรายได้สุทธิส่วนบุคคลด้วย ดังนั้น ฟังก์ชันการออมจึงเป็นการแสดง
ความสัมพันธร์ ะหว่าง การออมกบั รายได้สุทธิสว่ นบุคคล น่ันคอื
S = f(Yd)
เม่อื S = การออม
Yd = รายไดส้ ุทธิสว่ นบุคคล
เนื่องจากรายได้สทุ ธสิ ่วนบุคคลจะถกู จัดสรรไประหว่างการบริโภคกบั การออม ดังน้ัน
Yd = C + S
หรอื
จากสมการการบรโิ ภค S = Yd – C
C = Ca + bYd
แทนค่า C ในสมการ S จะไดส้ มการการออมดงั น้ี
S = -Ca + (1 - b)Yd
จากสมการการออมทีไ่ ด้ เมื่อบุคคลไม่มรี ายได้สุทธิส่วนบุคคลเลย เงินทเ่ี กบ็ ออมไวจ้ ะถูก นำออกมาใช้
จ่าย ทำให้เงินออมลดลงเท่ากับ Ca (ค่าของ Ca มีค่าติดลบ) ซึ่งเป็นรายจ่ายเพ่ือการบริโภคข้ันต่ำสุด ในการ
ดำรงชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างการออมกับรายได้สุทธิส่วนบุคคลจะมีทิศทางไปในทางเดียวกัน
เช่นเดียวกับสมการการบริโภค กล่าวคือ ถ้ารายได้สทุ ธิส่วนบุคคลสูงขึ้น การออมก็จะสูงข้ึนดว้ ย แตถ่ ้า รายได้
สทุ ธสิ ว่ นบคุ คลลดลง การออมกจ็ ะลดลงด้วย
1.3 เสน้ การบริโภคและเส้นการออม
เสน้ การบริโภค จากสมการเสน้ ตรงแสดงรายจ่ายเพอ่ื การบริโภค สามารถนำไปสร้างเส้น การ
บริโภคได้ดงั น้ี
6
สมมตใิ ห้ Ca = 40 และ b = 0.60 สามารถเขยี นสมการการบรโิ ภคได้ คือ
C = 40 + 0.60Yd
จากสมการการบริโภคขา้ งตน้ สามารถแสดงเส้นการบรโิ ภคไดโ้ ดยการกำหนดคา่ Yd ณ ระดบั ต่าง ๆ กจ็ ะไดค้ ่า
C มาชุดหน่ึง ดังตารางต่อไปน้ี
ตาราง แสดงรายจา่ ยเพอ่ื การบรโิ ภค ณ ระดบั รายได้ตา่ ง ๆ
รายได้สทุ ธิ (Yd) รายจา่ ยเพื่อการบริโภค (C)
0 40
50 70
100 100
150 130
200 160
250 190
300 220
จากตาราง นำไปสร้างเส้นการบริโภค (Consumption Curve) จะมีลกั ษณะเป็นเส้นตรงทอด ข้ึน ซ่ึง
แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างรายได้กับการบริโภคท่ีมีทิศทางไปในทางเดียวกัน กล่าวคือ เม่ือรายได้
เพ่ิมขึ้น รายจ่ายเพ่ือการบริโภคก็จะสูงขึน้ ในทางตรงกันข้าม เม่ือรายได้ลดลง รายจ่ายเพือ่ การบริโภค ก็จะลด
ต่ำลงเชน่ กนั เส้นการบริโภคตามตัวอย่างน้ี เรม่ิ ที่ 40 (Ca = 40) จะเหน็ ไดว้ ่าแม้ผบู้ ริโภคจะไม่มี รายได้เลย แต่
กย็ ังต้องบริโภค ดงั แสดงในรปู
7
แสดงเส้นการบริโภค (consumption curve)
เสน้ การออม จากสมการการออม สามารถนำไปสร้างเสน้ การออมได้ดงั นี้
จากสมการการบริโภค C = 40 + 0.60Yd
และ Yd = C + S
แทนค่า C ในสมการ Yd จะได้สมการการออม คือ
S = -40 + 0.40Yd
จากสมการการออมข้างต้น สามารถแสดงเสน้ การออมไดโ้ ดยการกำหนดค่า Yd ณ ระดับต่าง ๆ ก็จะ
ไดค้ ่า S มาชดุ หนึ่ง ดงั ตารางตอ่ ไปน้ี
8
ตาราง แสดงการออม ณ ระดบั รายได้ตา่ ง ๆ
รายไดส้ ทุ ธิ (Yd) รายจา่ ยเพอ่ื การออม (S)
0 -40
50 -20
100 0
150 20
200 40
250 60
300 80
จากตารางนำไปสร้างเส้นการออม (Saving Curve) จะมีลักษณะเปน็ เสน้ ตรงทอดข้ึนเช่นเดียวกับ
เสน้ การบริโภค แต่มีส่วนตัดแกนต้ังเป็นลบ เน่ืองจากจะมีการบรโิ ภคในขณะท่ีไม่มีรายได้เลย เงินท่ีเก็บออมไว้
จะถกู นำออกมาใช้จ่าย ทำใหเ้ งนิ ออมลดลงเทา่ กับ Ca (คา่ ของ Ca มีคา่ ตดิ ลบ) ดังรูป
แสดงเส้นการออม (saving curve)
9
1.4 ความโนม้ เอยี งเฉล่ียและความโน้มเอียงหนว่ ยเพมิ่ ในการบรโิ ภคและการออม
ความโน้มเอียงเฉล่ียในการบริโภค (Average Propensity to Consume: APC) หมายถึง
อัตราสว่ นระหว่างรายจา่ ยเพ่ือการบรโิ ภคต่อรายไดส้ ุทธิส่วนบุคคล ณ ระดับใดระดับหนง่ึ น่นั คือ
APC = รายจ่ายเพื่อการบรโิ ภค = C
รายได้สทุ ธิส่วนบุคคล Yd
จากคา่ APC ข้างต้นทำให้ทราบว่า
ถ้า C > Yd APC > 1
ถ้า C = Yd APC = 1
ถา้ C < Yd APC< 1
ค่าของ APC จะไม่เท่ากับศูนย์ เพราะถึงอย่างไรก็ตาม บุคคลก็ต้องมีรายจ่ายเพื่อการบริโภค
จำนวนหน่งึ แมว้ า่ จะไม่มีรายได้เลยกต็ าม ดงั นนั้ ค่า C จึงไมเ่ ท่ากบั ศูนย์ ทำให้คา่ APC ไม่เทา่ กับศนู ย์ดว้ ย
ความโน้มเอียงเฉลี่ยในการออม (Average Propensity to Save: APS) หมายถึง อัตราส่วน
ระหวา่ งการออมตอ่ รายไดส้ ทุ ธสิ ว่ นบคุ คล ณ ระดบั ใดระดับหน่งึ นั่นคือ
APS = การออม = S
รายไดส้ ทุ ธิสว่ นบคุ คล Yd
จากค่า APS ขา้ งต้นทำให้ทราบว่า APS > 0
ถา้ S > 0 APS = 0
ถ้า S = 0 APS < 0
ถ้า S < 0
ความโนม้ เอียงหน่วยเพิ่มในการบริโภค (Marginal Propensity to Consume: MPC)
หมายถงึ อัตราการเปล่ยี นแปลงของรายจา่ ยเพื่อการบริโภคตอ่ อัตราการเปล่ยี นแปลงของรายไดส้ ุทธิสว่ น
บคุ คล กล่าวคอื เปน็ การวัดรายจา่ ยเพือ่ การบรโิ ภควา่ จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เมอ่ื รายไดเ้ ปล่ียนแปลงไป 1
หน่วย นน่ั คือ
MPC = อตั ราการเปลี่ยนแปลงของรายจ่ายเพอ่ื การบรโิ ภค = ΔC
อตั ราการเปลย่ี นแปลงของรายได้สทุ ธสิ ว่ นบุคคล ΔYd
เนอื่ งจากรายจ่ายเพื่อการบริโภคมคี วามสมั พนั ธไ์ ปในทางเดียวกับรายได้ กล่าวคือ เมือ่ รายได้สงู ขึ้น
การบริโภคกจ็ ะสูงข้ึน และเมือ่ รายได้ลดลง การบริโภคก็จะลดลงด้วย ดังน้ัน คา่ MPC จึงมีคา่ มากกว่าศูนย์ (มี
10
ค่าเป็นบวก) และอัตราการเปลี่ยนแปลงของรายจ่ายเพื่อการบริโภคจะน้อยกว่าอัตราการเปลี่ยนแปลง ของ
รายได้ เนื่องจากบุคคลจะเกบ็ รายไดส้ ว่ นหนึง่ ไว้ นั่นคือ MPC จะมีคา่ นอ้ ยกว่า 1 เสมอ ดังน้นั จะได้ว่า
0 < MPC < 1
ในตวั อยา่ งสมการของเส้นบริโภค C = 40 + 0.60Yd ความโนม้ เอียงหน่วยเพ่ิมในการบริโภค คือ b
ซ่ึงมคี า่ เท่ากับ 0.60 และเปน็ คา่ ความชันของเสน้ สมการน่ันเอง
ความโน้มเอียงหน่วยเพิ่มในการออม (Marginal Propensity to Save : MPS) หมายถึง
อตั รา การเปลี่ยนแปลงของการออมตอ่ อัตราการเปล่ียนแปลงของรายได้สุทธิส่วนบคุ คล กล่าวคือ เป็นการวัด
การออมว่าจะเปลีย่ นแปลงไปอย่างไร เมอ่ื รายไดเ้ ปลยี่ นแปลงไป 1 หนว่ ย น่นั คอื
MPS = อัตราการเปล่ียนแปลงของการออม = ΔS
อัตราการเปลีย่ นแปลงของรายไดส้ ุทธสิ ว่ นบคุ คล ΔYd
จากขอ้ มลู ในตาราง สามารถหาค่า APC, APS, MPC และ MPS ไดด้ ังตารางต่อไปน้ี
ตาราง แสดงรายจา่ ยในการบรโิ ภคและการออม ณ ระดับ
รายไดต้ ่าง ๆ และวธิ กี ารหาค่าAPC, APS, MPC และ MPS
11
จากความสัมพันธ์ระหว่างรายจ่ายเพ่ือการบริโภค การออม และรายได้ อาจแสดงได้โดยกราฟ
ดงั ต่อไปนี้
จากรูป (ก) และรปู (ข) มีข้อสังเกตดงั ตอ่ ไปน้ี
ในรูป (ก) เส้นรายจา่ ยเพื่อการบริโภคตดั แกนตั้งเทา่ กับ Ca ณ รายไดเ้ ท่ากบั 0 ซ่งึ เปน็ รายได้ท่ี การ
ออมติดลบ และมีค่าเท่ากับ –Ca เส้นตรงที่ออกจากจุดกำเนิด และทำมุม 45 องศากับแกนนอน เป็นเส้น ท่ี
แสดงว่าทุก ๆ จุดบนเส้นน้ีแสดงถึงปริมาณรายจ่ายเพ่ือการบริโภคเท่ากับรายได้ท่ีใช้จ่ายได้จริง คือ C = Yd
เส้น C เป็นเส้นการบริโภคหรือเส้นที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างรายจ่ายเพ่ือการบริโภคกับรายได้ท่ีใช้จ่ายได้
จริง ในรูป (ข) ถึงแม้ว่าภาคครัวเรือนจะไม่มีรายได้เลย เงินที่เก็บออมไว้จะถูกนำออกมาใชจ้ ่าย ทำใหเ้ งินออม
ลดลง เท่ากับ –Ca นอกจากนี้จะเห็นได้ว่า ณ จุด a รายจ่ายเพื่อการบริโภคเท่ากับรายได้ที่ใช้จ่ายได้จริงและ
การออมเท่ากบั 0 จากตารางจุดน้อี ยู่ตรงกับรายได้ที่ใช้จ่ายได้จริงเท่ากบั 100 บาท ณ รายไดท้ ี่อยู่ต่ำกว่า Yd2
ครัวเรือนใช้จ่ายมากกวา่ รายได้ จึงต้องกู้ยืมหรอื นำเงินออมออกมาใช้ และการออมติดลบเท่ากับ dfในรูป (ก)
หรอื เท่ากับ d'f' ในรูป (ข) ณ รายได้ทสี่ งู กว่า Yd2 ภาคครัวเรือนจะใช้จ่ายรายได้เพยี งส่วนหนึ่ง เพ่อื การบริโภค
ทำให้มเี งนิ เหลือเท่ากบั bc ในรปู (ก) และเกบ็ ออมเท่ากบั b'c' ในรูป (ข) นอกจากนี้จะเหน็ ได้ว่า ณ รายได้ Yd2
คา่ APC มคี ่าเทา่ กบั 1 ณ รายได้ Yd1 ค่า APC มีคา่ มากกว่า 1 และ ณ รายได้ Yd3 คา่ APC มีคา่ น้อยกวา่ 1
การเปล่ียนแปลงปริมาณรายจ่ายเพ่ือการบริโภคและการเปล่ียนแปลงการบริโภค การ
เปลี่ยนแปลง ปริมาณรายจ่ายเพอ่ื การบริโภค และการเปล่ียนแปลงการบรโิ ภค มีความหมายแตกต่างกัน และ
จะได้รบั ผลกระทบจากการเปล่ียนแปลงของรายไดส้ ุทธิส่วนบุคคล ซ่ึงเป็นตัวกำหนดโดยตรงของการบริโภค
12
และ ตัวกำหนดโดยอ้อม เช่น สินทรัพย์ที่บุคคลมีอยู่ สินทรัพย์ถาวรที่บุคคลมีอยู่ รายได้ในอนาคต การ
คาดคะเน ราคาสนิ ค้า สินเช่ือเพื่อการบรโิ ภค อตั ราดอกเบี้ย เป็นตน้ จะมีผลตอ่ การบรโิ ภคดังน้ี
การเปล่ียนแปลงปริมาณรายจ่ายเพ่ือการบริโภค (Change in The Amount Consumed)
หมายถึง การเปล่ียนแปลงของรายจ่ายเพ่ือการบริโภคอันเน่ืองมาจากการเปล่ียนแปลงรายได้สุทธิ ส่วนบุคคล
ซึ่งเปน็ ตัวกำหนดโดยตรงในการบริโภค การเปลี่ยนแปลงดังกลา่ วเปน็ การย้ายจากจดุ หน่ึง ไปยงั อีกจุดหน่งึ บน
เส้นการบรโิ ภคเดยี วกัน ดังรปู
แสดงการเปล่ียนแปลงปรมิ าณรายจ่ายเพอ่ื การบริโภค
จากรูป กำหนดให้ปัจจัยอ่ืน ๆ อยู่คงที่ เมื่อรายได้เท่ากับ Yd1 การบริโภคเท่ากับ C1 (ณ จุด A)
ต่อมา รายได้เพิ่มขึ้นเป็น Yd2 การบริโภคจึงเพิ่มตามเปน็ C2 (ณ จุด B) นั่นคือ เกิดการย้ายจากจุด A ไปยงั จุด
B บนเส้นการบริโภคเส้นเดียวกัน หากรายได้เพิ่มข้ึนอีกเป็น Yd3 การบริโภคจะเพิ่มขึ้นอีกเป็น C3 (ณ จุด D)
เปน็ การยา้ ยจากจุด B ไปยงั จดุ D บนเส้นการบรโิ ภคเสน้ เดิมเช่นกนั
การเปล่ียนแปลงการบริโภค (Shift in Consumption) หมายถึง การเปล่ียนแปลงรายจ่าย
เพ่ือการบริโภค อันเนื่องมาจากการเปล่ียนแปลงของตัวกำหนดโดยอ้อมตัวใดตัวหนึ่งหรือหลายตัว โดยที่
รายไดส้ ุทธิส่วนบุคคลไม่เปล่ียนแปลง การเปล่ียนแปลงการบรโิ ภคในลักษณะน้ีจะมีผลต่อรูปแบบการบริโภค
คอื ทำใหเ้ สน้ การบรโิ ภคท้ังเส้นเคลือ่ นย้ายไปจากตำแหน่งเดมิ ดังรปู
13
แสดงการเปลีย่ นแปลงการบรโิ ภค
จากรูป C1 เป็นเส้นการบริโภคเริ่มแรก ต่อมาสมมติว่า ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าจะเกิดภาวะราคา
สินค้าเพิ่มสูงขึ้นอย่างรุนแรงในระบบเศรษฐกิจ ผู้บริโภคต่างตัดสินใจเพิ่มการบริโภคโดยเร่งรีบซ้ือสินค้า มา
กักตุนไว้ ฉะน้ัน ณ รายได้ Yd1 การบริโภคจะเพิ่มจาก C1 (ณ จุด A) เป็น C2 (ณ จุด B) เหตุการณ์ดังกล่าวนี้
จะมผี ลทำให้การบริโภคเพมิ่ ขน้ึ ดังน้ัน เส้นการบริโภคจึงเคล่ือนยา้ ยไปจากเดิมทั้งเสน้ จากเส้น C1 เปน็ เส้น C2
ในทางตรงข้าม ถ้าผู้บริโภคคาดการณ์ว่าราคาสินค้าโดยทั่วไปจะลดลง ผู้บริโภคจะชะลอการซ้ือสินค้า ใน
ปัจจุบันเพื่อรอซ้ือสินค้าเม่ือราคาสินค้าลดลงในอนาคต การบริโภคในระยะนี้จะลดลง มีผลทำให้ เส้นการ
บริโภคเคล่ือนย้ายจากเส้น C1 เป็นเส้น C3 จึงสรุปได้ว่า การเปล่ียนแปลงในตัวกำหนดโดยอ้อม จะทำให้เส้น
การบริโภคเคลื่อนยายไปจากเดมิ ท้ังเสน้
1.5 กฎว่าด้วยการบรโิ ภคของเคนส์
จากการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างรายจ่ายเพื่อการบริโภคกับรายได้สุทธิส่วนบุคคล อาจ
สรุปได้ ตามกฎว่าด้วยการบริโภคของเคนส์ (John Maynard Keynes) ภายใต้ข้อสมมติท่ีกำหนดให้ปัจจัยที่
เปน็ ตัวกำหนดโดยออ้ มของการบริโภคคงที่ ดงั ต่อไปน้ี
1. แมบ้ ุคคลจะไม่มีรายได้เลย การบริโภคก็จำเป็นต้องมีเพื่อการดำรงชีวิตใหอ้ ยู่รอด แสดงว่า
คา่ ของ C จะไม่เท่ากบั ศูนย์ ทำให้ค่า APC ไม่เท่ากบั ศูนย์ดว้ ย ณ ระดับรายจา่ ยเพื่อการบริโภคมากกวา่ รายได้
สุทธิ ส่วนบคุ คล คา่ APC จะมคี ่ามากกวา่ 1
2. เมอื่ รายไดส้ ทุ ธสิ ่วนบคุ คลเพิม่ ข้นึ จะสง่ ผลให้รายจ่ายเพอ่ื การบริโภคเพม่ิ ขึน้ เมอ่ื รายไดส้ ทุ ธิ
ส่วนบคุ คลลดลง จะทำใหร้ ายจา่ ยเพือ่ การบรโิ ภคลดลงไปดว้ ย แสดงวา่ ค่า MPC จะมคี า่ เป็นบวกเสมอ
3. อัตราการเปล่ียนแปลงของรายจ่ายเพ่ือการบรโิ ภคจะน้อยกว่าอัตราการเปล่ียนแปลงของ
รายได้ สุทธิสว่ นบุคคล แสดงว่าคา่ MPC จะมีค่าน้อยกว่า 1 เสมอ และค่า APC จะลดลงเมื่อรายได้สุทธิ ส่วน
บคุ คลสงู ขึน้
14
4. รายได้สุทธิส่วนบุคคลจะถกู แบ่งออกเปน็ รายจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนหนงึ่ และเปน็ เงินเก็บ
ออมไวส้ ว่ นหน่งึ
5. MPC ณ รายได้สงู จะมีค่าน้อยกว่า MPC ณ รายได้ต่ำ แสดงวา่ MPC ของประเทศยากจน
จะมีค่าสูงกวา่ MPC ของประเทศรำ่ รวย และ MPC ของคนจนจะสงู กว่า MPC ของคนรวย
จากการที่กฎว่าด้วยการบริโภคของเคนส์ มีข้อสมมติว่าปัจจัยท่ีเป็นตัวกำหนดโดยอ้อมของการ
บรโิ ภคคงท่ี กล่าวอีกนัยหน่ึงคือ กฎนี้มีข้อสมมติว่าการบรโิ ภคจะเปลี่ยนแปลงเมื่อรายได้เปลี่ยนแปลงเท่านั้น
การต้ังข้อสมมติเช่นนี้ขัดกับความเป็นจริงอยู่บ้าง เพราะการบริโภคอาจเปลี่ยนแปลงแม้รายได้คงท่ี อย่างไรก็
ตาม กฎน้ียังมีประโยชน์ในการวิเคราะห์ในระยะสั้น เพราะการเปล่ียนแปลงการบริโภคในระยะส้ันอัน
เน่ืองมาจากปจั จัยอื่นมักจะมีไมม่ ากดังนั้นรายได้ จึงเป็นตัวกำหนดสำคญั ที่สุดของการบรโิ ภคในระยะสัน้
1.6 ความสัมพันธ์ระหว่างการบรโิ ภคและการออม
เมื่อได้ทำการศึกษาลักษณะของฟังก์ชันการบริโภคและการออมแต่ละส่วนแล้ว ในที่นี้จะ
ศึกษาถงึ ความสมั พันธร์ ะหว่างการบริโภคและการออม ดังน้ี
ความโน้มเอียงเฉลีย่ ในการบริโภคและความโน้มเอยี งเฉลย่ี ในการออม
จากท่ีทราบแลว้ วา่ เมือ่ บุคคลมรี ายได้ ส่วนหนง่ึ จะถูกใชไ้ ปเพือ่ การบริโภคและอกี ส่วนหนึง่ จะ
เก็บ ออมไว้ นน่ั คอื
Yd = C + S
เอา Yd หารตลอดจะไดว้ ่า
Yd = C + S
Yd Yd Yd
1 = APC + APS
นนั่ คอื APC + APS = 1 เสมอ
เน่ืองจากค่า APC จะไม่เท่ากับศูนย์ ดังน้ัน ค่าของ APS ก็จะไม่เท่ากับหน่ึง กล่าวคือ เม่ือ
รายได้สูงข้ึนค่า APC จะมีค่าลดลง แต่ค่า APS จะมีค่าสูงขึ้น ในทางตรงข้าม ถ้ารายได้ลดลงค่า APC จะมีค่า
สงู ขน้ึ แต่คา่ APS จะมีคา่ ลดลง
ความโน้มเอียงหนว่ ยเพ่ิมในการบรโิ ภคและความโนม้ เอียงหน่วยเพิม่ ในการออม
ดังท่ีกล่าวมาแล้วว่า เม่ือบุคคลมีรายได้ ส่วนหนึ่งจะถูกใช้ไปเพื่อการบริโภค และอีกส่วนจะ
เก็บ ออมไว้ นน่ั คอื
Y=C+S
เม่ือรายได้เปล่ียนแปลงไป บุคคลจะมีการเปลี่ยนแปลงปริมาณรายจ่ายเพื่อการบริโภค และ
การเก็บออมตามไปด้วย นน่ั คอื
ΔYd = ΔC + ΔS
15
เอา ΔYd หารตลอดจะได้วา่
=ΔYd +ΔC ΔS
ΔYd ΔYd ΔYd
MPC + MPS = 1 เสมอ
และเม่ือพิจารณาจากสมการ S = -Ca + (1-b)Yd จะพบว่า MPS ก็คือ ค่า 1 – b ซึ่ง b ก็คือ
ค่าของ MPC นนั่ คอื MPS = 1 – MPC นั่นเอง
ดังนั้น เม่ือทราบค่า MPC ก็สามารถหาค่า MPS ได้หรือเม่ือทราบค่า MPS ก็สามารถหาค่า
MPC ไดเ้ ชน่ กนั
เน่อื งจากค่า MPC มีค่าอยูร่ ะหว่าง 0 กับ 1 คือ 0 < MPC < 1 ค่าของ MPS ก็จะอยู่ระหวา่ ง
0 กบั 1 ดว้ ยเชน่ กัน นั่นคือ 0 < MPS < 1 ดงั น้ัน
ถ้าคา่ ของ MPC เข้าใกล้ 0 คา่ ของ MPS จะมีค่าใกล้ 1 ในทางตรงขา้ ม
ถา้ ค่าของ MPC เขา้ ใกล้ 1 คา่ ของ MPS จะมีค่าใกล้ 0
2. รายจ่ายเพ่อื การลงทนุ
การลงทุน (Investment) หมายถงึ การใชจ้ า่ ยท่ีธุรกจิ มีวัตถปุ ระสงคส์ ำคัญในการวางแผนไว้ เพื่อ
ผลติ สินค้าและบริการในอนาคตเพ่ิมขึน้ ฉะน้ันการลงทนุ ในทางเศรษฐศาสตรจ์ ะพิจารณาเฉพาะ การเพ่มิ สินค้า
ทุน ซึ่งรายจา่ ยเพ่ือการลงทุน (Investment Expenditures: I) จะประกอบดว้ ย
1. รายจ่ายในการกอ่ สร้าง เช่น รายจา่ ยในการก่อสรา้ งโรงงานผลติ สินค้า เป็นต้น
2. รายจา่ ยในการซ้ือเคร่ืองมอื เครอ่ื งจกั รใหมใ่ นการผลิตต่าง ๆ
3. สว่ นเปลย่ี นของสินคา้ คงเหลือ
ดังนั้น การลงทุนจึงนับว่ามคี วามสำคัญในระบบเศรษฐกิจของประเทศ เพราะการลงทุนมีบทบาท
สำคัญต่อความเจริญเติบโตและความมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่าการลงทุน ทาง
การเงิน เช่น การซอื้ หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ การซื้อที่ดินเพ่ือเก็งกำไร การซ้ือพันธบัตร การซื้อสินทรพั ย์ และ
หลักทรัพย์มือสอง ไม่ถือว่าเป็นรายจ่ายเพ่ือการลงทุน เพราะการลงทุนทางการเงินไม่ได้ทำให้สินทรัพย์
ประเภททนุ ในระบบเศรษฐกิจมีจำนวนเพิ่มขน้ึ ดังนน้ั จงึ ไมม่ ผี ลต่อการเพมิ่ ผลผลติ โดยตรงในระบบเศรษฐกจิ
ปจั จยั ทีก่ ำหนดการลงทนุ มีดังนี้
เนือ่ งจากวตั ถปุ ระสงค์หลักของผูป้ ระกอบการในการลงทุนก็เพือ่ มุ่งหวังผลตอบแทนจากการลงทุน กล่าวคือ
การลงทนุ จะมมี ากหรอื น้อยยอ่ มขึน้ อย่กู บั ปัจจัยต่าง ๆ หลายประการ ดังน้ี
1. รายได้ประชาชาติ รายได้ประชาชาติเป็นตัวท่ีสามารถสะทอ้ นถึงอำนาจซื้อของคนในระบบ
เศรษฐกิจได้ระดับหนึ่ง คือ ถ้ารายได้ประชาชาตสิ ูง จะส่งผลให้ประชาชนมีอำนาจในการซ้ือสินคา้ และบริการ
เพ่ิมขึ้น น่ันคือ รายได้ของบุคคลสูงขึ้น จะมีการใช้จ่ายในการซื้อสินค้าและบริการมากขึน้ ผู้ผลิตสามารถขาย
สินค้า และบริการได้เพิ่มมากข้ึน รายได้ของผู้ผลิตก็จะสูงข้ึนส่งผลให้มีการลงทุนมากข้ึน แต่ถ้ารายได้
16
ประชาชาติ ต่ำลง ก็จะส่งผลให้ประชาชนมีอำนาจซ้ือต่ำลง น่ันหมายความว่า รายได้ของบุคคลลดลง การใช้
จา่ ยในการ ซอื้ สนิ ค้าและบริการน้อยลง ผู้ผลิตจะขายสนิ คา้ และบรกิ ารได้น้อย รายได้ของผู้ผลิตจะลดลง ทำให้
ผู้ผลติ มีการลงทุนน้อยลง ดังนนั้ รายได้จงึ เป็นตัวกำหนดท่ีสำคญั ของการลงทุน
2. อัตราดอกเบ้ีย เป็นปัจจัยที่มีความสำคัญในการกำหนดการลงทุน ผู้ลงทุนมักจะพิจารณา
อัตราดอกเบี้ยประกอบ ถ้าอัตราดอกเบี้ยสูง การลงทุนอาจมีน้อยหรือไม่มีเลย แต่ถ้าอัตราดอกเบี้ยลดต่ำลง
การลงทุนจะมีมากขึ้น ทั้งน้ีเพราะอัตราดอกเบ้ียเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนท่ีผู้ลงทุนต้องจ่ายให้แก่เจ้าของทุน
กรณีท่ีต้องกู้เงนิ มาเพื่อการลงทุน ถ้าอัตราดอกเบ้ียสูง ปริมาณการลงทุนจะตำ่ แต่ถ้าอัตราดอกเบ้ียต่ำ ปริมาณ
การลงทุนจะสงู
3. ภาษี นักลงทุนมักจะให้ความสนใจกบั อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนทเี่ ขาคาดว่าจะได้รับ
หลังจากหักภาษี ดังน้ัน ถ้าอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มข้ึน โดยปัจจัยอ่ืน ๆ ไม่เปลี่ยนแปลง จะมีผลทำให้
อัตราผลตอบแทนหลังจากหักภาษีที่เขาคาดว่าจะได้รับลดลง และถ้าอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลลดลง อัตรา
ผลตอบแทนหลังจากหักภาษที ี่เขาคาดว่าจะได้รับก็จะเพิม่ ขึน้
4. กำไรที่คาดว่าจะได้รบั เน่ืองจากการลงทุนจะตอ้ งจ่ายค่าตอบแทนแก่เจ้าของเงินทุน ดังน้ัน
ผู้ลงทุนจงึ ต้องเปรียบเทยี บต้นทุนและผลได้จากการลงทุน หากต้นทุนต่ำกว่าผลไดก้ ็จะไดก้ ำไร ซง่ึ เป็น แรงจูงใจ
ใหน้ กั ลงทุนตัดสินใจเพ่ิมการลงทนุ แต่ถ้าตน้ ทุนสูงกว่าผลไดก้ ็จะขาดทุน นกั ลงทนุ ก็จะระงบั การลงทุน
5. ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์จะทำให้มีการ
ผลิต เครื่องมือเครื่องจักรที่ทันสมัยใช้สะดวก สามารถผลิตได้ครั้งละมาก ๆ มีประสิทธิภาพในการผลิตสูงข้ึน
จะทำให้ ต้นทุนการผลติ ต่ำ และอัตราผลตอบแทนท่ีไดร้ ับจากการลงทุนสูงขึ้น การเปลยี่ นแปลงของเทคโนโลยี
เป็น ปจั จยั หนึ่งที่เป็นสาเหตุใหม้ ีการเพิ่มการลงทนุ
6. ราคาสินค้าทุน ถ้าราคาสินค้าทุนเพ่ิมข้ึน และต้นทุนในการบำรุงรักษาสินค้าทุนสูงข้ึน
ความตอ้ งการ ลงทุนก็จะลดลง เพราะตน้ ทนุ ของการลงทุนเพิม่ ขน้ึ จะทำให้กำไรของผผู้ ลติ ลดลง
7. ปริมาณสินค้าทุน ถ้าปริมาณสินค้าทุนที่มีอยู่มีมากอยู่แล้ว และผู้ผลิตยังไม่ได้ใช้เครื่องมือ
เครือ่ งจกั รอย่างเต็มกำลงั เพราะฉะน้ันเขาจะยงั ไมเ่ พิม่ การซ้อื เครอ่ื งมือเคร่อื งจักร การลงทนุ ก็จะนอ้ ยลง
8. นโยบายของรัฐบาลและเสถียรภาพทางการเมือง บรรยากาศทางการเมืองเป็นปัจจัย
สำคัญต่อ การลงทุน ถ้าการเมืองไม่มีเสถียรภาพจะทำให้นักลงทุนเกิดความกลัวไม่กล้าลงทุน นอกจากน้ี
นโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลท่ีออกมายงั มีผลตอ่ การลงทนุ โดยเฉพาะภาษีจะมีผลกระทบต่อกำไรของผู้ผลิต ถ้า
รัฐบาล เก็บภาษีมากขึ้น จะทำให้ผ้ผู ลติ ได้กำไรลดลง หรือไม่ได้กำไรก็ไม่ลงทุน แตถ่ ้ารัฐบาลเก็บภาษีลดลง จะ
ทำให้ ผ้ผู ลติ ผลิตสนิ ค้าและบริการมากข้นึ
9. ความม่ันใจของผู้ลงทุนเก่ียวกับอนาคตของธุรกิจ ถ้าผู้ลงทุนมั่นใจว่าอนาคตธุรกิจจะดีก็
จะ ลงทนุ เพิ่มขนึ้ ในทางตรงกนั ขา้ ม ถา้ ม่นั ใจวา่ อนาคตธุรกจิ จะแย่ลง การลงทนุ ก็จะนอ้ ยลง
10. การคาดคะเนของผู้ผลิต ถ้าผู้ผลิตคาดคะเนว่าสินค้าของเขาจะขายดีขึ้น เขาจะลงทุน
เพิม่ ขึ้น แตถ่ า้ คาดว่าในอนาคตสินค้าจะขายไม่ออก การลงทนุ กจ็ ะลดลง
17
2.1 ฟังก์ชันการลงทุนและเส้นการลงทนุ
จากปัจจยั ต่าง ๆ ท่ีเป็นตัวกำหนดการลงทนุ สามารถแสดงความสัมพันธร์ ะหวา่ งการลงทุนกับ
ตัว กำหนดต่าง ๆ ด้วยสัญลักษณ์ทางพีชคณิตซึ่งเรียกว่า “ฟังก์ชันการลงทุน (Investment Function)” ได้
ดังนี้
I = f(Y, B1, B2, B3,…)
เมอ่ื I = ปริมาณการลงทนุ
Y = ระดับรายได้
B1 = อตั ราดอกเบี้ย
B2 = กำไรทค่ี าดวา่ จะได้รับ
B3 = รายจา่ ยที่เกย่ี วกบั การลงทนุ เปน็ ตน้
จากฟังกช์ ันการลงทุน จะเห็นได้ว่า ปริมาณการลงทุนทัง้ หมดข้นึ อยู่กบั ปัจจยั ต่าง ๆ หลายประการ
และจากการศกึ ษารายได้ประชาชาตพิ บว่า รายได้ของบุคคลเป็นปจั จัยทมี่ คี วามสำคัญที่สุดต่อการลงทุน ดังนั้น
รายได้จึงเป็นตัวกำหนดโดยตรงในการลงทุน ส่วนปัจจัยอื่น ๆ เป็นตัวกำหนดโดยอ้อม และเมื่อพิจารณา
ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งปริมาณการลงทุนท้ังหมดกับรายได้ สามารถแบง่ การลงทนุ ออกเป็น 2 ลกั ษณะ ดงั น้ี
1. การล งทุ น แบ บ อิส ระ (Autonomous Investment: Ia) เป็น การลงทุ น ท่ี ไม่
เปลี่ยนแปลง ตามระดับรายได้ กล่าวคือ ไม่วา่ รายได้จะเปล่ียนแปลงไปอย่างไร การลงทุนก็ยังคงเดิม ซึ่งการ
ลงทุนอิสระน้ี ส่วนมากเป็นการเปล่ียนการลงทุนสนิ ค้าคงเหลือและของภาครัฐบาลเป็นการลงทุนที่ไม่หวังผล
กำไร ตอบแทนโดยตรง เช่น การลงทุนในกจิ การด้านการศกึ ษา การลงทุนดา้ นสาธารณปู โภคต่าง ๆ การลงทุน
สร้างถนนหนทาง เป็นตน้ เสน้ การลงทนุ จะมลี ักษณะเป็นเส้นตรงขนานกับแกนนอน ดงั รปู (ก)
2. การลงทุนโดยการจูงใจ (Induced Investment : Ii) เป็นการลงทุนที่เปล่ียนแปลงไป
ในทาง เดียวกันกับรายได้ กล่าวคือ เมื่อรายได้สูงขึ้นย่อมจูงใจให้ผู้ผลิตมีการลงทุนผลิตสินค้าและบริการเพิ่ม
มากขึ้น และเม่ือรายได้ลดลง การลงทุนผลิตสินค้าและบรกิ ารก็จะลดลงตามไปด้วย เส้นการลงทุนลักษณะน้ี
อาจเป็นได้ทั้งเส้นตรงหรือเส้นโค้งขึ้นอยู่กับค่าความโน้มเอียงหน่วยสุดท้ายของการลงทุน (Marginal
Propensity to Invest: MPI) หมายถึง อัตราการเปลี่ยนแปลงของการลงทุนอันเนื่องมาจากรายได้
เปล่ียนแปลงไป 1 หน่วย นนั่ คอื
MPI = ΔI
ΔY
เมือ่ ΔI = อตั ราการเปลี่ยนแปลงของปรมิ าณการลงทนุ
ΔY = อัตราการเปล่ียนแปลงของรายได้
18
จากรูป (ก) เส้น Ia เป็นเส้นการลงทุนโดยอิสระซ่ึงขนานกับแกนนอนแสดงว่า ปริมาณการลงทุน
จะคงทเ่ี สมอไม่ว่าระดับรายได้ประชาชาติจะเป็นเท่าใด ส่วนรูป (ข) นั้น Ii เป็นเส้นการลงทุนโดยการจูงใจ ซ่ึง
ออกจากจุดกำเนิด และค่าความชันเป็นบวก หมายความว่า ถ้ารายได้ประชาชาติเท่ากับศูนย์ การลงทุน โดย
การจูงใจก็เท่ากับศูนย์ด้วย แต่ถ้ารายได้ประชาชาติเพ่ิมสูงข้ึนการลงทุนโดยการจูงใจก็จะเพ่ิมสูงขึ้น แต่จะ
เพ่ิมข้ึนเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับค่าความชันของเส้นการลงทุนดังกล่าว ซึ่งมีช่ือเรียกว่า “ความโน้มเอียง หน่วย
สุดท้ายของการลงทนุ (Marginal Propensity to Invest: MPI)” ซ่งึ มสี ตู รว่า
MPI = ΔI
ΔY
ถ้านำส่วนท่ีเป็นการลงทุนโดยอิสระกับส่วนท่ีเป็นการลงทุนโดยการจูงใจมารวมกัน จะได้สมการ
การลงทุนดงั น้ี
I = Ia + Ii
เมอื่ I = ปริมาณการลงทุนท้ังส้ิน
Ia = การลงทุนแบบอสิ ระ
Ii = การลงทุนโดยการจงู ใจ
เนอ่ื งจากการลงทุนโดยการจงู ใจมีความสัมพนั ธไ์ ปในทางเดียวกับระดับรายได้ ดงั นัน้
Ii = iY
19
เมอ่ื Ii = ความโน้มเอยี งหน่วยสดุ ทา้ ยของการลงทนุ MPI = ΔI
ΔY
Y = ระดับรายได้
แทนค่า Ii ในสมการการลงทนุ จะไดว้ ่า
I = Ia + iY
และจากสมการการลงทุนนี้ สามารถแสดงได้ดว้ ยเส้นกราฟ ดงั รูป
แสดงเส้นการลงทุนท้งั หมด
จากรูป แสดงเส้นการลงทุนท้ังสิ้น จะเห็นได้ว่า การลงทุนแบบอิสระมีค่าเท่ากับ Ia ซ่ึงเป็นการ
ลงทุน ณ ระดับรายได้เท่ากับศูนย์ และ I = iY เป็นการลงทนุ โดยการจงู ใจ ณ ระดับรายได้ประชาชาติ Y0 การ
ลงทุน ท้ังหมดเท่ากับ Y0 A โดยแยกเป็นการลงทุนโดยอิสระเท่ากับ Y0 B และการลงทุนโดยการจูงใจเท่ากับ
AB
ในทนี่ ขี้ อแสดงตัวอย่างการคำนวณปริมาณการลงทนุ เพ่ือให้เขา้ ใจมากย่งิ ข้ึน ดงั น้ี
สมมติว่า ปริมาณการลงทุนทั้งหมด ณ ระดับรายได้ (Y) 2,500 ล้านบาท โดยกำหนดให้ MPI =
0.20 และการลงทุนเมอื่ ยังไม่มีรายได้ (Ia) = 1,000 ลา้ นบาท พรอ้ มทั้งวาดรูปประกอบ
วธิ ที ำ จากสมการการลงทนุ I = Ia + iY
แทนค่าลงในสมการการลงทนุ จะได้ว่า
I = 1,000 + 0.20(2,500)
= 1,000 + 500
= 1,500 ลา้ นบาท
20
นั่นคือ ณ ระดับรายได้ 2,500 ล้านบาท ปริมาณการลงทุนท้ังหมดเท่ากับ 1,500 ล้านบาท โดย
แสดง เสน้ การลงทุนทัง้ หมดได้ ดงั รูป
แสดงเสน้ การลงทนุ ทัง้ หมด
การเปลี่ยนแปลงปริมาณการลงทุนและการเปล่ียนแปลงการลงทุนเช่นเดียวกับการบริโภคที่ได้
พิจารณาไปแล้ว กล่าวคือ การเปล่ียนแปลงปริมาณการลงทุนและการเปล่ียนแปลงการลงทุนมีความหมาย
แตกตา่ งกัน สามารถพิจารณาได้จากฟังกช์ ันการลงทนุ ดงั นี้
I = f(Y, B1,B2, B3,…)
เม่ือ Y = ระดบั รายได้ ซง่ึ เป็นตัวกำหนดโดยตรงของการลงทุน
B1, B2, B3,… = อัตราดอกเบ้ีย กำไรที่คาดวา่ จะไดร้ ับ ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี รายจ่าย
ท่ีเกยี่ วกบั การลงทุน นโยบายของรฐั บาล และเสถียรภาพทาง การเมอื ง เป็นตวั กำหนดโดยออ้ มของการลงทุน
การเปล่ียนแปลงของตัวกำหนดโดยตรงและตัวกำหนดโดยอ้อม จะมีผลตอ่ การลงทนุ ดังน้ี
1. การเปลี่ยนแปลงปริมาณการลงทุน (Change in The Amount Invested) หมายถึง
การเปล่ียนแปลงระดบั การลงทุนอนั เน่อื งมาจากการเปลีย่ นแปลงในระดบั รายได้ ซึ่งเป็นตัวกำหนดโดยตรง ใน
การลงทุนการเปลี่ยนแปลงในลักษณะน้ีเปน็ การย้ายจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งบนเส้นการลงทุนเดียวกัน ดัง
รปู
แสดงการเปล่ียนแปลงปริมาณการลงทุน
21
จากรูป กำหนดให้ปัจจัยอ่ืน ๆ อยู่คงที่ เมื่อรายได้เท่ากับ 0Y1 การลงทุนเท่ากับ 0I1 (ณ จุด A)
ต่อมารายได้ เพิม่ ขึ้นเป็น 0Y2 การลงทนุ จึงเพ่ิมขึ้นเป็น 0I2 (ณ จุด B) นัน่ คือ เกิดการย้ายจากจุด A ไปยังจุด B
บนเสน้ การลงทุน เส้นเดียวกนั จะเห็นได้ว่า เสน้ การลงทุนไม่เปลี่ยนแปลง แตร่ ายจา่ ยเพื่อการลงทนุ เลื่อนจาก
จุด A ไปยังจุด B
2. การเปล่ียนแปลงการลงทุน (Shift in Investment) หมายถึง การเปล่ียนแปลงระดับ
การลงทุน อันเน่ืองมาจากการเปล่ียนแปลงตัวกำหนดโดยอ้อมในการลงทุน โดยที่ระดับรายได้ซึ่งเป็น
ตัวกำหนด โดยตรงยังคงเดิม การเปลี่ยนแปลงในลักษณะน้ีจะมผี ลทำให้เส้นการลงทุนท้งั เส้นเคล่อื นย้ายไปจาก
ตำแหน่งเดมิ ดังรูป
จากรูป I1 เป็นเส้นการลงทุนเริ่มแรก ต่อมาสมมติวา่ ผผู้ ลิตคาดการณ์ว่ากำไรที่คาดว่าจะได้รับจะ
น้อยลง จึงชะลอการลงทุน ซ่ึงมีผลทำให้เส้นการลงทุนเคลื่อนย้ายจาก I1 มาอยู่ท่ี I2 ในทางตรงกันข้าม ถ้า
ผู้ผลิตคาดการณ์ ว่ากำไรท่ีคาดว่าจะได้รับจะเพ่ิมสูงขึ้น ผู้ผลิตก็จะลงทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งมีผลทำให้เส้นการลงทุน
เคล่ือนย้ายจาก I1 มาอยู่ที่ I3 จึงสรุปได้ว่า การเปลี่ยนแปลงในตัวกำหนดโดยอ้อมจะทำให้เส้นการลงทุน
เคลือ่ นยา้ ยไปจากเดมิ ทั้งเสน้
1.2 ความสัมพันธ์ระหว่างการลงทุนและการออม
การลงทุนมีความสัมพันธ์กับการออม คือ แหล่งเงินทุนได้มาจากแหล่งเงินออม ในกรณีที่
ระบบ เศรษฐกจิ มีภาคเอกชน แต่ไม่มีภาครฐั บาล และภาคต่างประเทศ สมการจะเป็นดังน้ี
S=I
น่ันคือ การออมของภาคเอกชนจะเท่ากับการลงทุนของภาคเอกชน หรือกลา่ วอีกอย่างหนง่ึ ได้
ว่า การลงทุนของประเทศที่เกิดขึ้นจริงจะเท่ากับการออมที่เกิดขึ้นจรงิ ผู้ผลติ หรือหน่วยธุรกิจจะทำหน้าทเี่ ป็น
ผ้ลู งทุน ส่วนครัวเรอื นหรอื ผบู้ รโิ ภคจะทำหน้าทเี่ ป็นผู้เก็บออม โดยมีสถาบนั เช่น ธนาคารพาณชิ ยเ์ ป็น ตัวกลาง
ทำให้หนว่ ยธรุ กิจสามารถหาเงินทุนเพ่มิ เตมิ จากทีต่ นมีอยู่มาใชใ้ นการลงทุนได้
22
สรุปได้ว่า การลงทุนท่ีเกิดขึ้นจริงจะต้องเท่ากับการออมท่ีเกิดข้ึนจริงเสมอ ณ ระดับรายได้
ประชาชาติหน่ึง ๆ แต่การลงทุนที่ตั้งใจไว้ไม่จำเป็นต้องเท่ากับการออมที่ต้ังใจไว้ กล่าวคือ ณ ระดับรายได้
ประชาชาตหิ น่ึง ๆ การลงทุนท่ีต้ังใจไว้อาจจะมากกว่า น้อยกวา่ หรอื เท่ากับการออมทีต่ ง้ั ใจไวก้ ็ได้
2.3 ความไมม่ เี สถยี รภาพของการลงทุน
ถ้าจะเปรียบเทียบความมีเสถียรภาพของการบริโภคและการลงทุน ซึ่งต่างก็เป็นตัวกำหนด
ระดับ รายได้ท้ัง 2 ตัว อาจกล่าวได้ว่า การบริโภคมีเสถียรภาพมากกว่าการลงทุน ด้วยเหตุน้ีการลงทุนจึงมี
ผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกจิ มากกว่าการบริโภค เหตุท่ีการลงทุนไม่มีเสถียรภาพ เพราะขนึ้ อยกู่ ับ ปจั จัยหลาย
ประการซึ่งลว้ นแตม่ ีความไม่แน่นอน เช่น การค้นพบเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งบางชว่ งเวลา มีการค้นพบมาก แตบ่ าง
ช่วงเวลามีการค้นพบน้อย ทำให้การลงทุนเพ่ิมขึ้นไม่สม่ำเสมอ หรือผลกำไรปัจจุบัน ซึ่งเป็นพื้นฐานการ
คาดคะเนผลกำไรในอนาคตก็ไม่แน่นอน บางครั้งสูง บางคร้ังน้อย นอกจากน้ีการลงทุน ที่ได้ผลตอบแทนใน
ระยะยาว ผูล้ งทุนต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบและมีความมนั่ ใจจงึ จะลงทุน
3. การใชจ้ ่ายของภาครัฐบาล
การใชจ้ ่ายของภาครฐั บาล (Government Expenditure: G) แบง่ เป็นรายจ่ายเพ่ือการบริโภค
เช่น เงินเดือนและค่าจ้าง ค่าใช้สอย ค่าวัสดุครุภัณฑ์ เป็นต้น รายจ่ายเพื่อการลงทุน ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการ
สรา้ ง สงิ่ สาธารณูปโภคและสาธารณูปการ และรายจ่ายเพอ่ื การพัฒนาประเทศ รวมทงั้ รายจ่ายประเภทเงินโอน
(Transfer Payments) เช่น เงินบำเหน็จบำนาญที่จ่ายให้ข้าราชการเกษียณอายุ เงินสงเคราะห์การรักษา
พยาบาล สงเคราะห์การศึกษาและสงเคราะห์ทหารผ่านศึก เงินให้เปล่า เป็นต้น รายจ่ายประเภทน้ีเป็นเพียง
การโอนอำนาจซื้อจากรัฐบาลไปยังประชาชนกลุ่มหน่ึง ซึ่งไม่เก่ียวพันกับการเพ่ิมผลผลิต จึงไม่นับรวมอยู่ใน
รายจา่ ยมวลรวม (รายจา่ ยของรฐั บาลทจี่ ะรวมเปน็ รายได้ประชาชาตติ อ้ งกนั ค่าใชจ้ ่ายเงนิ โอนออกไปกอ่ น)
ปัจจยั ท่ีกำหนดการใช้จ่ายของภาครัฐบาล มี 2 ประการ ดังนี้
1. รายรับของรัฐบาล (Government Revenue) ประกอบด้วย รายได้จากภาษีอากร
รายได้ที่ มิใช่ภาษีอากร และเงินกู้ หากรัฐบาลมีรายรับมากย่อมมีความสามารถท่ีจะใช้จ่ายได้มาก แต่ถ้ามี
รายรับนอ้ ย ยอ่ มใช้จา่ ยไดน้ อ้ ย
2. นโยบายการคลังของรัฐบาล (Fiscal Policy) มี 2 แบบ คือ นโยบายการคลังแบบ
ขยายตัว (Expansionary Fiscal Policy) ตัวอย่างเช่น ถ้ารัฐบาลต้องการให้เศรษฐกิจขยายตัวเพราะระบบ
เศรษฐกิจ มีการใช้จ่ายน้อยเกินไป รัฐบาลจะใช้นโยบายขยายตัว เช่น การให้เงินอุดหนุนช่วยเหลือ หรือการ
เก็บภาษี อากรลดลง เพื่อให้ประชาชนมีการใช้จ่ายเงินในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น เม่ือคนมีรายได้มากข้ึนอัน
เน่ืองมาจาก การมีงานทำ ระบบเศรษฐกิจก็จะขยายตัวในท่ีสุด และนโยบายการคลังแบบหดตัว
(Contractionary Policy) ตัวอย่างเช่น ถ้ารัฐบาลต้องการให้เศรษฐกิจหดตัว เพราะมีการใช้จ่ายเงินมาก
เกินไป รัฐบาลจะ ใช้นโยบายหดตัว เช่น การเก็บภาษีอากรเพ่ิมขึ้น หรือรัฐบาลให้เงินอุดหนุนลดลง จะทำให้
ประชาชนใชจ้ า่ ย นอ้ ยลง และทำใหก้ ารบริโภคลดลงและเงินออมลดลง ในท่ีสุดรายได้ประชาชาตกิ ็จะลดลง
23
3.1 เส้นรายจ่ายของรฐั บาลและการเปลีย่ นแปลงเส้นรายจ่ายรฐั บาล
รายจ่ายของภาครัฐบาลมักจะกำหนดไว้ล่วงหน้าอย่างน้อย 1 ปี เส้นรายจ่ายของรัฐบาลจึง
เปน็ เส้นตรงขนานแกนนอนหรือแกนรายได้ประชาชาติ ดงั รปู
แสดงเส้นการใช้จา่ ยของภาครฐั บาลและการเปลย่ี นแปลงเสน้ การใชจ้ ่าย
ของรฐั บาล
จากรูป สมมติว่า G0 เป็นเส้นการใช้จ่ายของภาครัฐบาลท่ีกำหนดไว้เดิม ต่อมารัฐบาลได้ตัดสินใจ
เพิ่มการใช้จ่ายให้มากขน้ึ ทำให้เส้นการใช้จ่ายของภาครัฐบาลย้ายจากเสน้ G0 เป็นเส้น G1 ในทางตรงข้าม ถ้า
รฐั บาลตดั สินใจลดรายจ่ายลงจากเดิม เส้นการใชจ้ า่ ยของรัฐบาลจะยา้ ยจากเส้น G0 เป็นเส้น G2
4. การสง่ ออกสุทธิ
เมื่อระบบเศรษฐกิจมีการติดต่อกับต่างประเทศ ไม่ว่าในรูปของการส่งออกหรือการนำเข้าย่อมมี
ผลกระทบ ต่อผลผลิต รายไดแ้ ละการวา่ จ้างทำงานภายในประเทศ การส่งออกสินค้าทำให้การผลิต การวา่ จา้ ง
ทำงาน และ รายได้ประชาชาติเพ่ิมข้ึน ก่อใหเ้ กดิ กระแสการไหลเขา้ ของรายจา่ ยเขา้ สู่ระบบเศรษฐกิจ เพราะผู้
สง่ ออก เมือ่ ได้รบั รายไดจ้ ากผู้ซ้ือในตลาดต่างประเทศ ก็จะนำรายได้น้ันมาจับจา่ ยใช้สอยท้งั การบริโภคและการ
ลงทุน ทำให้รายได้ของบุคคลอ่ืน ๆ ในระบบเศรษฐกิจเพิ่มสูงข้ึน ส่วนการนำเข้าทำให้ประเทศต้องสูญเสีย
เงินตราต่างประเทศ เพอื่ จา่ ยให้แกป่ ระเทศท่สี ่งสินค้าเข้ามาทำใหก้ ารจ้างงานและรายได้ประชาชาตลิ ดลง เกิด
กระแสการร่ัวไหลของรายได้ออกจากระบบเศรษฐกิจ ดังนั้น ถ้าการส่งออกสุทธิ (ส่วนต่างระหว่างมูลค่า การ
สง่ ออกกับมูลค่าการนำเข้า) มีคา่ เป็นบวกจะทำให้รายได้ การจ้างงานและการลงทุนเพิ่มขนึ้ แต่ถ้าการสง่ ออก
สทุ ธิมคี า่ เปน็ ลบ จะทำให้รายได้การจ้างงานและการลงทุนลดลง
การสง่ ออก (Export: X) หมายถึง มูลค่าสินค้าและบริการทป่ี ระเทศหน่งึ สง่ ไปจำหน่าย
ต่างประเทศ
24
การนำเขา้ (Import: M) หมายถึง มลู ค่าสนิ คา้ และบรกิ ารที่ประเทศหนึง่ นำเข้าจาก
ตา่ งประเทศ
ปจั จยั ทีก่ ำหนดการสง่ ออก มีดงั นี้
1. นโยบายของรัฐบาล ถ้ารัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการส่งออก เช่น การลดภาษีสินค้าส่งออก
การขยายตลาดในประเทศ การลดหรือยกเว้นภาษีนำเข้าวัตถุดิบ การปรับปรุงพิธีการศุลกากรให้สะดวก
รวดเร็ว และโปร่งใส จะทำใหก้ ารส่งออกเพมิ่ ขึน้ เพราะฉะน้นั เส้นการส่งออกจะเคลอ่ื นสงู ขึน้ เป็น X1
2. ราคาสินค้าสง่ ออก ถ้าราคาสินค้าสง่ ออกของประเทศใดสูงกว่าราคาสนิ ค้าของต่างประเทศ ซึ่ง
เปน็ สินค้าชนิดเดยี วกัน จะทำให้ประเทศนั้นส่งออกได้ลดลง เสน้ การสง่ ออกจะเคล่อื นต่ำลงเปน็ X2 ในทางตรง
ข้าม ถ้าราคาสินค้าส่งออกต่ำกว่าราคาสินค้าของต่างประเทศซ่ึงเป็นสินค้าชนิดเดียวกัน จะทำให้ การส่งออก
เพม่ิ ข้ึน เนื่องจากราคาสินคา้ ส่งออกขนึ้ อยู่กับต้นทุนการผลิตและอตั ราแลกเปล่ียนเงินตรา ต่างประเทศ ถ้าเงิน
บาทมีค่าต่ำกว่าความเป็นจริงเม่ือเทียบกับอัตราแลกเปล่ียนเงินตราต่างประเทศ สินค้า ส่งออกของไทยจะมี
ราคาต่ำโดยมองจากผู้ซ้ือในต่างประเทศ ทำใหป้ รมิ าณการสง่ ออกของไทยเพิ่มข้นึ เพราะฉะน้ัน เส้นการสง่ ออก
จะเคล่ือนสูงขนึ้ เปน็ X1
แสดงการสง่ ออกและการเปล่ียนแปลงเสน้ การส่งออก
จากรูป เส้น X0 เป็นเส้นการส่งออกเดิมของประเทศ A สมมติว่าประเทศนี้ได้ทำการพัฒนาและ
ค้นพบ เทคโนโลยีใหม่ ๆ จึงสามารถลดตน้ ทุนการผลิตได้ ทำให้ราคาสินคา้ สง่ ออกลดลง ปรมิ าณการสง่ ออกจึง
เพ่ิมข้ึน เส้นการส่งออกจะเคล่ือนจาก X0 เป็นเส้น X1 ในทางตรงข้าม ถ้าประเทศ A ไม่สามารถพัฒนา
เทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้ การส่งออกก็จะลดลง เส้นการส่งออกจะเคล่ือนจาก X0 เปน็ เส้น X2
3. ความต้องการของตลาดต่างประเทศและคณุ ภาพสินค้าถ้าตา่ งประเทศต้องการซื้อสนิ ค้า จาก
เรามากข้ึน หรือคุณภาพของสินค้าส่งออกดีขึ้น แม้จะมีราคาแพง ก็อาจจะทำให้การส่งออกสินค้าไป
ต่างประเทศเพิม่ ขึ้นได้ เส้นการส่งออกจะเคลือ่ นขึ้นเป็น X1 ในทางตรงขา้ ม ถ้าคุณภาพของสินค้าส่งออก แย่ลง
การส่งออกก็จะลดลง เสน้ การสง่ ออกจะเคลือ่ นตำ่ ลงเปน็ X2
25
4. อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ มีผลกระทบต่อการส่งออกสินค้า กล่าวคือ ถ้าอัตรา
แลกเปลี่ยนสูงขึ้นจากเดิม 30 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มข้ึนเป็น 33 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ สหรัฐฯ ราคา
สินค้าส่งออกเปรียบเทียบกับราคาสินค้าชนิดเดียวกันจากต่างประเทศจะมี ราคาถูกลง เพราะ ฉะน้ัน
ต่างประเทศจะซื้อสินค้าของเรามากขึ้น เส้นการส่งออกจะเคลื่อนสูงขึ้นเป็น X1 ในทางตรงข้าม ถ้า อัตรา
แลกเปล่ียนลดลงจากเดิม 30 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงเหลือ 28 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ราคา
สินคา้ ส่งออกเปรยี บเทียบกับราคาสนิ คา้ ชนดิ เดียวกันจากต่างประเทศแพงข้นึ ต่างประเทศจะซื้อสินค้า ของเรา
ลดลง เสน้ จะเคล่ือนต่ำลงเปน็ X2
ปัจจัยท่กี ำหนดการนำเขา้ สนิ ค้าจากตา่ งประเทศ มดี งั นี้
1. รายได้ประชาชาติ (Y) ถ้าระบบเศรษฐกิจมีรายได้ประชาชาติสูง ประชาชนส่วนใหญ่จะมีงาน
ทำ มีรายไดเ้ พิม่ สูงขึน้ จึงมอี ำนาจซ้อื สินค้าสูงขน้ึ เพราะฉะน้ันประชาชนจะมีความต้องการในการนำเขา้ สินค้า
จากต่างประเทศมากข้ึน ในทางตรงข้าม ถ้ารายได้ประชาชาติลดลง การว่างงานอาจเพิ่มข้ึน ประชาชน จะมี
รายไดน้ ้อย จงึ มีแนวโนม้ ทจ่ี ะนำเข้าสนิ คา้ จากต่างประเทศลดลง
2. สนิ เชือ่ ผู้บรโิ ภคและอตั ราดอกเบ้ยี (i) ถา้ ประชากรสามารถซ้อื สินค้าจากต่างประเทศด้วย เงิน
ผ่อน มีการจ่ายเงินดาวน์ต่ำ และมีระยะเวลาในการผ่อนชำระนาน และอัตราดอกเบี้ยต่ำ ผู้บริโภคจะ มี
แนวโน้มในการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศมากข้ึน ในทางตรงข้าม ถ้าต้องจ่ายเงินดาวน์สูง มีระยะเวลา ใน
การผ่อนชำระส้ัน และอัตราดอกเบยี้ สงู จะทำใหผ้ บู้ รโิ ภคนำเขา้ สนิ คา้ จากต่างประเทศลดลง
3. สินทรัพย์ของผู้บริโภค (A) ถ้าผู้บริโภคมีสินทรัพย์สภาพคล่องอยู่ในมือมาก เขาจะรู้สึกว่า
ฐานะทางการเงินม่ันคง การนำเข้าสนิ ค้าจากต่างประเทศก็จะเพิ่มขึ้น และถ้าผบู้ ริโภคมีสินทรัพย์คงทน ถาวร
บางอย่างอยู่ในมือมาก ก็อาจทำให้มีการนำเข้าสินค้าท่ีใช้ประกอบกันมากข้ึน หรือในกรณีที่ผู้บริโภค มี
สนิ ทรัพย์คงทนบางอยา่ งอยใู่ นมือมาก ก็จะทำให้การซือ้ สนิ คา้ ทใี่ ช้ทดแทนกันจากตา่ งประเทศลดลงได้
4. การคาดคะเนของผู้บริโภค (E) ถ้าผู้บริโภคคาดคะเนว่ารายได้ของเขาจะเพิ่มขึ้นในอนาคต
หรือราคาสินค้านำเข้าจากต่างประเทศจะสูงขึ้น หรือสินค้าบางชนิดจะขาดตลาด ทำให้ผู้บริโภคนำเข้า สินค้า
จากตา่ งประเทศมากขึน้ ในปัจจุบนั
5. รสนยิ มหรือค่านิยม (T) ถ้าคนในประเทศมีแนวโน้มนิยมใช้สินค้าจากต่างประเทศมากข้ึน ทำ
ให้ความตอ้ งการซอื้ สนิ คา้ จากตา่ งประเทศมากขน้ึ ตามไปด้วย
6. จำนวนประชากรและโครงสร้างอายุของประชากร (Pop) ถ้าจำนวนประชากรเพ่มิ ข้ึน ความ
ต้องการนำเข้าสนิ คา้ จากตา่ งประเทศจะเพ่มิ ข้นึ ตามจำนวนประชากร หรือถ้าโครงสร้างอายุของ ประชากรเป็น
วยั รุน่ รสนิยมในการบริโภคสินค้าจากต่างประเทศกจ็ ะมากขึ้น จะทำให้มีการนำเข้าสินคา้ จากต่างประเทศมาก
ขึน้ ตามไปด้วย
7. ราคาเปรียบเทียบระหว่างสินค้านำเข้ากับสินค้าที่ผลิตได้ในประเทศ (Pm) ถ้าราคาสินค้า
นำเข้าเปรียบเทยี บกับราคาสินค้าท่ผี ลติ ในประเทศถูกกวา่ ความต้องการนำเข้าสนิ คา้ จากตา่ งประเทศก็จะ มาก
ข้นึ ในทางตรงข้าม หากราคาสินค้านำเข้าเปรียบเทียบกับราคาสินคา้ ท่ีผลติ ในประเทศแพงกว่า ความตอ้ งการ
นำเข้าสนิ คา้ จากต่างประเทศก็จะลดลง
26
8. คุณภาพของสินค้านำเข้า(Q) เปรียบเทียบกับสินค้าในประเทศ หากสินค้านำเข้ามีคุณภาพ
ดีกว่าสินค้าในประเทศ ความตอ้ งการในการนำเข้าสนิ ค้าจากต่างประเทศก็จะมากขน้ึ ถึงแม้ราคาสนิ ค้า จะแพง
ก็ตาม
9. อัตราแลกเปล่ียนเงินตราต่างประเทศ (ER) จะมีผลกระทบต่อมูลค่าการนำเข้าเช่นเดียวกัน
ถ้าอัตราแลกเปลี่ยนสูงขึ้น เช่นจากเดิม ฿ 32 = $ 1 เป็น ฿ 35 = $ 1 ราคาสินค้านำเข้าจากต่างประเทศจะ
แพงขึ้น เพราะฉะนั้น ความต้องการซื้อสนิ ค้านำเข้าจะลดลง เช่น เดิมอัตราแลกเปล่ียน ฿ 32 = $ 1 ถ้าราคา
สนิ ค้า นำเข้า 1 หน่วย เทา่ กับ 1 ดอลลาร์ เมื่อซื้อ 1 หน่วยต้องจ่าย $ 1 ซึง่ ก็คอื ต้องจา่ ยเงินบาทเป็นจำนวน
เท่ากับ 32 บาท ต่อมาอัตราแลกเปล่ียนเปล่ียนเป็น ฿ 35 = $ 1 ถ้าซ้ือสินค้าเข้าจากต่างประเทศเท่าเดิม 1
หน่วย ผู้นำเข้าต้องจ่ายเป็นเงินบาทแพงขึ้นเป็น 35 บาท เพราะอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศสูงขึ้น
ฉะนั้นเม่ืออัตราแลกเปล่ียนเงินตราต่างประเทศสูงข้ึน ราคาสินค้านำเข้าจะแพงขึ้น ความต้องการจะซื้อ
สนิ ค้าเขา้ จะน้อยลง ซง่ึ สามารถแสดงฟังก์ชนั การนำเข้าสินคา้ ได้ดังนี้
M = f(Y, i, A, E, T, Pop, Pm, Q, ER, … )
การนำเข้าสินค้า(M) เป็นค่าใช้จ่ายท่ีครัวเรือน ผู้ประกอบการและรัฐบาลนำเข้าสินค้าจาก
ต่างประเทศ โดยปกติปริมาณการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันกับรายได้
ประชาชาติ กลา่ วคือ เมอ่ื รายได้ประชาชาติสูงขึ้น ปริมาณการนำเขา้ สินค้าจากต่างประเทศก็จะเพ่มิ ขึ้น ในทาง
ตรงข้าม ถ้ารายได้ประชาชาติลดลง ปริมาณการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศก็จะลดลงด้วย ดังน้ัน ฟังก์ชัน
การนำเข้าสนิ คา้ จะเปน็ ดงั น้ี
M = Ma + mY
เมือ่ Ma = มลู คา่ การนำเขา้ สนิ ค้าจากตา่ งประเทศ เมื่อ Y มีค่าเทา่ กับศูนย์
M = ความโนม้ เอยี งหน่วยสดุ ทา้ ยของการนำเข้าสนิ คา้ (Marginal Propensity to
Import: MPM) และ m หาไดจ้ ากการหาสว่ นเปล่ียนแปลงของมลู ค่า การนำเข้า
สินค้าทีเ่ กิดจากการเปลี่ยนแปลงของรายได้ประชาชาตหิ น่ึงหนว่ ย
หรือ m = ΔM
ΔY ซ่งึ แสดงใหเ้ ห็นว่า เม่ือรายได้สูงข้นึ จะมคี วามโนม้ เอยี ง
ทีจ่ ะนำเข้าสินค้าเพิม่ ขน้ึ อยา่ งใด ซึง่ อาจทำความเข้าใจด้วยรปู ไดด้ ังนี้
27
แสดงการเปล่ียนแปลงเสน้ การสง่ ออกและเสน้ การนำเข้า
จากรปู เส้น M คือ เส้นการนำเขา้ สนิ ค้าจากตา่ งประเทศ เสน้ X คือ เส้นการส่งออกสนิ คา้ สมมติให้
เส้น X มีค่าคงที่ เสน้ จึงขนานกับแกนนอนหรือขนานกับเสน้ รายไดป้ ระชาชาติ ทงั้ สองเสน้ ตัดกนั ท่ีจุด E ซง่ึ เป็น
จุดท่ีมูลคา่ การส่งออกเท่ากับมลู คา่ การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ หรอื X – M = 0 แสดงวา่ “ดุลการค้า
สมดุล” และรายได้ประชาชาตเิ ทา่ กับ 0Y ณ รายได้ที่ตำ่ กวา่ 0Y มูลค่าการสง่ ออกมากกว่ามูลค่าการนำเข้า
หรือ X > M แสดงว่า “ดุลการคา้ เกนิ ดลุ ” สว่ นรายไดท้ ่มี ากกว่า 0Y มูลค่าการส่งออกน้อยกว่ามูลคา่ การนำเข้า
หรอื X < M แสดงวา่ “ดลุ การคา้ ขาดดุล”
คา่ MPM จะสงู หรอื ตำ่ ขึ้นอยกู่ บั ภาษศี ุลกากรท่ีเก็บจากสินค้านำเข้า การผลติ สนิ คา้ ของประเทศ
รสนยิ มของคนในประเทศ และราคาสนิ ค้าที่ผลิตไดภ้ ายในประเทศเทยี บกบั สินค้าจากต่างประเทศ
สรปุ องคป์ ระกอบของรายไดป้ ระชาชาติ ประกอบด้วย รายจ่ายเพอื่ การบริโภคและ การออม
รายจ่ายเพือ่ การลงทนุ การใชจ้ ่ายของภาครัฐบาลและการส่งออกสทุ ธิ
ปจั จัยท่ีมีอิทธิพลต่อการบริโภคและการออม เช่น รายได้สุทธิสว่ นบุคคล สินทรัพย์ สภาพคล่องที่
บุคคลมีอยู่ สินทรัพย์ถาวรที่บุคคลมีอยู่ รายได้ในอนาคต การคาดคะเนระดับ ราคาสินค้า สินเชื่อเพ่ือการ
บริโภค อัตราดอกเบ้ีย เป็นต้น รายได้สุทธิส่วนบุคคลจะถูกจัดสรรไป ระหว่างการบริโภคและการออม แม้
ผูบ้ รโิ ภคจะไม่มีรายได้เลย แตก่ ็ยังตอ้ งบริโภค เงนิ ทีน่ ำมาใช้จา่ ย
28
อาจได้มาจากการกู้ยืมหรือเงินออม หรือการนำทรัพย์สินสภาพคล่องท่ีมีอยู่ออกมาขายก็ได้ เม่ือ
ผ้บู ริโภคมรี ายได้สงู ขนึ้ การบริโภคจะสงู ขึ้น แต่ถ้ารายได้ลดลง การบริโภคก็จะลดลงเชน่ กัน ดังนั้น รายไดส้ ุทธิ
ส่วนบุคคลมีความสมั พนั ธก์ บั การบริโภคในรูปแบบสมการเสน้ ตรง
รายจ่ายเพื่อการลงทุน ประกอบด้วย รายจ่ายในการก่อสร้าง รายจ่ายในการซ้ือเคร่ืองมือ
เคร่ืองจักรใหม่ในการผลิตต่าง ๆ และส่วนเปล่ียนของสินค้าคงเหลือ การลงทุนมีบทบาทสำคัญต่อ ความ
เจริญเติบโตและความมเี สถียรภาพทางเศรษฐกิจในระบบเศรษฐกจิ ของประเทศ
การใช้จ่ายของภาครัฐบาล แบ่งเป็นรายจ่ายเพื่อการบริโภค รายจ่ายเพ่ือการลงทุน และ รายจ่าย
เพอ่ื การพฒั นาประเทศ แต่รายจ่ายประเภทเงินโอนจะไมน่ ับรวมในรายจ่ายมวลรวม เพราะ รายจ่ายประเภทนี้
ไม่เกยี่ วพันกบั การเพิม่ ผลผลติ
การส่งออกสุทธิ การส่งออกสินค้าจะทำให้การผลิต การว่าจ้างทำงานและรายได้ประชาชาติ
เพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดกระแสการไหลเข้าของรายจ่ายเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ส่วนการนำเข้าทำให้ประเทศ ต้อง
สูญเสียเงินตราต่างประเทศ ทำให้การจ้างงานและรายได้ประชาชาติลดลง เกิดกระแส การร่ัวไหลของรายได้
ออกจากระบบเศรษฐกิจ ถา้ การส่งออกสุทธมิ คี ่าเป็นบวก จะทำใหร้ ายได้ การจ้างงานและการลงทุนเพมิ่ ขน้ึ แต่
ถ้าการส่งออกสทุ ธมิ ีค่าเปน็ ลบ จะทำให้รายได้ การจา้ งงาน และการลงทุนลดลง
29
แบบเรียนรู้หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 9
ตอนที่ 1 จงตอบคำถามตอ่ ไปนี้
1. อธิบายความหมายของรายจ่ายเพือ่ การบริโภค
............................................................................................................................................................ .........................
.....................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...................................................... ..
.....................................................................................................................................................................................
2. ปัจจยั ทก่ี ำหนดรายจ่ายเพ่ือการบริโภค
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ........................................................
3. ความโนม้ เอียงเฉล่ยี และความโน้มเอยี งหนว่ ยสุดท้ายในการบริโภคคอื อะไร
............................................................................................................................. ........................................................
.....................................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................... ..................................
.....................................................................................................................................................................................
4. การเปลยี่ นแปลงปริมาณรายจ่ายเพอ่ื การบริโภคและการเปลยี่ นแปลงการบรโิ ภคแตกต่างกนั อย่างไร
.....................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................... .................................
.....................................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................... ..........
5. ความโน้มเอยี งเฉลย่ี และความโนม้ เอยี งหนว่ ยสุดท้ายของการออมคอื อะไร
............................................................................................................................. ........................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ........................................................
30
6. การบริโภคและการออมมคี วามสัมพนั ธก์ ันอยา่ งไร
.................................................................................................................................................... .................................
.....................................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................... ..........
............................................................................................................................. ........................................................
7. กำหนดใหส้ มการการบรโิ ภค คือ C = 30 + 0.8Yd
1) จงหาสมการการออม
............................................................................................................................. ........................................................
............................................................................................................................. ........................................................
.....................................................................................................................................................................................
.................................................................................................... .................................................................................
2) จงหาค่า MPC และ MPS
............................................................................................................................. ........................................................
.......................................................................................................................................... ...........................................
.................................................................................................................................................................... .................
.....................................................................................................................................................................................
8. ตัวกำหนดการลงทนุ มอี ะไรบา้ ง
.....................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ........................................................
......................................................................................................................................................................... ............
.....................................................................................................................................................................................
9. จงอธิบายความหมายของคำต่อไปนี้
1) การลงทุนอิสระ
.....................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ........................................................
......................................................................................................................................................... ............................
.....................................................................................................................................................................................
2) การลงทนุ โดยการจูงใจ
............................................................................................................................. ........................................................
.....................................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................ .....................................
................................................................................................................... ..................................................................
31
10. การเปลย่ี นแปลงปรมิ าณการลงทนุ และการเปลยี่ นแปลงการลงทนุ แตกต่างกันอย่างไร
............................................................................................................. ........................................................................
........................................................................................................................................................... ..........................
.............................................................................................................................. .......................................................
.....................................................................................................................................................................................
32
ตอนที่ 2 จงเลอื กขอ้ ท่ีถูกตอ้ งที่สุดเพยี งข้อเดยี ว
1. การหาฟังก์ชนั ของการบรโิ ภคใช้องค์ประกอบของอะไร
ก. ค่าใช้จา่ ยของเงนิ ออมมาเป็นองค์ประกอบของฟังก์ชนั ของการบริโภค
ข. ใชเ้ งินโบนสั มาเปน็ องคป์ ระกอบของฟังก์ชันของการบรโิ ภค
ค. ใช้คา่ จ้างมาเป็นองค์ประกอบของฟังกช์ ันของการบรโิ ภค
ง. ใช้รายได้สทุ ธสิ ่วนบุคคลมาเปน็ องค์ประกอบของฟังกช์ นั ของการบรโิ ภค
จ. ใช้ดอกเบยี้ เงนิ ฝากมาเป็นองคป์ ระกอบของฟงั กช์ ันของการบรโิ ภค
2. ความโน้มเอียงเฉลี่ยในการบริโภคหมายถึงข้อใด
ก. อตั ราส่วนระหว่างรายจ่ายเพอื่ การบริโภคกบั รายได้ ณ รายไดร้ ะดับหน่ึง
ข. อตั ราการเพ่ิมข้นึ ของรายจ่ายเพือ่ การบริโภค
ค. อตั ราการเปลีย่ นแปลงของรายจา่ ยเพอ่ื การบรโิ ภคตอ่ การออม
ง. รายจ่ายเพื่อการบรโิ ภคเฉลย่ี ต่อคน
จ. อตั ราการเพ่ิมข้ึนของรายจา่ ยตอ่ การออม
3. จงหาสมการการบริโภคเมือ่ กำหนดให้ค่า MPC = 0.8 รายไดส้ ่วนบคุ คล = 10 และรายจ่ายเพ่ือ การบรโิ ภค
= 18
ก. C = 12 + 0.6Yd ข. C = 10 + 0.8Yd
ค. C = 12 + 0.8Yd ง. C = 16 + 0.6Yd
จ. C = 18 + 0.8Yd
4. ถา้ กำหนด ΔC = 40, C =50, Yd = 100, ΔYd = 50
ก. คา่ APC = 1.25 ข. ค่า APC = 2
ค. คา่ APC = 0.5 ง. ค่า APC = 0.4
จ. คา่ MPC = 0.7
5. การออมของครัวเรือนมคี วามสมั พันธก์ ับรายไดข้ องครวั เรือนอย่างไร
ก. การออมเปน็ ตัวกำหนดระดับรายได้ ข. รายได้เปน็ ตวั กำหนดการออม
ค. การออมกบั รายได้ไม่มีความสัมพันธก์ นั ง. ถา้ การออมเพิ่มข้นึ รายไดจ้ ะลดลงเสมอ
จ. ถา้ การออมลดลงรายได้ไม่เปลีย่ นแปลง
6. ถา้ สมการการออม S = -0.10 + 0.60Yd แลว้ MPS มีค่าเท่าใด
33
ก. MPS = -10 ข. MPS = 0.60
ค. MPS = -0.10 ง. MPS = 0.40
จ. MPS = -0.40
7. ถา้ S = 0 แล้วคา่ APS มีคา่ เท่าใด
ก. APS = 1 ข. APS > 1
ค. APS < 0 ง. APS = 0
จ. APS = 0.5
8. MPS กบั MPC มีความสมั พันธก์ นั อย่างไร
ก. MPC จะตอ้ งมคี ่าสูงกว่า MPS เสมอ
ข. MPC + MPS = 1 เสมอ
ค. เมอื่ MPC สงู ข้นึ MPS ก็สงู ขึน้ ตาม
ง. MPC กับ MPS เปน็ อิสระตอ่ กนั
จ. MPC จะต้องมคี า่ นอ้ ยกว่า 1 เสมอ
9. ขอ้ ใดไมใ่ ช่รายจ่ายในการลงทนุ
ก. คา่ ใชจ้ า่ ยในการก่อสรา้ งอาคาร
ข. คา่ ใชจ้ า่ ยในการซื้อเครอ่ื งมือเคร่ืองจกั ร
ค. สว่ นเปล่ียนแปลงสุทธิของสนิ ค้าคงเหลือ
ง. คา่ ใชจ้ ่ายในการกอ่ สร้างอาคารใหม่
จ. การซื้อสินทรัพยแ์ ละหลกั ทรัพย์มือสอง
10. เสน้ การบริโภคจะเลอ่ื นสูงขนึ้ ดว้ ยเหตผุ ลใด
ก. ความโน้มเอยี งในการบริโภคลดลง
ข. ความโน้มเอยี งในการออมเพม่ิ ข้นึ
ค. ความโน้มเอียงหน่วยสุดทา้ ยของการออมลดลง
ง. รายได้ของผ้บู รโิ ภคสงู ขน้ึ
จ. ผบู้ ริโภคเพิ่มรายจ่ายเพ่อื การบริโภคในระดับรายไดต้ า่ ง ๆ กนั
34
ตอนท่ี 3 จงใส่เครอื่ งหมาย ✓ หรอื × หนา้ ขอ้ ความทเี่ หมาะสม
.............. 1. ปจั จยั ท่ีมีอทิ ธพิ ลต่อคา่ ใช้จา่ ยในการบริโภคและการออมมากทส่ี ดุ คือ รายได้สุทธสิ ่วนบคุ คล
.............. 2. การเก็บภาษมี ผี ลทางอ้อมต่อรายไดส้ ุทธสิ ่วนบคุ คล
.............. 3. สมการการบริโภคและการออมอยใู่ นรูปของสมการเสน้ โค้ง
.............. 4. การออมเป็นผลตา่ งระหวา่ งรายไดส้ ุทธิสว่ นบคุ คลกบั รายจ่ายในการบรโิ ภค
.............. 5. APS + APC = 1 เสมอ
.............. 6. รายไดส้ ทุ ธิสว่ นบคุ คลจะถกู แบ่งไปใช้เพ่ือการบรโิ ภคและเพือ่ ใชจ้ า่ ยยามฉุกเฉิน
.............. 7. เม่อื รายไดส้ ูงขึ้น APC มีคา่ เพ่ิมขึน้ แต่ APS มคี า่ ลดลง
.............. 8. MPC + MPS = 0 เสมอ
.............. 9. การลงทนุ ในทางเศรษฐศาสตร์จะพิจารณาเฉพาะการเพิม่ สนิ คา้ ทนุ
.............. 10. การซื้อขายท่ีดนิ เพอ่ื เก็งกำไร การซือ้ พนั ธบัตรถอื เปน็ รายจ่ายเพ่ือการลงทุน
35
ใบงานท่ี 1
กำหนดใหร้ ะบบเศรษฐกิจหนงึ่ มีแบบจำลองระบบเศรษฐกจิ 3 ภาคเศรษฐกิจ, Y = C + I + G ดังน้ี (หน่วย
เป็นล้านบาท)
C = 10 + 0.80Yd , I = 5 + 0.10Y, G = 20 และ T = 5
โดยท่ี Yd = รายไดท้ ใี่ ช้จา่ ยได้จรงิ (Y - T) Y = รายไดป้ ระชาชาติ จงหา
(ก) รายไดป้ ระชาชาติดุลยภาพ (Y)
............................................................................................................................. ........................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
(ข) คา่ ของรายไดป้ ระชาชาติท่มี ีคา่ เทา่ กับรายจ่ายเพื่อการบรโิ ภค
............................................................................................................................. ........................................................
.......................................................................................................................................................................... ...........
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
(ค) คา่ ความโน้มเอียงเฉลี่ยในการบริโภค (APC) เมื่อ Y =100
............................................................................................................................. ........................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
36
ใบงานที่ 2
สมมติว่าทุกครัวเรือนในระบบเศรษฐกิจนำรายไดส้ ่วนท่ีเพิ่มข้ึนทั้งหมดเก็บเป็นเงินออม จะมีผล
ตอ่ เสน้ รายจา่ ยเพอ่ื การบรโิ ภคอย่างไร
.....................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ........................................................
..................................................................................................................................................... ................................
.....................................................................................................................................................................................
ใบงานที่ 3
เคนส์ (John Magnard Keynes) ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหวา่ งการบริโภคและรายได้ อธิบายข้อสรุป
ของการศกึ ษาเรอ่ื งน้ี
............................................................................................................................................. ........................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
37