สถติ แิ ละการวางแผนการทดลองทางการเกษตร
รหสั วชิ า 3500-1001
หน่วยที่ 1
บทนา
นางคธั รียา มะลิวัลย์
แผนกวชิ าสัตวศาสตร์
วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยฉี ะเชิงเทรา
2
หนว่ ยท่ี 1
บทนำ
หวั ขอ้ เรอื่ ง
1. ความหมายและความสาคญั ของสถติ ิ
2. ประเภทของสถติ ิ
3. ประเภทของข้อมูล
4. ระเบยี บและวิธกี ารทางสถิติ
จุดประสงค์กำรเรยี นรู้(นำทำง)
1. เพอื่ ใหม้ ีความรู้และเขา้ ใจเกย่ี วกบั ความหมายและความสาคัญของสถติ ิ
2. เพื่อให้มคี วามรู้และเขา้ ใจเกีย่ วกับประเภทของสถติ ิ
3. เพื่อให้มคี วามรู้และเขา้ ใจเกย่ี วกับระเบยี บและวิธกี ารทางสถติ ิ
4. เพ่ือใหม้ ีความรแู้ ละเข้าใจเก่ียวกับขอ้ มลู ทางสถิติ
จดุ ประสงค์กำรเรยี นรู้(ปลำยทำง)
1. บอกความหมายและความสาคัญของสถิติได้
2. อธบิ ายและจาแนกประเภทของสถติ ิได้
3. อธิบายและจาแนกประเภทของข้อมูลสถิติได้
4. บอกระเบียบและวธิ กี ารทางสถิติได้
เน้อื หำกำรสอน
1. ควำมหมำยและควำมสำคญั ของสถิติ
1.1 ควำมหมำยของสถิติ
คาว่าสถิติ (Statistics) มาจากภาษาเยอรมันว่า Statistics มีรากศัพทม์ าจาก Stat หมายถึง
ข้อมูลหรือสารสนเทศ ซึ่งจะอานวยประโยชน์ต่อการบริหารประเทศในด้านต่างๆ เช่น การทา
สามะโนครัวเพ่ือจะทราบจานวนพลเมืองในประเทศทั้งหมด ในสมัยต่อมา คาว่า สถิติ ได้หมายถึง
ตวั เลขหรือข้อมูลท่ีได้จากการเก็บรวบรวม เช่น จานวนผู้ประสบอุบัติเหตุบนท้องถนน อัตราการเกิด
ของเด็กทารก ปริมาณน้าฝนในแต่ละปี เป็นต้น สถิติในความหมายท่ีกล่าวมานี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
ข้อมูลทางสถิติ (Statistical data) จากน้ันจึงพัฒนาการมาสู่การสามะโน (census) โดยการแจงนับ
(enumeration) ซ่ึงการสามะโนประชากรและครัวเรือนในทุกประเทศจะกระทาเม่ือครบรอบ 10 ปี
ต่อคร้ัง (ประเทศไทยจัดทาในปี 2503, 2513, 2523, 2533, 2543, 2553 และครั้งต่อไป จัดทาในปี
2563)
3
อกี ความหมายหนึง่ สถิติ หมายถงึ วธิ ีการทวี่ ่าด้วยการเก็บรวบรวมข้อมลู การนาเสนอขอ้ มูล
การวิเคราะห์ข้อมูล และการตีความหมายข้อมูล สถิติในความหมายน้ีเป็นท้ังวิทยาศาสตร์และ
ศิลปศาสตร์ เรียกว่า สถิตศิ าสตร์
1.2 ควำมสำคัญของสถิติ
สถิติเป็นเคร่ืองมือท่ีสาคัญในการช่วยตัดสินใจ หรือคาดคะเนเก่ียวกับส่ิงที่ไม่แน่นอน หรือ
ช่วยในการตัดสินใจในกระบวนการงานวิจัยต่างๆ โดยเฉพาะอย่างย่ิงในด้านการวิเคราะห์ข้อมูลและ
การสรุปผลการวิจัย การใช้สถิติเข้ามาช่วยน้ันจะทาให้ผู้วิจัยสามารถดาเนินการหรือช่วยในการ
ตัดสินใจปัญหาท่ีเก่ียวข้องกับความไม่แน่นอน ทาให้งานท่ีได้ออกมาอย่างมีคุณภาพ และก่อให้เกิด
ประโยชน์ในดา้ นตา่ งๆ ดังน้ี
1) ช่วยให้รู้จักวินิจฉัยเร่ืองราวต่างๆ ที่เกิดขึน้ ในชีวิตประจาวัน ทาใหส้ ามารถเขา้ ใจ
ปัญหาและแก้ไขปัญหาได้อย่างถกู ตอ้ ง
2) ชว่ ยให้เกดิ ปญั ญา
3) ชว่ ยในการคาดคะเนเรื่องราวต่างๆ ไดล้ ่วงหนา้
4) ชว่ ยให้วชิ าการด้านตา่ งๆ เจรญิ ก้าวหน้า
5) ชว่ ยในด้านการวจิ ัยและการทดลองในการหาข้อเทจ็ จรงิ
2. ประเภทของสถติ ิ
นักคณิตศาสตร์ได้แบ่งสถิติในฐานะท่ีเป็นศาสตร์ออกเป็นสาขาใหญ่ ๆ 2 สาขาด้วยกัน คือ
สถิติเชิงพ รรณ นา (Descriptive Statistics) และการอนุมานเชิงสถิติ หรือสถิติเชิงอนุมาน
(Inferential Statistics) ซึง่ แต่ละสาขามรี ายละเอียดดงั นี้
2.1 สถิติพรรณนำ (Descriptive Statistics) หมายถึง การบรรยายลักษณะของข้อมูล
(Data) ท่ีผู้วิจัยเก็บรวบรวมจากประชากรหรือกลุ่มตัวอย่างที่สนใจ ซึ่งอาจจะแสดงในรูป ค่าเฉล่ีย
มธั ยฐาน ฐานนยิ ม ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความแปรปรวน เปน็ ตน้
2.2 สถิติเชิงอนุมำน (Inferential Statistics) หมายถึง สถิติที่ว่าด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลที่
รวบรวมมาจากกลุ่มตัวอย่าง เพ่ืออธิบายสรุปลักษณะบางประการของประชากร โดยมีการนาทฤษฎี
ความน่าจะเป็นมาประยุกต์ใช้ สถติ สิ าขานี้ ได้แก่ การประมาณค่าทางสถติ ิ การทดสอบสมมุตฐิ านทาง
สถิติ การวเิ คราะหก์ ารถดถอยและสหสมั พนั ธ์ เปน็ ตน้
3. ขอ้ มูลสถติ ิ (Statistical Data)
คือเซตของตัวเลขที่รวบรวมจากบันทึกของค่าสังเกตหรือการวัดนั่นคือข้อมูลสถิติได้มาจาก
การบันทึกข้อมูลเด่ียวหลายค่า อาจจะเป็นภายในช่วงเวลา หรือภายในเขตพื้นที่หนึง่ ๆ หรอื กลุ่มของ
เซตของข้อมูลใด ๆ โดยจะได้ค่าเป็นตัวเลขอาจจะเป็นตัวเลข ในรูปของความถี่ที่นับได้ เช่น จานวน
ชาย - หญิงท่ีผ่านเข้าในห้างสรรพสินค้าใน 1 สัปดาห์ หรือในรูปของค่าที่คานวณจากค่าวัด เช่น
ค่าเฉล่ียของคะแนนวิชาสถิติของนักศึกษาในห้องเรียนหน่ึง ข้อมูลท่ีเก็บรวบรวมมาได้บางครั้งยังมี
4
รูปแบบที่กระจัดกระจายเป็นรายบุคคล ไม่เป็นระบบ จาเป็นต้องมีกระบวนการจัดกระทาข้อมูล
เหล่านั้นให้เป็นระบบหรือเป็นหมวดหมู่เกิดเป็นสารสนเทศท่ีสามารถนาไปใช้ประโยชน์ เพ่ือสรุป
อ้างอิงไปยังประชากรต่อไป ศาสตร์ที่ถูกนาเข้ามาช่วยในขั้นตอนของการตรวจสอบคุณภาพของ
เครือ่ งมือไปจนถงึ การอา้ งองิ เหล่านี้ เรียกวา่ สถิติ
3.1 ประเภทของข้อมลู
ประเภทของข้อมูลแบ่งตามความสาคัญต่อการนาไปดาเนินการทางสถิติเบื้องต้น และการ
วิเคราะห์สถิติในระดับที่สูงข้ึน อีกทั้งเพ่ือให้สอดคล้องกับระดับของมาตราวัดท่ีได้ศึกษามาจึงแบ่ง
ประเภทของขอ้ มลู ออกเปน็ 2 ประเภท ดังน้ี
1) ข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative Data) ข้อมูลประเภทนี้จะแบ่งลักษณะตัวแปร
ออกเป็นกลุ่มโดยอาจมีการจัดเรียงลาดับได้ด้วย ซ่ึงสอดคล้องกับมาตราวัดแบบแบ่งกลุ่มและแบบ
อนั ดบั เชน่ เพศ, ศาสนา, ระดับการศึกษา ฯลฯ ข้อมลู จะถูกจดบันทกึ ในรูปของความถ่ขี องแต่ละกลุ่ม
การใช้สถิติวิเคราะห์ในการคานวณจะอยู่ในรูปของการเปรียบเทียบระหวา่ งกลุ่มของตัวแปรน้ัน เช่น
ร้อยละ เป็นต้น
2) ข้อมูลเชิงปริมาณ (Quantitative Data) ข้อมูลประเภทน้ีมีความสมบูรณ์ในการ
วัดสูงกว่าข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยการจดบันทึกจะระบุค่าตัวแปรดัวยเลขจานวน ซ่ึงสอดคล้องกับ
มาตราวัดแบบช่วง และแบบอัตราส่วน เช่น อายุ น้าหนัก อุณหภูมิ คะแนนสอบ ฯลฯ การใช้สถิติ
วเิ คราะห์กระทาได้ทุกระดับโดยใช้ค่าเฉลี่ยเลขคณิต และ ความแปรปรวน (ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน)
สามารถวิเคราะห์ในระดับสูงได้ ซ่ึงการจะวิเคราะห์ด้วยตัวสถิติอะไรย่อมขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของ
การวิเคราะห์นั้น ๆ และหากประสงค์จะวิเคราะห์เช่นเดียวกับข้อมูลเชิงคุณภาพก็สามารถทาได้โดย
แบ่งช่วง (Interval) ข้อมูลตัวเลขออกเป็นกลุ่ม ๆ และใช้ความถ่ีนั้นไปวิเคราะห์ได้ แต่ในทางปฏิบัติ
มักจะไม่ทากันเนื่องจากทาให้ข้อมูลในการวเิ คราะห์ด้อยคุณภาพลงโดยใช่เหตุ มีข้อควรพิจารณาอีก
ประการหน่ึง คือ ข้อมูลเชิงปริมาณรวมไว้ด้วยขอ้ มูลที่มีระดับการวัดแบบช่วงและแบบอัตราส่วน ซ่ึง
ระดับการวัดแบบช่วงนั้นไม่มศี นู ย์แท้ ดงั นั้นการจะใช้สถิตวิ ิเคราะหอ์ ยา่ งไรควรใช้ดลุ พนิ ิจให้เหมาะสม
ดว้ ย อย่างไรก็ตามความขัดแยง้ น้ีโดยทัว่ ไปถือว่าเป็นเรอ่ื งเล็กน้อยควรแกก่ ารอนโุ ลม
3.2 แหลง่ ของข้อมูล
แหล่งที่มาของข้อมูล แบ่งออกเป็น 2 แหล่งใหญ่ ๆ ตามลักษณะของข้อมูลที่ตอ้ งการวา่ มีอยู่
แล้วหรือโม่ ถ้ามีเกบ็ รวบรวมไว้แล้วจะคน้ คว้าหาได้จากท่ีใด หรือหากยังไมม่ ีการเกบ็ รวบรวมไว้ก็ต้อง
ดาเนินการใหมเ่ พ่ีอให้ได้ขอ้ มูลน้ัน ๆ มา
1) ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Data) เป็นข้อมูลซึ่งต้องเก็บรวบรวมข้ึนมาใหม่ตามท่ี
ต้องการโดยตรง เนือ่ งจากยงั ไมม่ ีข้อมลู น้ีถูกเกบ็ ไว้ในแหลง่ ใดมาก่อน หรืออาจจะมแี ลว้ แตข่ ้อมูลที่มีอยู่
ล้าสมัย หรือไม่ครบถ้วนตามวัตถุประสงค์ จึงจาเปน็ ทจ่ี ะต้องใช้การสารวจภาคสนาม (Field Survey)
เพ่ีอให้ได้ขอ้ มูลสมบูรณ์ เช่น สามะโน (Census) การสัมภาษณ์ การสังเกต การวดั การจดข้อมูลจาก
การทดลอง ฯลฯ ซ่งึ ทาได้ 2 วธิ ี คอื
5
(1) การสามะโน คือการเก็บรวบรวมข้อมูลจากทุกๆหน่วยของประชากร
หรือเรอื่ งทีเ่ ราต้องการศกึ ษา
(2) การสารวจจากข้อมูลตัวอย่าง เป็นการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง เช่น
การสารวจความพ่ึงพอใจในการทางานของรัฐบาล การศึกษาพฤติกรรมของเด็กวัยรุ่นของไทย ฯลฯ
เราเพียงสมุ่ ตวั อยา่ งใหม้ ากพอในการศึกษาเท่านนั้ ไม่ได้ใหค้ นไทยทั้งประเทศเปน็ คนตอบคาถาม
หมำยเหตุ การเก็บรวบรวมข้อมูลปฐมภูมิ นิยมใช้แบบสัมภาษณ์ การสอบถาม การทดลอง
การสังเกตจากแหล่งข้อมูลโดยตรง โดยไมม่ ีผใู้ ดรวบรวมไว้ก่อน
2) ข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Data) เป็นข้อมูลซ่ึงค้นคว้าหาได้จากแหล่งที่มีผู้
รวบรวมไว้แล้ว ตามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลนั้นๆ เช่น สานักงานทะเบียนต่างๆ โรงเรียน
โรงพยาบาล หอสมุด เป็นต้น เช่น รายงานการส่งออก รายงานอุบัติเหตุบนท้องถนนของปี 2560
เปน็ ต้น
3.3 กำรเก็บรวบรวมข้อมูล
แบง่ ใหส้ อดคลอ้ งกับแหลง่ ขอมูล ดงั น้ี
1) โดยการสารวจภาคสนาม (Field Survey) การสารวจภาคสนาม หมายถึง
กจิ กรรมใดๆ ท่ีจดั ทาเพ่ีอให้ได้ข้อมูลใหมท่ ี่ ต้องการโดยตรงซึ่งการสารวจภาคสนามจะเน้นไปทีว่ ิธีการ
ไดม้ าซึง่ ข้อมูล โดยสอดคลอ้ งกับการหาขอ้ มูลจากแหล่งปฐมภูมิ ซงึ่ มีวธิ ีการต่าง ดงั นี้
- สามะโน โดยทาการแจงนบั (Enumeration) ทกุ หนว่ ยของคา่ ลังเกต
- สังเกตการ (Observation) จดบันทึก ใช้ในกรณีต้องการขอมูลท่ีเป็นจริง
ตาม ธรรมชาติของคา่ สังเกตน้ัน
- การสัมภาษณ์ (Interview) ใช้เม่ือต้องการขอมูลจากคาตอบของผู้ให้
สัมภาษณ์
- แบบสอบถามทางไปรษณีย์ (Mail), ทางโทรศัพท์, โทรสาร (Facsimile)
- การทดลอ ง (Experiment) ซ่ึงมีก ารจัดทากลุ่มควบคุมเพ่ี อ การ
เปรียบเทียบ
2) โดยกรรวบรวมจากเอกสาร (Documentary) การรวบรวมจากเอกสารจะ
สอดคล้องกับแหล่งขอ้ มลู ทุติยภูมิซ่ึงมีการเก็บรวบรวม ข้อมูลไว้แล้ว การเกบ็ รวบรวมข้อมลู กระทาโดย
วธิ ีการเขาถึงแหล่งที่ขอ้ มลู นั้น ๆ มอี ยู่
6
4. ระเบียบวิธีทำงสถิติ (Statistical Method)
ระเบียบวิธีก็คอื กระบวนการหรือข้นั ตอนในการดาเนินงาน ในวชิ าสถติ ิจัดระเบียบวิธีออกเป็น
4 กระบวนการ ดังน้ี
4.1 กำรเกบ็ รวบรวมข้อมูล (Collecting of Data) คอื กระบวนการในการรวบรวมข้อมลู ซึ่ง
มีหลากหลายวิธีขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการนาข้อมูลไปใช้ประโยชน์ และชนิดหรือแหล่งของข้อมูล
นั้น ๆ แต่ถึงแม้จะมีจานวนวิธีปลีกย่อยมากหากพิจารณาภาพรวม อาจถือได้ว่า มี 2 วิธีใหญ่ ๆ คือ
- การเกบ็ รวบรวมข้อมลู โดยการสารวจภาคสนาม
- การเกบ็ รวบรวมข้อมลู โดยรวบรวมจากเอกสาร
4.2 กำรนำเสนอข้อมูล (Presentation of Data) คือการนาข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาได้ ซึ่ง
เรียกว่า ข้อมูลดิบ (Raw Data) มาจัดระเบียบข้อมูลเสียใหม่ เพื่อให้ดูเข้าใจง่ายขึ้นหรือเพี่อความ
สะดวกในการนาไปวเิ คราะห์เป็นขั้นตอ่ ไป การนาเสนอข้อมูลกระทาได้หลายแบบข้ึนกับลกั ษณะของ
ขอ้ มูล และระดับของรปู แบบที่ต้องการนาเสนอ เช่น อาจอยู่ในรูปของตาราง ในรูปของแผนภูมิแบบ
ต่าง ๆ ในรปู แผนภาพหรือแผนท่สี ถิติ เปน็ ต้น
ข้ันตอนของการนาเสนอข้อมูล คือการนาข้อมูลดิบที่ได้จากการเก็บรวบรวมมาจัดระเบียบ
ข้อมูลใหม่ เพ่ีอความสะดวกในการนาเสนอให้เกดิ ความเข้าใจในข้อมูลน้ัน และเพ่ือการวเิ คราะห์ข้อมูล
ในลาดับต่อไป การนาเสนอข้อมูลแบ่งออกไดเปน็ 2 แบบ คอื
1) การนาเสนอโดยไมม่ แี บบแผน (Informal Presentation)
(1) นาเสนอเปน็ บทความหรือรายงาน เปน็ การนาเสนอโดยเขยี นเปน็ บทความใช้การ
บรรยายเพียงอย่างเดียว ในการบอกกล่าวใหท้ ราบรายละเอียดของข้อมลู
(2) นาเสนอเป็นบทความกึ่งตาราง เป็นการนาเสนอโดยเขียนเป็นบทความเช่นกัน
แตม่ กี ารแยกสว่ นตวั เลขใหเ้ ดน่ ชัด ช่วยใหอ้ า่ นงา่ ยข้นึ
2) การนาเสนอโดยมแี บบแผน (Formal Presentation)
เป็นการนาเสนอโดยการจัดรูปแบบของข้อมูลให้เป็นระเบียบสะดวกแก่การทาความเข้าใจ
และการนาไปใชป้ ระโยชน์ แบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือ
(1) นาเสนอเป็นตาราง (Table) แบ่งเป็นชนดิ ตา่ งๆ ดงั นี้
- ตารางแจกแจงความถี่
- ตารางทางเดียว ( One-way Table )
- ตารางสองทาง (Two-way Table)
- ตารางหลายทาง(Multiple-way Table)
(2) นาเสนอเป็นกราฟหรือแผนภมู ิ (Graph or Chart) แบง่ เปน็ ชนิดตา่ งๆ ดังนี้
- แผนภูมิแท่ง (Bar Chart)
- แผนภมู ิเส้น (Line Chart)
7
4.3 กำรวิเครำะห์ข้อมูล (Analysis of Data) คือการนาข้อมูลที่จัดระเบียบในขั้นการ
นาเสนอข้อมูลแล้วมาเข้าข้ันตอนของการคานวณเพอ่ี หาค่าของฟังก์ชัน หรอื สูตรต่าง ๆ ท่ตี ้องการหา
ค่าหรอื อาจจะทาการเปรยี บเทียบคา่ กล่าว โดยรวมก็คือขึน้ ของการประมวลผลข้อมูลน่ันเอง
4.4 กำรแปลควำมหมำย (Interpretation of Data) หรือการตีความหมายเป็นขั้นอธิบาย
ผลจากการวิเคราะห์รวมไปถึงการสรุป และประเมินผลหรือข้อเสนอแนะเป็นขั้นตอนสุดท้าย
เพื่อตอบสนองวัตถปุ ระสงคข์ องการศกึ ษาซ่งึ เร่มิ มาตง้ั แตต่ ้น