หน่วยที่ 2
การสร้างเซลลส์ บื พนั ธ์ุ
และการแบ่งเซลล์
เอกสารประกอบการเรียน
หลกั พนั ธศุ าสตร์
นางคธั รียา มะลิวัลย์
แผนกวิชาสตั วศาสตร์
วิทยาลยั เกษตรและเทคโนโลยฉี ะเชงิ เทรา
14
หน่วยท่ี 2
การสรา้ งเซลล์สืบพันธแ์ุ ละการแบง่ เซลล์
หวั ขอ้ เร่อื ง
1. โครโมโซมและยีน
2. การสรา้ งเซลล์สืบพันธุ์
3. การแบง่ เซลล์
จุดประสงค์การเรยี นรู้
1. อธิบายโครงสรา้ งของโครโมโซมและยนี ได้
2. อธบิ ายการสรา้ งเซลล์สบื พันธุ์ของพืชและสตั ว์ได้
3. อธบิ ายขน้ั ตอนกระบวนการแบง่ เซลล์ได้
เนอื้ หาการสอน
1. โครโมโซมและยีน
หนว่ ยพื้นฐานทีส่ าคญั ของสิ่งมชี วี ิตคอื เซลล์ ภายในประกอบดว้ ยไซโทพลาสซมึ และนวิ เคลียสอยตู่ รง
กลางเซลล์ ภายในนิวเคลียสจะมโี ครโมโซม ซึง่ มีลกั ษณะเป็นเส้นใยบาง ๆ พันกันอยู่
2.1 โครโมโซม (chromosome) มีลักษณะเป็นเส้นใยบาง ๆ พันกันอยู่ เป็นที่เก็บของหน่วย
พันธุกรรม ซึ่งทาหน้าที่ควบคุมและถ่ายทอดข้อมูล เก่ียวกับ ลักษณะทางพันธุกรรมต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิต เช่น
ลักษณะของเสน้ ผม ลักษณะดวงตา เพศ และสผี ิว แต่ละโครโมโซมจะมยี นี ท่ีกาหนดลักษณะต่างๆ ของส่งิ มีชีวิต
ในส่ิงมีชีวิตแต่ละชนิด จะมีจานวนโครโมโซมแตกต่างกันออกไป โครโมโซมของร่างกายคนเรามีอยู่
46 โครโมโซม เม่ือนามาจัดเป็นคู่ได้ 23 คู่ มีโครโมโซมอยู่ 22 คู่ ที่เหมือนกันทั้งเพศหญงิ และเพศชาย เรียก
โครโมโซมทัง้ 22 คู่น้วี ่า โครโมโซมร่างกาย (autosome) สว่ นคู่ที่ 23 จะตา่ งกันในเพศหญงิ และเพศชายคือ
ในเพศหญงิ โครโมโซมคนู่ ้จี ะเหมอื นกัน เรยี กวา่ โครโมโซม XX สว่ นในเพศชายโครโมโซมหน่งึ แท่งของคู่ที่ 23
จะเหมือนโครโมโซม X ในเพศหญงิ สว่ นอกี โครโมโซมมลี ักษณะแตกต่างกันออกไป เรยี กว่า โครโมโซม Y สว่ น
โครโมโซมคู่ที่ 23 ในเพศชาย เรียกว่า โครโมโซม XY ดังน้ันโครโมโซมคู่ท่ี 23 ทั้งในเพศหญิงและในเพศชาย
จงึ เปน็ คู่โครโมโซมทีก่ าหนดเพศใน มนษุ ยจ์ งึ เรียกว่า โครโมโซมเพศ (sex chromosome)
15
ภาพท่ี 2.1 โครโมโซม และ DNA
2.2 หน่วยพันธุกรรม หรือยีน (gene) คือ หน่วยพันธุกรรมท่ีอยู่บนโครโมโซม มีลักษณะเรียงกัน
เหมือนสรอ้ ยลกู ปดั ประกอบดว้ ยดีเอ็นเอ ทาหนา้ ทีก่ าหนดลักษณะทางพันธกุ รรมต่าง ๆ ของสงิ่ มีชวี ติ จากพ่อ
แม่โดยผ่านเซลล์สืบพันธ์ุ ไปยังลูกหลาน เช่น ควบคุมกระบวนการเก่ียวกับกิจกรรมท่ัวไปทางชีวเคมีภายใน
เซลล์ส่งิ มีชวี ติ ไปจนถงึ ลกั ษณะปรากฏทพ่ี บเหน็ หรือสังเกตไดด้ ว้ ยตา เช่น รปู รา่ งหนา้ ตาของเดก็ ทคี่ ลา้ ยพอ่ แม่,
สีสันของดอกไม้, รสชาติของอาหารนานาชนิด ล้วนแล้วแต่เป็นลักษณะท่ีบันทึกอยู่ในหน่วยพันธุกรรมทั้งส้ิน
ซง่ึ ยีนแต่ละตวั จะควบคมุ ลักษณะตา่ งๆ ทางพันธุกรรมเพียงลักษณะเดยี ว ยีนมีองค์ประกอบที่สาคัญ
เป็น กรดนวิ คลอี กิ ชนิดทเ่ี รยี กวา่ ดเี อนเอ(deoxyribonucleic acid : DNA) อนั เกดิ จากการต่อกันเป็นเส้น
ของโมเลกุลย่อยท่ีเรียกว่านิวคลีโอไทด์ (nucleotide) ส่วนเส้นโมเลกุลจะส้ันหรือยาวเท่าใด ขึ้นอยู่กับ
ปริมาณของโมเลกุลย่อยซ่ึง เราสามารถ อธิบายได้ง่ายๆว่า one gene one expression ซ่ึงหมายถึง 1 ยีน
สามารถแสดงออกได้ 1 ลกั ษณะเท่านัน้
2. การสรา้ งเซลลส์ ืบพนั ธุ์
การเกิดเซลล์สืบพันธุ์ (gametogenesis) คือกระบวนการอย่างหนึ่งในส่ิงมีชีวิต ซ่ึงเป็นการแบ่งเซลล์
และทาให้เกิดความแตกต่างกันของเซลล์แม่ (gametocyte) ที่มีโครโมโซมสองชุด (diploid) หรือชุดเดียว
(haploid) ให้กลายเปน็ เซลล์สืบพันธุ์ (gamete) ทีม่ ีโครโมโซมเพยี งชดุ เดียว การเกดิ เซลล์สืบพนั ธุ์เกดิ จากการ
แบง่ เซลลแ์ บบไมโอซิส (meiosis) หรอื ไมโทซิส (mitosis) ขน้ึ อยกู่ ับวงจรชีวติ ของส่ิงมชี ีวติ นั้นๆ
1) การเกดิ เซลล์สบื พันธ์ุในสตั ว์
สัตว์ประเภทต่างๆ จะสร้างเซลล์สืบพันธโ์ุ ดยตรงด้วยการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสด้วยอวัยวะท่ีเรียกวา่
ต่อมบ่งเพศ (gonad) สัตว์สปีชีส์หนึ่ง ๆ ที่ขยายพันธ์ุแบบอาศัยเพศมีรูปแบบการสร้างเซลล์สืบพันธ์ทุ ี่แตกต่าง
กันออกไปดงั นี้
(1) การสร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้เรียกว่า การสร้างสเปิร์ม (spermatogenesis) เกิดข้ึนท่ี
16
อัณฑะ การสร้างสเปิร์มเริ่มจากเซลล์เริ่มต้นที่เรียกว่า primary spermatocyte; 2n ที่เป็นเน้ือเย่ือเจริญใน
อัณฑะ เซลล์น้เี พิม่ จานวนตวั เองโดยการแบง่ เซลล์แบบไมโทซิส เมื่อเซลล์นี้มีการแบง่ เซลล์แบบไมโอซิส จะได้
เซลลท์ ีเ่ ปน็ แฮพลอยด์ เรียกวา่ secondary spermatocyte เมอ่ื เซลล์นแ้ี บง่ เซลลต์ ่อจนเสร็จส้ินไมโอซสิ จะได้
สเปริ ม์ เรมิ่ ต้น (developing sperm cell) ซึง่ จะพฒั นาตอ่ ไปจนได้สเปริ ์มที่สมบรู ณ์
(2) การสร้างเซลล์สืบพนั ธุ์เพศเมยี เรยี กวา่ การสรา้ งไข่ (oogenesis) เกดิ ขึน้ ทรี่ ังไข่ การสร้าง
เซลล์สืบพันธ์ุเพศเมียในสัตว์ (oogenesis) เป็นการสร้างเซลล์ไข่ เกิดในรังไข่ ซึ่งมีเซลล์เร่ิมต้นเรียกprimary
oocyte ซ่งึ จะเพมิ่ จานวนตัวเองดว้ ยการแบง่ เซลล์แบบไมโทซิส เมื่อเซลลน์ ้ีเริม่ แบง่ ตวั แบบไมโอซิส จะคา้ งอยู่
ท่ีระยะโพรเฟส I จนกระท่ังได้รับฮอร์โมน FSH จึงแบ่งตัวต่อจนสิ้นสุดไมโอซิส I ได้ 2 เซลล์ขนาดไม่เท่ากัน
เซลล์ที่มีขนาดใหญ่เรียกว่า secondary oocyte เซลล์ที่มีขนาดเล็กเรียกว่า first polar body secondary
oocyte จะแบ่งตัวต่อไปจนถึงระยะเมตาเฟส II แล้วค้างไว้จนกระทั่งตกไข่ เม่ือไข่ตกแล้วถ้าไม่ได้รับการผสม
เซลล์ไข่จะฝ่อไป ถ้าได้รับการผสม secondary oocyteจะแบ่งตัวต่อจนสิ้นสุด ไมโอซิส II ได้เซลล์ไข่กับ
second polar body หลงั จากน้นั เซลล์ไข่จะปฏิสนธกิ บั สเปริ ์มได้ไซโกต
ถึงแม้ใช้อวัยวะที่แตกต่างกันแต่กระบวนการน้ันยังมีรูปแบบที่เหมือนกัน กล่าวคือ เซลล์ตั้งต้นจะ
เรียกว่าแกมีโทโกเนียม (gametogonium) จะแบ่งตัวแบบไมโทซิสเข้าสู่ช่วงแกมีโทไซต์ระยะแรก (primary
gametocyte) และแบ่งตัวแบบไมโอซิสเข้าสู่แกมีโทไซต์ระยะที่สอง (secondary gametocyte) แล้วแบ่ง
เซลล์แบบไมโอซิสอีกคร้ังจนได้แกมีทิด (gametid) จานวน 4 เซลล์ต่อเซลล์แม่ 1 เซลล์ สุดท้ายแกมีทิดจะ
เจริญไปเป็นสเปริ ม์ หรือไข่ ซงึ่ เป็นแกมตี (gamete)
2) การเกดิ เซลล์สืบพนั ธุใ์ นพชื
(1) การสร้างเซลล์สืบพันธเ์ุ พศผู้ของพืชดอกจะเกิดขึ้นภายใน อับเรณู (anther) โดยมีไมโคร
สปอร์มาเทอร์เซลล์ (microspore mother cell) แบ่งเซลล์แบบไมโอซิสได้ 4 ไมโครสปอร์ (microspore)
แต่ละเซลล์มโี ครโมโซมเทา่ กบั nหลงั จากนั้นนิวเคลยี สของไมโครสปอร์จะแบง่ แบบไมโทซสิ ได้ 2 นิวเคลยี ส คือ
เจเนอเรทิฟนิวเคลียส (generativenucleus) และทิวบ์นิวเคลียส (tube nucleus) เรียกเซลล์ในระยะน้ีว่า
ละอองเรณู(pollen grain)หรือแกมีโทไฟต์เพศผู้ (male gametophyte) ละอองเรณูจะมีผนังหนา ผนัง
ช้นั นอกอาจมผี วิ เรยี บหรือเปน็ หนามเลก็ ๆแตกตา่ งกนั ออกไปตามแตล่ ะชนดิ ของพชื เมื่อละอองเรณแู กเ่ ตม็ ทีอ่ ับ
เรณูจะแตกออกทาใหล้ ะอองเรณกู ระจายออกไปพรอ้ มทจี่ ะผสมพันธ์ุตอ่ ไปได้
(2) การสร้างเซลล์สืบพันธ์ุเพศเมียในพืชดอกเกิดขึ้นภายในรังไข่ (ovary) โดยที่ภายในรังไข่
อาจมีหน่ึงออวุล (ovule) หรือหลายออวุล ภายในออวุลมหี ลายเซลล์ แต่จะมีเซลล์หนงึ่ ที่มขี นาดใหญ่ เรียกวา่
เมกะสปอรม์ าเทอรเ์ ซลล์ (megaspore mother cell) เมกะสปอร์มกี ารขยายขนาดและแบ่งนวิ เคลียสแบบไม
โทซสิ 3 คร้งั ดว้ ยกนั ทาใหเ้ ซลล์นี้มี 8 นวิ เคลยี ส ซงึ่ จะแบง่ เปน็ 2 กลุม่ ๆ ละ 4 นวิ เคลียส โดยกลุ่มหนง่ึ จะอยู่
ทางด้าน ไมโครไพล์ (micropyle) อกี กลุม่ หนึง่ จะอยูท่ างด้านตรงข้ามไมโครไพล์ ดังน้ันเมกะสปอร์ในระยะนี้มี
นิวเคลียส เปน็ 3 กลุ่มอยูใ่ นบรเิ วณตา่ ง ๆ ดังนี้
17
- กลุ่มที่อยู่ตรงข้ามไมโครไพล์ (micropyle) มีนิวเคลียส 3 เซลล์ เรียกว่า แอนดิโพแดล
(antipodals)
- กลุ่มบริเวณตรงกลางมีนิวเคลียส 2 เซลล์ เรียกว่าโพลาร์นิวเคลียส (polarnucleus หรือ
polar nuclei)
- กลุ่มทางด้านไมโครไพล์มีนิวเคลียส 3 เซลล์ ซึ่งมีนิวเคลียสอันตรงกลางจะมีขนาดใหญ่กว่า
อันอ่ืนเปน็ เซลล์ไข่ (egg cell) อีก 2 เซลลท์ ่ีขนาบข้างเรียกว่า ซนิ เนอรจ์ ิด (synergids)
3. การแบง่ เซลล์ (cell division)
การแบ่งเซลล์เป็นการเพม่ิ จานวนเซลล์ ผลของการแบ่งเซลล์ทาให้เซลล์มีขนาดเล็กลง ทาให้สิ่งมีชีวติ
ชนดิ นน้ั เจริญเตบิ โต เซลลโ์ พรคาริโอต เชน่ เซลล์แบคทีเรียมีการแบง่ เซลล์แบบไบนารฟี ชิ ชนั (binary fission)
คือเป็นการแบ่งแยกตัวจาก 1 เป็น 2 เซลล์พวกยูคาริโอต ประกอบด้วย 2 ข้ันตอน คือ การแบ่งนิวเคลียส
(karyokinesis) และการแบ่งไซโทพลาสซึม (cytokinesis) การแบ่งนิวเคลียสสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 แบบ
คือ
3.1. การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส (mitosis) เป็นการแบ่งเซลล์เพื่อการสืบพันธใ์ุ นส่ิงมีชีวิตเซลล์เดยี ว
และส่ิงมีชีวิตหลายเซลล์บางชนิด ในสิ่งมีชีวิตท่ัวไปการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสเกิดขึ้นท่ีเซลล์ของร่างกาย
(somatic cell) ทาให้จานวนเซลลข์ องร่างกายมจี านวนมากขน้ึ สงิ่ มชี วี ติ นนั้ ๆ จึงเจริญเติบโตขึน้
ในกระบวนการแบ่งเซลล์แบบไมโทซสิ เรมิ่ ต้นจากเซลลเ์ ดมิ 1 เซลล์ ทม่ี ีจานวนโครโมโซม 2 ชดุ หรือ
ดิพลอยด์ (diploid) เมือ่ ผา่ นกระบวนการแบ่งเซลลจ์ นสมบรู ณ์ จะไดเ้ ซลลใ์ หม่ 2 เซลล์ ทม่ี โี ครโมโซม จานวย
2 ชุดเท่าเดิม และมีโครงสร้างของดีเอ็นเอเหมือนเดิมทุกประการ ดังนั้นดีเอ็นเอจากทุกเซลล์ในรา่ งกายจาก
ทุกเนื้อเย่ือจึงเหมือนกัน การแบ่งเซลล์ประกอบด้วย 2 ช่วงระยะคือ ช่วงอินเตอร์เฟส (interphase) และ
ไมโทซิส
การแบ่งเซลล์เป็นกระบวนการท่ีเกดิ ข้ึนต่อเนอื่ งกนั ก่อนที่จะมีการแบ่งเซลล์ เซลล์จะมีการเตรียมตัว
ใหพ้ ร้อมกอ่ น ระยะเวลาทเ่ี ซลล์เตรียมความพร้อมก่อนการแบง่ จนถึงการแบ่งนิวเคลียสและไซโทพลาสซึมจน
เสร็จส้ิน เรียกว่า วฏั จกั รของเซลล์ (cell cycle) ซง่ึ พบเฉพาะการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
ภาพที่ 2.2 วฏั จกั รของเซลล์ (cell cycle)
18
วฏั จักรของเซลล์ประกอบดว้ ยขัน้ ตอน 2 ข้ันตอน คือ
1) ระยะอินเตอร์เฟส (interphase) เป็นระยะที่เซลล์เตรียมตัวให้พร้อมก่อนที่จะแบ่ง
นิวเคลียสและไซโทพลาสซึม เซลล์ในระยะนี้ มีนิวเคลียสขนาดใหญ่ และเห็นนิวคลีโอลัสชัดเจนเมื่อย้อมสี
แบง่ เปน็ ระยะยอ่ ยได้ 3 ระยะ คือ
- ระยะกอ่ นสรา้ ง DNA หรอื ระยะ จี1
- ระยะสรา้ ง DNA หรอื ระยะเอส
- ระยะหลงั สรา้ ง DNA หรือระยะ จี2
2) ระยะที่มีการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส (mitotic phase หรือ M phase) เป็นระยะท่ีมีการ
แบง่ นวิ เคลียส เกดิ ขึ้นในชว่ งส้นั ๆ แล้วตามด้วยการแบง่ ของไซโทพลาสซมึ การแบง่ นวิ เคลียสแบบไมโทซิสอาจ
แบ่งได้เปน็ 4 ระยะคอื
- ระยะโพรเฟส (prophase) เปน็ ระยะทนี่ ิวเคลยี สยงั มีเย่ือห้มุ อยู่
- ระยะเมทาเฟส (metaphase) เป็นระยะท่เี ย่อื หุ้มนวิ เคลียสสลายตวั
- ระยะแอนาเฟส (anaphase) เป็นระยะทีโ่ ครโมโซมแยกกนั เปน็ 2 กล่มุ
- ระยะเทโลเฟส (telophase) เกิดการแบง่ ของไซโทพลาสซมึ ขนึ้
ภาพที่ 2.3 การแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซิส (mitosis)
2.2 การแบ่งเซลล์แบบไมโอซีส (meiosis) เป็นการแบ่งเซลล์ท่ีทาให้เกิดการลดจานวนโครโมโซม
ภายในนิวเคลียสลงเหลือเพียงชุดเดียว (n) เป็นการแบ่งเซลล์เพ่อื สร้างเซลล์สืบพนั ธ์ุ โดยเซลล์ท่ีทาหน้าท่ีแบ่ง
เซลล์แบบไมโอซิสน้ี เรียกว่า โกแนด (gonad) ในเพศหญิงจะพบเซลล์ชนิดนี้ในรังไข่ ซึ่งทาหน้าท่ีสร้างไข่
(ovum) ส่วนในเพศชายจะพบเซลลช์ นดิ น้ีในอัณฑะ (testis) ซึ่งทาหนา้ ที่สรา้ งตวั อสจุ ิ (sperm)
กระบวนการแบ่งเซลลแ์ บบไมโอซสิ จะมกี ารแบ่งเซลล์ตอ่ เนือ่ งกัน 2 รอบ เรยี กการแบ่งเซลลร์ อบแรก
วา่ ไมโอซิส 1 และเรียกการแบ่งเซลล์รอบสองวา่ ไมโอซิส 2 ซ่งึ มีลักษณะการแบง่ เซลล์ที่แตกต่างกัน ดังน้ี
2.2.1 ไมโอซิส 1 เป็นระยะแบ่งเซลล์ที่ทาให้ได้เป็นเซลล์ใหม่ 2 เซลล์ โดยแต่ละเซลล์จะมี
จานวนโครโมโซมเพยี งคร่ึงหน่ึงของเซลล์เดมิ เรียกวา่ แฮพลอยด์เซลล์ (n) โดยมขี ัน้ ตอนดังนี้
1) อนิ เตอร์เฟส 1 เป็นระยะเตรียมความพร้อมของเซลล์ เช่นเดยี วกันกบั ระยะอินเตอรเ์ ฟสใน
ไมโทซสิ
19
2) โพรเฟส 1 เป็นระยะที่มกี ารเปลีย่ นแปลงหลายประการ โดยเร่ิมตั้งแต่สายโครมาทินหดตัว
พนั กันหนาแนน่ กลายเปน็ แทง่ โครโมโซม จากน้ันคู่โฮโมโลกัสโครโมโซมจะมาเข้าคู่กนั โดยในระหว่างการเข้าคู่
กันคู่โฮโมโลกัสโครโมโซมจะมีการเปล่ียนแปลงชน้ิ ส่วนของโครโมโซม ทาใหล้ ักษณะของส่ิงมีชีวติ บนโครโมโซม
มกี ารเปลย่ี นแปลง จึงเป็นสาเหตุของการแปรผันต่าง ๆ ในสิ่งมีชีวติ
3) เมทาเฟส 1 เป็นระยะท่ีคู่โฮโมโลกัสโครโมโซมมาเรียงตัวกันอยู่กลางเซลล์ จึงทาให้เห็น
เปน็ แถวโครโมโซมเรียงตวั 2 แถว คู่กนั
4) แอนาเฟส 1 เป็นระยะท่คี ่โู ฮโมโลกสั โครโมโซมถกู ดงึ ใหแ้ ยกตัวจากกันไปยังขั้วตรงข้ามของ
เซลล์ จงึ เกดิ เปน็ โครโมโซมทม่ี ลี กั ษณะเปน็ แฮพลอยด์
5) เทโลเฟส 1 เป็นระยะทโี่ ครโมโซมถกู แบง่ เปน็ 2 กลุ่มท่ีแต่ละขัว้ ของเซลล์ มกี ารสรา้ งเย่ือ
หุ้มนิวเคลียสและการแบ่งแยกส่วนไซโทพลาซึมจนเกิดเป็นเซลล์ลูก 2 เซลล์ ซึ่งมีโครโมโซมแบบแฮพลอยด์
และโครโมโซมจะมกี ารคลายตัวออกก่อนทีจ่ ะเขา้ ส่รู ะยะไมโอซสิ 2
2.2.2 ไมโอซิส 2 เป็นการแบ่งเซลล์ที่ทาให้จานวนเซลล์ใหม่เพ่ิมข้ึนจาก 2 เซลล์ ไปเป็น
4 เซลล์ โดยจะยังคงจานวนชุดโครโมโซมเดิมท่ีเปน็ แฮพลอยด์ การแบง่ เซลลใ์ นขั้นตอนนี้จะมีลักษณะคล้ายกับ
การแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซสิ เว้นแต่ไมม่ กี ารสงั เคราะหโ์ ครโมโซมใหม่ ดงั นี้
1) โพรเฟส 2 เยอ่ื ห้มุ นิวเคลียสสลายไปโครโมโซม หดส้นั มากขึน้ จนทาใหเ้ หน็ แทง่ โครโมโซม
ได้อย่างชัดเจน
2) เมทาเฟส 2 โครโมโซมมาเรียงตวั ในแนวกลางของเซลล์
3) แอนาเฟส 2 แท่งโครโมโซมถกู ดงึ แยกจากกนั กลายเปน็ แท่งเดียว ไปรวมกันอยทู่ แี่ ตล่ ะข้ัว
ของเซลล์
4) เทโลเฟส 2 โครโมโซมมารวมกันที่ข้ัวเซลล์และมีการสร้างเย่ือหุ้มนิวเคลียสจนได้
4 นิวเคลียสแต่ละนิวเคลียสมีโครโมโซมเป็นแฮพลอยด์ หลังจากนั้นจึงเกิดการแบ่งไซโตพลาสซึมได้เป็นเซลล์
ใหม่ 4 เซลล์ โครโมโซมในนวิ เคลียสจึงเร่ิมคลายตวั กลับเป็นสายยาว
ภาพที่ 2.4 การแบ่งเซลลแ์ บบไมโอซสิ (meiosis)