วารสารรายปักษ์ หนองนาคำ ฉบับที่ 6 วันที่ 1 ธันวาคม 2564
อำเภอหนองนาคำ จังหวัดขอนแก่น เพื่ อประชาสัมพั นธ์ สร้างสรรค์ภูมิปัญญา พั ฒนาคุณภาพชีวิต
วารสาร
ห น อ ง น า คำ
NONGNAKHAM JOURNAL
" ข้ า ว ใ ห ม่ ป ล า มั น "
NONGNAKHAM JOURNAL
วารสารหนองนาคำ ก อ ง บ ร ร ณ า ธิ ก า ร
ฉบับที่ 6 วันที่ 1 ธันวาคม 2564 นายปิยะพงษ์ คลังทอง นายอำเภอหนองนาคำ
จัดทำขึ้นโดยที่ทำการปกครองอำเภอหนองนาคำ จังหวัดขอนแก่น นางบุษกร ชินอ้วน ปลัดอำเภออาวุโส
เพื่อการประชาสัมพันธ์ สร้างสรรค์ภูมิปัญญา พัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน นายกำชัย หาจันดา ปลัดอำเภอ
นายวรชัย ธรรมชาติ ปลัดอำเภอ
คณะที่ปรึกษา รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น นายสมบัติ โหมดขาว ปลัดอำเภอ
นายอำเภอหนองนาคำ นางสาวรักษณาลี วงษาหาร ปลัดอำเภอ
นายจารึก เหล่าประเสริฐ ประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอหนองนาคำ นางจันสุดา ชัยเลิศ เสมียนตราอำเภอ
นายปิยะพงษ์ คลังทอง พั ฒนาการอำเภอหนองนาคำ นางสาวนวพร ไกรษร จนท.TST
นายวิลาศ วันชัย ผู้อำนวยการโรงเรียนหนองนาคำวิทยาคม นางสาวณัฐพร ศรีวิจารย์ จนท.TST
นายรังสรรค์ เชื้อสาวะถี ศิลปินมรดกอีสานสาขาวรรณศิลป์ปี 2554/นักเขียน นางสาววิชุดา อุ่นสา จนท.TST
น.ส.สุภาเพ็ญ พรมโสภณ ประธานสโมสรนักเขียนภาคอีสานฯ/นักเขียน นางสาวเกษร โพทิพยวงษ์ จนท.TST
นายสมคิด สิงสง ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านมูลนาค/นักเขียน นางสาวอรสา จันสนิท จนท.TST
นายสังคม เภสัชมาลา ประธานชมรมกำนัน ผู้ใหญ่บ้านอำเภอหนองนาคำ นายสราวุธ นามตะ จนท.TST
นายสรยุทธ วาระกูล ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนคอนสวรรค์
นายอารี พลดร
นายยุทธศักดิ์ ลุ่มใธสงค์
บทบรรณาธิการ
ย่างเข้าเดือนธันวาคม ย่างเข้าสู่ฤดูเหมันต์ ลมหนาวพัดล่อง และต่อจากนี้ยิ่งจะกระพือพัดแผ่ความเหน็บหนาวต่อเนื่อง หากใครไม่ถูกจริตกับ
ฤดูหนาว คงรู้สึกหงุดหงิดถึงพาลเกลียดฤดูหนาวได้ เพราะลมหนาวไม่เพียงพัดโลมบาดผิวจนแตกระแหงเป็นผุยผงและเจ็บแสบตามแขนขา
แต่ยังทำให้บางคนที่ร่างกายไม่แข็งแรงพอ หรือมีภูมิต้านทานไม่เพียงพอ เกิดการเจ็บป่วย เป็นไข้ เป็นหวัด นับตั้งแต่ลมแรกล่องมา
นอกจากนี้ อิทธิผลของสายลมหนาวยังปลิดปวงใบไม้บางจำพวกหล่นลงสู่พื้น เหลือแต่กิ่งก้าน ซึ่งเชื่อว่าเป็นการปรับตัวให้สอดคล้อง
เพื่อดำรงอยู่ของมวลไม้ แต่ทว่าลึกๆแล้ว หลายคนยังรู้สึกว่าฤดูหนาวได้พรากบางสิ่งบางอย่างที่คุ้นเคยไป
อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจชื่นชอบฤดูหนาว เพราะเห็นว่าลมหนาวมีเสน่ห์เสริมความโรแมนติกให้คู่รักเสาะหาลานโล่งกลางเต็นท์ตากหมอก
ชมดาว และลมหนาวยังสร้างวิถีของผู้คนตามชนบทให้มีกิจกรรมรอบกองไฟ ลัอมวงผิงไออุ่น สนทนาพาที หยิบปิ้ งย่างต่างข้าวปลาอาหาร
เผาเผือกมัน เฝ้าข้าวหลาม ปั้ นข้าวจี่
นอกจากนี้ฤดูหนาวยังมาพร้อมกับฤดูกาลเก็บเกี่ยว รวงทองเต็มท้องนานั้นอาจใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวันสำหรับการเก็บเกี่ยวด้วยรถเกี่ยวข้าว
รุ่นใหม่ จากนั้นเม็ดข้าวถูกนำตากแดดในลานมุ้งจนแห้งสนิทอีกหลายวันต่อมา ก่อนกรอกใส่ถุงปุ๋ยมัดปากทยอยขึ้นเล้า ส่วนหนึ่งแยกเข้าโรง
สี เช้าวันต่อมากลิ่นข้าวใหม่จึงหอมฟุ้งทั่วหมู่บ้าน
ขณะที่ลมหนาวโบกพัดสะนูว่าวบรรเลงเพลงคีตกวีแห่งท้องฟ้าไม่หยุดหย่อน เหล่าปลาตามห้วยหนองคลองนาก็ฮุบเหยื่อมากมาย แต่ละ
บึงหนองตัวโตเต็มที่ เพราะได้อาหารฟูกฟักหล่อเลี้ยงเพียงพอตลอดฤดูน้ำที่ผ่านมา เลือกจับมาต้มใบมะขามอ่อน หรือไม่ก็ปิ้ ง ย่าง ลาบ ตาม
แต่ความชื่นชอบ ปลาฤดูนี้อ้วนพีดีนักแล เมื่อนำมาทำอาหารจึงแสนอร่อยเหลือหลาย
ช่วงเวลาเช่นนี้ จึงเป็นช่วงเวลาที่ข้าวก็ใหม่ นึ่งแล้วสุกหอมโชยชวน และปลาตัวโต มันหยดแสนอร่อย จึงกล่าวว่าเป็นช่วงที่ข้าวใหม่ ปลา
มัน เป็นช่วงเวลาที่ผู้คนอิ่มเอมและสุขสันต์ ต้องการผ่านพบสัมผัสสัมพันธ์ ด่ำดิ่งอยู่ในช่วงเวลาฉ่ำหวานนี้ จึงมักเปรียบเปรยในความหมาย
ของช่วงเวลาที่คู่รักที่เพิ่งแต่งงานอยู่กินฉันสามีภรรยาใหม่ๆ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หวานหอมดอมดมและดูดดื่มมากที่สุด
วารสารหนองนาคำ ฉบับ ที่ 6 จึงพาดปกว่า ข้าวใหม่ ปลามัน เพื่ อบอกว่าแต่่ละฤดูกาลนั้นล้วนมีช่วงเวลาที่เปี่ ยมด้วยเสน่ห์และสีสัน หาก
รู้จักโอบกอดเอาโมงยามที่มีความสุข ชีวิตย่อมมีความสุข ขอขอบคุณมิ่งมิตรทุกท่านที่ติดตาม
ปิยะพงษ์ คลังทอง
นายอำเภอหนองนาคำ
ส า ร บั ญ
04 05 06
เยือนท้ องถิ่น
กิจกรรมเด่ น น วั ต ก ร ร ม
- ลงแขกเกี่ยวข้าว - น้ำส้มควันไม้ - สถานีสูบน้ำ
- ลอยกระทงวิถีใหม่ อันเนื่ องมาจากพระราชดำริ
22 07
แกลเลอรี่ ครูยุ ท รายงานจากหมู่บ้าน
- ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน(ชรบ.)
- ไก่เถื่ อน...
08
ตามฮอยบ้านนามเมือง
- สายสิญจน์
09
พื้ นที่-วิถี-ศิลปะ
- ถวายบังคม 5 ธันวา
11
คนหนองนาคำในตำนาน
- หนองนาคำยุค Jurassic
12
แ ว ด ว ง ก า ร ศึ ก ษ า
- ทำไม...
13
บทกวีมีทำนอง
- สาวเลยยังรอ
14
เ รื่ อ ง สั้น
- ในค่ำคืน
17
ผญา-พาเพลิน-เจริญใจ
- ผญาภาษิต ปรัชญาคำสอน
18
ห น้ า ต่ า ง ค ว า ม คิ ด
- ไร้ญาต
19
ซึมซาบกับกาพย์กลอน
- ควายคู่คน
- ความกล้า
21
ว ร ร ณ ศิ ล ป์ถิ่ น อี ส า น
- ความหวัง
กิจกรรมเด่น I กองบรรณาธิการ
ล ง แ ข ก เ กี่ ย ว ข้ า ว
บู ช า แ ม่ โ พ ส พ
ก่ อ น ล ง แ ข ก เ ก็ บ เ กี่ ย ว
แ ป ล ง ส า ธิ ต ป ลู ก ข้ า ว
วันที่ 17 พฤศจิกายน 2564 เวลา 09.00 น.
นายปิยะพงษ์ คลังทอง นายอำเภอหนองนาคำ
พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารอปท.
พนักงาน ลูกจ้าง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สมาชิก
อส.ร่วมลงแขกเกี่ยวข้าว แปลงปลูกข้าวภายใน
ที่ว่าการอำเภอหนองนาคำ ซึ่งได้แบ่งพื้นที่
บริหารจัดการเป็นแปลงสาธิตในการเพาะปลูก
พืชพันธุ์ต่างๆ
โดยได้นำกล่าวบูชาแม่โพสพก่อนเก็บเกี่ยว
เพื่ออนุรักษ์และสืบสานประเพณีลงแขกเกี่ยว
ข้าว แสดงออกถึงการช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกัน
และกัน และเสริมสร้างความรักความสามัคคีใน
หมู่บ้านชุมชนให้ยั่งยืนสืบต่อไป
ลอยกระทงวิถีใหม่ NONGNAKHAM JOURNAL
ลอยกระทง
ตามแนวทางวิถีใหม่
วันที่ 18 พฤศจิกายน 2564 เวลา 18.30 น.
นายปิยะพงษ์ คลังทอง นายอำเภอหนองนาคำ
พร้อมด้วยภริยาและหัวหน้าส่วนราชการได้ร่วม
โครงการส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่น ประเพณี
ลอยกระทงตามแนวทางวิถีใหม่ ตามมาตรการ
ป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งจัดขึ้น
โดยเทศบาลตำบลขนวน และเทศบาลตำบล-
หนองนาคำ ทั้งนี้เพื่อสืบสาน สนับสนุน และ
อนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีอันดีงามให้คงอยู่
สืบต่อไป
PAGE 04
นวัตกรรม I ชุ่ม เจริญมี
น้ำ ส้ ม ค วั น ไ ม้
น้ำส้มควันไม้ wood vinegar
น้ำส้มควันไม้ หรือ น้ำส้มไม้ หรือ กรดไพโรลิกเนียส (Pyroligneous acid) เป็นของเหลวสีน้ำตาลใสที่ได้
จาการควบแน่นของควันจากการเผาถ่านไม้ในช่วงที่ไม้กำลังเปลี่ยนเป็นถ่านในสภาพอับอากาศ น้ำส้มควันไม้ที่ได้
ต้องตั้งทิ้งไว้ให้ตกตะกอน 3-4 เดือน เพื่อให้เกิดการแยกชั้นเป็น 3 ชั้น คือ ชั้นบนสุด จะเป็นน้ำมันเบา ชั้นกลาง
เป็นของเหลวใสสีชา คือ สีน้ำส้มไม้ดิบ และชั้นล่างสุดจะเป็นของเหลวข้นสีดำคือ ส่วนของน้ำมันดินหรือน้ำมันทาร์
การใช้เพื่อควบคุมโรคและแมลง การใช้ประโยชน์ด้านการเกษตร
ใช้น้ำส้มควันไม้ผสมกับน้ำ อัตราส่วน 1 ต่อ 20 ใช้เป็นปุ๋ยทางใบ (เพิ่มจากใส่ปุ๋ยตามปกติ)
พ่นลงดินก่อนทำการเพาะปลูก 10 วัน เพื่อฆ่า ข้าว ถั่วเหลือง อัตราส่วน 1:300 (ผสมน้ำ 300
เชื้อจุลินทรีย์ เชื้อรา และแมลงในดิน เท่า หรือ น้ำส้มควันไม้ 6 ช้อนแกงต่อน้ำ 1 ปี๊ บ
ใช้น้ำส้มควันไม้ในความเข้มข้นสูง เพื่อควบคุม 20 ลิตร) ฉีดพ่นทางใบทุก 15 วัน หรือ 2-3
การเจริญเติบโตของเชื้อราที่เข้าทำลายเนื้อไม้ ครั้งต่อเดือน
และปลวก โดยสารประกอบฟีนอล มีบทบาทที่ แตงกวา ผักสลัดและกะหล่ำ อัตราส่วน 1:500-
สำคัญ ในการควบคุมการทำลายของเชื้อรา 800 ฉีดพ่นทางใบทุก 10 วัน หรือ 2-3 ครั้งต่อ
สารละลายน้ำส้มควันไม้ ที่ความเข้มข้น 50 และ เดือน
75 เปอร์เซ็นต์ สามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อ มะเขือเทศ มะเขือยาว 1: 800 ฉีดพ่นทางใบทุก
ราบนยางพาราแผ่น 10 วัน หรือ 2-3 ครั้งต่อเดือน
ใช้น้ำส้มควันไม้ในอัตรา 1:200 เพื่อป้องกัน
กำจัดเพลี้ยกระโดยสีน้ำตาลในนาข้าว ฉีดพ่นทุก
5 วัน มีประสิทธิภาพ ในการลดประชากรของ
เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลต่ำกว่าสารฆ่าแมลงอิมีด-
คอลปริต แต่ไม่แตกต่างทางสถิติ แต่การใช้
น้ำส้มควันไม้ส่งเสริมให้เกิดการเบียนของแตน
เบียนไข่เพลี้ย
NONGNAKHAM JOURNAL PAGE 05
เยือนท้องถิ่น I ภาษิต ชนะบุญ
โครงการสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบส่งน้ำบ้านหนองนาคำ
อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
นับว่าเป็นข่าวดีของประชาชนชาวตำบลบ้านโคก ในปี 2554 ที่ สำนักราชเลขาธิการ ได้แจ้งให้ทราบว่า ได้นำความกราบบังคม
ทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า รับโครงการก่อสร้างคลองส่งน้ำพร้อมระบบสูบน้ำด้วย
ไฟฟ้าบ้านหนองนาคำ ไว้เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยสำนักพัฒนาแหล่งน้ำขนาดกลาง จังหวัดขอนแก่น
กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ดำเนินการก่อสร้าง ตามแผนงานเทิดทูน พิทักษ์ และรักษาสถาบันพระมหา
กษัตริย์ เพื่อผลิตการจัดหาแหล่งน้ำและเพิ่มพี้นที่ชลประทาน ในเขตท้องที่ตำบล บ้านโคก อำเภอหนองนาคำ จังหวัดขอนแก่น
โดยใช้งบประมาณ 39 ล้านบาท ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2557 และส่งมอบให้เทศบาลตำบลหนองนาคำ ผ่านกลุ่มบริหารจัดการ
น้ำ ดำเนินการ ในการสูบน้ำดิบจากแม่น้ำพอง ผ่านระบบท่อคู่ขนาดใหญ่ แจกจ่ายเข้าสู่พื้นที่เกษตร มากกว่า 3,000 ไร่ ในพื้นที่
หมู่ที่ 1,2,3,4 ตำบลบ้านโคก และเมื่อพื้นที่เกษตรมีน้ำใช้อย่างเพียงพอแล้ว ระบบจะทำการสูบน้ำผ่านระบบท่อเมนใหญ่ เป็น
ระยะทางกว่า 3.5 กิโลเมตร เข้าบ่อพักน้ำสำรอง และหนองน้ำขนาด 19 ไร่ ที่โนนสวนยา เพื่อปล่อยน้ำจากบ่อพัก เข้าสู่พื้นที่
เกษตรที่อยู่ห่างไกลจากแม่น้ำพอง และพื้นที่สูงให้สามารถทำการเพาะปลูกได้ ในช่วงฤดูแล้งหรือช่วงที่ขาดแคลนน้ำ ซึ่งทำให
กลุ่มเกษตรกรในพื้นที่บริการสามารถทำการเพาะปลูก และมีรายได้เพิ่มมากขึ้น
ในการบริหารจัดการสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้า เทศบาลตำบลหนองนาคำ ได้จัดตั้งกรรมการบริหารร่วมกับกลุ่มเกษตรกร เพื่อ
ให้บริการสูบน้ำแจกจ่ายใก้แก่เกษตรกรที่ความต้องการ โดยมีหัวจ่ายน้ำเมนหลัก 18 หัวจ่าย/หัวจ่ายย่อย 20 หัวจ่าย และ
เทศบาลจะจัดเก็บค่าบริการสูบน้ำจากเกษตรกร ในอัตรา 75 บาท ต่อ 1 หัวจ่าย ทั้งนี้ เทศบาลตำบลหนองนาคำ ได้รับการ
จัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปสำหรับงานสูบน้ำของสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้า ภาระค่ากระแสไฟฟ้า เป็นบางส่วน จากกรมส่งเสริมการ
ปกกครองท้องถิ่น ตามภารกิจที่ได้รับการถ่ายโอนจากกรมชลประทาน
สำหรับระยะเวลาในการให้บริการสูบน้ำในรอบปี จะแบ่งเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ช่วงต้นฤดูฝน เดือน เมษายน – มิถุนายน และ
ช่วงปลายฝน เดือน ตุลาคม – ธันวาคม หากเกษตรกรที่ต้องการใช้น้ำสามารถยื่นคำร้องจองคิวการใช้น้ำได้ในวันเวลาราชการ
ณ กองช่าง เทศบาลตำบลหนองนาคำ และ แจ้งผ่านกลุ่มบริหารจัดการน้ำ ของหมู่บ้าน ได้อีกช่องทางหนึ่ง
PAGE 06 NONGNAKHAM JOURNAL
รายงานจากหมู่บ้าน I กองบรรณาธิการ
ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน
(ชรบ.)
บทบาทและภารกิจของฝ่ายปกครองในการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่หมู่บ้าน/ตำบล
โดยการอำนวยการของ นายปิยะพงษ์ คลังทอง นายอำเภอหนองนาคำ และนางบุษกร ชินอ้วน ปลัดอำเภอ
หัวหน้ากลุ่มงานบริหารงานปกครอง สั่งการให้ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) อยู่เวรยามหมู่บ้าน เฝ้าระวัง
พื้นที่เสี่ยง จุดเสี่ยง แหล่งมั่วสุม สถานที่สำคัญ เพื่อป้องกัน สกัดกั้น ยาเสพติด อาชญากรรม อบายมุข และการ
กระทำผิดกฏหมายในพื้นที่หมู่บ้าน/ตำบล ในช่วงตั้งแต่เวลา 19.00 น. เป็นต้นไป ซึ่งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และ ชุดรักษา
ความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็ง วิริยะอุตสาหะ เต็มความสามารถ และต่อเนื่องทุก
วันมาเป็นระยะเวลาเข้าเดือนที่ 4 ทำให้ประชาชนมีความอุ่นใจ มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมากขึ้น
NONGNAKHAM JOURNAL PAGE 07
ตามฮอยบ้าน นามเมือง I วิลาศ วันชัย
PAGE 08 ด้ายสายสิญจน์
ด้ายสายสินจน์เป็นด้ายมงคล จึงมีพิธีการวางด้ายสายสินจน์
เพราะด้ายสายสินจน์เป็นของสูงส่ง เพื่อจะประกอบพิธีการ
ต่างๆ เช่น งานมงคล ทำบุญบ้าน จึงให้พันด้ายสายสินจน์ที่
ฐานล่างสุดของพระพุทธรูป แล้วโยงสายสินจน์ไปรอบๆบ้าน
โดยวิธีเวียนขวาเป็นแบบทักษิณาวรรต ซึ่งถือว่าเป็นเครื่อง
แสดงถึงพุทธานุภาพที่จะป้องกันภัยพิบัติต่างๆ เมื่อโยงจาก
พระพุทธรูปแล้วถือว่าเป็นของสูงส่ง จะวางกับพื้นไม่ได้ควรมี
พานรองรับ และเมื่อประธานฝ่ายสงฆ์ส่งด้ายสายสินจน์ไปถึง
พระสงฆ์รูปสุดท้าย ต้องมีพานรองรับอีกพานหนึ่งด้วย
เมื่อพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์กำลังจะจบ จะมีการส่ง
สายสินจน์คืนกลับมาให้ประธานฝ่ายสงฆ์
การโยงสายสินจน์ไม่ควรไปผูกที่องค์พระ คอ หรือแขน
พระพุทธรูป และเมื่อเวียนรอบฐานล่างสุดแล้วควรขมวดเป็น
ปมไว้ไต้ฐานพระพุทธรูป ก่อนโยงออกมาต้องวางให้เรียบร้อย
ไม่ให้ตึง หรือหย่อนเกินไป หรือโยงพาดผ่านแจกัน เชิงเทียน
หรือสิ่งของอื่นๆ เพราะอาจจะทำให้สะดุดล้มได้
ถ้านำไปใช้ในงานศพ ให้โยงจากโรงศพมาถึงประธานฝ่าย
สงฆ์ เพื่อพิจารณาผ้าบังสุกุล ซึ่งจะไม่เรียกว่าสายสินจน์ ด้าย
เช่นนี้เรียกว่าด้ายโยง ถ้าเป็นแผ่นผ้าเรียกว่า “ภูษาโยง"
NONGNAKHAM JOURNAL
BANGKOK CITY PILLAR SHRINE
BANGKOK
ศ า ล ห ลั ก เ มื อ ง ก รุ ง เ ท พ ม ห า น ค ร
เ ป็ น ศ า ล ที่ ส ร้ า ง ขึ้ น ม า พ ร้ อ ม กั บ ก า ร ส ถ า ป น า ก รุ ง รั ต น โ ก สิ น ท ร์ เ ป็ น ร า ช ธ า นี
พื้นที่ - วิถี - ศิลปะ I สมคิด สิงสง
ถวายบังคม 5 ธันวา
๏ โอม อาเศียรแด่องค์พระปิตุเรศ
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร พระทรงศรี
มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช อัครบดี
บรมนาถบพิตร พระภูมี ของปวงไทย
๏ วันที่ห้า ธันวมาส เวียนบรรจบ
ขอน้อมนบอภิวันท์วรรษาใหม่
แม้นหมื่นปีพ้นผ่านกาลล่วงไป
จักปูชาพระทรงไชยไว้ยงยืน
๏ ธ ทรงเป็นปิตุราทรัพยากรน้ำ
ทรงดำริเลิศล้ำนำโลกชื่น
ที่ร้อนแล้งแหล่งหล้าพลิกฟ้าคืน
ได้กลับฟื้ นคืนชุ่มแผ่นดินทอง
๏ ยี่สิบปีมูลนิธิน้ำและคุณภาพชีวิต
น้อมนำแนวความคิด ธ ชี้ช่อง
พระราชดำริพอเพียงเป็นครรลอง
แผ่นดินธรรมจักต้องอุดมดี
๏ จึงถวายบังคมธุลีพระบาท
ก่อนขบวนยุรยาตร์จะเคลื่ อนที่
จักรยานปั่ นบอกรักมหานที
แม่น้ำโขงขอบบุรีประเทศไทย ๚ะ๛
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
ข้าพระพุ ทธเจ้า นายสมคิด สิงสง
รักษาการณ์ประธานมูลนิธิน้ำและคุณภาพชีวิต
5 ธันวาคม 2564
PAGE 10 NONGNAKHAM JOURNAL
คนหนองนาคำในตำนาน I รังสรรค์ เชื้อสาวะถี
หนองนาคำยุค JURASSIC
อำเภอหนองนาคำเดิมเป็นส่วนหนึ่งของอำเภอภูเวียงเป็นพื้นที่ที่มี ล่าสุดได้ประกาศการค้นพบไดโนเสาร์กลุ่มแรพ
ความเก่าแก่ที่เชื่อมโยงกับเส้นทางท่องเที่ยวขอนแก่นตามโครงการ เตอร์ สายพันธุ์ใหม่เป็นสายพันธุ์ที่ 5 ซึ่งค้นพบใน
ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีเส้นทางที่ 3 ตามรอยปฐพี พื้นที่อุทยานแห่งชาติภูเวียง แห่งนี้โดยขนานนามว่า
ไดโนเสาร์โดยค้นพบซากฟอสซิลไดโนเสาร์สายพันธุ์ใหม่ สกุลใหม่ “นักล่าแห่งเทือกเขาภูเวียง” หรือมีชื่อเป็นทางการ
ของโลกถึง 5 สายพันธุ์ประกอบด้วย ว่า“ภูเวียงเวเนเตอร์แย้มนิยมมี่”
1.ภูเวียงโกซอรัสสิรินธรเน่ (Phuwiangosauraus (PHUWIANGVENETOR YAEMNIYOMI
sirindhorn) เป็นไดโนเสาร์ซอโรพอดชนิดแรกของไทยขนาด GEN.ET SP.NOV. SAMATHI CHANTHASIT &
กลาง คอและหางยาวประมาณ 15-20 เมตร เดิน 4 เท้า กินพืชเป็น SANDER,2019) เป็นไดโนเสาร์เทอโรพอด ขนาด
อาหาร มักอยู่ร่วมกันเป็นฝูง กลางที่มีลักษณะแตกต่างจากที่เคยค้นพบมาโดยที่
กระดูกต้นแบบประกอบด้วยกระดูกสันหลังส่วนหลัง
2.สยามโมซอรัสสุธีธรนี่ (Siamosaurus suteethorni) เป็น กระดูกหลังส่วนสะโพก กระดูกมือและเล็บ กระดูก
ไดเสาร์เทอโรพอดชนิดแรกของเมืองไทย อยู่ในวงศ์สไปโนซอริเด มี
ขนาดใหญ่ความยาวประมาณ 7 เมตร มีสันกระโดงอยู่กลางหลัง หน้าแข้ง ข้อเท้า ฝ่าเท้าและเท้า มีขนาดลำตัวยาว 6
ฟันรูปทรงกรวยปลายแหลมคล้ายฟันจระเข้ ยาวประมาณ 6 ซม. มี
สันหลักเล็กๆ ยาวตลอดฟัน มีลักษณะแบนๆ ปลายแหลมโค้งงอ เมตร ถูกจัดอยู่ในกลุ่มเมกะแรพเตอราและคาดว่ามี
เล็กน้อยมีรอยหยักเป็นฟันเลื่อย มีแนวร่องและสันเรียงสลับตลอด
อาศัยอยู่ใกล้แหล่งน้ำ กินปลาเป็นอาหาร ลักษณะทั่วไปคล้ายกับไดโนเสาร์ตัวอื่นๆ ในกลุ่มนี้
เช่น FUKUIRAPTOR จากญี่ปุ่น คือ มีขาหน้า และ
ขาหลังที่ยาวบ่งบอกึงการวิ่งเร็ว มีกรงเล็บใหญ่
กะโหลกเรียวกว่าไดโนเสาร์กินเนื้อทั่วไป น่าเชื่อว่าใน
ห้วงระยะเวลา 170 ล้านปีไดโนเสาร์เหล่านี้มีอิสระเสรี
3.สยามโมไทรันนัส อีสานเอนซิส (Siamotyrannus ที่จะวิ่งไล่ล่าหากินไปทั่วพื้นที่แถบนี้ ก่อนที่จะเคลื่อน
isanensis) มีความยาวประมาณ 7 เมตร เป็นเทอโรพอดขนาด
กลางเดินและวิ่งด้วย 2 ขาหลัง มีขนาดใหญ่และมีความแข็งแรง ย้ายไปยังแถบอเมริกาเหนือ หรือจีนในสมัยที่ผืน
ด้วยจัดอยู่ในวงศ์ไทรันโนซอริเด มีอายุเก่าแก่ที่สุด นักบรรพชีวินจึง
สันนิษฐานว่าสายพันธุ์นี้ จะมีจุดกำเนิดอยู่ในเอเชียแล้วค่อยแพร่- แผ่นดินของโลกยังเป็นผืนเดียวกันอยู่
กระจายไป จนถึงอเมริกาเหนือ
4.กินรีไมนัส ขอนแก่นเอนซิส (Kinnareemimus
Khonkaenensis) เป็นไดโนเสาร์สายพันธ์ออร์นิโธไมโมซอร์หรือ
ไดโนเสาร์พันธุ์นกกระจอกเทศ มีปากเป็นจะงอย ไร้ฟัน กินทั้งพืชทั้ง
สัตว์ รูปร่างปราดเปรียว วิ่งเร็ว ตัวยาว 1-2 เมตรโดยพบรอยเท้า
กว่า 60 รอยที่ลาดป่าชาดในอุทยานแห่งชาติภูเวียงรอยต่อกับ
อำเภอหนองนาคำนอกจากนั้นพบกระดูกขาของไดโนเสาร์ชนิดนี้ใน
หลุมขุดค้น ปะปนอยู่กับซากกระดูกของซอโรพอดวัยเยาว์จำนวน
มาก กระดูกที่พบมีลักษณะยาวเรียว จากลักษณะพิเศษหลายอย่าง
บ่งบอกว่าเป็นสายพันธุ์ใหม่ สกุลใหม่ ได้รับการตั้งชื่อสกุลที่หมาย
ถึงการเลียนแบบจากกินรี สัตว์ป่าในหิมพานต์ที่มีร่างท่อนบนเป็น
หญิงสาว ท่อนล่างเป็นนก ส่วนชื่อชนิดตั้งตามชื่อจังหวัดขอนแก่น
สถานที่ค้นพบ
ภาพจาก : HTTP://FOSSIL-THAILAND.BLOGSPOT.COM/2015/07/DINOSAUR-PARK.HTML
NONGNAKHAM JOURNAL PAGE 11
แวดวงการศึกษา I สรยุทธ วาระกูล
ทำ ไ ม . . .
ชาวบ้านไม่ถามถึงนโยบาย ? "ทำไมชาวบ้านไม่ถามเรื่องถึงนโยบายของผู้สมัคร?" เป็น
คำถามที่ตอบได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องใช้กระบวนการทางวิจัยใดๆ
ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น เราจะสังเกตเห็น มาตั้งสมมติฐานให้รกรุงรัง "คำตอบก็คือ... นโยบายคือ
ผู้คนพากันหลั่งไหลมาใช้สิทธิ์กันเป็นจำนวนมาก รถราติดขัด สายลมลวงที่ไม่เคยถูกนำมาปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมใดๆ ได้
ราวกับเทศกาลงานสำคัญ หากมองอย่างผิวเผินแล้วก็จะ อย่างจริงจัง" ส่วนใหญ่นโยบายถูกกำหนดไว้โดย "ผู้ทำ
เห็นแค่ภาพของหลักการประชาธิปไตยที่ถอดรูปออกมาเป็น สปอร์ตโฆษณา" ซึ่งบางครั้งผู้สมัครบางรายแทบไม่ทราบ
รูปธรรมโดยผ่านกระบวนการใช้สิทธิใช้เสียงของประชาชน เลยว่า นโยบายที่แท้จริงของตนคืออะไร ทำอะไรได้มากน้อย
แค่ไหน ตลอดจนเหมาะสมกับท้องถิ่นหรือกรอบอำนาจหน้าที่
แต่หากมองให้ลึกลงไป เราก็จะเห็นได้ถึงวัตถุประสงค์ที่แท้ ของตนเองหรือไม่ คงคล้ายการทำวิทยฐานะของบางคนบาง
จริงของการเดินทางของผู้คนเหล่านั้น หลายคนแทบไม่เคย หน่วยงานที่ปัจจุบันยังจำชื่อผลงานของตนเองไม่ได้เลย แม้
ถามถึงนโยบายของผู้ที่ตนเองกำลังจะไปเลือก แต่กลับถาม จะพยายามท่องทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะไม่ได้ทำเองกับมือ!
ถึงจำนวนเงินที่จะได้รับในการกาเบอร์ผู้รับสมัคร ซึ่งก็อาจ
ไม่ใช่ทุกคนไป แต่ส่วนมากมักเป็นเช่นนั้น มันคงคล้ายการ การปลูกฝังหรือให้องค์ความรู้อย่างจริงจังแก่เด็กและ
ปฏิเสธอย่างแข็งขันว่า "หวยใต้ดินเป็นแค่อดีตที่ไม่มีวัน เยาวชนหรือที่เรียกว่าการปลูกฝังทัศนคติหรือค่านิยมเกี่ยว
หวนกลับ" อย่างไงอย่างงั้น ทั้งๆ ที่เรายังหาซื้อได้ทุกแห่ง กับหน้าที่อันพึงประสงค์ต่อสังคม รวมทั้งความซื่อสัตย์สุจริต
หน ไม่เว้นแม้แต่บนสถานที่ราชการบางแห่ง ! ตั้งแต่เยาวัยอาจเป็นหนทางหนึ่งซึ่งอาจทำให้การเดินทาง
ของผู้คนมากมายเหล่านั้นมีเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้น แต่อย่างไร
ก็ตาม หากแม้นผู้ใหญ่อย่างพวกเรายังเป็นตัวอย่างที่ดีไม่ได้
การปลูกฝังที่ว่าก็ไร้ผล !
PAGE 12 กระท่อมไขยวาน...
NONGNAKHAM JOURNAL
บทกวีมีทำนอง I ประทีป แซมไพร
สาวเลย
ยังรอ...
สาวเลยยังรอความฮักที่อ้ายฝากคำ
หนุ่มหนองนาคำยังจำคำที่อ้ายกล่าว
พระธาตุศรีสองรักรับฝากคำฮักสองเรา
ใต้ต้นสะเดาสาวเลยไม่เคยลืมคำ
งานผีตาโขนผู้คนยลงานด่านซ้าย
น้องควงแขนอ้ายใจสองเฮาจดจำบุญดอกฝ้ายบาน
มะขามหวาน แห่ผีขนน้ำ ประเพณีงามล้ำคำพี่น้องไทย ลาว
สาวเมืองดอกไม้มอบใจให้หนุ่มหมอแคน
ฮักกันมั่นแก่นแดนทะเลภูเขา
หนึ่งในสยามงดงามความฮักสองเรา
จึงเป็นเรื่องราวสาวเลยหนุ่มหนองนาคำ
สองมือพนมก้มกราบพระธาตุขอพร
ก่อนหนาวเข้าร้อนขอพรพระคุณที่สาม
ให้รักมั่นคงยืนยงคงอยู่คู่คำ
สาวเลยยังจำคำมั่นสัญญาสองเรา
" ให้รักมั่นคงยืนยงคงอยู่คู่คำ สาวเลยยังจำคำมั่นสัญญาสองเรา "
ประทีปแซมไพร : คืนวันเพ็ญเดือนสิบสอง ๒๕๖๔ บ้านสวน
NONGNAKHAM JOURNAL PAGE 13
ใ น ค่ำ คื น
มันเป็นเวลากี่โมงยามแล้วมิอาจทราบได้ ความมืดมิดกลืนกิน ลั่นตะโกนออกไป ลูกไฟลอยกลับลงมาอยู่ระดับศีรษะเพื่อน
ค่ำคืนไว้สิ้น รอบกายมืดตื้อราวตกอยู่ในเหวนรก แสงสว่างวูบวาบ เหมือนเดิม แต่เพื่อนนิ่งเงียบเหมือนไม่ได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวก
ลอยว่อนลานตาเมื่อครู่นี้ อันตรธานหายไปอย่างมีเลศนัย ระยะไม่ไกล ไม่น่าจะหูเสียถึงเพียงนี้
เป็นแสงสว่างพิรี้พิเรนทร์หยอกใจอย่างไรพิกล เห็นอยู่หลัดๆ สะกดใจวิ่งห้อเข้าไปหา แปลกพิลึก !! ดวงไฟขนาดเท่ากำมือผุด
ว่าเป็นแสงไฟแบตเตอร์รี่ของเพื่อนที่มาด้วยกัน เดินห่างกันแค่ไม่ ขึ้นในความมืดอีกหลายสิบดวง แต่ละดวงเปล่งแสงวูบวาบเหมือน
กี่สิบก้าว กลับตะโกนเรียกไม่ได้ยิน ซ้ำร้ายกว่านั้น หน้าไฟสว่างจ้า หิ่งห้อยยักษ์ ไหวว่อนขึ้นลงห่างออกไป ตกตะลึงแทบเลือดแข็ง!!
ในระดับครอบศีรษะ บัดดลกลายเป็นลูกไฟลอยสูงขึ้นไปบนยอดไม้ ไม่เห็นเงาเพื่อนในบริเวณนั้น ลั่นตะโกนออกไปอีกชุดใหญ่ เปล่าดาย
ตาฝาดหรือไรไม่ทราบ ขยี้ตาหลายครั้งก็เห็นไม่ต่างจากนี้ ไม่มีเสียงตอบรับ แม้เสียงกระแอมไอ
ตกใจสุดขีด ลืมกลัวไปชั่วขณะ ออกวิ่งไล่ลูกไฟอย่างเดือดดาล
กลุ่มดวงไฟแปลกประหลาดขยับห่างออกไปอีก เข้าใกล้สุดแค่
ประมาณสิบเมตร ก็ลอยดวงทิ้งห่างออกไป ล่องลอยอ้อยอิ่งขึ้นๆ
ลงๆ จับระดับไม่ได้
PAGE 14 NONGNAKHAM JOURNAL
เรื่องสั้น I ปิยะพงษ์ คลังทอง
สองเท้าย่ำสวบๆไปตามพื้นโคลนในบิ้งนา สะดุดคันนาหน้าคะมำ ยืนขาตายช็อคนิ่งนานเท่าไหร่หาได้ทราบไม่ ตกสะดุ้งรู้สึกตัว
เสียหลายครั้ง ดวงไฟล่องลอยเข้าไปในดงตาล ตาลแต่ละต้นสูงชะลูด เมื่อตาลต้นหนึ่งฟาดตึงลงเฉียดกาย พลันนั้นเองที่เปิดอ้าวด้วย
เทียมฟ้า ใบใหญ่แห้งห้อยระลงกับลำต้น ลมกลุ่มหนึ่งกรรโชกมาวูบ สัญชาตญาณระแวงหวาดสุดตัว มวลพละกำลังทั้งหมดมารวมอยู่ที่
ใหญ่ ก้านตาลร่วงกราว สายลมตามมาคลั่งครางหวีดหวิว เข้าบาดลึก ขาสองข้าง ควบตะบึงตัวปลิวไม่หันหลังกลับ
ในขั้วหัวใจ ก้านตาลหล่นคว้างตึงตัง ราวกับไม้ใหญ่ถูกสายฟ้าฟาด ให้
รู้สึกขนลุกซู่ทั้งตัว ออกวิ่งสุดกำลัง วิ่ง วิ่ง และวิ่ง จนลิ้นห้อยหมดแรง โถมทุ่มลง
นอนแผ่ราบ หอบเหนื่อยตัวโยนแทบขาดใจ หัวหูอื้ออึง ปรอยประสาท
อยู่ๆดวงไฟก็ลับหายไปจากม่านมืด น่าอัศจรรย์!! ในดงตาล มึนช้าตื้นตีบไปหมด ดวงตาเหมือนบอดเพราะไฟแบตเตอร์รี่หลุดหล่น
ทึบทึมมันเร้นหายไปเสียเฉยๆ แล้วสายลมก็โจนเข้ากรีดกัดผิวเนื้อให้ ไปตอนไหนไม่รู้ ข้องคล้องบ่าหลุดหายไปด้วย
เยือกเย็น ส่งให้ลมหายใจถูกขับออกมาแรงๆ ราวกับหัวใจออกมาเต้น
เร่าๆ อยู่ข้างนอก ยันกายลุกขึ้น เร่งหาหม้อไฟเหมือนงมเข็มในความมืด รู้สึกว่าเนื้อ
ตัวสะบัดร้อนสะบัดหนาว ยิ่งเมื่อฆานประสาทสำเหนียกเสียงระงมของ
พยายามสืบเท้าเยาะย่างเลียบเคียงเข้าไป แสงไฟส่องกราด ไล่ บางสิ่งบางอย่าง เสียงกบ เสียงเขียด หรือไม่ก็เสียงอึ่งอ่างเซ็งแซ่
ตามซอกใบและกาบห่อลำต้น ไม่มีวี่แววสิ่งมีชีวิต ไม่มีลูกไฟประหลาด ประสานกัน เสียงขรมรมหูดุจตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของพวกมัน
สายตามองฝ่าออกไปไม่เห็นหน คืบคลานเปะปะไม่รู้ทิศ คลำคว้าอะไร
ทุกสิ่งทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบและม่านดำ ไม่มีส่ำเสียงใด ได้หวังให้เป็นอย่างเดียวคือหม้อไฟแบตเตอร์รี่ ความหวังเหมือน
ให้แกะพิรุธ ค่ำคืนมืดมิด!!
พื้นดินในดงตาลหมาดแห้งกว่าในบิ้งนา ใบตาลดกดื่นปกคลุมไว้ไม่ ยังคงเดินพลางคลานพลาง แหวกความมืดมิดต่อไป เสียงกบ
ให้น้ำฝนโปรยลงชะล้างหน้าดินได้ง่ายๆ ใบบังต้องลมดึกครวญคราง เขียดอึงอลเพิ่มขึ้นประหนึ่งมีหมื่นๆแสนๆตัว แซ่ซ่านเร่งเร้าจนขนลุก
ฟังคล้ายภูตพรายสาปกระซิบมนต์สะกด จ้องนิ่ง!! ขนชัน
บัดดล ปรากฏเสียงกรีดร้องแหลมยาว!! ส่ำเสียงเหมือนสัตว์ร้าย ใจหล่นวูบ!! รู้สึกว่าพวกมันกำลังกระโดดตามติดกระชั้นหลังมา
หวีดร้องปวดเจ็บ แล้วป่าตาลก็ล้มโครมๆลงทีละต้นสองต้น เรียงราย ทุกขณะ เสียวสันหลังวาบ!! แข้งขาพานอ่อนเปลี้ยยวบยุบ เสียง
ระเนระนาดจนยากจะจับทิศทาง ขณะเดียวกันก็มีแสงวูบวาบสาดส่อง เคลื่อนกระโดดได้ยินชัดเสียยิ่งกว่าเสียงกู่ กลั้นใจหันกลับไปมอง ให้
มาอย่างมุ่งร้าย ลำแสงพุ่งกระทบเจาะจงเหลื่อมตาจนแสบหยี่ พลัน ตายดับเถอะ!! ในม่านดำเต็มพืดด้วยดวงตาแดงก่ำนับแสนๆ เปรียบ
ยกมือขึ้นป้องปิดไว้ทัน แล้วเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งก็กึกก้องขึ้น ประหนึ่งดวงตาครูดครางในนรกภูมิ แต่ละดวงแดงเลือดกลมโปน!!
อย่างสาแก่ใจ น้ำเสียงเยาะหยันปนเกี้ยวกราดอยู่ในทีกระหึ่มไปทั้ง
ดอนดงพงป่า แข็งใจสุดฝืน สาวเท้าจากเดินเป็นวิ่งเหยาะๆ อย่างยากลำบาก และ
เร่งเร็วเต็มฝีเท้าเมื่อกะสากลิ่นสาบเหม็นโชยกึกมา วิ่ง วิ่ง และวิ่งๆ
พยายามอย่างสุดขีด ที่จะเหลือบตามองผ่านช่องนิ้ว ทั้งที่แสบ อย่างไม่คิดชีวิตจ้ำพรวดๆฝ่าม่านมืดราวตกอยู่ในก้นเหวมรณะ ชีวิต
เจ็บเสียเต็มประดา ทั้งเลือดในกายก็แทบจับเป็นก้อนแข็ง!!ลมปราณ หาไม่แล้วคราวนี้...
หยุดเดินชั่วขณะ ภาพที่เห็นมันคือภูตนรกชัดๆ!! ตัวมันสูงใหญ่กว่า
ตาลหลายต้น ปากอันอ้าสยายเต็มพืดด้วยเขี้ยวแหลมยาวเท่าผาลไถ ขอบโลกสิ้นสุดที่ไหนหาได้ทราบไม่ เหมือนไร้พรมแดนสิ้นสุด
ลิ้นเยิ้มน้ำหนืดปล่อยย้อยลงเรี่ยดินอยู่แผล็บๆ ปลายลิ้นใหญ่กว่าลำ ระยะทางมันไกลเกินกว่าคำว่าสุดหล้าฟ้าเขียว เมื่อไหร่หยุดเสียงย่ำเท้า
ตาลพลิกไหวไปมา หวังจะควานคว้าอะไรบางอย่างให้ได้ ใบหน้าอันหา ของกองทัพกบเขียดก็ปรากฏเขย่าขวัญ จำต้องวิ่งวิ่ง และวิ่งๆ อย่าง
เค้าไม่ได้บิดเบี้ยวเหลวเละด้วยเมือกเหม็น ดวงตาโปนปูดราวกับเชิญ ไม่คิดชีวิตต่อไป
เอาดวงอาทิตย์มาครอบไว้ ก่ำแดงจัดจ้าจ้องเขม็ง ฝ่ามืออันมหึมากาง
สยายไม่ต่างจากใบตาลหลายใบรวมกัน มันกำลังถอนทึ้งตาลต้นให้ คล้ายจะเหลือบเห็นขอบโลกแล้วแสงเรืองๆจากตีนฟ้าลบเลือน
ราพณาสูรด้วยเรียวแรงอันหาค่ามิได้ ช่วงตั้งแต่ไหล่ลงมาถึงส่วน ม่านดำเป็นสลัวมัวหม่น เสียงยาตรานับหมื่นแสนหยุดหายไป ใจชื้น
ล่างมีดวงไฟระยิบระยับจับพราวเต็มไปหมด ดวงไฟแต่ละดวงล้วนมี ขึ้นบ้าง หยุดวิ่ง เพิ่งรู้สภาพของตัวเองว่าเหนื่อยอ่อน สะบักสะบอม
ใบหน้าเล็กๆแสยะยิ้มยิ่งฟัน แยกเขี้ยว และส่งเสียงหวีดร้องอย่างน่า น้ำลายไม่มีหลงเหลือ ในลำคอตันตีบเหมือนจะปริ่มใจ
สยดสยอง
ในแสงสลัว ทรุดเข่าลงคู้ดิน ใช้กำลังที่พอมีพยุงตัวไม่ให้ล้ม
พับ เอี้ยวตัวกลับไปมองด้านหลัง กลับตะลึงงันและช็อคนิ่งตัวเย็น
เฉียบอีกคำรบ !!
NONGNAKHAM JOURNAL PAGE 15
เรื่องสั้น I ปิยะพงษ์ คลังทอง
พวกมันจ้องอยู่ก่อนแล้ว รูปร่างก็คือกบดีๆนี่เอง แต่ละตัวใหญ่โตเท่าวัวชน ดวงตาสีเลือดก่ำแดงดุร้ายหมายขวัญ ทุกคู่พุ่งมายังมนุษย์
อย่างเราดุจเหยื่อ แต่ละตัวเริ่มขยับปากกว้าง โผล่ลิ้นยื่นออกมาแลบเลียรวบราบ บัดนั้นเองโลกที่เห็นอยู่ก็พลันวูบดับ
อารามต่อจากนั้น คือการขย้อนของเหลวออกจากช่องท้องยาวนาน ของเหลวเหนียวหนืดเข้ามาอยู่ในท้องตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ มันไหลทะลัก
ออกมาราวท่อน้ำแตก ในหัวหูราวถูกกดทับด้วยหินก้อนใหญ่ หนักอึ้ง ยากจะฝืนลุกขึ้น ส่งให้ทุกสรรพางค์กายเคล็ดขัดไปทุกข้อไข เจ็บร้าวไป
ทุกเนื้อเยื่อ แล้วกลิ่นเหม็นเอียนสุดๆก็จู่โจมเข้าทำลายม่านมืดลงฉับพลัน
ครั้นเปิดเปลือกตาขึ้น ชีวิตกลับสู่โลกปัจจุบัน เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ โลกในค่ำคืนที่ผ่านมาช่างน่าเกลียดน่ากลัวนัก
มหรสพสมโภชงานในค่ำคืนผ่านพ้นแล้ว มองไปรอบๆเห็นขวดเหล้า ขวดเบียร์ เศษซองบุหรี่ ทิ้งกระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณ โต๊ะเก้าอี้ล้ม
ระเนระนาด เพื่อนๆต่างนอนแผ่อยู่ตามซอกมุมอย่างคนสิ้นชีวิต บางคนอาเจียนออกมาค้างคาอยู่ที่กระพุ้งแก้มทั้งที่ไม่ได้สติ ชวนให้แมลงวัน
บินลงตอมและวางไข่ที่ช่องปาก บางคนพร่ำเพ้ออ้อแอ้ไม่ได้ศัพท์ ในส่ำเสียงพร่ำพ้อล้วนลามกจกเปรต บางคนถึงกับเปลื้องเสื้อผ้าเกลือกกลิ้ง
ดินดอนเพราะฤทธิ์สุรายาเมา
ไม่นาน บรรดาเมียๆก็ทยอยเข้ามาก่นด่าสาดเสียต่างๆนานา รวมทั้งขุดโคตรขึ้นมาประจานเพื่อความสาใจ พร้อมยื่นคำขาดแน่นหนักว่า
พอกันที ชาตินี้กับผัวเฮงซวยขี้เหล้าเมายา!
โอ้ ที่แท้ สำหรับผมและเพื่อนๆผู้ลุ่มหลงในรสเมรัยและแสงสี โลกปัจจุบัน ใช่จะแตกต่างจากโลกในค่ำคืนนักหรอก.
PAGE 16 NONGNAKHAM JOURNAL
ผญา-พาเพลิน-เจริญใจ I บ่าวหมอนกิ่ว
“ ผ ญ า ภ า ษิ ต ป รั ช ญ า คำ ส อ น ”
ผญาภาษิตคือ ผญาที่นักปราชญ์โบราณอีสานแต่งขึ้น เพื่อให้เป็นคติสอนใจให้ผู้คนนำไปเป็นแนวทางในการ
ดำเนินชีวิต จะเห็นได้ว่าคนอีสานจากอดีตจนปัจจุบันสามารถดำรงความเป็นหมู่กลุ่ม ความเป็นญาติ พี่น้อง มีการ
ช่วยเหลือเอื้ออาทร แบ่งปั่ น เฉลี่ยเจือจาน มีน้ำใจที่ดีงามต่อกัน ส่วนใหญ่จะอาศัยแนวคำสอนจากผญาภาษิตซึ่ง
แทรกปนอยู่ในวรรณคดีอีสานบ้าง นิทานพื้นบ้านบ้างเป็นคติในการดำเนินชีวิต
ผญาภาษิตที่พ่อแม่นำมาสอนลูก ปู่นำมาสอนหลาน ผู้นำทางพิธีกรรมประเพณีนำมาสอนชาวบ้าน พระสงฆ์นำ
มาสอนพุทธศาสนิกชน อ่านหรือฟังแล้วต้องนำมาคิด พิจารณาไตร่ตรองตีความเพราะบางคำสำนวนได้ซ่อนแผงคำ
ความหมายไว้อย่างลึกซึ่ง ถ้าเพียงแต่อ่านแล้วผ่านไปอาจไม่ได้ความหมายแง่คิดกินใจ เช่นคำว่า
”อยากกินน้ำแซบให้ขุดน้ำบ่อหิน
อยากมีอยู่มีกินให้เอาศีลเป็นทุนไปค้า
อยากขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้าให้ฆ่าเจ้าของเอง”
ผญาสำนวนนี้หลายคนอ่าน ฟังแล้วจะมีความเห็นแย้งทันที โดยเฉพาะวรรคสุดท้ายที่ว่า “อยากขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้า
ให้ฆ่าเจ้าของเอง” ผู้อ่านหรือฟังจะสงสัยว่าอยากพบสวรรค์นิพพานแล้วทำไมจึงฆ่าตนเองซึ่งขัดกับหลักศาสนาที่
สอนว่าการฆ่าตนเองที่เรียกว่า อัตวินิบาตกรรม นั้น ถือว่าเป็นบาปหนัก ถึงขั้นปิดสวรรค์นิพานเลยทีเดียว
ความจริงของข้อความนี้ผู้แต่งได้ซ่อนปรัชญาไว้ว่าการฆ่าตนเองนั้นหมายถึงการฆ่ากิเลส ตัณหา อวิชชา
อุปทาน โลภ โกรธ หลง ที่นอนเนื่องเป็นเพื่อนอยู่ในจิตใจของเรานั้นให้หมดไป ตายไปนั้นเอง มิได้หมายถึงการฆ่า
ชีวิตทางกายดังที่คนพื้นๆ ทั่วไปเข้าใจกัน
พี่ น้องเอย “คันสิคอยแต่บุญมาค้ำคันบ่ทำกะบ่แม่น
คอยแต่บุญส่งให้มันสิได้บ่อนได๋
คือ จั่งเฮ่ามีอาหารไว้บ่เอามากินมันบ่อิ่ม
มีลาบคันบ่เอาข้าวคุ้ยทางท้องบ่ห่อนเต็ม”
“คันเจ้าเป็นสาวนั้น ครองธรรมให้มันคล่อง
ตีนผมให้หล่ำเกลี้ยง ตีนซี่นให้หล่ำเพี ยง”
อ้างอิงจากหนังสือ ผญา โดย สำลี รักสุทธี อาจารย์ 3 พ.ม.ศษ.บ. น.ธ.เอกเปรียญ
NONGNAKHAM JOURNAL PAGE 17
หน้าต่างความคิด I สังคม เภสัชมาลา
ไร้ญาติ
“””””””
โรงเรียนไม่ต่างกับโรงละครกี่มากน้อย พระเอก นางเอก ฟ้าฉายเป็นอีกคนหนึ่งซึ่งผ่านชั้นขึ้นมาแบบเหลือขอ กล่าว
ตัวโกง ตัวร้าย มีครบหมดในโรงละครแห่งนี้ ต่างเพียงแต่ คือ ให้ตกหรือซ้ำชั้นคงแก่ตายคาโรงเรียน จำต้องให้ผ่านขึ้น
ทุกบททุกตอนนั้นถูกเขียนขึ้นด้วยชีวิต ชีวิตซึ่งไม่มีวันทราบ มาก่อน กระทั่งปีนี้เรียนอยู่ชั้น ป.6 ผู้ปกครองหรือพ่อของ
ว่าจะจบลงอย่างไร ระทึกเชียวนะครับกับการเฝ้ามองชีวิ เขาคิดว่าทนอีกหน่อย ปีเดียวจะจบแล้ว ที่ไหนได้ต้องเรียนต่อ
ตน้อยๆ เหล่านั้น อีกสามปี จึงจะจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ม.3) ลองทายซีครับ
ว่านายกุหลาบจะให้ลูกชายเรียนต่อหรือไม่..?
บางคนเป็นยิ่งกว่า เรมี ตัวเอกของเรื่อง “ไร้ญาติ”
(SANS FAMILLE) ของ เอกตอร์ มาโล (HECTOR กุหลาบ เป็นชื่อที่เปลี่ยนใหม่ของนายสูญ เปลี่ยนตอนไหน
MALOT) นักเขียนชาวฝรั่งเศส (1830 – 1907) ซึ่ง อย่างไรไม่ทราบ รู้แต่ว่าเขาหายไปจากบ้านเกิดกว่า 20 ปี ชีวิต
ประพันธ์นิยายเรื่องนี้ได้อย่างสุดยอดและแสนรันทด ทว่า เส็งเคร็งของเขาหนีตายไปอยู่ภาคใต้กับเมียคราวเอื้อย (พี่
ที่สุดแล้วนิยายก็จบลงอย่างแฮปปี้ เอนดิ้ง แต่ชีวิตของฟ้า สาว) เป็นเมียคนที่สองซึ่งมีสามีและลูกอยู่ก่อนแล้ว เช่น เดียว
ฉายจะจบลงอย่างไรสุดจะคาดเดา เอาเป็นว่าเกิดมาไม่ไร้ญาติ กับสูญ บุพเพอาละวาดให้ทั้งสองกลายมาเป็นผัวแก้วเมียขวด
แต่เป็นยิ่งกว่าไร้ญาติ
คำว่า “หนีตาย” ของสูญหาใช่สำนวน แต่หมายถึงหนีตาย
วันหนึ่งพ่อของเขามาพบผม (ครูประจำชั้น) เพื่อขอ จริงๆ หมายความว่าถ้าขืนอยู่ต่อไม่แน่ว่าจะใช่เพียงตาบอดไป
อนุญาตนำเด็กเข้ากรุงเทพฯด้วย ข้างอย่างปัจจุบัน หรือเปล่า เขาถูกลอบยิงในตอนหัวค่ำวัน
หนึ่งซึ่งอาการปางตาย เมื่อรักษาหายแล้วจึงหลบไปเลียแผล
“จะให้อยู่อย่างไรเล่าครู มันไม่มีใคร...” เกริ่นนำก่อนจะร่าย ที่อื่น ตอนนั้นไม่มีใครทราบจริงๆ ว่าสูญไปอยู่ที่ไหนอย่างไร
รายละเอียดหรือยกเหตุผลประกอบในการมาขออนุญาตลา กระทั่งเมียตาย(คาขวด) เขาจึงหอบลูกกลับมาหาพ่อและแม่ที่
ครูให้กับลูกตัวเอง ลากิจหรือลาป่วยวันสองวันไม่มีปัญหา บ้านเกิด ตอนนี้แหละที่เรารู้ว่าเขาไปเป็นคนสวนให้กับผู้มีอันจะ
แต่นี่เล่นจะลากันยาวสามสี่เดือน ใครจะอนุญาตได้… กินท่านหนึ่ง สมมุติถ้าเมียไม่ตายเขาคงไม่กลับมา – กลับมาใน
นามของกุหลาบ
อนุญาตไม่อนุญาตก็จะไปอะไรประมาณนี้มีให้เห็นอยู่
บ่อยๆ เช่น การอพยพไปรับจ้างตัดอ้อยต่างถิ่น เป็นต้น ผู้ (อ่านต่อฉบับหน้า)
ปกครองบางคนเขาไม่ได้หวั่นเกรงหรือเกรงกลัวว่าลูกหลาน
ของตัวเองจะไม่มีสิทธิ์สอบหรือสอบตกกันหรอก หลังฤดู
เก็บเกี่ยว หายไปเงียบไปเลยกลับมาอีกทีเขาสอบเสร็จ เลื่อน
ชั้นกันไปหมด เหลือแต่ตัวเองที่(จำต้อง)เป็นนักเรียนโข่งให้
เพื่อนๆ ล้อเลียน แต่รายของฟ้าฉายบอกกับครูประจำชั้นว่า
จะกลับมาสอบแน่นอนขอแต่ครูโทรศัพท์ไปบอกว่าจะสอบวัน
ไหนอย่างไร ผ่าเถอะ,ขนาดมาเรียนทุกวัน กอ ขอ กอ กา ยัง
ไม่กระดิก หายไปสามสี่เดือนกลับมา จะเอาความรู้จากไหน
มาสอบ ?
PAGE 18 NONGNAKHAM JOURNAL
ซึมซาบกับกาพย์กลอน I ปราโมช ปราโมทย์
ค ว า ย คู่ ค น
ก ล อ น อ่ า น อั ก ษ ร สั ง ว า ส
ปางเมื่ อเก่าก่อนพุ้น ตำ น า น เ ล่ า ฟ้ า แ ถ น
ดิ น ห ญ้ า ฟ้ า ลุ่ ม ล่ ว ง กั น แ ม่ น ไ ป ม า คุ้ น เ ที ย ว ท่ อ ง น้ อ ง พี่
ปู่ลางเซิง ขุนเค็กขุนคานพร้อม แ ถ น ส่ ง ล ง โ ล ก ล่ า ง
พาลูกเมีย ทำกินเป็นสุขล้น การไหว้นบแถน หากลืมหลง ท่านเอย ฯ
แถนบ่ทน จนให้น้ำท่วมล้น ค น จ่ ม ท ร ม า น
ต่างสร้างแพ ไว้ให้ลูกเมียซ่น ล่ ว ง บ น ส า ม ขุ น นั้ น
ข า บ บู ช า แ ถ น ไ ท้ ห ลู โ ต น แ ด่ ถ่ อ น
ข อ ไ ห ว้ ทุ ก ค่ำ เ ช้ า แถนได้มอบควาย ไว้ซ่วยซูสูเจ้า ฯ
ส า ม ปี ค ว า ย ซ่ ว ย สู้ น า ไ ฮ่ ฮ ก จ น แ ป น
ค ว า ย คู่ ใ จ ต า ย ล ง ค่ำ คู ณ ฝั ง ไ ว้
ฮู ดั ง ค ว า ย เ กิ ด ต้ น - น้ำเต้าเครือหนึ่ ง
เ ค รือ ใ ห ญ่ ง า ม ห น่ ว ย ปุ้ ง เกิดเชื้ อเผ่าเค้าตระกูล พอกพู นล้นท่านเอย ฯ
ก ล อ น สุ ภ า พ
ค ว า ย คู่ ค น ล้ น ลึ ก แ ต่ ดึ ก ดำ บ ร ร พ์
เ คี ย ง ข้ า ง กั น ปั น แ บ่ ง แ ห่ ง น า ไ ร่
คู่ทุกข์คู่ยากบากบั่นเพื่ อนคู่ใจ
ค น กั บ ค ว า ย ใ ฝ่ ท น คู่ สู้ ฝ่ า ฟั น
แ พ ร่ลู ก ห ล า น เ ห ล น โ ห ล น ห ล า ย ห ล า ก
สุ ด ย อ ด ม า ก แ ร ง ค ว า ย แ ร ง ค น ท้ น ข ยั น
ช่วยสร้างบ้านแปงเมืองกระเดื่ องโจษจัน
เ จ ริญ รุ่ง เ รือ ง ส ร้า ง ส ร ร ค์ จ ว บ วั น นี้
ใ ห้ แ ร ง ง า น ผ ล า ญ ร ก ห ญ้ า คุ ณ ค่ า ยิ่ ง
เขาเนื้ อหนังไม่ทิ้งมูลปุ๋ยชี้
แม้นควายเหล็กเฟื่ องฟู ดูดีดี
เ ส ริม บ า ร มี ศั ก ดิ์ ศ รีส ร้า ง อ ย่ า ง ท้ า ท า ย
ค ว า ย ง า ม น า ม เ พ ร า ะ เ ห ม า ะ ตำ ร า
พุ่ ง ร า ค า ฟั ง ดู หู ฉี่ ห ล า ย
อ า ชี พ เ ลี้ ย ง ค ว า ย ยุ ค นี้ มี ม า ก ม า ย
สร้างเศรษฐีตามมุ่งหมายตลอดไป... ๚ะ๛
ปราโมช ปราโมทย์
NONGNAKHAM JOURNAL PAGE 19
ซึมซาบกับกาพย์กลอน I ไชสุวัน แพงพง I จินตรัย ปริวรรติ
ค ว า ม ก ล้ า
ก ล อ น อ่ า น อั ก ษ ร สั ง ว า ส
อันหนึ่ ง ความเก่งกล้า เ ข้ า ป่ า ผ จ ญ ภั ย
ปี น ไ ต่ ภู ผ า สู ง ย อ ด ด อ ย คุ ง ฟ้ า
นั่ ง ใ น น า ว า น้ อ ย ก ล า ง วั ง น้ำ ม า ก
ค น ห า ก ก ล้ า เ สี่ ย ง ท้ า เป็นหน้าชื่ นชม นำแท้
หรือว่า ยามเคลื่ อนย้าย ไ ก ล ถิ่ น ค น เ ดี ย ว
เ ที ย ว ท่ อ ง ย า ม ก ล า ง คื น ผ่ า ด ง พ ง ไ ม้
ย่ อ ม มี ภั ย ห ล า ย ด้ า น ข ว า ง ท า ง เ ป็ น เ ห ตุ
เ ข้ า เ ข ต โ จ ร ลั ด ปุ้ น พานพ้อแม่นตาย แท้นา
อยากว่า ความเก่งกล้า ท้าเสี่ยงมวลภัย นั้นนา
พ า ค น ตั ด สิ น ใ จ น อ ก ก า ย ก ร ะ ทำ ไ ด้
หู ต า - ตี น มื อ ใ ช้ ต า ม ใ จ ก ล้ า เ สี่ ย ง
เ พี ย ง แ ต่ ใ จ สั่ง สู้ คนกล้าประพฤติตาม หั้นแล้ว
นอกตัว มีเหตุหยุ้ง ค น บ่ ล่ า ถ อ ย ห ลั ง
กำ ลั ง ก า ย เ พี ย ง พ อ เพื่ อไปเถิงเป้า
แ ต่ เ ฮ า ห ม ด ค ว า ม ก ล้ า จำ น น บ่ ห า ญ สั่ ง
สั่ง ใ ห้ ใ จ เ ลิ ก ล้ ม แผนต้มโลภโกง แท้แล้ว ฯ
จินตรัย ปริวรรติ
PAGE 20 NONGNAKHAM JOURNAL
วรรณศิลป์ถิ่นอีสาน I ชาตรี เสงี่ยมวงศ์
" ค ว า ม ห วั ง "
๏ คำโตงโตยกล่าวต้าน จาต่อตามมา
เป็นวังวน กงกรรมเกวียนล้อ
ว่าคน ควร "กำขี้ ดีกว่ากำตด"
ยังหมาย มีต่อนได้ บายบ้างบาดซวย
๏ โอนอ สังซ่างให้ หนแห่งทางหา
ไป่มี ของดีดอม ค่าควรคนได้
มีแต่ สมโสถิ้ม ทามือหมองหลิ่น
เป็นดั่งนี้ มาได้แต่ใด ? คนเอย
๏ ปุนดั่ง เปิงป่วงบ้าน ปูมป่วยเป็นไป
หลายปี มีประซา- ธิปไตยตรงต้อง
ตามความต้องการได้ องค์กรอำนาจ
ให้คน ไทยทั่วด้าว พาท้องถิ่นพั ฒนา
๏ จึ่งจัด เงินงบสร้าง- สรรค์ทั่วสถาปนา
อบจ. อบต. เทศบาลทุกบ้าน
จัดสรร อำนาจให้ ทำดีโดยดั่ง
ผสงค์ สมคึดไว้ หายด้อยพั ฒนา
๏ บาดใด๋ ทังที่แท้ โตต่อนตัณหา
หลั่งไหล ลงมานำ ประซาธิปไตยนั้น
ความอยาก มีดีได้ ลวงใจคนคัก
ทุนท่อใดจ่ายซื้อ ทางเข้าครอบครอง
๏ เป็นวังวน วรรคเว้น การพั ฒนาหลง
สินบ่มากาหลุย อยู่พอเพี ยงนี้
งบงาน จมถมถิ้ม ลงขุมความอยาก
คิดใคร่ ถอนทบต้น ตนบ้านบ่อนมา
๏ หนทาง ดีที่ก้าว ไปบ่ทันเถิง นี้นอ
อุปสรรค นานา เหนี่ยวดึงตรึงไว้
ควรสังวรณ์วางเว้น ตัณหามามุด
สิ่งบ่ ควรใคร่ได้ ใจฮู้ฮ่อมมาย ออกดาย
๏ ประซาธิปไตยต่างใซ้ อามิสหมังหมาย
หลายที ดีวายสูญ เฮี่ยไลลงถิ้ม
หลักการ เกินงามล้ำ นำความเจริญสู่
ขอสิ่ง หวังวาดไว้ ไปได้บ่สูญ นั้นเยอ ๚ะ๛
ชาตรี เสงี่ยมวงศ์
29 พฤศจิกายน 2564
อ่านสำเนียงพื้ นบ้านไทอีสาน
NONGNAKHAM JOURNAL PAGE 21
แกลเลอรี่ ครูยุท I ยุทธศักดิ์ ลุ่มไธสงค์ :ภาพ I ปิยะพงษ์ คลังทอง :ภาพ
ไก่เถื่อน NONGNAKHAM JOURNAL
ส่งเสียงเหมือนส่งสาร ผ่านเสียง
ส่ำเสียงสำเนียงไพร ใกล้รุ่ง
ก้องไกลไหววนมิปรนปรุง
ปลุกเช้าพราวทุ่งให้รุ่งราง
ซ่อนพรางกลางไพรในวิถี
ซ่อนเนตรเฉดสีมณีสว่าง
ซ่อนรอยพร้อยแพรวทุกแนวทาง
แต่ขันขานกังวานสะท้านไพร
หงอนแดงตั้งตรงทะนงศักดิ์
หูขาวพราวพรักสลักไสว
สร้อยขนปนแดงเหลือง เรืองไร
เดือยคมสมวัยไก่ป่าแท้
ยืดตัว โก่งคอ ป้อเสียงส่ง
กรายเคียงเอียงลงตรงแน่วแน่
เสร็จสมร่มรื่นชื่นดวงแด
สืบสายผายแผ่แก่เผ่าพันธุ์
ส่งเสียงเหมือนส่งสาร ผ่านเสียง
ส่ำเสียงเรียงรักถักทอฝัน
ไก่บ้าน ไก่เถื่อน เหมือนเหมือนกัน
ต่างอยู่กู่ขันกล่อมวันวาร
ภาพ : อ.ยุทธศักดิ์ ลุ่มไธสงค์
คำ : ปิยะพงษ์ คลังทอง
PAGE 22
NONGNAKHAM JOURNAL
0 THANK YOU
6
มอส
ผาชมตะวัน อุทยานแห่งชาตภูเวียง
ออกแบบปกและรูปเล่ม : วิชุดา อุ่นสา
พิ มพ์ ที่ อำเภอหนองนาคำ จังหวัดขอนแก่น