กศน.อาเภอบ้านตาขุน
ห้องสมุดประชาชนอาเภอบ้านตาขุน
“เศรษฐกจิ พอเพยี ง” เป็ นแนวพระราชดาริในพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9
ทพี่ ระราชทานมานานกว่า ๓๐ ปี เป็ นแนวคดิ ทต่ี ้ังอยู่บนรากฐานของวฒั นธรรมไทย เป็ น
แนวทางการพฒั นาทต่ี ้งั บนพืน้ ฐานของทางสายกลาง และความไม่ประมาท คานึงถงึ ความ
พอประมาณ ความมเี หตุผล การสร้างภูมคิ ุ้มกนั ในตวั เอง ตลอดจนใช้ความรู้และคุณธรรม
เป็ นพืน้ ฐานในการดารงชีวติ ทสี่ าคญั จะต้องมี “สติ ปัญญา และความเพยี ร” ซึ่งจะนาไปสู่
ความสุขในการดาเนินชีวติ อย่างแท้จริง”
ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง (Philosophy Economy) เป็ นปรัชญาทพ่ี ระบาทสมเดจ็
พระเจ้าอยู่หัว ทรงมพี ระราชดารัสชี้แนะแนวทางการดาเนินชีวติ แก่พสกนิกรชาวไทย เป็ น
ปรัชญาทช่ี ี้ให้เห็นถงึ แนวทางการดารงอยู่และปฏบิ ตั ติ นของประชาชนในทุกระดบั ต้ังแต่ระดบั
ครอบครัว (Family) ชุมชน (Community) จนถึงระดบั รัฐ (State) ท้งั ในการ
พฒั นาและบริหารประเทศให้ดาเนินไปในทางสายกลาง (Middle Path) โดยเฉพาะการ
พฒั นาเศรษฐกจิ เพ่ือให้ก้าวทนั ต่อยุคโลกาภิวตั น์ (Globalization) สามารถนามา
ประยุกต์ใช้ได้ตลอดเวลา
หลกั ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง (Philosophy Economy) ๓ ห่วง คือ
ทางสายกลาง (Middle Path) ประกอบด้วยดงั นี้
ห่วงท่ี ๑ คือ พอประมาณ (Tolerable) หมายถึง พอประมาณในทุกอย่าง
ความพอดไี ม่มาก หรือน้อยจนเกนิ ไป โดยต้องไม่เบยี ดเบยี นตนเอง หรือผู้อื่นให้
เดือดร้อน
ห่วงที่ ๒ คือ มเี หตุผล (Rational) หมายถึง การตดั สินใจเกยี่ วกบั ระดบั ของ
ความพอเพยี งน้ันจะต้องเป็ นไปอย่างมเี หตุผล โดยพจิ ารณาจากเหตุปัจจยั ทเี่ กยี่ วข้อง
ตลอด
ห่วงท่ี ๓ คือ มภี ูมคิ ุ้มกนั ทด่ี ใี นตวั เอง (Self – Immunity) หมายถงึ การ
เตรียมตวั ให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลยี่ นแปลงด้านต่าง ๆ ทจี่ ะเกดิ ขนึ้ โดย
คานึงถงึ ความเป็ นไปได้ของสถานการณ์ต่าง ๆ ทคี่ าดว่าจะเกดิ ขนึ้ ในอนาคตท้งั ใกล้
และไกล
๒ เง่ือนไข ตามแนวเศรษฐกจิ พอเพยี ง ได้แก่ เง่ือนไขที่ ๑ เงื่อนไขความรู้ (Knowledge)
คือ มคี วามรอบรู้เกยี่ วกบั วชิ าการต่าง ๆ ที่เกยี่ วข้องอย่างรอบด้าน ความรอบคอบทจี่ ะนาความรู้
เหล่าน้ันมาพจิ ารณาให้เชื่อมโยงกนั เพ่ือประกอบการวางแผน และความระมดั ระวงั ในข้นั ตอน
ปฏบิ ตั ิ คุณธรรมประกอบด้วย มคี วามตระหนักในคุณธรรม (Ethics) มคี วาม ซ่ือสัตย์สุจริต
(Honesty) และมคี วามอดทน (Patience) มคี วามเพยี ร (PerseVerance) ใช้
สตปิ ัญญาในการดาเนินชีวติ (The Wisdom Of Life) เงื่อนไขที่ ๒ เง่ือนไขคุณธรรม
(Ethics) คือ มคี วามตระหนักในคุณธรรม (Ethics) มคี วามซ่ือสัตย์ (Honesty) และ
มคี วาม อดทน (Patience) มคี วามเพยี ร (Perseverance) ใช้สติปัญญาในการ
ดาเนินชีวติ (The Wisdom Of Life)
แนวพระราชดาริในการดาเนินชีวติ แบบพอเพยี ง
๑. ยดึ ความประหยัด ตดั ทอนค่าใช้จ่ายในทุกด้าน ลดละความฟ่ ุมเฟื อยในการใช้ชีวติ
๒. ยดึ ถือการประกอบอาชีพด้วยความถูกต้อง ซื่อสัตย์สุจริต
๓. ละเลกิ การแก่งแย่งผลประโยชน์และแข่งขนั กนั ในทางการค้าแบบต่อสู้กนั อย่าง
รุนแรง
๔. ไม่หยุดนิ่งทจ่ี ะหาทางให้ชีวติ หลุดพ้นจากความทุกข์ยากด้วยการขวนขวายใฝ่ หา
ความรู้ให้มรี ายได้เพม่ิ พูนขนึ้ จนถงึ ข้นั พอเพยี งเป็ นเป้าหมายสาคญั
๕. ปฏิบตั ติ นในแนวทางทดี่ ี ลดละสิ่งชั่ว ประพฤตติ นตามหลกั ศาสนา
การนาหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งไปใช้ในชีวติ ประจาวนั
๑. พอมพี อกนิ ปลูกพืชสวนครัวไว้กนิ เองบ้าง ปลูกไม้ผลไว้หลงั บ้าน ๒ - ๓ ต้น พอทจ่ี ะมี
ไว้กนิ เองในครัวเรือน แบ่งให้เพื่อนบ้านบ้าง เหลือจึงขายไป
๒. พออยู่พอใช้ ทาให้บ้านน่าอยู่ ปราศจากสารเคมกี ลน่ิ เหมน็ ใช้แต่ของทเ่ี ป็ นธรรมชาติ
รายจ่ายลดลงสุขภาพจะดขี นึ้ (ประหยดั ค่ารักษาพยาบาล)
๓. พออกพอใจ เราต้องรู้จักพอ รู้จกั ประมาณตน ไม่ใคร่อยากใคร่มเี ช่นผู้อื่น เพราะเราจะ
หลงตดิ กบั วตั ถุชีวติ โดยจะอยู่ในกจิ กรรม “ออมวนั นี้ เศรษฐีวนั หน้า”
๔. เมื่อมรี ายได้แต่ละเดือน จะแบ่งไว้ใช้จ่าย ๓ ส่วนเป็ นค่านา้ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าจิปาถะ
ทใี่ ช้บางอย่างทชี่ ารุด เป็ นต้น
๕. ฉันจะยดึ ความประหยดั ตดั ทอนรายจ่ายในทุก ๆ วนั ทไ่ี ม่จาเป็ น ลดละความฟ่ ุมเฟื อย
เศรษฐกจิ พอเพยี งกบั ทฤษฎใี หม่
แนวทางหรือหลกั ในการบริหารจดั การทด่ี นิ และนา้ เพื่อการเกษตรในทดี่ นิ ขนาดเลก็
ให้เกดิ ประโยชน์สูงสุดด้วยหลกั เศรษฐกจิ พอเพยี ง พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัวได้
พระราชทานพระราชดารินีเ้ พ่ือเป็ นการช่วยเหลือเกษตรกรทป่ี ระสบความยากลาบาก
ให้สามารถผ่านช่วงวกิ ฤต โดยเฉพาะการขาดแคลนนา้ ได้โดยไม่เดือดร้อนและยาก
ลาบากนัก การดาเนินงานตามทฤษฎใี หม่มี 3 ข้นั ตอน คือ
การผลติ ให้พง่ึ ตนเองด้วยวธิ ีง่าย ค่อยเป็ นค่อยไปตามกาลงั ให้พอมพี อกนิ
การรวมพลงั กนั ในรูปแบบ หรือ สหกรณ์ ร่วมแรงร่วมใจกนั ในด้านการผลติ การตลาด
ความเป็ นอยู่ สวสั ดกิ าร การศึกษา สังคม และศาสนาการดาเนินธุรกจิ โดยติดต่อ
ประสานงาน จดั หาทุนหรือแหล่งเงนิ
ข้นั ที่ ๑ สาหรับการพง่ึ พาตนเอง
เกษตรทฤษฏีใหม่น้ัน ให้แบ่งพืน้ ทอ่ี อกเป็ น ๔ ส่วน ตามอตั ราส่วน ๓๐ : ๓๐ : ๓๐ : ๑๐
ซ่ึงหมายถึง ๓๐% แรกให้ขุดสระเกบ็ กกั นา้ เพ่ือใช้เกบ็ กกั นา้ ฝนในฤดูฝน และใช้เสริม
การปลูกพืชในฤดูแล้ง ตลอดจนการเลยี้ งสัตว์และพืชนา้ ต่าง ๆ ๓๐% ต่อมาให้ปลูกข้าว
ในฤดูฝนเพื่อใช้เป็ นอาหารประจาวนั สาหรับครอบครัวให้เพยี งพอตลอดปี เพื่อตัด
ค่าใช้จ่ายและสามารถพง่ึ ตนเองได้ ๓๐% ต่อมาให้ปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้น พืชผกั พืชไร่
พืชสมุนไพร ฯลฯ เพ่ือใช้เป็ นอาหารประจาวนั หากเหลือบริโภคกน็ าไปจาหน่าย
๑๐% สุดท้ายเป็ นทอี่ ยู่อาศัย เลยี้ งสัตว์ ถนนหนทาง และโรงเรือนอ่ืน ๆ
ข้นั ท่ี 2 ร่วมแรงร่วมใจหลาย ๆ ด้าน เช่น การผลติ (พนั ธ์ุพืช เตรียมดนิ ชลประทาน ฯลฯ)
การตลาด (ลานตากข้าว ยุ้ง เคร่ืองสีข้าว การจาหน่าย) การเป็ นอยู่ (กะปิ นา้ ปลา อาหาร เคร่ืองนุ่งห่ม
ฯลฯ) สวสั ดกิ าร (สาธารณสุข เงนิ กู้) การศึกษา (โรงเรียน ทุนการศึกษา) สังคมและศาสนา (การทา
กจิ กรรมร่วมกนั เป็ นหมู่คณะ)
ข้นั ที่ 3 การติดต่อหรือการหาแหล่งเงนิ คือ การติดต่อประสานงาน เพ่ือจัดหาทุน หรือแหล่งเงนิ
เช่น ธนาคาร หรือบริษทั ห้างร้านเอกชน มาช่วยในการทาธุรกจิ การลงทุนและพฒั นาคุณภาพชีวติ
ท้งั นี้ ท้งั ฝ่ ายเกษตรกรและฝ่ ายธนาคารกบั บริษทั จะได้รับประโยชน์ร่วมกนั กล่าวคือ เกษตรกร
ขายข้าวได้ราคาสูง (ไม่ถูกกดราคา) ธนาคารหรือบริษทั เอกชนสามารถซื้อข้าวบริโภคในราคาต่า
(ซื้อข้าวเปลือกตรงจากเกษตรกรและมาสีเอง) เกษตรกรซื้อเคร่ืองอุปโภคบริโภคได้ในราคาตา่
เพราะรวมกนั ซื้อเป็ นจานวนมาก (เป็ นร้านสหกรณ์ราคาขายส่ง) ธนาคารหรือบริษทั เอกชน จะ
สามารถกระจายบุคลากร เพ่ือไปดาเนินการในกจิ กรรมต่าง ๆ ให้เกดิ ผลดยี ง่ิ ขนึ้
หลกั การทรงงาน ในหลวงรัชกาลท่ี ๙
๑. จะทาอะไรต้องศึกษาข้อมูลให้เป็ นระบบ
ทรงศึกษาข้อมูลรายละเอยี ดอย่างเป็ นระบบจากข้อมูลเบือ้ งต้น ท้งั เอกสาร แผนท่ี สอบถามจากเจ้าหน้าท่ี
นักวชิ าการ และราษฎรในพืน้ ทใี่ ห้ได้รายละเอยี ดทถี่ ูกต้อง เพื่อนาข้อมูลเหล่าน้ันไปใช้ประโยชน์ได้จริงอย่าง
ถูกต้อง รวดเร็ว และตรงตามเป้าหมาย
๓. ระเบดิ จากภายใน
จะทาการใดๆ ต้องเริ่มจากคนทเี่ กยี่ วข้องเสียก่อน ต้องสร้างความเข้มแขง็ จากภายในให้เกดิ ความเข้าใจและ
อยากทา ไม่ใช่การสั่งให้ทา คนไม่เข้าใจกอ็ าจจะไม่ทากเ็ ป็ นได้ ในการทางานน้ันอาจจะต้องคุยหรือประชุม
กบั ลูกน้อง เพ่ือนร่วมงาน หรือคนในทมี เสียก่อน เพ่ือให้ทราบถงึ เป้าหมายและวธิ ีการต่อไป
๔. แก้ปัญหาจากจุดเลก็
ควรมองปัญหาภาพรวมก่อนเสมอ แต่เม่ือจะลงมือแก้ปัญหาน้ัน ควรมองในส่ิงทคี่ นมกั จะมองข้าม แล้วเร่ิม
แก้ปัญหาจากจุดเลก็ ๆ เสียก่อน เม่ือสาเร็จแล้วจึงค่อยๆ ขยบั ขยายแก้ไปเรื่อยๆ ทลี ะจุด เราสามารถเอามา
ประยุกต์ใช้กบั การทางานได้ โดยมองไปทเี่ ป้าหมายใหญ่ของงานแต่ละชิ้น แล้วเร่ิมลงมือทาจากจุดเลก็ ๆ
ก่อน ค่อยๆ ทา ค่อยๆ แก้ไปทลี ะจุด งานแต่ละชิ้นกจ็ ะลุลวงไปได้ตามเป้าหมายทว่ี างไว้ “ถ้าปวดหัวคดิ อะไร
ไม่ออก กต็ ้องแก้ไขการปวดหัวนีก้ ่อน มนั ไม่ได้แก้อาการจริง แต่ต้องแก้ปัญหาทที่ าให้เราปวดหัวให้ได้
เสียก่อน เพื่อจะให้อยู่ในสภาพทด่ี ไี ด้…”
๔. ทาตามลาดบั ข้นั
เร่ิมต้นจากการลงมือทาในสิ่งทจี่ าเป็ นก่อน เมื่อสาเร็จแล้วกเ็ ริ่มลงมือส่ิงทจ่ี าเป็ นลาดบั ต่อไป ด้วยความ
รอบคอบและระมดั ระวงั ถ้าทาตามหลกั นีไ้ ด้ งานทุกส่ิงกจ็ ะสาเร็จได้โดยง่าย… ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรง
เร่ิมต้นจากส่ิงทจี่ าเป็ นทสี่ ุดของประชาชนเสียก่อน ได้แก่ สุขภาพสาธารณสุข จากน้ันจึงเป็ นเรื่อง
สาธารณูปโภคข้นั พืน้ ฐาน และส่ิงจาเป็ นในการประกอบอาชีพ อาทิ ถนน แหล่งนา้ เพื่อการเกษตร การ
อุปโภคบริโภค เน้นการปรับใช้ภูมปิ ัญญาท้องถิน่ ทร่ี าษฎรสามารถนาไปปฏิบตั ิได้ และเกดิ ประโยชน์สูงสุด
“การพฒั นาประเทศจาเป็ นต้องทาตามลาดบั ข้นั ต้องสร้างพืน้ ฐาน คือความพอมี พอกนิ พอใช้ของประชาชน
ส่วนใหญ่เป็ นเบือ้ งต้นก่อน ใช้วธิ ีการและอุปกรณ์ทป่ี ระหยดั แต่ถูกต้องตามหลกั วชิ า เม่ือได้พืน้ ฐานทม่ี นั่ คง
พร้อมพอสมควร สามารถปฏบิ ตั ไิ ด้แล้วจงึ ค่อยสร้างเสริมความเจริญและฐานะเศรษฐกจิ ข้นั ทส่ี ูงขนึ้ โดย
ลาดบั ต่อไป…” พระบรมราโชวาทของในหลวงรัชกาลท่ี ๙ เม่ือวนั ที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๑๗
๕. ภูมสิ ังคม ภูมศิ าสตร์ สังคมศาสตร์
การพฒั นาใดๆ ต้องคานึงถึงสภาพภูมปิ ระเทศของบริเวณน้นั ว่าเป็ นอย่างไร และสังคมวทิ ยาเกย่ี วกบั ลกั ษณะ
นิสัยใจคอคน ตลอดจนวฒั นธรรมประเพณใี นแต่ละท้องถน่ิ ทมี่ คี วามแตกต่างกนั “การพฒั นาจะต้องเป็ นไป
ตามภูมปิ ระเทศทางภูมศิ าสตร์และภูมปิ ระเทศทางสังคมศาสตร์ ในสังคมวทิ ยา คือนิสัยใจคอของคนเรา จะ
ไปบงั คบั ให้คนอื่นคดิ อย่างอื่นไม่ได้ เราต้องแนะนา เข้าไปดูว่าเขาต้องการอะไรจริงๆ แล้วกอ็ ธิบายให้เขาเข้าใจ
หลกั การของการพฒั นานีก้ จ็ ะเกดิ ประโยชน์อย่างยง่ิ ”
๖. ทางานแบบองค์รวม
ใช้วธิ ีคดิ เพ่ือการทางาน โดยวธิ ีคดิ อย่างองค์รวม คือการมองสิ่งต่างๆ ทเ่ี กดิ อย่างเป็ นระบบครบวงจร ทุกส่ิง
ทุกอย่างมมี ติ เิ ช่ือมต่อกนั มองส่ิงทเี่ กดิ ขนึ้ และแนวทางแก้ไขอย่างเช่ือมโยง
๗. ไม่ติดตารา
เม่ือเราจะทาการใดน้ัน ควรทางานอย่างยืดหยุ่นกบั สภาพและสถานการณ์น้ันๆ ไม่ใช่การยดึ ตดิ อยู่กบั แค่ใน
ตาราวชิ าการ เพราะบางทค่ี วามรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด บางคร้ังเรายดึ ตดิ ทฤษฎมี ากจนเกนิ ไปจนทาอะไร
ไม่ได้เลย ส่ิงทเี่ ราทาบางคร้ังต้องโอบอ้อมต่อสภาพธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม สังคม และจิตวทิ ยาด้วย
๘. รู้จกั ประหยดั เรียบง่าย ได้ประโยชน์สูงสุด
ในการพฒั นาและช่วยเหลือราษฎร ในหลวงรัชกาลท่ี 9 ทรงใช้หลกั ในการแก้ปัญหาด้วยความเรียบง่ายและ
ประหยดั ราษฎรสามารถทาได้เอง หาได้ในท้องถ่ินและประยุกต์ใช้ส่ิงทมี่ อี ยู่ในภูมภิ าคน้ันมาแก้ไข ปรับปรุง
โดยไม่ต้องลงทุนสูงหรือใช้เทคโนโลยที ย่ี ุ่งยากมากนัก ดงั พระราชดารัสตอนหนึ่งว่า “…ให้ปลูกป่ าโดยไม่
ต้องปลูกโดยปล่อยให้ขนึ้ เองตามธรรมชาติจะได้ประหยดั งบประมาณ…”
๙. ทาให้ง่าย
ทรงคดิ ค้น ดดั แปลง ปรับปรุงและแก้ไขงาน การพฒั นาประเทศตามแนวพระราชดาริไปได้โดยง่าย ไม่
ยุ่งยากซับซ้อนและทสี่ าคญั อย่างยงิ่ คือ สอดคล้องกบั สภาพความเป็ นอยู่ของประชาชนและระบบนิเวศ
โดยรวม “ทาให้ง่าย”
๑๐. การมสี ่วนร่วม
ทรงเป็ นนักประชาธิปไตย ทรงเปิ ดโอกาสให้สาธารณชน ประชาชนหรือเจ้าหน้าทท่ี ุกระดบั ได้มาร่วมแสดง
ความคดิ เห็น “สาคญั ทสี่ ุดจะต้องหัดทาใจให้กว้างขวาง หนักแน่น รู้จกั รับฟังความคดิ เห็น แม้กระทง่ั ความ
วพิ ากษ์วจิ ารณ์จากผู้อื่นอย่างฉลาดน้ัน แท้จริงคือ การระดมสตปิ ัญญาละประสบการณ์อนั หลากหลายมา
อานวยการปฏิบตั ิบริหารงานให้ประสบผลสาเร็จทส่ี มบูรณ์น่ันเอง”
๑๑. ต้องยดึ ประโยชน์ส่วนรวม
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงระลกึ ถึงประโยชน์ของส่วนรวมเป็ นสาคญั ดงั พระราชดารัสตอนหนึ่งว่า “…ใคร
ต่อใครบอกว่า ขอให้เสียสละส่วนตวั เพื่อส่วนรวม อนั นีฟ้ ังจนเบื่อ อาจราคาญด้วยซ้าว่า ใครต่อใครมากบ็ อก
ว่าขอให้คดิ ถงึ ประโยชน์ส่วนรวม อาจมานึกในใจว่า ให้ๆ อยู่เร่ือยแล้วส่วนตัวจะได้อะไร ขอให้คดิ ว่าคนทใ่ี ห้
เป็ นเพื่อส่วนรวมน้ัน มไิ ด้ให้ส่วนรวมแต่อย่างเดยี ว เป็ นการให้เพื่อตวั เองสามารถทจี่ ะมสี ่วนรวมทจ่ี ะอาศัย
ได้…”
๑๒. บริการทจี่ ุดเดยี ว
ทรงมพี ระราชดาริมากว่า 20 ปี แล้ว ให้บริหารศูนย์ศึกษาการพฒั นาหลายแห่งทว่ั ประเทศโดยใช้หลกั การ
“การบริการรวมทจี่ ุดเดยี ว : One Stop Service” โดยทรงเน้นเร่ืองรู้รักสามคั คแี ละการร่วมมือร่วม
แรงร่วมใจกนั ด้วยการปรับลดช่องว่างระหว่างหน่วยงานทเี่ กยี่ วข้อง
๑๓. ใช้ธรรมชาติช่วยธรรมชาติ
พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 9 ทรงเข้าใจถึงธรรมชาติและต้องการให้ประชาชนใกล้ชิดกบั
ทรัพยากรธรรมชาติ ทรงมองปัญหาธรรมชาตอิ ย่างละเอยี ด โดยหากเราต้องการแก้ไขธรรมชาติจะต้องใช้
ธรรมชาติเข้าช่วยเหลือเราด้วย
๑๔. ใช้อธรรมปราบอธรรม
ทรงนาความจริงในเร่ืองธรรมชาตแิ ละกฎเกณฑ์ของธรรมชาตมิ าเป็ นหลกั การแนวทางปฏบิ ตั ิในการแก้ไข
ปัญหาและปรับปรุงสภาวะทไ่ี ม่ปกตเิ ข้าสู่ระบบทป่ี กติ เช่น การบาบดั นา้ เน่าเสียโดยให้ผกั ตบชวา ซึ่งมตี าม
ธรรมชาติให้ดูดซึมส่ิงสกปรกปนเปื้ อนในนา้
๑๕. ปลูกป่ าในใจคน
การจะทาการใดสาเร็จต้องปลูกจติ สานึกของคนเสียก่อน ต้องให้เห็นคุณค่า เห็นประโยชน์กบั ส่ิงทจ่ี ะทา….
“เจ้าหน้าทปี่ ่ าไม้ควรจะปลูกต้นไม้ลงในใจคนเสียก่อน แล้วคนเหล่าน้ันกจ็ ะพากนั ปลูกต้นไม้ลงบนแผ่นดนิ
และจะรักษาต้นไม้ด้วยตนเอง”
๑๖. ขาดทุนคือกาไร
หลกั การในพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 9 ทมี่ ตี ่อพสกนิกรไทย “การให้” และ “การเสียสละ”
เป็ นการกระทาอนั มผี ลเป็ นกาไร คือความอยู่ดมี สี ุขของราษฎร
๑๗. การพงึ่ พาตนเอง
การพฒั นาตามแนวพระราชดาริ เพ่ือการแก้ไขปัญหาในเบื้องต้นด้วยการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อให้มี
ความแขง็ แรงพอทจ่ี ะดารงชีวติ ได้ต่อไป แล้วข้นั ต่อไปกค็ ือ การพฒั นาให้ประชาชนสามารถอยู่ในสังคมได้
ตามสภาพแวดล้อมและสามารถ พง่ึ ตนเองได้ในทสี่ ุด
๑๘. พออยู่พอกนิ
ให้ประชาชนสามารถอยู่อย่าง “พออยู่พอกนิ ” ให้ได้เสียก่อน แล้วจึงค่อยขยบั ขยายให้มขี ดี สมรรถนะที่
ก้าวหน้าต่อไป
๑๙. เศรษฐกจิ พอเพยี ง
เป็ นปรัชญาทใ่ี นหลวงรัชกาลท่ี 9 พระราชทานพระราชดารัสชี้แนะแนวทางการดาเนินชีวติ ให้ดาเนินไปบน
“ทางสายกลาง” เพ่ือให้รอดพ้นและสามารถดารงอยู่ได้อย่างมน่ั คงและยงั่ ยืนภายใต้กระแสโลกาภิวฒั น์และ
การเปลยี่ นแปลงต่างๆ ซึ่งปรัชญานีส้ ามารถนาไปประยุกต์ใช้ได้ท้งั ระดบั บุคคล องค์กร และชุมชน
บทความทเ่ี กย่ี วข้อง : เดนิ ตามรอยเท้าพ่อ ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง
๒๐. ความซื่อสัตย์สุจริต จริงใจต่อกนั
ผู้ทม่ี คี วามสุจริตและบริสุทธ์ิใจ แม้จะมคี วามรู้น้อย กย็ ่อมทาประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมได้มากกว่าผู้ทม่ี คี วามรู้
มาก แต่ไม่มคี วามสุจริต ไม่มคี วามบริสุทธ์ิใจ
๒๑. ทางานอย่างมคี วามสุข
ทางานต้องมคี วามสุขด้วย ถ้าเราทาอย่างไม่มคี วามสุขเราจะแพ้ แต่ถ้าเรามคี วามสุขเราจะชนะ สนุกกบั
การทางานเพยี งเท่าน้ัน ถือว่าเราชนะแล้ว หรือจะทางานโดยคานึงถึงความสุขทเ่ี กดิ จากการได้ทา
ประโยชน์ให้กบั ผู้อ่ืนกส็ ามารถทาได้ “…ทางานกบั ฉัน ฉันไม่มอี ะไรจะให้ นอกจากการมคี วามสุขร่วมกนั
ในการทาประโยชน์ให้กบั ผู้อื่น…”
๒๒. ความเพยี ร
การเริ่มต้นทางานหรือทาส่ิงใดน้ันอาจจะไม่ได้มคี วามพร้อม ต้องอาศัยความอดทนและความมุ่งมนั่
ดงั เช่นพระราชนิพนธ์ “พระมหาชนก” กษตั ริย์ผู้เพยี รพยายามแม้จะไม่เห็นฝ่ังกจ็ ะว่ายนา้ ต่อไป เพราะ
ถ้าไม่เพยี รว่ายกจ็ ะตกเป็ นอาหารปู ปลาและไม่ได้พบกบั เทวดาทช่ี ่วยเหลือมใิ ห้จมนา้
๒๓. รู้ รัก สามคั คี
รู้ คือ รู้ปัญหาและรู้วธิ ีแก้ปัญหาน้ัน
รัก คือ เม่ือเรารู้ถึงปัญหาและวธิ ีแก้แล้ว เราต้องมคี วามรัก ทจ่ี ะลงมือทา ลงมือแก้ไขปัญหาน้ัน
สามคั คี คือ การแก้ไขปัญหาต่างๆ ไม่สามารถลงมือทาคนเดยี วได้ ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจกนั