The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

F3082B65-3CE1-48E9-8F6A-A60C084DFE0F

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 09764, 2022-11-28 12:05:35

กัณฑ์มัทรี

F3082B65-3CE1-48E9-8F6A-A60C084DFE0F

มหาเวชสันดรชาดก

ตอน กัณฑ์มัทรี

จัดทำโดย
นางสาวเอกระวี ทองปานดี

ม.๕/๒ เลขที่ ๔๔

ประวัติผู้แต่ง

เจ้าพระยาพระคลัง(หน) เกิดในช่วงปลายสมัยอยุธยา รับราชการใน
สมัยสมเด็จพระเจ้าตากสิน โดยมีบรรดาศักดิ์เป็นหลวงสรวิชิต ต่อมา
ในรัชสมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้รับการแต่งตั้ง
ให้เป็นพระยาพิพิฒนโกษา ก่อนจะเลื่อนมาเป็นเจ้าพระยาพระคลัง
เสนาบดีจตุสดมภ์กรมท่า มีผลงานด้านการประพันธ์จำนวนมาก เช่น
สามก๊ก (ฉบับแปล) ราชาธิราช บทมโหรีเรื่องกากี อิเหนาคำฉันท์

ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์กุมาร และกัณฑ์มัทรี ฯลฯ

ความเป็ นมา

มีความเชื่อว่า พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติมาหลายชาติ โดยแต่ละ
ชาติพระองค์ได้บำเพ็ญบารมีแตกต่างกันออกไป ซึ่งมหา
เวสสันดรชาดกเป็นชาติสุดท้ายก่อนจะประสูติมาเป็น

พระพุทธเจ้า ที่มาที่ไปของมหาเวสสันดรชาดก เริ่มต้นขึ้นเมื่อ
พระพุทธเจ้าเสด็จไปที่เมืองกบิลพัสดุ์ พร้อมกับพระอรหันต์สอง
รูป เพื่อจะไปเทศนาโปรดพระบิดาและพระญาติ แต่พระญาติ
เกิดอัตตา ไม่ยอมไหว้พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงแสดงปาฏิ
หารย์ โดยการเหาะเหินเดินอากาศ ทำให้ฝุ่นใต้พระบาทาปลิว
มาติดหัวพระญาติ และมีฝนโบกขรพรรษตกลงมาสู่เบื้องล่าง
ฝนโบกขรพรรษเป็นฝนที่มีสีแดงใสบริสุทธิ์ราวกับทับทิม ถ้า
ต้องการเปียกฝนนั้น ฝนก็จะเปียกเนื้อตัวตามปกติ แต่ถ้าไม่
ต้องการเปียกฝน เม็ดฝนนั้นก็จะระเหยหายไปทันที มื่อเกิด
ฝนโบกขรพรรษขึ้น พระอรหันต์ที่ตามพระพุทธเจ้าไปจึงถามว่า
ฝนนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร พระองค์จึงบอกว่า ฝนนี้เคยเกิดมาแล้ว

ในครั้งที่พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร

เนื้อเรื่องย่อ

พระนางมัทรีได้เสด็จออกจากพระอาศรมเพื่อไปแสวงหาผลไม้
เผือกมันมาเป็นอาหาร ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันอยู่แล้ว แต่ใน
พระทัยของพระนางในวันนี้มีความหวาดหวั่นถึงสองกุมาร คือ
พระชาลีและพระกัณหายิ่งนัก (เพราะเมื่อคืนนี้พระนางทรงฝัน

ร้าย แต่พอทูลให้พระเวสสันดรทรงแก้ความฝันให้พระ
เวสสันดรกลับทรงบอกว่าไม่มีอะไรร้ายแรง แต่จริงๆ แล้วมี
เพราะชูชกเดินทางมาขอสองกุมารจากพระเวสสันดรได้สำเร็จ)
เดินทางไปพลางพระนางก็ร้องไห้คร่ำครวญตลอดเวลา ผลหมาก
รากไม้ที่เคยพบเห็นอยู่มากมายในวันนี้กลับหายไปหมดสิ้น
ทำให้พระนางต้องเดินทางไปไกลกว่าทุกวัน และขณะที่กำลัง
เดินทางจะกลับอาศรม ก็มีเทวดาแปลงกายมาเป็นสัตว์ร้าย อาทิ
ราชสีห์ เสือโคร่ง และเสือเหลืองขวางทางไว้ จนทำให้พระนา
งมัทรีกลับถึงพระอาศรมเป็นเวลาค่ำมากกว่าทุกวัน และพอมาถึง
พระอาศรมพระนางก็เรียกหาลูกทั้งสองก็ไม่มีเสียงตอบตามหาก็

ไม่พบ พระนางมัทรีจึงมาทูลถามพระเวสสันดร

ตอนแรกพระเวสสันดรก็ทรงทำเฉย แต่พอพระนางมัทรีเซ้าซี้
ถามอีก พระเวสสันดรก็ทรงแสร้งทำเป็นโมโหหึงหวงต่อว่าต่อ
ขานพระนางที่กลับมาถึงพระอาศรมจนมืดค่ำ ทั้งยังทรงกล่าว
บริภาษพระนางมัทรีต่าง ๆนานาน พระนางมัทรีได้กล่าวขออภัย
โทษ พระเวสสันดรก็ทรงทำเฉยอีก พระนางมัทรีจึงออกติดตาม
หาสองกุมารตลอดทั้งคืนพร้อมทั้งรำพึงรำพันไปตลอดเวลาด้วย
ความเศร้าโศกเสียพระทัยและความอิดโรยทำให้พระนางมัทรี
มาสลบลงตรงหน้าพระอาศรมพระเวสสันดรจึงทรงแก้ไขจน
พระนางฟื้นขึ้นมา แล้วก็ทรงเล่าความจริง (ที่ได้ทรงมอบสอง
กุมารให้ไปเป็นข้ารับใช้ของชูชก) ให้พระนางมัทรีฟัง พระนา
งมัทรีจึงอนุโมทนาต่อบุตรทานในครั้งนี้ด้วยความปิติยินดียิ่ง
บรรดาทวยเทพยดาก็พลอยยินดีปรีดาไปกับบุตรทานในครั้งนี้
ด้วย จึงพร้อมกับสาธุการสรรเสริญพระอินทร์ผู้เป็นเจ้าแห่ง
ดาวดึงส์สวรรค์ ก็มาโปรดดอกไม้ทิพย์เป็นการบูชาพระนางมัทรี

ด้วย

ลักษณะคำประพันธ์

เป็นแบบร่ายยาว โดยหนึ่งบทจะมีกี่วรรคก็ได้ ส่วนใหญ่จะ
นิยมแต่ง ๕ วรรคขึ้นไป แต่ละวรรคมีจำนวนคำ ๖-๑๐ คำ และ
ใช้คำสร้อย ซึ่งจะมีหรือไม่มีก็ได้ จุดเด่นคือมีคาถาบาลีขึ้นต้น
-ฉันทลักษณ์ของร่ายยาว จะมีการบังคับเฉพาะคำสุดท้ายของ
วรรคก่อนหน้าจะสัมผัสกับคำที่ ๑ ถึงคำที่ ๕ ของวรรคถัดไป
เช่น
“...จึ่งตรัสว่าโอ้โอ๋เวลาปานฉะนี้เอ่ยจะมิดึกดื่น จวนจะสิ้นคืน
ค่อนรุ่งไปเสียแล้วหรือกระไรไม่รู้เลย พระพายรำเพยพัดมารี่เรื่อย

อยู่เฉื่อยฉิว...”

ถอดคำประพันธ์

คืนก่อนที่พระนางมัทรีจะออกจากอาศรมไปเก็บผลไม้ในป่า
พระกุมารทั้งสองฝันร้าย ทำให้พระนางหวั่นวิตกนึกถึงลูกตลอด
เวลาจนน้ำตาอาบแก้มทั้งสองข้าง พลางสังเกตเห็นว่าต้นที่มีผล
ไม้กลับกลายเป็นดอกไม้ ส่วนต้นที่มีดอกไม้กลับกลายเป็นผล
ไม้ขึ้นแทน ส่วนดอกไม้ที่เคยเก็บไปร้อยให้ลูกก็ถูกลมพัดปลิว
ร่วงลงมา เมื่อมองไปรอบทิศก็มืดมัวทุกหนแห่ง ท้องฟ้ากลับ
กลายเป็นสีแดงคล้ายกับลางบอกเหตุร้าย สายตาของพระนางก็
เริ่มพร่ามัว ตัวสั่นใจสั่น ของที่ถือก็หลุดจากมือ คานที่หาบไว้ก็
ร่วงลงจากบ่าซึ่งเหตุการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ยิ่งพระนาง
คิดเท่าไร ก็ยิ่งทุกข์ใจมากขึ้นเท่านั้น ด้วยความหวั่นใจเรื่องลูก
พระนางจึงรีบเก็บผลไม้เพื่อจะได้รีบกลับไปหาลูกที่อาศรม แต่
ระหว่างทางกลับเจอ สิงโต เสือเหลือง และเสือโคร่ง ขวางทาง
ไว้ นางกลัวจนใจสั่นร่ำไห้ คิดไปว่าเป็นกรรมของตนเอง นางจะ
หนีไปทางไหนก็ไม่ได้เพราะถูกสัตว์ทั้งสามกั้นไว้ทุกทิศทางจน
ฟ้ามืด พระนางมัทรีไม่รู้จะทำอย่างไร จึงยกมือไหว้อ้อนวอนขอ
ให้สัตว์หิมพานต์ทั้งสามเปิดทางให้ตน โดยกล่าวว่า

พระนางคือพระนางมัทรีเป็นภรรยาของพระเวสสันดร ตามมา
อยู่ที่อาศรมในป่าด้วยความบริสุทธิ์ใจและกตัญญูต่อสามี นี่ก็
เวลาย่ำค่ำแล้วลูกคงหิวนม โปรดเปิดทางให้พระนางกลับไปที่
อาศรมแล้วตนจะแบ่งผลไม้ให้ จากนั้นไม่นานสัตว์หิมพานต์
ทั้งสามจึงยอมเปิดทางให้พระนางมัทรีก็รีบวิ่งกลับไปที่อาศรม
ด้วยแก้มที่อาบน้ำตา เมื่อถึงที่พักพระนางมัทรีก็ตกใจไม่เห็น
ลูกอยู่ในอาศรม ร้องเรียกหาเท่าไรก็ไม่มีใครตอบ ทั้งที่ก่อน
หน้านี้จะออกมาหาแม่กันพร้อมหน้า ทั้งกัณหาขอกินนม ส่วน
ชาลีจะขอกินผลไม้ พระนางมัทรีเสียใจมาก พร่ำบอกว่าที่ผ่าน
มาก็ดูแลลูกอย่างดีแบบยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม หวังจะกลับ
มาพบลูกให้ชื่นใจ ก่อนหน้านี้ยังได้ยินเสียงลูกเล่นกันอยู่
แถวนี้ นั่นก็รอยเท้าชาลี นี่ก็ของเล่นกัณหา แต่เมื่อลูกหาย
ไปอาศรมกลับดูเงียบเหงาเศร้าหม่น นางจึงไปถามพระ
เวสสันดรว่าลูกหายไปไหน เหตุใดจึงปล่อยให้คลาดสายตา
หากมีสัตว์ป่าจับไปจะทำอย่างไร แต่พระเวสสันดรกลับไม่
ตอบอะไร ทำให้นางกลุ้มใจยิ่งไปว่าเก่า

ด้วยความกลุ้มใจ ตัวก็ร้อน น้ำตาก็ไหล กระวนกระวายพลาง
บอกว่า ไม่เคยมีครั้งใดที่นางรู้สึกแค้นเคืองใจขนาดนี้ เพราะ
นางออกจากเมืองมาก็หวังว่าอย่างน้อยจะได้สุขใจเพราะอยู่
พร้อมหน้ากับลูกและสามี แต่เมื่อลูกหายตัวไป ความหวังนั้นก็
คล้ายจะดับสิ้น พระนางมัทรีอ้อนวอนขอให้พระเวสสันดรตรัส
กับนางบ้าง เพราะการนั่งนิ่งเหมือนโกรธเคืองพระนางมัทรี
นั้นยิ่งทำให้ปวดใจราวกับมีคนเอาเหล็กรนไฟมาแทงที่หัวใจ
หรือเป็นคนไข้ที่หมอนำยาพิษมาให้ดื่ม อีกไม่กี่วันคงสิ้นชีวิต
อย่างแน่นอน เมื่อพระเวสสันดรได้ยินพระนางมัทรีดังนั้น ก็
คิดว่าหากใช้ความหึงหวงคงเป็นวิธีคลายความโศกให้พระนาง
ได้ จึงตรัสว่า ในป่าหิมพานต์แห่งนี้มีทั้งพระดาบสและนาย
พรานจำนวนมาก เจ้าออกไปเก็บผลไม้ตั้งแต่เช้าจนย่ำค่ำ
หากไปทำอะไรในป่าแห่งนี้ก็คงจะไม่มีใครรู้เห็น เหตุใดจึงทิ้ง
ลูกหนีเข้าไปในป่านานถึงเพียงนี้ พอกลับมายังห่วงแต่ลูก
ไม่ห่วงสามีแต่อย่างใด หรือหากไม่นึกถึงสามีก็ไม่ควรหาย

เข้าไปในป่านานถึงเพียงนี้ จะให้เราเข้าใจได้อย่างไร

เมื่อพระนางมัทรีได้ยินดังนั้น จึงกราบทูลว่า เหตุใดพระองค์
จึงไม่ได้ยินเสียงของราชสีห์ เสือโคร่ง และเสือเหลือง เพราะ
สัตว์ทั้งสามนี้ทำให้ทำให้พระนางไม่สามารถกลับอาศรมได้
ทั้งยังเกิดเหตุร้ายหลายประการขณะที่นางเข้าไปในป่า ทั้ง
ของที่ถือก็หลุดจากมือ คานที่หาบไว้ก็ร่วงลงจากบ่า ต้นไม้ที่
เคยผลิดอกก็ออกผล ต้นไม้ที่เคยออกผลก็ผลิดอกออกมา
ชวนให้หวาดกลัวจนตัวสั่น อธิษฐานภาวนาให้ลูกและสามี
ปลอดภัย แล้วรีบกลับมายังอาศรมแต่ถูกสัตว์ร้ายทั้งสามตัว
นอนขวางทางเอาไว้ จึงต้องกราบอ้อนวอนสัตว์ทั้งสามให้เปิด
ทางให้จนพระอาทิตย์ตกดินสัตว์ทั้งสามจึงหลีกทาง แล้วพระ
นางมัทรีก็รีบวิ่งกลับมายังอาศรมนี้ มิได้ไปทำสิ่งใดที่ไม่เหมาะ
ไม่ควรแต่อย่างใด ฝ่ายพระเวสสันดรเมื่อฟังคำตอบของพระ
นามัทรีก็เอาแต่นิ่งเงียบทั้งคืน จนกระทั่งรุ่งเช้า ระหว่างนั้น
พระนางมัทรีโศกเศร้าร่ำไห้ คร่ำครวญว่าตนปฏิบัติต่อสามีดั่ง
ศิษย์ปฏิบัติต่อครู ดูแลลูกทั้งสองแบบยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้

ตอม ทั้งบดขมิ้นไว้ให้อาบน้ำ จัดหาอาหารมาให้

แล้วอ้อนวอนให้สามีเรียกลูกมากินอาหารที่ตนหามา ถามว่า
ลูกอยู่แห่งหนใดเหตุใดจึงยังไม่ยอมออกมา แต่ไม่ว่าจะร้องขอ
อ้อนวอนอย่างไรสามีก็นิ่งเฉยไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา พระนางจึง
ถวายบังคมลาออกไปตามหาลูกทั้งสองในป่าหิมพานต์ เมื่อ

ออกตามหาจนทั่วแล้วไม่พบจึงกลับมาที่อาศรมพบว่าพระ
เวสสันดรยังคงนั่งนิ่งอยู่เหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีผิด พระนางจึง
ตัดพ้อว่า เหตุใดพระเวสสันดรจึงยังนั่งนิ่งอยู่ไม่ลุกมาผ่าฝืน

ตัดน้ำใส่บ่อ หรือก่อไฟไว้อย่างที่เคยทำเป็นประจำทุกวัน
พร้อมกับบอกว่าพระเวสสันดรนั้นเป็นที่รักของพระนางมัทรี
อย่างยิ่ง เมื่อกลับมาจากป่าเห็นพระพักตร์ของพระองค์และได้
เห็นลูกทั้งสองวิ่งเล่น ก็คลายความเหนื่อยล้าเป็นปลิดทิ้ง แต่
วันนี้กลับกลายเป็นความทุกข์ร้อน เศร้าโศก เพราะพระองค์
ไม่ยอมตรัสสิ่งใดกับพระนาง แม้พระนางมัทรีจะได้ออกตาม
หาพระกัณหาและพระชาลีไปทั่วป่า ทั้งราตรี แล้วกลับมาหา
พระเวสสันดรอย่างไรพระองค์ก็ไม่ยอมตรัสสิ่งใดอยู่เช่นเดิม

นางมัทรีสะอื้นไห้จนหมดสติล้มลงกับพื้น

พระเวสสันดรบรรพชาเป็นดาบสมากว่า 7 เดือน ไม่เคยได้
แตะต้องตัวพระนางมัทรี แต่วันนี้ด้วยความเศร้าโศกและ
ตระหนกตกใจเกรงว่าพระนางจะเป็นอะไรไป พระเวสสันดร
จึงเข้าไปตรวจชีพจรดูแลนางจนได้สติตื่นฟื้นขึ้นมา ฝ่ายพระ
นางมัทรีเมื่อฟื้นขึ้นมาก็ทูลถามอีกครั้งว่าลูกทั้งสองอยู่แห่งหน
ใด กลับมาแล้วหรือไม่ พระเวสสันดรจึงตอบว่าตนได้ยกพระ
กัณหากับพระชาลีให้กับชูชกไปแล้ว แต่พระองค์มิได้บอกกับ
พระนางมัทรีตั้งแต่ต้นเกรงว่าพระนางจะเศร้าโศกเสียใจ เมื่อ
ได้รู้ความจริงแล้ว พระนางมัทรีจึงคลายความทุกข์เศร้าลงแล้ว
อนุโมทนาบุญกับบุตรทานที่พระเวสสันดรได้ปฏิบัติในครั้งนี้

ข้อคิดจากเรื่อง

1.ความรักของแม่ที่มีต่อลูกนั้นยิ่งใหญ่นัก เห็นได้จากความเศร้า
โศกเสียใจเมื่อพระนางมัทรีไม่เจอลูกอยู่ในอาศรม สะท้อนให้

เห็นว่าลูกเป็นแก้วตาดวงใจของพ่อแม่
2.ผู้มีปัญญาย่อมแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าได้ดี เห็นได้จาก
พระเวสสันดรที่ทรงมีปฏิภาณไหวพริบเป็นเยี่ยมในการแก้
ปัญหาเฉพาะหน้า เพราะเมื่อทรงเห็นว่าพระนางมัทรีกำลังมีแต่
ความทุกข์เศร้าโศกที่ตามหาสองกุมารไม่พบ พระองค์จึงทรง
เบี่ยงเบนความคิดและอารมณ์ของพระนางด้วยการทำเป็นตัดพ้อ
ต่อว่าด่าทอที่พระนางมัทรีกลับมาถึงพระอาศรมค่ำ มืด เมื่อทรง

เห็นพระนางสร่างโศกแล้วจึงทรงเล่าความจริงให้ฟัง


Click to View FlipBook Version