49
๓๕
ลำ� ดับอาการของจติ ในการปฏบิ ตั ิธรรม ...
๑. ในเบ้ืองต้น จิต...ต้องเกิดความรู้สึกเป็นทุกข์ทางกายและ
ทุกข์ทางใจตามหลักของอริยสัจ ๔ จิตจึงปราถนาที่จะหมดทุกข์
ทางกายและทุกข์ทางใจ
๒. จิต...จึงด้ินรนแสวงหาหนทางท่ีจะดับทุกข์ทางกายและ
ทุกข์ทางใจด้วยวิธีการต่างๆ การเจริญอิทธิบาท ๔ เพียร ๔ ของจิต
จะท�ำให้จิตเกิด “สัมมาทิฏฐิ” และมีความเพียรในการพิจารณา
สภาวธรรมจนรู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด เป็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม
๓. ด้วยจิตที่มีสัมมาทิฏฐิและความเพียร จิต...จึงเสาะหาจนพบ
และเกิดศรัทธาในสัจธรรมท่ีพระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ไว้แล้ว (พละ
ข้อ ๑)
๔. จิต...จึงเกิดความเพียรในการฝึก สติ (สติปัฏฐาน ๔) ตาม
วิธี (พละข้อ ๒-๓)
50
๕. เมื่อจิต...เกิดสติเห็นสภาวธรรมต่างๆ ที่ก�ำลังเกิดข้ึนชัดเจน
จิตก็เลื่อนขึ้นไปเจริญโพชฌงค์ทั้ง ๗ จิตจะเกิด “สัมมาสติ” เกิด
“ธรรมวิจัย” ล่วงไปตลอดสายจนจิตลง “อุเบกขา” จิตจึง “เห็น”
ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ตามสภาวะของความจริงว่ามันเป็น “อนิจจัง
และทุกขัง” (จิตเห็นไตรลักษณ์ข้อ ๑-๒) เม่ือจิตเห็นความจริงของ
ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ แล้ว จิตที่มี “สุตมยปัญญาและจิตมยปัญญา”
อันเป็นปัญญาเบื้องต้นอยู่จึงใช้ปัญญาระดับน้ีเข้ามาพิจารณา
ความจริงท่ีเห็น จิตจึง...เกิดความเบ่ือหน่ายและคลายก�ำหนัดใน
ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ลง
๖. หลังจากน้ัน จิต...ก็จะเกิดความตั้งม่ัน (สมาธิ) ในการเจริญ
พละข้อ ๔-๕ ต่อ จิตเกิดความตั้งม่ันกับส่ิงท่ีเห็น จิตจึงเกิด “ภาวนา-
มยปัญญา” เข้าไปพิจารณาธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ต่อจนจิตเกิดความ
“รู้แจ้ง” ในความเป็น “อนัตตา” ของธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ (จิตรู้แจ้ง
ไตรลักษณ์ ข้อ ๓) จิต...จึงละอุปทาน ๔ และยอมปล่อยวางความ
ยึดมั่นถือมั่นในธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ลงคืนโลก
(...ข้อควรระวัง จิตท่ียังไม่เกิดสติจริง จะไม่เห็นธาตุ ๔ และ
ขันธ์ ๕ ตามจริง จิตจึงใช้ “สุตมยปัญญาและจิตมยปัญญา” เข้ามา
พิจารณาความเป็นอนัตตาของธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ จิตจะเกิด “วิปัสสนู”
แทน “วิปัสสนา” ท�ำให้จิตหลงยึดติดอยู่กับธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ต่อไป)
๗. เมื่อ...จิตละอุปทาน ๔ และยอมปล่อยวางความยึดมั่นถือ
ม่ันในธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ลงแล้ว ภพอันเป็นท่ีตั้ง ท่ีเกิดของจิตใน
ภูมิต่างๆทั้ง ๓๑ ภูมิจึงดับลงด้วย จิตจึงหลุดพ้นออกจากการเกิดใน
วัฏสงสารแล้ว สภาวะดับทุกข์หรือพระนิพพานจึงปรากฏขึ้นแก่จิต
ณ บัดนั้นแล
51
๓๖
วปิ ัสสนกู ิเลส ๑๐
คือ เครื่องเศร้าหมองของวิปัสสนา จะเกิดข้ึนในขณะท่ีจิตเกิดโมหะ
๑. จิตเกิดโอภาส มีแสงสว่างเกิดข้ึนย่ิงกว่ากาลก่อน
๒. จิตเกิดปิติ อ่ิมใจยิ่งกว่าเคยพบเห็นมา
๓. ปัสสิทธิ จิตเกิดความสงบเยือกเย็นมาก
๔. อธิโมกข์ จิตนัอมปักใจเชื่อจึงท�ำให้ปัญญาเกิดขึ้นได้ยาก
๕. ปัคคาหะ จิตเกิดความพากเพียรในการปฏิบัติอย่างแรงกล้า
๖. สุข จิตมีความสุขสบายอย่างเหลือล้น ชวนให้หลงติดสุข
๗. ญาณ จิตเกิดปัญญาญาณมากเกินไป จะท�ำให้จิตฟุ้งซ่าน
๘. ปัฏฐาน จิตตั้งมั่นมากเกินไป จึงท�ำให้เกิดนิมิตต่างๆ
๙. อุเปกขา จิตวางเฉยมากจึงเป็นเหตุให้หย่อนความเพียร
๑๐. นิกันติ จิตขาดสติชอบและหลงในอุปกิเลส ๙ อย่างเบื้องต้น
...จิตที่ยังไม่เกิดสติจะไม่เห็นธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ตามจริง จิต
จึงใช้ “สุตมยปัญญาและจินตามยปัญญา” เข้ามาพิจารณา
ความเป็นอนัตตาของธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ จิตจะเกิด “วิปัสสนู” แทน
“วิปัสสนา” ท�ำให้จิตหลงวนเวียนไปยึดติดอยู่กับธาตุ ๔ และขันธ์ ๕
ต่อไป
52
๓๗
จติ มีสติ
เฝ้าระวังความคิดที่เกิดจากการเผลอคิด (หลง) การเผลอ “คิด”
ท�ำให้จิตฟุ้งซ่านเป็นเหตุให้เกิด ราคะ-โทสะ-โมหะ ซ่ึงเป็นที่รวมของ
ทุกข์ท้ังหมดในโลก แม้แต่จะเกิดสุขแค่ชั่วคราว เม่ือสุขจบลงทุกข์ก็
เกิดตามมาอีก กิเลส ตัณหา อุปาทาน ก็เกิดข้ึนตามมาด้วย ภพชาติ
จึงเกิดขึ้นไม่ส้ินสุด เมื่อจิตเกิดสติก็จะเปลี่ยนความคิดฟุ้งซ่าน เป็น
53
จิตเห็นตามความจริงแล้ว จิตเกิดความเบื่อหน่าย หมดความยินดี
จิตก็จะปล่อยวาง ส่ิงที่รู้ลงเอง เม่ือเหตุของทุกข์ถูกละ หรือ ดับลงแล้ว
ทุกข์จึงดับลง ภพจึงดับด้วย ชาตะส้ินสุดลงแล้ว นิโรธ หรือ นิพพาน
จึงปรากฏขึ้นแทน จิตถึงที่หมายปลายทางแล้ว
สติเปรียบเสมือน เรือน�ำพาจิตออกจากวัฏสงสาร เพื่อข้ามไป
สู่ฝั่งพระนิพพาน “สติ” จึงเป็นส่ิงท่ีต้องเกิดขึ้นกับจิตเรา “สติ” จะ
เกิดข้ึน จากจิตจ�ำสภาวธรรมท่ีเกิดข้ึนกับกายใจ “สติ” คือ ความ
รู้สึกตัว เมื่อมีสภาวะ โลภะ โทสะ-โมหะ มากระทบจิต “สติ” ท�ำให้
จิตเห็นสภาวะที่มากระทบ กาย ใจ เป็นไตรลักษณ์ ๓ “ปัญญา” จึง
สอนจิตให้ปล่อยวางกายใจลงคืนโลก จิตจึงพ้นออกจากวัฏสงสาร
จิตมีพรหมวิหาร ๔ เป็นเคร่ืองอยู่ มีสติเป็นเพ่ือนแท้ มีโพชฌงค์ ๗
เป็นดวงปัญญา มีมรรค ๘ เป็นทางด�ำเนินชีวิตท่ีเหลือ ทุกข์จึงดับลง
นิโรธ จึงเกิดข้ึน สภาวะนิพพานจึงปรากฏแก่จิต
54
๓๘
ประตเู ข้าส่ภู พภมู ิและออกจากภพภูมิ
จิตเราจะเดนิ ทางไกลอย่างไร้สติ
เขา้ สปู่ ระตู โมหะ เป็นประตูบานแรก
เข้าประตู โทสะ เป็นบานท่ีสอง
เข้าประตู โลภะ เป็นบานสดุ ทา้ ย
ประตูกิเลสเหล่านี้ เปิดให้จิตเดินทางเข้าสู่ภพภูมิต่างๆ ใน
วัฏสงสาร ถ้าจิตสร้างกุศลกรรมมากกว่า จิตก็ไปสู่ภพภูมิที่ดีข้ึน
สุขสบายมากขึ้น แต่ถ้าจิตสร้างแต่อกุศลกรรม จิตก็จะเดินทาง
ไปสู่อบายภูมิซึ่งมากไปด้วยทุกข์ท้ังกายและใจ ทุกภพภมู ิต่างก็เป็น
คุกของจิต ทั้งสิน้
เมื่อจิตเกิดสติปัญญา เห็นภพต่างๆ เป็นทุกข์ ปรารถนาจะพ้น
ทุกข์ออกจากวัฏสงสารนี้ จิตจึงต้องเกิดสติปัญญาเห็นกิเลสท่ีเกิดขึ้น
กับกายใจน้ันเป็นทุกข์ จิตจึงจะปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นใน
กายใจนี้ลง จิตต้องเดินย้อนออกจากประตูโลภะก่อน จากน้ันก็
ถอยออกจากประตูโทสะ สุดท้ายก็ปิดประตูโมหะลง จติ จงึ จะดับ
ทุกขก์ ายทุกข์ใจหลดุ พ้นจากวฏั สงสารได้
55
จิตเดิม
๓๙
ทางนฤพาน
เส้นทางของจิต ท่ีจะน�ำไปสู่ความวิเวกภายใน เมื่อ..
๑. เกิดสติข้ึนกับจิต จิตจึงตื่น
๒. จิตเห็นกายใจนั้นเป็นทุกข์
๓. จิตรู้แจ้งว่ากายใจไม่ใช่ของเรา
๔. จิตเกิดเบื่อหน่ายในขันธ์ ๕
๕. จิตหมดความยินดีในขันธ์ ๕
๖. จิตจึงปล่อยวางขันธ์ ๕ ลงได้
๗. สภาวะนิพพานจึงเกิดข้ึน แก่จิตดวงนี้
(ภาคอธิบาย) จิตจึงต้องเกิดสติก่อน...จิตจึงเห็นว่าสภาวธรรม
ที่มากระทบกายใจน้ันเป็นทุกข์ ทั้งความโลภ ความโกรธ ความหลง
เม่ือเกิดข้ึนกับกายใจน้ัน ล้วนท�ำให้จิตเป็นทุกข์ เพราะสภาวะต่างๆ
มันเป็นไตรลักษณ์ ๓
56
เมื่อจิตเห็นความจริงนี้ด้วยสติปัญญาแล้ว จิตจึงต้องการ
ปล่อยวางกายใจคืนโลกไป เพราะเป็นภาระที่จิตต้องตกเป็นทาส
ของกายใจ มาหลายภพหลายชาติ เมื่อจิตเห็นตัณหาดับอุปาทาน
ลงได้ ภพของจิตจึงดับลง ชาติจึงไม่เกิดขึ้นอีก จึงจึงหลุดพ้นออกจาก
วัฏสงสารท่ีต้องเวียนว่ายตายเกิด
“ความดับทุกข์ หรือ นิโรธ” หรือ “สภาวะนิพพาน” ก็ปรากฏ
ขึ้นแก่จิต ไม่มีอภินิหารใดใด... ไม่มีความบังเอิญใดใด...ไม่มีความ
ซับซ้อนใดใด... มีแต่การเห็นความจริงด้วยจิตที่มีสติและปัญญา
รู้แจ้งเท่านั้น ล�ำดับการรู้แจ้งเห็นจริงจะเกิดตามล�ำดับ ไม่ตัด ไม่ลัด
จะใช้เวลารวดเร็วหรือเน่ินช้าก็อยู่ที่ความเชื่อม่ัน เมื่อหมดส้ินความ
ลังเล สงสัย จะต้องมีจิตที่เด็ดขาด เย่ียงพระศาสดา..เท่าน้ัน จึง
ปล่อยวาง กายใจลงได้
ข้อควรระวัง..รู้จากการอ่าน ฟัง คิด จะต่างกับการเห็นความจริง
ของกาย-ใจ อย่าเผลอสติ หลงปล่อยให้จิตไหลเข้าสู่สภาวะสงบ
(อัปนาสมาธิ) สติ กับ สงบ น้ันต่างกันมาก สติท�ำให้จิตต่ืน เกิดปัญญา
เห็นความจริง.. จิตสงบ ท�ำให้จิตหลงหลบเข้าไปพักผ่อน ไม่รู้ ไม่เห็น
ความจริงของขันธ์ ๕ เม่ือจิตรู้แจ้งจึงปล่อยวางขันธ์ ๕ ลง สภาวะ
สงบที่แท้จริงจึงเกิดขึ้นอีกครั้งน่ันคือ “สภาวะนิพพาน” ของจริง
57
๔๐
สภาวะของจติ เดิม
ธรรมชาติของจิตเดิม จิตทารกแรกเกิดนั้นไม่บริสุทธิ์ (จึงยังต้องเกิด)
แต่กาย-ใจนั้นยังสะอาดอยู่ ช่วงด�ำเนินชีวิต จิตและกาย ใจ ต่างไม่
บริสุทธิ์และไม่สะอาด หน้าท่ีก่อนสิ้นลมต้องช�ำระจิตให้บริสุทธิ์ ท้ิงกาย
วางใจลงให้ได้ จิตจึงจะหลุดพ้นจากวัฏสงสาร
กิเลสต่างๆ น้ันจึงเป็นอาคันตุกะท่ีแวะเวียนเข้ามาเยือนกาย-ใจ
เมื่อจิตเผลอเปิดประตูไว้ จิตจึงต้องมีสติปัญญา เห็นกิเลสท่ีเป็น
เหตุแห่งทุกข์ของกาย-ใจก่อน เมื่อวางกาย-ใจลงได้ จิตจึงจะบริสุทธ์ิ
และหลุดพ้นจากวัฏสงสาร “สติ” จึงจ�ำเป็นต่อจิตเป็นอย่างยิ่งใน
การด�ำเนินชีวิตเพื่อ “การพ้นทุกข์”
จิต...เผลอสติ กิเลส...เกิด
จิต..เกิดสติ กิเลส...หลบ
จิต...วางขันธ์ กิเลส...ดับ
58
๔๑
วิธีฝกึ สติ
๑. ฝึกให้จิตสังเกตเห็นสภาวธรรมของกาย-ใจ ท�ำให้จิตจ�ำ
สภาวธรรมได้คร่าวๆ
๒. จิตจ�ำสภาวธรรมได้จึงรู้สึกตัวทุกคร้ัง เมื่อมีสภาวธรรม
เกิดขึ้นกับกาย-ใจ น่ัน คือ “สติ”
๓. สติเกิดจิตจึงเห็นสภาวธรรมของกาย-ใจ นั้น มันเกิดขึ้น
ตั้งอยู่-ดับไปและเป็นทุกข์ น่ันคือจิตเห็นไตรลักษณ์ข้อ๑และ๒
๔. จิตท่ีเห็นไตรลักษณ์ข้อ๑และ๒ แล้ว จิตก็จะเกิดปัญญา
รู้แจ้งว่า “ขันธ์ ๕” นั้น “ไม่ใช่ของเรา” จิตรู้แจ้งในไตรลักษณ์ข้อ ๓
แล้ว จิตจึงปล่อยวาง ขันธ์ ๕ ลงกับคืนให้แก่โลก
๕. เมื่อจิตรู้แจ้งในสมุทัย (เหตุแห่งทุกข์)คือ ขันธ์ ๕ แล้ว ทุกข์
จึงดับลงไป สภาวะนิพพาน (นิโรธ) จึงปรากฏข้ึนทันใด
สติ
59
๔๒
ข้นั ตอนการฝกึ สตขิ องจิตส.ู่ ..พระนิพพาน
๑. ฝึกจิตให้หม่ันสังเกตความรู้สึกของกายและใจ
๒. จิตจะเริ่มเกิด “สติ” จ�ำสภาวธรรมของกาย-ใจ ได้บ่อยคร้ัง
ท่ีเกิด
๓. จิตมีสติเห็นสภาวธรรมของกายใจน้ัน “เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป”
(เห็นไตรลักษณ์ข้อ ๑)
๔. จิตจึงเกิดสติเห็นความจริงและยอมรับ ยอมจ�ำนนกับ
ความจริงใน “ทุกข์ของกาย-ใจ” ท่ีจิตเคยคิดว่ากาย-ใจ นั้นเป็นของเรา
(เห็นไตรลักษณ์ข้อ ๒)
๕. จิตจะเกิดความเบื่อหน่าย เพราะเห็นไตรลักษณ์ข้อ๑ และ ๒
ของกาย-ใจ เลาเลา
๖. จิตจะหมดความยินดีคลายก�ำหนัด เพราะเห็นไตรลักษณ์
ข้อ๑และ๒ของกาย-ใจ ชัดเจน
๗. จิตจะปล่อยวางกาย-ใจ ลงคืนโลกเพราะเกิดปัญญารู้แจ้ง
ในไตรลักษณ์ข้อ๓ของกาย-ใจ ชัดแจ้ง
*จิตจึงหลุดพ้นจากวัฏสงสารเข้าสู่นิพพานด้วยประการละฉะนี้ แล
60
ตัก
๔๓
ตกั
“สติ” คือ ความรู้สึกตัวของจิต ความระลึกได้ของจิตกับสภาวธรรม
ของกายใจ ณ ปัจจุบัน ไม่เผลอใจลอย หรือเพ่งจ้องกายใจจนเป็น
สมถะกรรมฐาน (อัปนาสมาธิ)
“วิปัสสนา” คือ การที่จิตรู้สึกตัวอยู่กับปัจจุบัน จิตจะเห็นกายใจ
เป็น “ไตรลักษณ์ ๓” และเกิดปัญญารู้แจ้งว่ากายใจไม่ใช่เรา จิตจึง
ปล่อยวางกายใจลงคืนให้แก่โลก ภพจึงดับ ชาติจึงส้ินแล้ว จิตจึง
ไหลเข้าสู่สภาวะ “นิพพาน”
จิตจะมีสภาวะพ้นทุกข์ เหนือสุข พ้นเหตุ เหนือผล พ้นเกิด
เหนือตาย
จึงต้องท�ำเหตุของนิพพานให้แล้วเสร็จ สภาวะนิพพานจึงปรากฏ
ข้ึน นั่นคือ “จิตเห็นขันธ์ ๕ เป็นไตรลักษณ์ ๓” จิตจึงเบื่อหน่ายหมด
ความยินดี และปล่อยวางขันธ์ ๕ ลงได้ เช่นเดียวกับ “ตัก” ท่ีเราต้อง
น่ังลง สภาวะตักจึงปรากฏข้ึน
61
๔๔
เรือ
กาย-ใจ ในแต่ละภพชาติของเรานั้น เปรียบเสมือนเรือท่ีน�ำพา
จิตวิญญาณเราข้ามทะเลของสังสารวัฏ เม่ือถึงฝั่งแล้ว (หมดอายุขัย)
ถ้าเราห่วงเรือ ห่วงกาย จิตก็จะเกิดเป็นเปรต เฝ้าของหวงจนหมดห่วง
จึงทิ้งเรือ ..ทิ้งกาย ได้ชั่วคราว จิตก็จะเวียนว่ายกลับมาเกิดอีก
จนกว่าจิตจะเกิดปัญญาธรรมเห็นการแบกขันธ์ ๕ ไว้น้ันเป็นทุกข์...
ลืมเรือ ลืมขันธ์...วางท้ังเรือ ท้ังขันธ์ จิตจึงหลุดพ้นจากวัฏสงสาร สู่
สภาวะนิพพาน
๔๕
กายนอก-กายใน
กายนอก คือ กายเนื้อที่รวมของขันธ์ ๕ (ทุกข์)
กายใน คือ กายธรรม (จิต) ท่ีใสสะอาด แต่ยังไม่บริสุทธิ์ เพราะ
ยังหลงยึดติดอยู่กับขันธ์ ๕
การตาย คือ การการปลดเปลื้องปล่อยวางกายธรรมออกจาก
กายเนื้อ
นิพพาน คือ การปล่อยวางกายเน้ือ (ขันธ์ ๕) ท้ิงไป เพื่อให้
กายธรรมบริสุทธิ์ หลุดพ้นออกจากวัฏสงสารเข้าสู่นิพพาน
กายธรรม (จิต) ต้องส�ำรอกกายเนื้อท้ิงคืนให้แก่โลก เม่ือ “ตัวกู”
เกาะเกี่ยวกายธรรม กายธรรมจะหม่นหมอง เม่ือปล่อยวาง “ตัวกู” ลง
62
กายธรรมก็จะสุกใส ส�ำรอกคราบกายเนื้อท้ิงไป ภพภูมิดับลง
สภาวะนิพพานจึงเกิดข้ึน
กายเนื้อ จะเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไปตามอายุขัย เป็นอนิจจัง ทุกขัง
อนัตตา เมื่อกายธรรมเกิดสติปัญญา เห็นแจ้งในความจริงน้ีแล้ว
กายธรรม (จิต) จะปล่อยวางกายเน้ือ (ขันธ์ ๕) ท้ิงมันคืนให้แก่โลกไป
กายธรรมจึงนิพพานได้
กายทิพย์-กายธรรม แต่ละภพได้ถูกกายเน้ือ (รูป-นาม หรือ
ขันธ์ ๕) ห่อหุ้มอยู่ตามความเหมาะสมของวิบากกรรมท่ีมีในภพภูมิ
ก่อนน้ัน กายเน้ือนั้นเสื่อมไปตามอายุขัย แต่กายธรรมนั้นไม่ตกอยู่
ภายในสภาวะของกาลเวลา ความกลัว เกิด แก่ เจ็บ ตาย ความรู้สึก
เสียดาย ท�ำให้กายธรรม เราไม่กล้าสลัดกายเน้ือทิ้งไป
63
๔๖
ผลของธรรม
แรกเกิดตอนยังเด็ก จิตยังขาดสติ ชีวิตจึงด�ำเนินไปภายใต้ความ
ปรารถนาของกาย-ใจ “มหาสติปัฏฐาน ๔” เป็นหน่ึงในธรรม ท่ีท�ำให้จิต
เกิดสติและปัญญาเห็นความจริง(ไตรลักษณ์) ของขันธ์ ๕ ว่า “ไม่ใช่เรา”
เม่ือเด็กเราจะมีสติเลาเลา ธรรมท่ีท�ำให้จิตเด็กเป็นผู้ใหญ่ คือ
“อิทธิบาท ๔ และเพียร ๔” ท�ำให้เป็นคนมีเหตุผล รู้ผิดรู้ถูก และรับผิดชอบ
ชีวิตได้ และมี “พรหมวิหาร ๔” เป็นเคร่ืองอยู่ของผู้ใหญ่
จิตที่ต้องการปฏิบัติต่อจะต้องเจริญพละ ๕...เพ่ือไปให้ถึงการ
ปล่อยวางในช่วงสุดท้าย ต้องฝึกจิตให้คุ้นเคยต่อการเป็น “ผู้เห็น” เพื่อ
ให้เป็นอุปนิสัยพื้นฐานของจิต ธรรมท่ีท�ำให้จิตผู้ใหญ่เปล่ียนเป็น “ผู้ท่ี
พึ่งพาได้” ในการด�ำเนินชีวิต คือ พละ ๕ เพราะเป็นผู้มีพลังของศรัทธา
วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา เป็นฐานของจิต
ธรรมที่ท�ำให้จิตของผู้เจริญพละ ๕ ก้าวเล่ือนเป็นจิตอริยะ คือ
“โพชฌงค์ ๗” เพราะเป็นธรรมที่ท�ำให้สติเกิด “ธรรมสัมปยุทธ” หรือ
“ภาวนามยปัญญา” จิตจะเห็นไตรลักษณ์ ๓ สามารถปล่อยวางขันธ์ ๕
ลงได้ “โพชฌงค์ ๗” จึงเป็นปัญญาของพระอริยะ
ธรรมที่เป็นทางด�ำเนินชีวิตของอริยะชน คือ “มรรค ๘”
ธรรมที่ไว้ตรวจสอบการปล่อยวางของจิต คือ “สังโยชน์ ๑๐”
นิสัยท�ำบุญท�ำทาน ถ้าเกิดกับจิตดวงใด จิตดวงน้ันจะปล่อยวาง
ขันธ์ ๕ ลงได้ง่าย เพราะจิตน้ันจะคุ้นเคยกับการให้มาหลายภพชาติ
แล้ว ตรงกันข้าม ถ้าจิตดวงใดสะสมแต่กิเลส จิตก็จะตระหน่ี จึงยากท่ีจะ
ละท้ิงขันธ์ ๕ ลงได้
64
๔๗
ออ๋ ..มนั เป็นอยา่ งนีเ้ อง
เมื่อฝึกจิตจนมีสติมั่นคง แต่..รู้เคารพสิทธิ์ และ..รักษาศีล
ไม่เบียดเบียนผู้อ่ืนให้เกิดทุกข์ จิต..มีสมาธิตั้งมั่นอยู่ได้ มีปัญญา ๓
ครบบริบูรณ์ ไม่วิตก หมดวิจารณ์ สังขารดับ ปรุงแต่งหยุด จิต..รู้แจ้ง
ในปฏิจจสมุปบาท ๑๒ อวิชชาดับ คิดถูก ท�ำถูก มี มรรค ๘ ทุกเวลา
ใจ..เกิดปิติ ก็ต้อง...ระงับปิติ ใจ...เกิดสุข ก็ต้อง...ละวางสุข ใจก็สงบ
เห็นกิเลส ๓ ชัดเจน จิต...เห็นความไม่เที่ยงในไตรลักษณ์ ๓ ของใจ
จิต..เห็นอริยสัจ ๔ ของใจ จนเกิดความหน่ายใจ จิต...ปล่อยวาง
ใจ...จึงดับขันธ์ ๕ ภพของจิตไม่มีอีกแล้ว ใจ...ดับมอดสนิท วัฏสงสาร
ขาด จิตจึงสว่างหลุดพ้น จิต...เดินเข้าสู่สภาวะนิพพาน
ท�ำไม?
จิตต้องเกิดสติเห็นสภาวะที่มากระทบขันธ์ ๕ ก่อน จิตจึงเกิด
ปัญญา ไปตามรู้-ตามพิจารณา (ธรรมวิจัย)
เพราะ...
เม่ือจิตเกิดสัมมาสติ...จึงจะเกิดภาวนามยปัญญา ตามพิจารณา
ในส่ิงที่เห็น (จิตเห็น..การเกิดข้ึน ตั้งอยู่ ดับไปของสภาวะ) จิตจึง
เกิดภาวนามยปัญญา รู้ตามความเป็นจริง (รู้ว่าขันธ์ ๕ เป็น
ไตรลักษณ์ ๓)
65
ปกติแล้ว จิตจะถูกฝึกให้ด�ำเนินชีวิตด้วยการใช้ปัญญา ด้วย
การเผลอไปคิดหรือเจตนาหยิบมาคิด...เท่าน้ัน จึงจะเป็นต้นเหตุ
ให้จิตถูกครอบง�ำด้วยกิเลส ๓ (โลภ,โกรธ,หลง) ส่งผลให้เกิดภพ
เกิดชาติตลอดเวลา จิตจึงเป็นทุกข์ การต้องเวียน ว่าย ตาย เกิด ก็
เพราะเหตุน้ี คนปกติท่ีเอาแต่คิด คิด คิด จิตจึงพบทุกข์และเป็น
ทุกข์แต่เพียงประการเดียวเท่านั้น เพราะในขณะท่ีจิตก�ำลังหลงไป
กับการคิดนั้น จิตจะไม่เห็นอนิจจังและอนัตตา จิตจึงไม่สามารถ
เห็นขันธ์ ๕ ว่ามันเป็นไตรลักษณ์ ๓
พระพุทธเจ้า ทรงออกบวชก็เพราะทรงเห็นทุกข์ของอริยสัจ ๔
คือการเกิด แก่ เจ็บ ตาย (ภพชาติ) น่ีเอง จากน้ันพระองค์เกิดสัมมาทิฏฐิ
เจริญสติปัฏฐาน ๔ ท�ำจิตให้เกิดสัมมาสติเห็นอนิจจังและทุกขังของ
ขันธ์ ๕ หลังจากน้ันจิตจึงเกิดภาวนามยปัญญาเห็นขันธ์ ๕ แสดง
ไตรลักษณ์ ข้อ ๓ (อนัตตา)ครบถ้วน จึงเป็นเหตุให้จิตรู้แจ้งเห็น
ความจริงว่า ขันธ์ ๕ นั้นไม่ใช่เรา หรือของเราอีกต่อไป จากนั้นจิต
จึงเห็นภาระในการครองขันธ์ ๕ จิตจึงเกิดความเบ่ือหน่ายใน
ขันธ์ ๕ เม่ือพิจารณาต่อก็จะหมดความยินดีและปล่อยวางขันธ์ ๕
ลงได้ สภาวะดับทุกข์นิโรธหรือนิพพานจึงปรากฏแก่จิต เพราะเหตุ
แห่งทุกข์ ได้ดับลงแล้ว นั่นเอง
66
๔๘
ดับทุกข์ง่ำยๆ
ตราบใดที่จิตยังหลงยึดติดอยู่กับภพใดภพหนึ่งของ ๓๑ ภพภูมิ
จิตก็จะเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารนั้น จิตจึงต้องอาศัยขันธ์
ของภพนั้นเป็นที่สถิตย์ของจิตในแต่ละภพชาติ ทุกข์จากความไม่เท่ียง
ของขันธ์จึงยังมีอยู่จนกว่า...จิตได้จุติ ในภพมนุษย์ซ่ึงมีขันธ์ ๕ ครบ
จิตจึงสามารถเกิดสติและปัญญาเห็นความจริงในขันธ์ ๕ ที่จิตสถิตย ์
อยู่ว่า “ขันธ์มันเป็นไตรลักษณ์ ๓”
๑. ด้วยความจริงน้ี จิตจะไม่เข้าไปหลงยึดติดในขันธ์ว่าเป็น
เราอีกต่อไป
๒. จิตจะเกิดความเบื่อหน่ายในความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ไม่คง
สภาพของขันธ์
๓. จากนั้นจิตจะหมดความยินดีในขันธ์
๔. จิตจึงปล่อยวางขันธ์ลงคืนกลับสู่โลกธาตุเดิมของมัน
ภพจึงจะดับลง การจุติของจิตในภพใดๆ จะไม่มีอีกแล้ว อิสรภาพ
จากทุกข์ในขันธ์หรือนิพพานของจิต จึงปรากฏข้ึนทันท ี
แอกของชีวิตหนักอึ้งราวกับแบกภูเขาทั้งลูก
สรางความเหน่ือยลาแกชีวิตจนคิดอยากเขาพักนอน
แตจําตองต่ืนขึ้นมาเพราะความหิวโหยเรียกหา
วันเวลามืดมนไปชั่วอนันตกาล..นี่คือทุกข
ตาแจง
67
๔๙
ธาตุรู้
จิตเกิดสติ...ดูลงไปที่กาย เห็นกายประกอบด้วยธาตุท้ัง ๔ มา
ชุมนุมรวมกัน เมื่อมีกายเกิดข้ึน ใจ (เวทนา-ความรู้สึก,สัญญา-
ความจ�ำ, สังขาร-ความคิด) ก็เกิดขึ้น ตัวรู้ (วิญญาณธาตุ) จึงเกิด
ตามมาเป็นล�ำดับสุดท้าย
จากน้ัน..จิตจะต้องเกิดสติปัญญา รู้แจ้งตามความจริงในกาย ใจ
ว่าขันธ์ ๕ มันเป็นไตรลักษณ์ ๓ เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ตัวเหตุ..ที่ต้อง
หยิบยกมาพิจารณาก็คือ “กาย” ที่ประกอบขึ้นด้วยธาตุทั้ง ๔
(ดิน,น้�ำ,ลม,ไฟ) มาเกาะกลุ่มรวมตัวซ่ึงกันและกัน เปรียบเสมือน
เชื้อไฟที่มาสุมรวมกัน เปลวไฟ (ใจ) คือ กิเลส ๓ และตัวรู้ จึงเกิดขึ้น
ตามมาภายหลัง เป็นผลให้ทุกข์เกิดตามมา
ฉะนั้นเราจึงต้องอาศัยธาตุรู้ (ซึ่งเป็นธาตุสุดท้ายที่ต้องวาง)
เข้ามาพิจารณาสิ่งเหล่าน้ีให้เห็นชัดในเหตุในผล จิตจะเห็นธาตุขันธ์
ที่มารวมตัวกันเป็นกายนั้นเป็นภาระต้องดูแลและต้องต่อสู้กับ
ความเส่ือมของธาตุจนกว่าธาตุขันธ์จะแตกดับ ธาตุต่างๆก็แยกย้าย
คืนกลับไปสู่ธาตุเดิม ฉะน้ันธาตุขันธ์จึงเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เกิดภพ
เกิดชาติไม่จบส้ิน ตราบใดท่ีจิตยังหลงยึดมั่นว่าเป็นตัวเราอยู่
68
แต่ธาตุขันธ์ก็ยังเป็นประโยชน์ให้จิตเห็นธาตุขันธ์เป็น
ไตรลักษณ์ ๓ จิตจึงยอมปล่อยวางขันธ์ ๕ ลงคืนแก่โลกไป เม่ือจิต
ปล่อยวางขันธ์ลงได้ ภพ ชาติ จึงดับลง
ภพมนุษย์เป็นภพเดียวท่ีจิตได้ขันธ์มาครบทั้ง ๕ มี กาย มีใจ มีรูป
มีนามเกิดขึ้น เม่ือ...จิตเกิดภาวนามยปัญญาก็สามารถท�ำลาย
ความหลง เห็นความจริงในขันธ์ ๕ ว่าเป็นไตรลักษณ์ ๓ เห็นทุกข์
เห็นอริยสัจ ๔ จิตจึงหมดอาลัยในขันธ์อีกต่อไป เมื่อจิตรู้แจ้งในเหตุ
และปล่อยวาง เหตุลงได้แล้ว ทุกข์ก็จะดับลง นิโรธก็จะเกิดข้ึนเอง
มรรคก็จะเป็นแนวทางในการด�ำเนินชีวิตท่ีเหลือตราบจนสิ้นอายุขัย
ของขันธ์ ๕
69
๕๐
อรยิ ะจิต
ขันธ์ หรือ กายใจ จึงเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เมื่อจิตเกิดสติเห็น
ความจริงน้ี จากนั้นจิตก็จะเกิดปัญญา รู้ตามความเป็นจริงว่าขันธ์ ๕
เป็นไตรลักษณ์ ๓ เราเรียกจิตท่ีเห็นความจริงของขันธ์ ๕ ท่ีไม่ใช ่
ตัวเราของเราว่า “จิตพระโสดาบัน” เป็นอริยบุคคลผู้แรกเข้าถึง
กระแสแห่งนิพพานจะกลับมาเกิดอีกไม่เกิน ๗ คร้ัง อบายภูมิของ
จิตดวงน้ีถูกปิดแล้ว มีศีล ๕ เป็นเคร่ืองอยู่
จากน้ันจิตจะพิจารณาความจริงของขันธ์ ๕ ต่อ จิตก็จะเกิด
เบ่ือหน่ายในขันธ์ ๕ จากความจริงที่เห็นและรู้ ความโลภความโกรธ
ที่เคยก�ำเริบก็จะเบาลง คงเหลือแต่ความหลงอยู่เช่นเดิม เราเรียก
จิตน้ีว่า “จิตพระสกิทาคามี” เป็นอริยบุคคลที่จะมาเกิดในโลกอีก
คร้ังเดียวมีศีล ๕ เป็นเครื่องอยู่
เมื่อจิตพิจารณาต่ออีกจิตก็จะเห็นและรู้ความจริงของขันธ์ ๕
ชัดเจนย่ิงขึ้นอีก จิตจึงหมดความยินดี คลายก�ำหนัดในขันธ์ ๕
ลง ความโลภ ความโกรธ ที่เคยมีในขันธ์ ๕ ก็จะดับลงส้ินคงเหลือ
แต่ความหลงท่ียังคงมีอยู่ เราเรียกจิตในสภาวะนี้ว่า “จิตพระอนาคามี”
เป็นอริยะบุคคลท่ีไม่กลับมาเกิดอีก จะอุบัติในพรหมโลก มีศีล ๘
เป็นเครื่องอยู่
70
จิตจะพิจารณาขันธ์ ๕ ต่อจนเห็นความหลงในขันธ์ ๕ ที่ยังคงมี
อยู่ว่าเป็นเหตุแห่งทุกข์ ท�ำให้จิตยอมรับความจริงและยอมปล่อยวาง
ขันธ์ ๕ ลง ขันธ์ ๕ เป็นภพ ภพเป็นท่ีต้ังของจิต จิตจึงรู้แจ้งในอริยสัจ ๔
ว่าภพในวัฏสงสารเป็นเหตุแห่งทุกข์ สร้างภพชาติไม่มีวันจบส้ิน เม่ือ
จิตเห็นภพเป็นเหตุแห่งทุกข์ จึงจึงวางภพลง อวิชชาจึงดับ จิตพุทธะ
จึงเกิดขึ้น ณ บัดนั้น เราเรียกจิตในสภาวะน้ีว่า “จิตพระอรหันต์”
ผู้หลุดพ้นออกจากการเกิดในสังสารวัฏเข้าสู่กระแสพระนิพพาน..
มีศีล ๒๒๗ เป็นเครื่องอยู่
จิตจะต้องเกิดสติปัญญาเห็นและรู้ความจริงของขันธ์ ๕ ว่า
เป็นไตรลักษณ์ ๓ เท่าน้ัน จิตจึงจะยอมรับความจริง และปล่อยวาง
ขันธ์ ๕ ลงคืนโลก ภพชาติจึงดับลง จิตจึงหลุดพ้นออกจากวัฏสงสาร
เข้าสู่กระแสพระนิพพานได้
71
๕๑
เหน็ โลกธรรม ๘ กน็ ิพพานได้
ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เป็นโลภะ เป็นความยินดี เป็นราคะ
เป็นสภาวะที่กายใจปราถนา
เสื่อมลาภ เสื่อมยศ ติฉินนินทา ทุกข์ เป็นโทสะ เป็นปฏิฆะ เป็น
สภาวะที่กายใจไม่ปราถนา
...หากจิตขาดสติไม่เห็นโลกธรรม ๘ กระทบกายใจ จิตก็จะ
หลงไปกับโลกธรรม ๘ ความหลงนั้นเป็นทุกข์ ความหลงท�ำให้จิต
ติดอยู่ในวัฏสงสาร เกิด แก่ เจ็บ ตายอยู่ในภพต่างๆ ของวัฏสงสาร
ไม่จบส้ิน จนกว่า...จิตจะเกิดสติต่ืนจากความหลงเห็นสภาวะกิเลส
ทั้งหลายที่มากระทบขันธ์ ๕ นั้นมัน เกิดขึ้น ต้ังอยู่ ดับไป (อนิจจัง)
มันจึงเป็นเหตุให้จิตเป็นทุกข์ (ทุกขัง) อีกทั้งไม่อาจเป็นไปตามท่ีจิต
ปราถนาได้ เพราะขันธ์ ๕ น้ันเป็นอนัตตา จิตแค่ยืมโลกมาใช้ใน
ภพภพหนึ่งชั่วคราวเท่าน้ัน เมื่อหมดอายุขัยของขันธ์ จิตก็ต้องคืน
โลกไป จิตก็ต้องเวียนหาภพเกิดใหม่ขันธ์ใหม่ใน ๓๑ ภูมิ ตามแต่
วิบากของกรรมที่มี เกิดแก่เจ็บตายอีกไม่จบสิ้น จนกว่า จิตจะเกิด
สติปัญญาเห็นความจริง (ไตรลักษณ์ ๓) ของขันธ์ (ในภพใดภพหน่ึง
ที่มี ขันธ์ ๕ ครบ) จิตจึงจะเกิดความเหนื่อยหน่ายและเบื่อหน่ายใน
การครองขันธ์ในภพต่างๆ จิตจะหมดความยินดีและปล่อยวางขันธ์
ลงได้ในที่สุด จิตจึงเป็นอิสระหลุดพ้น ออกจากภพต่างๆ ทันที น่ันคือ
“สภาวะนิพพาน” ของจิตนั่นเอง
72
๕๒
เม่ือจติ ได้เกิดในภมู ิมนษุ ย์
ด้วยแรงปรารถนาในนิพพานสมบัติ จิตจึงต้องขวนขวายแสวงหา
หนทางไปสู่นิพพาน อันจิตดวงใดเห็นของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย
(อริยสัจ ๔) ของขันธ์ ๕ ที่จิตอาศัยอยู่เป็นไตรลักษณ์ ๓ บุคคลน้ัน
เห็นต้นทางไปสู่พระนิพพานแล้ว จิตท่ีเป็นทุกข์จะไม่เห็นทุกข์ เพราะ
จิตหลงอยู่กับสภาวะของกิเลสท่ีมากระทบขันธ์ ๕ โลภ โกรธ หลง
(กิเลส ๓) เป็นภพ เป็นเปลวเพลิง เป็นกิเลสของขันธ์ ๕ เม่ือใดที่จิต
ปล่อยวาง ขันธ์ ๕ ลงได้ เมื่อน้ันภพชาติและกิเลสก็จะดับลงเอง
“สติ” ท�ำให้จิตเห็นสภาวะต่างๆ ที่กระทบขันธ์ ๕ เป็น
ไตรลักษณ์ ๓
“ธรรมวิจัย-วิริยะ” ท�ำให้จิตรู้ความจริงของขันธ์ ๕ จิตจึงจะ
เกิดความเบื่อหน่าย ในขันธ์ ๕
“ปีติ-ปัสสิทธิ” ท�ำให้จิต..หมดความยินดี คลายก�ำหนัดใน
ขันธ์ ๕ ลง
“สมาธิ-อุเบกขา” ท�ำให้จิตเกิดความตั้งมั่นในสิ่งที่ถูกเห็นและ
ยอมรับตามความจริง (รู้สักแต่ว่ารู้ๆ) จิตไม่เข้าไปปรุงแต่งบิดเบือน
จากความจริง จิตจึงปล่อยวางขันธ์ ๕ ลงคืนโลก ภพชาติจึงดับลง
จิตเป็นอิสระแล้ว นิพพานจึงปรากฏขึ้นแก่จิต ณ บัดน้ัน
73
๕๓
จิตเข้านพิ พาน “ยากหรอื ง่าย”
จิตเกิดสติและสมาธิเห็นความไม่เที่ยง (เกิด-ดับ) ของกายและใจ
(ขันธ์ ๕) นั้นเป็นทุกข์ จึงเกิดปัญญารู้ความจริงว่าขันธ์ ๕ น้ันเป็น
อนัตตา ไม่ใช่ของเรา ขันธ์ ๕ เป็นเพียงที่สถิตย์ของจิตในภพนี้
เท่านั้น..ขันธ์ ๕ มันเกิดแก่เจ็บตายไปตามสภาพของมัน เราจะ
เหน่ียวรั้งไว้ตามความต้องการของเราไม่ได้ เช่นเดียวกัน...ท่ีใดมี
กาย ใจอยู่ (ขันธ์ ๕) ที่น่ันก็จะมีโลภ โกรธ หลงอยู่เช่นกัน กิเลส ๓ นั้น
มันก็ไม่เที่ยง และเป็นเหตุแห่งทุกข์ จิตของผู้มีสติและสมาธิจึงเห็น
ความจริงนี้ จิตที่สถิตอยู่ในขันธ์ ๕ เท่าน้ัน จึงมีสติและสมาธิ จากน้ัน
จิตก็จะเกิดปัญญาพิจารณาจนรู้ว่าจริงว่า กายใจน้ีมันเป็นอนัตตา
จิตจะยึดเอากายใจเป็นอัตตาหรือเป็นของเราไม่ได้
ในที่สุด...เมื่อส้ินอายุขัยของขันธ์ จิตก็ต้องปล่อยวางขันธ์ หรือ
กายใจลงคืนแก่โลกธาตุไป ภพ-ชาติ จึงจะดับส้ินลง การเกิดใหม่
ของจิตในภพต่างๆ ไม่มีอีกแล้ว จิตเป็นอิสระจากวัฏสงสารทันที
จิตจึงถึงซึ่งพระนิพพาน ณ บัดน้ัน
74
๕๔
นิพพาน
นิพพาน...เป็นสภาวะบรมสุขท่ีเกิดจากจิตสามารถปล่อยวาง
กายใจลงได้ จึงต่างจากสุขที่เกิดจากการเสพกิเลส ซึ่งซ่อนไว้ด้วย
ทุกข์เสมอ ส่วนสุขที่เกิดจากการท�ำความสงบ (อัปนาสมาธิ) ก็เช่น
เดียวกัน เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิ กิเลสและทุกข์ก็ยังคงเหลืออยู่
เท่าเดิม เพราะจิตยังไม่เกิดปัญญาท่ีจะปล่อยวาง เหตุของทุกข์ลง
นั่นเอง นิพพานจึงเป็นสภาวะของจิตท่ีเป็นอิสระและมีอิสรภาพพ้น
ออกจากวัฏสงสาร เป็นความปรารถนาของจิตทุกดวงท่ีเห็นทุกข์
จากการเวียน ว่าย ตายเกิด และไม่ปรารถนาท่ีจะเสวยกุศลบุญ
หรือชดใช้วิบากกรรมอีกต่อไป
จิตที่ปรารถนาจะนิพพานในชาติน้ี จึงต้องมีศรัทธา ท�ำความเพียร
ด้วยสภาวะจิตท่ีมีสติ สมาธิ และปัญญา (พละ ๕) เพียงพอที่จิตจะ
ยอมรับความจริงที่เห็น เพียงพอที่จะเกิดความเบ่ือหน่าย หมดความ
ยินดีในกายใจ เพียงพอท่ีจิตจะรู้แจ้งยอมปล่อยวางกายใจลงได้ ณ
ตรงน้ีเอง คือ “นิพพาน” นิพพานจึงเกิดจากจิตท่ีมีพละ ๕ ครบ
จิตเห็นทุกข์ เห็นความจริง และยอมปล่อยวางขันธ์ ๕ เพราเห็นขันธ์ ๕
เป็น “อนัตตา” เท่านั้น จิตจะนิพพานในสภาวธรรมอ่ืนไม่ได้
75
๕๕
ภาระในการดูแลขนั ธ์ ๕
เราทุกคนต่างก็มีเวลาในแต่ละวันเท่าๆกันไม่ว่าจะเป็นคนรวย
หรือคนจน แต่การใช้เวลาท่ีมีอยู่เพื่อการใดนั้นแตกต่างกัน ผลลัพธ์
ก็แตกต่างกัน เรามีกาย-ใจและจิตท่ีต้องดูแลในแต่ละวัน
ขันธ์ ๕ แบ่งเป็น กายหน่ึงส่วน (๒๐%) และมีใจอีก ๔ ส่วน
(๘๐%) ซ่ึงประกอบด้วย
๑. เวทนา ความรู้สึกสุข ทุกข์เฉยๆ
๒. สัญญา การจ�ำได้หมายรู้
๓. สังขาร การคิดปรุงแต่ง
๔. วิญญาณ ความรู้ต่างๆ
หากจิตมีสติเกิดปัญญารู้เท่าทันกิเลส ๓ ของใจ หักห้ามความ
ต้องการของใจได้ ภาระท่ีต้องแบกในการดูแลก็จะหมดไปถึง ๘๐%
คงเหลือภาระที่จะต้องดูแลกายอีก ๒๐% เท่าน้ัน แต่ถ้าตัวเรากิน
อยู่ง่ายๆ ภาระเล้ียงชีพก็จะลดลงอีกคร่ึงคงเหลืออีกแค่ ๑๐% หาก
เราต้องกินอาหารประทังชีพเพียงวันละ ๓ มื้อ ถ้าเราลดลงเหลือ
วันละมื้อเท่าท่ีร่างกายต้องการ ก็จะเหลือการดูแลขันธ์อีก ๓% เท่านั้น
ในแต่ละวัน จึงยังเวลาอีกมากมาย ที่จะไปดูแลจิตช�ำระจิต ปัดกวาด
จิต ให้สติ ให้ปัญญาแก่จิตตนเอง เพื่อให้จิตเห็นความจริงในขันธ์ ๕
เกิดความเบ่ือหน่ายหมดความยินดีในการครองขันธ์ และปล่อยวาง
ขันธ์ลงได้ จิตจึงสามารถเป็นอิสระหลุดพ้นจากวัฏสงสาร เข้าสู่
สภาวะนิพพานทันที
76
สติ
๕๖
เมอ่ื ใดท่จี ติ มสี ตอิ ยูก่ บั ขนั ธ์ ๕
...จิตจะเห็นสภาวธรรมต่างๆ ที่มากระทบขันธ์ ๕ ล้วนท�ำให้
เป็นทุกข์ (เห็นอริยสัจ ๔)
...เมื่อใดที่จิตมีสติและสมาธินานเพียงพอ จิตก็จะเห็นสภาวะ
ต่างๆ ที่เกิดข้ึนกับขันธ์ ๕ ล้วนเป็นอนิจจัง (เกิดข้ึน ตั้งอยู่ ดับไป)จิต
ก็จะเห็นไตรลักษณ์ข้อ ๑ แล้ว
...เมื่อใดที่จิตเห็นทุกข์ของขันธ์ ๕ จิตจะเห็นขันธ์ ๕ ล้วนเป็น
อนิจจัง ความไม่เที่ยงท่ีเกิดข้ึนกับขันธ์ ๕ น้ันล้วนเป็นเหตุของทุกข์
ทั้งส้ิน จิตก็จะเห็นไตรลักษณ์ข้อ ๒ แล้ว
77
ก่อนที่พระพุทธเจ้าออกบวชและตรัสรู้ธรรม นักบวชในลัทธิ
และนิกายต่างๆต่างก็เห็นไตรลักษณ์ข้อ๑และ๒แล้ว ต่างก็พยายาม
ท�ำความเพียรด้วยการท�ำสมาธิข้ันสูงด้วยอัปนาสมาธิหรือด้วยการ
ทรมานตนเองบ้าง เพราะหลงคิดว่านั่นเป็นหนทางที่จะดับกิเลส
ห รื อ เ ป ็ น นิ พ พ า น ห รื อ จิ ต จ ะ ห ลุ ด พ ้ น จ า ก วั ฏ ส ง ส า ร ไ ป อ ยู ่ กั บ
พระเจ้า(อัตตา)
ในช่วงแรกพระพุทธเจ้าก็ท�ำความเพียรตามแนวทางน้ีเช่นกัน
พระองค์ทรงพบภายหลังว่ากิเลสต่างๆ ยังคงอยู่ การท�ำความสงบ
หรือการทรมานกายเพื่อข่มกิเลสนั้น ไม่สามารถท�ำลายกิเลสและ
ดับภพลงได้
หลังจากนั้น...พระองค์จึงเปลี่ยนมาเจริญสติและใช้ปัญญา
เข้าไปพิจารณาดูลงไปที่กาย ดูความรู้สึก (เวทนา) ดูความคิด (จิต)
ดูสภาวธรรมท่ีมากระทบขันธ์ (ธรรม) หรือดูสติปัฏฐาน ๔ น่ันเอง
พระองค์จึงเห็นความจริงของขันธ์ ๕ จิตของพระองค์จึงเกิดความ
เบื่อหน่าย หมดความยินดีและปล่อยวางขันธ์ ๕ ลงได้ จิตของ
พระองค์เป็นอิสระแล้ว ภพในวัฏสงสารของจิตจึงดับลง ชาตะ
ไม่มีอีกแล้ว สภาวธรรมท่ีพระองค์ทรงใช้ปัญญาเข้ามาตรัสรู้
ความจริงว่าขันธ์ ๕ นั้นเป็นอนัตตาไม่มีอะไรเป็นของเรา จิตของ
พระองค์จึงเห็นไตรลักษณ์ข้อ ๓ ครบถ้วนแล้ว พระนิพพานจึง
ปรากฏขึ้นแก่จิตของพระองค์ทันที
78
๕๗
สติธรรมดา
สติธรรมดา เป็นปัจจัยให้จิตเกิดสมาธิและปัญญา เพื่อดูแล
เลี้ยงดู บ�ำรุง บ�ำเรอรักษารับใช้ ขันธ์ ๕
แต่สัมมาทิฏฐิเป็นปัจจัยให้จิตเกิดสัมมาสติ เกิดศีล เกิดสมาธิ
เกิดภาวนามยปัญญา จิตจึงจะเห็นแจ้งและรู้แจ้งในความจริงของ
ขันธ์ ๕ เม่ือจิตถึงพร้อมด้วยศีล สมาธิ ปัญญาแล้ว มรรค ๘ จึงเป็น
ข้อวัตรปฏิบัติของจิต พรหมวิหาร ๔ จึงเป็นเคร่ืองอยู่ของจิตไปตลอด
อายุขัย เม่ือจิตปล่อยวางขันธ์ ๕ ลง สมมุติหรืองานของจิตก็จบลง
พระนิพพานจึงเป็นวิมุติของจิตตลอดไป
79
๕๘
สติ สติ สติ
คนท่ัวไปมีสติในการด�ำเนินชีวิต แต่ไม่มีสัมมาสติในการดูขันธ์ ๕
“สัมมาสติ” เป็นพื้นฐานของจิตที่จะถึงพระนิพพาน ด้วยจิตที่มีสมาธิ
อ่อนๆหรือปานกลางและสัมมาสติ ท�ำให้จิตเกิดความรู้สึกตัวเห็น
ความจริงของขันธ์ ๕ ว่าเป็นอนิจจังและทุกขัง จิตเห็นไตรลักษณ์
แค่ ๒ ข้อ จึงไม่สามารถปล่อยวางขันธ์ ๕ ลงได้ ด้วยสัมมาสติ จิต
จะต้อง ดูๆๆ ลงไปที่ขันธ์ ๕ เท่านั้น
(สิ่งท่ีจิตดู คือ ขันธ์ ๕ ส่ิงที่จิตต้องเห็นความจริง คือ ขันธ์ ๕)
จากนั้นสัมมาสติจึงจะเป็นปัจจัยให้จิตเกิดภาวนามยปัญญา ด้วย
สัมมาสติและภาวนามยปัญญาจะเป็นปัจจัยให้จิตรู้ความจริง
ของขันธ์ ๕ ว่าเป็นอนัตตา (จิตเห็นไตรลักษณ์ ๓ ครบ) จิตจึงเกิด
ความเบ่ือหน่าย หมดความยินดี และปล่อยวางขันธ์ ๕ ลงได้ ด้วย
ภาวนามยปัญญาจิตต้องพิจารณาขันธ์ ๕ ให้รู้ๆๆๆ ความจริงใน
สภาวะไตรลักษณ์ ข้อ ๓(อนัตตา) ของขันธ์ ๕ จิตต้องรู้ลงไปที่ขันธ์ ๕
เท่านั้น สิ่งที่ถูกจิตรู้ คือ ขันธ์ ๕ สิ่งท่ีจิตต้องปล่อยวาง คือ ขันธ์ ๕
เมื่อจิตสามารถปล่อยวางขันธ์ ๕ ลง ภพของจิตจึงดับลง จิตจึงหลุดพ้น
จากวัฏสงสารแล้ว
80
๕๙
ระวังจติ หลงใน...โลกธรรม ๘
ในป่าใหญ่ย่อมมีต้นไม้ใหญ่ เถาวัลย์ ไม้หนามและสัตว์ร้าย
เป็นธรรมดา
ในมหาสมุทรย่อมเต็มไปด้วยน�้ำทะเล ความลึก คล่ืนลมและ
สัตว์ร้าย เป็นธรรมดา
ฉันใด...ฉันนั้น...ในโลกของวัฏสงสารก็ย่อมเต็มไปด้วย
โลกธรรม ๘ เป็นธรรมดา
อัน...ความมีลาภ มียศ ได้รับการสรรเสริญ มีความสุขหรือ
ความเส่ือมของลาภ เส่ือมยศ ติฉินนินทาและความทุกข์ ย่อมเป็น
ของคู่โลกมีอยู่แล้วในสังคมโลกตามธรรมชาติของมัน เรามีหน้าที่
เรียนรู้ มีสติเห็นและมีปัญญารู้แจ้งในโทษของมัน การที่จิตดวงใด
หลงเข้าไปแสวงหา ถล�ำเข้าสู่วังวนของโลกธรรม ๘ ย่อมพบกับ
ความมีและความเส่ือมตามธรรมชาติของมัน จิตจะเกิดภพเกิดชาติ
จะหลงวนเวียน เกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่ในทะเลสังสารวัฏไม่ส้ินสุด
81
๖๐
ผปู้ ฏบิ ัติธรรม ...
ต้องหมั่นฝึกท�ำกายท�ำใจให้สงบ เพื่อให้จิตเกิดสติเห็นอนิจจัง-
ทุกขัง (ไตรลักษณ์ข้อ ๑,๒) ของขันธ์ ๕ ตามสภาพจริง จิตก็จะเกิด
ภาวนามยปัญญารู้แจ้งในความเป็นอนัตตา (ไตรลักษณ์ข้อ ๓) ของ
ขันธ์ ๕ ชัดแจ้งแล้ว เมื่อน้ันจิตก็จะถอดถอนอุปทานท้ัง ๔ จิตจึง
เกิดความเบ่ือหน่ายและคลายก�ำหนัดรักในขันธ์ ๕ ลง ในที่สุดจิตก็
ยอมปล่อยวางขันธ์ ๕ ลงคืนโลกไป
ขันธ์จะโลภ จะโกรธ จะหลง เกิดขึ้นกับขันธ์ก็ช่างมัน ตราบใด
ท่ีจิตยังคลองขันธ์อยู่ โลภ โกรธ หลง ก็ยังคงเกิดข้ึน ขอให้จิตเกิดสติ
ตามรู้ทีหลังก็ได้ จะรู้บ้าง ไม่รู้บ้างก็ได้ ในท่ีสุดจิตก็จะเห็นความจริง
82
ของขันธ์ว่าล้วนเป็นอนิจจังจึงเป็นทุกข์ สุดท้ายด้วยปัญญาญาณ
ของจิตจึงรู้แจ้งสืบสาวถึงความไม่เที่ยงอันเป็นสาเหตุที่ท�ำให้เกิด
ทุกข์ น้ันคือความเป็นอนัตตาของขันธ์ ๕ น่ันเอง เม่ือจิตรู้แจ้งแล้ว
จิตจะยอมปล่อยวางขันธ์ลงคืนโลก ภพอันเป็นที่ต้ังของจิตในวัฏสงสาร
จึงดับลง นิพพานจึง ปรากฏข้ึน ตอนนั้นเอง
ภารกิจของการได้เกิดเป็นมนุษย์ คือ การมีโอกาสแสวงหา
หนทางไปสู่พระนิพพาน การฟังธรรมตามกาล ศึกษาธรรม ตรึกธรรม
สาธยายธรรม ปุจฉาวิสัชนาธรรม และ...ปฏิบัติธรรมตามกาล จึงท�ำให้
จิตเกิดความสงบ เกิดศรัทธา และน้อมเข้าสู่การพิจารณาสภาวธรรม
ที่มากระทบขันธ์ เห็นการเกิดข้ึน ต้ังอยู่ ดับไป ของสรรพส่ิง ต่างก็
เป็นไปตามกาลและตามจริง จึง...จะไม่ยากเลยท่ีจิตจะรู้ด้วยปัญญา
หรือจะเห็นและยอมรับตามความเป็นจริงว่า ขันธ์ ๕ ของเรานั้นมัน
ไม่เท่ียงและเป็นเหตุของทุกข์ แต่เราก็ยังยอมรับอยู่เสมอว่า ขันธ์ ๕
นั้นคือ “ตัวเรา” เป็นสิ่งที่เรายังหวงแหนมากมาก ยากท่ีจะปล่อยวาง
มันลงได้ ทั้งๆ ที่เราหยิบยืมมันมาจากโลกธาตุ
ขันธ์จะเป็นเหตุแห่งทุกข์เมื่อความความแก่ ความเจ็บมาเยือน
และ สุดท้าย..เราก็ต้องคืนมันไปเม่ือความตายมาเยือน จนกว่า..
วันใดท่ีจิตเรา เกิดสติ (เกิดความรู้สึกตัว) เห็นกายเห็นใจเราเป็น
“อนัตตา” เราก็เห็นขันธ์ ๕ ตามความเป็นจริงครบถ้วนแล้ว (จิต
เห็นไตรลักษณ์ครบท้ัง ๓ ข้อ) เพราะขันธ์ ๕ เป็นอนัตตา มันไม่ใช่
ตัวเรา หรือของเราจริง มันเป็นส่ิงท่ีเหน่ียวร้ังจิต ให้หลงเวียนว่าย
83
ตายเกิด อยู่ในวัฏสงสารมานาน เม่ือจิตเห็นความจริงแล้ว จิตจะ
เกิดความเบ่ือหน่ายในขันธ์ ๕ ท่ีครองอยู่ จิตจะคลายก�ำหนัด และ
หมดความยินดีต่อขันธ์ ๕
สุดท้าย...จิตยอมปล่อยวางขันธ์ ๕ ลงได้ ตัณหา ๓ อุปทาน ๔
ของจิตดับลง ภพชาติของจิตจึงดับลงด้วย การเวียนว่ายตายเกิด
ในวัฏสงสารสิ้นสุดแล้ว จิตถึงปลายทางแล้วการเดินทางสิ้นสุดลง
กิจท่ีจิตต้องท�ำหมดแล้ว พระนิพพาน..จึงบังเกิดขึ้นแก่จิตดวงนี้ ทันที
84
ทุกข์
๖๑
ทุกขม์ ีไวด้ ู
ทุกข์มีไว้ดู เมื่อเห็น ก็วางขันธ์ลงได้ ความจริงของชีวิต คือ
“ทุกข์” คนเรามักจะหลีกหนีความจริงด้วยความคิดจากปัญญา แต่..
ในวาระสุดท้าย ใครๆก็จะหนีทุกข์ไม่พ้น จนกว่าจิตจะเข้าถึง
สภาวะนิพพาน “ทุกข์มีไว้เห็น มิใช่เป็นทุกข์” จนกว่าจิตจะเกิด
สติเห็นทุกข์ เกิดปัญญาเห็นเหตุของทุกข์ จิตจึงได้เห็นความจริง
ของการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร จิตเห็นความจริงของขันธ์
ว่าขันธ์นั่นแหล่ะเป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์ทั้งหมด ขันธ์เป็นเรือนอยู่ของ
จิต ในการเกิดภพต่างๆ มีขันธ์มากขันธ์น้อยข้ึนอยู่กับภพท่ีจุติ ท่ีใด
มีขันธ์อยู่ท่ีนั่นมีกิเลสอยู่ ท่ีใดมีกิเลสอยู่ท่ีน่ันมีทุกข์อยู่
85
เมื่อใดจิตเห็นความจริงของขันธ์ จิตก็จะ “ลด” การแสวงหา
ราคะ โทสะ เพื่อน�ำมาบ�ำเรอขันธ์ลงไปบ้าง จิตจะเกิดความเบ่ือหน่าย
ในขันธ์
เม่ือใดจิตเกิดความเบ่ือหน่ายในขันธ์ จิตก็ “เลิก” แสวงหา
ราคะ โทสะ เพ่ือมาบ�ำเรอขันธ์อีกต่อไป จิตจึงหมดความยินดีใน
ขันธ์เม่ือใดจิตหมดความยินดีในขันธ์ จิตก็จะเกิดปัญญา “หยุด”
ความโมหะที่จิตเคยมีต่อขันธ์ตลอดไป จิตจะหมดความยึดม่ันถือมั่น
ในขันธ์ เม่ือใดจิตหมดความยึดม่ันถือม่ันในขันธ์ ๕ จิตจึงปล่อยวาง
ขันธ์ลงคืนแก่โลกได้
“ภพ” อันเป็นท่ีเกิดของจิตในวัฏสงสารจึงดับลง
“การเกิด” ในภพต่างๆ ไม่มีอีกแล้ว
“ทุกข์” ของใจยังคงอยู่จนกว่าขันธ์จะแตกดับลง แต่ทุกข์ของ
จิตน้ันดับลงแล้ว
“สภาวะนิพพาน” หรือ “ความดับทุกข์” จึงปรากฏขึ้นแก่จิต
ทันที
86
๖๒
สติและปญั ญา
“สติ” ท�ำให้สิ่งมีชีวิตท่ีเรียกว่า คนต่างจากสัตว์และพัฒนามา
เป็นมนุษย์ที่ประเสริฐ มีความสามารถเกิดภาวนามยปัญญา เพ่ือ
ให้เกิดบรรลุธรรมเข้าถึงสภาวะนิพพานได้
“สติ” ท�ำให้จิตเห็นความจริง เกิดความเบื่อหน่ายและหมด
ความยินดีในความจริงที่เห็น
“ปัญญา” ท�ำให้จิตรู้แจ้งในความจริงของขันธ์ที่ถูกเห็น จิตจึง
ปล่อยวางขันธ์ลงได้
“สมาธิ” เป็นความตั้งใจมั่นของจิตท่ีต้องการนิพพานเป็น
อุปการะธรรมของสติและปัญญาให้แน่วแน่ขึ้น
“ศีล” เป็นความรู้สึกผิดถูกของจิตท่ีมีสัมมาสติ ศีลจึงเกิดจาก
สติท่ีมั่นคงแล้วเท่านั้น
“สติ” จึงเป็นปัจจัยส�ำคัญที่จะท�ำให้จิตเห็นความจริงว่าสภาวะ
ของกิเลส ๓ ท่ีเกิดขึ้นกับขันธ์ ๕ นั้นไม่เท่ียงและเป็นทุกข์เสมอ
จิตจึงเกิดความเบื่อหน่ายและหมดความยินดีในกิเลสต่างๆ
“ปัญญา” จึงเข้ามาพิจารณาความจริงหาเหตุของทุกข์จึงพบว่า
ขันธ์ ๕ นั้นเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์และมันเป็นอนัตตาจิตจึงปล่อยวาง
ขันธ์ลงได้
87
๖๓
การด�ำเนินชวี ิตด้วย มรรค ๘
“สัมมาชีวิต” เป็นแนวทางในการครองขันธ์ด้วย ศีล สมาธิ
ปัญญา (มรรค ๘) ของอริยะจิตไปตลอดอายุขันธ์ท่ีเหลือในภพน้ี
“สัมมา” แปลว่า “ถูก”, “มรรค” แปลว่า “ทาง”
สัมมาชีวิต ต้องเร่ิมต้นด้วย
๑. มีความเห็นถูก ต่อการมีชีวิตและความเห็นต้องเป็นกุศล
จิตเท่าน้ัน (ปัญญา)
๒. มีความคิดถูก ต่อการด�ำเนินชีวิตและความเห็นถูกต้องเป็น
กุศลจิตเท่าน้ัน (ปัญญา)
เมื่อจิตมีความเห็นและความคิดถูก(สัมมาทิฏฐิ)สังโยชน์
๑-๓ จะดับลง
88
๓. มีการพูด-การเจรจาถูก ในการด�ำเนินชีวิต และการพูดถูก-
เจรจาถูกต้องเป็นกุศลกรรมเท่านั้น (ศีล)
๔. มีการกระท�ำถูกในการด�ำเนินชีวิตและต้องเป็นการกระท�ำ
ท่ีเป็นกุศลกรรมเท่าน้ัน (ศีล)
๕. มีอาชีพถูก ในการด�ำเนินชีวิตและเป็นอาชีพที่เป็นกุศลกรรม
เท่านั้น (ศีล)
เม่ือจิตมีการพูดถูก เจรจาถูก การกระท�ำถูกและมีอาชีพ
ถูก(สัมมาสติ)สังโยชน์ข้อ ๔-๕ ก็จะดับลง
๖. มีความเพียรถูก ในการด�ำเนินชีวิต และความเพียรถูกน้ัน
เป็นกุศลกรรมเท่าน้ัน (สมาธิ)
๗. มีสติและระลึกถูก ในการด�ำเนินชีวิต และการมีสติและ
ระลึกถูกต้องเป็นกุศลกรรมเท่านั้น (สมาธิ)
๘. มีความตั้งมั่นถูก ในการด�ำเนินชีวิต และการต้ังมั่นถูกต้อง
เป็นกุศลกรรมเท่าน้ัน (สมาธิ)
เมื่อจิตมีความเพียรถูก ระลึกถูก ต้ังมั่นถูก(สัมมาสมาธิ)
สังโยชน์ ๖-๑๐ ก็ดับลงด้วย เพราะจิตจะเกิดภาวนามยปัญญา
รู้แจ้งความเป็นอนัตตาของขันธ์ ๕
“มรรค ๘” จึงเป็นหนทางที่ถูกต้องในการด�ำเนินชีวิตที่เรียกว่า
“สัมมาชีวิต” จึงน�ำมาซึ่งความสันติสุขในชีวิต จนลุถึงพระนิพพาน
89
“มรรค ๘” เกิดขึ้นจากจิตอริยะท่ีเกิดสติ และเห็นความจริงใน
ขันธ์ ๕ แล้วเท่านั้น
“ขันธ์ ๕” น้ันไม่เที่ยง และเป็นเหตุแห่งทุกข์ทั้งหมดของเรา
เพราะขันธ์ ๕ นั้นเป็นอนัตตา เมื่อจิตถอดถอนความต้ังมั่น ถือม่ัน
ออกจากขันธ์ ๕ ได้ ขันธ์ ๕ จึงดับลง ภพของจิตก็ดับลงด้วย
“ภพ” เป็นที่ตั้งที่เกิดของจิตในวัฏสงสาร เม่ือภพของจิตดับลง
จิตจึงหลุดพ้นออกจากวัฏสงสาร พระนิพพานจึงปรากฏขึ้นแก่จิต
ณ บัดนั้น
การปฏิบัติธรรมจะต้องมีความเพียรในการพิจารณาธรรม มี
ธรรมวิจัยตลอดเวลา เมื่อ...มีสภาวธรรมใดมากระทบ จิตต้องมีสติ
ตามรู้ จิตต้องมีปัญญาตามพิจารณาทันที
๖๔
เฝ้าสังเกต
การเฝ้าสังเกตสภาวธรรมของจิต จิตก็เห็นสภาวธรรม
ต่างๆ ท่ีผ่านอยาตนะทั้ง ๖ เข้ามากระทบขันธ์ทั้ง ๕ ท�ำให้จิตเห็นการ
เกิด-ดับ ของสภาวธรรมภายนอกท่ีมากระทบกับขันธ์ จิตได้เรียนรู้
สภาวะของกิเลสต่างๆตามธรรมชาติของมัน ยิ่งสังเกตก็ย่ิงเห็น
ความจริงมากขึ้น จะเห็นน้อย เห็นมากก็ไม่เป็นไร เห็นบ่อยๆ เห็น
ซื่อๆ จิตก็ยอมรับความจริงที่เห็นเอง (ต้องเห็นไม่ใช่คิดเอง) ณ ตรงนี้
จิตมาถึง “ต้นทางของพระนิพพาน” เม่ือจิตเห็นความจริงของ
ขันธ์ ๕ อริยะบุคลช้ันโสดาบันก็ได้บังเกิดขึ้นแก่ จิตดวงนี้แล้ว
90
จากน้ัน..จิตก็จะเห็นสภาวธรรมต่างๆล้วนแล้วต่างก็เป็น
อนิจจัง ไม่เท่ียง มันเกิดขึ้น มันต้ังอยู่ และมันดับไป ตามธรรมชาติ
ของมัน เพราะไม่เที่ยงมันจึงเห็นทุกข์ จิตจึงจะเกิดความเบื่อหน่าย
(จิตเกิดนิพพิทาญาณ) ในสิ่งที่เห็น ราคะ โทสะ ที่จิตเคยมีก็จะ
เบาบางลง จิตอริยบุคคลช้ันสกิทาคามี จึงบังเกิดข้ึนแก่จิตดวงนี้แล้ว
จากน้ัน.. จิตก็จะพิจารณาต่อจนหมดความยินดีคลายก�ำหนัด
รักในขันธ์ ๕ ลง (จิตเกิดวิราคะ) ในท่ีสุด ราคะ โทสะ ของจิตดับลง
สิ้นแล้ว จิตอริยบุคคลช้ันอนาคามี จึงบังเกิดขึ้นแก่จิตดวงน้ีแล้ว
จากน้ัน...จิตจะเกิดภาวนามยปัญญาเข้าไปพิจารณาขันธ์ ๕ ต่อ
จนจิตเกิดรู้แจ้งถึงเหตุของความไม่เท่ียงที่ท�ำให้เป็นทุกข์น้ัน มัน
เกิดข้ึนจากขันธ์ ๕ ท่ีจิตอาศัยอยู่นั่นเอง เพราะขันธ์ ๕ มันเป็น
“อนัตตา” มันไม่ใช่เรา หรือ ของเรา มันเป็นธาตุต่างๆ ของโลก มัน
เป็นแค่ที่อาศัยของจิตในภพภูมิต่างๆ เท่าน้ัน วันหนึ่งวันใดที่ธาตุ
ขันธ์ แตกดับลง จิตเราก็อาศัยอยู่ต่อไปไม่ได้ จะเอาไปด้วยก็ไม่ได้
เม่ือจิตรู้แจ้งความจริงน้ี ความหลง ความไม่รู้ของจิตก็ดับลงด้วย
ขันธ์ถูกจิตปล่อยวางลงแล้ว จิตเป็นอิสระในภพต่างๆ ใน ๓๑ ภูมิ
ของวัฏสงสาร การเกิดในภพภูมิต่างๆ ไม่มีอีกแล้ว งานที่จิตต้อง
ท�ำต้องพิจารณาหมดแล้ว จิตหลุดพ้นจากอาฬวะกิเลสท้ังหลาย
บรรลุ อริยบุคคลช้ันพระอรหันต์แล้ว พระนิพพานจึงปรากฏแก่จิตทันที
91
๖๕
ทำงออกจำกวฏั สงสำร
ภูมิต่างๆ ๓๑ ภูมิในวัฏสงสารเปรียบเสมือนหมู่บ้านรอบๆ
ภูเขายอดเขาคือพระนิพพาน ประตูและทางขึ้นอยู่ในหมู่บ้าน
ภูมิมนุษย์มีประตูเดียวเท่าน้ัน เมื่อเราค้นพบประตูก็เปรียบเสมือน
จิตรู้ความจริงของขันธ์ ๕ แล้วจึงเดินผ่านประตูไปตามทางเดิน
ข้ึนสู่ยอดเขา จิตก็ถึงประตูพระโสดาบันแล้ว เมื่อจิตเห็นขันธ์ ๕
เป็นอนิจจังและทุกขังก็เกิดความเบื่อหน่ายในขันธ์สามารถลด
ราคะ โทสะ ลงบางส่วน จิตก็ถึงศาลาพระสกิทาคามีแล้ว จิต
จึงเดินทางต่อก็สามารถลดราคะ โทสะ คลายก�าหนัดในขันธ์ ๕
ได้ท้ังหมดจิตก็ถึงศาลาพระอนาคามีแล้ว จิตจึงเดินทางต่อข้ึน
สู่ยอดเขาจิตก็จะปล่อยวางขันธ์ ๕ ลงจึงถึงยอดภูเขาคือพระ
นิพพานนั่นเอง
92
๖๖
ถาม นพิ พาน อยทู่ ี่ไหน
ตอบ นิพพาน อยใู่ นตัวเรา
เมื่อใด..จิตเราเกิดสติเห็นขันธ์ ๕ และไตรลักษณ์ข้อ๑และ๒
(อนิจจัง-ทุกขัง) เมื่อนั้น..จิตก็จะเห็นขันธ์ ๕ ตามความจริงแล้ว จิต
จะเกิดความเบื่อหน่าย และหมดความยินดีในขันธ์ ๕ แต่ถ้าเมื่อใด
จิตเกิดปัญญา “รู้แจ้ง” ตามความจริงในขันธ์ ๕ และยอมรับความจริง
ว่า “ขันธ์ ๕ เป็นอนัตตา” จิตจึงยอมปล่อยวางขันธ์ ๕ ลงคืนโลก
ภพของจิตจึงดับลง การหลงเวียนว่าย ตายเกิดสังสารวัฏของจิตได้
ยุติลงแล้ว พระนิพพานจึงปรากฏข้ึนแก่จิตทันที
ธาตุ ๔ (กาย) เป็นรูปธาตุที่ประกอบขึ้นมาเป็นคน สัตว์ หรือ
สิ่งของ
ขันธ์ ๕ (ใจ) เป็นนามธรรมท่ีแสดงความเป็นตัวตน รับ จ�ำ คิด
และรู้ สภาวธรรม
เม่ือธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ มารวมตัวกัน มีปฏิสนธิจิต เข้ามา
สถิตย์อยู่ในกระแสของกรรมบันดาล ชีวิตน้อยก็เกิดข้ึนในภพภูมิ
มนุษย์ ทุกชีวิตต่างก็ต้องด้ินรนเพ่ือให้มีชีวิตอยู่รอด มีความกลัว
ความทุกข์ เวทนา เป็นแรงผลักดัน มีความคิด อยากมี อยากได้
อยากเป็น มีความปรารถนา มีความหวังเป็นแรงฉุด
93
ทุกเวลาด�ำเนินไปตามกิเลส ผูกเวร ผูกกรรม ทั้งท่ีเป็นกุศลกรรม
และอกุศลกรรมซ่ึงไม่เที่ยง เกิดแก่เจ็บตาย ภพแล้วภพเล่าไม่จบสิ้น
จนกว่า..ได้เจอ “สัตบุรุษ” หรือ “ธรรมของสัตบุรุษ” อันน�ำมาซึ่ง
สัจธรรมอันวิจิตร “พิสดาร” กล่อมจิตให้เกิด “สัมมาทิฏฐิ” เพ่ือชักน�ำ
จิตให้เกิด “สัมมาสติ” เห็นความจริงในธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ท่ีจิตอาศัย
อยู่นั้น มันไม่เท่ียงและเป็นเหตุของทุกข์ จิตแสดงความเบ่ือหน่าย
หมดความอาลัยยินดีในธาตุ ๔ และขันธ์ ๕
จากน้ัน..จิตเกิดปัญญารู้แจ้งในความเป็นอนัตตา ของธาตุ ๔ และ
ขันธ์ ๕ จึงปล่อยวาง ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ลง เมื่อเหตุแห่งทุกข์ถูก
ปล่อยวางลงแล้ว ทุกข์ก็ดับลงอย่างถาวร ทุกข์ คือ ภพของจิต ภพ คือ
ท่ีตั้งของจิตในภพภูมิต่างๆ ภพดับลง ที่ต้ังของจิตในภูมิต่างๆ ไม่มีอีกแล้ว
จิตจึงหลุดพ้นออกจากวัฏสงสาร เข้าสู่กระแสของพระนิพพานทันที
๖๗
การมีตัวตน
ส่ิงท่ีน่ากลัวย่ิงกว่าความตาย ก็คือ “การมีตัวตน” ของเรา การมี
ตัวตน เป็นความหลง ยึดมั่น ถือม่ัน ในขันธ์ของจิต ส่ิงเหล่าน้ีจึงเป็น
“ภพ” อันเป็นที่ต้ังของจิตในภพภูมิต่างๆ
การเกิดเป็นผลให้มีความแก่ ความเจ็บ ความตาย เกิดขึ้นไม่มีที่
ส้ินสุด จนกว่า..จิตจะเกิดสติเห็นขันธ์ ๕ ที่จิตอาศัยอยู่ในภพท่ีเป็น
ทุกข์ (เห็นขันธ์ ๕ ตามความจริง) จิตจะเห็นเหตุแห่งทุกข์ เม่ือจิตเห็น
ความไม่เที่ยงแห่งขันธ์ จิตจะเกิดความเบื่อหน่ายและหมดความยินดี
ในขันธ์
94
ในท่ีสุด... จิตก็เกิดปัญญารู้แจ้งตามความจริงในความเป็น
อนัตตาของขันธ์ ๕ จึงยอมปล่อยวางขันธ์ ๕ ลง “ความมีตัวตน”
ของจิตจึงดับลงตามไปด้วย ภพของจิตไม่มีอีกแล้ว การเวียนว่าย
ตายเกิดของจิตยุติลง จิตหลุดพ้นจากวัฏสงสารเข้าสู่พระนิพพานทันที
๖๘
สดุ ท้าย...มนั ก็แคน่ เี้ อง
ตาแจ้งจะสรุปให้ง่ายๆ งานที่จิตของผู้ปฏิบัติต้องท�ำน้ันไม่มากเลย
แค่จิตมีสติปัญญาเฝ้าดูขันธ์ ๕ และเฝ้าดูสภาวธรรมท่ีเกิดขึ้นกับขันธ์ ๕
เท่าน้ันก็เพียงพอแล้ว
โดยธรรมชาติของขันธ์ ๕ ท่ีใดมีขันธ์ ๕ เกิดข้ึน ที่นั้นก็จะมีโลภ
โกรธ หลง เกิดข้ึนเป็นธรรมดา มันเป็นของคู่กันระหว่างขันธ์ ๕ และ
กิเลส ๓ มันท�ำงานกันเป็นทีม เป็นวิบาก เป็นกรรมผูกพันติดตามกัน
ไปทุกภพทุกชาติ เป็นทุกข์ไม่รู้จักจบสิ้น...จิตท่ีหลงมาจุติอาศัยอยู่ใน
ขันธ์ ๕ ย่อมมีทุกข์ไปตามขันธ์ ๕ ด้วย
แต่...สิ่งที่จะน�ำพาออกจากทุกข์ได้น้ันสิ่งท่ีส�ำคัญมากก็คือจิต
ต้องเกิดสัมมาทิฏฐิเห็นอริยสัจ ๔ ก่อนเป็นอันดับแรก
จากน้ัน...เพื่อนคนแรกท่ีจิตต้องคบหาคือ สมาธิ จิตต้องฝึกสมาธิ
อ่อนๆ เพื่อให้จิตเกิดสติ จิตจึงสามารถเห็นอนิจจังและทุกขังท่ีเกิดข้ึน
กับขันธ์ ๕ สติจะสามารถสะกดข่มโลภะ โทสะ ในขันธ์ ๕ ได้ แต่...จิต
95
จะมีก�ำลังเท่ากับความหลงเท่าน้ัน ความหลงเป็นพญามารตัวพ่อ โลภ
โกรธ เป็นแค่ตัวลูก การท่ีจิตจะก�ำหลาบตัวหลงได้นั้น จิตต้องเชิญ
ปัญญามาเป็นเสนาธิการ ตัวหลงนั้นมันจะแพ้ปัญญาเพราะปัญญา
ท�ำให้จิตรู้แจ้งในขันธ์ ๕ ตามความเป็นจริงว่าขันธ์ ๕ มันเป็นอนัตตา
ไม่ใช่เห็นแค่ขันธ์ ๕ เป็นอนิจจังและทุกขังเท่านั้น จิตจึงเห็นและรู้แจ้ง
ในความเป็นไตรลักษณ์ของขันธ์ ๕ ครบ ๓ ข้อ จิตจะถอดถอนออกจาก
ความหลงที่ไปยึดม่ันถือม่ันในขันธ์ ๕ ลง ภพอันเป็นที่ตั้งของจิตจึง
ดับลงด้วย จิตไม่มีภพให้เกิดในภูมิต่างๆ อีกแล้ว จิตจึงหลุดพ้นออก
จากการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ พระนิพพานจึงบังเกิดข้ึนแก่จิต
...ทันที
ทางพ้นทุกข์มันก็แค่น้ีเอง ตาแจ้งขออนุโมทนาแก่ผู้แสวงหาทาง
และผู้ปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ท้ังหลาย ตาแจ้งขออวยพรให้
ท่านเกิดแสงสว่างทางสติและปัญญาเห็นและรู้แจ้งในความจริง
สามารถปล่อยว่างขันธ์ ๕ ลงได้โดยเร็ว
ต้องดับขันธ์ จึง นิพพานได้
ดับขันธ์ คือ ปล่อยวางขันธ์
นิพพาน คือ พ้นทุกข์
ตาแจ้งก็เป็นแค่จิตดวงหน่ึงท่ีหลงทางเข้ามาในวัฏสงสาร จึงไม่
ต้องการเปิดเผยตน เพราะตนของตาแจ้งก็เป็นสมมติ อีกไม่นาน
ก็จากกันแล้ว ตัวอักษรท่ีบันทึกไว้จึงเป็นแค่ร่อยรอยทางเดินของตาแจ้ง
ในชาติน้ี ใครจะเดินตามมาได้มากน้อยแค่ไหนก็ข้ึนอยู่กับตนเอง
พระพทุ ธเจาทรงตรัสรู ทุกข สมทุ ยั นโิ รธ มรรค
อริยสจั ๔
ในชวี ิตประจำวัน
ไตรลักษณ ๓ ผัสสะ ๖ ธรรมชาติ ของ สายธาร แหง จติ
เปนกฏของธาตุธรรมชาติ
อายาตนะ ๖ เพอื่ เปน เครอื่ ง เพอ่ื เปน เพ่อื เปน เปนทาง เพอื่ ตรวจสอบ
๑. อนจิ จัง โนม นา วจติ พลงั ของจติ การสง เสริมจติ ดำเนินชวี ติ การปฏบิ ตั ติ นใน
๒. ทกุ ขงั วาง สติ ในการปฏิบัตติ น ในการปฏบิ ตั ิตน ใหเ กิดปญ ญา การละวางของจติ
๓. อนัตตา ของจิต
ใจ จติ อิทธิบาท ๔ พละ ๕ โพชฌงค ๗ สงั โยชน ๑๐
จิต + ปฏิสนธิวิญญาณ ธาตุ ๔ ขนั ธ ๕ มรรค ๘ พระนิพพาน ๑
วาง สติ ๑. ฉนั ทะ ๑. ศรทั ธา ๑. สติ ๑. สักกายะทฏิ ฐิ
๑. ลม ๑. รปู ๒. วริ ยิ ะ ๒. วิริยะ ๒. ธัมมวิจยะ ๑. ความเหน็ ถกู ๒. วจิ กิ จิ ฉา
๒. ไฟ ๒. เวทนา กเิ ลส ๓ ๓. จติ ตะ ๓. สติ ๓. วิริยะ ๒. ความคดิ ถูก ๓. สีลัพพตปรามาส
๓. นำ้ ๓. สญั ญา ๔. วิมังสา ๔. สมาธิ ๔. ปติ ๓. การพูดถกู ๔. ราคะ
๔. ดิน ๔. สังขาร นิวรณ ๕ ๕. ปญ ญา ๕. ปสสัทธิ ๔. การทำถกู ๕. โทสะ
๕. วญิ ญาณ ๖. สมาธิ ๕. การเลยี้ งชีพถกู ๖. รูปราคะ
๗. อุเบกขา ๖. ความเพยี รถูก ๗. อรปู ราคะ
๗. ความระลึกถกู ๘. มานะ
๘. ความต้ังมั่นถกู ๙. อุทธจั จะ
๑๐. อวชิ ชา
อวิชชา ๘
ปฏิจจสมปุ บาท ๑๒
บนรากฐานของ จิต ทม่ี ี สมั มาสติ เกดิ ภาวนามยปญญา นำไปใช พิจารณา
สภาวธรรมที่มากระทบ พึงเจริญ สัมมาสตแิ ละภาวนามยปญญา เพอื่ เห็นไตรลกั ษณและละขันธ ๕
กาย วาจา ใจ