หน่วยท่ี 6
อาหารและการให้อาหาร
79
หัวขอ้ เรื่อง
1. ประเภทและวตั ถดุ ิบอาหารสัตวป์ กี
2. การใหอ้ าหารสัตวป์ ีกที่ให้เนอื้
3. การใหอ้ าหารสตั ว์ปกี ท่ีใหไ้ ข่
จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1. อธบิ ายประเภทและวตั ถุดิบอาหารสัตว์ปกี ได้
2. อธิบายการใหอ้ าหารสตั ว์ปกี ท่ีใหเ้ นื้อได้
3. อธบิ ายการใหอ้ าหารสตั ว์ปกี ท่ีให้ไขไ่ ด้
เนอ้ื หาการสอน
การเล้ยี งสตั วป์ ีกจะประสบผลสาเร็จไดนน้ั มีปัจจัยท่ีสาคญั คอื การจดั การอาหารสัตว์ทด่ี ี ทั้งนี้เพราะว่าต้นทุน
ในการเลี้ยงสัตว์ปก 70-80 % เปน็ คา่ อาหาร ดังน้ันอาหารจงึ เปน็ ปัจจัยสาคญั ท่ีผู้เลี้ยงสัตว์ทุกคนจะต้องมีความรู ความ
เขา้ ใจเก่ียวกับการเลือกใช้อาหารและการให้อาหารสัตว์ปกี ทถ่ี ูกต้อง เพอื่ ลดต้นทุนคาอาหารให้มากท่ีสุดขณะเดียวกันก็
ต้องจัดการใหส้ ัตวป์ กี ไดผลผลิตสูงสุดด้วย
1. อาหารสตั วป์ ก
อาหารสัตว์ปก หมายถึง ส่ิงท่ีสัตว์ปีกกินเข้าไปแล้วไม่เกิดโทษ สามารถย่อย (digested) และดูดซึม
(absorbed) ในร่างกายของสตั ว์ปีกได้และจะเปลี่ยนสารอาหารให้เปน็ ผลผลิตต่าง ๆ เช่น เนอื้ ไขนอกจากน้ีสตั ว์ปกี ยังใช้
อาหารเพอ่ื การดารงชีพ และซ่อมแซมสว่ นทสี่ กึ หรอ ดงั นัน้ การเลอื กใช้อาหารทดี่ ีและมีคุณภาพมาเล้ียงสัตว์ปก จะทาให้
ผู้เลีย้ งไดรับผลตอบแทนสูงสุด โภชนะในอาหารสัตว์ปีกมีหลายประเภท เหมือนกับอาหารสัตว์ทั่วไป ซงึ่ แต่ละประเภทก็
มคี ณุ สมบตั แิ ตกต่างกนั ออกไป เชน่ โปรตีน คารโ์ บไฮเดรต น้า ไขมนั วติ ามิน และแรธาตุ
1.2 ประเภทและวัตถุดิบอาหารสัตวป์ กี
โภชนะในอาหารสัตว์ปีกมีหลายประเภท เหมือนกับอาหารสัตว์ทั่วไป ซึ่งแต่ละประเภทก็มี
คณุ สมบัตแิ ตกตา่ งกนั ออกไป โดยแบ่งอาหารสตั ว์ออกเป็น หมวดหมู 6 ประเภท ดังน้ี
1) โปรตีน เป็นสารประกอบท่ีสาคัญต่อการเล้ียงสัตว์ทุกชนิด ประกอบด้วยกรดอะมิโนชนดิ
ต่างๆ เป็นสารอาหารท่ีช่วยในการสร้างเน้ือเยื่อท่ีจาเป็นต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย เช่น ขน เล็บหนัง
กระดูก อวัยวะภายในต่าง ๆ เม็ดเลือดแดง และเป็นส่วนประกอบของผลผลิต เช่น เน้ือ ไข และโปรตีนยังมี
หน้าที่อกี หลายอย่าง เช่น เป็นเอน็ ไซม์ (enzyme) เปน็ ฮอร์โมน (hormones) เป็นภมู ิคมุ้ กัน (immunological
action) ซ่อมแซมส่วนท่ีสึกหรอ และสะสมไวเป็นอาหารสารองของร่างกาย แหล่งของโปรตีนท่ีไดจากสัตว์คือ
ปลาปน่ เศษเน้ือปน่ และแหล่งอาหารโปรตีนจากพืชส่วนมากไดจากเมลด็ ธัญพืช เช่น ถ่ัวเหลอื ง และปาลม
80
ปลาปน่ เบอร 1 ปลาป่นเบอร 2
ปลาปน่ เบอร 3 ขนไก่ปน่
ภาพท่ี 6.1 วตั ถดุ ิบอาหารสตั ว์ประเภทโปรตีนจากสตั ว์
กากปาลมเน้อื ใน กากถว่ั เหลอื ง
ภาพท่ี 6.2 วัตถดุ บิ อาหารสตั ว์ประเภทโปรตีนจากพืช
2) คารโ์ บไฮเดรต เปน็ สารอาหารจาพวกแป้งและน้าตาล มหี น้าทใี่ หพ้ ลงั งาน ให้ความอบอนุ่ และช่วย
ให้ไกอวน คาร์โบไฮเดรต เป็นแหล่งในการให้พลังงานแกร่างกาย เพื่อนาไปใช้ในการทางานของอวัยวะต่างๆ
เพ่ือการดารงชีพ การเจรญิ เติบโต และการให้ผลผลติ เช่น ไข ฯลฯ
คาร์โบไฮเดรต ถือเปน็ อาหารหลกั เพราะเป็นส่วนประกอบในสตู รอาหารประมาณ 38-61 % ขน้ึ อยกู่ ับ
อายุสตั ว์ สตั ว์อายุน้อยจะใช้คาร์โบไฮเดรตน้อยกว่าสัตว์อายมุ าก คาร์โบไฮเดรตแบ่งเป็น 2 ประเภทตามลักษณะ
ความยากง่ายในการย่อย คือ ประเภทน้าตาล และประเภทแป้งกับเยื่อใย แหล่งของคาร์โบไฮเดรตในอาหาร
สัตว์ส่วนใหญ่จะอยู่ในพืชประเภทหัว หรือพวกเมล็ดธัญพืช ไดแก ข้าว ข้าวโพด ถ่ัวต่าง ๆ มันสาประหลัง
รา่ งกายสตั ว์จะต้องย่อยคาร์โบไฮเดรตเป็นกลูโคสก่อนจงึ จะดดู ซมึ ไปใช้ได
81
เมล็ดข้าวโพด ข้าวโพดซกี
ขา้ วโพดปน่ ปลายขา้ ว
ปลายข้าวโม่ ราละเอยี ด
ภาพท่ี 6.3 วัตถุดบิ อาหารสตั ว์ประเภทคาร์โบไฮเดรตพวกผลิตภัณฑ์จากเมลด็ ธญั พืช
มนั สาปะหลัง มนั เสน้ ตากแหง้
ภาพที่ 6.4 วตั ถดุ ิบอาหารสัตว์ประเภทคาร์โบไฮเดรตพวกพืชประเภทหัว
82
3) น้า เป็นส่วนประกอบที่สาคัญของร่างกาย ร่างกายไกมีน้าเป็นส่วนประกอบประมาณ 60-70 %
ลูกไกอายุ 1 วัน มนี า้ เป็นองค์ประกอบ 85% และจะลดลงเม่อื อายมุ ากขนึ้ แม่ไกตองการนา้ วันละประมาณ 0.5
ลิตร น้ามีหน้าที่สาคัญต่อร่างกาย เช่น ช่วยในการย่อย การดูดซึม การรักษาระดับความร้อนปกติในร่างกาย
และช่วยในการขบั ถา่ ยของเสียออกนอกร่างกาย น้านบั เปน็ สารอาหารท่ีจาเป็นและมคี วามสาคญั ทสี่ ุด เพราะถ้า
ไก่ขาดน้าจะทาใหไ้ กไมอยากกินอาหารและอาจถงึ ตายได ดังนัน้ จะต้องหาภาชนะใสนา้ จืดสะอาดตง้ั ไวให้ไกกิน
ตลอดเวลา หากไกขาดนา้ จะแคระแกร็น และการสญู เสียน้าเพยี ง 10 % ของร่างกาย ไกจะตายได
4) ไขมัน เป็นแหล่งให้พลังงานแกร่างกายเช่นเดียวกับคาร์โบไฮเดรต แต่ให้พลังงานมากกว่า
2.5 เทา และยังให้กรดไขมันบางชนิดท่ีจาเป็นสาหรับร่างกาย ให้ความอบอุน ทาให้อ้วนและช่วยเพมิ่ ความน่า
กินของอาหาร สวนมากจะไดจากไขมันสัตว์และน้ามันพืช หากปริมาณไขมันมากเกินไปจาใหไ้ ก่ถ่ายเหลวหรือ
ท้องเสีย ทาให้พ้ืนเปียกแฉะวัสดุรองพื้นจะเสียเร็ว แหล่งของไขมันไดจากอาหารหลายชนิด เช่น น้ามันและ
ไขมนั จากพชื จาพวกขา้ วโพด เมล็ดฝ้าย งา เมล็ดทานตะวัน ถ่วั ต่างๆ สาหรับน้ามันจากสตั ว์ไดแก ไขมันจากนม
จากร่างกายสตั ว์และน้ามนั ตับปลา
5) วติ ามนิ จาเป็นต่อการเจริญเตบิ โตและการดารงชวี ิตของสัตว์ปีก ชว่ ยสร้างความแข็งแรงและความ
กระปรี้กระเปร่าแกร่างกาย สร้างความต้านทานโรค และบารุงระบบประสาท แต่ร่างกายต้องการในปริมาณ
นอ้ ย แต่ขาดไมไดเพ่ือให้ปฏิกิริยาต่างๆ ในร่างกายดาเนนิ ไปตามปกติ วติ ามนิ แบง ออกเปน็ 2 กลมุ่ ใหญ่ๆ ตาม
คุณสมบัติในการละลาย คือ วิตามินที่ละลายในไขมัน ไดแก วิตามิน เอ ดี อี เค และวิตามินที่ละลายในน้า ได
แก วิตามิน บี และ ซี หากไกขาดจะทาให้โตช้าและเป็นโรคขาดวิตามินตามชนิดท่ีขาดแหล่งของวิตามินมีตาม
ธรรมชาติจะอยู่ร่วมกับไขมันในวัตถุดิบอาหารสัตว์ การดูดซึมต้องอาศัยน้าดี (bile) วิตามินพวกนี้สะสมใน
ร่างกายสัตว์ไดในรูปของเน้ือเยื่อ ไขมัน และสามารถดึงมาใช้ไดในยามร่างกายขาดอาหาร หรือมีการเสริม
วิตามินลงในอาหารตามชนิดและอายขุ องสัตว์ปกี
6) แรธาตุ เป็นส่วนประกอบท่ีสาคัญของโครงสร้างร่างกายสัตว์ปีก ในสัตว์ที่กาลังเจริญเติบโต
แคลเซียมมคี วามจาเปน็ ในการสร้างกระดูก ในไกไขแคลเซยี มจาเปน็ ในการสร้างเปลอื กไข รา่ งกายสัตว์มีแรธาตุ
เป็นส่วนประกอบอยูประมาณ 3% ของน้าหนักตัว แรธาตุที่สาคัญไดแก แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม
โซเดียม คลอรีน เหล็ก กามะถัน ไอโอดีน ทองแดง โคบอล แมงกานีส และสังกะสี แหล่งของแรธาตุในอาหาร
สตั ว์ไดแก เปลอื กหอยปน่ หินปนู ป่น กระดกู ป่น และแกลบกุง
ในอาหารสัตว์ปีกนอกจากจะประกอบด้วยอาหาร 6 ประเภทแล้วยังต้องมีสารเสริมอาหาร หรือวัตถุ
เติมในสูตรอาหารสัตว์ (feed additives) ที่ไม่ใช่โภชนะโดยตรงแต่เป็นสารท่ีเติมลงไปในอาหารเพื่อช่วย
ปรับปรุงคณุ ภาพอาหาร ทาใหส้ ตั ว์ปกี ใชป้ ระโยชนจากอาหารไดมากขน้ึ ดังนี้
1) สารยับยง้ั การเจริญเตบิ โตของจลุ นิ ทรยี ์ เช่น ยาปฏิชวี นะ เพนิซลิ ลิน และออกซเี ตตร้า-ไซคลีน
2) สารเร่งการเจริญเติบโต เช่น ฮอร์โมนสังเคราะหหรือสารคล้ายฮอร์โมน จาพวกไดเอทธิลสทิลเบส
ทรอล (DES), เมเลนเจสทรอลอาซีเตท (MGA) การใช้สารเร่งการเจรญิ เติบโต ควรคานึงถึงความปลอดภัยของ
ผบู้ ริโภค สารบางอย่างเป็นสารหา้ มใช้กบั กจิ การเลยี้ งสัตว์โดยมีกฎหมายควบคมุ อย.
3) ยาถา่ ยพยาธิ เช่น ไทอาเบนดาโซลและปเปอราซนี
83
4) สารปรงุ แต่งรสชาติ เช่น กากนา้ ตาล (molasses)
5) สารปอ้ งกันหนื เช่น เอทธอไซควนิ , บิวทีเลทไฮดรอกซีโทลนี (BHT) และบิวทเี ลทไฮดรอกซีอานีโซล
(BHA)
6) สารปอ้ งกันเชื้อรา เช่น เบนโซเอท และควโิ นซาลีน
7) สารปอ้ งกันโรคบดิ เช่น แอมโพรเลยี ม และบวิ ทีโนเรท
ในวัตถดุ บิ อาหารสัตว์บางชนิดอาจมีสารพิษหรอื สารยับยงั้ การเจริญเติบโตอยู่ส่วนใหญ่แล้วสารเหล่านี้
เป็นสารที่พืชผลิตขึ้นมาหรือพืชอาจดูดซึมมาจากดินแลวสะสมตกค้างอยู่ เมื่อสัตว์กินเข้าไปจะมีผลชะงักการ
เจริญเติบโต สัตว์อาจแสดงอาการเป็นพษิ และอาจถึงตายไดดังน้ัน ผู้เล้ียงสัตว์จาเป็นจะต้องทราบว่ามีวตั ถุดิบ
ชนิดใดบา้ งท่ีมีสารพิษตกค้างอยู่ภายใน เมอ่ื ทราบแล้วก็หาวิธแี กไขให้วัตถุดิบเหล่าน้ันมคี วามปลอดภัยเม่ือสัตว์
กินเข้าไป นอกจากพิษจะอยู่ในพืชแลว แรธาตุบางชนิดก็เป็นพิษต่อสัตว์ไดเช่นกัน สารพิษและสารยับยั้งการ
เจริญเตบิ โตในอาหารสตั ว์มหี ลายชนดิ เช่น
1( สารพษิ อะฟลาทอกซิน (aflatoxin) ในเป็ดโดยเฉพาะลกู เป็ดมีความทนทานต่อพิษของอะฟลาทอก
ซินต่าสุด สัตว์ท่ีไดรับพิษของอะฟลาทอกซินเข้าไปจะกนิ อาหารไดนอ้ ยลง เติบโตช้า ซึม ซีด เกิดอาการดีซ่าน
วิธีแกไขไม่ให้เกิดอะฟลาทอกซินวิธีที่ง่ายและประหยัดท่ีสุดก็คือ นาวัตถุดิบอาหารไปตากแดดให้แห้งสนิทให้
เหลือความชนื้ ไมเกิน 12% จะแกปญหาการเกิดพษิ อะฟลาทอกซนิ ได
2) สารพิษไมโมซิน (mimosine) เป็นสารพิษที่มีอยู่ในใบกระถิน มีอยู่ในปริมาณ 2-4% ของโปรตีน
ทั้งหมด ในใบกระถินใบอ่อนจะมีประมาณ 4% ซึ่งมากกว่าในใบแกประมาณ 3 เทา ในเมล็ดมีมากถึง 7% พิษ
ของไมโมซินจะทาให้เกิดโรคคอพอกในสัตว์เนือ่ งจากร่างกายไมผลิตฮอร์โมนไทรอกซิน ในสัตว์ปีกจะทาให้ขน
ร่วง ในสูตรอาหารสัตว์ปีกไมควรเกิน 5% การทาลายพิษของไมโมซินทาไดโดยใช้ความร้อนอบใบกระถินที่
อุณหภมู ิ 70 ° C นาน 12 ช่ัวโมง
3) สารพิษแทนนิน (tannin) พบในพชื อาหารสัตว์หลายชนิด โดยเฉพาะพืชตระกูลหญ้า เช่น ข้าวฟ่าง
และในพืชตระกลู ถัว่ จะมีรสฝาด ขม ทาใหค้ วามน่ากินลดลง แทนนินจะทาใหโ้ ปรตีนตกตะกอน การย่อยไดของ
โปรตีนลดลง เพราะจะไประงับการทางานของเอนไซม์อะไมเลส ทริปซินและไลเปส อาจจะทาให้สัตว์ทองอืด
เน่ืองจากโปรตีนไม่ย่อยได้ การลดพิษของแทนนนิ อาจทาได้โดยการบดเมล็ดข้าวฟ่างให้เลก็ ลง หรอื ใช้ความร้อน
70-80 ° C ก็ทาใหพ้ ษิ แทนนินลดลงได้ในสูตรอาหารสัตว์ควรใช้ข้าวฟ่างเป็นส่วนผสมไดไมเกนิ 50%
4) สารพิษไซยาไนด์ (cyanide) มีอยู่ในมนั สาปะหลัง ข้าวโพด และพชื ตระกลู ถว่ั บางชนิด เม่อื สัตว์กิน
พืชทม่ี ีสารนเี้ ข้าไป น้าย่อยในกระเพาะจะไปทาใหเ้ กิดกรดไฮโดรไซยานิก ซ่งึ เปนสารพิษ ส่วนของใบพชื จะมีสาร
น้ีอยู่มากกว่าส่วนของลาต้นและหัว พษิ ของกรดไฮโดรไซยานิกจะทาใหร้ ะบบประสาทส่วนกลางถกู ทาลายอาจ
ทาให้สตั ว์ช็อคตายได้การแกไขไม่ให้เกดิ พษิ ของไฮโดรไซยานิกทาได้โดยสับมนั สาปะหลังเปน็ ชนิ้ เลก็ ๆ แล้วตาก
แดด 3-4 แดด จนแห้งกจ็ ะทาลายพิษได
84
5) ทริปซินอินฮิบิเตอร (trypsin inhibitor) เป็นสารยับยั้งการเจริญเติบโตของสัตว์ มีอยู่ในเมล็ดถั่ว
เหลอื งดิบ จะยบั ยงั้ การทางานของเอนไซม์ทริปซนิ ในการย่อยโปรตนี ทาใหก้ ารย่อยไดของโปรตนี ลดลง สัตว์จะ
เกิดอาการทองอืด วิธีแกไขคือ ตองอบหรือน่ึงถ่ัวเหลืองให้สุกที่อุณหภูมิ 100 ° C นาน 20 นาที ก็จะทาลาย
พิษทรปิ ซินอนิ ฮิบิเตอรได
6) กอสไซปอล (gossypol) เปน็ สารพิษที่มอี ยู่ในต่อมสีของเมล็ดฝ้าย สวนท่ีเป็นพษิ คือ สวนของกอส
ไซปอลอิสระ (free gossypol) ถา้ สตั ว์ไดรับเขา้ ไปมากๆ อาจทาใหส้ ัตว์ตายไดโดยเฉพาะสัตว์กระเพาะเด่ียวพิษ
ของกอสไซปอลจะทาให้สัตว์กนิ อาหารลดลง อัตราการเจริญเติบโตและประสิทธิภาพการเปลี่ยนอาหารลดลง
พิษของกอสไซปอลจะทาให้สัตว์หัวใจวายและตายได การแกไขการเป็นพิษจะเสริมเหล็กซัลเฟตในอาหารทม่ี ี
กอสไซปอลประมาณ 4 เทาของกอสไซปอลท่ีมีอยู่
7) แรธาตุต่าง ๆ ที่เป็นพิษ เกิดเนื่องจากสัตว์ไดรับแรธาตุมากเกินไป เช่น จากอาหารพืชท่ีปลูกใน
บรเิ วณท่มี ีแรธาตุบางชนิดสะสมอยูมาก หรอื อาจไดจากสภาพแวดล้อม โดยหายใจเข้าไปแล้วเกิดการสะสมพิษ
จนถึงขีดอนั ตราย ไดแก ปรอท ตะก่วั ฟลูออรนี โมลิบดนี มั ซลี ีเนียม นอกจากนีย้ ังมีกลุ่มสารท่ีก่อใหเ้ กดิ สารพิษ
เช่น ไนเตรต อ๊อกซาเลต
1.2 ลักษณะของอาหารสัตว์ปกี
ลักษณะของอาหารสัตว์ในปัจจุบนั อาหารสัตว์มหี ลายรปู แบบโดยขน้ึ อยกู่ ับการผลิต ความตอ้ งการของ
ผู้ใช้ และอายุของสตั วป์ กี รูปแบบของอาหารสตั วป์ กี ทใ่ี ชใ้ นปจั จุบันไว้ ดงั น้ี
1) อาหารป่น (mash feed) เปน็ อาหารท่ผี สมมาจากวตั ถุดบิ อาหารสัตว์ชนิดตา่ ง ๆ โดยผสม
ตามสตู รอาหารที่ไดค้ านวณไว้แล้วตามอายขุ องไกไ่ ข่ ลกั ษณะของอาหารปน่
ภาพที่ 6.5 อาหารปน่
2) อาหารข้นหรือหัวอาหาร (concentrate) เป็นส่วนผสมของวัตถุดิบอาหารสัตว์ท่ีเป็น
แหล่งโปรตีน วิตามิน แร่ธาตุต่าง ๆ และกลุ่มอาหารเสริม ผู้เล้ียงจะนาอาหารข้นไปผสมกับวัตถุดิบที่ใช้เป็น
จานวนมากตามสัดส่วนในสตู รอาหาร ได้แก่ รา ปลายข้าว หรอื ข้าวโพด ซ่งึ ผ้เู ล้ียงสามารถเลือกซือ้ วตั ถุดบิ ราคา
ถูกทม่ี ใี นทอ้ งถน่ิ หรอื เลือกซ้ือตามฤดกู าล การใชห้ ัวอาหารนยิ มใช้กบั การเล้ียงไกร่ ุ่น และไกท่ ี่กาลงั ให้ไข่
85
ภาพท่ี 6.6 อาหารขน้ หรอื หวั อาหาร
2.3 อาหารอัดเม็ด (pellet feed) การใช้อาหารอัดเม็ดในการเล้ียงสัตว์ปีกในปัจจุบันเป็นท่ีนิยมกัน
มาก เนื่องจากมีความสะดวกลดฝุ่น ละอองในอาหาร และไก่ได้รับโภชนะต่างๆ ครบถ้วน แต่อาหารอัดเม็ดมี
ราคาแพง อาหารอัดเมด็ ที่ใชเ้ ล้ยี งสตั วป์ ีกมี 2 แบบ คอื
1) อาหารอัดเมด็ ใหญ่ (pellet) เป็นการนาอาหารผสมของไกไ่ ขม่ าอัดเมด็ ขนาด 3-
5 มลิ ลเิ มตร นิยมใชเ้ ล้ยี งไกใ่ หญ่ อาหารอัดเม็ดใหญ่
2) อาหารอัดเม็ดบดหยาบหรืออาหารเกล็ด (crumble) เป็นการนาอาหารอัดเม็ดมาบดให้
แตกอยา่ งหยาบๆ นิยมใช้เลีย้ งสัตว์ปกี ท่มี อี ายนุ ้อย
อาหารอดั เม็ดใหญ่ อาหารอัดเมด็ บดหยาบหรอื อาหารเกลด็
ภาพท่ี 6.7 อาหารอัดเม็ด
86
3. การให้อาหารสัตวป์ ีก
3.1 ปจั จัยทม่ี คี วามส้าคัญตอ่ ความตอ้ งการอาหารของไก่เนือ้
การเลี้ยงสัตว์ปีกอาหารเป็นปัจจัยหนึ่งท่ีมีความสาคัญอย่างย่ิง เน่ืองจากอาหารสัตว์ปีกในปัจจุบันมี
ราคาแพง และต้องใช้เป็นจานวนมาก ดังนนั้ ผู้เล้ียงสัตว์ปีกจึงต้องมีอาหารท่ีดี และการให้อาหารที่ถูกต้องและ
เหมาะสมกับชนิดและอายุของสัตว์ปีก เพ่ือนาอาหารไปเปน็ ประโยชน์กับรา่ งกาย ดังนี้
1) เพ่ือการด้ารงชีพ (maintenance) ไก่ไข่กินอาหารเพ่ือการดารงชีพ โดยอาหารท่ีกินเข้า
ไปร่างกายไก่นาไปใช้ในขบวนการต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น การรักษาอุณหภูมิร่างกายให้เป็นปกติ เป็นแหล่ง
พลังงานของอวัยวะและระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ระบบหายใจ ระบบสูบฉีดและหมุนเวียนโลหิต ระบบ
ประสาท ระบบกลา้ มเนอ้ื ระบบย่อยอาหาร ระบบขบั ถ่าย และระบบตอ่ มไรท้ อ่ เป็นตน้
2) เพอื่ การเจรญิ เตบิ โตของร่างกาย (growth) อาหารที่ไกก่ นิ เข้าไปเพือ่ การเจริญเติบโตของ
ร่างกายแบง่ ออกเป็นระยะต่าง ๆ ได้ 3 ระยะ คือ
(1) การสร้างโครงสร้างร่างกาย คือ การสร้างกระดูก สารอาหารที่ใช้เป็นประเภทแร่
ธาตุตา่ ง ๆ แรธ่ าตทุ ่ีสาคัญได้แก่ แคลเซยี ม และฟอสฟอรสั
(2) การเจริญเติบโตในการเพ่ิมขนาดและจานวนเซลให้เป็นอวัยวะที่สมบูรณ์และ
เจรญิ เตม็ ที่ สารอาหารทีใ่ ช้เปน็ ประเภทโปรตีน
(3) การเพ่มิ นา้ หนกั ของร่างกาย ส่วนใหญเ่ ป็นการสะสมไขมนั ตามอวยั วะต่าง ๆ หรือ
ใต้ ผิวหนัง
3) เพ่ือการสร้างขน (feather growth) โดยเฉพาะในช่วงไก่เล็กและช่วงของการผลัดขนไก่
จาเปน็ ต้องไดร้ บั สารอาหารจาพวกกรดอะมิโนทมี่ ีกามะถนั เป็นองคป์ ระกอบอยู่สูง เช่น เมทไธโอนีน
4) เพอื่ การสืบพนั ธแุ์ ละการใหผ้ ลผลติ (reproduction and production) อาหารทเี่ หลอื ใช้
จากการดารงชีพ การเจริญเติบโต และการสร้างขน ไก่นาอาหารไปใช้ประโยชน์ในการสืบพันธ์ุ และการให้ผล
ผลิต คือการสร้างไข่ และเน้ือ ในการเล้ียงสัตว์ปีกอาหารเป็นปัจจัยหน่ึงท่ีมีความสาคัญอย่างยิ่ง ดังน้ันผู้เลี้ยง
สัตวป์ กี จงึ ต้องมีอาหารท่ดี ี และการใหอ้ าหารทถี่ กู ต้องและเหมาะสมกับชนิดและอายุของสัตว์ปกี เพ่อื นาอาหาร
ไปเป็นประโยชน์กับร่างกาย เช่น การดารงชีพ การเจริญเติบโตของร่างกาย การสร้างขนและการสืบพนั ธุ์และ
การใหผ้ ลผลิต ซึง่ ปัจจัยที่มีผลต่อความตอ้ งการอาหารของสัตวป์ กี มีดงั น้ี
(1) พันธุกรรมของไก่ ความต้องการอาหารของไก่ต่างประเภทกันต้องการอาหารไม่
เหมอื นกนั เชน่ ไก่ไข่กนิ อาหารน้อยกว่าไก่เน้ือ
(2) อายุของไก่ สภาพทางสรรี วิทยา คือ ระบบการย่อยอาหารของไก่ ไก่ท่ีมีอายุมาก
มีระบบการยอ่ ยสมบูรณ์ แขง็ แรง และทางานได้ดกี ว่าไก่อายุน้อย
(3) ปริมาณ และคุณภาพของน้า ต้องมีน้าให้ไก่กินอย่างเพียงพอ น้ากินต้องสะอาด
และมีอุณหภูมิทเี่ หมาะสม
(4) ลักษณะของอาหารท่ีใช้เลี้ยงไก่ อาหารที่ให้ไก่กิน ต้องมีความเหมาะสมกับ
ประเภท และอายุของไก่
87
(5) ความน่ากินของอาหาร ได้แก่ รสชาติ กล่ิน สี ความอ่อนนุ่ม ความแข็ง ลักษณะ
การเป็นฝ่นุ ความฟ่าม (bulky) ตลอดจนการเจือปนของสารพษิ หรือเชือ้ รา
(6) ผลกระทบของส่งิ แวดลอ้ มรอบตวั ไก่ ได้แก่ อุณหภมู ิ ความชนื้ หรอื แสง
(7) การรบกวนของพยาธิ ไก่ท่ีมีพยาธิภายนอกรบกวนทาให้กินอาหารได้น้อยลง
เพราะไก่มีอาการคัน เจ็บปวด และราคาญ จึงกินอาหารลดลง ส่วนไก่ที่มีพยาธิภายในต้องการอาหารเพิ่มข้ึน
เนือ่ งจากโภชนะบางชนดิ ที่ไก่กินเข้าไปสูญเสียใหพ้ ยาธิ
(8) การเป็นโรคของไก่ ไก่ทีม่ ีอาการเจบ็ ป่วยทาใหก้ ารกินอาหาร หรือความอยากกิน
ลดลง
(9) รูปแบบของโรงเรือนที่ใช้เลี้ยงไก่ เช่น โรงเรือนปิด โรงเรือนเปิด ไก่ที่เลี้ยงใน
โรงเรือนปิดมีความสามารถในการกินอาหารได้ดีกว่าไก่ที่เลี้ยงในโรงเรือนเปิด เนื่องจากโรงเรือนปิดควบคุม
สภาพแวดล้อมไดง้ ่ายกว่า
(10( ระดับพลังงานในอาหาร อาหารท่ีมีพลังงานสูงไก่จะกินน้อยกว่าอาหารท่ีมี
พลงั งานต่า
3.2 การให้อาหารสตั ว์ปกี ท่ีใหเ้ น้ือ
รูปแบบของอาหาร (Feed form) สาหรับไก่กระทงนั้นนิยมให้อาหารแบบอัดเม็ด (Pellet)
แต่ ในชว่ งทีไ่ ก่ยงั เลก็ อยู่ หรือในช่วง 2 สปั ดาหแ์ รกมกั จะใหอ้ าหารแบบเม็ดบแ้ี ตก หรอื อาหารเกล็ด (Crumble)
เพ่ือให้ลูกไก่สามารถจิกกินอาหารได้สะดวกข้นึ เมื่อไก่อายุมากขึ้นก็สามารถใช้อาหารอัดเม็ด ขนาดใหญ่ขึ้นได้
อาหารสาหรับไกก่ ระทงระยะไกร่ นุ่ จะมีขนาดเสน้ ผ่าศนู ย์กลางประมาณ 2.0-3.5 มิลลิเมตร และอาหารไก่ใหญ่
และอาหารก่อนส่งตลาดจะมีขนาดเสน้ ผ่าศนู ยก์ ลางประมาณ 3.5 มิลลิเมตร การอัดเมด็ อาหารจะทาให้ไก่กิน
อาหารได้มากขึ้น อัตราการไหลผ่านของอาหารในระบบทางเดินอาหารช้าลง นอกจากนี้ในกระบวนการผลิต
อาหารอัดเม็ดน้ันจะเกิดความร้อนข้ึน ทาให้สามารถฆ่าเช้ือบางชนิดท่ีอาจจะก่อโรคได้โดยเฉพาะเช้ือ
Salmonella spp. นอกจากน้ีความรอ้ นจากการอัดเมด็ ยังทาใหว้ ัตถุดบิ บางชนิดสุกทาให้สัตว์สามารถย่อยและ
ดดู ซึมไดด้ ขี ้ึน
อาหารไก่เนอ้ื หรือไก่กระทงเป็นอาหารที่มีระดบั โปรตนี และพลงั งานอยู่สงู เนอ่ื งจากมีการเจรญิ เติบโต
เรว็ อาหารไก่กระทงแบง่ ออกเปน็ 3 ระยะ ดงั นี้
- ระยะไก่เล็ก (Starter) ใช้เล้ียงไก่ในช่วง 2 – 3 สัปดาห์แรก มีระดับโปรตีนประมาณ
23 – 24 % ; ME 3,190 Kcal/kg สว่ นใหญจ่ ะใหใ้ นรูปอาหารเม็ดบี้แตก
- ระยะไก่รุ่น (Grower) เลี้ยงไก่ตั้งแต่อายุ 3 สัปดาห์ จะถึงอายุ 6 สัปดาห์ มีระดับโปรตีน
ประมาณ 20 – 21 % ; ME 3,300 Kcal/kg
88
- ระยะก่อนส่งตลาด (Finisher) ใช้เล้ียงไก่ต้ังแต่อายุ 6 สัปดาห์ ไปจนกระทั่งจับขาย
มีระดับ โปรตีนประมาณ 18 – 19 % ; ME 3,340 Kcal/kg อาหารไก่ในระยะนี้จะไมม่ ีการใช้ยาปฏิชีวนะและ
สารเรง่ การเจรญิ เติบโต การให้อาหารจะอยู่ในรูปกอาหารอดั เมด็ ขนาดใหญ่
2) การใหอ้ าหารสตั ว์ปีกที่ให้ไข่
การเลี้ยงไก่ไข่ใช้ระยะเวลายาวนาน มีการเล้ียงหลายช่วงอายุ ในแต่ละช่วงอายุมีการให้อาหารที่มี
คณุ สมบตั ติ ่างกัน บางช่วงอายตุ อ้ งมกี ารควบคมุ น้าหนกั เพอ่ื ให้เกดิ ความสม่าเสมอในฝูง การให้อาหารไก่ไข่มี 4
ชว่ งระยะคือ การใหอ้ าหารไกเ่ ลก็ การใหอ้ าหารไกร่ ุ่น การให้อาหารไกก่ ่อนไข่ และการใหอ้ าหารไกไ่ ข่
(1) การให้อาหารไก่เล็ก การให้อาหารไก่เล็กเป็นการให้อาหารไก่ท่ีมีอายุตั้งแต่ 1 วัน
จนถงึ ไก่อายปุ ระมาณ 6 สปั ดาห์ ให้อาหารแบบกนิ เต็มท่ี และในอาหารไก่เล็กตอ้ งเป็นอาหารที่มีโภชนะตา่ ง ๆ
ครบตามความต้องการของไก่ อาหารที่ให้เป็นอาหารโปรตีนสูงเนื่องจากไก่ในระยะนต้ี ้องการใช้โปรตีนในการ
สร้างการเจริญเติบโตให้กับอวยั วะตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย อาหารทีใ่ ช้เล้ียงไกเ่ ล็กเปน็ อาหารที่มรี าคาแพงกวา่ อาหาร
ไก่ระยะอนื่ อาหารทใ่ี ช้เปน็ อาหารอัดเม็ดบดหยาบ การให้กรวดกับไก่เพอ่ื ช่วยในการบดอาหาร ควรเริ่มให้เม่ือ
ไก่อายุได้ 3 สัปดาห์ โดยไก่ท่ีเล้ียงแบบปล่อยพ้ืนให้สัปดาห์ละครั้ง ๆ ละ 500 กรัมต่อไก่ 100 ตัว ไก่ที่
เล้ยี งบนพืน้ ลวดหรือไมร้ ะแนงให้ทกุ ๆ 6 สปั ดาห์ จานวน 500 กรมั ต่อไก่ 100 ตัว
(2) การให้อาหารไก่รุ่นและไก่ก่อนไข่ การให้อาหารไก่รุ่นเป็นการให้อาหารไก่ต้ังแต่อายุ
6 สัปดาหไ์ ปจนถึงไข่ได้ 5 เปอรเ์ ซ็นตก์ ารใหอ้ าหารไกร่ ะยะนี้ต้องมกี ารควบคุมน้าหนกั ตัวไกไ่ ม่ใหอ้ ้วนหรือผอม
เกินไป การใหอ้ าหารไกร่ ุ่นและไก่กอ่ นไข่มีระบบการให้ ดงั น้ี
ก. การใหอ้ าหารแบบไม่จากดั (full feeding) เปน็ วิธกี ารใหอ้ าหารกบั ไก่รนุ่ แบบเตม็ ท่ไี มม่ ีการ
จากดั ปรมิ าณการกนิ โดยใหส้ ตู รอาหารตามปกตขิ องไกไ่ ข่รนุ่
ข. การให้อาหารแบบจากัดปริมาณ (limited feeding) การให้อาหารโดยวิธีนี้เป็นการให้อาหารเพ่ือ
ชะลอการเจรญิ เตบิ โตของไก่ทาให้ไก่เป็นสาวชา้ ลง เป็นการเตรยี มความพร้อมในการใหไ้ ข่ เปน็ ที่นิยมใช้ทั้งในไก่
ไข่และไกพ่ ันธ์ุ การใหอ้ าหารแบบนี้ทาไดห้ ลายวธิ ีดังนี้ คือ
- การให้อาหารทุกวันแต่จากัดปริมาณ (restricted feed intake everyday) เป็นการให้อาหารแบบ
จากัดปริมาณจากปกติในแต่ละวัน โดยปริมาณอาหารท่ีให้ต้องคานวณจากคู่มือเลี้ยงไก่ไข่ วิธีการนี้ทาให้ไก่ไม่
เครยี ด ไกค่ อ่ ย ๆ ปรับตวั การเจรญิ เตบิ โตช้าลง
- การใหอ้ าหารแบบวันเว้นวัน (skip a day feeding) การใหอ้ าหารแบบน้ีเปน็ การนาจานวนอาหารที่
ให้กิน 2 วันมารวมกัน และให้ไก่กิน 1 วัน โดยให้ครั้งเดียว การให้อาหารวิธีน้ีต้องมีที่ให้อาหารเพียงพอกับ
จานวนไก่ทีเ่ ข้ามาแย่งกันกนิ ในวันทใ่ี หอ้ าหาร ไม่เชน่ นั้นไกต่ ัวเล็กหรอื อ่อนแออาจไมไ่ ดก้ ิน ไกห่ ิวมกี ารกนิ อาหาร
มากกว่าปกติอาจเกิดอาการจุก อาหารส่วนใหญ่ไม่ถูกย่อยทาให้ประสิทธิภาพการใช้อาหารเลวลง ในวันที่อด
อาหารต้องมีน้าให้กินอยู่ตลอดเวลา ระมัดระวังไม่ให้ไก่ทานา้ หก ทาให้พ้ืนโรงเร้ือนเปียกชื้นอาจเป็นสาเหตุทา
ให้เกดิ โรคบิดได้
- การให้อาหารแบบ 2 วนั เวน้ 1 วัน (feed 2 days and skip 1 day) การให้อาหาร
วิธีน้ีเป็นการนาเอาอาหารที่ให้ไก่กนิ 3 วันมารวมกันแล้วนามาแบ่งให้กินเพียง 2 วัน เท่า ๆ กัน การให้อาหาร
89
แบบน้ีไก่เกดิ ความเครียดนอ้ ยกวา่ การให้แบบวนั เว้นวัน และลดปญั หาเรื่องไกก่ ินอาหารมากเกนิ ไป
- การให้อาหารแบบ 5 วันเว้น 2 วัน (feed 5 days and skip 2 days) เป็นการนา
อาหารทใ่ี หก้ นิ 7 วันมารวมกนั แลว้ นามาแบง่ ใหไ้ ก่กนั 5 วนั เท่า ๆ กัน และหยุดให้ 2 วนั ใน 1 สัปดาห์
ค. การให้อาหารที่มีเยื่อใยสูงหรืออาหารมีพลังงานต่า (high fiber or low energy) การให้
อาหารวิธีนไ้ี ม่นยิ มใช้กนั มากนกั เพราะมคี วามยุง่ ยาก
ง. การให้อาหารท่ีมีกรดอะมิโนไม่สมดุล (amino acid imbalance diet) วิธกี ารใหอ้ าหารวิธี
นไ้ี ม่นยิ มใช้ เน่ืองจากเป็นวธิ ีที่ยุ่งยากในการปฏิบตั ิ เพราะการเสริมกรดอะมโิ นในอาหารน้ันเสริมเพียงเล็กนอ้ ย
อยแู่ ลว้
จ. การให้อาหารที่มีโปรตีนต่า (low protein diet) การให้อาหารวิธีน้ีส่วนใหญใ่ ช้กันอยแู่ ล้ว
ในสตู รอาหารไก่รนุ่ ไข่ การใหอ้ าหารไกแ่ บบจากดั วิธีตา่ ง ๆ ไดส้ รปุ ไวใ้ นตารางท่ี 6.1
ตารางท่ี 6.2 การให้อาหารแบบจากัดวิธีต่าง ๆ ใน 1 สัปดาห์
วัน วิธีการให้อาหาร
อาทิตย์ ใหท้ กุ วัน วันเว้นวนั ให้ 2 วันเวน้ 1 วนั ให้ 5 วันเว้น 2 วัน
จันทร์ ให้อาหาร ใหอ้ าหาร
อังคาร ให้อาหาร ให้อาหาร ให้อาหาร ใหอ้ าหาร
พธุ ให้อาหาร ใหอ้ าหาร
พฤหัสบดี ให้อาหาร อดอาหาร ให้อาหาร อดอาหาร
ศุกร์ ใหอ้ าหาร ให้อาหาร
เสาร์ ใหอ้ าหาร ให้อาหาร อดอาหาร ใหอ้ าหาร
ให้อาหาร อดอาหาร
ท่ีมา: มานติ ย์ (2536) อดอาหาร ใหอ้ าหาร
ใหอ้ าหาร ใหอ้ าหาร
อดอาหาร อดอาหาร
ใหอ้ าหาร ให้อาหาร
ข้อควรระวงั ในการจา้ กัดอาหาร การจากัดอาหารในไก่รนุ่ ไข่ มีข้อควรระวงั ดงั นี้
1) สัตว์ตอ้ งอย่ใู นสภาพแขง็ แรงไมป่ ว่ ย
2) ภาชนะให้อาหารต้องมีเพยี งพอกับจานวนไก่ อย่างน้อยต้องมีความยาว 10 เซนติเมตรตอ่
ตัว
3) ผู้เลี้ยงต้องเข้าใจเก่ียวกับการกินอาหารชดเชยของไก่ให้ถูกต้อง โดยให้ไก่กินอาหาร 1 วัน
ในปริมาณ 2 เท่าของอาหารที่ไก่กินในแต่ละวัน และหยุดให้กินในวนั ต่อไป 1 วันในวันท่ีหยุดให้อาหารควรเอา
ข้าวโพดหรอื ขา้ วเปลือกโรยให้ไกก่ นิ จานวน 1 กิโลกรมั ตอ่ ไก่ 100 ตัว
90
(3) การใหอ้ าหารไก่ระยะไข่
การให้อาหารไก่ระยะไข่มีวัตถุประสงค์ท่ีสาคัญคือ ต้องการให้ได้ไข่ที่มีคุณภาพ และต้นทุนต่าท่ีสุด
ในการผลิตไข่ไก่ประมาณว่าต้นทุน 60 เปอร์เซ็นต์ใช้เป็นค่าอาหาร โดยปริมาณอาหารที่ไก่กินข้ึนอยู่กับอัตรา
การไข่ น้าหนักตวั ไก่ และสภาพแวดลอ้ มรอบ ๆ ตัวไก่ โดยเฉพาะอุณหภูมิของสภาพแวดล้อม การใหอ้ าหารไก่
ไขเ่ มื่อไกเ่ ร่มิ ไข่ฟองแรกให้หยดุ การควบคมุ อาหาร ไก่ไขต่ อ้ งได้รับอาหารเต็มท่ีทุกวนั ความต้องการอาหารของ
ไก่ไข่ สามารถคานวณไดโ้ ดยพิจาณาจากมาตรฐานความตอ้ งการอาหารของไกไ่ ข่ ความตอ้ งการของไก่ไข่ 1 ตวั
ท่มี นี ้าหนัก และลักษณะตา่ ง ๆ ดงั นี้
1. น้าหนกั ของตัวไก่ = 2 กโิ ลกรมั
2. อาหารมีพลังงาน = 2,750 กโิ ลแคลอรตี อ่ กโิ ลกรัม
3. อณุ หภมู ภิ ายในโรงเรือน = 20 องศาเซลเซียส
4. น้าหนักของไข่เฉลยี่ ต่อฟอง = 62 กรมั
5. ไกต่ ัวน้ีต้องการอาหารเพื่อการดารงชีพ = 70 กรัม/ตวั /วัน
6. ไก่ต้องการอาหารเพื่อ ผลิตไข่เพิ่มข้ึน 0.7 กรัม/ตัว/วัน เมื่อไข่จะเพิ่มข้ึน ทุก
1 เปอร์เซน็ ต์ ปรมิ าณอาหารเพ่อื การดารงชพี เพมิ่ หรือลดให้พิจารณาดงั น้ี
1. น้าหนักตวั ไกเ่ พมิ่ หรือลดทกุ 50 กรัม กินอาหาร = ± 1 กรัม/ตวั /วัน
2. อุณหภูมิเพิม่ หรือลดทุก 1 องศาเซลเซียส = ± 1.5 กรัม/ตวั /วัน
3. อาหารมีพลังงานเพม่ิ หรอื ลดทกุ 50 กิโลแคลอรี = ± 1 กรมั /ตัว/วัน
4. การเลย้ี งไกบ่ นกรงตบั การกินอาหารลดลง = 3 - 5 กรมั /ตวั /วนั