The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชัยสิทธิ์ ทองจู
ภาควิชาปฐพีวิทยา คณะเกษตร กำแพงแสน
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
โครงการ การพัฒนาสินค้าเกษตรเพื่อรองรับการเป็นผู้ประกอบการเกษตร ในยุคไทยแลนด์ 4.0

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

การผลิตวัสดุปลูก

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชัยสิทธิ์ ทองจู
ภาควิชาปฐพีวิทยา คณะเกษตร กำแพงแสน
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
โครงการ การพัฒนาสินค้าเกษตรเพื่อรองรับการเป็นผู้ประกอบการเกษตร ในยุคไทยแลนด์ 4.0

ค�ำน�ำ

เอกสารเร่ือง การผลิตวัสดุปลูก ได้จัดท�ำขึ้นเพื่อการส่งเสริม
และเผยแพร่ความรู้ภายใต้โครงการ การพัฒนาสินค้าเกษตรเพ่ือรองรับ
การเป็นผู้ประกอบการเกษตร ในยุคไทยแลนด์ 4.0 มีเน้ือหาเกี่ยวกับการ
ผลิตวัสดุปลูกด้วยการน�ำวัสดุชนิดใดชนิดหน่ึงมาเลือกใช้ทดแทนหน้าที่ต่างๆ
ของดินได้อย่างครบถ้วน โดยวัสดุปลูกนั้นจะต้องสามารถอุ้มน�้ำได้สูง
มีการระบายน้�ำและอากาศได้ดี มีค่าความเป็นกรด-ด่างที่เป็นกลาง ไม่เค็ม
มคี วามพรนุ น้�ำหนักเบา สามารถดดู ซับธาตุอาหารได้ และทำ� ให้พืชนนั้ มกี าร
เจรญิ เตบิ โตได้เปน็ ปกติ
การจัดท�ำเอกสารเผยแพร่ ได้รับความกรุณาบทความเน้ือหา
จาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชัยสิทธิ์ ทองจู ซ่ึงท่านมีความตั้งใจและมุ่งม่ัน
ทจี่ ะถา่ ยทอดความรคู้ วามเขา้ ใจเกย่ี วกบั การนำ� วสั ดชุ นดิ ตา่ งๆ มาเปน็ สว่ นผสม
วัสดุปลูก เพ่ือให้ผู้อ่านได้เข้าในใจข้อดีและข้อด้อยของวัสดุแต่ละชนิด
และสามารถปรับเปลี่ยนสูตรของวัสดุปลูกได้ตามต้องการ คณะผู้จัดท�ำ
จงึ ขอขอบคณุ ทา่ นไว้ ณ โอกาสน้ีด้วย

คณะผจู้ ัดทำ� เอกสาร

กการผลติ วสั ดปุ ลูก •

สารบัญ

Contents...

1หน้า การผลิต 7คณุ สมบัติ หนา้
วัสดุปลกู
ของวสั ดปุ ลูก
4หนา้ วสั ดุปลกู
28หลกั การเตรยี มหน้า

6หนา้ การจ�ำแนก วัสดุปลูก
ประเภทของ
วัสดุปลูก

47หนา้ 30ข้ันตอน หนา้
เอกสารอ้างอิง
การเตรยี ม
วัสดปุ ลูก

ข การผลติ วัสดุปลูก •

กวาสั รผดลิตุปลกู

ผู้ช่วยศาสตราจารย ์ ดร. ชัยสิทธ์ิ ทองจ1ู

โดยท่ัวไปเรามักทําการปลูกพืชบนดิน ไม‹ว‹าจะเปšน
ไมŒผล ไมŒยนื ตŒน พชื ไร‹ พชื ผัก หรือ ไมดŒ อก - ไมŒประดบั ทง้ั น้ี
เนอื่ งจากดนิ เปนš วสั ดธุ รรมชาตทิ เ่ี กอื้ หนนุ การเจรญิ เตบิ โตของ
พืช โดยดินทําหนŒาที่หลักอย‹างนŒอย 4 ประการดŒวยกัน คือ
(รฐั ชา และคณะ, 2560)

1. ดินเป็นที่เกาะยึด (anchorage) ของรากพืช เพ่ือให้พืชทรงล�าต้น
อยู่ได้ ดินท่ีดีควรมีลักษณะร่วนซุยเพ่ือให้รากชอนไชได้สะดวก โดยเฉพาะในการ
ปลูกพืชยืนต้นขนาดใหญ่ ดินท่ีเหมาะสมควรลึกพอเพียง และไม่มีส่ิงขัดขวาง
หรือยบั ย้งั การชอนไชของรากพชื

2. ดินเป็นท่ีกักเก็บน้�า (water storage) เพ่ือที่จะให้รากพืชดูดกิน
ดินแต่ละชนิดมักจะกักเก็บน�้าไว้ได้มากน้อยต่างกัน เช่น ดินทรายเก็บน�้าได้น้อย
ดินเหนียวเก็บน�้าได้มากกว่า อย่างไรก็ตามพืชสามารถดูดกินน�้าได้เพียงบางส่วน

1ภาควชิ าปฐพวี ทิ ยา คณะเกษตร กา� แพงแสน มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ อ. กา� แพงแสน จ. นครปฐม 73140
โทรศัพท์ (034) 351-893 ต่อ 108 โทรสาร (034) 351-893 E-mail : [email protected]

1การผลิตวัสดปุ ลกู •

เทา่ นน้ั ดังนน้ั ดินทดี่ นี อกจากจะเก็บนำ�้ ไว้ไดม้ ากแล้ว น�้ำสว่ นใหญ่ควรอยู่ในสภาพ
ท่พี ืชสามารถดูดกนิ ไดด้ ้วย
3. ดินให้อากาศ (ก๊าซออกซิเจน) แก่รากพืชเพ่ือการหายใจ รากพืช
แม้จะอยู่ใต้ดินแต่พืชโดยท่ัวไปยังต้องการอากาศในการหายใจ ยกเว้นพืชน�้ำ
บางชนิดท่ีแม้จะอาศัยอยู่ในน้�ำรากของพืชน�้ำก็ยังได้รับอากาศจากท่ออากาศพิเศษ
ท่พี ชื สรา้ งขึ้น
4. ดินเป็นท่ีเก็บและให้ธาตุอาหาร (nutrient) แก่พืช เพ่ือการ
เจริญเติบโต พืชต้องการธาตุอาหารจากดินหลายธาตุ ดินแต่ละบริเวณอาจมี
ธาตุอาหารบางธาตุน้อยเกินไปจนขาดแคลน หรืออาจมีมากจนเป็นพิษ หรือท�ำให้
พืชเจรญิ เตบิ โตผิดปกตไิ ด้ ดงั น้นั ดนิ ท่ดี คี วรเก็บธาตอุ าหารไว้ไดด้ ี และธาตอุ าหาร
ตอ้ งอยใู่ นสภาพทีพ่ ืชใช้ไดด้ ว้ ย

2 การผลิตวสั ดปุ ลูก •

ดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้นเกี่ยวกับภาระหน้าที่ของดิน ซ่ึงจ�ำเป็นต่อ
การเจริญเติบโตของพืช ดังนั้นหากเราสามารถจัดหาวัสดุใด ๆ มาทดแทนหน้าท่ี
ตา่ ง ๆ ของดนิ ได้อย่างครบถว้ น ก็สามารถใชว้ ัสดุดงั กลา่ วในการปลกู พชื ไดเ้ ช่นกัน
ตัวอย่างเช่น การปลูกพืชในระบบไร้ดิน (Soilless culture) หรือการปลูกพืชใน
สารละลายธาตุอาหาร (Hydroponics) ซึ่งในระบบดังกล่าวจะใช้ฟองน�้ำหรือโฟม
ช่วยในการค�้ำจุนล�ำต้นของพืชแทนดิน เพื่อพยุงให้ล�ำต้นพืชต้ังตรง แต่มีข้อจ�ำกัด
ตรงท่ีการใช้ฟองน้�ำเพื่อพยุงล�ำต้นจะใช้ได้เฉพาะต้นพืชขนาดเล็กเท่านั้น ส่วนใน
ระบบการปลูกพืชในสารละลายยังมีการใช้ปั๊มอากาศหรือใช้ระบบน�้ำต้ืน (Nutri-
ent Film Technique) โดยทีร่ ากพชื จะแช่อยู่ในรางน�้ำท่มี ีน้�ำไหลรนิ อยตู่ ลอดเวลา
(ชัยฤกษ์, 2529) ทั้งน้ี เพื่อเพ่ิมออกซิเจนให้แก่พืช ส�ำหรับธาตุอาหารและน้�ำ
ในระบบปลูกพืชในสารละลายน้ัน พืชจะได้รับอย่างพอเพียงจากธาตุอาหาร
ท่ลี ะลายอย่ใู นสารละลายน่ันเอง

3การผลิตวัสดปุ ลูก •

• ดนิ
• พีทและวัสดคุ ลา้ ยพีท
• เศษไมแ้ ละวัสดุเหลอื ใชจ้ ากอตุ สาหกรรมไม้
• ใบไมผ้ ุ
• ขเ้ี ล่อื ย / ขก้ี บ
• เพอร์ไลท์
• เวอร์มิคไู ลท์
• โฟม
• ทราย
• กากชานอ้อย
• แกลบดบิ
• ถา่ นแกลบหยาบ
• ถา่ นแกลบละเอยี ด หรือ ข้ีเถา้ แกลบ
• ขยุ มะพร้าว
• ปยุ๋ อินทรยี ์

4 การผลติ วัสดปุ ลูก •

วัสดุปลกู

(Growing media)

หมายถึง วัสดุใดๆ ท่ีเลือกมาส�ำหรับปลูกพืชและท�ำให้พืชน้ันมีการเจริญ
เติบโตได้เป็นปกติ โดยที่วัสดุนั้นอาจเป็นอินทรียวัตถุ หรืออนินทรียวัตถุ หรือ
ทั้งสองอย่างผสมรวมกัน ปกติแล้วรากพืชสามารถเจริญแผ่วงกว้างในวัสดุปลูก
ได้ ซึ่งคุณสมบัติท่ีส�ำคัญของวัสดุปลูก คือ สามารถค�้ำจุนส่วนของพืชท่ีอยู่เหนือ
วัสดุปลูกให้ตั้งตรงอยู่ได้ เก็บส�ำรองธาตุอาหารพืช กักเก็บน้�ำหรือดูดซับความช้ืน
เพ่ือเป็นประโยชน์ต่อพืช และสามารถแลกเปล่ียนอากาศระหว่างรากพืช
กบั บรรยากาศเหนอื วัสดปุ ลกู น้นั ๆ (วทิ ยา, 2531)

5การผลติ วัสดุปลกู •

ก. Loam base (soil-based) media

ข. Loamless (soilless) media

การจ�ำแนกประเภทของวัสดุปลูก

Bunt (1976) ได้แบ่งวัสดุปลูกออกตามลักษณะของการมีดินหรือ
ไม่มดี นิ ในส่วนผสมของวัสดุปลูก โดยแบ่งออกเปน็ 2 ประเภทด้วยกัน คอื
ก. Loam base (soil-based) media เป็นวัสดุปลูกท่ีมีดินเป็น
องคป์ ระกอบโดยสว่ นใหญ่ ซง่ึ ดนิ จะทำ� หนา้ ทหี่ ลกั ในการใหธ้ าตอุ าหารและเกบ็ รกั ษา
ความช้นื ให้แกพ่ ชื วัสดปุ ลูกประเภทนีห้ ากใช้ดนิ เนื้อละเอยี ด (fine texture) หรือ
มปี รมิ าณอนภุ าคดนิ เหนยี ว (clay particle) มากเกนิ ไป จะมผี ลใหก้ ารระบายนำ้� และ
อากาศของวสั ดปุ ลกู ไมด่ ี ดงั นนั้ การใชท้ รายผสมลงไปดว้ ยจะสามารถชว่ ยเพมิ่ ขนาด
ชอ่ งวา่ งเพือ่ เพมิ่ ความสามารถในการระบายน�้ำและอากาศในวัสดปุ ลกู ให้ดยี ่งิ ขน้ึ
ข. Loamless (soilless) media เป็นวัสดุปลูกท่ีไม่มีดินเป็น
องค์ประกอบ หรอื มีก็เพียงเล็กนอ้ ยเทา่ นน้ั และมักประกอบดว้ ยวสั ดุอ่ืนๆ เช่น วัสดุ
เหลือใช้จากการเกษตรหรืออุตสาหกรรม อนินทรียวัตถุ และเศษซากพืชท่ีข้ึนตาม
ธรรมชาติ ตวั อยา่ งของวสั ดุ ไดแ้ ก่ ขยุ มะพรา้ ว พที มอส ขเี้ ลอื่ ย กากละหงุ่ กากตะกอน
ออ้ ย กากชานออ้ ย แกลบดบิ แกลบเผาซงั ขา้ วโพด เปลอื กถว่ั เพอรไ์ ลท์ (perlite) และ
เวอร์มคิ ูไลท์ (vermiculite) เป็นต้น

6 การผลิตวัสดปุ ลูก •

คุณสมบัติ
ของวัสดปุ ลกู

การพิจารณาความเหมาะสมหรือคุณสมบัติของวัสดุปลูก มักแตกต่าง
กันไปตามแต่ละชนิดของพืช โดยมากแล้วมักพิจารณาคุณสมบัติของวัสดุปลูก
ในด้านตา่ งๆ ดงั ต่อไปน้ี คือ ความจุในการดดู ยึดนำ้� (Water retention capacity)
อัตราการซาบซึมนำ้� (hydraulic conductivity) ความพรนุ รวม (total porosity)
ความหนาแน่นรวม (bulk density) การยุบตัว (shrinkage) ความเป็นกรดเป็น
ด่าง (pH) ค่าการน�ำไฟฟา้ (electrical conductivity: EC) และความจุแลกเปลีย่ น
แคตไอออน (cation exchange capacity: CEC) เปน็ ตน้
อย่างไรก็ตาม มีรายงานท่ีเกี่ยวข้องกับวัสดุปลูกส�ำหรับพืช ซึ่งอาจสรุป
ได้ว่าวัสดุปลูกท่ีเหมาะสมควรมีคุณสมบัติโดยรวมดังต่อไปน้ี คือ มีความหนาแน่น
รวมในช่วง 0.721-0.926 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร ความจุในการดูดยึดน้�ำ
30-60 เปอร์เซ็นต์โดยปริมาตร ความพรุนรวม 5-20 เปอร์เซ็นต์โดยปริมาตร
ความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) ในช่วง 5.5-6.5 ความจุแลกเปลี่ยนแคตไอออน
10-30 มลิ ลกิ รัมสมมูลย์ต่อ 100 กรมั น้ำ� หนกั แหง้ (Criley and Watanabe, 1974)
ค่าการน�ำไฟฟ้าในช่วง 1.5-3.0 mS/cm (Benoit, 1992) และวัสดุปลูกควรคง
สภาพเดิมไมย่ ุบตวั เรว็ อย่างน้อย 4 เดอื น (วทิ ยา, 2524)

7การผลติ วสั ดปุ ลูก •

แมว้ า่ การผสมวสั ดปุ ลกู เพอื่ การปลกู พชื จำ� เปน็ ตอ้ งคำ� นงึ ถงึ หนา้ ที่

หลักท้ัง 4 ประการของดินเป็นส�ำคัญดังท่ีได้กล่าวมาแล้วข้างต้น แต่การผสม
วัสดุเพ่ือปลูกพืชชนิดหนึ่งๆ อาจมีการปรับเปลี่ยนชนิดของวัสดุได้ตามความ
เหมาะสม ทั้งนี้ขึ้นกับลักษณะนิสัยของพืชชนิดนั้นๆ ดังน้ันในเอกสารเล่มน้ี
จึงไม่ขอเน้นในเร่ืองสูตรหรือสัดส่วนของวัสดุปลูก แต่จะขอกล่าวถึงคุณสมบัติ
ของวัสดุแต่ละชนิดที่นิยมน�ำมาเป็นส่วนผสมของวัสดุปลูกมากกว่า ท้ังนี้เพ่ือให้
ผู้อ่านได้เข้าใจในข้อดีและข้อด้อยของวัสดุแต่ละชนิด และสามารถปรับเปล่ียนสูตร
ของวัสดุปลูกได้ตามต้องการ โดยวัสดุท่ีนิยมใช้เป็นส่วนผสมของวัสดุปลูกสามารถ
กลา่ วแยกไดด้ ังนี้

8 การผลติ วัสดุปลูก •

ดนิ

1. ดิน ดินโดยทั่วไปจะมีคุณสมบัติทางเคมีที่เหมาะกับการปลูกพืช
ยกเว้นดินที่มีปัญหาบางประเภท แต่ปัญหาหลักของการใช้ดินเพ่ือเป็นวัสดุปลูก
ของไม้กระถาง คือ การระบายน�้ำและอากาศ รวมทั้งปัญหาแน่นทึบ และน้�ำหนัก
ท่ีมากเกินไป ดังนั้นในการน�ำดินมาใช้ปลูกไม้กระถางจึงมักผสมกับวัสดุอื่นๆ
เช่น ทราย หรือขุยมะพร้าวเพ่ือเพิ่มการระบายน�้ำ และการอุ้มน�้ำให้เหมาะสมต่อ
การเจริญเติบโตของพืช เน่ืองจากดินท่ีใช้เป็นวัสดุปลูกเราสามารถเลือกได้ จึงควร
เลือกใช้ดินท่ีมีคุณสมบัติทางเคมีท่ีดี เช่น มีค่าความเป็นกรด-ด่างของดินเป็นกลาง
(pH 6.6-7.3) ไมเ่ คม็ หรอื มคี า่ การนำ� ไฟฟา้ ของดนิ (Electrical Conductivity : EC)
ต่ำ� กว่า 2 เดซซิ ีเมนตต์ ่อเมตร และมีธาตอุ าหารอยใู่ นระดับปานกลางถงึ สงู

9การผลติ วัสดปุ ลูก •

พีทและวสั ดคุ ล้ายพีท

2. พีทและวัสดุคล้ายพีท จะเกิดจากการทับถมของเศษซากพืช
หลายชนดิ ตัวอย่างเช่น สเฟกน่ัมมอส (Sphagnum moss) เป็นมอสแห้งจากพชื
ในตระกูล Sphagnum (Spapillosm sp.) โดยจุดเด่นของสเฟกน่ัมมอส คือ
มีนำ้� หนกั เบา สามารถดดู น้�ำได้ประมาณ 10-20 เท่าของนำ้� หนกั เดิม ทง้ั นี้เน่อื งจาก
ตัวเซลล์ของสเฟกนั่มมอสสามารถดูดซับน�้ำไว้ได้ดี นอกจากนี้สเฟกน่ัมมอส
ยังมีคุณสมบัติในการยับย้ังเชื้อรา จึงช่วยป้องกันโรคเน่าคอดินของต้นกล้า
(Damping off) ได้ จากคณุ สมบตั ขิ า้ งตน้ ทก่ี ลา่ วมาของสเฟกนม่ั มอสจงึ ทำ� ใหเ้ หมาะ
ส�ำหรับการใช้เป็นวัสดุปลูก โดยผสมกับวัสดุอ่ืนๆ เพื่อช่วยเพ่ิมการระบายน�้ำและ
อากาศสำ� หรบั ดินเหนียว และช่วยเพิม่ การดูดซับธาตอุ าหารใหก้ ับดินทราย สำ� หรับ
แหล่งผลิตสเฟกน่ัมมอสจะอยู่ในแถบประเทศยุโรป คือ เยอรมัน แคนาดา และ
ไอร์แลนด์

10 การผลิตวัสดปุ ลกู •

เศษไม้และวสั ดเุ หลอื ใชจ้ ากอตุ สาหกรรมไม้

3. เศษไม้และวัสดุเหลือใช้จากอุตสาหกรรมไม้ ข้อเสียของเศษไม้
คือ เป็นวัสดุท่ีมีสัดส่วนระหว่างคาร์บอนต่อไนโตรเจน (C:N ratio) ค่อนข้างกว้าง
กล่าวคือ เศษไม้จะมีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นเซลลูโลส หรือคาร์บอนสูง และ
จะมีปริมาณไนโตรเจนต�่ำ ซ่ึงในการเน่าเปื่อยหรือย่อยสลายของวัสดุท่ีมีสัดส่วน
ของคาร์บอนต่อไนโตรเจนแตกต่างกันมากหรือกว้าง จุลินทรีย์ที่เป็นตัวการ
ในการย่อยสลายจะต้องการสัดส่วนของคาร์บอนและไนโตรเจนประมาณ 10 : 1
หากจุลนิ ทรียท์ ำ� การยอ่ ยสลายเศษไมซ้ ง่ึ มีคา่ C : N กว้างประมาณ 400 : 1 จะเกิด
การแก่งแย่งไนโตรเจนในดินระหว่างจุลินทรีย์กับพืช ซ่ึงจะท�ำให้พืชขาดไนโตรเจน
ไดห้ ากใสเ่ ศษไมท้ ี่ยังไมเ่ นา่ เปอ่ื ยผพุ งั ซึง่ อาจแกไ้ ขไดโ้ ดยการเติมปุ๋ยไนโตรเจน หรอื
อาจใช้เศษไม้ทีผ่ ่านการย่อยสลายในระดบั หนึง่ มาแล้ว

11การผลิตวัสดปุ ลูก •

ใบไมผ้ ุ

4. ใบไมผ้ ุ ใบไม้ผอุ ายปุ ระมาณ 1 - 1.5 ปี จะเหมาะแกก่ ารนำ� มาใชเ้ ปน็
วสั ดปุ ลูก โดยจะชว่ ยปรบั ปรงุ การระบายอากาศ การระบายน�ำ้ การดูดซบั ความชื้น
หรอื เปน็ แหลง่ ของธาตอุ าหารพชื โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ใบของพชื ตระกลู ถว่ั เชน่ จามจรุ ี
นนทรี ทองหลาง เปน็ ตน้

12 การผลติ วสั ดปุ ลกู •

ขเ้ี ล่ือย ข้ีกบ

5. ขเ้ี ลื่อย/ข้กี บ เป็นเศษเหลอื ของไม้จากโรงงานแปรรปู ไม้ ซึ่งก่อนน�ำมา
ใชผ้ สมส�ำหรบั ปลูกพชื ควรท�ำการหมกั ให้ผุเสียกอ่ น ท้งั นี้เพราะข้เี ล่อื ย/ขก้ี บ ท่ใี หม่
อาจมีผลให้พืชขาดไนโตรเจนค่อนข้างมาก และอาจมีสารที่เป็นพิษปลดปล่อย
ออกมาจากข้ีเลื่อย/ข้ีกบได้ (วิทยา, 2524) ดังน้ันจึงควรใช้ด้วยความระมัดระวัง
อยา่ งไรกต็ ามขอ้ ดขี องขเ้ี ลอ่ื ย /ขก้ี บ คอื นำ�้ หนกั เบา งา่ ยตอ่ การนำ� ไปใช้ มคี วามสามารถ
ในการอุม้ นำ�้ สงู และราคาถกู สว่ นข้อเสยี คอื มีความแปรปรวนในองค์ประกอบสงู
เสยี เวลาในการสลายตวั กอ่ นนำ� ไปใชอ้ ยา่ งนอ้ ย 6 เดอื น และเมอื่ มกี ารสลายตวั เตม็ ที่
อาจก่อให้เกิดการอัดตวั แนน่ และยากตอ่ การกำ� จัดโรคแมลง (อทิ ธสิ นุ ทร, 2538)

13การผลิตวสั ดปุ ลกู •

เพอร์ไลท์

6. เพอร์ไลท์ (Perlite หรือ alumino silicate) เพอร์ไลท์เป็นแร่
ท่ีได้จากภูเขาไฟท่ีน�ำมาบดย่อยให้มีขนาดเล็กลง จากน้ันน�ำไปอบไล่น้�ำท่ีมีอยู่
จนได้วัสดุพรุนที่มีน�้ำหนักเบามาก จึงนิยมใช้เป็นส่วนผสมในวัสดุปลูกเพ่ือเพ่ิม
การระบายนำ�้ และอากาศ อยา่ งไรกต็ าม ขอ้ เสยี ของเพอรไ์ ลท์ คอื ราคาคอ่ นขา้ งแพง
ท้ังนี้เน่ืองจากเป็นวัสดุที่ไม่มีในประเทศไทย นอกจากน้ีเพอร์ไลท์ยังมี
ความหนาแน่นที่ต�่ำมาก จึงอาจพบเพอร์ไลท์ลอยอยู่บนผิวหน้าของวัสดุปลูก
เม่ือให้น�้ำ และแร่เพอร์ไลท์ในบางแหล่งอาจมีปริมาณฟลูออไรด์ (F) ท่ีอาจเป็นพิษ
ต่อพชื บางชนิดได้

14 การผลิตวัสดปุ ลกู •

เวอรม์ คิ ไู ลท์

7. เวอร์มิคูไลท์ (Vermiculite หรือ aluminium-iron-
magnesium silicate) เวอร์มิคูไลท์จัดเป็นแร่ดินเหนียวประเภทหนึ่ง ซึ่งในการ
ผลติ จะผา่ นการเผาดว้ ยอณุ หภมู สิ งู ประมาณ 745oF มคี ณุ สมบตั ใิ นการดดู ยดึ นำ�้ ไดด้ ี
และช่วยในการระบายน้�ำและอากาศ แร่เวอร์มิคูไลท์เป็นแร่ดินเหนียวท่ีมีความ
สามารถในการดูดซับธาตุอาหาร (Cation Exchange Capacity: CEC) สูง และ
มีคุณสมบัติในเร่ืองบัฟเฟอร์ รวมท้ังยังสามารถให้ธาตุโพแทสเซียม (K) และ
แมกนีเซียม (Mg) ได้ดี แม้ว่าเวอร์มิคูไลท์อาจไม่ทนทานเท่าทรายและเพอร์ไลท์
แต่ด้วยคุณสมบัติทางเคมีและกายภาพที่เหมาะสม จึงเหมาะท่ีจะน�ำไปใช้เป็น
ส่วนผสมสำ� หรับวัสดปุ ลกู

15การผลิตวัสดปุ ลกู •

โฟม

8. โฟม เศษโฟมหรือโฟมเม็ดที่เป็นเศษวัสดุจากโรงงานผลิตโฟม
(Polystyrene foam) ก็สามารถน�ำมาผสมเป็นวัสดุปลูกได้ เนื่องจากมีคุณสมบัติ
และมีความทนทานมากต่อการย่อยสลาย แต่อาจสลายตัวด้วยความร้อน เศษโฟม
หรือโฟมเม็ด ช่วยเพ่ิมการระบายน�้ำและอากาศ มีน้�ำหนักเบา อย่างไรก็ตาม
การที่เม็ดโฟมหรือเศษโฟมมีความหนาแน่นตำ�่ ลอยน้ำ� ได้ จึงอาจส่งผลให้โฟมลอย
ข้ึนมาบนผิวหน้าวัสดุปลูกเหมือนกับเพอร์ไลท์ และด้วยคุณสมบัติของเศษโฟม
หรือโฟมเม็ดที่สลายตัวยากจึงท�ำให้โฟมตกค้างอยู่ในระบบนิเวศค่อนข้างนาน และ
เม่ือถูกเผาไหม้จะเกิดก๊าซพิษท่ีท�ำลายชั้นบรรยากาศของโลก ท�ำให้เกิดสภาวะ
โลกร้อน (greenhouse effect) ได้

16 การผลติ วัสดปุ ลกู •

ทราย

9. ทราย (Sand) ทรายเป็นองค์ประกอบหลักของดิน ทรายเป็นวัสดุ
อนินทรยี ท์ มี่ ีขนาดเสน้ ผ่านศูนย์กลางของอนุภาคระหว่าง 0.05-2 มิลลเิ มตร จงึ อาจ
แบง่ ออกเปน็ ทรายหยาบ (เสน้ ผ่านศนู ยก์ ลาง 0.25-2 มลิ ลิเมตร) และทรายละเอยี ด
(เส้นผ่านศูนย์กลาง 0.05-0.25 มิลลิเมตร) การใช้ทรายขนาดปานกลางหรือทราย
หยาบจะชว่ ยเพมิ่ การระบายนำ้� และอากาศใหแ้ กด่ นิ ผสม แตท่ รายละเอยี ดอาจทำ� ให้
การระบายน�้ำและอากาศเลวลง เนื่องจากอนุภาคขนาดเล็กอาจไปอุดตามช่องว่าง
ต่างของดิน การใช้ทรายเป็นวัสดุผสมดินอาจมีราคาไม่แพงนักเม่ือเทียบกับ
วสั ดอุ นนิ ทรยี ช์ นดิ อนื่ ๆ แตเ่ นอื่ งจากทรายมนี ำ้� หนกั คอ่ นขา้ งมาก เมอ่ื นำ� มาผสมเปน็
ดนิ ผสมจะไดด้ นิ ผสมทคี่ อ่ นขา้ งหนกั ซง่ึ จะสน้ิ เปลอื งคา่ ใชจ้ า่ ยในการขนสง่ แตน่ ยิ มใช้
เปน็ วสั ดผุ สมสำ� หรับไมก้ ระถางทีข่ ายในตลาดท้องถิ่น หรอื วสั ดุเพาะชำ�

17การผลติ วสั ดุปลูก •

กากชานออ้ ย

10. กากชานอ้อย (Bagasse) กากชานอ้อยเป็นวัสดุเหลือใช้จาก
โรงงานน�้ำตาล ในปีหนึ่งๆ มีกากชานอ้อยที่ผลิตได้ไม่ต่�ำกว่า 4 ล้านตัน ซ่ึง
30 เปอร์เซ็นต์ของกากชานอ้อยถูกใช้เป็นพลังงานความร้อนในโรงงานน้�ำตาลเอง
ส่วนที่เหลืออาจถูกใช้เป็นแหล่งเส้นใยเพ่ือทดแทนเยื่อไม้ใบกว้างในอุตสาหกรรม
เยอื่ กระดาษ โดยทั่วไปพบวา่ กากชานออ้ ยมีความชืน้ ประมาณ 50 เปอรเ์ ซน็ ต์ และ
เถา้ ประมาณ 2-3.5 เปอรเ์ ซน็ ต์ (ปรชี า, 2532) อยา่ งไรกต็ ามสามารถใชก้ ากชานออ้ ย
เปน็ สว่ นผสมของวสั ดุปลูกได้ โดยจะช่วยในการระบายน�ำ้ และอากาศของวัสดปุ ลูก
ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี

18 การผลิตวสั ดุปลูก •

แกลบดิบ

11. แกลบดิบ (Rice chaff) แกลบเป็นวัสดเุ หลือใชจ้ ากโรงสีขา้ วทน่ี ยิ ม
น�ำมาใช้เป็นส่วนผสมส�ำหรับการผลิตวัสดุปลูก เน่ืองจากแกลบมีน�้ำหนักเบามาก
เมื่อเปรยี บเทยี บกับวสั ดชุ นดิ อ่นื ๆ นอกจากน้แี กลบยังชว่ ยใหว้ ัสดปุ ลกู มกี ารระบาย
น้�ำและอากาศดีข้ึน สมบัติทางกายภาพในด้านขนาดและความคงทนของแกลบ
จะคล้ายกับขี้เล่ือย และอาจพบการขาดไนโตรเจนในวัสดุปลูกท่ีใช้แกลบเป็น
สว่ นผสมจ�ำนวนมากได้

19การผลิตวสั ดุปลูก •

ถา่ นแกลบหยาบ

12. ถ่านแกลบหยาบ (Kuntan) เป็นวัสดุท่ีได้จากการนำ� แกลบมาเผา
จนเปน็ ถ่าน และมีขี้เถา้ ผสมอยู่นอ้ ย (carbonized rice chaff) มนี �้ำหนักเบาและ
มีความสามารถในการกักเก็บน�้ำได้สูง จากคุณสมบัติดังกล่าวจึงสามารถน�ำไป
ใช้เป็นส่วนผสมของวัสดุปลูกได้ แต่มีข้อควรระวังคือถ่านแกลบหยาบจะแตกหัก
ง่ายและมีค่าความเป็นด่างสูง ดังนั้นก่อนน�ำไปใช้จึงควรท�ำการแช่น้�ำเพ่ือลดความ
เป็นดา่ งลงเสียกอ่ น

20 การผลติ วัสดปุ ลกู •

ถา่ นแกลบละเอียด หรอื ขี้เถา้ แกลบ

13. ถ่านแกลบละเอียดหรือข้ีเถ้าแกลบ (Rice chaff charcoal) เป็น
วัสดุท่ีได้จากการน�ำแกลบมาเผาจนเป็นถ่านและมีส่วนของข้ีเถ้าผสมอยู่มาก มักได้
จากการเผาแกลบของโรงสีข้าว ขอ้ ดีของขเี้ ถา้ แกลบ คือ มีน�้ำหนกั เบา งา่ ยตอ่ การ
น�ำไปใช้ สามารถกักเก็บน�้ำได้ดี สลายตัวยาก หาง่ายและราคาถูก ส่วนข้อเสียคือ
มีค่าความเป็นกรดเป็นด่างสูงเกินไปกระท่ังเป็นอันตรายต่อพืชปลูกได้ ดังนั้น
ก่อนนำ� ไปใชจ้ ึงควรท�ำการแช่นำ�้ เพือ่ ลดความเปน็ ด่างลงเสียก่อน (พิศมัย, 2534)

21การผลติ วสั ดปุ ลูก •

ขุยมะพรา้ ว

14. ขุยมะพร้าว (coir dust) เป็นวัสดุเหลือใช้จากอุตสาหกรรม
การผลิตเส้นใยมะพร้าว ภายหลังจากการเอาเส้นใยออกจากกาบมะพร้าว ที่เหลือ
เป็นส่วนของขยุ มะพรา้ วท่เี รยี กวา่ pith หรอื binding material ขุยมะพรา้ วเปน็
วัสดุที่ค่อนข้างสะอาด มีความเป็นกรดเล็กน้อยประมาณ 6.2 (สมเพียร, 2526)
อาจกล่าวโดยสรุปว่า ข้อดีของขุยมะพร้าว คือ น�้ำหนักเบา ง่ายต่อการน�ำไปใช้
ความสามารถในการอุ้มน้�ำสูง และราคาถูก ส่วนข้อเสีย คือ ปัญหาเก่ียวกับการ
ระบายอากาศของวัสดุปลูก เกิดการอัดแน่น และถ้ามีการระบาดของโรคจะก�ำจัด
ไดย้ าก (อทิ ธิสุนทร, 2538)

22 การผลิตวัสดุปลกู •

ปุ๋ยอินทรีย์

15. ปุ๋ยอนิ ทรีย์ (Organic fertilizer) ในการผสมวสั ดุปลกู ดว้ ยวัสดตุ า่ งๆ
ทกี่ ลา่ วมาแลว้ ขา้ งตน้ มกั เปน็ การผสมเพอื่ มงุ่ เนน้ คณุ สมบตั ทิ างกายภาพของดนิ ผสม
หรือวัสดุปลูกเป็นหลัก ส่วนธาตุอาหารจะให้เพ่ิมเติมในรูปของปุ๋ย ซ่ึงส่วนใหญ่
จะให้ในรูปของอนินทรีย์สารหรือปุ๋ยเคมี เนื่องจากง่ายต่อการควบคุมศัตรูพืช แต่
ในการปลูกไม้ดอกเพ่ือการค้าในประเทศหรือการปลูกเพื่อตลาดระดับท้องถ่ิน อาจ
ใหป้ ยุ๋ แก่พชื ในรูปปยุ๋ อินทรีย์ได้ ซงึ่ จะได้ท้งั ธาตุอาหารหลัก ธาตรุ องหรือธาตุอาหาร
เสริมท่คี รบถ้วน อยา่ งไรกต็ ามเราอาจจำ� แนกปุ๋ยออกเปน็ 2 ประเภทใหญๆ่ ได้แก่
ปุ๋ยอนนิ ทรียห์ รอื ปุ๋ยเคมี และปุ๋ยอินทรีย์ โดยที่ปยุ๋ อนิ ทรยี น์ ี้ บางครัง้ จะครอบคลุม
ถึงปุ๋ยที่ได้จากวัสดุอินทรีย์ทั้งหมด ซึ่งจะหมายรวมถึงปุ๋ยชีวภาพด้วย และใน
พระราชบัญญัติปุ๋ย ปี พ.ศ. 2518 ฉบับแก้ไข ได้แยกปุ๋ยชีวภาพออกเป็นปุ๋ย
อกี ประเภทหน่ึงโดยมีค�ำจำ� กัดความดังน้ี (กระทรวงเกษตรและสหกรณ,์ 2544)

23การผลติ วัสดุปลูก •

ปยุ๋ อนิ ทรยี ์ หมายถึง ปุ๋ยที่ได้หรอื ท�ำมาจากการสบั บด หมัก ร่อน หรอื
ท�ำมาจากวัสดุอินทรีย์ และไม่ใช่ปุ๋ยเคมีและปุ๋ยชีวภาพ ส�ำหรับตัวอย่างของ
ป๋ยุ อนิ ทรีย์ คือ ปยุ๋ คอก ป๋ยุ หมัก และปยุ๋ พืชสด เป็นตน้

ปุ๋ยชีวภาพ หมายถึง ปุ๋ยท่ีได้จากการน�ำจุลินทรีย์ท่ีมีชีวิตมาใช้ในการ
ปรับปรุงบ�ำรุงดินทางชีวภาพ กายภาพ และทางชีวเคมี และให้ความหมาย
รวมถึงหัวเช้ือจุลินทรีย์ ซึ่งหมายถึง จุลินทรีย์ที่มีจ�ำนวนเซลล์ต่อหน่วยสูง ซ่ึงถูก
เพาะเลย้ี งโดยกรรมวธิ ที างวทิ ยาศาสตร์ ตวั อยา่ งของปยุ๋ ชวี ภาพ ไดแ้ ก่ เชอ้ื ไรโซเบยี ม
อะโซโตแบคเตอร์ แหนแดง เชอ้ื ไมคอไรซา่ และสาหรา่ ยสีน�้ำเงินแกมเขียว เป็นตน้
ปุ๋ยคอก หมายถึง มูล หรือปัสสาวะของสัตว์ต่างๆ ซึ่งในปุ๋ยคอกจะให้
ปริมาณธาตุอาหารพืชแตกต่างกันตามชนิด พันธุ์ สภาพการเล้ียงดู (อาหารสัตว์)
และอายุของป๋ยุ คอก
ปุ๋ยหมัก เป็นปุ๋ยท่ีได้จากการหมักเศษซาก วัสดุอินทรีย์ต่างๆ เช่น
เศษซากพืช และมูลสัตว์ ผ่านกระบวนการหมักและการย่อยสลายโดยจุลินทรีย์
ซึ่งอาจมีอยู่ตามธรรมชาติ หรือมีการเติมหัวเชื้อจุลินทรีย์ประเภทต่างๆ ลงไป
เพ่ือช่วยเพิ่มประชากรของจุลินทรีย์ในกองปุ๋ยหมัก โดยคาดหวังว่า จะช่วยย่น
ระยะเวลาการหมักใหส้ ้ันลง หวั เช้ือจลุ ินทรยี ท์ ีน่ ยิ มใชใ้ นปัจจบุ นั คอื หัวเชอ้ื ปยุ๋ หมัก
ของกรมพฒั นาที่ดิน สตู รท่ี 1 หรอื พ.ด. 1

24 การผลติ วสั ดปุ ลกู •

วัสดุปลูกสูตรแนะน�า

ขยุ มะพร้าว 3 ส่วนโดยปรมิ าตร
แกลบดบิ 5 ส่วนโดยปรมิ าตร
มลู สัตว์ 4 ส่วนโดยปริมาตร
แกลบเผา 4 สว่ นโดยปรมิ าตร
หนา้ ดนิ 4 สว่ นโดยปรมิ าตร

25การผลติ วัสดปุ ลูก •

การสลายตวั ของอนิ ทรยี สาร

กับสดั ส่วนระหวา่ งคาร์บอนและไนโตรเจน
(C: N ratio)

จุลินทรีย์ต้องการธาตุอาหารเพื่อการเจริญเติบโตเช่นเดียวกับพืช หรือ
สิง่ มีชีวิตทวั่ ไป โดยจลุ นิ ทรีย์ตอ้ งการทง้ั คารบ์ อน (C) ไฮโดรเจน (H) ออกซิเจน (O)
และไนโตรเจน (N) ซึ่งจุลินทรยี ด์ นิ จะไดไ้ ฮโดรเจน (H) และออกซิเจน (O) จากน้�ำ
หรือความชื้น (H2O) ส่วนคารบ์ อน (C) นัน้ จลุ ินทรียบ์ างพวกท่ีสามารถสังเคราะห์
อาหารได้เอง (Autotrophic microorganism) อาจได้คาร์บอนจากก๊าซ
คาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ (ในดินหรือในบรรยากาศ) แต่มีจุลินทรีย์บางชนิด
ทต่ี อ้ งอาศยั ธาตุคาร์บอน (C) จากสิ่งมชี ีวติ อ่ืน (Heterotrophic microorganism)

26 การผลติ วัสดปุ ลกู •

จุลินทรีย์พวกน้ีเองที่มีส่วนส�ำคัญในการสลายตัวของอินทรียสารหรือปุ๋ยอินทรีย์
ท่ีเราใช้กัน ดังท่ีกล่าวมาแล้วว่า จุลินทรีย์ต้องการท้ังธาตุคาร์บอนและไนโตรเจน
โดยปกติสัดส่วนของธาตุคาร์บอนและไนโตรเจน (C:N) ของตัวจุลินทรีย์เอง
จะอยใู่ นชว่ งประมาณ 10 ถึง 20 : 1 แต่ในเศษซากพชื หรือวัสดุอนิ ทรยี บ์ างอย่าง
จะมีสัดส่วนระหว่างคาร์บอนและไนโตรเจนประมาณ 100 ถึง 400 ต่อ 1 เช่น
ฟางข้าว ตอซังข้าวโพด และข้ีเล่ือย เป็นต้น ดังน้ันในการย่อยสลายสารอินทรีย์
ของจุลินทรีย์ก็จะพยายามดึงไนโตรเจนมาจากดินจนเพียงพอกับความต้องการ
หรือเพ่ือการเจริญเติบโตขยายเผ่าพันธุ์ให้สูงที่สุด ดังนั้นหากน�ำเศษวัสดุอินทรีย์ท่ี
มคี า่ C:N ratio ค่อนขา้ งกว้าง (ประมาณ 100-200 ตอ่ 1) ใสล่ งในดินในขณะที่
ยังไม่สลายตัวและปลูกพืชในทันที จะพบว่าในช่วงแรกของการสลายตัวจุลินทรีย์
จะแย่งไนโตรเจนในดิน (หากในดินมีไนโตรเจนต่�ำ) จากพืช ท�ำให้พืชแสดงอาการ
ใบเหลืองได้ แต่ถ้ามีการใส่ปุ๋ยอินทรีย์ท่ีสลายตัวดีแล้วให้กับดิน (C:N ประมาณ
20:1) จะไม่ก่อให้พืชเกิดอาการใบเหลือง อย่างไรก็ตามการใช้สารเร่งต่างๆ เช่น
การเติมปุ๋ยไนโตรเจนในรูปของยูเรีย หรือการเติมหัวเชื้อจุลินทรีย์ เช่น พ.ด.1
จะชว่ ยลดเวลาการท�ำปยุ๋ หมกั ใหส้ ้นั ลงได้ (Gaur, 1980)

27การผลติ วสั ดปุ ลูก •

หลักการเตรียม วสั ดุปลกู

การผสมวัสดุปลูกทางการค้า นอกจากการผสมวัสดุปลูกให้สามารถ
ท�ำหน้าท่ีทดแทนดินดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เราควรค�ำนึงถึงคุณสมบัติต่าง ๆ
ของวัสดปุ ลูกดงั รายละเอยี ดต่อไปน้ี
1. การระบายน้�ำและการระบายอากาศ วัสดุปลูกควรมีความโปร่ง
ทเ่ี หมาะสม เพอ่ื ใหม้ กี ารระบายนำ้� ออกจากตวั วสั ดุ ทำ� ใหเ้ กดิ การขงั นำ้� และใหอ้ ากาศ
แก่ราก แต่ในขณะเดียวกันจะต้องสามารถดูดยึดน�้ำไว้ให้เพียงพอกับความต้องการ
ของพืชได้ จนกวา่ จะถึงการให้น้�ำครงั้ ตอ่ ไป ดังนนั้ หากมีรอบเวรของการให้นำ้� นาน
เชน่ ช่วงการขนสง่ วัสดุปลูกควรเก็บความช้ืนไวใ้ ห้มากพอกับความต้องการของพชื
2. ไมม่ เี กลอื ทล่ี ะลายนำ�้ ไดม้ ากจนเปน็ พษิ ตอ่ พชื แตต่ อ้ งมคี วามสามารถ
ในการดูดซับธาตุอาหาร (Exchangeable capacity) เพื่อกักเก็บธาตุอาหารพืช
ให้มากพอกับการเจริญเติบโตของพืช วัสดุปลูกส่วนใหญ่ท่ีอาจมีเกลือปะปนมาได้
เช่น ทราย หรือขุยมะพร้าวท่ีปลูกแถบชายทะเลหรือทรายจากบ่อทรายที่มีเกลือ
อยู่ด้วย ก่อนการน�ำมาใช้ควรมีการตรวจสอบคุณสมบัติทางด้านความเค็ม หรือ
ตรวจสอบคา่ การนำ� ไฟฟา้ ของวสั ดกุ อ่ น หากพบวา่ มคี วามเคม็ สงู (สงู กวา่ 2 เดซซิ เี มนต์
ต่อเมตร) ควรล้างด้วยน�้ำจืดเพ่ือละลายเกลือส่วนเกินออกจากวัสดุก่อนน�ำมาใช้
น้�ำจืดท่ีมีต้นทุนต่�ำท่ีสุด คือ น�้ำฝน ในบางคร้ังเราอาจล้างทรายได้อย่างง่าย ๆ
โดยการกองทงิ้ ไวก้ ลางแจง้ แลว้ ปลอ่ ยใหน้ ำ้� ฝนชะลา้ งสกั 2-3 ฝน กอ่ นนำ� มาตรวจสอบ
คณุ สมบตั ิทางด้านการนำ� ไฟฟา้ หรือความเคม็ กอ่ นนำ� มาใช้งาน

28 การผลติ วสั ดุปลูก •

3. ความสม�่ำเสมอ และความเป็นเน้ือเดียวกันของวัสดุ ดินผสมที่ดี
เม่ือผสมกันแล้วควรมีความสม่�ำเสมอกันในแต่ละคราวของการผสม และเม่ือ
ถ่ายลงกระถางหรือภาชนะแล้วควรมีความสม่�ำเสมอกัน ซึ่งจะท�ำให้มีคุณสมบัติ
ทางกายภาพและทางเคมี ซ่ึงหมายถึงการให้น้�ำ-ปุ๋ยในแต่ละครั้ง ซ่ึงจะส่งผลให้พืช
ที่ปลูกในวัสดนุ ้นั มคี วามสมำ่� เสมอกนั ซึง่ เปน็ ที่ตอ้ งการของลกู ค้า
4. ปราศจากศตั รพู ชื ตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ โรค แมลง ทงั้ ทเี่ ปน็ ศตั รพู ชื โดยตรงและ
แมลงพาหะ ไสเ้ ดอื นฝอย และวชั พชื ทอ่ี าจเปน็ อนั ตรายตอ่ พชื ทป่ี ลกู บนวสั ดโุ ดยตรง
หรอื เปน็ พาหะในการแพรก่ ระจายศตั รพู ชื จากแหลง่ หนง่ึ ไปยงั อกี แหลง่ หนง่ึ ซง่ึ สำ� คญั
มากหากเปน็ การคา้ ระหว่างประเทศทม่ี กี ฎหมายกกั กนั ศัตรูพชื ทีเ่ ข้มงวดมาก
5. การใชว้ ธิ ตี า่ ง ๆ ในการฆา่ เชอื้ โรค ไมว่ า่ จะเปน็ การอบไอนำ้� อบความรอ้ น
หรอื ใชส้ ารเคมใี นการอบ รม ฉดี พน่ หรอื เทราดกบั วสั ดปุ ลกู จงึ ควรคำ� นงึ ถงึ คณุ สมบตั ิ
ต่าง ๆ รวมทัง้ ความทนทานของวสั ดนุ ัน้ ๆ ดว้ ย วสั ดอุ นิ ทรยี ์บางชนดิ เม่ือผ่านการใช้
ความร้อนหรอื สารเคมฆี า่ เชอ้ื โรค อาจทำ� ใหไ้ นโตรเจนในรปู แอมโมเนียม (NH4+-N)
เปลี่ยนไปเป็นกา๊ ซแอมโมเนีย (NH3) ซึ่งจะเป็นพิษต่อพืชทีอ่ ่อนแอ เชน่ ตน้ กลา้ หรือ
ระบบรากได้

29การผลิตวัสดปุ ลูก •

ขั้นตอนการเตรยี ม วสั ดุปลกู

• หนาŒ ดิน 4 ส‹วนโดยปรมิ าตร

• ขยุ มะพราŒ ว 3 ส‹วนโดยปรมิ าตร

30 การผลิตวสั ดุปลูก •

ขั้นตอนการเตรียม วัสดปุ ลกู

• แกลบดบิ 5 สว‹ นโดยปรมิ าตร

• แกลบเผา 4 สว‹ นโดยปริมาตร

31การผลิตวสั ดปุ ลกู •

ข้ันตอนการเตรยี ม วสั ดปุ ลูก

• มลู สัตว 4 สว‹ นโดยปรมิ าตร

• คลุกเคลาŒ ใหเŒ ขาŒ กัน

32 การผลิตวัสดปุ ลูก •

ขั้นตอนการเตรียม วสั ดปุ ลกู

• รดนํ้าเพอ่ื เพ่มิ ความชนื้ ใหŒกองวัสดปุ ลกู

• คลุกเคลาŒ ใหเŒ ขŒากนั อกี ครง้ั

33การผลิตวสั ดปุ ลกู •

ข้ันตอนการเตรียม วสั ดุปลูก

• ปดดŒวยผาŒ ใบเพือ่ รกั ษาความช้นื

• เกบ็ ไวŒในทร่ี ‹มและเปดดทู ุก 1-2 สปั ดาห
เพอ่ื ตรวจเช็คความชืน้

34 การผลิตวสั ดุปลกู •

ข้ันตอนการเตรยี ม วสั ดปุ ลกู

• ทดสอบวสั ดปุ ลกู …ดŒวยพืชชนิดต‹างๆ

35การผลิตวสั ดปุ ลกู •

บนั ทึก

36 การผลติ วัสดปุ ลกู •

บนั ทึก

37การผลติ วัสดปุ ลูก •

บนั ทึก

38 การผลติ วัสดปุ ลกู •

บนั ทึก

39การผลติ วัสดปุ ลูก •

บนั ทึก

40 การผลติ วัสดปุ ลกู •

บนั ทึก

41การผลติ วัสดปุ ลูก •

บนั ทึก

42 การผลติ วัสดปุ ลกู •

บนั ทึก

43การผลติ วัสดปุ ลูก •

บนั ทึก

44 การผลติ วัสดปุ ลกู •

บนั ทึก

45การผลติ วัสดปุ ลูก •

บนั ทึก

46 การผลติ วัสดปุ ลกู •


Click to View FlipBook Version