The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

บทที่ 13 การค้าระหว่างประเทศ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kotchamon191, 2022-05-10 05:14:49

บทที่ 13 การค้าระหว่างประเทศ

บทที่ 13 การค้าระหว่างประเทศ

0

วชิ าหลักเศรษฐศาสตร์ รหัสวิชา 30200-1001

หน่วยท่ี 13 เร่ืองการคา้ ระหว่างประเทศ

จัดทำโดย
นางกชมน เอยี ดแกว้
บธ.ม. (การจดั การโลจิสตกิ สแ์ ละโซอ่ ุปทาน)

1

หนว่ ยที่ 13

ช่ือหน่วย การคา้ ระหว่างประเทศ

สาระสำคญั
ในระบบเศรษฐกิจแบบเปดิ ประเทศจะมีการติดต่อค้าขายและดำเนนิ กิจกรรมทางเศรษฐกจิ ร่วมกัน ไม่

ว่าจะเป็น การส่งออก การนำเข้าสินคา้ การลงทนุ จากตา่ งประเทศ การเดนิ ทางไปทำงานในต่างประเทศ หรือ
การเดินทางไปท่องเที่ยว ต่างประเทศ กิจกรรมทางเศรษฐกิจเหล่าน้ีเป็นผลเนื่องมาจากนโยบายการค้า
ตา่ งประเทศ อตั ราแลกเปลี่ยน อตั ราดอกเบ้ยี และยังกอ่ ใหเ้ กดิ ความเจรญิ เติบโตทางเศรษฐกจิ อกี ดว้ ย

จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1. อธบิ ายความหมายและความสำคญั ของการคา้ ระหวา่ งประเทศได้
2. อธิบายเกีย่ วกับตลาดเงินตราตา่ งประเทศและการกำหนดอัตราแลกเปล่ียนเงินตราระหว่าง

ประเทศได้
3. อธบิ ายพัฒนาการการกำหนดอตั ราแลกเปล่ียนเงินตราต่างประเทศของไทยได้
4. อธบิ ายเกี่ยวกับการแกไ้ ขปัญหาดลุ การชำระเงินได้

สมรรถนะประจำหน่วย
แสดงความร้ใู นเร่อื งการค้าระหว่างประเทศ

สาระการเรยี นรู้
1. ความหมายและความสำคัญของการคา้ ระหว่างประเทศ
2. ประโยชนข์ องการคา้ ระหวา่ งประเทศ
3. ตลาดเงนิ ตราตา่ งประเทศและการกำหนดอัตราแลกเปล่ยี นเงนิ ตราต่างประเทศ
4. การกำหนดอัตราแลกเปลย่ี นเงนิ ตราตา่ งประเทศของไทย
5. ดุลการชำระเงนิ ระหว่างประเทศ

2

1. ความหมายและความสำคญั ของการคา้ ระหว่างประเทศ

1.1 ความหมายของการค้าระหว่างประเทศ
การค้าระหว่างประเทศ หมายถึง การซื้อขายแลกเปล่ียนสินคา้ และบรกิ ารระหวา่ งประเทศ

หน่งึ กับอกี ประเทศหนึง่ โดยแต่ละประเทศมีทรพั ยากรและความชำนาญในการผลติ สินคา้ และบริการ แตกตา่ ง
กัน และจำเป็นต้องติดต่อพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน การค้าระหว่างประเทศจะประกอบด้วย ผู้ซ้ือ และผู้ขาย
โดยผู้ซื้อเป็นผู้ติดต่อนำสินค้าและบริการเข้าประเทศ ส่วนผู้ขายเป็นผู้ติดต่อส่งสินค้าและบริการ ออกนอก
ประเทศ ท้ังผู้ซื้อและผู้ขายจะได้รบั ผลประโยชน์ร่วมกัน การซื้อขายแลกเปล่ียนนี้อาจกระทำโดย รัฐบาลหรือ
เอกชนก็ได้ การค้าระหว่างประเทศทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเงินตราตามอัตราการแลกเปล่ียน ของแต่ละ
ประเทศ

1.2 ความสำคัญของการค้าระหว่างประเทศ
ในปัจจุบันการค้าระหว่างประเทศมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของทุก ๆ ประเทศ

เน่ืองจาก ทรพั ยากรและวตั ถดุ ิบท่ีจะนำมาใช้ในการผลิตของแตล่ ะประเทศไม่เหมือนกนั จึงต้องมีการติดตอ่ ซ้ือ
ขาย แลกเปล่ียนกัน เพื่อให้ประชากรมีทางเลือกในการบริโภคสินค้าที่หลากหลายและการดำเนินงานของ
เศรษฐกิจเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้การค้าขายระหว่างประเทศอย่างเสรีจะทำให้ผู้บริโภค
ภายในประเทศได้รับประโยชนจ์ ากราคาสินค้าในประเทศต่ำกว่าราคาสินคา้ จากตา่ งประเทศ และผลักดัน ให้มี
การพัฒนาคุณภาพและราคาของผู้ผลิตในประเทศให้สามารถแข่งขันกับตลาดโลกได้ อย่างไรก็ตาม ประเทศ
ต่าง ๆ ยังใช้นโยบายการกีดกันทางการค้า หรือข้อจำกัดในการส่งสินค้าออกจำหน่าย ทำให้ประโยชน์ ของ
การคา้ เสรีลดน้อยลง ดังน้ัน ประเทศคู่ค้าจงึ ต้องร่วมมอื กันเพื่อให้การดำเนินงานทางด้านการค้าบรรลผุ ล ตาม
เป้าหมาย การค้าระหวา่ งประเทศจึงมคี วามสำคญั ต่อเศรษฐกจิ ของทุก ๆ ประเทศ

ความสำคัญของการค้าระหวา่ งประเทศ สามารถสรปุ ไดด้ งั น้ี
1. ทำให้ประชากรของประเทศต่าง ๆ มสี ินค้าและบรกิ ารไวบ้ รโิ ภคหลากหลายชนดิ มากข้นึ
2. มีความชำนาญในการผลิตสินค้าท่ีตนถนดั มากขน้ึ ทำใหเ้ กิดการแลกเปลีย่ นวิธีการในการ
ผลติ เพ่ือใหส้ ามารถผลิตได้มากขน้ึ ขยายปริมาณการผลติ สินคา้ เพื่อส่งออกได้มากขนึ้
3. มีผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยี เนื่องจากการติดต่อค้าขายทำให้ประชากรของประเทศนั้น
ๆ มคี วามรู้มากขึ้น ซ่ึงเป็นผลดีต่อการพัฒนาความรู้และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ประเทศเกษตรกรรมหลายประเทศ
ได้ปรับปรุงวิธีการผลิต จัดต้ังนิคมอุตสาหกรรม พัฒนาที่อยู่อาศัย ปรับปรุงวัตถุดิบทางการเกษตรในประเทศ
ใหด้ ีข้นึ
4. การค้าเสรีก่อให้เกดิ การแข่งขันของผผู้ ลิตในตลาดโลก ทำให้ราคาสนิ ค้าลดต่ำลงสำหรับ
การบรโิ ภคภายในประเทศ
5. การพัฒนาสินค้าเพื่อการส่งออก ส่งผลให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจและทำให้เกิด
การเพิ่มขนึ้ ของความร่ำรวยของประเทศและการพฒั นาทางเศรษฐกจิ และสงั คม

3

2. ประโยชนข์ องการคา้ ระหว่างประเทศ

การดำเนินนโยบายการค้าระหว่างประเทศโดยเสรี นอกจากจะก่อให้เกิดผลผลิตหรือรายได้ท่ี
แท้จรงิ เพม่ิ ข้ึนแลว้ ยังสามารถก่อใหเ้ กิดประโยชนต์ ่อประเทศคคู่ า้ ดังนี้

1. ผลต่อแผนการบริโภคและราคาสินค้า เนื่องจากการค้าขายระหว่างประเทศทำให้ จำนวน
สินค้าท่ีอุปโภคและบริโภคมีเพิ่มมากขึ้น ความเป็นอยู่ของผู้บริโภคดีข้ึน ทั้งนี้ประเทศต่าง ๆ จะพากัน ผลิต
สนิ ค้าท่ตี นได้เปรยี บมากขึน้ และหันไปนำเข้าสินค้าทตี่ นไม่มีความถนดั จากประเทศอื่นแทน ทำให้จำนวนสินค้า
นำเข้ามมี ากขึ้น อปุ ทานของสนิ ค้าเพม่ิ มากขึ้น ส่งผลใหร้ าคาสินคา้ ลดลง

2. ผลตอ่ คุณภาพและมาตรฐานสินค้า การค้าระหว่างประเทศนอกจากจะทำให้ปริมาณ การผลิต
สนิ ค้าและบริการเพ่ือสนองความต้องการของผู้บริโภคเพ่ิมขึ้นยังทำให้ผู้บรโิ ภคได้บริโภคสินคา้ ทม่ี ีคุณภาพและ
มาตรฐานสูงขึ้นเพราะมีการแข่งขันในด้านการผลิตสูง ทำให้ผู้ผลิตและผู้ส่งออกเข้มงวด ในคุณภาพและ
มาตรฐานของสินค้า เนื่องจากต้องเผชิญกับคู่แข่ง ทำให้ต้องพัฒนาการผลิตโดยใช้เทคนิค และวิทยาการให้
ก้าวหนา้ และทนั สมยั

3. ผลต่อความชำนาญเฉพาะอยา่ ง การค้าระหว่างประเทศทำใหป้ ระเทศตา่ ง ๆ หันมาผลติ สินค้า
ทีต่ นไดเ้ ปรยี บโดยเปรียบเทยี บ แต่เน่อื งจากปจั จยั การผลติ มจี ำนวนจำกัดจงึ ต้องดึงปัจจยั การผลิตจากการผลิต
สนิ ค้าชนิดอื่น เพราะฉะนั้นปัจจัยการผลิตจะมีความชำนาญเฉพาะอย่างมากข้นึ เกดิ การประหยัด ตอ่ ขนาด มี
ผลให้ต้นทุนตอ่ หนว่ ยลดตำ่ ลง

4. ผลตอ่ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ การดำเนนิ นโยบายการค้าระหว่างประเทศที่
สนับสนุนให้ประเทศผลิตสินค้าที่ตนเองมคี วามได้เปรียบโดยเปรียบเทียบนั้น มีผลให้หลาย ๆ ประเทศอาจต้อง
ซ้ือสินค้าเข้าประเทศเป็นมูลค่ามากกว่ามูลค่าสินค้าส่งออก ทำให้ดุลการค้าขาดดุลและผลของการขาดดุล
เงินตราต่างประเทศ มีสาเหตุสำคัญมาจากอัตราการค้าของประเทศคู่ค้าไม่เท่ากัน ในกรณีของประเทศกำลัง
พัฒนาโดยท่ัวไป สินคา้ ส่งออกมักจะเป็นสนิ คา้ เกษตรกรรม ซง่ึ ราคามักจะตำ่ และขาดเสถียรภาพ เม่อื เทยี บกับ
ราคาสินค้านำเข้ามักจะเป็นสินค้าต้นทุนและสินค้าอุตสาหกรรม ผลที่ตามมาก็คืออัตราการค้า ของประเทศ
กำลังพัฒนามีแนวโน้มลดลง น่ันคือมูลค่าจากการส่งสินค้าออกน้อยกว่ามูลค่าของสินค้านำเข้า ส่งผลให้เกิด
ปัญหาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ คอื ปัญหาดุลการคา้ และดุลการชำระเงนิ ขาดดลุ ในที่สดุ

5. ผลต่อประสิทธิภาพของนโยบายทางเศรษฐกิจ การคา้ ระหวา่ งประเทศมีขนาดใหญข่ ึ้นเพยี งใด
การดำเนนิ นโยบายทางเศรษฐกิจภายในประเทศจะมีประสทิ ธภิ าพนอ้ ยลง เช่น เมอ่ื เกิดปญั หาเงนิ เฟอ้ นโยบาย
ทางเศรษฐกิจจะมีความยุ่งยากมากขนึ้ ดงั นั้นรฐั บาลต้องมคี วามร้แู ละความเขา้ ใจเก่ยี วกบั เศรษฐกิจและนโยบาย
ทางเศรษฐกจิ ของประเทศคคู่ ้าด้วย ว่ามผี ลกระทบอยา่ งไรต่อระบบเศรษฐกิจภายในประเทศ ทำให้กลไกแก้ไข
ปัญหาดังกลา่ วซบั ซ้อนขึ้น

6. ผลต่อรายได้และการจ้างงาน ประเทศท่ีตอ้ งพึ่งพาการค้าระหวา่ งประเทศสูง หากรายได้จาก
การส่งออกลดลง แต่รายจ่ายจากการนำเข้าสินค้าเพ่ิมข้ึนผลสุทธิของการนำเข้าสูงกว่าการส่งออกย่อมทำให้
รายไดแ้ ละการจา้ งงานของประเทศลดลง

4

3. ตลาดเงนิ ตราต่างประเทศและการกำหนดอัตราแลกเปล่ยี นเงนิ ตราต่างประเทศ

นอกจากประเทศต่าง ๆ จะมีความสัมพันธ์ในการค้าขายสินค้าและบริการกันแล้ว ยังมีความ
สัมพันธ์เรื่องอื่น ๆ ได้แก่ การให้ความช่วยเหลือ หรอื การได้รับความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจากต่างประเทศ
การลงทุนระหว่างประเทศ การกูย้ ืมและการชำระหนี้สิน สิ่งเหล่าน้ีทำให้เกิดการชำระเงินระหว่างประเทศขึ้น
โดยทั่วไปแล้วการชำระเงินระหว่างประเทศมักจะใช้เงินตราต่างประเทศเป็นเงินสกุลหลัก เช่น เงินดอลลาร์
สหรัฐฯ เงินยูโรของสหภาพยุโรป เป็นตน้ และมกั ชำระผ่านธนาคารโดยใชเ้ คร่ืองมือที่เรียกว่า “เครดิต” ได้แก่
ตั๋วแลกเงิน ดราฟต์ธนาคาร เป็นต้น ด้วยเหตุท่ีแตล่ ะประเทศมีหน่วยเงนิ ตราแตกต่างกัน เช่น ไทยมีหน่วยเงิน
เปน็ “บาท” ญ่ีปนุ่ มีหนว่ ยเงินเป็น “เยน” สหรฐั อเมรกิ ามหี น่วยเงินเปน็ “ดอลลาร์” ประเทศในสหภาพยโุ รปมี
หน่วยเงนิ เปน็ “ยูโร” เปน็ ต้น เม่ือทำการติดตอ่ ค้าขายกนั จะต้องมีการกำหนด
อัตราแลกเปล่ียนระหว่างมูลค่าเงินของประเทศต่าง ๆ กับมูลค่าของเงินตราสกุลหลัก ซึ่งเป็นท่ียอมรับกัน
โดยท่ัวไปในการชำระเงินระหวา่ งประเทศจึงต้องมกี ารแลกเปลย่ี นเงนิ ตราจากสกลุ หน่งึ ไปเป็นอกี สกลุ หนึ่ง ตาม
ความต้องการของผู้รับ ผูร้ ับก็จะนำเงนิ ตราสกุลหลกั ที่ได้รับไปแลกเป็นเงินตราภายในประเทศในตลาดเงนิ ตรา
ตา่ งประเทศ ซงึ่ โดยปกติตลาดน้มี ักนำเงนิ ตราตา่ งประเทศทรี่ บั ซ้อื มาไปแลกเปน็ เงินตราในประเทศจากธนาคาร
กลางอีกต่อหนง่ึ และธนาคารกลางกจ็ ะเก็บเงนิ ตราต่างประเทศเหลา่ น้ไี ว้สำหรับผู้ต้องการใช้ในภายหลัง

ตลาดเงินตราต่างประเทศ หมายถึง องค์กรที่ทำหน้าท่ีในการซ้ือขายเงินตราและการชำระหน้ี
ต่างประเทศระหวา่ งเอกชน หน่วยธุรกิจและธนาคารพาณิชย์ ตลาดน้ีจะแตกต่างจากตลาดซ้อื ขายสินคา้ โดยท่ัว
คือ ไม่จำกัดประเทศที่เกี่ยวข้อง ไม่มีกฎเกณฑ์ท่ีเคร่งครัด ไม่มีเวลาเปิดและปิดตลาดที่แน่นอน ตลาดเงินตรา
ต่างประเทศจะมีอยู่ในเมืองใหญ่ ๆ ทั่วโลกโดยผู้ส่งออก ผู้นำเข้า นักลงทุนและนักท่องเท่ียวมักจะซ้ือขาย
เงนิ ตราตา่ งประเทศกบั ธนาคารพาณิชยม์ ากกว่าที่จะซื้อขายระหว่างกนั เองเนือ่ งจากสะดวกกวา่

3.1 ประเภทของตลาดเงนิ ตราตา่ งประเทศ
ตลาดเงนิ ตราตา่ งประเทศ แบ่งตามลักษณะการซือ้ ขายออกเป็น 2 ประเภท ดงั น้ี
1. ตลาดที่มีการซื้อขายเงินตราต่างประเทศทันที (Spot Market) หมายถึง ตลาดที่มีการ

ชำระเงนิ และส่งมอบเงินตราตา่ งประเทศสกุลที่ต้องการทันที การซื้อขายกจ็ ะเป็นไปตามราคาตลาดในขณะนั้น
ท่ีเรียกว่า “อัตราแลกเปล่ยี นทันที (Spot rate)” หน้าทห่ี ลักของตลาดประเภทนี้คือ การโอนหรือหักบัญชี ซ่ึง
เกิดจากการติดต่อทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ โดยจะมีการชำระเงินติดตามมา และหน้าที่ในการ จัดหา
สินเชื่อ เพื่อเป็นหลักประกันในการชำระหนี้ระหว่างประเทศ ซึ่งหน้าที่น้ีมีบทบาทที่ทำให้การค้า ระหว่าง
ประเทศขยายตัวอยา่ งรวดเร็ว

2. ตลาดเงินตราตา่ งประเทศแบบซอื้ ขายล่วงหน้า (Forward Market) หมายถงึ ตลาดทีม่ ี
การซ้ือขายเงินตราต่างประเทศโดยการชำระเงินและส่งมอบเงินตราต่างประเทศสกุลที่ตกลงซ้ือขายกันใน
อนาคตข้างหน้า ตามอัตราที่ได้ตกลงกันไว้ ซ่ึงเรียกว่า “อัตราแลกเปล่ียนล่วงหน้า (Forward Rate)” หน้าท่ี
หลัก ของตลาดประเภทน้ี คอื การลดความเสย่ี ง อันเนือ่ งมาจากการเปลีย่ นแปลงของอตั ราแลกเปลย่ี น

5

3.2 การกำหนดอัตราการแลกเปลย่ี นเงินตราระหวา่ งประเทศ
อตั ราแลกเปลี่ยนเงินตราสกุลหน่ึง จะถูกกำหนดโดยอุปสงคแ์ ละอุปทานเงินตราสกลุ น้ัน เช่น

อัตรา แลกเปล่ียนเงินดอลลาร์สหรฐั ฯ กับเงินบาทจะเปลย่ี นแปลงทกุ วัน อัตราแลกเปล่ียนแต่ละวันถูกกำหนด
โดยอุปสงค์และอุปทานของเงินสองสกุล อุปสงค์ของเงินตราต่างประเทศสกุลใดสกุลหนึ่งจะมีมากหรือน้อย
ขน้ึ อยู่กับความตอ้ งของการเงินตราสกุลนั้น เชน่ เพือ่ ชำระเปน็ คา่ สนิ ค้าและบรกิ ารท่ีซ้ือจากตา่ งประเทศเพื่อให้
กู้ยืมหรือซื้อหลักทรัพย์ต่างประเทศ หรือลงทุนในต่างประเทศเพ่ือเก็งกำไร หรือเพ่ือส่งเงินทุน ออกนอก
ประเทศ เป็นต้น ส่วนอุปทานเงินตราต่างประเทศสกุลใดสกุลหน่ึงจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับ ปริมาณสินค้า
และบริการที่ส่งออกไปขายยังต่างประเทศ การลงทุนในประเทศจากต่างประเทศและปริมาณ เงินช่วยเหลือ
จากตา่ งประเทศ

ในระบบอัตราแลกเปล่ียนเสรี อัตราแลกเปล่ียนเงินตราต่างประเทศ คือ ราคาของเงินตรา
ต่างประเทศ ซง่ึ เหมือนกบั ราคาของสนิ ค้าและบรกิ ารโดยท่วั ไป คือ กำหนดจากอุปสงค์และอุปทานของเงินตรา
ตา่ งประเทศ โดยเส้นอปุ ทานและอปุ สงคข์ องเงินตราต่างประเทศมีลักษณะดงั น้ี

1. อุปสงค์ของเงินตราต่างประเทศ (Demand for Foreign Exchange) หรือความ
ต้องการ เงินตราต่างประเทศเป็นผลสืบเนื่องมาจากความต้องการสินค้าและบริการต่างประเทศ รวมท้ังการ
ลงทุนและ การบรจิ าคระหว่างประเทศ โดยท่วั ไปความต้องการเงนิ ตราต่างประเทศขนึ้ อยู่กับปัจจัยตา่ ง ๆ เช่น
ราคาหรืออัตราแลกเปล่ียนเงนิ ตราต่างประเทศ ซึ่งมีผลโดยตรง สว่ นปัจจัยที่มีผลทางอ้อม ได้แก่ ผลต่าง ของ
อตั ราดอกเบี้ยภายในและนอกประเทศ รสนยิ มในการบริโภคสินค้าต่างประเทศ รายได้สว่ นบุคคลและ รายได้
ประชาชาติ สรุปไดว้ า่

1) อปุ สงค์ของเงินตราต่างประเทศสกุลใด ๆ คือ จำนวนของเงนิ ตราตา่ งประเทศสกุลนั้นท่ี
ผซู้ อื้ ต้องการได้ซอ้ื ณ ระดับอตั ราแลกเปลย่ี นต่าง ๆ ในระยะเวลาที่กำหนด

2) ความสัมพันธ์จะเป็นไปตามกฎของอุปสงค์ (Law of Demand) คือ ปริมาณเงินตรา
ต่างประเทศสกุลใด ๆ ย่อมแปรผันกับอัตราแลกเปล่ียนของเงินตราต่างประเทศ หมายความว่า เมื่ออัตรา
แลกเปลี่ยนสูงขึ้นราคาสินค้านำเข้าจะสูงขึ้นทำให้ความต้องการสินค้าเข้าและเงินตราต่างประเทศลดลงใน
ทางตรงข้ามเม่ืออัตราแลกเปลี่ยนลดลงราคาสินคา้ เข้าจะถูกลง ความต้องการสินค้าเข้า จะเพ่ิมขึ้นทำให้ความ
ต้องการเงนิ ตราต่างประเทศเพิ่มขน้ึ ด้วย ความสมั พนั ธด์ ังกล่าวแสดงดงั รปู ตอ่ ไปนี้

6

แสดงความสัมพันธร์ ะหว่างอปุ สงคข์ องเงนิ ตราตา่ งประเทศกบั อตั ราแลกเปลยี่ น
เงินตราต่างประเทศ
จากภาพ ถ้ากำหนดให้แกนต้ังแสดงอัตราแลกเปล่ียนระหว่างเงินบาทและดอลลาร์สหรัฐฯ
ส่วนแกนนอนแสดงถงึ ปรมิ าณเงินดอลลาร์ที่มีผูต้ ้องการซ้ือ จะเหน็ วา่ เส้นอุปสงคข์ องเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะมี
ลักษณะเป็นเส้นที่ลาดลงจากซ้ายไปขวาและมีค่าความชันเป็นลบ ซ่ึงหมายความว่า เม่ืออัตราแลกเปล่ียน
เงินตราตา่ งประเทศสูงข้ึนจาก 32.79 บาท ตอ่ $1 เป็น 38.00 บาท ตอ่ $1 อปุ สงคข์ องเงินตราต่างประเทศ
จะลดลงจาก $10 เหลือ $4 แต่ถ้าอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศลดลง อุปสงค์ของ
เงินตราต่างประเทศ จะสูงข้ึน เพราะฉะนั้นอุปสงค์ของเงินตราต่างประเทศจึงเป็นอุปสงค์สืบเนื่อง (Derived
Demand)
2. อุปทานของเงินตราต่างประเทศ (Supply of Foreign Exchange) อุปทานของ
เงินตรา ต่างประเทศได้มาจากการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ท่ีก่อให้เกิดรายได้ในรูปของเงินตรา
ต่างประเทศ เชน่ การส่งออกสินค้า การรับบริจาค การลงทุนจากต่างประเทศ เปน็ ต้น ปัจจัยที่กำหนดอปุ ทาน
ของ เงินตราต่างประเทศก็คือ ปัจจัยท่ีมีผลต่อการส่งออกสินคา้ และดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งได้แก่
ต้นทุนการผลิตเปรียบเทียบระหว่างประเทศ ภาษีศุลกากร มาตรการกีดกันทางการค้า รสนิยมการบริโภค
อตั ราดอกเบย้ี ระหวา่ งประเทศ บรรยากาศสง่ เสรมิ การลงทุน และความกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยี
ความสัมพันธ์ของปริมาณอุปทานและอัตราแลกเปล่ียนจะเป็นไปตามกฎของอุปทาน คือ
ปริมาณ เงินตราต่างประเทศที่จะหามาได้ ย่อมแปรผันโดยตรงกับอัตราแลกเปล่ียน กล่าวคือ เม่ืออัตรา
แลกเปล่ียน สูงข้ึน ราคาสนิ ค้าจะถูกลง ปริมาณอุปทานของเงินตราต่างประเทศจะมากขึ้น ในทางตรงข้าม ถ้า
อัตรา แลกเปล่ียนลดลง ราคาสินค้าจะแพงขึ้น การส่งออกมีแนวโน้มลดลง ปริมาณอุปทานของเงินตรา
ต่างประเทศ จะลดลงเชน่ กนั ดงั รปู

7

แสดงความสมั พนั ธร์ ะหว่างอปุ ทานของเงินตราต่างประเทศกบั อตั ราแลกเปลีย่ น
เงินตราตา่ งประเทศ

3. อัตราแลกเปลี่ยนดุลยภาพ ในกรณีท่ีการซื้อขายเงินตราต่างประเทศเป็นไปอย่างเสรี
อัตรา แลกเปลี่ยนจะถูกกำหนดโดยอุปสงค์และอุปทานของตลาดเงินตราต่างประเทศ ราคาและปริมาณดุลย
ภาพ จะเกิดข้ึนพร้อมกนั ณ ระดับที่ปริมาณซอ้ื เท่ากบั ปรมิ าณขายพอดี เรียกจุดน้ีว่า “จดุ ดุลยภาพของตลาด”
อัตรา แลกเปล่ียนดุลยภาพ ดังรูปล่าง เม่ือเกิดข้ึนแล้วจะคงอยู่เช่นน้ัน ตราบเท่าท่ีอุปสงค์และอุปทานยังไม่
เคลื่อนย้าย แต่ถ้าปัจจัยท่ีนอกเหนือจากอัตราแลกเปล่ียน ซ่ึงเป็นตัวกำหนดอุปสงค์และอุปทานโดยอ้อม
เปล่ียนแปลง ก็จะทำให้เสน้ อุปสงค์หรือเส้นอุปทานเส้นใดเส้นหนึ่งเคล่ือนย้ายไป ทำให้เกิดดุลยภาพตลาด ณ
ตำแหน่งใหม่

ดลุ ยภาพของตลาดเงนิ ตราตา่ งประเทศและการเปล่ียนแปลงดลุ ยภาพ
จากรูป เดิมเส้นอุปสงค์ D และเส้นอุปทาน S ตัดกันที่จุด E ซึ่งเป็นอัตราแลกเปล่ียนดุลยภาพ
ต่อมา สมมติว่าตัวกำหนดโดยอ้อมที่เกี่ยวข้องกับอุปสงค์มีการเปล่ียนแปลง ทำให้เส้นอุปสงค์เปลี่ยนเป็น D'
กอ่ ให้เกดิ ดลุ ยภาพของตลาดที่ E' อัตราแลกเปล่ียนดุลยภาพใหมเ่ ปน็ P' และปรมิ าณดลุ ยภาพใหม่เปน็ Q'

8

4. การกำหนดอัตราแลกเปลย่ี นเงนิ ตราต่างประเทศของไทย

การกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของไทย ได้มีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นลำดับ
กล่าวคือ เมื่อสิ้นสงครามโลกครั้งท่ี 2 ได้มีการก่อตัง้ ระบบการเงินระหว่างประเทศระบบใหม่ข้ึนมา มีชื่อเรียก
หลายช่ือดังนี้ ระบบมาตราปริวรรตทองคำ (Gold Exchange Standard System) ระบบอัตราแลกเปล่ียน
คงท่ี (Fixed Exchange Rate System) และระบบกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International
Monetary Fund System) ซ่ึงกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ทำหน้าที่กำกับดูแลให้ประเทศสมาชิก
ปฏิบัติตาม กฎระเบียบท่ีกำหนด ลักษณะสำคัญของระบบนี้คือ มีการกำหนดค่าของเงินตราสกุลต่าง ๆ
เทยี บเท่ากับทองคำจำนวนหน่งึ เงินตราสกุลตา่ ง ๆ จึงมีอัตราแลกเปลย่ี นท่ีกำหนดไวเ้ ปน็ ทางการซึง่ เรยี กว่า ค่า
เสมอภาค (Par Value) และประเทศสมาชิก IMF จะต้องพยายามรักษาค่าเสมอภาค อย่างไรก็ตามในทาง
ปฏิบัติปรากฏว่า ค่าเสมอภาคกับอัตราแลกเปลี่ยนตลาดมักแตกต่างกัน และในกรณี ท่ี อัตราทั้งสองนี้ มี ความ
แตกตา่ งกันมาก การปล่อยทิ้งไว้จะส่งผลกระทบตอ่ ดุลการชำระเงนิ ระหว่างประเทศอย่างมาก หากรัฐบาลปรับ
อัตรา คา่ เสมอภาคให้ตรงกนั หรือใกลเ้ คียงกับอตั ราแลกเปลีย่ นตลาด ก็จะถกู กลุ่มบคุ คลทีเ่ สียประโยชนโ์ จมตี

ดังน้ัน ใน พ.ศ. 2514 ได้มีการยกเลิกระบบมาตราปริวรรตทองคำ ประเทศต่าง ๆ จึงมีอิสระใน
การเลือกระบบอัตราแลกเปลี่ยนตามที่เห็นสมควร สำหรับประเทศไทยโดยธนาคารแห่งประเทศไทยได้มี การ
เลือกใช้รปู แบบต่าง ๆ ตามลำดบั ดงั น้ี ระยะแรกยังคงใช้ระบบกำหนดค่าเงินบาทเทียบกับเงินดอลลาร์ สหรฐั ฯ
ต่อมาในชว่ งปี 2524-2527 ใช้ระบบการกำหนดอัตราแลกเปลยี่ นโดยอาศยั กลไกตลาด แตว่ ิธีน้ี มีความย่งุ ยาก
บางประการจึงได้ยกเลิกและเปล่ียนไปใช้วิธีการกำหนดอัตราแลกเปล่ียนท่ีเรียกว่า “อัตราแลกเปลี่ยนแบบ
ตะกร้า (Basket Currency)” โดยธนาคารแห่งประเทศไทยจะนำข้อมลู อตั ราแลกเปล่ยี น เงินตราสกลุ สำคัญ ๆ
ทปี่ ระเทศไทยทำการค้าขายด้วย และกำหนดความสำคัญตามสัดส่วนของการค้า ท่ชี ำระด้วยเงินสกลุ นั้น โดย
ในแต่ละวันเจา้ หนา้ ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะนำขอ้ มูลอัตราแลกเปล่ยี น เงินตราสกุลต่าง ๆ ใน “ตะกร้า”
แทนค่าลงในสตู รและคำนวณค่าอัตราแลกเปลย่ี นระหว่างเงนิ บาทกบั เงนิ สกุลตา่ ง ๆ ออกมา จากน้ันนำผลการ
คำนวณไปพจิ ารณาและตัดสินใจว่าจะเปล่ียนแปลงหรือไม่ มากนอ้ ยเพียงใด

วิธีน้ีเป็นท่ีนิยมใช้ในประเทศต่าง ๆ ทั่วไป ซ่ึงมีท้ังข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือ ช่วยป้องกันมิให้อัตรา
แลกเปล่ียนมีการผันผวนมากนัก ส่วนขอ้ เสียท่ีอาจจะเกิดข้ึนคือ หากพยายามควบคุมอัตราแลกเปล่ียน ให้อยู่
คงท่ีจนอยู่ห่างไกลจากสภาพที่เป็นจริง ดังเช่นที่เกิดกับประเทศไทยในช่วง พ.ศ. 2539-2540ก็จะเกิดปัญหา
ลักษณะเดียวกับระบบมาตราปริวรรตทองคำ กล่าวคือ ค่าท่ีประกาศออกมาไม่ตรงกับค่าจริง หรือไม่ตรงกับ
อตั ราแลกเปลีย่ นทีก่ ำหนดโดยอุปสงค์และอุปทาน ทำใหต้ ้องมกี ารปรบั คา่ เกดิ ข้ึน

จากการที่ค่าเงินบาทมีค่าสูงกว่าความเป็นจริง ในช่วงปี 2539 ถึงต้นปี 2540 ทำให้รัฐบาลไทย
ตอ้ งประกาศเปลย่ี นแปลงระบบอัตราแลกเปลย่ี นให้เป็นระบบ “การลอยตวั ที่มรี ฐั บาลกำกับ (Managed Float
Exchange Rate)” เมื่อวนั ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 ผลจากการเปลี่ยนแปลงดังกลา่ วทำให้คา่ เงนิ บาท ลดลง
และเร่มิ สะท้อนค่าทใี่ กล้เคียงกับความเปน็ จริงมากขึ้น

9

5. การดุลการชำระเงินระหวา่ งประเทศ

ดุลการชำระเงินระหว่างประเทศ (Balance of International Payment) หมายถึง บัญชี
ท่ีบันทึกรายการรายรับและรายจ่ายเงินตราต่างประเทศ สืบเน่ืองจากการดำเนินธุรกรรมระหว่างผู้ท่ีมี
ภูมิลำเนาของประเทศหน่ึงกับผู้ที่มีภูมิลำเนาในประเทศอื่น ๆ ในรอบระยะเวลาหน่ึงๆ โดยปกติมักจะกำหนด
ให้เป็น 1 ปี เพื่อแลกเปล่ียนทางเศรษฐกิจและกิจกรรมทางเศรษฐกิจอ่ืน ๆ ท่ีเกิดข้ึนระหว่างผู้พำนักอาศัย
ของประเทศหนง่ึ กับผูพ้ ำนักอาศยั ในประเทศอืน่ ๆ ทวั่ โลก

ผ้ทู มี่ ีภูมิลำเนา หมายถึง ผู้พำนักอาศัยอยู่ในอาณาเขตของประเทศหนึง่ หรอื เป็นผูท้ ี่เรียกได้วา่ เป็น
ผู้ท่ีมีภูมิลำเนาเป็นการถาวรอยู่ในประเทศน้ัน เช่น ผู้ที่มีถ่ินฐานของประเทศไทยก็คือผู้ท่ีมีภูมิลำเนาถาวร ใน
ประเทศไทย โดยท่วั ไปคือ ประชาชนที่มีเชื้อชาติไทยหรอื สัญชาตไิ ทย รวมทั้งองค์กรนิตบิ ุคคล ห้างร้าน บริษัท
ทป่ี ระกอบอาชพี อยู่ในประเทศไทย สว่ นนักท่องเที่ยว ข้าราชการสถานทตู ต่างประเทศ บริษัทท่ีเปน็ สาขาของ
บริษทั ต่างชาติ เปน็ ตน้ ไมถ่ กู จัดว่าเปน็ ผู้มีภมู ิลำเนาในประเทศไทย

บัญชีที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างรายรับและรายจ่ายของประเทศกับต่างประเทศ เรียกว่า
“ดุลการชำระเงินระหว่างประเทศ” จะประกอบด้วยบญั ชียอ่ ย ๆ 4 บัญชี ดงั นี้

1. บัญชีเดินสะพัด (Current Account) เป็นบัญชีแสดงรายการการแลกเปลี่ยนสินค้าและ
บริการ ส่วนใหญ่จะเป็นรายการท่ีเกิดข้ึนเน่ืองจากมีการซ้ือขายสินค้าและบริการในรอบปี รายการในบัญชี
ประกอบดว้ ย

1) บญั ชีของสินค้า เป็นรายการเก่ยี วกับสนิ ค้านำเขา้ และสนิ ค้าส่งออก และเมือ่ รวมรายการ ใน
สว่ นของสนิ ค้าทั้งหมดจะเรียกว่า “ดุลการค้า (Balance of Trade)” ซ่ึงดุลการคา้ มี 3 ลักษณะ คือ ดุลการค้า
สมดุล หมายถงึ มลู คา่ สินคา้ สง่ ออกเท่ากับมลู ค่าสนิ ค้านำเขา้ ซ่ึงแสดงว่า รายรับจากการสง่ ออก มมี ูลค่าเท่ากับ
รายจ่ายในการส่ังสินค้าเข้า ดุลการค้าขาดดุล หมายถึง มูลค่าสินค้าส่งออกน้อยกว่ามูลค่า สินค้านำเข้า ซ่ึง
แสดงว่า รายรับจากการส่งออกมีน้อยกว่ารายจ่ายในการส่ังสินค้าเข้า และดุลการค้า เกินดุล หมายถึง มูลค่า
สินค้าส่งออกมากกว่ามูลค่าสินค้านำเข้า ซึ่งแสดงว่า รายรับจากการส่งออกมีค่า มากกว่ารายจ่ายในการส่ัง
สนิ ค้าเขา้

2) บัญชีของบริการหรือดุลบริการ เป็นรายการเกี่ยวกับบริการระหว่างประเทศ เช่น ค่าขนส่ง
สนิ คา้ ค่าระวางการเดนิ ทางระหวา่ งประเทศ เปน็ ตน้
ทัง้ นี้ ดุลบญั ชเี ดนิ สะพดั จะเป็นตวั ชศ้ี ักยภาพในการแสวงหารายได้ของประเทศ

2. บัญชีเงนิ โอนหรือเงนิ บริจาค (Transfer Account) รายการที่นำมาบันทึกในบัญชีน้ีเป็นการ
ใหเ้ ปล่า โดยทเ่ี อกชนหรอื รฐั บาลของประเทศหนึ่งให้กับเอกชนหรือรัฐบาลของประเทศอื่น ๆ บญั ชีการโอน จะ
ประกอบดว้ ยรายการต่าง ๆ ทง้ั ทเ่ี ป็นสินคา้ บรกิ าร ของขวัญ หรอื เงนิ ตราต่างประเทศก็ได้ เช่น คนงานไทย ไป
ทำงานที่ตะวันออกกลาง ส่งเงินตราต่างประเทศมาให้แก่ญาติพีน่ ้องในประเทศไทย หรือการบริจาค ช่วยเหลือ
ระหว่างรัฐบาลต่อรฐั บาล เช่น รฐั บาลไทยบริจาคข้าวให้องค์การสหประชาชาติ เพื่อนำไปช่วยเหลือ ผู้ลี้ภัยใน
ค่ายอพยพ หรือการท่ีรัฐบาลสหรัฐอเมริกาบริจาคเงินช่วยเหลือในโครงการอีสานเขียวให้กับ รัฐบาลไทย

10

เป็นต้น เพราะฉะน้ันถ้าประเทศท่ีให้ความช่วยเหลือแก่ต่างประเทศรายการนั้นจะปรากฏอยู่ใน
ดลุ การชำระเงนิ ทางด้านเดบิต แตถ่ ้าประเทศทีไ่ ด้รับความชว่ ยเหลอื รายการนนั้ จะปรากฏอย่ทู างดา้ นเครดิต

3. บัญชีทุนเคลื่อนยา้ ย (Capital Account) เป็นบัญชีที่บันทึกรายการเก่ยี วกับการเคลื่อนย้าย
เงนิ ทุนทั้งโดยตรงและโดยอ้อม การลงทุนโดยตรง คือ การลงทุนระยะยาว (มากกว่า 1 ปี) หมายถึง การลงทุน
หรอื เงนิ กทู้ ่มี ีกำหนดไถถ่ อนนานเกนิ กว่า 1 ปี ไดแ้ ก่ การไปตง้ั บรษิ ทั สาขา หรือโรงงานใน ต่างประเทศ เพ่ือทำ
การคา้ หรอื การผลิตสินคา้ เช่น บรษิ ัทต่างประเทศเข้ามาตั้งโรงงานอตุ สาหกรรม ในประเทศไทย โดยที่เจา้ ของ
ทนุ นำเงินทุนและผู้ประกอบการเป็นบุคคลกลมุ่ เดียวกัน เพราะฉะน้ันจะได้ รับผลตอบแทนในรูปของกำไร ใน
ปจั จบุ ันประเทศกำลงั พัฒนาได้ให้ความสนใจและมคี วามต้องการ การลงทุนประเภทน้ี มากส่วนการลงทุนโดย
ออม คือ การลงทุนระยะส้ัน หมายถึง การลงทุนท่ีมี กำหนดระยะ เวลาน้อยกว่า 1 ปี การลงทุนระยะสั้น
ประกอบด้วยรายการต่าง ๆ เช่น การซ้ือขายพันธบัตร หรือการให้กู้ ยืมเงิน หรือการซ้ือขายสินเช่ือ ซึ่ง
ระยะเวลาชำระเงินน้อยกว่า 1 ปี ยอดเงินฝากธนาคารท่มี ีอยู่กับธนาคาร ในต่างประเทศ หรอื ที่ต่างประเทศมี
ฝากกับธนาคารในประเทศ จำนวนหนี้ซึ่งพ่อค้าของประเทศเป็นลูกหนี้ หรือเจ้าหนก้ี ับพอ่ ค้าตา่ งประเทศก็อย่ใู น
รายการลงทุนระยะส้ัน ผูล้ งทุนทางออ้ มจะได้รบั ผลตอบแทนในรูปดอกเบ้ียแบบรับสนิ เชื่อจากผู้ขายและอ่ืน ๆ
หรือการซื้อขายหลักทรพั ย์หรือพันธบัตรของต่างประเทศ โดยผลู้ งทุนจะได้รับผลตอบแทนในรปู ของดอกเบี้ย
หรอื เงินปันผล

4. บัญชีทุนสำรองระหว่างประเทศ (International Reserve Account) ประกอบด้วย
รายการที่เป็นหลักทรัพย์ ได้แก่ ทองคำ เงินตราต่างประเทศ หลักทรัพย์ทั้งระยะส้ันและระยะยาว เงินฝาก
ธนาคารพาณิชย์ ในต่างประเทศและสิทธิถอนเงินพิเศษ ซ่ึงเป็นเงินท่ีกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)
สร้างข้ึนเพื่อให้ ประเทศสมาชิกกู้ยืมหรือนำไปชำระหน้ี ระหว่างประเทศสมาชิก บัญชีทุนสำรองระหว่าง
ประเทศมีลักษณะแตกต่างจากบัญชีอ่ืน ๆ ของดุลการชำระเงนิ เพราะเป็นรายการประเภทท่ีเกิดขึ้นเพ่ือปรับ
หรือชดเชย ความแตกต่างระหว่างยอดรวมทางด้านรายรบั และรายจ่ายเงินตราต่างประเทศในบัญชีเดินสะพัด
บัญชีทุนเคล่ือนย้ายและการบริจาคให้เข้าสู่ภาวะสมดุล ถ้าประเทศมีดุลการชำระเงินขาดดุล จะทำให้ ทุน
สำรองระหว่างประเทศลดลง หรือถ้าประเทศมีดุลการชำระเงินเกินดุล จะทำให้ทุนสำรองระหว่างประเทศ
เพ่ิมขน้ึ

ในกรณีท่ดี ลุ การชำระเงนิ ขาดดุล กล่าวคอื รายรบั จากตา่ งประเทศน้อยกว่ารายจา่ ยของประเทศ ท่ี
ต้องจ่ายให้กับตา่ งประเทศ ประเทศน้นั จะต้องนำเอาสว่ นประกอบใดส่วนประกอบหนึ่งมาชดเชย ซึ่งจะมีผลทำ
ใหเ้ งินทุนสำรองระหว่างประเทศลดลงจากเดิม ในทางตรงข้าม ถ้าดุลการชำระเงนิ เกินดุล แสดงวา่ รายรับจาก
ต่างประเทศมากกว่ารายจ่ายที่ให้กับต่างประเทศ รัฐบาลหรือธนาคารกลางก็จะ โอนเงินตราส่วนท่ีเกินดุล ไป
รวมเข้ากับเงินทนุ สำรองระหวา่ งประเทศเพือ่ เก็บสะสมไว้

สาเหตุของดุลการชำระเงินระหว่างประเทศขาดดุล อาจเกิดในแต่ละบญั ชีดังนี้
1. การขาดดลุ บญั ชีเดินสะพัด องค์ประกอบดุลบัญชีเดินสะพัด คือ ดุลการค้าและดุลบริการ

1) สาเหตุการขาดดุลการค้า คอื การที่ประเทศใดประเทศหน่ึงส่งสินค้าไปขายยงั ตา่ งประเทศ
ซ่งึ มีมูลคา่ นอ้ ยกวา่ สินคา้ นำเขา้ สาเหตสุ ำคญั ที่มีผลให้ดุลการค้าขาดดุลได้ แก่ (1) โครงสร้างและปัญหาจากการ

11

ส่งออกสินค้า โดยเฉพาะประเทศเกษตรกรรมจะไม่สามารถควบคุมปริมาณการผลิตและการส่งออก สินค้า
เกษตรกรรมได้ ทำให้ไมส่ ามารถวางแผนการผลิตลว่ งหน้าได้ (2) โครงสร้างและปญั หาจากการนำเข้า ประเทศ
เกษตรกรรมมีความต้องการนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรม เพ่ือใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ แต่ราคา
สินค้านำเข้ามักมีราคาสูงกวา่ ราคาสินคา้ เกษตรกรรม จึงเปน็ เหตุให้รายจ่ายเพ่ือนำเข้าสนิ ค้าจาก ตา่ งประเทศ
มากกว่ารายได้จากการส่งออก (3) การเปล่ียนแปลงรายได้ประชาชาติ การเคล่ือนไหวขึ้นลงของ รายได้
ประชาชาติย่อมสง่ ผลให้ประเทศประสบกับปญั หาดลุ การชำระเงินขาดดุล ประเทศทีส่ ่งออกสนิ คา้ เกษตรกรรม
ไปจำหน่ายยังต่างประเทศมักมีรายได้จากการส่งออกน้อยกว่าเมื่อเทียบกับประเทศท่ีส่งออก สินค้า
อุตสาหกรรม (4) เม่ือเกิดภาวะเงินเฟ้อ มีผลให้ราคาสินค้าส่งออกมีแนวโน้มสูงข้ึน อาจทำให้ประเทศนั้น
สูญเสยี ตลาดในตา่ งประเทศไปเรอื่ ย ๆ จนกระทงั่ นำไปสกู่ ารขาดดุลการค้าและดุลการชำระเงินในทีส่ ดุ

2) สาเหตุการขาดดุลบริการ สาเหตุท่ีสำคัญของการขาดดุลบริการ คือ การท่ีนักท่องเที่ยว
ภายในประเทศหันไปเทีย่ วยังต่างประเทศมากข้ึน กิจการของธุรกิจชาวต่างประเทศ (หากมีการสง่ รายได้ กำไร
หรือเงินปันผล ตลอดจนค่าดอกเบ้ียและค่าลิขสิทธิ์กลับต่างประเทศมาก ย่อมส่งผลต่อดุลการชำระเงิน ของ
ไทยได้) ประชาชนภายในและตา่ งประเทศนิยมใชก้ ารขนสง่ ระหว่างประเทศของบริษัทต่างชาติ มากกว่าบรษิ ัท
ของคนในประเทศ มีผลให้รายจ่ายประเภทค่าระวางและค่าประกันภัยสินค้าตลอดจนค่าใช้จ่าย ในการขนส่ง
อ่ืน ๆ สูงกวา่ รายรบั

2. การขาดดุลบัญชีทุนเคล่ือนย้าย การเปล่ียนแปลงในโครงสร้างการเคล่ือนย้ายเงินลงทุน
ระหว่างประเทศ การหยุดชะงักของเงินทุนระยะยาวท่ีไหลเข้าเป็นประจำ รฐั บาลมีนโยบายไม่ชัดเจน ในการ
ลงทนุ การขาดแคลนแรงงาน ยอ่ มเปน็ เหตใุ ห้ดุลการชำระเงนิ ขาดดลุ ได้

3. การขาดดุลบัญชีการโอนและบริจาค การท่ีประเทศได้รับเงินโอนเข้ามาน้อยกว่าเงินโอนท่ี
ออกไป โดยเฉพาะความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากต่างประเทศ นอกจากน้ีถ้าประเทศต้องชดใช้หน้ีสิน หรือ
คา่ เสยี หาย ตลอดจนให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศอื่น ๆ มากขน้ึ ยอ่ มทำให้เงินตราตา่ งประเทศไหลออกทำให้
เกิดการเสียเปรียบทางดา้ นการเงิน และการขาดดลุ การชำระเงินระหวา่ งประเทศ

การแก้ไขปัญหาดุลการชำระเงินและดุลการค้าระหว่างประเทศขาดดุล มีแนวทางแก้ไข 4
แนวทาง ดังน้ี

1. แนวทางแกไ้ ขการขาดดลุ บัญชีเดินสะพัด มดี งั น้ี
1) แนวทางเพ่ิมการส่งออก การพยายามส่งเสริมให้มีสินค้าออกให้มากข้ึน เป็นวิธีการท่ีให้

ได้มาซึ่งเงนิ ตราต่างประเทศ วิธกี ารสง่ เสริมอาจทำไดโ้ ดย (1) ลดราคาสนิ คา้ ที่ส่งไปจำหน่ายยังตา่ งประเทศ ถ้า
สินค้าที่ส่งออกไปขายยังตา่ งประเทศมรี าคาลดลง ชาวตา่ งชาติก็จะซื้อสินค้าจากประเทศน้ันมากข้ึน แตก่ ารลด
ราคาสนิ ค้าจะไดผ้ ลมากน้อยแค่ไหนขึน้ อยู่กบั ต้นทุนการผลิต ถ้าต้นทุนการผลิตสูงก็ไม่สามารถ ลดราคาได้มาก
นกั เว้นเสยี แต่รัฐบาลจะให้เงินอดุ หนุนแก่ผสู้ ่งออก เชน่ การงดหรอื ลดภาษีอากรบางชนดิ ยกเวน้ ภาษวี ัตถุดิบที่
สั่งจากต่างประเทศ การให้เงินช่วยเหลือพิเศษ เป็นต้น (2) การสนับสนุนการผลิต เพื่อการส่งออกอาจทำได้
หลายวิธี เช่น การกระจายสินค้าส่งออกให้มากชนิดข้ึน เพ่ือลดความผันผวนจากรายได้ จากการส่งออกและ
การกดี กันทางการค้าจากประเทศคู่ค้า และเพ่ิมแหล่งรายได้จากการส่งออกให้มากย่งิ ข้ึน ดังนนั้ รฐั บาลควรมี

12

แนวทางสนับสนุนการผลิตเพ่ือการส่งออก เช่น รัฐบาลควรจัดหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์ แก่ผู้ส่งออก ส่งเสริม
การวิจยั และการพฒั นา เจรจากับประเทศต่าง ๆ เพ่ือจดั สรรโควตาการสง่ ออกให้มากขน้ึ

2) แนวทางการลดการนำเข้า วิธีการควบคุมคือ การตั้งกำแพงภาษี คือ การเก็บภาษีสินค้า
นำเข้าใหส้ ูงขน้ึ เมือ่ ราคาสนิ ค้าสูงขึ้นยอ่ มมผี ลให้พ่อคา้ ส่งั ซ้อื สินคา้ จากตา่ งประเทศนอ้ ยลงหรอื ปริมาณ
การบริโภคสินค้าชนิดน้ันลดต่ำลง หรือการกำหนดโควตา ซึ่งเป็นการกำหนดปริมาณสินค้านำเข้าของรัฐบาล
สามารถเพ่มิ หรือลดใหเ้ หมาะสมกับสถานการณ์ได้

3) การลดค่าของเงิน จะทำให้มีการส่งออกมากขึ้น ส่วนการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ จะ
ลดลง กล่าวคือการส่งออกจะเพ่ิมขึ้น เนื่องจากการลดคา่ เงินบาท จะทำให้ราคาส่งออกสินค้าของไทย ในตลาด
ตา่ งประเทศถกู ลง ทำให้ชาวต่างชาตซิ ้ือสินค้าไทยมากข้ึน สว่ นการทส่ี ินคา้ นำเขา้ ลดลง เนื่องจาก ผนู้ ำเข้าต้อง
ชำระเงินบาทเพ่ิมข้ึน เพื่อใช้ซ้ือสินค้าและบริการเป็นเงินตราต่างประเทศมากขึ้น เพราะ หลังลดค่าเงินบาท
แลว้ เขาจะตอ้ งจา่ ยเงินเพ่มิ ข้นึ ทำให้ต้นทุนและราคาสินค้านำเข้าสงู ข้นึ ประชาชนภายใน ประเทศจะซื้อสนิ ค้า
จากตา่ งประเทศลดลง

2. แนวทางแก้ไขการขาดดุลบัญชีทนุ เคล่ือนย้าย การส่งเสริมการลงทุนทั้งภายในและภายนอก
ประเทศเปน็ มาตรการแกไ้ ขปญั หาการขาดดุลการชำระเงนิ แนวทางส่งเสริมการลงทนุ ที่สำคญั มีดังนี้

1) นโยบายรักษาเสถียรภาพการเงินของประเทศ พยายามควบคุมไม่ให้มีความผันผวนใน
เรื่องของอัตราดอกเบ้ีย เสถียรภาพของอัตราแลกเปล่ียน เพราะจะมีผลให้นักลงทุนไม่กล้าตัดสินใจเข้า มา
ลงทนุ ทั้งการลงทนุ โดยตรงและการลงทนุ ในหลกั ทรพั ย์ เนอ่ื งจากขาดความมั่นใจในเร่อื งผลตอบแทน

2) นโยบายและหลักประกัน รัฐบาลควรให้หลักประกันว่ารัฐจะไม่โอนกิจการของเอกชนมา
เป็นของรัฐ หรอื ไม่ประกอบกิจการที่จะแขง่ ขันกับกิจการที่เอกชนได้รบั การส่งเสริมและอนุญาตให้นำผลกำไร
ออกนอกประเทศ อนญุ าตให้ถือกรรมสทิ ธิ์ที่ดนิ และนำช่างฝมี อื และผู้บริหารงานจากต่างประเทศ เขา้ มาทำงาน
ได้

3) นโยบายภาษีและแรงจูงใจ รฐั บาลควรมีนโยบายและมาตรการทางด้านภาษแี ละแรงจูงใจ
เช่น ยกเว้นอากรหรือลดหย่อนภาษีขาเข้าและภาษีการค้าสำหรับเคร่ืองจักร วัตถุดิบท่ีนำเข้าหรือมีใช้
ภายในประเทศ เพ่ือส่งเสริมกิจการลงทุนโดยเฉพาะการผลิตเพื่อการส่งออก การให้สิทธิประโยชน์ดังกล่าว
สามารถลดต้นทุนการผลิตได้มาก ทำให้ราคาสินค้าต่ำลงได้สามารถส่งออกและแข่งขันกับต่างประเทศได้
ขณะเดียวกันมีผลให้ประชาชนหันมาซื้อสินค้าภายในประเทศแทนการซ้ือสินค้าจากต่างประเทศ นอกจากนี้
มาตรการส่งเสรมิ การลงทุนทางด้านภาษีอากรอีกประเภทหน่ึงคือ การต้ังกำแพงภาษี การควบคุม การนำเข้า
เป็นต้น ข้อควรระวังในการใช้นโยบายภาษีเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมท่ียังต้องพึ่งพาวัตถุดิบ ตลอดจน
เครอ่ื งจักรจากตา่ งประเทศ อาจจะทำให้มูลค่าการนำเข้าสนิ ค้าเหลา่ น้ันเพ่ิมข้นึ ดุลการค้าและ ดุลการชำระเงิน
ยิ่งขาดดลุ มากขึ้น ดังน้ัน นโยบายสง่ เสริมการลงทุนควรสนับสนุนใหธ้ ุรกิจใช้วัตถุดบิ ที่มอี ยู่ ภายในประเทศแทน
การนำเข้าจากต่างประเทศเป็นสำคัญ

13

4) ส่งเสริมบรรยากาศการลงทุนภายในประเทศ แนวทางการส่งเสริมการลงทุนจะลุล่วง ไปได้
ด้วยดี ประเทศจะต้องมีบรรยากาศการลงทุนที่เอื้ออำนวยและจูงใจนักลงทุนจากต่างประเทศและ
ภายในประเทศไม่ให้ไปลงทุนในต่างประเทศ มีบรรยากาศการลงทุนที่ดี เช่น มีเสถียรภาพทางการเมือง และ
การปกครอง มคี วามมัน่ คงปลอดภยั ในชวี ติ และทรพั ยส์ ิน เปน็ ตน้

3. แนวทางแก้ไขการขาดดุลบัญชเี งินโอนและเงนิ บริจาค แม้ว่าดลุ บัญชเี งนิ โอนและเงนิ บริจาค
จะสามารถแกไ้ ขไดย้ าก เพราะอยนู่ อกเหนือปัจจัยการควบคุม เชน่ เปา้ หมายของประเทศที่ให้ความชว่ ยเหลือ
การเมืองระหว่างประเทศ นโยบายของรัฐบาลท่ีมีต่อประเทศต่าง ๆ หากประเทศใดได้รับเงินโอนเข้ามา
มากกวา่ เงินโอนทอี่ อกไป ยอ่ มช่วยใหด้ ุลการชำระเงินระหว่างประเทศไดเ้ ปรยี บ

4. แนวทางเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการผลิตและการค้าระหว่างประเทศ การเปล่ียนแปลง
โครงสร้างการผลิตและการค้าระหว่างประเทศจะต้องเปล่ียนแปลงโครงสร้างการผลิต โดยมุ่งลดการนำเข้า
สินคา้ ฟ่มุ เฟอื ยและพยายามประหยดั การใช้สินค้าหรือทรัพยากรบางประเภททตี่ อ้ งใช้จ่ายเงินตรา ต่างประเทศ
เป็นจำนวนมาก พยายามหาช่องทางส่งสนิ ค้าออกทปี่ ระเทศมีความได้เปรยี บโดยเปรยี บเทียบ และสนับสนุนให้
มกี ารใชเ้ ทคโนโลยี ตลอดจนการวิจยั เพื่อพฒั นาสินคา้ ส่งออก

การค้าระหวา่ งประเทศและดลุ การชำระเงินระหวา่ งประเทศของประเทศไทย
การค้าระหว่างประเทศของประเทศไทย
การติดต่อค้าขายกับต่างประเทศของประเทศไทยมีบทบาทท่ีสำคัญมาก เพราะการค้าระหว่าง
ประเทศ มีผลกระทบต่อธุรกจิ ภายในประเทศอย่างมาก ซึง่ เหน็ ได้จากการวางแผนพฒั นาจะมีนโยบายส่งเสริม
การส่งออก เพราะการส่งออกมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของไทยมาก เน่ืองจากประเทศไทยเป็นประเทศ
เกษตรกรรม จึงมกั เสยี เปรียบประเทศอุตสาหกรรม ทำให้ประสบกับปัญหาการขาดดุลการค้ามาโดยตลอด แม้
รัฐบาลไทย จะพยายามแกไ้ ขปัญหาดงั กล่าวก็ตาม
โครงสรา้ งการค้าระหวา่ งประเทศของไทย
ประเทศไทยมีความจำเป็นเหมือนประเทศในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลกที่ต้องพงึ่ พาการติดต่อซ้ือขาย
แลกเปล่ียนสินค้าและบริการระหว่างประเทศ สำหรับการค้าระหว่างประเทศของไทยมีโครงสร้างสินค้าออก
และสินค้าเขา้ ดงั นี้
1. โครงสร้างสินค้าส่งออก สินค้าส่งออกส่วนใหญ่เป็นผลผลิตทางการเกษตรและเป็นสินค้าข้ัน
ปฐมภูมิ ในระยะหลังมีการสง่ ออกสินค้าอตุ สาหกรรมเพิ่มมากขึน้ สินค้าส่งออกของไทย ประกอบด้วย

1) สินค้าทางการเกษตร ได้แก่ ข้าว ยางพารา ข้าวโพด ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังและ ผลิตผล
เกษตรอื่น ๆ สินค้าส่งออกเหลา่ นเ้ี ป็นสินคา้ ที่ประเทศไทยส่งออกมาเป็นเวลานาน และปจั จบุ นั เป็นสินคา้ หลัก
ท่ที ำรายไดใ้ หแ้ ก่ประเทศเป็นจำนวนมาก

2) สนิ ค้าส่งออกชนดิ ใหม่ ได้แก่ กุ้งสดแช่แขง็ เน้ือไก่ ปลาหมึก ปลา ผลไม้ และผลผลิตอื่น ๆ
3) สินค้าอุตสาหกรรม ได้แก่ คอมพิวเตอร์และช้ินส่วนคอมพิวเตอร์ แผงวงจรไฟฟ้า อัญมณี
เส้ือผ้าสำเร็จรปู ผลิตภณั ฑเ์ หลก็ และเหลก็ กล้า ผลติ ภัณฑน์ ้ำมนั และสนิ คา้ อุตสาหกรรมอ่ืน ๆ

14

สนิ ค้าส่งออกของไทยเหล่าน้ีนำเงินตราต่างประเทศมาสู่ประเทศ มูลค่าและปริมาณสินค้าออก
ของแต่ละปีนั้นแตกต่างกันออกไปและมีปัจจัยต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องกับการส่งสินค้าออกก็เปล่ยี นไปเสมอ ปัญหา
ของสินค้าส่งออกในแต่ละปีไม่เหมือนกับปีก่อน ๆ ดังน้ัน เพ่ือขจัดความยุ่งยากและความสับสน ในการ
วเิ คราะหส์ นิ ค้าสง่ ออกในแตล่ ะปี จะช่วยใหไ้ ดเ้ นื้อหาทีล่ ะเอียดและไม่ผดิ พลาด

2 โครงสร้างสินค้านำเข้า สินค้านำเข้าของไทยมีแนวโน้มสูงขึ้น โครงสร้างสินค้านำเข้ามี 4
รายการ ดังนี้

1) สินค้าอุปโภคบริโภค ได้แก่ สินค้าประเภทอาหาร เคร่ืองดื่ม ผลิตภัณฑ์นม เคร่ืองใช้ในบ้าน
สนิ ค้าเหล่านเ้ี ปน็ สินค้าประเภทสนิ้ เปลอื งและประเภทถาวร

2) สินค้าก่ึงสำเร็จรูปและวัตถุดิบ เป็นสินค้าท่ีใช้ในการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคและใช้เพ่ือ
ผลิตสนิ ค้าทนุ

3) สนิ คา้ ประเภททุน ไดแ้ ก่ เคร่ืองจักร เครอ่ื งมอื ปุย๋ เคมี และสินคา้ ประเภททุนอนื่ ๆ
4) สนิ ค้าอน่ื ๆ ไดแ้ ก่ รถยนต์ เช้อื เพลงิ อะไหลร่ ถยนต์ สนิ ค้าเบด็ เตล็ด และทองคำแทง่
ปจั จุบัน ประเทศไทยมีการนำเขา้ สินค้าจากต่างประเทศมากกว่าการส่งออกไปขายต่างประเทศ
ท้งั นเี้ นื่องจากสาเหตหุ ลายประการ ดงั น้ี
1. ประเทศอยู่ในระหว่างการเร่งรัดพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม มีความจำเป็นต้องสั่งสินค้า
ประเภททนุ เข้ามาเพิ่มข้ึนอยา่ งรวดเร็ว
2. ประเทศไทยรับเงินตราต่างประเทศเพิ่มข้ึนในรูปของเงินกู้ เงินช่วยเหลือและเงินทุนของ
ตา่ งประเทศ ซง่ึ มเี ง่อื นไขและความกดดนั ให้มกี ารสง่ั สินค้าเขา้ ทงั้ ทางตรงและทางออ้ ม
3. อิทธิพลจากการเลียนแบบในการบริโภคจากต่างประเทศ เกิดความต้องการในการบริโภค
สินค้า เพอื่ การอุปโภคบรโิ ภคเพ่มิ ขึน้ อย่างรวดเร็ว
4. ประเทศไทยสง่ เสริมให้เอกชนทำการค้าโดยเสรี มีการควบคุมการนำเข้าเพยี งเล็กน้อยเท่าน้ัน
จงึ มีการสัง่ สินคา้ เขา้ เพิ่มข้ึนอย่างรวดเรว็

15

ตาราง แสดงดุลการชำระเงินระหวา่ งประเทศของประเทศไทย ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559-2563

สรปุ การได้เปรียบโดยเปรยี บเทยี บ ถึงแมว้ ่าประเทศหนงึ่ จะอยู่ในฐานะเสยี เปรียบอีกประเทศหนึ่ง
ในการผลิตสินค้าทุกชนิดก็ตาม ประเทศท้ังสองย่อมทำการค้าต่อกันได้โดยแต่ละประเทศจะเลือกผลิต เฉพาะ
สนิ ค้าท่ีตนได้เปรยี บ จะทำให้ประเทศตนสามารถผลิตสินค้าได้ด้วยต้นทุนต่ำสุด แล้วนำไปแลกเปล่ียน กับอีก
ประเทศหน่ึง ทั้งสองประเทศก็จะได้รับประโยชน์จากการค้าระหว่างประเทศ สำหรับนโยบายการค้า ระหว่าง
ประเทศมี 2 นโยบายใหญ่ ๆ คือ นโยบายการค้าเสรี เป็นนโยบายการค้าท่ีไม่สนับสนุนการเก็บภาษี ศุลกากร
ในอัตราท่ีสูงและพยายามขจัดข้อจำกัดต่าง ๆ ท่ีขัดขวางการค้าระหว่างประเทศและนโยบายการค้า คุ้มกัน
เป็นนโยบายที่คุ้มครองเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งมีความสามารถไม่เท่ากัน การใช้นโยบายคุ้มกันก็เพื่อ
ช่วยเหลืออุตสาหกรรมโดยการต้ังกำแพงภาษี ซึ่งจะช่วยให้รัฐมีรายได้จากภาษีนำเข้า มีอำนาจต่อรองและ
ความมน่ั คงทางการเมอื งระหวา่ งประเทศ

อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ใช้เป็นส่ือกลางในการซื้อขายแลกเปลี่ยนในการติดต่อทำ
การค้า ระหวา่ งประเทศ ประเทศคคู่ ้าจะบันทึกรายการการค้าทเ่ี กดิ ขึ้น เพ่ือทราบผลการค้าท่ไี ดด้ ำเนนิ ไปในแต่
ละปี ซึ่งมี 2 ลักษณะ คือ ดุลการค้าและดุลการชำระเงิน ในกรณีที่ประเทศมีดุลการชำระเงินขาดดุลอาจเกิด
จากภัยธรรมชาติ มีการลงทุนในโครงสรา้ งพืน้ ฐานของประเทศเปน็ จำนวนมาก

16

แบบเรยี นร้หู น่วยการเรยี นรู้ที่ 13

ตอนที่ 1 จงตอบคำถามต่อไปน้ี
1. ทำไมการคา้ ระหว่างประเทศจึงมคี วามจำเปน็ ตอ่ ประเทศตา่ ง ๆ บนโลกใบนี้

.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

2. การค้าระหวา่ งประเทศมเี หมอื นหรอื ตา่ งจากการค้าภายในประเทศอยา่ งไร

.....................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................... ......
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

3. อธิบายผลดขี องการมกี ารคา้ ระหวา่ งประเทศ

.....................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................ .........
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

4. การค้าระหวา่ งประเทศกอ่ ใหเ้ กดิ ปญั หาใดตอ่ เศรษฐกิจภายในและภายนอกประเทศ

.....................................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................... ..........................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

5. ในปจั จบุ นั ประเภทของการกำหนดอัตราแลกเปล่ยี นเงนิ ตราต่างประเทศมีอะไรบ้าง

.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................... .................................
.....................................................................................................................................................................................

17

6. ดลุ การคา้ แตกตา่ งจากดลุ การชำระเงินอย่างไร

.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

7. มาตรการการแกไ้ ขดลุ การชำระเงินและดุลการคา้ ระหวา่ งประเทศขาดดลุ มอี ะไรบ้าง

.....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................... ..............................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

8. อัตราแลกเปลีย่ นดุลยภาพเกดิ ขน้ึ ได้อยา่ งไร

.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

9. เครื่องมือของนโยบายคุ้มกนั มอี ะไรบา้ ง

.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

18

ตอนที่ 2 จงเลอื กขอ้ ท่ีถูกตอ้ งที่สดุ เพยี งข้อเดยี ว
1. เพราะเหตใุ ดแต่ละประเทศจงึ ต้องมกี ารคา้ ระหว่างประเทศ

ก. ทรพั ยากรธรรมชาตติ า่ ง ๆ มมี ากน้อยแตกต่างกนั
ข. สภาพของภมู ปิ ระเทศและภมู ิอากาศแตกต่างกัน
ค. แรงงานมคี วามชำนาญงานแตกต่างกัน
ง. การพฒั นาเทคโนโลยีแตกตา่ งกนั
จ. ถกู ทุกขอ้

2. การต้ังกำแพงภาษีเป็นนโยบายประการหน่งึ ของการค้าแบบใด
ก. การค้าภายในประเทศ
ข. การค้าระหว่างประเทศ
ค. การคา้ ขายจากภาคกลางไปยังภาคใต้
ง. การค้าขายจากจงั หวัดหนึ่งไปยังอีกจังหวัดหนง่ึ
จ. การคา้ ขายระหวา่ งชุมชนท่ีมคี วามเขม้ แข็ง

3. ปจั จุบนั อัตราแลกเปล่ียนของเงนิ บาทกับดอลลารส์ หรัฐฯ ประมาณ 1$ = 32 บาท ข้อใดเปน็ การลดคา่ เงิน
บาท
ก. 1$ = 29 บาท ข. 1$ = 35 บาท
ค. 1$ = 32 บาท ง. อย่ทู ผ่ี ้ซู อ้ื และผขู้ ายตกลงกัน
จ. ไมม่ ีขอ้ ใดถกู

4. ค่าเสมอภาคคอื อะไร

ก. คา่ ของเงินท่ีถกู กำหนดโดยอุปสงคแ์ ละอุปทานเงนิ ตราสกุลนั้น

ข. การกำหนดค่าของเงินตราสกุลต่าง ๆ เทียบเท่ากบั ทองคำจำนวนหน่ึง

ค. คา่ ของเงินที่ใชซ้ ือ้ สินค้าและบรกิ ารระหวา่ งกนั

ง. อัตราแลกเปลีย่ นดุลยภาพ

จ. 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 32 บาท

5. หน่วยงานที่ควบคุมค่าเงินตราตา่ งประเทศคือหนว่ ยงานใด

ก. สำนักหักบญั ชี ข. กองทุนการเงินระหว่างประเทศ

ค. กระทรวงการคลงั ง. ธนาคารแห่งประเทศไทย

จ. กรมเศรษฐกจิ การพาณชิ ย์

6. หน่วยงานใดเป็นผ้ทู เ่ี ก็บทนุ สำรองระหวา่ งประเทศ

19

ก. ธนาคารกลาง ข. ธนาคารพาณิชย์
ค. ธนาคารออมสนิ ง. บรษิ ัทเงนิ ทนุ
จ. สถาบนั การเงนิ

7. รายไดจ้ ากการท่องเท่ยี วจะเป็นรายการทีอ่ ยู่ในบญั ชีใด

ก. บญั ชีทุน ข. บญั ชีเงินโอน

ค. บญั ชเี งนิ บรจิ าค ง. บญั ชีเดินสะพดั

จ. บญั ชีดุลการชำระเงิน

8. ดุลการค้าขาดดลุ หมายถึงอะไร
ก. มูลคา่ สินค้าออกมากกวา่ มูลคา่ สินค้าเข้า
ข. มลู ค่าสนิ ค้าออกนอ้ ยกวา่ มูลค่าสินค้าเข้า
ค. รายได้จากนักท่องเที่ยวชาวตา่ งประเทศเพมิ่ ขน้ึ
ง. รายไดจ้ ากนักท่องเที่ยวชาวตา่ งประเทศลดลง
จ. ผดิ ทกุ ขอ้

9. การลดค่าของเงนิ ของประเทศใดประเทศหนึ่งมีแนวโน้มท่จี ะทำใหเ้ กดิ สง่ิ ใดต่อไปนข้ี น้ึ

ก. สินค้าเข้าและสินค้าออกเพ่ิมขึ้น ข. สินค้าเข้าลดลง สนิ ค้าออกเพิ่มขน้ึ

ค. สินค้าเขา้ เพมิ่ ขน้ึ สนิ ค้าออกลดลง ง. สินค้าเขา้ และสินค้าออกลดลง

จ. ผดิ ทกุ ขอ้

10. มาตรการกีดกนั ทางการค้าที่ประเทศพฒั นาแลว้ นยิ มใชใ้ นปจั จุบัน คอื อะไร

ก. กำหนดโควตา ข. หา้ มนำเขา้

ค. การตง้ั กำแพงภาษี ง. ข้อกำหนดด้านสขุ อนามัย

จ. ผิดทุกข้อ

20

ตอนที่ 3 หาข่าวเกยี่ วกับการค้าระหวา่ งประเทศ เช่น การสง่ ออกสนิ คา้ การนำเข้าสินค้า ราคาน้ำมนั ราคา
พืชผลทางการเกษตร เปน็ ตน้ โดยวิเคราะห์สาเหตุ การแก้ปัญหา และผลทมี่ ีตอ่ ดุลการคา้
และดลุ การชำระเงนิ

.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................... ..............................
.....................................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................ .............
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................... ...............................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................. .......

21

ใบงานท่ี 1

ให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่มเพ่ือวิเคราะห์เร่ือง “สถานการณ์โรคระบาด COVID-19 มีผลกระทบด้านการค้า
และการท่องเท่ียวของประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างไร ส่งผลต่อดุลการชำระเงินหรือไม่
อยา่ งไร” จากนนั้ ทำส่งครผู ู้สอน

.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................ .............................
.....................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................... ......
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................. .......................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................... .................
................................................................................................................. ....................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................... ...........
....................................................................................................................... ..............................................................
.....................................................................................................................................................................................

22


Click to View FlipBook Version