The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by saleworldlennium, 2020-10-23 01:54:08

ทางพ้นทุกข์

ทางพ้นทุกข์

ค�ำนำ� ผู้เขียน

คนส่วนใหญ่ กลัวท่ีจะหันมาพิจารณาธรรมทั้งท่ีบอกใครๆ ว่า
ตนนับถือศาสนาพุทธ จึงเล่ียงด้วยการท�ำบุญ ท�ำทาน หรือท�ำพิธี
สักการะ สวด ไหว้ วิงวอน ขอให้เทวดาหรือส่ิงศักด์ิสิทธ์ิช่วยปกป้อง
คุ้มครองชีวิตหรือความเลวที่ตนท�ำสะสมไว้
หรือ...อาจจะเข้าใจผิด กลัวว่า... ถ้ารู้ธรรม ตนจะต้องเห็นและ
ต้องละกิเลสท่ีตนชอบและท�ำมานาน... ถ้าตนเห็นกิเลสแล้วตน จะ
รู้สึกผิด ต้องเลิกท�ำตามใจตนเอง
หรือ ถ้าปฏิบัติธรรม..รู้ธรรมแล้ว ตนจะไม่ท�ำมาหากิน จะร่�ำรวย
น้อยลง... ถ้าปฏิบัติธรรมแล้ว ตนจะต้องอับอาย ที่จะรักษาศีล หรือ
อาจต้องบวช...หรือคิดเอาเองว่าถ้าตนนิพพานแล้วตนจะไม่เหลืออะไร
ให้กิน ให้ใช้ แต่ตนไม่เคยรู้มาเลยว่าพระนิพพานมีจริง พระนิพพาน
คืออะไร วัฏสงสารคืออะไร วัฏสงสารมี ๓๑ ภพชาติจริงหรือไม่
ทุกข์จากการเกิดในภพต่างๆมีจริง การเกิดน้ันเป็นทุกข์...ตนยังไม่รู้
ธรรมใดๆ เลย ตนก็ไปคิดเอาเองว่า ธรรมต้องเป็นอย่างน้ันอย่างน้ี
โลกเป็นท่ีรวมแห่งทุกข์ จะรวยหรือจน ก็ทุกข์ พระพุทธเจ้า
ตรัสรู้อะไร ท�ำไมสืบทอดมานานกว่า ๒,๕๐๐ ปี มีไหมที่ทรัพย์
อ�ำนาจ หรือ ค�ำสรรเสริญของผู้ใด หรือของตระกูลใดๆ ท่ีสามารถ
ครอบครองสืบทอดได้นานเท่าน้ี
คนท่ีรวยท่ีสุดในโลก คือ คนท่ีเห็นความจริงว่า “พอแล้วดี”
วิบากกรรมมีแต่เพิ่ม ไม่มีลด ถ้าจิตยังแพ้กิเลส ความร�่ำรวย อ�ำนาจ
ทางโลกซื้อภูมิเกิดหรือนิพพานไม่ได้

น�้ำเกลือจะเจือจางแค่ไหนก็ยังมีเกลืออยู่เท่าเดิมน่ันคือ วิบากกรรม
ท่ีจิตต้องชดใช้ เพียรเติมน้�ำจืดหรือท�ำกรรมดีเพ่ิมลงไปอาจจะได้รับ
อโหสิกรรมบ้าง กรรมช่ัวจะเป็นวิบากปิดกั้น มิให้ดวงจิต เห็นธรรม
ท�ำให้การด�ำเนินชีวิตในภพภูมิต่างๆ เต็มไปด้วยอุปสรรคขวางทาง...
การศึกษาปฏิบัติธรรมจึงต้องฝืนใจท�ำ...
พระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสรู้อะไร มีอะไรท่ีจะเป็นค�ำตอบว่าท�ำไม
ชาติน้ีต้องเกิดมาเป็น มนุษย์ เกิดมาเพ่ือท�ำอะไร ท�ำแล้วจะได้อะไร
แล้วจะท�ำอย่างไร ตาแจ้ง...ก็มีค�ำถามเหล่าน้ี มาต้ังแต่หนุ่มๆ แสวงหา
ค�ำตอบมาเร่ือยๆกว่า ๒๐ ปีมาแล้ว
ตอนน้ี...ตาแจ้งพอรู้ทิศรู้ทางท่ีจะเดินไปแล้ว ทางสายนิพพาน
เส้นน้ีเร่ิมชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ตาแจ้งพบเห็นความจริงมากขึ้นทุกวัน
เริ่มยอมรับความจริงที่พบเห็นได้แล้ว จึงบันทึกไว้เพ่ือเป็นร่องรอย
ให้ผู้อื่นได้เดิน อีกไม่นานตาแจ้งก็จะเดินทางถึงจุดหมายปลายทาง
แน่นอน น่ันคือ.....พระนิพพาน
คุณงามความดีอันใด อันพึงมีในหนังสือเล่มน้ี ตาแจ้ง....ขอน้อมถวาย
เป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา คุณบิดามารดาและคุณครูบาอาจารย์
ทุกๆท่าน ที่ให้ค�ำแนะน�ำส่ังสอนและในการน้ี ตาแจ้งขอให้ผลบุญกุศลนี้
ถวายเป็นการบูชาครบรอบวันเกิด ๖๘ ปี ของท่านพระอาจารย์เชือน
ปภสฺสโร ซึ่งเป็นอาจารยบูชาอันสูงยิ่ง เพ่ือเป็นร่มโพธิร่มไทรของ
ลูกศิษย์ตลอดไปเทอญ

ตาแจ้ง
๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕

สารบัญ

หัวขอ้ หน้า หวั ข้อ หนา้

๐๐ ตอ้ งอา่ นก่อนอา่ น ๙ ๒๓ วิชชา ๓ ๓๘
๐๑ ธรรมแท้ ๑๐ ๒๔ อภิญญา ๖ ๓๘
๐๒ แรกเริ่ม...ชวี ติ ๑๑ ๒๕ ปฏิสมั ภิทาญาณ ๔ ๓๙
๐๓ ทางเลอื กของชีวิต ๑๒ ๒๖ ทางแห่งการหลุดพ้น ๔๐
๐๔ จติ ในวัฏสงสาร ๑๖ ๒๗ อปุ ทาน ๔ ของใจ ๔๐
๐๕ หลกั ศาสนา ๑๘ ๒๘ นิวรณ์ ๕ ๔๑
๐๖ องค์ประกอบของ ๑๘ ๒๙ พรหมวิหาร ๔ ๔๑
ศาสนา ๓๐ ปฏจิ จสมปบาท ๑๒ ๔๒
๐๗ โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ๑๙ ๓๑ ลักษณะของ “อวชิ ชา” ๔๓
๐๘ จะนิพพานตอ้ ง ๒๐ ๓๒ มาร ๕ ๔๕
สมั มาสติเทา่ นัน้ ๓๓ ขันธ์ ๕ ๔๕
๐๙ ดักรู.้ ..รูส้ กึ ตวั ...ตามรู้ ๒๑ ๓๔ เหน็ กับรู้ จึงนิพพาน ๔๗
๑๐ สมาธิกบั ปญั ญา ๒๒ ๓๕ ลำ� ดบั อาการของจิต ๔๙
๑๑ สมาธิ ๓ ระดบั ๒๓ ๓๖ วิปัสสนกู ิเลส ๑๐ ๕๑
๑๒ ปัญญามอี ยู่ ๓ ระดบั ๒๔ ๓๗ จิตมสี ติ ๕๒
๑๓ อรยิ สจั ๔ ๒๕ ๓๘ ประตูเขา้ สู่ภพภมู ิ ๕๔
๑๔ สตปิ ฏั ฐาน ๔ ๒๖ และออกจากภพภมู ิ
๑๕ เพียร ๔ ๒๗ ๓๙ ทางนฤพาน ๕๕
๑๖ อิทธิบาท ๔ ๒๗ ๔๐ สภาวะของจิตเดมิ ๕๗
๑๗ พละ ๕ ๒๘ ๔๑ วธิ ฝี ึกสติ ๕๘
๑๘ โพชฌงค์ ๗ ๒๙ ๔๒ ข้ันตอนการฝึกสติ ๕๙
๑๙ มรรค ๘ ๓๐ ๔๓ ตกั ๖๐
๒๐ สังโยชน์ ๑๐ ๓๑ ๔๔ เรือ ๖๑
๒๑ พระอรยิ ะ ๓๖ ๔๕ กายนอก-กายใน ๖๑
๒๒ พระอรหนั ต์ ๓๗ ๔๖ ผลของธรรม ๖๓

สารบัญ

หวั ขอ้ หน้า หวั ขอ้ หน้า

๔๗ อ๋อ..มันเป็นอยา่ งนเี้ อง ๖๔ ๕๗ สตธิ รรมดา ๗๘
๔๘ ดบั ทุกข์ง่ายๆ ๖๖ ๕๘ สติ สติ สติ ๗๙
๔๙ ธาตุรู้ ๖๗ ๕๙ ระวงั จิตหลงใน... ๘๐
๕๐ อริยะจติ ๖๙ โลกธรรม ๘
๕๑ เหน็ โลกธรรม ๘ ก ็ ๗๑ ๖๐ ผปู้ ฏบิ ตั ิธรรม ... ๘๑
นิพพานได้ ๖๑ ทุกข์มีไวด้ ู ๘๔
๕๒ เม่ือจติ ได้เกดิ ในภมู ิ ๗๒ ๖๒ สตแิ ละปัญญา ๘๖
มนุษย์ ๖๓ การด�ำเนนิ ชีวติ ดว้ ย ๘๗
๕๓ จิตเขา้ นพิ พาน ๗๓ มรรค ๘
“ยากหรือง่าย” ๖๔ เฝ้าสังเกต ๘๙
๕๔ นิพพาน ๗๔ ๖๕ ทางออกจากวัฏสงสาร ๙๑
๕๕ ภาระในการดแู ล ๗๕ ๖๖ ถาม ตอบ ๙๒
ขนั ธ์ ๕ ๖๗ การมตี วั ตน ๙๓
๕๖ เมื่อใดที่จติ มีสติอยู่ ๗๖ ๖๘ สุดท้าย..มันกแ็ ค่นี้เอง ๙๔
กบั ขนั ธ์ ๕

9

๐๐

ต้องอ่านกอ่ นอ่าน

บทความต่างๆในหนังสือเล่มนี้เกิดจากผลของการปฏิบัติธรรม
ของตาแจ้งเอง การท่ีจะอ่านรวดเดียวจบน้ันจะไม่เกิดผลใดๆเลย
จะเสียเวลาไปเปล่าๆ
เม่ือตาแจ้งพิจารณาธรรมรู้เห็นสิ่งใดก็บันทึกไว้เรื่อยๆตาม
สภาวะของตัวรู้ท่ีเกิดขึ้น บทธรรมต่างๆจึงจบลงในบทนั้นๆ สภาวธรรม
จึงหลากหลาย หยาบบ้างละเอียดบ้าง ตาแจ้งจึงขอแนะให้อ่านทีละบท
ขบไปทีละบท แตกไปทีละบท อ่านช้าๆพิจารณาด้วยสติปัญญาจนเข้าใจ
แล้วจึงเริ่มอ่านบทถัดไป แล้วผู้อ่านจะเกิดความรู้แจ้ง เป็นประโยชน์เอง
สิ่งท่ีรู้นั้นจะเหมือนกันกับที่ตาแจ้ง รู้เห็นมาเพราะธรรมเป็นสัจธรรม
ส่ิงท่ีอ่านอยู่นี้เป็นแค่ภาษาสมมติ บัญญัติเท่าน้ัน ค�ำที่ใช้จึงมีความนัย
แฝงให้ ตีความอยู่บ้าง
ผู้อ่านจึงต้องรู้ปริยัติบ้าง เอาไว้เปรียบเทียบกับอาการของจิต
ที่เกิดจากการปฏิบัติ ปฏิเวทท่ีเป็นความรู้แจ้งตามความจริงจึงจะเกิด
ตามมาภายหลัง เม่ือจิตเกิดสัมมาสติและภาวนามยปัญญา
อ่านจากโลกไปหาธรรม...เบื้องต้นรู้โลก เบ้ืองปลายจึงรู้แจ้ง
เข้าใจต้นโลก จะรู้แจ้งปลายธรรม อย่าดูถูกตนเอง หากขาดศรัทธา
และความเพียร สติปัญญาก็จะไม่เกิด มรรคผลนิพพาน ก็จะหาไม่เจอ
มีคนผ่านทางสายน้ีไปถึงจุดหมายปลายทางมานับไม่ถ้วนแล้ว มีแต่
เกิดในภพภูมิมนุษย์น้ีเท่าน้ันที่จะเกิดสติปัญญารู้อริยสัจ ๔ เห็นขันธ์ ๕
ตามจริง แจ้งในไตรลักษณ์ ๓ และเข้าถึงพระนิพพาน ๑ ได้

10

๐๑

ธรรมแท้

พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรง ตรัสรู้ไว้กว่า ๒,๕๐๐ ปีนั้น ช่าง
ลึกซ้ึง เป็นความจริงอย่างย่ิง ท�ำให้จิตเห็นทุกข์ วางทุกข์ลงได้ สามารถ
ละภพ ละชาติได้แน่นอน
ง่าย...ท่ีจิตของผู้มีศรัทธาจะเกิดสัมมาสติรู้แจ้งเห็นจริงใน
สภาวธรรม ท่ีเกิดขึ้น
แต่ยาก...ส�ำหรับจิตท่ีขาดสัมมาสติและภาวนามยปัญญา
จะเข้าถึงการปล่อยวาง ขันธ์ ๕ ลง เพ่ือละภพละชาติ ความรู้ในข้อ
ปริยัติและการปฏิบัติจึงเป็นเหตุให้จิตเข้าถึงการปฏิเวท จะขาด
อย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ จิตจะไม่หมดความลังเลสงสัยในธรรม
เม่ือจิตลง ถึงฐานของสมาธิและอุเบกขา จิตจะต่ืนรู้สักแต่ว่ารู้  เมื่อ
มีสภาวะใดมากระทบขันธ์ ก็จบลงท่ี จิตรู้สึกตัว เท่าน้ัน

11

๐๒

แรกเรม่ิ ...ชวี ติ

ชีวิตต้องแบ่งเป็น ๓ ช่วงวัย
๑. วัยเด็ก ถึง ๒๕ ปี วัยเด็กต้องมีโชค ๓ อย่างเป็นรากฐานชีวิต
๑.๑ ได้เกิดในปัจจัยท่ีดี (สถานท่ีก�ำเนิด ตระกูล พ่อ แม่
สังคม) มีความพร้อมและมีความยินดีในการดูแลบุตร ธิดา
๑.๒ ได้อวัยวะ ๓๒ มาครบและแข็งแรงดี มีสติปัญญา
สมบูรณ์ เพียงพอท่ีจะพ่ึงพาตนเอง
๑.๓ ได้จิตใจท่ีดี มีพรหมวิหาร ๔ มาแต่ก�ำเนิด
๒. วัยท�ำงาน ๒๖-๖๐ ปี วัยท�ำงานต้องมีความขยัน หมั่นเพียร
ทุ่มเท  สร้างครอบครัว สร้างความมั่นคงให้เพียงพอต่อการด�ำเนิน
ชีวิตในบ้ันปลาย มีอธิบาท ๔ เพียร ๔ เป็นหลัก ครองตนตั้งม่ันอยู่
ในศีลในธรรม
๓. วัยพักผ่อน ๖๑ ปีขึ้นไปวัยพักผ่อนต้องรู้จักบ�ำรุงรักษา
สุขภาพ และท�ำใจให้สงบ ด้วยการฝึกดูกาย ดูใจตนเองและต้อง
ค้นหาสัจธรรมแห่งการหลุดพ้นจากวัฏสงสาร ให้พบก่อนละสังขาร
ไปจากภพชาติน้ี มีพละ ๕ เป็นสติ เป็นพลังศรัทธาและมีโพชฌงค์ ๗
เป็นปัญญา
ความเหมาะสมของวัยน้ันยืดหยุ่นตามความเป็นจริงของ
ความพร้อมของแต่ละคน

12

๐๓

ทางเลอื กของชวี ติ

แผนภูมิชีวิต ตอนที่ ๑ (สามัญลักษณะของชีวิต)
การด�ำเนินชีวิตมีทั้งท�ำถูกและท�ำผิด ส่ิงที่ท�ำเป็นกุศลกรรม และ
อกุศลกรรม
ทุกชีวิต จึงมี ๔ ทางเลือก
๑. สิ่งท่ีกระท�ำเป็นกุศลกรรมและท�ำถูก (เป็นคนดีและเก่ง)
๒. สิ่งที่กระท�ำเป็นกุศลกรรมแต่ท�ำผิด (เป็นคนดีแต่ไม่เก่ง)
๓. สิ่งที่กระท�ำเป็นอกุศลกรรมแต่ท�ำถูก (เป็นคนไม่ดีแต่เก่ง)
๔. ส่ิงที่กระท�ำเป็นอกุศลกรรมแต่ท�ำผิด (เป็นคนไม่ดี,ไม่เก่ง)

13

ทุกชีวิตต่างปรารถนาที่จะประสบความส�ำเร็จทั้งทางโลกและ
ทางธรรมในการด�ำเนินชีวิต เราจึงต้องท�ำในสิ่งท่ีเป็นกุศลกรรมและ
ท�ำถูกต้องเท่านั้น ชีวิตจึงจะสมความปรารถนาท้ังทางโลก (มีลาภ
ได้ยศ ได้รับการสรรเสริญ เป็นสุข) หรือทางธรรม (นิพพาน)
หากรู้ว่า “เราก�ำลังท�ำผิด ด�ำเนินชีวิตผิดผิด” เราก็ต้อง
“กล้า” ท่ีจะเปล่ียนแปลงตนเอง ความด้ือดึง ด้ือร้ัน ความส�ำคัญผิด
ความยึดม่ันในตัวกู จะท�ำให้เสียโอกาสท่ีจะเปลี่ยนแปลงตนเองไป
สู่การด�ำเนินชีวิตในทางที่ถูกต้อง ในทางที่เจริญรุ่งเรืองท้ังทางโลก
และทางธรรม
แผนภูมิชีวิต ตอนท่ี ๒ (แผนภูมิในการด�ำเนินชีวิตทางโลก)
ในทางโลก ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข จึงเป็นเป้าหมายสูงสุด จิต
ทุกดวงท่ีได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ต่างก็ได้รับสิทธ์ิท่ีจะมี ลาภ ยศ
สรรเสริญ สุขท้ังส้ิน (ถ้าส่ิงท่ีท�ำน้ัน เป็นกุศลกรรมและกระท�ำถูกต้อง)
ความเห็นถูก สติ ปัญญา ความส�ำเร็จในชีวิต
“ความเห็นถูก” เป็นต้นทางของชีวิตที่ถูกต้อง ความเห็นถูก
ท�ำให้เราเปลี่ยนแปลงจากเด็กเป็นผู้ใหญ่ (วัยไหนก็ได้) การแยก
ถูกแยกผิดและความรับผิดชอบจะเกิดขึ้นในชีวิต กิจกรรมที่ท�ำให้
เกิดการคิดวิเคราะห์ จะท�ำให้จิตเกิดความเห็นถูก “สติ” ของจิต
เป็นเคร่ืองมือที่ท�ำให้จิตเห็นความจริงในสรรพสิ่งภายนอก การเล่น
กีฬา ดนตรี ศิลปะ การเคลื่อนไหว การฝึกติดตามลมหายใจ
การเฝ้าสังเกตสภาวธรรมต่างๆที่มากระทบขันธ์หรือเกิดข้ึนกับขันธ์
จะฝึกจิตให้เกิดสมาธิอ่อนๆ อันเป็นปัจจัยให้จิตเกิดสติท้ังส้ิน

14

“สุตมยปัญญาและจินตามยปัญญา” ของจิต จะท�ำให้จิตรู้จัก รู้จริง
(แต่ยังไม่รู้แจ้ง) ในสรรพส่ิงภายนอก การคิด วิเคราะห์ วิจัย ท�ำให้
เกิดความเข้าใจในสิ่งที่มีการค้นพบแล้ว จากน้ันก็พัฒนาไปค้นพบ
สิ่งใหม่ในโลกนี้
แผนภูมิชีวิต ตอนที่ ๓ (แผนภูมิในการด�ำเนินชีวิตทางธรรม)
ในทางธรรม พระนิพพาน คือ เป้าหมายสูงสุด จิตทุกดวงท่ีได้
เกิดมาเป็นมนุษย์ต่างก็ได้รับสิทธิ์ท่ีจะเข้าถึงสภาวะนิพพานทั้งสิ้น
ถ้าท�ำส่ิงท่ีเป็นกุศลกรรมและกระท�ำถูกต้อง จิตก็สามารถปล่อยวาง
ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ลง เข้าถึงพระนิพพานได้
สัมมาทิฏฐิ สมาธิอ่อนๆ สัมมาสติ เห็นไตรลักษณ์
ข้อ ๑และ๒ เกิดภาวนามยปัญญา รู้แจ้งในไตรลักษณ์ข้อ ๓
ปล่อยวางธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ จิตหลุดพ้นสู่พระนิพพาน

“สัมมาทิฏฐิ” จึงเป็นเงื่อนไขแรก ที่ต้องเกิดข้ึนกับจิตดวงนี้ จะ
ท�ำให้จิตมีความเห็นถูกในอริยสัจ ๔ มีความเห็นถูก ต่อการได้เกิด
มาเป็นมนุษย์ในชาติน้ี ยอมรับความแก่ ชรา ความเจ็บป่วย และ
ความตายได้ ยอมรับการเวียนว่ายตายเกิด ในภพภูมิต่างๆ ตาม
วิบากของกุศลกรรม และอกุศลกรรม ยอมรับว่า “พระนิพพาน” มีจริง
การเจริญอิทธิบาท ๔ และเพียร ๔ จะท�ำให้จิตเกิดสัมมาทิฏฐิ
เพราะจิตได้มีการคิดวิเคราะห์วิจัยในธรรม ท�ำให้จิตแยกแยะผิดถูกได้
การเจริญพละ ๑,๒,๓ จะท�ำให้จิตเกิด “สัมมาสติ” (สติปัฏฐาน ๔)
และจิตพัฒนาเข้าสู่การเจริญโพชฌงค์ ๗ ของจิต จิตก็ลงอุเบกขา
เอง จิตจะสามารถเห็นความจริงของธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ จิตที่มี

15

“สุตมยปัญญาและจินตามยปัญญา” อันเป็นปัญญาเบ้ืองต้น จึงใช้
ปัญญาระดับนี้เข้ามาพิจารณาความจริงที่เห็นว่า มันล้วนเป็นอนิจจัง
มันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ (จิตเห็นไตรลักษณ์ ๑,๒)
การเจริญโพชฌงค์ ๗ และพละ ๔,๕ จึงท�ำให้อินทรีย์ ๕ แก่กล้า
เกิดเห็นตามจริง จิตจึงเกิดความตั้งม่ัน(สมาธิ)ในส่ิงท่ีเห็น จิตจึง
เกิด “ภาวนามยปัญญา” รู้แจ้งในธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ว่าเป็น
“อนัตตา” (จิตรู้แจ้ง ในไตรลักษณ์ ข้อ ๓) สามารถท�ำลายอุปทาน
ในความยึดม่ันถือมั่นของจิตท่ีมีต่อธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ลงได้ (ธาตุ ๔
และขันธ์ ๕ เป็นภพเป็นท่ีต้ังที่เกิดของจิตในภูมิต่างๆ ท้ัง ๓๑ ภูมิ)
เม่ือจิตยอมปล่อยวางธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ลง ภพของจิตจึงดับ
ลงด้วย จิตจึงไร้ซ่ึงท่ีต้ังที่เกิดอีก สภาวะดับทุกข์ หรือ พระนิพพาน
จึงปรากฏขึ้นแก่จิต ณ บัดน้ันแล

16

๐๔

จิตในวฏั สงสาร

จิต คือ ส่ิงที่หลงเข้ามาเวียนว่าย ตาย เกิด ในภพภูมิต่างๆ
นิพพาน คือ สภาวะดับทุกข์หรือนิโรธของจิตที่หลุดพ้นออก
จากความเป็นทุกข์ของการเวียนว่าย ตาย เกิด ในภพภูมิต่างๆ
ภพภูมิ เป็นท่ีเกิด ท่ีอุบัติ ของจิตทุกดวงท่ียังเวียนว่ายตายเกิด
มีอยู่ท้ังหมด ๓๑ ภพภูมิ แยกเป็น ๗ หมวดใหญ่คือ
๑. ภพภูมิของนรกขุมต่างๆ
๒. ภพภูมิของพวกอสุรกาย
๓. ภพภูมิของเปรตจ�ำพวกต่างๆ
๔. ภพภูมิของพวกเดรัจฉาน
๕. ภพภูมิของมนุษย์
๖. ภพภูมิของเหล่าเทวดา ๖ ชั้น
๗. ภพภูมิของรูปพรหม ๑๖ ชั้นและอรูปพรหมชั้นต่างๆ ๔ ชั้น

“จิตวิญญาณ” แต่ละดวงไม่ว่าจะอยู่ในรูปของพระพรหม
เทวดา มนุษย์ เปรต สัตว์เดรัจฉาน อสูรกาย หรือสัตว์นรก ต่างก็เป็น
ดวงจิตท่ีตกระก�ำล�ำบาก ต้องรับทุกข์ทรมารจากการหลงทางเข้า
มาสู่วัฏสงสารของการเวียนว่าย ตาย เกิด ไปจนกว่าจิตดวงนี้จะ..
เกิด “สัมมาทิฏฐิ” (ความเห็นถูก) จึงเกิดศรัทธาเห็นความจริงของ

17

การเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย ในวัฏสงสารของ ๓๑ ภพภูมิ น้ัน
ว่ามันเป็นทุกข์ก่อน จิตจึงเกิดความปรารถนาท่ีจะพ้นทุกข์ จากน้ันจิต
จึงเกิด “สัมมาสติ” (ความรู้สึกตัว) เกิดดวงประทีปแห่งปัญญา เห็น
ความจริง ว่า กายและใจไม่ใช่ของเรา จิตดวงนี้จึงเกิดความเบื่อ
หน่ายที่จะต้องเป็นภาระ ต้องดูแลมัน พาไปกิน ไปนอน ไปขับถ่าย
เจ็บป่วยก็ต้องพาไปรักษา ตามแต่ใจมันเรียกร้องมา เม่ือจิตเกิดสติ
เห็นความจริงน้ีแล้ว จิตก็จะหมดความยินดีในการได้ครอบครอง
กายใจนี้ จิตจึงจะปล่อยวางกายใจน้ีลง ไม่หลงใหลมันอีกต่อไป
ภพชาติของจิตจึงดับลง การเกิดของจิตจึงหยุดลงแล้ว จิตจึงเข้าสู่
สภาวะดับทุกข์ หรือ นิโรธ หรือนิพพานทันที สภาวะท่ีจิตดับทุกข์ได้
น่ันแหล่ะ จึงเป็นสุขอย่างยิ่งในจักรวาล น่ีคือ ความจริง
ภพเป็นที่ตั้งของทุกข์ เป็นเหตุของทุกข์ท้ังหมด จิตจะหลุดออก
จากภพภูมิต่างๆ ได้ ก็ต่อเม่ือจิตปล่อยวางภพลงได้ สภาวะนิพพาน
จึงจะปรากฏข้ึนแก่จิต
ในภพภูมิมนุษย์ เม่ือเกิดการปฏิสนธิข้ึนในครรภ์มารดา จิต
ดวงใดที่คล้องกรรมกัน ก็จะมาจุติอยู่ในร่างกายน้ี ส่วนใจน้ันจะ
เกิดข้ึนตามมาภายหลัง รวมแล้วเรียกว่า ขันธ์ ๕
ขันธ์ ๕ หรือ กาย-ใจ หรือ รูป-นามขันธ์ ๕ จะเสพกิเลส ๓
(ราคะ โทสะ โมหะ) เป็นอาหาร กิริยากรรมใดใดที่ขันธ์ ๕ สร้างขึ้นมา
จะจดบันทึกรวมไว้ท่ีจิต ติดตามจิตไปให้ต้องชดใช้ทุกภพทุกชาติ
จนกว่าจิตจะเกิดสติปัญญาปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕
ลงได้ วิบากกรรมต่างๆท่ียังค้างอยู่จะเป็นอโหสิกรรม

18

๐๕

หลักศาสนา

๑. ไม่ท�ำบาปท้ังปวง...ศีล
๒. ตั้งใจม่ันท�ำแต่ความดี...สมาธิ
๓. ท�ำจิตให้ผ่องแผ้ว...ปัญญา

๐๖

องคป์ ระกอบของศาสนา

๑. ศาสนธรรม เกิดข้ึนก่อนโดย พระพุทธเจ้าได้เห็นอริยสัจ ๔
และได้ตรัสรู้ธรรมเพื่อการพ้นทุกข์ท�ำให้เกิดพุทธศาสนาและพระธรรม
ค�ำสอนข้ึนมาในโลก
๒. ศาสนบุคคล จึงเกิดสาวกผู้เลื่อมใสและปฏิบัติตามในค�ำสอน
ของพระพุทธเจ้า
๓. ศาสนวัตถุ เมื่อเกิดหมู่คณะขึ้น จึงต้องมีสถานท่ีท�ำศาสนกิจ
วัดวาอารามจึงเกิดขึ้น
๔. ศาสนพิธี เม่ือเกิดหมู่คณะข้ึน จึงเกิดระเบียบ วินัยและ
พิธีกรรมข้ึนเพ่ือความเป็นระเบียบ เรียบร้อยของหมู่คณะ
ศาสนธรรมจึงเป็นเป้าหมายของการปฏิบัติธรรมที่เราต้องเข้าถึง
แต่... คนส่วนใหญ่ ถูกขวางกลั้นไว้ด้วยการท�ำศาสนพิธีหรือหลงใน
การสร้างศาสนวัตถุ หลงยึดติดอยู่กับวัตถุมงคลเครื่องรางของขลัง
หรือยึดความขลังของศาสนบุคคลเป็นที่พ่ึง แทนการศึกษา พระธรรม
ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ไว้ จึงมีเร่ืองมากมายหลากหลายตามแต่
จิตจะคิดปรุงแต่ง ขึ้นมาให้ยึด ให้หลง ให้ติดอยู่ในสังสารวัฏ

19

๐๗

โพธิปกั ขยิ ธรรม ๓๗

หลักธรรมตามค�าส่ังสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้ามีมากมาย
แต่ท่ีจัดว่าเป็นหลักธรรมส�าคัญท่ีเราจ�าเป็นต้องศึกษา เพื่อน�าไปสู่
มรรคผลนิพพานนั้น ได้แก่ “โพธิปักขิยธรรม ๓๗” หมายถึง ธรรม
ที่เก้ือกูลแก่การตรัสรู้หรือธรรมที่เกื้อหนุนแก่อริยมรรค แบ่งเป็น
๗ หมวด ดังน้ี
๑. สติปัฏฐาน ๔
๒. เพียร ๔
๓. อิทธิบาท ๔ ธรรมแมจะลึกซึ้งคัมภีรภาพเพียงไหน
ไมเหลือวิสัยของบัณฑิตผูมีความเพียร

๔. อินทรีย์ ๕ หลวงปูขาว อนาลโย

๕. พละ ๕
๖. โพชฌงค์ ๗
๗. มรรคมีองค์ ๘

รวมเป็น ๓๗ ประการ จึงเรียกว่า โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ
ซึ่งในแต่ละหมวดมีความสมบูรณ์ในตัวอยู่แล้ว การปฏิบัติตามธรรม
หมวดใดหมวดหนึ่งก็จะเชื่อมโยงกับการปฏิบัติธรรมหมวดอ่ืนๆ ด้วย
ท�าให้จิตเกิดการรู้แจ้งแทงตลอดในข้อธรรมท้ังหมดและเช่ือมโยง
กันได้ เพราะข้อธรรมต่างๆนั้นเป็นสัจธรรม

20

๐๘

จะนิพพานต้องสมั มาสตเิ ทา่ นน้ั

จิตมีสัมมาสติจึงเป็นเหตุให้เกิด ศีล สมาธิ  ปัญญา ซ่ึงจะเป็นผลให้
จิตเจริญ มรรค ๘ ไปจนกว่าจิตจะบรรลุถึงสภาวะของพระนิพพาน
สัมมาสติ จึงเป็นเหตุให้จิตเข้าถึงพระนิพพาน สัมมาสติเกิดข้ึน
ได้อย่างไร...
สติเกิดจากจิตจ�ำสภาวธรรมท่ีมากระทบกายใจตนได้และรู้สึกตัว
เม่ือสภาวธรรมน้ันเกิดขึ้นกับกาย-ใจ
ส่วน...สัมมาสติเกิดจากสัมมาทิฏฐิ หากจิตไม่เกิดสัมมาทิฏฐิ
ก่อน จะมีเพียงสติ สมาธิและปัญญาเท่าน้ัน.....มรรค ๘ จึงยังไม่เกิด
เพราะศีลยังไม่เกิดขึ้นเลย
เมื่อจิตมีสัมมาทิฏฐิเกิดขึ้น สัมมาสติ ศีล สมาธิ ปัญญา และ
มรรค ๘ จึงเกิดครบองค์
สัมมาทิฏฐิ คือความเห็นถูก จะเข้ามาเห็นความจริงของกายใจ
น้ีว่า มันไม่เท่ียงเป็นทุกข์เพราะมันเป็นอนัตตา
เม่ือจิตเห็นความจริงนี้แล้ว จิตจะเกิดความเบ่ือหน่าย คลาย
ก�ำหนัดและปล่อยวางขันธ์ ๕ คืนโลกได้
ความดับทุกข์ นิโรธหรือสภาวะนิพพานจึงปรากฏข้ึนแก่จิต

21

๐๙

ดกั ร.ู้ ..รูส้ กึ ตวั ...ตามรู้

ความคิด สัมมาสติ ภาวนามยปัญญา
โดยปกติ...จิตจะเผลอหรือจงใจเข้าไปดักรู้ดักคิดก่อนสภาวธรรม
เกิดข้ึนหรือเกิดข้ึนแล้ว ในขณะนั้นจิตยังไม่เกิดสติ ท�ำให้จิตหลง
เข้าไปดักรู้ด้วยการคิด จิตจึงเกิดการคิดปรุงแต่ง คาดคะเน วิตก วิจารญ์
กังวล กลัวฯ นี่จึงเป็นสาเหตุให้จิตหลงไปเกิดอุปทาน ๔ และเป็น
ทุกข์ท�ำให้จิตหลงติดวนเวียน อยู่ในภพชาติมานานแล้ว

แต่จิตท่ีถูกฝึกให้จ�ำสภาวธรรมได้ จิตจะเกิดสติเห็นและตามรู้
เมื่อมีสภาวธรรมมากระทบขันธ์ ๕ จากน้ันปัญญาจึงตามเข้ามา
พิจารณาเห็นสภาวะต่างๆท่ีเกิดข้ึนตามจริง และเป็นไตรลักษณ์ ๓
จิตจึงปล่อยวางขันธ์ ๕ ลงได้ จิตจะเกิดสติและตั้งม่ันอยู่ในอุเบกขา
(โพชฌงค์ ๗) เม่ือจิตรู้ก็จบลงที่รู้ เห็นก็จบลงท่ีเห็น สักแต่ว่าเห็น
ตามความเป็นจริงและ ปล่อยวาง สิ่งท่ีรู้ท่ีเห็นลงได้ ภพของจิตดวงน้ี
จึงดับลง จิตดวงน้ีจึงไม่มีภพภูมิให้เวียนไปเกิดอีก วิบากกรรมต่างๆ
ก็จะเป็นอโหสิกรรมสิ้นสุดลงตามอายุขันธ์ จิตของพระอรหันต์ จะ
รักษาสติอยู่ตลอดอายุขัยที่เหลือ จิตจะไม่ตกลงสู่ภวังค์อีก เม่ือสติ
อยู่กับจิต วิบากกรรมต่างๆจึงตกไป จิตท่ีตกภวังค์เช่น ตอนนอนหลับ
เราจะขาดสติ บ้างก็หลับลึก บ้างก็หลับฝันไปเร่ือยๆ ควบคุมไม่ได้
หรือจิตก่อนตายก็จะตกภวังค์และตกอยู่ภายใต้อ�ำนาจ ของวิบากกรรม
ที่จะชักน�ำพาจิตไปหาภพจุติ โดยจ�ำแนกตามกรรมเก่าท่ีติดมา

22

๑๐

สมำธิกบั ปญั ญำ

ขณิกสมาธิและอุปจารสมาธิ เป็นเหตุให้เกิดสุตมยปัญญาและ
จินตามยปัญญา จะท�าให้จิตแค่คิด คาดคะเน ดักรู้ เรียนรู้ รู้จัก รู้จ�า
และเข้าใจในสิ่งต่างๆอย่างตื้นๆ จิตจึงไม่สามารถปล่อยวางขันธ์ ๕ ได้
เพราะจิตยังขาดสัมมาสติไม่สามารถเห็นสภาวธรรมท่ีเกิดข้ึนกับ
ขันธ์ ๕
สัมมาสติจึงเป็นเหตุให้เกิดภาวนามยปัญญา จะท�าให้จิตเกิดรู้แจ้ง
เห็นจริงในกายใจว่าเป็นไตรลักษณ์ ๓ จิตจึงปล่อยวางขันธ์ ๕ คืนโลก
ควรระวัง...หากจิตเผลอหลุดเข้าฐานอัปนาสมาธิ จะเป็นเหตุ
ให้จิตเข้าถึงแค่ความสงบเท่านั้น
ฉะนั้นในการภาวนาจิตต้องเกิดสัมมาสติ ตั้งม่ันในขณิกสมาธิ
หรืออุปจารสมาธิ จิตจึงจะเกิดภาวนามยปัญญารู้แจ้งเห็นความจริง
ของขันธ์ ๕ ว่าเป็นอนัตตาได้

คนไมมีธรรมะ ก็เหมือนกับ
คนที่ไมมีบานอยู
ตองไปนั่งตากแดด ตากฝน และตากลม
อยูทั้งกลางวันกลางคืน
หลวงพอลี ธมฺมธโร

23

๑๑

สมาธิ ๓ ระดบั

๑. ขณิกสมาธิ เป็นสมาธิระดับต้ืนๆ เกิดง่าย แต่ต้ังมั่นอยู่สั้นๆ
เช่น เมื่อเราจดจ่อกับการอ่านหนังสือก็จะไม่ได้ยินเสียงรบกวนอื่นๆ
๒. อุปจารสมาธิ เป็นสมาธิระดับกลาง ใช้ในการคิด การวิเคราะห์
งานหรือสภาวธรรมได้
๓. อัปนาสมาธิ เป็นสมาธิระดับลึกปิดการรับรู้ต่อสิ่งต่างๆ
รอบตัว ไม่สามารถใช้พิจารณาสภาวธรรม จึงใช้ส�ำหรับท�ำความ
สงบเพื่อพักจิตเท่าน้ัน

24

๑๒

ปญั ญามีอยู่ ๓ ระดบั

๑. สุตมยปัญญา...ปัญญาที่เกิดจากเรียนรู้ การได้ยิน ได้ฟัง
ได้เห็น ได้สัมผัส...จนรับรู้-รู้เห็น
๒. จินตามยปัญญา...ปัญญาที่เกิดจากการได้คิด-วิเคราะห์
ไตร่ตรอง ใคร่ครวญ...จนรู้สึก-เข้าใจ
๓. ภาวนามยปัญญา..ปัญญาที่เกิดหยั่งรู้จากความสงบของ
จิตท่ีมีสติ-สมาธิ มีความละเอียดลึกซ้ึง...จนรู้แจ้งเห็นตามความจริง
ความรู้ทางโลกน้ันเกิด ขึ้นจากขันธ์ ๕ เรียนรู้มาจากการอ่าน
การฟัง(สุตมยปัญญา) และการคิด(จินตามยปัญญา) จึงเป็นความรู้
ในระดับโลกียะเต็มไปด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง(กิเลส ๓)
และความอยากให้มี อยากให้อยู่ อยากเป็นโน่นเป็นน่ี(ตัณหา ๓)
ตามแต่ขันธ์จะปรุงแต่งขึ้นมา เพ่ือบ�ำเรอ ขันธ์ เสมือนทะเลไม่เคย
อ่ิมน�้ำ...ฉันใด ขันธ์ก็ไม่เคยรู้สึกพอกับกิเลสที่เติมลงไป...ฉันน้ัน
ส่วนการเห็นความจริง (ภาวนามยปัญญา) ท่ีเกิดขึ้นกับขันธ์ท่ีมี
สัมมาสติน้ัน จะท�ำให้จิตเกิดความรู้แจ้งเห็นความจริงของขันธ์ว่า
เป็นทุกข์ และไม่ใช่ของเรา จิตเพียงมาขออาศัยขันธ์เพื่อเห็นทุกข์
จิตจึงจะเกิดปัญญาออกจากทุกข์ของการเกิดแก่ เจ็บตาย น่ีจึง
เป็นความรู้ ในระดับโลกุตระธรรมหรือสัจธรรม ภาวนามยปัญญา
จึงจ�ำเป็นอย่างย่ิงต่อการดับทุกข์ นิโรธหรือนิพพาน ของจิต

25

๑๓

อริยสจั ๔

เป็นธรรมท่ีพระพุทธทรงเจ้าทรงตรัสรู้ไว้ เพ่ือการดับทุกข์ของจิต
ทุกข์ต้องรู้...​ต้องรู้แจ้งในทุกข์ของขันธ์ ๕
สมุหทัยต้องละ... ละหรือปล่อยวางในเหตุของทุกข์ นั่นคือขันธ์ ๕
นิโรธต้องท�ำให้แจ้ง... แจ้งในการดับทุกข์ ด้วยสติปัญญา
มรรคต้องเจริญ... เจริญในทางของการด�ำเนินชีวิตด้วยสติปัฏฐาน ๔
ท�ำให้ ศีล สมาธิ ปัญญา เกิดข้ึนแก่จิต
ฉะน้ัน...จิตจึงต้องเกิดสติรู้ในทุกข์ของการมีอยู่ของตัณหา ๓
และอุปทาน ๔ ของขันธ์ ๕ ท่ีจะท�ำให้เกิด ภพ ชาติ ชรา มรณฯ
เวียนเกิดเวียนตายในวัฏสงสารไม่จบส้ิน

26

๑๔

สตปิ ัฏฐาน ๔

เป็นหลักธรรมท่ีอยู่ใน มหาสติปัฏฐานสูตร เป็นข้อปฏิบัติเพ่ือรู้แจ้ง
คือเข้าใจตามเป็นจริงของส่ิงท้ังปวงโดยไม่ถูกกิเลสครอบง�ำ สติปัฏฐาน
มี ๔ ระดับ คือ กาย เวทนา จิต และ ธรรม
โดยรวมคือเข้าไปรู้เห็นในสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง ตามมุมมอง
ของไตรลักษณ์หรือสามัญลักษณะ โดยไม่มีความยึดติดด้วยอ�ำนาจกิเลส
ท้ังปวง ได้แก่
๑. กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน - การมีสติระลึกรู้กายเป็นฐาน ซึ่ง
กายในที่น่ีหมายถึงประชุม หรือรวม นั่นคือธาตุ ๔ ได้แก่ ดิน น้�ำ ลม ไฟ
มาประชุมรวมกันเป็นร่างกาย ไม่มองกายด้วยความเป็นคน สัตว์ เรา
เขา แต่มองแยกเป็นรูปธรรมหน่ึงๆ เห็นความเกิดดับของกายล้วน
ไม่เท่ียง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา
๒. เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน - การมีสติระลึกรู้เวทนาเป็นฐาน
ไม่มองเวทนาด้วยความเป็นคน สัตว์ เรา เขา คือไม่มองว่าเราก�ำลังทุกข์
หรือเราก�ำลังสุข หรือเราเฉยๆ แต่มองแยกเป็น นามธรรม อย่างหน่ึง เห็น
ความเกิดดับ เวทนาล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา
๓. จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน - การมีสติระลึกรู้จิตเป็นฐาน เป็นการ
น�ำจิตมาระลึกรู้ความรู้สึกหรือรู้ความคิดก็ได้ ไม่มองจิตด้วยความเป็น
คน สัตว์ เรา เขา คือไม่มองว่าเราก�ำลังคิด เราก�ำลังโกรธ หรือเราก�ำลัง
เหม่อลอย แต่มองแยกเป็น นามธรรม อย่างหน่ึง เห็นความเกิดดับ จิต
ล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา
๔. ธรรมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน - การมีสติระลึกรู้สภาวธรรม
เป็นฐาน ทั้ง รูปธรรมและ นามธรรม ล้วนมีความเกิดดับ ไม่เท่ียง เป็นทุกข์
และเป็นอนัตตา

27

ทําอะไรไมผิดเลย ก็คือไมทําอะไรเลย
ความผิดน้ีแหละเปนครูอยางดี เพ่ือจะไดจดจําไว
สังวรระวังไวไมใหผิดตอไป
แลวตั้งตนใหมดวยความไมเลินเลอ เผลอประมาท
ทานเจาคุณนรรัตนราชมานิต
(ธมมวิตกฺโกภิกขุ)

๑๕

เพยี ร ๔

๑. ระวังบาปไม่ให้เกิด
๒. ละบาปท่ีเกิดขึ้นแล้ว
๓. เพียรสร้างกุศลให้เกิด
๑๖ ๔. เพียรรักษากุศลที่มีอยู่แล้ว

อทิ ธบิ ำท ๔

ธรรมแห่งความส�าเร็จ อันเป็นเครื่องให้ลุถึง สัมมาทิฏฐิ ตามที่ตน
ประสงค์ ซ่ึงจ�าแนกไว้เป็น ๔ คือ
๑. ฉันทะ ความพอใจรักใคร่ในสิ่งน้ัน
๒. วิริยะ ความพากเพียรในส่ิงนั้น
๓. จิตตะ ความเอาใจใส่ฝักใฝ่ในส่ิงน้ัน
๔. วิมังสำ ความหมั่นสอดส่องในเหตุผลของส่ิงน้ัน

28

๑๗

พละ ๕

เป็นพลังในการปฏิบัติธรรมของผู้ปฏิบัติ เพ่ือเกิดสติและปัญญา
ในการบรรลุธรรมของอริยะบุคคล
๑. ศรัทธา ก�ำลัง คือ สัมมาทิฏฐิอันเป็นศรัทธาในพระนิพพาน
๒. วิริยะ ก�ำลัง คือ ความเพียรในการพิจารณาธรรม
๓. สติ ก�ำลัง คือ สัมมาสติเป็นความรู้สึกตัวเม่ือมีสภาวธรรม
เกิดขึ้น
๔. สมาธิ ก�ำลัง คือ ขนิกสมาธิและอุปจารสมาธิเป็นสมาธิอ่อนๆ
๕. ปัญญา ก�ำลัง คือ ภาวนามยปัญญาใช้เพ่ือการรู้แจ้งใน
ขันธ์ ๕

29

๑๘

โพชฌงค์ ๗

เป็นธรรมที่สนับสนุนปัญญาเพื่อการรู้แจ้งของอริยะบุคคล
๑. จิตมีสติ รู้สึกตัว รู้กาย รู้ใจตนเอง
๒. ธัมมวิจยะ จิตมีสติในการตรึกตรอง วิจัยข้อธรรมและ
สภาวธรรมที่กระทบกายใจ
๓. วิริยะ จิตมีความเพียรตามรู้ตามดูเพ่ือพิจารณาสภาวธรรม
ท่ีมากระทบกายใจ
๔. ปิติ จิตเกิดความยินดี อ่ิมเอิบ ซาบซ่าน จากการตามรู้แจ้ง
เห็นความจริงในสภาวธรรมท่ีมากระทบกายใจ
๕. ปัสสัทธิ จิตเกิดสติสามารถระงับความยินดี สามารถสลัดท้ิง
ซึ่งสภาวธรรมท่ีมากระทบกายใจเข้าสู่ความสงบระงับ
๖. สมาธิ จิตมีความตั้งมั่นกับการเห็นในสภาวะไตรลักษณ์
ข้อ๑-๒ ของกายใจตามจริง
๗. อุเบกขา จิตมีความยุติธรรมและเป็นกลางต่อสภาวธรรม
ทั้งหลายที่มา กระทบกายใจ รู้สักแต่ว่ารู้ เห็นสักแต่ว่าเห็น จิตไม่เข้าไป
ปรุงแต่งอีกต่อไป
จิตที่มีสภาวะเป็นอุเบกขาแล้ว จะเกิดความต้ังม่ันในสิ่งท่ีรู้ที่เห็น
จิตจึงเกิดภาวนามยปัญญารู้พละข้อ ๔-๕ และแจ้งในความเป็นอนัตตา
ของขันธ์ ๕ (ไตรลักษณ์ข้อ ๓)ในภายหลัง

30

๑๙

มรรค ๘ (อัฏฐังคกิ มรรค)

(อริยมรรค = มัชฌิมาปฏิปทา = มรรค ๘ = ทางด�ำเนินชีวิตอัน
ประเสริฐ = ทางสายกลาง)
แนวทางด�ำเนินอันประเสริฐของชีวิต หรือ กาย วาจา ใจ เพื่อ
ความหลุดพ้นจากทุกข์ เรียกว่า อริยมรรค
๑. สัมมาทิฏฐิ (ปัญญา) คือความเข้าใจถูกต้อง ความเห็นชอบ
๒. สัมมาสังกัปปะ (ปัญญา) คือความใฝ่ใจถูกต้อง(กังวล วิตก)
ความด�ำริชอบ
๓. สัมมาวาจา (ศีล) คือการพูดจาถูกต้อง
๔. สัมมากัมมันตะ (ศีล) คือการกระท�ำถูกต้อง
๕. สัมมาอาชีวะ (ศีล) คือการด�ำรงชีพด้วยสัมมาอาชีพถูกต้อง
๖. สัมมาวายามะ (สมาธิ) คือความพากเพียรถูกต้อง
๗. สัมมาสติ (สมาธิ) คือการระลึกประจ�ำใจถูกต้อง
๘. สัมมาสมาธิ (สมาธิ) คือการต้ังใจม่ัน ถูกต้อง
เม่ือจิตตั้งในส่ิงที่เห็นจิตก็จะเกิดภาวนามยปัญญารู้แจ้งใน
ความเป็นอนัตตาและปล่อยวางขันธ์ ๕ ลงเอง
การปฏิบัติธรรมทุกข้ันตอน รวมลงในมรรคอันประกอบด้วย
องค์แปดนี้ เม่ือย่นรวมกันแล้วเหลือเพียง ๓ คือ ศีล - สมาธิ – ปัญญา
มรรค ๘ เกิดข้ึนเองเมื่อจิตเกิดสัมมาทิฏฐิและเกิดสัมมาสติ
จากการพิจารณาสภาวธรรมท่ีมากระทบอินทรีย์ ๖
มรรค ๘ เปรียบเสมือนยารักษากิเลส ผลของการรักษาคือ
นิพพาน

31

๒๐

สงั โยชน์ ๑๐

เครื่องผูกจิตเป็นเคร่ืองผูกสัตว์โลกไว้ในวัฏสงสาร (สามารถใช้
เป็นเคร่ืองวัดล�ำดับข้ันความส�ำเร็จของจิตในการละได้)
๑. สักกายทิฐิ จิตหลงยึดติดในตัวตนและเห็นว่าขันธ์ ๕ เป็น
ของตน ตัวกูของกูคือ ความหลงผิดเห็นแก่ตัว
เมื่อจิตเกิดสติปัญญาเห็นความจริงว่าขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา จิตจึง
ละสักกายทิฐิลงได้
๒. วิจิกิจฉา จิตเกิดความลังเลสงสัยในธรรมชาติของชีวิต
เป้าหมายของชีวิตและทางปฏิบัติเพ่ือไปสู่เป้าหมายนั้นๆ

32

เม่ือจิตเกิดปัญญาละสักกายทิฐิลงได้ จิตจึงหมดความลังเล
สงสัยในธรรมท่ีจะน�ำไปสู่พระนิพพาน
๓. สีลัพพตปรามาส จิตเกิดความหลงเชื่อ ยึดติดและงมงาย
ในฤกษ์ยาม พิธีกรรมต่างๆหรือยึดติดในเครื่องรางของขลังเพื่อ
ความศักดิ์สิทธ์ิ เพื่อความขลัง เพื่อความเป็นมงคล หรือรักษาศีล
เพ่ือให้คนอ่ืนรู้ว่า ตนเคร่ง ตนขลัง คือความหลงผิดในความคิดเห็น
เมื่อจิตเกิดความเชื่อม่ันในตนว่าสติปัญญาของตนน่ันแหละ
คือท่ีพึ่งแห่งตน จิตจึงละ สีลัพพตปรามาส ลงได้
(พระโสดาบัน-ผู้แรกเข้าถึงกระแสแห่งนิพพานเห็นความจริง
ในขันธ์ ๕ จะกลับมาเกิดอีกไม่เกิน ๗ ชาติ สามารถละสังโยชน์ได้
ท้ัง ๓ ข้อเบื้องต้นทั้งหมด)

๔. กามราคะหรือโลภะ จิตเกิดความติดใจแนบแน่นอยู่ใน
กามคุณ ของรัก ของใคร่ ของสวย ของงาม อยากได้ อยากมี อยากเป็นฯ
เม่ือจิตเห็นสภาวะกามราคะหรือโลภะเกิดขึ้นกับขันธ์ ๕ เป็น
ของสกปรกน่ารังเกียจ จิตจะลดละหรือปล่อยวางราคะหรือโลภะลง
๕. ปฎิฆะหรือโทสะ จิตเกิดความรู้สึกกระทบกระท่ังของ
รูป-นามในใจ
เมื่อจิตเห็นโทสะเป็นของน่ารังเกียจ จิตจะลดละหรือปล่อยวาง
โทสะลง
(พระสกิทาคามี-ผู้จะมาเกิดในโลกอีกคร้ังเดียว สามารถบรรเทา
โลภะและโทสะให้เบาบางลงได้)

33

(พระท้ังสองข้างต้น ยังสามารถครองเพศฆราวาส ยังมีครอบครัว
อยู่กับบ้านกับเรือนได้ แต่จะไม่ท�ำความช่ัวใดๆ สามารถรักษาศีล ๕
บริสุทธ์ิ จิตจะไม่ตกไปสู่อบายภูมิ โดยเด็ดขาดจึงปิดประตูนรกได้)
(พระอนาคามี-ผู้ไม่กลับมา จะอุบัติในพรหมโลก จิตจะละ
สังโยชน์ ๕ ข้อต้นได้หมด สามารถรักษาศีล ๘ บริสุทธิ์ จึงต้องปลีกวิเวก
หรือบวช จิตจะไม่ตกไปสู่อบายภูมิ โดยเด็ดขาด จึงปิดประตูนรกได้)
๖. รูปราคะ จิตเกิดความหลงติดใจในรูปฌาน ๔ มีความยินดี
พอใจในรูปฌาน
เมื่อจิตเกิดสติปัญญา จิตจึงละความหลงและความหลงยินดี
พอใจในรูปฌานได้
๗. อรูปราคะ จิตเกิดความหลงติดใจในอรูปฌาน ๔ มีความ
หลงยินดีพอใจในอรูปฌาน
เม่ือจิตเกิดสติปัญญา จิตจึงละความยินดีพอใจในอรูปฌานได้
๘. มานะ จิตเกิดความหลงถือตัวว่าเป็นนั่นเป็นนี่ ตนต้องดีกว่าเขา
เม่ือจิตเกิดสติปัญญา จิตจึงละความหลงในมานะลงได้
๙. อุทธัจจะ จิตเกิดความไม่สงบน่ิง ความทึ่ง หลงในความคิด
ความรู้ ความฟุ้งซ่าน
เมื่อจิตเกิดสติปัญญา จิตจึงละความหลงในอุธัจจะลงได้
๑๐. อวิชชา จิตเกิดความหลงและความไม่รู้จริงในขันธ์ ๕
เม่ือจิตรู้แจ้งในอริยสัจ ๔ ชัดแจ้งแล้ว อวิชชาก็จะดับลง ภพชาติ
ของจิตสิ้นสุดลงแล้ว สภาวะนิพพานจึงปรากฏข้ึนแทน

34

(พระอรหันต์ จิตจะละความหลงได้ส้ินท้ัง ๑๐ ข้อ เข้าถึง
พระนิพพานเป็นผู้ไม่กลับมาเกิดในสังสารวัฏเวียนว่ายตายเกิดใน
วัฏสงสารอีก)
สรุป...เม่ือจิตเกิดสติและปัญญาเห็นความจริงว่า...
๑. กายใจหรือรูปนามหรือขันธ์ ๕ น้ัน ไม่ใช่เราและเป็นเหตุ
แห่งทุกข์ทั้งหมด สังโยชน์ข้อ ๑-๓ จะดับลง จิตจะบรรลุพระ-
โสดาบัน
๒. จากน้ันจิตจะพิจารณาความจริงต่อจนเกิดความเบ่ือหน่าย
ในขันธ์ ๕ ที่เป็นภาระในการดูแล บ�ำรุงบ�ำเรอ ตลอดเวลา จิตจึงละ
สังโยชน์ข้อ ๔-๕ ได้บางส่วนจิตจะบรรลุพระสกิทาคามี
๓. เม่ือจิตพิจารณาความจริงต่อจนหมดความยินดี คลายก�ำหนัด
ในขันธ์ ๕ ลง จิตจึงละสังโยชน์ข้อ ๔-๕ ได้ท้ังหมด จิตจะบรรล ุ
พระอนาคามี
๔. ในท่ีสุด...จิตก็จะปล่อยวางขันธ์ ๕ ลงได้ จิตจึงละสังโยชน์
ข้อ ๖-๑๐ได้ท้ังหมด จิตจะบรรลุพระอรหันต์
เมื่อ...ทุกฃ์ดับลงหมดแล้ว ภพของจิตดับลงแล้ว “นิโรธ” หรือ
“สภาวะนิพพาน” ก็ปรากฏขึ้นแก่จิต...ทันที

35

ความจริงแลว ในโลกนี้เราจะหาอะไรๆ
ใหพอดีกับใจที่มีกิเลสราคะ
กิเลสโทสะ กิเลสโมหะน้ัน ไมมีท่ีพอ
ไดเทาไหรมันก็ไมพอ
หลวงปูสิม พุทฺธาจาโร

ต�่ำละที่ผล สูงละที่เหตุ
ฉะน้ัน...การละสังโยชน์เบื้องต�่า จิตต้องเห็นและพิจารณาท่ีผล
จึงเห็นไตรลักษณ์ข้อ ๑,๒ จิตก็เกิดความเบ่ือหน่ายในขันธ์และคลาย
ก�าหนัด ในขันธ์ลง

ส่วนการละสังโยชน์เบื้องสูง จิตต้องพิจารณาที่เหตุ จิตเกิด
ภาวนามยปัญญารู้แจ้งในเหตุของทุกข์ จิตจึงรู้ไตรลักษณ์ข้อ ๓ และ
รู้แจ้งว่า ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ล้วนเป็นอนัตตา จิตจะเกิดอุปทาน ๔ เข้าไป
หลงยึดม่ันถือม่ันไม่ได้
...ดังน้ันจิตจึงปล่อยวางขันธ์อันเป็นเหตุของทุกข์ลงได้ ผลคือภพ
ของจิต ก็ดับลง ภพมีขันธ์อันเป็นท่ีต้ังของทุกข์ เมื่อจิตละภพได้ ทุกข์
ก็ดับไป การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารของจิตตามภพต่างๆ ก็ยุติลง
สภาวะหลุดพ้นจากวัฏสงสารของจิตหรือสภาวะนิพพานจึงปรากฏ
ข้ึนแก่จิต

36

๒๑

พระอรยิ บคุ คลมี ๔ ระดับ

๑. พระโสดาบัน อริยบุคคลผู้แรกเข้าถึงกระแสแห่งนิพพาน
จิตจะกลับมาเกิดในภูมิมนุษย์ เพ่ือท�ำความเพียรต่ออีกไม่เกิน ๗ ชาติ
จิตจึงเกิดสติเห็นความจริงของขันธ์ ๕ และยอมรับความจริงท่ีเห็น
จึงสามารถละสังโยชน์ ๓ ข้อเบ้ืองต้นได้
๒. พระสกิทาคามี อริยบุคคลผู้จะมาเกิดในโลกอีกครั้งเดียว
เมื่อจิตเห็นความจริงแล้วจึงเกิดความเบื่อหน่ายในขันธ์ ๕ สามารถ
บรรเทาราคะ-โทสะ ให้เบาบางลงได้
ทั้งสองอริยบุคคลยังสามารถครองเพศฆราวาส มีครอบครัว
อยู่บ้านเรือนได้ แต่จะไม่ท�ำความชั่วใดๆ สามารถรักษาศีล ๕
บริสุทธ์ิโดยอัตโนมัติ ไม่ตกไปสู่อบายภูมิโดยเด็ดขาด จึงปิดประตู
นรกได้
๓. พระอนาคามี อริยบุคคลผู้ไม่สามารถกลับมาเกิดในภูมิมนุษย์
อีกแล้ว จะอุบัติในพรหมโลกเท่านั้น จะรักษาศีล ๘ ตลอดชีวิตที่
เหลือ จิตเห็นความจริงท้ังหมด ความยินดีในโลภะ โทสะดับลงแล้ว
จิตจึงละสังโยชน์ ๕ ข้อต้นได้
๔. พระอรหันต์ เป็นอริยะบุคคลผู้หมดความหลงในวัฏสงสาร
ท้ังหมดแล้ว จิตจึงสามารถปล่อยวางขันธ์ ๕ คืนโลก สภาวะ
นิพพานจึงปรากฏแก่..จิตพุทธของพระอรหันต์เจ้า..ทันที

37

ความดับทุกข์ช่ัวคราว คือ “นิโรธ” หรือ “นิพพานชิมลอง”
เป็นเพราะจิตยังมีสติและปัญญาเล็กน้อย เห็นและรู้แจ้งความจริง
ในขันธ์ชั่วขณะสามารถเกิดความเบื่อหน่ายหมดความยินดี และ
ปล่อยวางขันธ์ ๕ ลงได้บางขณะเท่านั้น กิเลสก็กลับมาใหม่อีก แต่
จะลดลงไปตามก�ำลังของสติและปัญญาท่ีเพิ่มข้ึน
ความดับทุกข์ถาวร คือ “นิพพาน” หรือ “การพ้นทุกข์” ก็ต่อเมื่อ
จิตเห็นแจ้งความจริงในขันธ์ จนเกิดความเบ่ือหน่าย และหมด
ความยินดี รู้แจ้งตามความจริงในขันธ์จนสามารถปล่อยวางขันธ์
ลงได้ น่ันคือ “การดับขันธ์ปรินิพพาน”

๒๒

พระอรหันตม์ ี ๔ ประเภท

๑. วิปัสโก จิตได้ฟังธรรมแล้ว จิตเกิดสติปัญญาเห็นความจริง
จึงปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นลง
๒. เตวิโช จิตได้วิชชา ๓ ก่อน จิตจึงเกิดสติปัญญาปล่อยวาง
ความยึดมั่นถือม่ันลง
๓. ชละภิญโญ จิตได้อภิญญา ๖ ก่อน จิตจึงเกิดสติปัญญา
ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นลง
๔. ปฎิสัมภิทาญาณ ๔ จิตเกิดเข้าใจถึงหลักเหตุและผล
ตลอดจน รู้จักใช้ภาษาและมีปฏิภาณไหวพริบท่ีจะอธิบายธรรมให้
ผู้อื่นเข้าใจได้ง่ายๆแล้ว จิตจึงเกิดสติปัญญาปล่อยวางความยึดม่ัน
ถือม่ันลง

38

๒๓

วิชชา ๓

คือ จิตเกิดความรู้อันยิ่งยวดเหนือความรู้จากการไตร่ตรอง
ด้วยหลักเหตุผลธรรมดา
๑. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ – เกิดรู้ระลึกชาติได้
๒. จุตูปปาตญาณ – เกิดรู้การเกิดของสัตว์โลกที่เป็นไปตามกรรม
๓. อาสวักขยญาณ – เกิดรู้จักการท�ำกิเลสให้หมดสิ้น

๒๔

อภญิ ญา ๖

คือ จิตเกิดความรู้อันย่ิงยวดเหนือความรู้จากการไตร่ตรองด้วย
หลักเหตุผลธรรมดา
๑. อิทธิวิธี - เกิดความรู้ท่ีท�ำให้แสดงฤทธิ์ต่างๆได้
๒. ทิพย์โสต - เกิดความรู้ที่ท�ำให้มีหูทิพย์
๓. เจโตปริยญาณ - เกิดความรู้ที่ท�ำให้รู้ใจผู้อ่ืน
๔. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ - เกิดความรู้ที่ท�ำให้ระลึกชาติได้
๕. ทิพย์จักษุ - เกิดความรู้ท่ีท�ำให้มีตาทิพย์
๖. อาสวักขยญาณ - เกิดความรู้ท่ีท�ำให้อาสวะหมดสิ้นไป

39

ข้อ ๑-๕ เป็นโลกียอภิญญา
ข้อ ๖ เป็นโลกุตรอภิญญา
ถ้าเพ่ิม ๒ ข้อ ก็เป็นวิชชา ๘
๗. วิปัสสนาญาณ - เกิดความรู้และปัญญาท่ีใช้พิจารณาให้
เห็นกฏของไตรลักษณ์
๘. มโนมยิทธิ - เกิดฤทธิ์ทางใจ

๒๕

ปฏสิ ัมภทิ าญาณ ๔

เกิดความสามารถพิเศษในการรู้ธรรมและชี้ธรรมแก่ผู้อื่น
๑. อัตถปฏิสัมภิทา เกิดความแตกฉานในอรรถ เห็นข้อธรรมใด
สามารถอธิบายและขยายความออกไปได้โดยพิสดาร (เห็นเหตุ รู้ผล)
๒. ธัมมปฎิสัมภิทา เกิดความแตกฉานในธรรม สามารถ
สรุปข้อความได้อย่างกระชับเก็บความส�ำคัญได้หมด (เห็นผล รู้ถึงเหตุ)
๓. นิรุตติปฎิสัมภิทา เกิดความแตกฉานในภาษาหรือความคิด
ต่างๆ สามารถเข้าใจในรูปแบบของตนเองได้ (มีปัญญารู้ เห็นแจ้ง
ในเร่ืองต่างๆในรูปแบบของตนเอง)
๔. ปฎิภาณปฎิสัมภิทา เกิดความมีปฎิภาณไหวพริบดี สามารถ
อธิบายหรือแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าได้ดี ตอบค�ำถาม ได้ชัดเจน
(มีไหวพริบในการใช้ส�ำนวนโวหารและภาษาในการอธิบายข้อ
ธรรมต่อผู้อื่นให้เข้าใจชัดแจ้งได้)

40

๒๖

ทางแห่งการหลดุ พ้น ๕ ทาง

๑. การฟังธรรม
๒. การแสดงธรรม
๓. การสาธยายธรรม
๔. การตรึกตรองและใคร่ครวญธรรม
๕. การปฎิบัติสมาธินิมิต

๒๗

อปุ ทาน ๔ ของใจ

๑. กามุปาทาน..ยึดมั่นถือในกาม
๒. ทิฎฐุปาทาน..ยึดมั่นในความเห็น
๓. ศีลลัพพตุปาทาน..ยึดมั่นในศีล
๔. อัตตวาทุปาทาน..ยึดถือในวาทะตน
เม่ืออยาตนะภายใน กระทบกับอยาตนะภายนอก ท�ำให้เกิด
ตัณหา ๓ ตัณหาเป็นเหตุให้ใจเกิดอุปทาน ๔ อุปทานเป็นเหตุให้
เกิดภพเกิดชาติไม่สิ้นสุด

41

๒๘

นิวรณ์ ๕

เป็นเครื่องขวางกลั้นจิตในการพิจารณาธรรม
๑. กามฉันทะ - ความพอใจในกาม รักสวยรักงาม รักความ
สะอาด ความมีระเบียบ
๒. พยาบาท - ความปองร้าย คิดร้าย ใจร้อน โกรธง่าย
๓. อุทธัจจ กุกกุจจะ - ความฟุ้งซ่าน และ ความร�ำคาญใจ
๔. ถินมิทธะ - ความง่วงเหงาหาวนอน ใจหดหู่
๕. วิจิกิจฉา - ความคิดลังเลสงสัย

๒๙

พรหมวิหาร ๔

ธรรมส�ำหรับผู้ใหญ่ เป็นเคร่ืองอยู่ของอริยะบุคล ประกอบด้วย
๑. เมตตา หมายถึง ความปรารถนาให้ผู้อื่นได้รับสุข
๒. กรุณา หมายถึง ความปราถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์
๓. มุทิตา หมายถึง ความยินดีเมื่อผู้อ่ืนได้ดี
๔. อุเบกขา หมายถึง การรู้จักวางเฉย

42

๓๐

ปฏิจจสมปบาท ๑๒ (อิทัปปจั จยตา)

หรือกระแสชีวิตของเราท่ีด�ำเนินอยู่ตลอดเวลา
๑. อวิชชา - ความไม่รู้ความจริงแท้ของชีวิต (ความไม่รู้อริยสัจ ๔ ,
ไม่รู้ทุกข์) ด้วยความรู้ระดับสูงที่เรียกว่า ญาณ หรือ วิชชา
๒. สังขาร - ความคิดปรุงแต่งสืบเน่ืองของชีวิต
๓. วิญญาณ - ตัวรับรู้หรือกาย - ใจ หรือจิตท่ีรับรู้ และสืบเนื่อง
ของชีวิตหรือปฏิสนธิวิญญาณ
๔. นามรูป - รูปธรรมและนามธรรม หรือตัวกระท�ำ
๕. สฬายตนะ ๖ อยาตนะ ๖ (กาย ๖ ใจ ๖) อันเป็นประตูรับรู้
ท้ัง ๖ วิถีวิญญาณ
๖. ผัสสะ ๖ - การกระทบอันเกิดจากอยาตนะ ๖
๗. เวทนา ๓ - ความรู้สึกพอใจ,ไม่พอใจ หรือกลางๆ
๘. ตัณหา ๓ - ความอยากได้มา อยากให้คงอยู่ อยากให้จากไป
๙. อุปปาทาน ๔ - ความยึดเหนี่ยวผูกพันในสิ่งต่างๆ ตัวกูของกู
๑๐. ภพ ๓๑ - ความมีอยู่ ความสืบต่อแห่งกระแสชีวิตหรือท่ีต้ัง
ของจิต
๑๑. ชาติ - ความเกิดปรากฏข้ึนแห่งรูปนามในภพใดภพหนึ่ง
๑๒. ชรามรณะ - ความแก่และตาย

43

๓๑

ลกั ษณะของ “อวิชชา”

อวิชชา คือ ความไม่รู้ในสภาวธรรม และหลักสัจธรรมมีอยู่ ๘
อย่าง คือ
๑. ไม่รู้ทุกข์
๒. ไม่รู้จักเหตุแห่งทุกข์
๓. ไม่รู้จักความดับทุกข์
๔. ไม่รู้ทางแห่งการดับทุกข์น้ันๆ
(อริยสัจ ๔)

44

๕. ไม่รู้จักอดีต คือ ไม่รู้จักสืบสาวหาสาเหตุในอดีต ว่าสิ่งที่
ปรากฏในปัจจุบันนี้ คือเป็นผลจากเหตุอันใดในอดีต
๖. ไม่รู้อนำคต คือ ไม่รู้จักคาดการณ์ข้างหน้าว่า สิ่งท่ีปรากฏ
ในปัจจุบันนี้จะเป็นเหตุและให้ผลอย่างไรในอนาคต
๗. ไม่รู้จักทั้งอดีตและอนำคต คือ ไม่รู้จักโยงเหตุในอดีต ให้
เชื่อมถึงผลในอนาคต
๘. ไม่รู้ปฏิจจสมุปบำท คือ ไม่รู้จักสภาวธรรมนั้นๆ ตาม
ความเป็นจริง โดยเป็นธรรมท่ีว่าอาศัยกันและกัน เกิดข้ึนถือเป็น
เหตุและปัจจัยซ่ึงกันและกัน ตราบใดท่ียังไม่รู้สัจธรรมเหล่าน้ี ก็จะ
ท�าให้เกิดความหลงผิดเข้าใจผิดต่างๆนาๆเกิดกิเลสท่ีเรียกว่า
“โมหะ” ข้ึน อันเป็นรากเหง้าของอวิชชา โมหะนี่เองท่ีท�าให้เกิดการ
ปรุงแต่ง คือ สังขาร ขึ้น
เม่ือยึดถือสังขารเป็นตัวตน เรา-เขา คือหลงความผิดคิดว่า
ร่างกายน้ีเป็นของเรา สิ่งนี้เป็นของเรา รวมความว่าอวิชชา คือ
ความไม่รู้จักตัวเองคืออะไร ท�าไมจึงต้องเกิดดังนั้น อวิชชาจึงเป็น
ปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารทั้งหลายเกิดข้ึนได้ เพราะมี “อวิชชำ”
เป็นปัจจัยจึงเกิดภพชาติเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารไม่ส้ินสุด

พูดมาก เสียมาก พูดนอย เสียนอย ไมพูด นิ่งเสีย โพธิสัตว
หลวงปูทวด วัดชางให

45

๓๒

มาร ๕ เปน็ อปุ สรรค

อุปสรรคท่ีมาขัดขวางการบรรลุธรรม
๑. กิเลสมาร จิตเกิดกิเลส ๓ ตัญหา ๓ ในขันธ์ ๕ เป็นอุปสรรค
๒. ขันธมาร ความเสื่อม ความไม่เที่ยงของขันธ์ ๕ เป็นอุปสรรค
๓. อภิสังขารมาร จิตเผลอคิดเพ่ือปรุงแต่งขันธ์ ๕ เป็นอุปสรรค
๔. เทวปุตตมาร จิตอยากดีหรือต้องการท�ำความดีเพ่ือบ�ำเรอ
ขันธ์ ๕ เป็นอุปสรรค
๕. มัจจุมาร ความตาย ความแตกสลายของขันธ์ ๕ เป็น
อุปสรรค

๓๓

ขันธ์ ๕

ขันธ์ ๕ หรือกาย-ใจ จึงเป็นเหตุแห่งทุกข์ทั้งมวล เพราะขันธ์ ๕
หรือ กาย-ใจ อันเป็นที่รักใคร่หวงแหนเป็นที่อาศัยของปฏิสนธิ “จิต”
นั้นประกอบขึ้นด้วย
๑. “รูป-กาย” เป็นการรวมตัวของธาตุดิน น้�ำ ลม ไฟ การคงอยู่
ของกาย จึงต้องเป็นภาระในการดูแลบ�ำรุงรักษาธาตุท้ัง ๔ อย่าง
สม�่ำเสมอตลอดอายุขัย ภาระนี้จึงเป็นเหตุแห่งทุกข์ ความเส่ือม
ของกายก็เป็นทุกข์ กายจึงเป็นทุกข์ล้วนๆ

46

๒. “เวทนำ” กายมี (ใจ) ความรู้สึกเป็นสุข ทุกข์ เฉยๆ ติดมาด้วย
เมื่อใจเป็นสุขก็ชอบ เม่ือใจเป็นทุกข์ก็ไม่ชอบ เพราะเวทนามันไม่เที่ยง
มันเป็นไตรลักษณ์ ๓ แต่จิตก็จะดิ้นรนพยายามให้ใจเป็นสุขตลอด
อายุขัย น่ีก็เป็นภาระ เวทนาจึงเป็นเหตุแห่งทุกข์ล้วนๆ
๓. “สัญญำ” เป็นความจ�าได้หมายรู้ท่ีเกิดมาพร้อมกาย ความจ�า
ในอดีตท้ังดีและไม่ดี ต่างก็ถูกลืมเลือนไปได้เพราะสัญญาเป็น
ไตรลักษณ์ ๓ สัญญาจึงเป็นทุกข์ล้วนๆ
๔. “สังขำร” เป็นความคิดปรุงแต่งที่เกิดมาพร้อมกาย ความคิด
ก็คือความฟุ้งซ่านไม่ใช่ความจริง ไม่เป็นปัจจุบันกาล เมื่อใดท่ีจิต
เข้าไปหลง คาดหวังหรือคาดหมายกับวังวนของความคิด จิตก็จะ
เป็นทุกข์ เพราะความคิดเป็นไตรลักษณ์ ๓ ความคิดจึงเป็นทุกข์
ล้วนๆ
๕. “วิญญำณ” เกิดจากสภาวะภายในและภายนอกท่ีผ่าน
อยาตนะเข้ามากระทบกายและใจ เกิดเป็นความรู้ขึ้นมา ความรู้
ต่างๆ ที่เกิดขึ้นต่างก็เป็นไตรลักษณ์ ๓ หากจิตเข้าไปหลงยึดใน
ความรู้เหล่านี้ จิตจะเป็นทุกข์ล้วนๆ

หาไปเถิด หาเทาไหรก็หาไปเถิด ไมไดความสุขหรอก
แตวาไมหาก็ไมได เพราะรางกายอันนี้ เปนของอยูในกามภพ กามภูมิ
ยังตองมีกามกิเลส หามาก็ตองเดือดรอน ไมหาก็ตองเดือนรอนอีก
หลวงปูเทสก เทสรังสี

47

๓๔

เหน็ กับรู้ จงึ นพิ พาน

ด้วยสติท�ำให้จิตเห็นกายใจหรือขันธ์ ๕ ในสภาวะปัจจุบันกาล
จิตเห็นในขณะท่ีจิตรู้สึกตัวทั่วพร้อม การเห็นนี้จึงเป็นการเห็นตาม
ความเป็นจริง ซ่ึงสภาวะจิตโดยทั่วไปจิตจะเพ่งไปนึก ไปคิด หรือ
เผลอใจลอยเป็นส่วนใหญ่ การเห็นขันธ์ในสภาพจิตเช่นน้ีจึงไม่เห็น
ตามความเป็นจริง
ด้วยปัญญาท�ำให้จิตรู้ความจริงของกายใจหรือขันธ์ ๕ ใน
สภาวะปัจจุบันกาลว่าเป็นทุกข์ (รู้อริยสัจ ๔) สาเหตุเพราะกายใจ
มันเป็นอนิจจังจึงเป็นทุกข์ ที่เป็นทุกข์ก็เพราะมันเป็นอนัตตา
ดังนั้น ด้วยสัมมาสติและภาวนามยปัญญา จึงเป็นเหตุเป็น
ปัจจัย ให้..
๑. จิตเห็นและรู้ความจริง ในขันธ์ ๕ ท่ีจิตใช้อาศัยอยู่ในภพชาติ
นี้ว่ามันเป็นไตรลักษณ์ เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ (อริยสัจ ๔)
(ข้อส�ำคัญ ขั้นตอนที่ ๑ ต้องมีครูอาจารย์ชี้แนะ จากนั้นจิตจะ
พิจารณาด้วยตนเองเป็นการรู้เฉพาะตนเอง ตลอดสายจากข้ันตอนที่
๒ ถึง ๔)
๒. จากน้ันจิตจะเห็นและรู้ความจริง ในขันธ์ ๕ เห็นกิเลส ๓
(โลภ โกรธ หลง) ท่ีแผดเผาจิตตลอดเวลา จึงเกิดความเบ่ือหน่าย
ในขันธ์ ๕ จิตจึงเกิด “นิพพิทาญาณ”

48

๓. จิตเห็นและรู้เหตุของเปลวกิเลสนั้น คือ กายหรือรูปขันธ์
เกิดจากธาตุท้ัง ๔ ที่มารวมกันเป็นเช้ือไฟ จิตจึงหมดความยินดี
และคลายความก�าหนัด ความรักในขันธ์ ๕ ลง จิตเกิด “วิรำคะ”
๔. ด้วยภาวนามยปัญญา จิตเกิด “ธำตุรู้” หรือ “ตัวรู้” ขึ้น
รู้ความจริงของขันธ์ ๕ ว่าเกิดจากเชื้อไฟของธาตุ ๔ มารวมตัวกัน
เปลวเพลิงกิเลส ๓ จึงเกิดขึ้นมา หากจิตพรากแยกธาตุ ๔ ซ่ึงเป็น
เชื้อไฟออกจากกัน เปลวไฟหรือกิเลส ๓ ก็ดับลงเอง (ตั้งธาตุ,ท�าลาย
ธาตุ) จิตรู้ความจริงดังน้ี จึงหมดความอาลัยในขันธ์ ๕ อีกต่อไป จึง
ปล่อยวางขันธ์ ๕ ลงคืนแก่โลกไปทันที เม่ือจิตปล่อยวางขันธ์ ๕ ลง
ได้แล้ว (ผู้รู้หรือตัวรู้ก็ดับลง) ขันธ์จึงดับลงสิ้นเชิง ขันธ์ดับ ภพก็ดับลง
ชาติ(การเกิด)จึงไม่มีอีกแล้ว จิตจึงเป็นอิสระหลุดพ้นออกจากการ
เวียนว่าย ตายเกิด ในวัฏสงสาร สภาวะจิตท่ีเป็นอิสระ เช่นน้ี คือ
“สภำวะนิพพำน” ของจิตนั่นเอง

สุขโลกีย มันก็ดีแตใหมๆ สดๆ รอนๆ เทานั้น เหมือนขาวสุก
ที่เราตักใสจานใหมๆ ยังรอนๆ ควันข้ึน ก็นารับประทาน
แตพอตักไวนานจนเย็นชืดก็จะกินไมอรอย
ย่ิงทิ้งไวจนแข็งเปนขาวเย็น ก็ยิ่งกลืนไมลง
พอขามวันก็เหม็นบูด ตองเทท้ิง กินไมไดเลย
หลวงพอลี ธมฺมธโร


Click to View FlipBook Version