สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒
พระราชประวัติ
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ พระนามเดิมว่า พระเชษฐาธิราช
ทรงเป็ นพระราชโอรสในสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เสด็จพระราชสมภพ เมื่อปี
พ.ศ.๒๐๑๕ ที่เมืองพิ ษณุโลก ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้อภิเษกเป็ นพระมหาอุปราชเมื่อพระ
ชนมายุได้ ๑๓ พรรษา
เมื่อสมเด็จพระราชบิดาเสด็จสวรรคต พระองค์ได้ถวายราชสมบัติแก่พระบรม
ราชาธิราชที่ ๓ ผู้ซึ่งเป็ นพระเชษฐาต่างพระมารดา และครองกรุงศรีอยุธยาอยู่ก่อนแล้ว
เนื่องจากสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเสด็จไปประทับอยู่ที่เมืองพิ ษณุโลก พระองค์จึงอยู่
ในฐานะพระมหาอุปราชครองเมืองพิ ษณุโลก
เมื่อสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๓ เสด็จสวรรคต พระองค์จึงเสด็จขึ้นครองราชย์ เมื่อปี
พ.ศ.๒๐๓๔ เป็ นพระมหากษัตริย์องค์ที่๑๐ของกรุงศรีอยุธยา
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒
ทรงจัดให้มีการจัดระเบียบกองทัพ และ แต่งตำราพิ ชัยสงคราม
ทรงโปรดเกล้า ฯ ให้จัดทำบัญชีกำลังพล เมื่อปี พ.ศ.๒๐๖๑ เพื่อเกณฑ์พลเมืองเข้ารับ
ราชการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน โดยกำหนดให้ไพร่ที่เป็นชาย อายุตั้งแต่ ๑๘ - ๖๐ ปี ต้อง
เข้ารับราชการทหาร ยกเว้นผู้ที่มีบุตรชายแล้วเข้ารับราชการ ตั้งแต่สามคนขึ้น ผู้เป็นบิดา
จึงพ้นหน้าที่รับราชการทหาร ชายที่มีอายุ ๑๘ ปี ต้องขึ้นทะเบียนทหารเพื่อเข้ารับการ
ฝึกหัดทหาร เรียกว่า ไพร่สม เมื่ออายุ ๒๐ ปี จึงเรียกเข้ารับราชการเป็นทหารกองประจำ
การเรียกว่า ไพร่หลวง ส่วนพวกที่ไม่สามารถมารับราชการทหารได้ ก็ต้องมีของมาให้
ราชการเป็นการชดเชยเรียกว่า ไพร่ส่วย
ได้มีการตั้งกรมพระสุรัสวดี ให้เป็นหน่วยรับผิดชอบ โดยมีออกพระราชสุภาวดี
เป็นเจ้ากรมรับผิดชอบในมณฑลราชธานี พระสุรัสวดีขวา รับผิดชอบหัวเมืองฝ่ายเหนือ
และพระสุรัสวดีซ้ายรับผิดชอบหัวเมืองฝ่ายใต้
พระสุรัสวดี
-ในปี พ.ศ.๒๕๐๖ พระเมืองแก้วเจ้าเมืองเชียงใหม่ ยกทัพมาตีกรุงสุโขทัย สมเด็จพระรามาธิบดี ได้ทรงออกทัพขึ้นไป
ช่วยโจมตี จนกองทัพเชียงใหม่แตกกลับไป
-ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.๒๐๕๘ พระองค์ได้ทรงยกกองทัพขึ้นไปตีเมืองลำปางได้ เมื่อเสร็จยกทัพกลับอยุธยา พระองค์ได้
ทรงสถาปนาพระอาทิตย์วงศ์ พระราชโอรสให้เป็นพระบรมราชาตำแหน่งสมเด็จหน่อพระพุทธางกูร หรือสมเด็จหน่อ
พระพุทธเจ้ารัชทายาท โปรดเกล้า ฯ ให้ปกครองหัวเมืองเหนือประทับอยู่ ณ เมืองพิษณุโลก ทำให้ราชอาณาจักรล้าน
นาไม่มารบกวนเมืองเหนืออีกตลอดรัชสมัยของพระองค์
-นอกจากนั้น เมื่อปี พ.ศ. ๒๐๔๓ ยังได้ส่งกองทัพทั้งทางบก และทางเรือ ไปทำสงครามกับมะละกา ถึงสองครั้ง เข้า
โจมตีชายฝั่ งตะวันออกและตะวันตก แม้ไม่ประสบผลสำเร็จแต่ก็ทำให้มะละกาได้ตระหนักถึงอำนาจของอยุธยาที่มี
อิทธิพลเหนือหัวเมืองในคาบสมุทรภาคใต้ โดยมีเมืองนครศรีธรรมราช ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลาง ใช้เป็นฐานในการ
ควบคุมหัวเมืองต่าง ๆ ในคาบสมุทรแห่งนี้ กษัตริย์มะละกา ผู้ปกครอง ปัตตานี ปาหัง กลันตัน และเมืองท่าที่ตั้งอยู่
ชายฝั่ งทั้งหมด ต้องส่งบรรณาการต่อกษัตริย์สยามทุกปี
-ในปี พ.ศ.๒๐๕๔ ทูตนำสารของ อัลฟองโซ เดอร์ก แม่ทัพใหญ่ของโปรตุเกสได้เดินทางมากรุงศรีอยุธยา เพื่อเจริญ
สัมพันธไมตรีและการค้า พระองค์ทรงตอบรับไมตรีจากโปรตุเกส ได้ทำสัญญาทางราชไมตรี และทางการค้าต่อกัน
เมื่อปี พ.ศ.๒๐๕๙ นับเป็นสัญญาฉบับแรกที่ไทยทำกับต่างประเทศ
-ผลจากการเข้ามาสร้างไมตรีของชาวโปรตุเกส ได้มีการนำเอาอาวุธแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพเข้ามาถวาย ได้แก่ ปืน
ประเภทต่าง ๆ และกระสุนดินดำ ต่อมาชาวโปรตุเกสได้เข้ามาเป็นทหารอาสาฝรั่ง ได้ช่วยฝึกวิธีการใช้อาวุธแบบ
ตะวันตก
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ทรงมีพระราชโอรสสามพระองค์ได้แก่
1. พระอาทิตย์วงศ์ ประสูติกับพระอัครมเหสี ภายหลังเสด็จขึ้นครองราชย์ทรงพระนามว่าสมเด็จ
พระบรมราชาหน่อพุทธางกูร
2.พระไชยราชา ประสูติกับพระสนม ภายหลังเสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระไชย
ราชาธิราช
3.พระเฑียรราชา ประสูติกับพระสนมคนละองค์กับพระไชยราชา ภายหลังเสด็จขึ้นครองราชย์ ทรง
พระนามว่า สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ เสด็จสวรรคต เมื่อปี พ.ศ. ๒๐๗๒ ขณะที่มีพระชนมพรรษาได้ ๕๗ พรรษาครองราชย์ได้
๓๘ ปี โดยในปีที่พระองค์เสด็จสวรรคตนั้นเป็นปีที่ดาวหางฮัลเลย์โคจรมาใกล้โลก โดยมีปรากฏในพระราช
พงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ ว่า
"... ศักราช 891 ฉลูศก ( พุทธศักราช 2072 ) เห็นอากาศนิมิตเป็นอินทรธนูแต่ทิศหรดี ผ่านอากาศมาทิศพายัพ
มีพรรณขาว วันอาทิตย์ ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 12 สมเด็จพระรามาธิบดีเจ้านฤพาน ... "
อ้างอิงที่มาของข้อมูลhttp://www.thailaws.com/king/king_ayudhya_10.htm