THE" ค ว า ม ต า ย สี ดำ "
BLACK DEATH
By . Miss Farina Tehpuyu
“กาฬมรณะ (Black Death)”
ภาวะโรคระบาดครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์
THE
BLACK DEATH
ค ว า ม ต า ย สี ดำ
เป็นเหตุการณ์โรคระบาดทั่วซึ่งสร้างความเสียหายมากที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
มีผู้เสียชีวิตราว 75 ถึง 200 ล้านคน ในทวีปยูเรเชียระบาดรุนแรงสูงสุดในยุโรปช่วง
ปี 1347-1351 หรือเมื่อช่วงกลางศตวรรษที่ 14
พ า ห ะ ข อ ง ม ร ณ ะ สี ดำ ก า ฬ โ ร ค
เชื้อของโรคเกิดจากแบคทีเรีย ชื่อว่า “เยอร์ซิเนีย เปสติส”
(Yersinia pestis ตั้งชื่อตามแพทย์ชาวฝรั่งเศส Alexandre
Emile Jean Yersin ผู้ค้นพบเชื้อชนิดนี้) ซึ่งติดต่อมาสู่คนได้โดย
หมัดที่อาศัยอยู่บนตัวหนูที่เป็นโรค แล้วหมัดก็กัดคนโดยที่แพร่เชื้อ
เข้าทางแผล ทั้งนี้ เชื้อยังสามารถแพร่ได้ทั้งทางอากาศ การสัมผัส
โดยตรง และรับประทานอาหารที่ปนเปื้ อนเชื้อด้วย
อ า ก า ร ข อ ง ผู้ ติ ด เ ชื้ อ
กาฬโรคนั้นจะเริ่มแสดงอาการหลังจากที่ถูกหมัดกัดไปแล้ว
ประมาณ 2-7 วัน อาการเริ่มแรกจะคล้ายกับคนเป็นไข้หวัดใหญ่ คือ
ไข้ขึ้นสูง หนาวสั่น ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ และหลัง
จากนั้นจะเริ่มมีอาการอื่นๆ ตามมา เช่น
1. เมื่อเชื้อเคลื่อนตัวไปเจริญเติบโตยังต่อมน้ำเหลือง จะก่อให้เกิด
อาการต่อมน้ำเหลืองอักเสบ บวม แดง เมื่อกดจะเจ็บ มักเกิด
ตามบริเวณขาหนีบ หรือรักแร้
2. เมื่อเชื้อเริ่มลุกลาม จะเข้าสู่กระแสเลือด ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ความ
ดันต่ำ เลือดออกในอวัยวะต่างๆ เจ็บปวดทุกข์ทรมาน และเสีย
ชีวิตภายใน 3-5 วัน
3. หากมีการติดเชื้อจากการถูกไอจามรดกัน เชื้อจะเข้าสู่ปอดทำให้
เป็นกาฬโรคปอดบวม ไอเป็นเลือด อ่อนเพลีย มีไข้ การติดเชื้อ
ในลักษณะนี้จะเสียชีวิตเร็วมาก ภายใน 1-3 วัน
คำเรียกชื่อว่า Black Death นั้นจึงมาจากอาการ
ขั้นสุดท้ายของผู้ป่วยจากโรคนนี้ คือ ร่างกายจะ
กลายเป็นสีดำ เพราะมีเลือดออกใต้ผิวหนังชั้นหนัง
กำพร้า แต่ยังมีอีกความหมายหนึ่งด้วย คือสื่อถึง
ความน่าสะพรึงกลัวของโรคร้ายนี้ และอารมณ์เศร้า
หมองของผู้คนในยุคสมัยนั้นที่มีแต่ความหดหู่ เศร้า
หมองนั่นเอง
เหตุการณ์กาฬโรคระบาดอย่างรุนแรงในยุโรปจน
ประชากรในยุโรปล้มตายไป ประมาณ 25%
การไม่รู้สาเหตุของโรคทำให้ผู้คนไม่มีวิธี ป้องกัน
และแพทย์ไม่มีวิธีรักษา ดังนั้นทุกคนในสมัยนั้น จึงมี
ชีวิตอยู่ภายใต้เงามัจจุราชจลอดเวลา
น า ง ส า ว ฟ า รี น า เ ต ะ ปู ยู 6 3 1 0 3 1 4 2 9
เ รื่ อ ง ร า ว เ ห ตุ ก า ร ณ์
“กาฬมรณะ (Black Death)” คือ
ภาวะการระบาดของกาฬโรคในยุโรปและ
เอเชีย เมื่อช่วงกลางศตวรรษที่ 14 โรค
ระบาดได้เดินทางมาถึงยุโรปเมื่อเดือน
ตุลาคม ค.ศ.1347 (พ.ศ.1890)
เมื่อเรือจำนวน 12 ลำได้มาเทียบท่ายังท่าเรือเมืองเมสซีนา เกาะซิซิลี ประเทศอิตาลี
เรือลำนี้ได้นำพาความแตกตื่นตกใจมาให้ผู้คน เนื่องจากบนเรือนั้น เต็มไปด้วยศพลูกเรือ
จำนวนมาก ส่วนลูกเรือที่ยังไม่ตาย ต่างก็ป่วยหนัก ตามผิวหนังปกคลุมไปด้วยตุ่มที่มีเลือดและ
น้ำหนองไหลซึม
ทางการซิซิลีได้สั่งให้กลุ่มเรือจำนวน 12 ลำนี้ออกไปจากท่าเรือ หากแต่สายไปแล้วภายใน
เวลาห้าปีจากนั้น ภาวะโรคระบาดนี้จะคร่าชีวิตผู้คนในยุโรปกว่า 20 ล้านคน เกือบ 1 ใน 3 ของ
ประชากรยุโรปในเวลานั้น อันที่จริง ก่อนที่เรือ 12 ลำนี้จะเข้ามาเทียบท่า ผู้คนในยุโรปก็ได้ยิน
ข่าวลือเรื่องโรคระบาด ซึ่งระบาดไปทั่วเส้นทางการค้าในตะวันออก
จนในที่สุด ช่วงกลางศตวรรษที่ 14 โรคระบาดก็ได้เข้าจู่โจมประเทศจีน อินเดีย เปอร์เซีย
ซีเรีย และอียิปต์ คาดเดาว่าโรคระบาด น่าจะกำเนิดขึ้นในเอเชียเมื่อกว่า 2,000 ปีที่แล้ว และ
แพร่ระบาดผ่านเรือสินค้า หากแต่ก็มีงานวิจัยที่บ่งชี้ว่าเชื้อโรคที่เป็นต้นเหตุของกาฬมรณะ ได้
เกิดขึ้นที่ยุโรปตั้งแต่เมื่อ 3,000 ปีก่อนคริสตกาลแล้ว
น า ง ส า ว ฟ า รี น า เ ต ะ ปู ยู 6 3 1 0 3 1 4 2 9
ภาวะโรคระบาดนี้เข้าจู่โจมยุโรปโดยที่ไม่มีใครตั้งตัวทัน โดยอาการนั้น เริ่มจากมีตุ่มหรือฝีที่
บวมพอง โดยขึ้นตามรักแร้หรือขาหนีบ เลือดและน้ำหนองจะไหลซึมออกจากตุ่มหรือฝี ตามมา
ด้วยอาการเจ็บป่วยต่างๆ ทั้งเป็นไข้ มีอาการหนาวสั่น อาเจียน ท้องร่วง มีอาการปวดตามตัว
ก่อนจะเสียชีวิต
โรคระบาดนี้ติดต่อได้ง่าย เพียงแค่สัมผัสเสื้อผ้าของผู้ติดเชื้อก็ทำให้ติดเชื้อได้ อีกทั้งโรคก็
ร้ายแรง หลายคนที่ติดเชื้อ วันนี้อาจจะปกติดี หากแต่วันต่อมาก็อาจจะเสียชีวิตแล้ว โรคระบาด
นี้ติดต่อได้ง่าย เพียงแค่สัมผัสเสื้อผ้าของผู้ติดเชื้อก็ทำให้ติดเชื้อได้ อีกทั้งโรคก็ร้ายแรง หลาย
คนที่ติดเชื้อ วันนี้อาจจะปกติดี หากแต่วันต่อมาก็อาจจะเสียชีวิตแล้ว
แบคทีเรียนั้นแพร่จากคนหนึ่ง ไปสู่อีกคนหนึ่งผ่านทางอากาศ รวมทั้งแพร่จากตัวหมัด ไร
และหนูทั้งตัวหมัด ทั้งหนู เป็นสัตว์ที่พบเห็นได้ทั่วยุโรปในช่วงยุคกลาง โดยเฉพาะบนเรือ ทำให้
โรคนี้แพร่กระจายไปสู่พื้นที่ต่างๆ เป็นวงกว้าง
ภายหลังจากที่กาฬโรคจู่โจมเมืองเมสซีนาได้ไม่นาน ก็ได้กระจายไปสู่เมืองมาร์แซย์ ประเทศ
ฝรั่งเศส และไปต่อยังแอฟริกาเหนือ ก่อนจะไปถึงโรมและฟลอเรนซ์ซึ่งเป็นเมืองการค้าที่สำคัญ
กลางปีค.ศ.1348 (พ.ศ.1891) กาฬโรคได้เข้าสู่เมืองใหญ่ต่างๆ ในยุโรป รวมทั้งปารีสและ
ลอนดอน ในยุคนั้นยุคสมัยที่การแพทย์ยังไม่เจริญก้าวหน้าเหมือนปัจจุบัน ไม่มีใครรู้วิธีการ
ป้องกันและรักษาโรคนี้แพทย์บางคนถึงกับคิดว่าการติดต่อนั้นเกิดจากวิญญาณ และติดต่อได้
เพียงแค่ยืนใกล้ๆ และจ้องตา
การรักษา ก็เป็นการรักษาแบบโบราณ ซึ่งก็ไม่ค่อยได้ผลซักเท่าไร รวมทั้งรักษาโดยวิธีทาง
ไสยศาสตร์ ความเชื่อของคนในยุคนั้น เช่น เผาสมุนไพรที่มีกลิ่นหอมเพื่อให้คนป่วยได้กลิ่นหอม
อาจจะทำให้อาการดีขึ้น รวมทั้งการนำผู้ป่วยไปอาบน้ำด้วยน้ำกุหลาบหรือน้ำส้มสายชู
น า ง ส า ว ฟ า รี น า เ ต ะ ปู ยู 6 3 1 0 3 1 4 2 9
เมืองต่างๆ ตกอยู่ในความตระหนก คนที่ยังแข็งแรงก็พยายามทุกทางเพื่อไม่ให้ตนเองป่วย
แพทย์ก็ปฏิเสธที่จะรักษาคนป่วยอาการหนัก บาทหลวงก็ปฏิเสธที่จะทำพิธีให้ผู้ป่วย ร้านค้า
ต่างๆ ก็ปิดทำการ
ผู้คนจำนวนมากทิ้งเมืองใหญ่ ออกสู่ชนบท หวังจะหนีจากกาฬมรณะ หากแต่ก็หนีไปไม่ได้ไกล
นัก โดยโรคระบาดยังลามไปติดสัตว์ต่างๆ เช่น ไก่ แพะ หมู แกะ ล้วนแต่ติดโรคเช่นเดียวกับ
มนุษย์
ในช่วงเวลาหนึ่ง แกะจำนวนมากตายจากภาวะโรคระบาด ทำให้ยุโรปขาดแคลนขนแกะ อีก
ทั้งผู้คนจำนวนมากต่างก็หาทางเอาตัวรอด หลายรายต้องยอมทิ้งให้คนที่รักป่วยและตายไปเอง
และด้วยความที่ยุคนั้น ผู้คนยังไม่เข้าใจถึงสาเหตุ และธรรมชาติของโรค หลายคนจึงคิดว่านี่
คือการลงโทษจากพระเจ้า อาจจะเป็นเพราะว่าที่ผ่านมา มนุษย์ลุ่มหลงในบาปต่างๆ ไม่ว่าจะ
เป็นความละโมบ ความเห็นแก่ตัว ลุ่มหลงในตัณหา
เมื่อเป็นอย่างนี้ หลายคนจึงคิดว่าทางรอด คือต้องทำให้พระเจ้าอภัยให้พวกตน และวิธีที่จะ
ทำให้พระเจ้าให้อภัย ก็คือการกำจัดพวกนอกรีต และด้วยความคิดนี้เอง ทำให้เกิดการสังหาร
หมู่ชาวยิวในปีค.ศ.1348 (พ.ศ.1891) และค.ศ.1349 (พ.ศ.1892)
ส่วนทางด้านกลุ่มชนชั้นสูงหลายคนก็เลือกที่จะร่วมขบวนกับ “แฟลเจลแลนท์ (Flagellants)”
ซึ่งคือกลุ่มคนที่เดินทางไปตามเมืองต่างๆ ทำพิธีทรมานตัวเอง แฟลเจลแลนท์จะใช้แส้หนังที่
ติดเหล็กแหลม เฆี่ยนตีตนเองและพวกเดียวกัน โดยกระทำกลางที่สาธารณะ ให้ประชาชน
เห็นแฟลเจลแลนท์จะทำพิธีนี้วันละสามเวลา ติดต่อกันนานถึง 33 วันครึ่ง ก่อนจะย้ายไปยัง
เมืองอื่น และทำพิธีนี้ใหม่ ไล่ไปทีละเมือง
น า ง ส า ว ฟ า รี น า เ ต ะ ปู ยู 6 3 1 0 3 1 4 2 9
ต่อมา แฟลเจลแลนท์ค่อยๆ สลายไป เนื่องจากพระสัน
ตะปาปาได้ต่อต้าน ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของ
แฟลเจลแลนท์ เพราะแฟลเจลแลนท์เริ่มจะมีอำนาจเป็น
ที่ยกย่องของผู้คมาก กว่าพระสันตะปาปา
ภาวะโรคระบาดยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง หากแต่เมืองรากูซา
ซึ่งเป็นเมืองท่าที่อยู่ในความควบคุมของเวนิส ก็สามารถชะลอ
การแพร่ระบาดได้ด้วยการสั่งให้เรือที่จะเข้ามาเทียบท่า
จะนำเรือเข้ามาจอดในทันทีไม่ได้ต้องมีการแยกกักตัวลูกเรือให้แน่ใจก่อนว่าลูกเรือไม่ได้ติดโร
เป็นการ “เว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing)” ในยุคแรกๆ เพื่อหยุดการแพร่ของ
เชื้อ ลูกเรือต้องอยู่บนเรือเป็นเวลา 30 วัน ก่อนจะเพิ่มเป็น 40 วันในเวลาต่อมา เพื่อให้แน่ใจ
ว่าลูกเรือนั้นไม่ได้เป็นโรคจริงๆ กาฬมรณะ ค่อยๆ จางลงและเบาบางในช่วงยุคค.ศ.1350
(พ.ศ.1893-1902) หากแต่กาฬโรคก็ไม่ได้หายไปซะทีเดียว ยังคงกลับมาเรื่อยๆ ในศตวรรษ
ต่อๆ มา
การระบาดของกาฬโรคในประเทศไทย
จากข้อมูลที่ปรากฏอยู่ในพงศาวดารอยุธยา ฉบับ
วันวลิต พ.ศ.2182 ว่าก่อนที่จะสถาปนากรุงศรีอยุธยา
ขึ้นมา สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ถูก
เนรเทศมาจากเมืองจีนขึ้นสำเภามาลงที่เมืองปัตตานี
แล้วย้ายอยู่ตามเมืองท่าชายทะเลต่างๆ เช่น เมือง
นครศรีธรรมราช กุยบุรี (ประจวบคีรีขันธ์) เพชรบุรี
บางกอก แล้วมาปราบโรคระบาด
สถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นในปี พ.ศ.1893 ซึ่งตรง หมอกาฬโรค
นั ก บุ ญ ห รื อ ย ม ทู ต ?
กับค.ศ.1350 ซึ่งเป็นปีที่มีการระบาดใหญ่ของ Black
Death ในยุโรป และจากข้อมูลการระบาดของ
กาฬโรคในจีนซึ่งร่วมสมัยกันอยู่ โรค "ห่า" ที่พระเจ้า
อู่ทองปราบได้ น่าจะเป็น "กาฬโรค" หมออีกา หรือ Plague Doctor
ระยะต่อมาพบว่ากาฬโรคจากเมืองจีนยังได้มีการ ที่มีบทบาทสำคัญในยุคนั้นมากๆ แม้จะยัง
แพร่กระจายเข้ามาในไทยอีก ในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่ง ไม่ได้มีวิธีการรักษาที่ช่วยให้หายขาด เป็น
กรุงรัตนโกสินทร์ ปรากฏในเอกสารเก่า เรื่องห้าม เ พี ย ง ก า ร รั ก ษ า ต า ม อ า ก า ร และใช้วิธี
เรือจากซัวเถาเข้ากรุงเทพฯ เมื่อ พ.ศ. 2440 รักษาที่เชื่อกันว่ารักษากาฬโรคได้ นั่น
สำหรับรายงานการระบาดของกาฬโรคอย่างเป็น คือการปรับสารน้ำในร่างกายให้สมดุล
ทางการครั้งแรกในประเทศไทยนั้นนายแพทย์เอช โดยเจาะเลือดออก หรือใช้ปลิงดูดเลือด
แคมเบล ไฮเอ็ด เจ้ากรมแพทย์สุขาภิบาล ออกมา ทางด้านเครื่องแบบของหมออีกา
(Principal Medical Officer of Bangkok City) นั้น จะว่าไปก็นับเป็นชุดป้องกันที่ดีที่สุด
ได้รายงานเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2447 ว่าพบการ เท่าที่สมัยนั้นจะทำได้ คือใช้เสื้อคลุมยาว
ระบาดเกิดขึ้นที่บริเวณตึกแดงและตึกขาว ซึ่งเป็น หนาเคลือบด้วยขี้ผึ้ง สวมหน้ากากที่มี
โกดังเก็บสินค้าที่จังหวัดธนบุรี บริเวณดังกล่าวเป็น จ ง อ ย แ ห ล ม เ ห มื อ น อี ก า เ พื่ อ ที่ จ ะ ไ ด้
ที่อยู่ของพ่อค้าชาวอินเดีย สันนิษฐานว่าน่าจะเกิด ยัดเอาสมุนไพร และเครื่องหอม
จากหนูที่มีเชื้อกาฬโรคติดมาจากเรือสินค้าที่มาจาก ต่างๆ ไว้ในนั้นได้ เช่น
เมืองบอมเบย์ ประเทศอินเดีย แล้วระบาดจากธนบุรี สะระแหน่ การบูร กานพลู เป็นต้น
เข้ามาฝั่ งพระนคร จากนั้นกระจายไปยังจังหวัดต่างๆ อีกทั้งหมอจะไม่สัมผัสตัวผู้ป่วย
ที่มีการติดต่อค้าขายกับจังหวัดพระนคร โดยทางบก โดยตรง แต่จะใช้ไม้เท้า
ทางเรือและทางรถไฟ ในการวินิจฉัยอาการ
ต่อมาในปี พ.ศ.2456 มีรายงานว่าเกิดกาฬโรค
ระบาดที่จังหวัดนครปฐม มีคนตาย 300 คน และ
ครั้งสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ.2495 มีรายงานผู้ป่วย 2 ราย
ตาย 1 ราย ที่ตลาดตาคลี นครสวรรค์ ซึ่งถือเป็น
รายงานการระบาดของกาฬโรคครั้งสุดท้ายใน
ประเทศไทย
น า ง ส า ว ฟ า รี น า เ ต ะ ปู ยู 6 3 1 0 3 1 4 2 9
เ ห ตุ ก า ร ณ์ ก า ร แ พ ร่ ร ะ บ า ด ข อ ง
ก า ฬ โ ร ค ค รั้ ง ใ ห ญ่ ใ น อ ดี ต
1 . ก า ฬ โ ร ค แ ห่ ง จั ส ติ เ นี ย น
PLAGUE OF JUSTINIAN
( ปี ค . ศ . 5 4 1 - 5 4 2 )
เป็นกาฬโรคระบาดครั้งใหญ่ครั้งแรกของโลก เกิดขึ้นในจักรวรรดิไบแซนไทน์
กินอาณาเขตตั้งแต่อียิปต์ เอเชียกลาง ไปถึงศูนย์กลางของอาณาจักรกรุงคอนส
แตนติโนเปิล (เมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกีในปัจจุบัน) ซึ่งมีคนตายถึงวันละหมื่นคน
การระบาดครั้งนี้ติดต่อกันยาวนานเป็นระยะเวลาประมาณ 50 ปี และยังแพร่เข้าสู่
ประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียนในช่วงปี ค.ศ. 588 ประเมินกันว่ามีผู้เสียชีวิตทั่วโลก
หลายล้านคน และต่อมาเชื้อกาฬโรคจากครั้งนี้ยังกลายมาเป็นเชื้อที่ระบาดครั้งใหญ่
ในเหตุการณ์ต่อมา
2 . โ ร ค ร ะ บ า ด ค รั้ ง ใ ห ญ่
GREAT PESTILENCE
( ปี ค . ศ . 1 3 4 6 - 1 3 5 3 )
กาฬโรคระบาดครั้งที่ 2 นี้เป็นที่รู้จักกันมากที่สุด กวาดล้างประชากรในแถบ
ยุโรปไปอย่างมหาศาลมากถึง 1 ใน 3 หรือประมาณ 25 ล้านคน รวมจำนวนผู้เสีย
ชีวิตรอบโลกสูงถึงราว 75 ถึง 100 ล้านคน ซึ่งคำเรียก black death นั้นก็มา
เกิดในยุคนี้นั่นเอง โดยประเทศต่างๆ ก็ล้วนแต่ประสบกับหายนะอันรุนแรงทั้งสิ้น
ยกตัวอย่าง เช่น
เมืองฟลอเรนซ์ ในอิตาลี ช่วงปี 1338 มีประชากรอยู่ประมาณ 110,000-
120,000 คน ถูกกาฬโรคเล่นงานจนเหลือประชากรเพียง 50,000 คน
เมืองลอนดอน อังกฤษ ช่วงปี 1400 เกิดการระบาดใหญ่ที่กรุงลอนดอนเรียก
ว่า “The Great Plague of London” มีคนตายถึง 70% จากจำนวน
ประชากร 450,000 คน เหลือเพียง 60,000 คน
คาดว่าโรคระบาดในครั้งนี้เริ่มต้นมาจากทางตอนใต้ของอินเดีย และประเทศจีน
ตามแนวเส้นทางสายไหม (Silk Road) ซึ่งคาดว่ากองคาราวานพ่อค้าชาวจีน-
มองโกล จะเป็นผู้นำเชื้อที่ระบาดที่เอเชียตอนกลางมายังยุโรป และกระจายไปทั่วทั้ง
เอเชีย ยุโรป และแอฟริกา
เนื่องจากยุคนั้นยังไม่มีวัคซีนรักษา หนทางที่จะรอดตายคือการอพยพ
ไปยังพื้นที่อื่น โดยเฉพาะเขตพิ้นที่ภูเขาโดดเดี่ยว เพราะว่าเขตตัวเมืองที่มีขนาด
ใหญ่ มีความหนาแน่นของประชากรสูง ก็ยิ่งมีความเสี่ยงในการแพร่กระจายของ
เชื้อกาฬโรคได้ง่ายกว่า
ในช่วงยุคนี้เองที่จะเห็น "หมออีกา" หรือแพทย์ผู้รักษาผู้ป่วยกาฬโรค
ที่คิดค้นเครื่องแบบเฉพาะสำหรับรับมือโรคระบาดโดยเฉพาะ
โดยมีเอกลักษณ์เป็นหน้ากากอีกาดำ
3 . ก า ร ร ะ บ า ด ค รั้ ง ที่ 3
( ปี ค . ศ . 1 8 5 5 - 1 8 9 4 )
ครั้งนี้เป็นการระบาดครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นทั่วโลก เริ่มต้นที่มณฑลยูนนาน ประเทศจีน
แพร่ระบาดไปทั่วทุกทวีปของโลก เข้าสู่สิงคโปร์ ไทย ฟิลิปปินส์ ฮาไวอี อารเบีย เปอร์
เชีย ตุรกี อียิปต์ แอฟริกาตะวันตก เข้ารัสเชีย และในทวีปยุโรป เข้าสู่อเมริกาเหนือ
และเม็กซิโก มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 12 ล้านคนทั่วโลก
นายแพทย์ชาวฝรั่งเศส Alexandre Emile Jean Yersin ได้ค้นพบเชื้อแบคทีเรีย
แ ล ะ นำ ไ ป สู่ ก า ร พั ฒ น า วั ค ซี น เ ป็ น ผ ล สำ เ ร็ จ ใ น ที่ สุ ด
น า ง ส า ว ฟ า รี น า เ ต ะ ปู ยู 6 3 1 0 3 1 4 2 9
อ้ า ง อิ ง
กาฬมรณะ. สืบค้นเมื่อ 1 ตุลาคม 2565, เข้าถึงได้ จาก
https://th.wikipedia.org/wiki/
กาฬมรณะ (Black Death) ภาวะโรคระบาดครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์.สืบค้น
เมื่อ 3 ตุลาคม 2565, เข้าถึงได้ จาก
https://www.blockdit.com/posts/6100138513f9940c82b38d0f
กาฬโรค หรือ Black death โรคระบาดร้ายแรงในอดีตที่ต้องเฝ้าระวัง. สืบค้น
เมื่อ 1 ตุลาคม 2565, เข้าถึงได้ จาก
https://allwellhealthcare.com/black-death/
กำเนิดกาฬโรค The Black Death โรคระบาดที่ร้ายแรงที่สุดของมนุษยชาติ.
สืบค้นเมื่อ 1 ตุลาคม 2565, เข้าถึงได้ จาก
https://travel.trueid.net/detail/6Dpxv0vqBGkD
น า ง ส า ว ฟ า รี น า เ ต ะ ปู ยู 6 3 1 0 3 1 4 2 9