The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

บทที่ 12 เงินเฟ้อ เงินฝืด การว่างงาน และการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจมหภาค.doc

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kotchamon191, 2022-05-10 05:16:01

บทที่ 12 เงินเฟ้อ เงินฝืด การว่างงานและแก้ไขเศรษฐกิจมหภาค

บทที่ 12 เงินเฟ้อ เงินฝืด การว่างงาน และการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจมหภาค.doc

0

วชิ าหลกั เศรษฐศาสตร์ รหัสวชิ า 30200-1001

หน่วยท่ี 12 เร่ืองเงินเฟ้อ เงินฝดื การว่างงาน และการแก้ไขปญั หา
เศรษฐกจิ มหภาค

จดั ทำโดย
นางกชมน เอียดแก้ว
บธ.ม. (การจดั การโลจิสตกิ ส์และโซ่อปุ ทาน)

1

หนว่ ยท่ี 12

ชอื่ หน่วย เงินเฟอ้ เงนิ ฝดื การวา่ งงาน และการแกไ้ ขปญั หาเศรษฐกจิ มหภาค

สาระสำคัญ
ปัญหาทางเศรษฐกิจมหภาคสามารถเกิดข้ึนได้ เม่ือระบบเศรษฐกิจขาดเสถียรภาพ ซ่ึงจะส่งผลต่อ

ความมน่ั คง และการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ เม่ือระบบเศรษฐกจิ มคี วามผันผวน จะส่งผลตอ่ ระดับ
ราคาสินค้าและบรกิ าร เช่น ในชว่ งที่เศรษฐกิจขยายตัว ระดบั ราคาสินค้าและบริการตา่ ง ๆ จะสงู ขึ้น แรงงานมี
งานทำ ปัญหาท่ีตามมาในช่วงน้ีคือ ปัญหาเงนิ เฟ้อ แต่ในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซา ระดับราคาสินค้าและบริการ
ต่าง ๆ จะลดลง ทำให้การจ้างงานลดลง ปัญหาที่ เกิดข้ึนในช่วงนี้คือ ปัญหาเงินฝืด และปัญหาการว่างงาน
ซงึ่ ปญั หาเงินเฟ้อ เงินฝืด และการว่างงาน ต่างเปน็ ปญั หาสำคญั ท่กี ระทบตอ่ ความเป็นอยู่ของประชาชน

จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1. อธบิ ายความหมายของเงนิ เฟอ้ ดัชนรี าคา สาเหตุของการเกดิ เงินเฟอ้ ประเภทของเงนิ เฟอ้

ผลกระทบของ เงินเฟอ้ และแกป้ ัญหาเงนิ เฟ้อได้
2. อธิบายความหมายของเงนิ ฝดื สาเหตุที่ทำใหเ้ กดิ เงนิ ฝืด ผลของภาวะเงินฝดื และแก้ไขภาวะ

เงินฝืดได้
3. อธิบายความหมายของการว่างงาน สาเหตุที่ทำให้เกิดการว่างงาน ประเภทของการวา่ งงาน

ผลกระทบของ การว่างงาน และแกป้ ัญหาการวา่ งงานโดยใชน้ โยบายต่าง ๆ ได้

สมรรถนะประจำหนว่ ย
1. แสดงความรู้เกี่ยวกับเงนิ เฟ้อ เงินฝืด และการว่างงาน
2. แสดงความรเู้ ก่ยี วกบั การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจมหภาค

สาระการเรยี นรู้
1. เงินเฟอ้
2. เงนิ ฝืด
3. การวา่ งงาน

2

1. ความหมายของเงนิ เฟอ้

เงินเฟ้อ (Inflation) หมายถึง ภาวะท่ีระดับราคาสินคา้ โดยทว่ั ๆ ไปเพม่ิ สูงขนึ้ เร่ือย ๆ อย่าง
ต่อเนือ่ ง หากสนิ ค้ามรี ะดบั ราคาสินค้าสงู ณ เวลาใดเวลาหนึ่งกย็ ังไม่ถือวา่ เกิดเงนิ เฟ้อ จำเป็นตอ้ งสูงขึ้นเรื่อย ๆ
โดยอาจมีสินค้าบางชนิดราคาสูงข้ึน ขณะที่ราคาสินค้าบางชนิดคงที่หรือลดต่ำลง แต่เมื่อรวมราคาสินค้า
ทั้งหมดโดยเฉล่ียแล้วสูงข้ึน เครื่องมือที่ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงของราคา คือ “ดัชนีราคา (Price Index)” ซ่ึง
นิยมวัดในรปู ดชั นีราคาผบู้ รโิ ภค และดชั นีราคาขายส่ง

ดัชนีราคา คือ เครือ่ งวัดราคาเฉลยี่ ของสินค้าและบริการจำนวนหน่ึงหรือตะกร้าหนึง่ ของปใี ด
ปีหนึ่ง เปรียบเทียบกับราคาเฉลี่ยของสินค้าและบริการจำนวนหนึ่งหรือตะกร้าเดียวกันในปีท่ีอ้างอิง หรือท่ี
เรียกว่า ปีฐาน (Base Year)

สำหรบั ดัชนีราคานน้ั มีหลายประเภท เช่น ดชั นีราคาผูบ้ รโิ ภค ดัชนรี าคาผู้ผลิต และดัชนีราคา
ขายส่ง แต่ส่วนใหญ่จะนิยมใช้ดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index) และดัชนีราคาท่ีใช้ปรับลด
ผลิตภณั ฑ์ภายในประเทศเบือ้ งตน้ (GDP Deflator) เราสามารถคำนวณหาดชั นรี าคาในแต่ละปไี ดจ้ าก

ดชั นีราคาผ้บู ริโภค ระดับราคาสินคา้ และบริการปีปจั จุบนั X 100
GDP Deflator
= ระดับราคาสนิ ค้าและบรกิ ารปีฐาน

ผลติ ภัณฑภ์ ายในประเทศเบ้อื งต้นปปี ัจจุบนั X 100

=ผลิตภัณฑภ์ ายในประเทศเบอื้ งต้นปฐี าน

ตัวอย่าง สมมติให้มีการผลิตมะม่วง 5 แสนผลในปีฐาน และราคาตลาดผลละ 3 บาท มูลค่า
มะม่วง ใน GDP เท่ากบั 1,500,000 บาท และให้ผู้บริโภคซื้อมะม่วงเพ่ือการบริโภคเพียง 50,000 ผล หรือคิด
เป็นสัดส่วน ในตะกร้าสินค้าเท่ากับ 0.1 อีก 2 ปีต่อมา ประเทศประสบกับภาวะภัยแล้ง ทำให้ผลผลิตมะม่วง
เท่ากับศูนย์ มูลคา่ มะม่วงใน GDP จะเท่ากบั ศูนยด์ ้วย แต่ราคาตลาดของมะม่วงเท่ากับ 10 บาทต่อผล (เพราะ
ต้องนำเข้า จากตา่ งประเทศ) เนื่องจากไม่มีผลผลิตมะม่วงในการคำนวณ GDP ทำให้ราคามะม่วงทส่ี ูงขึ้นมากน้ี
ไม่มีผล ต่อค่าตัวปรบั ลดผลิตภัณฑ์ แต่จะทำให้เกิดผลกระทบอย่างมากต่อดัชนีราคาผู้บริโภค เพราะจะทำให้
ดัชนี ราคาผบู้ ริโภคสงู ขน้ึ อย่างมาก เพราะราคามะม่วงสูงขนึ้ จากผลละ 3 บาท เป็นผลละ 10 บาท

สิ่งที่เกิดขึ้นควบคูก่ ับภาวะเงินเฟ้อในทศิ ทางตรงกันข้าม คือ อำนาจซ้ือของเงิน กล่าวคือ เมื่อ
ราคา สินค้าสูงข้ึนและเกิดภาวะเงินเฟ้อ อำนาจซื้อของเงินจะย่ิงลดลง เงินแต่ละหน่วยจะมีอำนาจซ้ือสินค้า
ลดลง หรอื เงินจำนวนเทา่ เดมิ จะแลกเปล่ียนกับสินคา้ ไดเ้ ปน็ จำนวนนอ้ ยลงกว่าเดมิ

3

1.2 สาเหตขุ องการเกิดเงินเฟ้อ
สาเหตุท่ีทำให้เกิดเงินเฟ้อที่สำคัญมี 2 ประการ คือ สาเหตุท่ีเกิดจากแรงดึงของอุปสงค์

สาเหตทุ ี่ เกดิ จากแรงผลกั ดนั ทางดา้ นอุปทาน
สาเหตุท่ีเกิดจากแรงดึงของอปุ สงค์ ได้แก่ การที่อุปสงค์มวลรวมสำหรับสินคา้ และบริการ มี

มากกว่าอุปทานมวลรวมของสินค้าและบริการ เงินเฟ้อท่ีมีสาเหตุมาจากด้านอุปสงค์สำหรับสินค้า บางครั้ง
เรยี กวา่ “เงนิ เฟอ้ ที่เกิดจากแรงดึงของอุปสงค์”

สาเหตุที่เกิดจากแรงผลักดันทางด้านอุปทาน ได้แก่ การที่อุปทานมวลรวมสำหรับสินค้า
และบรกิ ารลดลง เนอ่ื งจากแรงงานเรียกร้องเอาค่าแรงสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขน้ึ เมื่อตน้ ทนุ การผลิต
เพิ่มข้ึน ผู้ผลิตจะลดปริมาณการผลิตลง หรือผู้ผลิตต้องการกำไรสูงขึ้น จึงบวกกำไรเข้าไว้เป็น ส่วนหนึ่งของ
ต้นทุนการผลิต ซ่ึงทำให้ต้นทุนการผลิตเพ่ิมสูงข้ึน และผู้ผลิตจะลดปริมาณการผลิตลง เงินเฟ้อท่ีมีสาเหตุมา
จากด้านอปุ ทานบางครั้งเรียกวา่ “เงินเฟอ้ จากแรงดนั ของตน้ ทุน”
นอกจากสาเหตุทั้ง 2 ประการดังกล่าวแล้ว ยังมีภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นจากสาเหตุอ่ืน ๆ อีก เช่น เงินเฟ้อที่
เกิดข้ึนจากการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างของอุปสงค์ เงินเฟ้อที่เกดิ ขึ้นจากการติดต่อกับ ต่างประเทศ เป็นต้น
ในที่นี้ขอกล่าวถึงสาเหตุของการเกิดเงินเฟ้อท่ีเกิดจากแรงดึงของอุปสงค์ และ เงินเฟ้อท่ีเกิดจากแรงผลักดัน
ทางดา้ นอุปทาน ดงั นี้

1. เงินเฟ้อที่เกิดจากแรงดึงของอุปสงค์ (Demand Pull Inflation) หมายถึง เงินเฟ้อท่ี
เกดิ ขึ้น จากอุปสงค์มวลรวมสำหรับสินค้าของประเทศเพิม่ สูงข้ึน ในขณะที่อปุ ทานมวลรวมของสนิ คา้ เพิ่มขึ้นได้
ค่อนข้างจำกัด ทำให้เกิดภาวะสินค้าขาดแคลน ระดับราคาสินค้าจึงเพ่ิมสูงขึ้นเรื่อย ๆ การที่อุปทานมวลรวม
ของสนิ ค้าเพ่มิ ข้ึนไดจ้ ำกัดอาจเปน็ เพราะวา่ ปจั จัยการผลติ ถกู นำมาใชง้ านเกือบเต็มทแ่ี ล้ว ดงั น้นั การขยายการ
ผลิตจึงทำได้อีกเพียงเล็กน้อย หรือถ้าปจั จัยการผลติ ถูกใชง้ านเต็มทีแ่ ล้ว การขยายการผลิต กไ็ ม่สามารถทำได้
อีก ความไม่สมดุลระหวา่ งอุปสงคแ์ ละอปุ ทานจะผลักดันใหร้ ะดบั ราคาสนิ ค้าสูงข้นึ

ภาวะเงินเฟ้อ = AD>AS ราคาสนิ คา้ (P) รายได้ทีแ่ ท้จริง

เมื่ออุปสงค์มวลรวมเพ่ิมสูงขึ้น แต่ปริมาณสินค้าและบริการของประเทศไม่สามารถทำให้
เพม่ิ ขนึ้ ได้ เนือ่ งจากอยใู่ นภาวะท่มี กี ารจา้ งงานเต็มท่ีแล้ว ผู้ขายจงึ ถือโอกาสขึ้นราคาสินค้า ซ่ึงจะส่งผลใหร้ ายได้
ทแ่ี ท้จรงิ ลดลง

สาเหตทุ ท่ี ำให้อปุ สงค์มวลรวมเพิ่มขึ้นอาจเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ ดังนี้
1) การเพิม่ ขึ้นของปัจจยั ท่เี ป็นองคป์ ระกอบของรายจ่ายประชาชาติ กลา่ วคือ ผู้ผลิตคาดว่า
เศรษฐกิจไม่ดี จึงทำให้แข่งขันกันลงทุนเพ่ิมข้ึน หรือประชาชนใช้จ่ายเพ่ือการบริโภคเพิ่มขึ้น การออมลดลง
หรือรัฐบาลใช้จ่ายเพิ่มขึ้น งบประมาณของรัฐบาลจะเป็นแบบขาดดุล หรือประเทศสามารถส่งออกสินค้าไป
จำหน่ายตา่ งประเทศไดม้ ากขน้ึ ราคาสินคา้ ในตลาดโลกสงู ข้นึ ทำใหร้ ายได้สุทธิจากการสง่ ออกเพม่ิ ข้ึน

4

ผลของการเพ่ิมข้ึนของปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้อุปสงค์มวลรวมเพ่ิมข้ึนอย่างมาก โดยที่ประเทศไม่สามารถ
ขยายการผลิตสินค้าและบริการเพมิ่ ขึ้นได้ ก็จะส่งผลให้ราคาสงู ขึ้นแตเ่ พียงอย่างเดยี ว

2) การเพ่ิมขึ้นของปริมาณเงิน กล่าวคือ ปริมาณเงินในมือของประชาชนจะเพิ่มข้ึน
เนือ่ งจาก ธนาคารกลางเพิ่มปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ หรือธนาคารกลางรับซ้ือคืนพันธบตั รจากประชาชน
หรือ ธนาคารพาณิชยแ์ ข่งขนั กันปลอ่ ยสินเช่ือให้ภาคเอกชน เมื่อปริมาณเงินในมือประชาชนเพิ่มขนึ้ ทำให้ การ
ใช้จ่ายรวมเพิ่มขึ้น โดยท่ีประเทศไม่สามารถเพิ่มปริมาณการผลิตสินค้าและบริการได้ ราคาสนิ ค้าจึงสูงข้ึน เกิด
ภาวะเงินเฟ้อในท่สี ุด

2. เงนิ เฟ้อที่เกิดจากแรงผลกั ดันทางด้านอุปทาน หรืออาจเรียกไดอ้ ีกอย่างหนง่ึ วา่ “เงนิ เฟ้อ
ท่ีเกิดจากต้นทุนการผลิต (Cost Push Inflation)” เป็นเงินเฟ้อท่ีเกิดจากต้นทุนการผลิตเพ่ิมขึ้น เมื่อต้นทุน
การผลิตเพ่ิมขึน้ เช่น แรงงานเรยี กร้องค่าจ้างแรงงานเพิม่ ข้นึ ทำใหอ้ ัตราค่าจา้ งแรงงานถูกกำหนดข้ึน โดยมิได้
เปน็ ไปตามกฎของอปุ สงค์และอุปทาน หรือกรณีที่กลมุ่ โอเปกขึ้นราคาน้ำมัน เปน็ ต้น ผผู้ ลิต อาจลดปริมาณการ
ผลติ สินค้าและบริการลง หรือทำการผลิตเทา่ เดมิ แต่เพม่ิ ราคาสินค้าและบรกิ ารให้สงู ข้นึ ทำให้ราคาสินค้าและ
บริการโดยทั่ว ๆ ไปสูงขึ้นอยา่ งรวดเร็ว จนเกดิ อุปสงค์ส่วนเกนิ (Excess Demand) ของสนิ ค้าและบริการ ทำ
ให้ระดับราคาสินคา้ และบรกิ ารโดยทั่วไปสูงขน้ึ จนเกิดภาวะเงนิ เฟ้อในที่สดุ
สาเหตทุ ่ีทำใหต้ น้ ทุนการผลติ สูงข้ึน อาจเนอ่ื งมาจากสาเหตใุ ดสาเหตุหนึ่งหรอื หลายสาเหตุ ประกอบกัน ดงั น้ี

1) ค่าจ้างแรงงานเพิ่มสูงขึ้น คือ ภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นเนื่องจากการที่สหพันธ์กรรมกร
เรียกร้อง ค่าจ้างแรงงานเพิ่มสูงขึ้น กล่าวคือ อัตราค่าจ้างแรงงานไม่ได้กำหนดข้ึนโดยกลไกของตลาดแรงงาน
แต่ถูก กำหนดข้ึนโดยบุคคลบางกลุ่ม เช่น สหพันธ์กรรมกร เป็นตน้ เมื่อสหพันธ์กรรมกรเรยี กร้องค่าจา้ งสูงข้ึน
ทำให้ต้นทุนในการผลิตสินค้าสูงข้ึน ผู้ผลิตจึงลดปริมาณการผลิตสินค้าลง ซ่ึงมีผลทำให้อุปทานมวลรวม ของ
สนิ คา้ ลดลง และระดับราคาสินค้าเพิ่มสงู ข้ึน

2) ผผู้ ลติ กำหนดส่วนของกำไรเพิม่ ข้ึน คือ ภาวะเงนิ เฟ้อที่เกิดจากการท่ผี ู้ผลิตกำหนดสว่ น
ของกำไร สูงข้ึน ภาวะเงินเฟ้อชนิดน้ีจะเกิดข้ึนได้ในตลาดสินค้าและบริการท่ีมีการแข่งขันไม่สมบูรณ์ โดยที่
ผู้ขายสินค้าสามารถ ที่จะกำหนดราคาสินค้าได้ ซ่ึงอาจเป็นไปได้ที่ผู้ผลิตจะบวกกำไรที่ต้องการเข้าไปในต้นทุน
การผลิต ทำให้ต้นทุน การผลิตสูงข้ึน การเพ่ิมขึ้นของต้นทุนการผลิต ทำให้อุปทานมวลรวมของสินค้าลดลง
และราคาสนิ คา้ เพิม่ สงู ข้นึ

3) การเพ่ิมข้ึนของราคาน้ำมันเช้ือเพลิง พลังงานและวัตถุดิบท่ีสำคัญ ต้นทุนการผลิตจะ
สูงข้ึน อย่างเห็นได้ชัด ในกรณีที่ราคานำมันเชื้อเพลิง ราคากระแสไฟฟ้า หรือราคาวัตถุดิบที่ต้องนำเข้าจาก
ต่างประเทศสูงขึ้นอย่างมาก เป็นผลจากราคาน้ำมันในตลาดโลกสงู ขึ้น หรืออัตราแลกเปล่ียนเปลี่ยนแปลง ทำ
ใหค้ ่าเงินสกุลของประเทศออ่ นตัวลงมากเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลของต่างประเทศ เหล่านลี้ ้วนมีผลทำให้ ต้นทุน
การผลิตสงู ขนึ้ ผผู้ ลิตจึงต้องเสนอขายสนิ ค้าในราคาที่สงู ขึน้

5

1.3 ประเภทของเงินเฟอ้
เงินเฟ้อไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุทางด้านอุปสงค์หรืออุปทานก็ตาม สามารถแบ่งออกได้ 3

ประเภท ดงั นี้
1. เงินเฟ้ออย่างอ่อน (Mild Inflation) เป็นภาวะที่ระดับราคาสินค้าโดยท่ัวไปค่อย ๆ

สูงขน้ึ ประมาณรอ้ ยละ 1 – 5 ต่อปี เงินเฟ้อในระดบั น้ถี ือวา่ เปน็ ผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศ เพราะในระยะน้ี
ราคาสินค้าและบริการเร่ิมสูงข้ึน จึงเป็นการกระตุ้นใหผ้ ู้ผลิตขยายการลงทุนมากข้ึน เม่ือมีการลงทุนมากขึ้น มี
การใช้ปัจจยั การผลติ เช่น การจ้างแรงงานทำงานมากข้ึน มีการกู้ยมื เงนิ มาลงทุนเพ่มิ ข้นึ มกี ารซื้อขาย วตั ถุดิบ
มากข้ึน จะเป็นผลให้ประชาชนมีงานทำและเจ้าของปัจจัยการผลิตมีรายได้มากข้ึน แต่อย่างไร ก็ตาม เมื่อ
ประเทศมีเงินเฟอ้ อยา่ งออ่ นเกิดขน้ึ รัฐบาลไมเ่ ขา้ ไปควบคมุ อาจเกิดเงนิ เฟ้ออย่างปานกลางได้

2. เงินเฟ้ออยา่ งปานกลาง (Moderate Inflation) เป็นภาวะทรี่ ะดับราคาสินค้าโดยทั่วไป
สูงขึ้น ประมาณรอ้ ยละ 6 – 20 ต่อปี เงินเฟ้อในระดับนี้จะทำให้ประชาชนเดือดร้อน ผู้บริโภคจะไมเ่ ชื่อมั่นใน
ภาวะเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการกักตุนสนิ ค้า แรงงานเรียกร้องขอข้ึนค่าจา้ ง จนนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง
ในท่สี ุด

3. เงินเฟ้ออย่างรุนแรง (Hyper Inflation) เป็นภาวะที่ระดับราคาสินค้าโดยทั่วไปสูงขึ้น
อย่างรวดเรว็ มาก อาจเกินกว่าร้อยละ 20 ตอ่ ปี หรืออาจมากถงึ 100 เปอร์เซน็ ตก์ ็ได้ ส่วนใหญ่มักจะเกิดขึน้ ใน
ภาวะสงคราม ซ่ึงเงินเฟอ้ ในระดบั นจ้ี ะทำให้เศรษฐกิจชะงักงันและอาจนำความเสียหายมาสปู่ ระเทศได้

1.4 ผลกระทบของเงินเฟอ้
เมอื่ เกิดภาวะเงินเฟ้อ จะมผี ลกระทบต่อหน่วยเศรษฐกจิ ในลกั ษณะต่าง ๆ กนั และผลกระทบ

จะมีมากน้อยเพียงใด ข้นึ อยู่กับการคาดคะเนเกยี่ วกับเงินเฟ้อทจี่ ะเกิดข้ึน ถ้าหน่วยเศรษฐกิจคาดคะเนเงนิ เฟ้อ
ได้ถูกต้อง ผลกระทบของเงินเฟ้ออาจจะไม่ก่อให้เกิดปัญหารุนแรงนัก เพราะว่าหน่วยเศรษฐกิจอาจจะหา วิธี
ป้องกันความสญู เสียที่อาจจะเกดิ ขึ้นจากภาวะเงนิ เฟ้อได้ ในทางตรงขา้ ม ถ้าการคาดคะเนเงนิ เฟ้อของ หน่วย
เศรษฐกิจผิดพลาด ผลกระทบของเงินเฟ้อจะมีมากจนเกิดการได้เปรียบเสียเปรียบขึ้น ดังนั้น ผลกระทบของ
เงินเฟ้ออาจจะเปน็ ไปได้ในลักษณะต่าง ๆ ดงั น้ี

1. อำนาจซ้ือของเงินลดลง เม่ือเกิดภาวะเงินเฟ้อ ราคาสินค้าสูงขึ้น อำนาจซ้ือของเงินจะ
ลดลง เช่นอัตราเงินเฟ้อเท่ากับรอ้ ยละ 10 เงิน 100 บาทจะมีอำนาจซ้ือลดลงเหลือเพียง 90 บาทเท่าน้ัน เม่ือ
การเกดิ เงินเฟ้อทำให้อำนาจซอ้ื ของเงนิ ลดลง ประชาชนจะรบี ใช้จ่ายเงินซื้อสินค้าและบรกิ ารต่างๆ จะยิ่งทำให้
อปุ สงคม์ วลรวมเพมิ่ ขนึ้ และทำใหเ้ กิดภาวะเงินเฟอ้ รุนแรงขนึ้ ไปอกี

2. การกระจายรายได้เหล่ือมล้ำ เม่ือเกิดเงนิ เฟ้อขึน้ ประชาชนท่ีไม่ไดค้ าดการณ์ล่วงหน้า จะ
ทำให้ บุคคลบางกลุ่มได้ประโยชน์ ในขณะท่ีบุคคลบางกลุ่มจะเสียประโยชน์ การกระจายรายได้จะเหลื่อมล้ำ
มากขึน้ กลมุ่ บคุ คลท่ีได้รบั ประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้แก่ กลุ่มบุคคลที่ได้รบั รายได้ทเี่ ป็นตัวเงินสูงขึ้นในอัตรา ที่
สงู กว่าอตั ราเงินเฟ้อ เช่น ผู้ผลิต ผู้เก็งกำไร ซึง่ ได้รับผลตอบแทนทีเ่ ป็นตัวเงินค่อนขา้ งสูง ผู้กักตนุ สินค้า ไว้ขาย
เพ่ือเก็งกำไร ในขณะท่ีอัตราเงินเฟ้อเท่ากบั ร้อยละ 10 ต่อปีเท่าน้นั ผู้ที่เป็นลูกหนี้ทไี่ ด้ทำสัญญากยู้ ืมระยะยาวท่ี
ไดก้ ำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้แล้ว หากภายหลังเศรษฐกิจเกดิ เงนิ เฟ้อ อตั ราดอกเบีย้ และคา่ เช่า ในตลาดสงู ขนึ้ แต่

6

สัญญากู้ยืมหรือสัญญาเช่ายังคงเดิม ลูกหน้ีและผู้เช่าจะได้รับประโยชน์ เนื่องจาก จำนวนเงินท่ีต้องชำระได้
กำหนดไว้ตายตัวน้ันจะต่ำกว่าราคาตลาด และยังได้รับประโยชน์จากกรณีท่ีอำนาจซื้อของเงินลดลง จึง
เปรยี บเสมือนว่าลูกหนหี้ รือผ้เู ชา่ เสียคา่ ใช้จา่ ยที่แทจ้ ริงต่ำลง

กลุ่มบุคคลที่เสียประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ได้แก่ กลุ่มบุคคลที่ได้รับรายได้ท่ีเป็นตัวเงินคงที่
หรือ เพม่ิ ข้นึ ในอัตราทีต่ ่ำกว่าอตั ราเงนิ เฟอ้ เชน่ ผูท้ ไี่ ด้รบั เงนิ บำนาญเป็นรายเดอื น ผู้ใหเ้ ช่าอสังหาริมทรัพย์ที่ได้
ทำสญั ญาเช่าระยะยาวไว้โดยไม่สามารถเปลีย่ นแปลงอัตราค่าเช่าได้ หรือเจ้าหนีไ้ ม่สามารถปรับอัตราดอกเบ้ีย
ให้สูงข้ึนได้ เพราะสัญญากู้ยืมยังไม่ครบกำหนด ผู้ท่ีอาศัยรายได้จากดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ผู้ท่ีออมโดยการ
ถือเงินสดหรือเงินฝากธนาคาร แรงงานและข้าราชการอาจจะได้รับการปรับค่าแรงและเงินเดือนสูงขึ้น แต่
คอ่ นข้างล่าชา้ และได้รับการปรับในอัตราที่ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อ กลุ่มบุคคลเหล่าน้ันก็ยังเสียประโยชน์ เพราะ
รายได้ทแ่ี ทจ้ รงิ ต่ำลง

ดังน้ัน เม่ือเกิดเงินเฟ้อที่ไม่ได้คาดการณ์ล่วงหน้า ทำให้การกระจายรายได้เหลื่อมล้ำกันมาก
ขึน้ เพราะกลุม่ บุคคลทีไ่ ด้รับประโยชน์สว่ นใหญ่เป็นกลุ่มบคุ คลท่ีมฐี านะดี มอี ำนาจการต่อรองสงู ในขณะท่ีกลุ่ม
บุคคลทเี่ สียประโยชนเ์ ปน็ บุคคลท่ีคอ่ นข้างมีฐานะยากจน ขาดอำนาจการตอ่ รอง ผลของ เงินเฟ้อจึงย่ิงทำใหค้ น
รวยท่ีมีทรัพยส์ ินมากยงิ่ รวยข้ึน แตค่ นจนผู้ด้อยโอกาสจะยิง่ จนลง

3. อัตราดอกเบี้ยท่ีเป็นตัวเงินสูงขึ้น เมื่อเกิดเงินเฟ้อ อัตราดอกเบ้ียท่ีเป็นตัวเงินจะสูงข้ึน
เพราะ ผู้ออมต้องปกป้องตนเองไม่ให้ได้รับความเสียหายจากการสูญเสียอำนาจซื้อของเงิน จึงต้องเรียกร้อง
ดอกเบี้ย ในอัตราท่ีสูงขึ้นเป็นการชดเชย หรือผู้ออมจะหันไปออมทรัพย์ในรูปอ่ืน เช่น การนำเงินไปซ้ือท่ีดิน
เคร่ืองประดับ ทม่ี คี ่าหรือทองคำ ทำใหก้ ารออมในรูปตวั เงนิ ลดลง และย่งิ ทำให้อัตราดอกเบี้ยที่เปน็ ตวั เงนิ สูงข้ึน
อีก

4. ผลที่มีต่อการคลังของรัฐบาล เมือ่ เกิดเงนิ เฟ้อ รายได้ท่เี ปน็ ตวั เงินของประชาชนท่ัว ๆ ไป
สูงขึ้น การใช้จ่ายซ้ือสินค้าและบรกิ ารมีมากขึ้น รฐั บาลจัดเก็บภาษีรายไดแ้ ละภาษีมลู ค่าเพิม่ ตลอดจนภาษีอ่ืน
ๆ ได้มากขึ้น ถ้ารัฐบาลจัดเก็บภาษีเงินได้ส่วนบุคคลและภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราก้าวหน้า รายได้ของ
รัฐบาลจากการเก็บภาษีจะยิ่งสูงขึ้น ส่วนทางด้านรายจ่ายของรัฐบาลนี้ รายจ่ายบางประเภทอาจจะลดลงได้
เช่น รายจ่ายท่ีจ่ายให้กับคนว่างงาน รายจ่ายในการพยุงราคาสินค้าบางชนิด รายจ่ายบางประเภท อาจจะ
เพิ่มขึ้นคอ่ นข้างต่ำกว่าอตั ราเงินเฟ้อ เช่น รายจ่ายเงินเดือนข้าราชการและลกู จ้าง แต่อย่างไรกต็ าม รฐั บาลยัง
ไดร้ ับประโยชน์จากการทอี่ ำนาจซื้อของเงินลดลง ฐานะการคลังรัฐบาลจะดขี ึ้น ในกรณีท่ีรัฐบาล เป็นต้นเหตุท่ี
ทำให้เกิดเงินเฟ้อ กล่าวคือ รัฐบาลใช้จ่ายเพิ่มมากข้ึน โดยการกู้ยืมเงินจากประชาชนมาใช้จ่าย ทำให้อุปสงค์
มวลรวมเพิม่ ขน้ึ มาก ราคาสินค้าจะสงู ข้ึน เกิดเงินเฟ้อ ทำให้อำนาจซ้ือของเงินลดลง เงินท่ี ประชาชนถือไวจ้ ะมี
อำนาจซอื้ ลดลง ประชาชนจึงเป็นผสู้ ูญเสีย ในขณะทรี่ ัฐบาลไดร้ ับประโยชนเ์ พราะ ได้เงินมาใช้จ่าย การสูญเสีย
อำนาจซื้อของประชาชนให้แก่รัฐบาล เปรียบเสมือนว่าประชาชนเสียภาษีให้รัฐบาล จึงเรียกว่าภาษีเงินเฟ้อ
ดังนนั้ เงนิ เฟอ้ ท่เี กดิ จากรัฐบาลเปน็ ต้นเหตุน้ียง่ิ ทำใหร้ ฐั บาลได้รบั ประโยชน์มากยิ่งขน้ึ

5. ผลท่ีมีต่อดลุ การชำระเงินของประเทศ ถ้าหากเกิดเงินเฟ้อขึ้นในประเทศใดประเทศหนึ่ง
โดยท่ีระดับราคาสินค้าในประเทศอื่น ๆ ค่อนข้างคงที่หรือเพิ่มข้ึนน้อยกว่า จะมีผลทำให้ระดับราคาสินค้า ใน

7

ประเทศนั้นโดยเปรียบเทียบแล้วสงู กว่าระดับราคาสินค้าในประเทศอ่ืน ๆ ทำให้การส่งออกของประเทศน้ัน มี
นอ้ ยลง และมีการนำเขา้ สินค้าจากตา่ งประเทศมากข้นึ ดังนน้ั เงินเฟอ้ จะมผี ลทำให้มกี ารลดลงในยอดสทุ ธิ ของ
สินคา้ และบริการที่ส่งออกไปจำหนา่ ยต่างประเทศ ซ่งึ จะสง่ ผลกระทบต่อดุลการชำระเงินของประเทศ โดยอาจ
ทำใหด้ ลุ การชำระเงนิ ขาดดลุ มากขึ้น หรือเกินดุลนอ้ ยลง

6. ผลท่มี ตี ่อเศรษฐกจิ และสังคมของประเทศ เมือ่ เกดิ ภาวะเงินเฟ้อจะทำให้ธุรกิจต่าง ๆ เกิด
ความไม่แน่ใจตอ่ สถานะเศรษฐกิจของประเทศ เพราะเงินเฟอ้ ไม่ได้เกิดขึ้นในอัตราที่สมำ่ เสมอ หนว่ ยธุรกิจ จะ
เกดิ ความลังเลใจทจ่ี ะลงทนุ เพราะจะต้องไดก้ ำไรอัตราที่สูงขึ้นถึงจะคมุ้ ค่าในการลงทนุ ดังน้นั หน่วยธุรกิจต่าง
ๆ อาจหนั ไปลงทนุ ในกิจกรรมท่ีไม่เป็นประโยชน์ในการพฒั นาทางเศรษฐกจิ ของประเทศ เช่น อาจจะลงทุน ใน
การเก็งกำไร กักตุนสินค้าซึ่งก่อให้เกิดปัญหาในการพัฒนาเศรษฐกิจและเกิดการว่างงานได้ นอกจากนี้
ประชาชนมักจะไม่ลงทุนในสินทรัพย์ระยะยาว เช่น พันธบัตรรัฐบาลหรือหุ้นกู้รัฐบาล การสะสมทุนจึงมีน้อย
อตั ราดอกเบ้ยี ในระยะยาวจะเพิม่ สงู ข้ึนและการลงทนุ จะมนี ้อยลง ทำให้อัตราการเจริญเตบิ โตทางเศรษฐกิจ ลด
นอ้ ยลงไปด้วย

สำหรับปัญหาทางด้านสังคม เม่ือระดับราคาสินค้าและบริการเพ่ิมสูงขึ้น ทำให้ผู้ท่ีมีรายได้
ประจำมีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่ายท่ีเพ่ิมขึ้น อาจจะก่อให้เกิดพลังผลักดันทางการเมือง มีการนัดหยุดงาน
เพ่ือเรียกร้องค่าจ้างแรงงานเพิ่มขึ้นและเงินเฟ้ออาจก่อให้เกิดปัญหาอาชญากรรมหรือสุขภาพจิตเสื่อมโทรม
เนื่องจากประชาชนมรี ายไดไ้ ม่เพียงพอกับรายจา่ ยทเ่ี พมิ่ ข้นึ

1.5 การแกป้ ญั หาเงนิ เฟอ้
1. เงนิ เฟ้อโดยมีสาเหตุมาจากอปุ สงค์มวลรวมเพิม่ ขึน้ รัฐบาลหรือธนาคารกลางอาจแกไ้ ขดงั นี้
1.1 นโยบายการเงิน ธนาคารกลางสามารถลดอุปสงค์มวลรวมได้โดยใช้นโยบายการเงิน

แบบเข้มงวด โดยการลดปริมาณเงินที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ เพื่อให้สภาพคล่องในตลาดลดลง ธนาคาร
กลางใช้มาตรการต่าง ๆ ในการลดปริมาณเงนิ ได้แก่ การเพม่ิ อตั ราเงนิ สดสำรอง ตามกฎหมาย เพื่อให้ธนาคาร
พาณิชย์สรา้ งเงินฝากไดน้ ้อยลง การเพ่ิมอัตราส่วนลดเพือ่ ใหธ้ นาคารพาณิชย์กู้เงนิ จากธนาคารกลางได้น้อยลง
และสามารถสร้างเงินฝากได้นอ้ ยลง การขายหลักทรพั ย์ของรัฐบาลเพื่อดึงเงิน ออกมาจากระบบเศรษฐกิจและ
การขอความรว่ มมือจากสถาบันการเงนิ อื่น ๆ ให้ลดการให้เครดิตและสินเชื่อ ซ่ึงมาตรการต่าง ๆ ท่ีกล่าวมาน้ี
จะมีผลทำให้ปริมาณเงินท่ีหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจลดลง การลดลงของ ปริมาณเงินจะมีผลทำให้อัตรา
ดอกเบี้ยสูงข้นึ เมือ่ อัตราดอกเบ้ียสูงขนึ้ การลงทุนจะลดลง เนอื่ งจากการลงทุน เปน็ ส่วนประกอบของอุปสงค์
มวลรวม ดังนั้นจะทำใหอ้ ุปสงคม์ วลรวมลดลงไปด้วย หรือการท่ีการลงทุน ลดลง ทำให้การจ้างงานลดลง ซ่ึงมี
ผลทำให้รายไดข้ องคนงานลดลง ดงั นั้นจะมีผลทำให้คา่ ใชจ้ า่ ยใน การซอื้ สินค้าและบริการลดนอ้ ยลงด้วย

1.2 นโยบายการคลัง รัฐบาลลดอุปสงค์มวลรวมโดยใช้นโยบายการคลังแบบหดตัว
กล่าวคือ รัฐบาลพยายามลดรายจ่าย หรือเพิ่มรายได้ของรัฐบาล หรือจัดทำงบประมาณรายจ่ายแบบเกินดุล
หรือ ลดการขาดดุลของงบประมาณ

ทางด้านรายจ่าย รัฐบาลควรหาทางลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น ลดรายจ่ายการลงทุนในบาง
โครงการ ที่สามารถยกเลิกได้ ในความเป็นจริง การลดรายจ่ายเป็นเร่ืองท่ียากมาก เพราะมีรายจ่ายหลาย

8

ประเภท ท่ีรัฐไม่สามารถลดลงได้ เช่น รายจ่ายเงินเดือนข้าราชการและลูกจ้าง รายจ่ายชำระค่าดอกเบี้ย
พนั ธบัตร รายจ่ายในการชำระหนี้ รายจา่ ยตามงบผกู พนั จากปีก่อน ๆ เปน็ ต้น การปรบั ลดงบประมาณรายจ่าย
จำเป็น ต้องใชเ้ วลานาน แตก่ ารลดรายจ่ายของรัฐบาลจะสง่ ผลให้อุปสงคม์ วลรวมลดลงได้ทันที

ทางด้านรายได้ รฐั บาลหาทางลดการใช้จ่ายของประชาชนโดยการเพ่ิมภาษี เชน่ ภาษเี งิน
ได้ ภาษี ทางอ้อม อาทิ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต เป็นต้น การเพ่ิมอัตราภาษีเงินได้ จะส่งผลให้รายได้
สทุ ธิ สว่ นบุคคลลดลง ทำให้การใช้จ่ายเพ่อื การบรโิ ภคลดลง ส่วนการเพ่ิมภาษีมูลค่าเพม่ิ หรือภาษีสรรพสามิต
จะทำให้สินค้ามีราคาสูงขึ้น ประชาชนจะซื้อสินค้าลดลง การใช้จ่ายมวลรวมของประชาชนลดลง ผู้ผลิต ขาย
สินค้าได้ลดลง เขาต้องลดราคาสินคา้ ลง และลดการใช้จ่ายเพื่อซือ้ สินค้ามากักตุนไว้ เพ่ือเก็งกำไร ผลของการ
ข้ึนภาษคี ือ ทำให้การใช้จา่ ยมวลรวมลดลง อุปสงค์มวลรวมลดลงและราคาสนิ ค้าลดลง แต่ในความเป็นจรงิ เมื่อ
เกิดเงินเฟอ้ สินคา้ มีราคาแพง ค่าครองชีพสูง ประชาชนเดือดร้อนมาก ถา้ รัฐบาล ข้นึ อัตราภาษี ประชาชนจะไม่
เหน็ ด้วยและอาจจะต่อตา้ นนโยบายของรัฐได้ เพื่อเป็นการชะลอการ เพ่ิมขึ้นของราคาสินค้า รฐั อาจจะตอ้ งลด
ภาษขี าเขา้ สินคา้ และวตั ถดุ บิ ทจ่ี ำเป็นจากตา่ งประเทศ เพอื่ ให้ สินคา้ จากตา่ งประเทศเข้ามาขายในประเทศมาก
ขึ้น เป็นการชะลอการเพิม่ ขน้ึ ของราคาสนิ คา้

จงึ กลา่ วไดว้ ่า การแก้ปัญหาเงินเฟอ้ รฐั บาลต้องดำเนินนโยบายการคลงั แบบหดตวั เพื่อลด
อุปสงคม์ วลรวมและลดปรมิ าณเงินที่หมนุ เวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจลง

2. เงินเฟ้อท่ีเกดิ จากแรงดนั ของต้นทุน
2.1 การใช้มาตรการควบคุมสินค้าโดยตรง เพ่ือไม่ให้ราคาสินค้าและบริก าร

ภายในประเทศ มรี าคาสงู มากเกนิ ไป โดยเฉพาะการควบคมุ ราคาสินคา้ จำเปน็ เพ่ือไม้ใหป้ ระชาชนเดือดรอ้ น
2.2 หากต้นทุนการผลติ สูงขึน้ เน่ืองจากขาดแคลนวัตถุดบิ ภายในประเทศ สนับสนนุ ให้มี

การนำเขา้ วตั ถดุ ิบหรอื ปัจจัยการผลติ ทีม่ ีตน้ ทนุ ไม่สงู เชน่ ลดอัตราภาษกี ารนำเข้า การนำเข้าทส่ี ะดวกและง่าย
หรือ ให้เงินอดุ หนุนวตั ถดุ บิ ท่ีจำเป็น เป็นตน้

2.3 การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต เพ่ือเพิ่มให้อุปทานมวลรวมหรือผลผลิตรวมของ
ประเทศ มากขึ้นให้เพียงพอกบั ความต้องการ หรืออุปสงคม์ วลรวมของประเทศจะทำให้ราคาสินค้าและบริการ
ปรับตวั ลดลงได้

2.4 การคิดค้นวิธีการใช้วัตถุดิบหรือปัจจัยการผลิตอ่ืนที่มีต้นทุนต่ำกว่าหรือมีปริมาณ
มากพอ มาทดแทนวัตถุดิบหรอื ปัจจัยการผลิตที่มีต้นทุนสูงกว่า หรือขาดแคลนกวา่ เพื่อเป็นการลดตน้ ทุนการ
ผลิต

9

2. เงนิ ฝดื

2.1 ความหมายของเงินฝืด
เงนิ ฝดื (Deflation) คือ ภาวะทีร่ ะดบั ราคาสินค้าและบรกิ ารโดยท่วั ๆ ไปลดลงเรือ่ ย ๆ และ

ตอ่ เน่อื ง ผลของภาวะเงินฝดื จะตรงขา้ มกบั ภาวะเงนิ เฟ้อ กล่าวคอื ผู้ทม่ี รี ายได้ประจำและเจา้ หน้ีจะไดร้ ับ
ประโยชน์ ส่วนพ่อค้า นักธรุ กิจและผถู้ ือหนุ้ จะเสียเปรยี บ ในภาวะเชน่ นีท้ ำใหผ้ ู้ผลิตขายสนิ ค้าไม่ออก การผลติ
การลงทนุ และการจ้างงานลดลง ทำให้เกิดการว่างงานเพ่ิมขึ้น การวัดการเปลี่ยนแปลงของระดบั ราคาจะใช้
ดัชนีราคา เปน็ ตวั ชวี้ ัดเช่นเดยี วกบั เงินเฟ้อ

2.2 สาเหตุทท่ี ำใหเ้ กดิ เงินฝืด
สาเหตุที่ทำให้เกิดเงินฝืดคือ ความต้องการซื้อสินค้าและบริการมีน้อยกว่าปริมาณสินค้าและ

บริการ ที่ผลิตได้ หรืออุปสงค์มวลรวมน้อยกว่าอุปทานมวลรวม (AD < AS) ซึ่งทำให้เกิดอุปทานส่วนเกิน
(Excess Supply) หรือสินค้าขายไม่ออก นอกจากนี้ยังส่งผลให้ธุรกิจลดปริมาณการผลิตลง เกิดปัญหาการ
ว่างงาน และทำให้ รายได้ประชาชาตลิ ดลงในทส่ี ดุ นน่ั คือ

ภาวะเงนิ ฝดื = AD<AS ราคาสนิ คา้ (P) การลงทนุ การว่างงาน

2.3 ผลของภาวะเงินฝืด
ภาวะเงินฝืด เป็นภาวะท่ีประชาชนมีความสามารถท่ีจะจ่ายเงินซื้อสินค้าและบริการได้น้อย

กว่าปริมาณ สินค้าและบรกิ ารทีม่ ีอยู่ เม่ือสินคา้ ท่ผี ลติ ได้ขายไม่ออก ผู้ผลิตจะตอ้ งลดราคาสินค้าและบริการจน
ขาดทุน หรือไดร้ ับกำไรน้อยลงไม่คุ้มกับทนุ ผู้ผลิตบางส่วนอาจเลิกการผลิตหรือลดปริมาณการผลิตลง จนเกิด
ปญั หา การว่างงานจำนวนมาก และเม่ือมีคนว่างงานจำนวนมาก คนเหล่านั้นไม่มีรายไดพ้ อที่จะจับจ่ายใช้สอย
ตามปกติได้ สินค้าและบริการที่ผลิตได้ก็จะขายไม่ออก ทำให้ระดับการผลติ และการจ้างงานลดตำ่ ลงไปอีก ใน
ภาวะเช่นน้ี รายได้ของคนสว่ นรวมจะลดตำ่ ลงกว่าเป้าหมายทร่ี ฐั บาลกำหนดไวใ้ นแผนพฒั นาประเทศ ภาวะเงิน
ฝดื จึงมผี ลกระทบต่อประชาชนแต่ละอาชพี ดงั นี้

1 เกษตรกร ในภาวะเงนิ ฝืด ราคาสนิ ค้าเกษตรกรรมจะลดลงอย่างรวดเรว็ กว่าสินค้าอย่างอ่ืน
เกษตรกรจงึ อย่ใู นฐานะเสียเปรยี บ เมื่อประเทศมภี าวะเงนิ ฝดื เกิดขึน้

2. พ่อค้าและนักธุรกิจ ในภาวะเงินฝืดที่เกิดจากประชาชนมีอำนาจซื้อต่ำลงจนสินค้าท่ีผลิต
ได้ ขายไม่ออก จนต้องลดราคาสินค้าให้ต่ำลง แต่ผูผ้ ลิตไม่สามารถจะลดต้นทุนการผลิตใหต้ ่ำลงได้ พ่อคา้ และ
นักธุรกจิ จึงเปน็ ผ้เู สียเปรียบ เพราะไดร้ ับกำไรน้อยลงหรอื บางรายอาจขาดทนุ จนต้องเลกิ กจิ การไป

3. ผู้มีรายได้ประจำเม่ือราคาสินค้าโดยทั่ วๆ ไปลดต่ำลงอำนาจซ้ือของประชาชนสูงข้ึนผู้มี
รายได้ประจำ เช่น ข้าราชการ ลูกจ้างคนงาน ผู้มีรายได้จากบำนาญ ผู้มีรายได้จากดอกเบ้ียพันธบัตรรัฐบาล
เป็นตน้ จะอย่ใู นฐานะไดเ้ ปรยี บ เพราะเงนิ ในปรมิ าณเทา่ เดิม แตเ่ ขาจะซอื้ สนิ คา้ ได้ในปรมิ าณทม่ี ากขนึ้

10

4. ลกู หน้ีและเจ้าหน้ี เมื่อราคาสินคา้ โดยทั่ว ๆ ไปลดต่ำลงและอำนาจซ้ือของประชาชนสูงข้ึน
นนั้ ลกู หน้จี ะเป็นฝ่ายเสียเปรยี บและเจา้ หนี้จะเปน็ ฝ่ายได้เปรียบ เพราะลกู หนีอ้ าจมรี ายไดน้ ้อยทำใหห้ าเงิน มา
ชำระหน้ยี ากขึน้ และคา่ ของเงนิ ท่ีจะนำมาชำระกส็ ูงขน้ึ

5. รัฐบาล ในภาวะเงินฝืด รัฐบาลอาจเก็บภาษีเพื่อพัฒนาประเทศได้น้อยลง แต่รฐั บาลอาจ
ต้อง ใช้จา่ ยเงินงบประมาณเพอ่ื แกป้ ญั หาการว่างงานมากขึน้ เพราะในภาวะเงนิ ฝืดจะมีการเลิกจา้ งงาน ทำให้มี
การว่างงานมากขึ้น เมื่อคนส่วนมากว่างงาน ไม่มีรายได้ ครัวเรือนยากจนเดือดร้อนและอาจมีผลกระทบต่อ
เสถียรภาพและความมัน่ คงของประเทศชาติ รัฐบาลจึงตอ้ งรีบแก้ไขปญั หาการวา่ งงานโดยเร็ว

2.4 การแกไ้ ขภาวะเงินฝืด
เม่ือเกดิ ภาวะเงนิ ฝดื สามารถแก้ไขได้ด้วยนโยบายการเงินและนโยบายการคลงั เช่นกนั เพราะ

นโยบาย ทงั้ สองนี้ นอกจากจะมมี าตรการในการลดการใชจ้ ่ายมวลรวมแล้ว (ในกรณแี ก้ไขภาวะเงนิ เฟอ้ ) กย็ งั มี
มาตรการในการชว่ ยใหก้ ารใช้จ่ายมวลรวมเพ่ิมข้ึน ซ่ึงสามารถขจัดอุปทานสว่ นเกินให้หมดไปได้ ภาวะเงนิ ฝดื ก็
จะสน้ิ สุดลง มาตรการทีแ่ ก้ไขภาวะเงินฝดื มดี งั นี้

1. การใช้มาตรการของนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสามารถเพิ่มอุปสงค์มวลรวมได้โดย
การใช้ นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย โดยการเพ่ิมปริมาณเงินที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจให้มากขึ้น
เพอื่ ให้ สภาพคลอ่ งในตลาดเพ่ิมข้ึน ธนาคารกลางสามารถใชม้ าตรการตา่ ง ๆ ในการเพม่ิ ปริมาณเงิน ไดแ้ ก่ การ
ลด อัตราเงินสดสำรองตามกฎหมาย เพ่ือให้ธนาคารพาณิชย์สร้างเงินฝากได้มากข้ึน การลดอัตราส่วนลด
เพ่ือให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยกู้ได้เพิ่มข้ึน การซื้อหลักทรัพย์ของรัฐบาลเพื่อเพิ่มปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ
และการขอความร่วมมือจากสถาบนั การเงินอื่น ๆ ให้เพ่ิมการให้เครดติ หรือสินเชื่อ ซ่ึงมาตรการต่าง ๆ จะมีผล
ทำให้ปริมาณเงินท่ีหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพ่ิมขึ้น การเพ่ิมปริมาณเงนิ จะมีผลทำให้อัตราดอกเบี้ยลดลง
เม่ืออัตราดอกเบีย้ ลดลง การลงทนุ จะเพิ่มขึน้ อุปสงคม์ วลรวมเพมิ่ ข้นึ หรือการทีก่ ารลงทุนเพมิ่ ข้นึ จะทำให้ การ
จ้างงานเพิ่มข้ึน ซึ่งมีผลทำให้รายได้ของคนงานเพ่ิมขึ้น ดังน้ัน จะมีผลทำให้ค่าใช้จ่ายในการซ้ือสินค้า และ
บรกิ ารเพ่ิมขน้ึ ด้วย

2. การใช้มาตรการของนโยบายการคลัง รัฐบาลสามารถแก้ปัญหาเงินฝืดด้วยการเพิ่มอุป
สงค์ มวลรวมโดยใช้นโยบายการคลังแบบผ่อนคลาย กลา่ วคือ รฐั บาลสามารถเพ่ิมรายจ่ายหรือลดรายได้ของ
รัฐบาลลง หรือจดั ทำงบประมาณแบบขาดดุล ทางด้านรายจ่าย รัฐบาลควรเพ่ิมรายจา่ ยของรฐั บาล จะส่งผลให้
อปุ สงคม์ วลรวมเพิ่มขึ้นได้ทันที หรือรัฐบาลอาจเพิ่มการใช้จ่ายของประชาชนได้โดยการลดภาษี เช่น ภาษเี งิน
ได้ ภาษีทางอ้อม เป็นต้น การลดอัตราภาษีเงินได้จะส่งผลให้รายได้สุทธิส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น ทำให้การใช้จ่าย
เพื่อการบรโิ ภคเพิ่มขึ้น การลดภาษีสรรพสามิตจะทำให้สนิ ค้ามีราคาถูกลง ประชาชนจะซือ้ สินคา้ เพ่มิ ขึ้น ทำให้
การใช้จ่ายของประชาชนเพ่ิมขนึ้ ผ้ผู ลิตสามารถขายสินค้าได้เพ่ิมข้ึน ผลของการลดภาษี คือ ทำให้ การใช้จ่าย
มวลรวมเพิ่มขึ้น อุปสงค์มวลรวมเพิ่มข้ึน และราคาสินค้าเพ่ิมข้ึน ซ่ึงจูงใจให้ผู้ผลิตผลิตสินค้า เพ่ือตอบสนอง
ความต้องการของผู้บรโิ ภคไดม้ ากข้นึ

11

3. การว่างงาน

3.1 ความหมายของการวา่ งงาน
การว่างงาน หมายถึง การท่ีบุคคลซ่ึงอยู่ในวัยทำงานหรอื มีอายุ 15 ปีข้ึนไป มีความสามารถ

ทจี่ ะทำงานและต้องการทำงาน แต่ไม่ได้รับการว่าจ้างให้ทำงาน หรือรอฤดูกาลเพาะปลกู ใหม่ หรอื รองานใหม่
หรือไม่สามารถหางานท่เี หมาะสมกบั ตนเองได้ เปน็ ต้น จึงทำให้ไม่มงี านทำ การว่างงานก่อให้เกิดผลกระทบ ที่
สำคัญต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เพราะว่าการว่างงานจะก่อให้เกิดความสญู เสียทางเศรษฐกิจ เพราะ
แรงงานไมไ่ ด้ถกู นำมาใชใ้ นการผลติ อยา่ งเต็มท่ี นอกจากนี้ การวา่ งงานยังทำให้แรงงานท่วี า่ งงานต้องขาดรายได้
ทจ่ี ำเป็นในการยังชีพ ซึ่งมีผลทำให้การกระจายรายได้เหล่ือมล้ำมากขึ้น และยังก่อให้เกดิ ปัญหาทางสังคมอีก
ดว้ ย

3.2 ประเภทของการวา่ งงาน
การจำแนกประเภทของการว่างงานจะช่วยใหเ้ กดิ ความเข้าใจถึงสาเหตุของการว่างงานไดม้ าก

ข้นึ และสามารถหามาตรการทเ่ี หมาะสมมาแก้ปัญหาการว่างงานน้ัน ๆ ได้ การว่างงานสามารถจำแนกออกได้
ดังนี้

1. การว่างงานเนื่องจากวัฏจักรเศรษฐกิจ การว่างงานประเภทนี้เกิดข้ึนเน่ืองจากอุปสงค์
มวลรวม มีไม่เพียงพอที่จะก่อให้เกิดงานจำนวนมากพอท่ีจ้างแรงงานท้ังหมด กล่าวคือ ณ ค่าจ้างท่ีเป็นอยู่ใน
ขณะนั้น จำนวนผู้ว่างงานจะมีมากกว่าจำนวนตำแหน่งงานท่ีว่าง การว่างงานประเภทน้ีจะเกิดข้ึนในช่วง
เศรษฐกิจตกต่ำอำนาจซื้อของประชาชนน้อยลง สินค้าที่ผลิตได้ขายไม่ออก ผู้ผลิตจะลดการผลิตพร้อมกับลด
ค่าใช้จ่าย ต่าง ๆ ลงรวมท้ังการเลิกจ้างแรงงานบางส่วน ทำให้แรงงานบางส่วนต้องว่างงาน การว่างงานน้ี
บางคร้ังเรยี กว่า การว่างงานเพราะอปุ สงคม์ วลรวมมีไม่เพียงพอ

2. การว่างงานช่ัวคราว การว่างงานประเภทน้ีเกิ ดขึ้ นเน่ื องจากการที่ คนงานไม่มีข้อมูล
เกีย่ วกบั ตลาดแรงงานเพียงพอ ทั้ง ๆ ท่ีมีตำแหนง่ งานวา่ งในตลาดแรงงาน แต่คนงานซ่ึงมีคุณสมบตั ิเหมาะสม
และมีความต้องการทำงานกลับหางานทำไม่ได้ ณ ค่าจ้างท่ีเป็นอยู่ การท่ีคนงาน ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับ
ตลาดแรงงาน พอเพียง ทำให้คนงานไม่รู้ว่าแหล่งใดต้องการรบั คนงานเข้าทำงานบา้ ง หรือบางท่ีคนงานรู้แหล่ง
ท่ีจะมีงานให้ทำ แต่ไม่สามารถโยกย้ายไปได้เพราะขาดค่าใช้จ่ายในการโยกย้าย หรืออยู่ระหว่างการเจ็บป่วย
หรืออาจ อยู่ระหว่างการโยกย้ายไปทำงานในแหล่งใหม่ หรืออาจต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควรกว่าท่ีจะ
บรรลใุ น ตำแหน่งใหม่ได้ สาเหตตุ ่าง ๆ เหลา่ นท้ี ำใหเ้ กิดการวา่ งงานชั่วคราวได้

3. การว่างงานตามฤดูกาล การว่างงานประเภทน้ีเกิดขึ้นเนื่องจากการผลิตสินค้าบางชนิด
ต้องทำการผลิตเป็นฤดูกาล เน่ืองจากการผลิตสินค้าดังกล่าวถูกกำหนดโดยอิทธิพลของสภาพภูมิอากาศ เช่น
การผลิตทางการเกษตร การก่อสร้าง เป็นต้น ในช่วงระยะเวลาที่สภาพดินฟ้าอากาศอำนวย การผลิตก็จะ
ดำเนินไปด้วยดี แต่ในระยะท่ีส้ินสุดฤดูการผลิต เช่น เม่ือสิ้นฤดูกาลการทำนา การผลิตทางการเกษตรจะ
น้อยลง หรือเม่ืออยู่ในช่วงฤดูฝน การก่อสร้างก็อาจมีน้อยลง ดังน้ัน จึงทำให้การจ้างงานลดน้อยลง และ
จำนวนคนวา่ งงานกจ็ ะเพม่ิ มากข้ึน

12

4. การว่างงานเน่ืองจากโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจ การว่างงานประเภทนี้เกิดขึ้นจาก
หลาย ๆ ปัจจัย เช่น การเปลี่ยนแปลงในรสนิยมของผู้บริโภค การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีการผลิต การ
เพิ่มข้ึนของประชากร เป็นต้น กล่าวคือ เม่ือรสนิยมของผู้บริโภคเปล่ียนแปลงจากสินค้าที่เคยใช้อยู่เดิม ไปยัง
สนิ ค้าชนิดใหม่ ทำใหก้ ารผลติ สนิ ค้าชนิดเดิมและการจา้ งงานต้องลดลง คนงานทีเ่ คยทำงานอยู่ใน อตุ สาหกรรม
เหล่าน้ันต้องกลายเป็นคนว่างงาน แม้ว่าอตุ สาหกรรมท่ีผลิตสินค้าชนิดใหม่จะขยายตัวแต่คนงานเหล่านั้นอาจ
ไม่มีความสามารถท่ีจะทำงานในอุตสาหกรรมใหม่ได้ เพราะขาดความรู้และความชำนาญในด้านการผลิต จึง
ต้องกลายเปน็ คนวา่ งงานในที่สดุ การเปล่ียนแปลงทางเทคโนโลยีการผลติ ทำให้ การผลิตสินค้าตอ้ งใชค้ นงานที่
มคี วามชำนาญ หรือมีฝีมือในการผลติ ดังนนั้ คนงานทีค่ ุ้นเคยกับการผลติ ที่ใช้เทคโนโลยกี ารผลิตสมัยเกา่ อาจ
ไม่มีความสามารถที่จะทำการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่ได้ ก็จะต้องถูกปลดออกจากงานจน
กลายเป็นคนว่างงาน การเพิ่มขึ้นของประชากรก็มีผลกระทบต่อ การว่างงานเช่นเดียวกัน กล่าวคือ ถ้าอัตรา
การเพิ่มขึ้นของประชากรสูงกว่าอัตราการเพ่ิมขน้ึ ของการจ้างงาน อัตราการว่างงานก็จะเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้
การว่างงานประเภทนี้อาจจะเกดิ ขึน้ จากการกีดกนั ทางดา้ น เพศ ผิว เชื้อชาติ ทำให้การเคล่ือนยา้ ยแรงงานจาก
ทอ้ งถนิ่ หนึ่งไปสู่อกี ท้องถ่ินหนง่ึ ทำให้ในบางท้องที่ หรือบางอาชพี ขาดแคลนแรงงาน แต่ในบางท้องทีห่ รอื บาง
อาชพี มีการว่างงานเกดิ ขน้ึ

5. การว่างงานแอบแฝง การว่างงานประเภทน้ีส่วนมากเกิดขึ้นในประเทศท่ีมีประชากร
หนาแน่น หรื อในระบบของการผลิตทางการเกษตร ซึ่งมีคนงานมากเกินความจำเป็นการว่างงานประเภทนี้
โดยปกติ จะไม่แสดงออกใหเ้ ห็นว่ามกี ารว่างงาน แต่จะดเู สมอื นว่าทุกคนมีงานทำ คือ ทกุ คนตา่ งช่วยกนั ทำงาน
แต่ถา้ มีการโยกย้ายคนงานออกจำนวนหน่งึ แล้วผลผลิตรวมท่ีได้ยงั คงเท่าเดมิ แสดงวา่ คนงานทโ่ี ยกย้าย ออกมา
มิได้ช่วยเพ่ิมผลผลิตแต่อย่างใดเลย หรือมีผลิตผลทางกายภาพหน่วยสุดท้ายเท่ากับศูนย์ เท่ากับว่า มีการ
ว่างงานประเภทแอบแฝงเกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น ครอบครวั ชาวนาครอบครวั หนึ่ง มีสมาชิกในครอบครวั ท่ี อยู่ใน
วัยทำงาน 5 คน ต่างช่วยกันปลูกข้าวในผืนที่นาของตน ได้ข้าวปีละ 7 เกวยี น ต่อมาสมาชิกในครอบครัว 2 คน
ยา้ ยเข้าไปทำงานในตัวเมอื ง ทำให้เหลือสมาชิกในครอบครัวท่ีทำการปลกู ข้าวเพียง 3 คน แต่ก็ยังคง ปลูกข้าว
ได้ปีละ 7 เกวียนเชน่ เดิม ถ้าเป็นเช่นน้ีก็แสดงว่า การปลูกข้าวในผืนที่นาแปลงนน้ั โดยใชค้ นงาน 5 คนนั้นมาก
เกินไป เพราะมคี นงาน 2 คนท่ีมิได้ชว่ ยทำให้ผลผลิตเพิ่มสูงข้ึน ดังน้ัน เท่ากับว่ามีคนที่ว่างงาน แอบแฝงอยู่ 2
คน

3.3 ผลกระทบของการวา่ งงาน
การว่างงานก่อให้เกิดผลเสียท้ังในแง่ของบุคคลท่ีว่างงานและในแง่เศรษฐกิจส่วนรวม ผลเสีย

ตอ่ เศรษฐกิจสว่ นรวม สรปุ ได้ดังนี้
1. การกระจายรายได้เหลื่อมลำ้ เมื่อมกี ารวา่ งงานเกิดขึ้น ผู้ท่ีได้รับความเดอื ดรอ้ นโดยตรงคือ

บุคคลท่ีไม่มีทักษะหรือไม่มีความชำนาญพิเศษ ซ่ึงมักจะถูกปลดจากงานก่อนบุคคลท่ีมีความรู้หรือมีทักษะ
บุคคลทเ่ี ป็นแรงงานรับจ้างในโรงงานอุตสาหกรรมซ่ึงต้องปิดโรงงานหรือกจิ การ เปน็ ตน้ บุคคลเหล่านี้ เป็นผู้ท่ี
ยากจน และมรี ายได้จากการทำงานเทา่ นั้น ดังน้ัน เมื่อถูกปลดออกจากงาน ทำใหข้ าดรายได้ท่ีจะ เล้ียงดตู นเอง
และครอบครัว จึงย่ิงมีฐานะยากจนยิ่งขึ้นและเดือดร้อนย่ิงกว่าบุคคลท่ียังพอมีรายได้จาก ทรัพย์สินบ้าง เช่น

13

รายได้จากดอกเบี้ย รายได้จากอสงั หาริมทรัพย์ เป็นตน้ ผวู้ า่ งงานท่ีไม่มรี ายได้จากทางอน่ื จึงจำเป็นตอ้ งก่อหน้ี
เพ่ือการบริโภคและถ้าวา่ งงานนานภาระหนีส้ ินอาจจะสงู มาก โอกาสทจี่ ะหลดุ พ้น จากความยากจนจงึ ค่อนขา้ ง
น้อย ผู้ที่มฐี านะยากจนเม่ือกลายเป็นผูว้ ่างงาน จึงยงิ่ ทำให้ฐานะยากจนลงไปอีก คนจนยิง่ จนมากขึ้น จึงยิ่งทำ
ให้การกระจายรายไดเ้ หล่ือมลำ้ กันมากขึ้น

2. การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรแรงงาน เม่ือเกิดการว่างงาน ทำให้ประเทศไมส่ ามารถใช้
ทรัพยากรแรงงานท่ีประเทศมีอยู่ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างเต็มท่ีและเมื่อได้คำนึงถึงการท่ีว่า บุคคล ได้
เจริญเติบโตจนมีอายุอยใู่ นวัยทำงานมสี ุขภาพดแี ละมคี วามสามารถทจี่ ะทำงานได้ทั้งเอกชนและรฐั บาล จะต้อง
เสียค่าใช้จ่ายอย่างมากในการให้การศึกษาและฝึกอบรมต่าง ๆ ซึ่งนับว่าเปน็ การลงทุนในทรพั ยากรมนุษย์ แต่
เม่ือบุคคลนั้นกลายเป็นคนวา่ งงานไม่มงี านทำไม่ได้ใช้ความรู้ความสามารถของตนให้เกิดประโยชน์แก่ ตนเอง
และประเทศชาติแล้ว ก็นับได้ว่าเอกชนและประเทศไม่ได้รับประโยชน์จากการลงทุนดังกล่าว หรือ ได้รับ
ประโยชน์น้อยกว่าทคี่ วรจะเปน็

3. การกอ่ ให้เกิดปัญหาสังคมต่าง ๆ เมื่อบุคคลว่างงานไม่มีรายได้จะต้องดิ้นรนหาเงินมาใช้
จ่ายด้วยวิธีการต่าง ๆ อาจไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น การลักขโมย การปล้นจ้ีชิงทรัพย์ การค้าขายสิ่งผิด
กฎหมาย การหลอกลวง เป็นต้น ทำให้เกิดปัญหาอาชญากรรมต่าง ๆ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมี
น้อยลง บุคคลที่ว่างงานจะมีภาวะความเครียดทางด้านจิตใจ สูญเสียความเชื่อม่ันและยังก่อให้เกิดปัญหา
ครอบครัว เมื่อไม่สามารถเลี้ยงดูสมาชิกในครอบครัวได้ ทำให้เกิดภาวะครอบครัวแตกแยกเมื่อพ่อแม่ต้อง
เดินทางไป หางานทำที่อ่ืน ทิ้งบุตรหลานให้อยู่กับญาติพี่น้อง ทำให้ขาดความอบอุ่น มีพฤติกรรมก้าวร้าว เกิด
ปัญหา ติดยาเสพติด หลงผิดในอบายมุขตา่ ง ๆ ซึ่งทำใหเ้ ด็กเหล่านั้นเตบิ โตเปน็ ผู้ใหญ่ท่มี ีปัญหา ดังน้ัน ปัญหา
การว่างงานในอตั ราสงู และเปน็ เวลานาน จึงก่อให้เกดิ ปญั หาสงั คมตามมาอีกมากมาย

4. ฐานะการคลังของรัฐบาลเลวลง เมื่อรายได้ที่แท้จริงของประเทศลดลง เพราะคนวา่ งงาน
มากขึ้น รัฐบาลจะเก็บภาษีเงินได้ได้ลดลง ไม่วา่ จะเป็นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือภาษีเงินได้นิติบุคคล ใน
ภาวะ ที่มีคนว่างงานมาก การใช้จ่ายเพ่ือการบริโภคจะลดลง ทำให้รัฐบาลจัดเก็บภาษีชนิดอื่น ๆ ได้ลดลง
เช่นกัน เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต เป็นต้น รายได้จากภาษีอากรของรัฐจึงลดลงมาก แต่รัฐบาล
จะต้อง มีรายจ่ายเพ่ิมข้ึนในการช่วยเหลือผู้ท่ีว่างงาน รายจ่ายสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อยและรายจ่ายในการ
รกั ษาความสงบเรียบร้อยในประเทศ เช่น รายจ่ายเพื่อการปราบปรามอาชญากรรม การกระทำท่ีผิดกฎหมาย
เป็นต้น งบประมาณของรฐั จึงอาจเป็นงบประมาณขาดดุล ทำให้รัฐบาลต้องกู้ยืมเงินมาใช้จ่าย ตามงบประมาณ
ซึ่งถ้าการว่างงานเป็นปัญหาท่ีรุนแรงและยืดเย้ือยาวนาน รัฐบาลอาจจำเป็นต้องกู้ยืมมา ใช้จ่ายแทบทุก
ปงี บประมาณ ก็จะสง่ ผลใหห้ นขี้ องรฐั บาลเพ่มิ พูนข้ึน อนั เป็นภาระทีต่ อ้ งชดใช้ต่อไป

5. การส่ันคลอนในเสถียรภาพของรัฐบาล การท่ีประชาชนว่างงานมาก รัฐบาลต้อง
แกป้ ัญหา การว่างงาน แต่ถ้ารัฐบาลไมส่ ามารถแก้ปัญหาการวา่ งงานได้ จะเกิดปญั หาต่าง ๆ ทางสงั คมทร่ี นุ แรง
มากข้ึน อาจจะทำให้ประชาชนไมพ่ อใจการบริหารประเทศของรัฐบาล อาจจะทำให้มีการประท้วงรฐั บาล หรือ
เรยี กรอ้ งให้รฐั บาลลาออก จนถงึ ขัน้ ขบั ไลร่ ัฐบาล ทำใหต้ ้องมกี ารเปลี่ยนแปลงรัฐบาลก็ได้

14

6. การบรโิ ภคและการลงทุนลดลง เม่ืออัตราการว่างงานสูงข้ึน รายได้ของแรงงานลดลง ทำ
ใหค้ นท่ีว่างงานเหลา่ นั้นต้องลดรายจา่ ยในการบรโิ ภคและความสามารถในการออมก็ลดลง เมอื่ รายจ่ายใน การ
บริโภคลดลง ก็จะมีผลทำให้ปริมาณสินค้าที่ขายไม่ออกมีมากขึ้น ผู้ผลิตต้องผลิตลดลง ลดการลงทุน และการ
จา้ งงานลง ทำให้การว่างงานรุนแรงมากขึ้น อปุ สงค์มวลรวมจึงลดลงไปอีก ทำให้ภาวะเศรษฐกิจ ซบเซาหนัก
ขึ้น การว่างงานยิง่ รนุ แรงมากข้นึ

3.4 การแก้ปัญหาการว่างงาน
1. แนวทางการแก้ปัญหาการว่างงานในระยะสนั้
1.1 การแก้ปัญหาการว่างงานโดยใช้นโยบายการเงิน การแก้ปัญหาการว่างงานโดยใช้

นโยบายการเงินแบบขยายตัว เพื่อเพิ่มอุปสงค์มวลรวม ธนาคารกลางจะเพ่ิมปริมาณเงิน ลดอัตราดอกเบ้ีย
ใหแ้ กธ่ นาคารพาณชิ ย์และบรษิ ทั เงินทุน ผอ่ นคลายการจำกดั การใหส้ นิ เชื่อของธนาคารพาณชิ ย์ เปน็ ตน้

ธนาคารกลางเพ่ิมปริมาณเงินโดยใชม้ าตรการต่าง ๆ ได้แก่ การรบั ซอ้ื พนั ธบัตรจากสถาบัน
การเงนิ และเอกชน ลดอตั ราเงินสดสำรองตามกฎหมายและลดอัตรารับช่วงซื้อลดต๋ัวสัญญาใชเ้ งนิ เป็นตน้ เม่ือ
ปรมิ าณเงินในระบบเศรษฐกจิ เพิ่มขน้ึ ทำให้อัตราดอกเบ้ยี ในตลาดเงินลดลง การลงทนุ ของหน่วยธุรกจิ เพม่ิ ขึ้น
การจ้างงานเพ่มิ ขึน้ และการว่างงานลดลง

เมื่อเปรียบเทียบระหว่างนโยบายการเงินกับนโยบายการคลังแล้ว นโยบายการคลัง
สามารถ แก้ปัญหาการวา่ งงานในชว่ งเศรษฐกิจตกต่ำได้มากกว่านโยบายการเงิน เพราะการใช้นโยบายการเงิน
อาจเผชิญกับดักสภาพคล่อง (การเปลี่ยนแปลงของปริมาณเงินไมท่ ำให้อัตราดอกเบ้ียเปลย่ี นแปลง) แต่การใช้
นโยบายการคลังโดยการเพ่ิมการใช้จ่ายของรัฐบาลจะเป็นการเพิ่มอุปสงค์มวลรวมโดยตรง จึงทำให้นโยบาย
การคลังแบบขยายตัวมีประสิทธิภาพในการเพิ่มอุปสงค์มวลรวม และแก้ปัญหาการว่างงาน ได้ดี ในช่วงท่ี
เศรษฐกจิ ตกต่ำ

1.2 การแก้ปัญหาการว่างงานโดยใช้นโยบายการคลัง รัฐบาลสามารถใช้นโยบายการคลัง
ในการแก้ปัญหาการว่างงานอันเกิดจากอุปสงค์มวลรวมลดลง การใช้นโยบายการคลังในการแก้ปัญหา การ
วา่ งงาน หมายถึง การเพิม่ การใช้จ่ายและการลดการเก็บภาษขี องรฐั บาล การดำเนินนโยบายงบประมาณ แบบ
ขาดดุล การกู้เงนิ มาใช้จ่ายทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ

ทางดา้ นการใช้จา่ ยของรัฐบาล รัฐบาลควรเพม่ิ การใช้จ่ายทท่ี ำให้เกิดการจ้างงานเพ่ิมข้ึน
อาจกระทำโดยการเพิ่มการใชจ้ ่ายในด้านการกอ่ สรา้ งสง่ิ สาธารณูปโภค และเพ่ิมรายจ่ายประเภทเงินโอน เป็น
ต้น การสร้างสิ่งสาธารณูปโภค ได้แก่ การสร้างถนน เขื่อน ทางระบายน้ำ สวนสาธารณะ การไฟฟ้า การ
ประปา เป็นต้น การเพิ่มการใช้จ่ายในการสร้างส่ิงสาธารณูปโภค ทำให้ผู้ว่างงานมีงานทำและมีรายได้มากขึ้น
ซง่ึ จะนำไปใช้จ่ายในการซ้ือสินค้าและบริการทำให้อุปสงคม์ วลรวมเพิ่มข้ึน ในท่ีสดุ จะมีผลทำให้ผู้ผลิตเพิ่ม การ
ผลติ และการจ้างงานมากขึ้น ส่วนรายจ่ายประเภทเงนิ โอน ได้แก่ เงินสงเคราะห์คนชรา คนพิการ เปน็ ต้น การ
เพิ่มการใช้จ่ายประเภทเงินโอนเป็นการเพ่ิมรายรับและอำนาจซ้ือให้ แก่บุคคลผู้ได้รับการสงเคราะห์และเม่ือ
บุคคลเหล่านั้นจับจ่ายใช้สอยเงินที่ได้รับจากการสงเคราะห์ก็จะทำให้อุปสงคม์ วลรวมสำหรับสนิ ค้าและบริการ
เพิม่ มากข้ึน ทำใหผ้ ูผ้ ลติ ขยายการผลิตและจา้ งงานมากข้นึ

15

ทางด้านรายได้ การท่ีรฐั บาลลดการจัดเก็บภาษี อาทิ การลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะ
สง่ ผลให้ประชาชนมีรายได้สุทธิส่วนบุคคลมากขน้ึ ประชาชนมีเงนิ จบั จ่ายใชส้ อยเพ่ือการบริโภคเพ่ิมข้นึ ทำให้มี
ความต้องการในการซ้ือสินค้าและบริการมากข้ึน การลดภาษีเงินได้นิติบุคคล อัตราภาษี นำเข้าวัตถุดิบ เป็น
การเพิ่มแรงจงู ใจใหก้ ับผผู้ ลติ มาผลิตสินค้าเพิ่มขนึ้ การลดอัตราภาษีสรรพสามติ อัตราภาษี มลู ค่าเพิ่ม จะทำให้
ราคาสนิ คา้ และบริการตา่ ง ๆ ถกู ลง กระตุ้นใหผ้ ู้บรโิ ภคซอ้ื สินค้ามากขึ้น ผู้ผลติ เพม่ิ การผลิต และมีการจา้ งงาน
มากข้ึน ทำใหอ้ ุปสงคม์ วลรวมเพิ่มขึ้น ปญั หาการว่างงานจะบรรเทาลง

2. แนวทางแก้ปัญหาการว่างงานในระยะยาว การแก้ปัญหาการว่างงานโดยการเพิ่ม
อุปสงค์มวลรวมท่ีกลา่ วมาข้างตน้ เปน็ มาตรการแก้ปัญหาการว่างงานในระยะสั้น การแกไ้ ขปัญหาการวา่ งงาน
จะได้ผลดีต้องมีมาตรการแก้ปัญหาการว่างงานในระยะยาวควบคู่ไปด้วย เช่น การฝึกอบรมแรงงานให้มี
ประสิทธิภาพในการผลติ สูงขนึ้ เพ่อื สอดคล้องกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการผลิต การจดั ระบบการศกึ ษา
เพื่อให้ผู้สำเร็จการศึกษามีฝีมือและความชำนาญสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน การพัฒนา
ท้องถิ่นต่าง ๆ เพื่อให้มีความเจริญท่ีไม่แตกต่างกันมากข้ึน อันจะลดอัตราการเคล่ือนย้ายของแรงงาน จาก
แหล่งหน่ึงไปยังอีกแหล่งหนึ่ง ท่ีอาจก่อให้เกิดปัญหาการว่างงานในบางท้องที่ได้ เช่น การพัฒนาชนบท เพ่ือ
ป้องกันมิให้แรงงานอพยพเข้าสู่ตัวเมือง ซ่ึงอาจก่อให้เกิดปัญหาการว่างงานในตัวเมืองได้ นอกจากนี้ ก็ต้อง
จัดหาข้อมูลตา่ ง ๆ เก่ยี วกบั ตลาดแรงงานเพือ่ ทำให้แรงงานมีโอกาสทจี่ ะไดร้ บั บรรจุตำแหนง่ งานทวี่ ่างอยู่

สรุป เงินเฟ้อ หมายถึง ภาวะที่ราคาสินค้าโดยทั่ว ๆ ไปเพิ่มสูงข้ึนเร่ือย ๆ อย่างต่อเน่ือง
เคร่ืองมือที่ใชว้ ดั การเปลยี่ นแปลงของราคา คือ ดชั นรี าคา ซ่งึ เป็นเคร่ืองมอื วัดราคาเฉลย่ี ของสินค้า จำนวนหนึ่ง
ของปีใดปีหน่ึงเปรียบเทียบกับราคาเฉลี่ยของสินค้าในปีฐาน สำหรับสาเหตุของการเกิด เงินเฟ้อแบ่งได้ 2
ประการ คือ เกดิ จากแรงดึงของอปุ สงค์ และเกิดจากแรงผลักดันทางด้านอุปทาน ในการแกป้ ัญหานี้ สามารถ
ใช้นโยบายการเงิน นโยบายการคลัง และนโยบายอ่ืน ๆ เช่น การใช้ นโยบายการเงินแบบเข้มงวด หรือใช้
นโยบายการคลังแบบหดตวั เพ่ือลดปรมิ าณเงนิ ในระบบ เศรษฐกิจใหน้ อ้ ยลง เป็นตน้

เงินฝืด เป็นภาวะท่ีระดับราคาสินค้าโดยทั่ว ๆ ไปลดลงเรื่อย ๆ และต่อเน่ือง สาเหตุ ที่ทำให้
เกิดกค็ ือ อุปสงค์มวลรวมน้อยกวา่ อุปทานมวลรวม สินค้าเกิดล้นตลาด ผู้ผลิตจึงลดปริมาณ การผลิตให้น้อยลง
จงึ เกิดปญั หาการว่างงานตามมา การแก้ปญั หานี้สามารถทำได้โดยการใช้ นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย หรือ
ใชน้ โยบายการคลงั แบบผอ่ นคลาย เปน็ ตน้

สว่ นปัญหาการว่างงานเกิดข้ึนในระบบเศรษฐกิจ จะทำให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจข้ึน
สาเหตุของการว่างงาน มี 3 สาเหตุ คือ การว่างงานตามปกติ การว่างงานตามโครงสร้าง และ การว่างงาน
ตามวัฏจักรธุรกิจ ในการแกป้ ัญหาโดยใช้นโยบายการเงิน การใช้นโยบายการคลงั หรือนโยบายอ่นื ๆ เชน่ การ
ลดคา่ เงนิ การเพม่ิ อปุ สงค์มวลรวม หรอื การฝกึ อบรมแรงงานให้มี ประสิทธิภาพในการผลิต เป็นตน้

16

แบบเรียนรู้หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 12

ตอนท่ี 1 จงตอบคำถามตอ่ ไปน้ี
1. ภาวะเงนิ เฟ้อหมายความวา่ อย่างไร

.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

2. เงินเฟอ้ มหี ลายระดับถ้าแบ่งตามขนาดของความรุนแรงมีกีร่ ะดบั อะไรบ้าง

.....................................................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................... ................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

3. อธบิ ายสาเหตขุ องการเกิดเงนิ เฟอ้

.....................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................... ............................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

4. เม่ือเกิดเงินเฟ้อจะทำให้ฐานะของคนบางกลุ่มได้ประโยชน์ บางกลุ่มเสียประโยชน์ บอกกลุ่มท่ีได้
ประโยชน์

.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................... .................
.....................................................................................................................................................................................

5. ภาวะเงนิ ฝดื หมายความวา่ อย่างไร

.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................... ...............
.....................................................................................................................................................................................

17

6. อธิบายสาเหตุของการเกดิ ภาวะเงนิ ฝดื

.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................. ...................
.....................................................................................................................................................................................

7. เมอ่ื เกิดภาวะเงินฝดื กลุ่มทีเ่ สียประโยชนค์ ือใคร

.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................... ..................................
.....................................................................................................................................................................................

8. เครื่องมือทีใ่ ช้วดั การเปลีย่ นแปลงของราคาคอื ส่ิงใด

.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

9. อธบิ ายมาตรการในการแก้ปญั หาเงนิ เฟอ้

.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

10. อธบิ ายมาตรการในการแกป้ ญั หาเงนิ ฝืด

.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

18

ตอนที่ 2 จงเลือกขอ้ ทถี่ ูกต้องที่สุดเพียงขอ้ เดียว

1. การวัดอตั ราเงินเฟอ้ วัดจากสงิ่ ใด
ก. ระดับราคาสินค้าโดยท่ัวไป
ข. ดัชนรี าคาของผบู้ รโิ ภค
ค. ดัชนรี าคาขายส่ง
ง. ดชั นีราคาท่ีใชป้ รับผลิตภัณฑ์ภายในประเทศเบื้องต้น
จ. ถูกทกุ ข้อ

2. การท่ีราคาสินค้าจำเป็นต่อการบริโภคเพม่ิ สูงขึ้นอยา่ งตอ่ เนอ่ื งและรวดเรว็ จะเกดิ ปญั หาขอ้ ใด

ก. เพ่มิ ค่าเงนิ บาท ข. เงินเฟ้อด้านอุปสงค์

ค. เงนิ เฟ้อ ง. เงนิ เฟ้อดา้ นอปุ ทาน

จ. เงนิ เฟอ้ ดา้ นตน้ ทนุ

3. การพิจารณาว่าระบบเศรษฐกจิ เกดิ ภาวะเงนิ เฟอ้ ด้านอุปทานพิจารณาจากการเปลีย่ นแปลงข้อใด

ก. ดชั นีสินเชือ่ ข. ดัชนีการลงทุน

ค. ดัชนีราคาสินค้าผู้ผลติ ง. ดชั นรี าคาสินค้าผู้บรโิ ภค

จ. อตั ราแลกเปล่ียนเงินตรา

4. ดชั นีราคาผูบ้ ริโภค ณ ปีท่ีเป็นปีฐานจะมคี ่าเทา่ ใด

ก. 115.0 ข. 100.0

ค. 110.0 ง. 1.00

จ. 0.00

5. เงนิ เฟอ้ ประเภทใดท่ีช่วยกระต้นุ ระบบเศรษฐกิจ
ก. เงนิ เฟอ้ อย่างปานกลาง ข. เงินเฟอ้ อย่างออ่ น
ค. เงนิ เฟอ้ อยา่ งรุนแรง ง. เงินเฟอ้ ด้านอปุ สงค์
จ. เงินเฟ้อด้านอุปทาน

6. ในภาวะท่ีระบบเศรษฐกิจมกี ารว่างงานสงู การเพิ่มขึ้นของอุปสงค์มวลรวมจะมีผลต่อราคาอย่างไร
ก. ราคาสินค้าเพิ่มข้ึนอย่างมาก ข. ราคาสินคา้ เพม่ิ ขึน้ ปานกลาง
ค. ราคาสินค้าอาจไมเ่ ปลยี่ นแปลง ง. ราคาสินคา้ ลดลงอยา่ งมาก
จ. ราคาสนิ คา้ ลดลงเพยี งเล็กนอ้ ย

19

7. การลดการผลิตลงอย่างมากอาจมีผลให้เกดิ ส่ิงใด

ก. เงินฝืด ข. เงนิ เฟ้อด้านอุปสงค์

ค. เงินเฟ้อดา้ นอปุ ทาน ง. ภาวะเศรษฐกจิ ตกต่ำ

จ. ภาวะเศรษฐกจิ หดตวั

8. เมือ่ เกิดภาวะเงินเฟอ้ ผู้ท่ไี ด้รบั ประโยชน์คอื กลมุ่ คนในข้อใด

ก. ผมู้ รี ายได้ประจำและพ่อคา้ ข. ผมู้ ีรายไดป้ ระจำและเกษตรกร

ค. รฐั บาลและข้าราชการ ง. ลูกหน้แี ละเกษตรกร

จ. เจา้ หนแ้ี ละผฝู้ ากเงิน

9. ในขณะท่เี ศรษฐกิจเกิดเงินเฟ้อควรใช้นโยบายการเงินแบบใด
ก. แบบผอ่ นคลาย เพื่อลดปริมาณเงิน ข. แบบผ่อนคลาย เพ่อื เพม่ิ ปรมิ าณเงิน
ค. แบบเขม้ งวด เพอื่ ลดปรมิ าณเงิน ง. แบบเขม้ งวด เพอ่ื เพิม่ ปรมิ าณเงิน
จ. แบบสมดลุ

10. เพอ่ื กระตุ้นใหร้ ะบบเศรษฐกิจขยายตวั เพิ่มข้ึน รัฐบาลควรดำเนินนโยบายในขอ้ ใด

ก. นโยบายการเงนิ ข. นโยบายการคลัง

ค. นโยบายสง่ เสริมการลงทนุ ง. นโยบายการคา้ ระหวา่ งประเทศ

จ. ถูกทุกขอ้

ตอนที่ 3 หาข่าวเก่ียวกับการเกดิ เงินเฟ้อ และวิเคราะห์มาตรการทรี่ ัฐบาลนำมาใช้ในการแก้ปัญหา
ดังกลา่ ว (15 – 20 บรรทัด)

............................................................................................................................ .................................................. .......
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................... .................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

20

ใบงานท่ี 1

ให้แบง่ กล่มุ เพ่อื ทำการวเิ คราะห์เรอื่ ง “การแก้ไขภาวะเงินเฟอ้ จำเปน็ ต้องศกึ ษาตน้ เหตขุ องเงนิ เฟอ้ ให้
ถกู ต้อง จึงจะเลือกใชม้ าตรการแกไ้ ขใหบ้ รรลุผลและไมส่ รา้ งความเสียหาย” ผู้เรยี นเหน็ ดว้ ยหรอื ไมก่ ับ
ขอ้ ความดังกลา่ ว จากนั้นนำเสนอหน้าชั้นเรยี น

.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................... ..................................

ใบงานท่ี 2

ให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่มเพ่ือทำการวิเคราะห์ “ผลกระทบของการเพ่ิมขึน้ ของปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ
ว่ามีผลกระทบตอ่ ระบบเศรษฐกิจอย่างไร” จากนัน้ นำเสนอหนา้ ช้นั เรยี น.

....................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ........................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

ใบงานที่ 3

“เศรษฐกิจไทยในปีนี้คาดวา่ จะมีอตั ราการเติบโต 8.5% และคาดวา่ จะเกิดภาวะเงินเฟ้อในอัตรา ไมต่ ่ำ
กวา่ 5% ใหเ้ สนอแนะรัฐบาลในการควบคุมภาวะเงินเฟ้อและใช้มาตรการทางการเงนิ ” ให้ผู้เรียนชว่ ย กัน
วเิ คราะห์ข้อความขา้ งต้น และส่งครูผ้สู อนในชั้นเรียน

.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................... ..........
....................................................................................................................................................................................

21


Click to View FlipBook Version