The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พจนานุกรมภาษาถิ่นลาวเวียง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Piyapong Hladang, 2022-08-25 03:25:07

พจนานุกรมภาษาถิ่นลาวเวียง

พจนานุกรมภาษาถิ่นลาวเวียง

พจนานกุ รม
ภาษาลาวเวยี ง

The Lao Wieng Thai Dictionary

พจนานุกรมภาษาลาวเวยี ง

วดั จะนานกุ รมพาสาลาววยฯง
The Lao Wieng Thai Dictionary

จัดทำขนึ้ เพื่อศึกษำคน้ ควำ้ เก่ียวกับวฒั นธรรมทำงภำษำถิน่
ทป่ี รำกฏในตำบลหำดสองแคว อำเภอตรอน จังหวัดอุตรดติ ถ์

หลกั สตู รศิลปศำสตรบ์ ณั ฑิต สำขำวิชำภำษำไทย
คณะมนุษยศำสตรแ์ ละสังคมศำสตร์ มหำวทิ ยำลยั รำชภัฏอตุ รดิตถ์

พ.ศ. ๒๕๖๕

คานยิ ม / คานยิ ม฿

คานา / คานา

ผูจ้ ัดทาพจนานกุ รมภาษาถิน่ ลาวเวียง
ผ้จู ัดทาวดั จะนานกุ รมพาสาถนิ่ ลาววยฯง

สารบญั / สาระบนั

ประวตั คิ วำมเป็นมำนครเวียงจันทน์

นครเวยี งจนั ทน์

นครเวียงจันทน์ เป็นเมืองท่ีปรากฎชื่อมาแต่คร้ังโบราณกาลเป็นเวลาหลายพันปีมาแล้ว
อย่างน้อยท่ีสุด ก็มีชื่อมานับต้ังแต่ปี พ.ศ.1827 จากหลักฐานในหลักศิลาจารึก หน้าท่ี 4 ของ
พ่อขุนรามดาแหง กษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัย ได้กล่าวถึง อาณาเขตของกรุงสุโขทัยไว้ว่า “เบื้อง
ตะวนั ออกสอดเมอื งสระหลวง สองแคว ลมบาจาย สระคา เท่าฝ่ังของถึงเวียงจันเวียงคาเป็นที่แล้ว”
เม่ือพิจารณาตามหลักฐานจากศิลาจารึกท่ีกล่าวมาน้ัน จะเห็นว่านครเวียงจันทน์มีพัฒนาการเป็น
เมอื งเก่าแก่เมอื งหนงึ่ ในภมู ภิ าคนี้ แตน่ ครเวยี งจันทน์ท่เี ปน็ อย่ใู นทุกวนั นกี้ ลบั ไมส่ ามารถมองเห็นหรือ
สัมผัสได้ถึงความเกา่ แก่ทีส่ บื เน่ืองมายาวนาน เหตุท่ีนครเวียงจันไม่หลงเหลือความรุ่งเรืองในอดีตอยู่
เพราะถูกทาลายทง้ั จากภายในและภายนอกในหลายคราวดว้ ยกัน หากนครเวียงจันไม่ถูกทาลายจะมี
สภาพเปน็ เช่นใด เร่ืองน้ีไม่มีหลักฐาน โดยตรงมีแต่พยานแวดล้อมจากเอกสารต่าง ๆ ท่ีพรรณนาถึง
สภาพบา้ นเมืองความร่งุ เรืองของนครเวยี งจันทน์ ดังน้ี

นครเวียงจันทน์สถาปนาข้ึนเป็นพระราชธานีของอาณาจักรลาวล้านช้าง เมื่อปี พ.ศ.2103
ในรัชกาลแผ่นดินสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชเจ้า กษัตริย์ลาวองค์ท่ี 39 แห่งราชวงศ์ล้านช้าง
พระองคท์ รงพิจารณาว่า “นครเชียงทอง” พระราชธานีเดิมเป็นที่ดับแคบและอีกประการหน่ึงอยู่ใน
เส้นทางเดินทัพของกรุงหงสาวดี ประเทศพม่า ซึ่งกาลังขยายอานาจการปกครองและมีกาลังพล
เข้มแข็งมาก ถ้ามีสงครามมาประชิดจะทาให้การต่อสู้ไม่ม่ันคง ทั้งพิจารณาเห็นว่าเมืองเวียงจันทน์
เป็นเมืองใหญ่มีท่ีทามาหากินกว้างขวางอุดมด้วยข้าวปลาอาหาร อีกท้ังเป็นเมืองท่ีต้ังอยู่กึ่งกลาง
อาณาจักรล้านช้างสมควรจะต้ังข้ึนเป็นพระมหานครได้ จึงทรงย้ายพระราชธานีลงมาอยู่เมือง
เวียงจันทน์พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์มุขมนตรีและประชาราษฎร์และอัญเชิญพระแก้วมรกต
พระแซกคา กับราชสมบัติท้ังมวล แล้วขนานนามเมืองเวียงจันทน์ว่า “พระนครจันทบุรีศรีสัตนาค
นหุตอุตมราชธานี หรือนครเวียงจันทน์” ในการสร้างนครเวียงจันทน์ข้ึนเป็นพระราชธานีน้ัน
ได้เกณฑ์ไพร่ฟ้าราษฎรมาช่วยกันสร้างกาแพงเมือง โดยก่อด้วยอิฐสูงต้ังแต่ 4 ถึง 6 เมตร รอบเมือง
มเี นินดนิ อยู่รอบเมอื ง ด้านในแบ่งเป็นสามชั้น ช้ันนอกเป็นป้อมปราการดูหาน้อยใหญ่สูงถึง 8 เมตร
มีประดูใหญท่ างเข้าพระนครอยสู่ องด้านคือ ประตูใหญ่ทางทศิ ตะวนั ออก เป็นทางไปสู่พระธาตุหลวง
และอกี ประตูหนง่ึ ทางทิศตะวนั ตก เป็นทางไปสู่นครหลวงพระบางจากจดหมายเหตุของคณะเดินทาง
ชาวตะวันตก กล่าวถงึ สภาพการณ์ตา่ ง ๆ ของนครเวียงจันทนไ์ ว้ ดงั น้ี

จดหมายเหตขุ องแกรม์เฟอร์ ชาวเยอรมันนี ที่เข้ามายงั กรุงศรีอยุธยา และนครเวียงจันทน์ใน
สมัยน้ัน กล่าวไว้ว่า ภายในกาแพงพระมหานครกรุงเวียงจัน มีวัดน้อยใหญ่สร้างเรียงรายอยู่ถึง
120 วัดโดยวดั ที่สาคญั ๆ ได้แก่ วดั พระแกว้ วดั พระธาตุหลวง วัดสสี ะเกด เปน็ ต้น

1

จดหมายเหตุของวันวุสต๊อป ชาวฮอลันดา ได้เข้ามาถวายพระราชสาสน์ทางการค้าในปี
พ.ศ.2184-2190 ซ่งึ ตรงกบั ในรชั กาลพระเจ้าสรุ ิยวงศาธรรมิกราช กล่าวไวว้ า่

“กาแพงพระราชวัง มีความสูงประมาณครง่ึ หนงึ่ ของตวั ข้าพเจ้าทน่ี ง่ั อยบู่ นหลังช้าง เลียบตีน
กาแพงน้ันมีคลองใหญ่เต็มไปด้วยน้า ไม่สะอาดนัก และมีหญ้าขึ้นรก...บริเวณสนามแห่งหน่ึงตรง
กลางสนามมีพระธาตุใหญ่หนึ่งองค์ บนยอดพระธาตุหุ้มด้วยทองคา มีลวดลายสวยงามกล่าวกันว่า
ทองคาน้ันมนี ้าหนกั ถึง 9 หาบ ดว้ ยกัน”

จดหมายเหตุของบาทหลวงเลอริอา และบาทหลวงมารินี ท่ีได้เข้ามาในปี พ.ศ. 2185-2186
ซงึ่ ตรงกบั ในรชั กาลของพระเจ้าสรุ ยิ วงศาธรรมกิ ราชเชน่ เดยี วกนั กบั ในคณะแรก ไดก้ ลา่ วไว้ว่า

“ในจาพวกอาณาจกั รทเี่ ขม้ แข็งทง้ั หลายของประเทศเอเชียตะวันออก มปี ระเทศหน่ึงซ่ึงไม่มี
ใครรู้จกั และเลา่ สกู่ ันฟังในประเทศยโุ รป ประเทศนัน้ เรียกกันว่า ประเทศลาวหรอื ประเทศลา้ นช้าง...

เมืองสาคัญที่พระเจ้าแผ่นดินประทับน้ัน ตั้งอยู่ตรงกลางพระราชอาณาจักรประมาณ 18
องศาจากขวั้ โลก พระนครน้นั เรียกว่า “ลา้ นชา้ ง” ขา้ งหนง่ึ มกี าแพงสงู ล้อมรอบ และมีคลองใหญ่ลึก
ขา้ งหน่ึงมีแม่น้าโขงก้ันอันเป็นกาแพงปอ้ งกันศัตรไู ด้ดี พระองคม์ อี านาจเดด็ ขาดเหนือกฎหมายเหนือ
แผน่ ดินถนิ่ หญา้ ท้ังหมด เมื่อมีปัญหาต่าง ๆ พระองค์ไม่ใด้ชี้ขาดโดยพระองค์เองต้องมีเสนาคนหนึ่ง
เป็นผแู้ ทนเพ่อื ติดตอ่ กับผู้ทพ่ี าให้เกิดปัญหานน้ั ทัง้ น้กี เ็ พอื่ หวังจะใหใ้ ดร้ ับสกั การะบูชาจากปวงชน...

พระราชวังได้รับการก่อสร้างอย่างมีระเบียบและมีเหลี่ยมอันเหมาะสมงดงามที่สุด บริเวณ
ลานพระราชวงั นีก้ ว้างขวางมาก ถ้าไม่สังเกตให้ดีจะนึกว่าเป็นเมือง ๆ หนึ่ง เพราะผู้คนที่อยู่ในนั้นมี
จานวนมากล้น ห้องบรรทมของพระเจ้าแผ่นดินมีประตูแกะสลักเป็นลวดลายงดงามที่สุด
นอกจากน้ันยงั มีอกี หลายหอ้ งทีม่ ีความงามเกอื บเท่า ๆ กัน...

บ้านเรือนเคหะสถานของเจ้านายผู้ใหญ่ และเศรษฐีน้ันสูงใหญ่ สร้างด้วยไม้แกะสลักรูปใส่
ลวดลายงคงามมาก สว่ นไพร่น้อยราษฎรไม่ได้อยู่เรือนงามอย่างนั้น แต่เป็นเรือนสูงมุงหญ้าคา และ
พระสงฆ์องค์เจา้ ไดอ้ ยตู่ ึกดกี ว่า เพราะมอี านาจก่อสร้างวดั ดว้ ยอฐิ และหนิ

พลเมืองของพระราชอาณาจักรนมี้ ีเป็นจานวนมาก ตามสามะโนครัวในเวลาน้ัน เฉพาะชาย
ฉกรรจ์ถืออาวุธรับใช้ในกองทัพได้ 5 แสนคน คนเมืองนี้มีขนบธรรมเนียมอันดี พูดจาไพเราะ
สอนงา่ ย ฉลาด รกั ความสงบ และมักหักผ่อน...”

สจุ ติ ต์ วงษเ์ ทศ กล่าวว่า นครเวียงจันทน์ เป็นเมืองอกแตก มีแม่น้าโขงผ่ากลาง ทาให้เกิด
เมืองอยทู่ ้ังสองฝ่งั คอื ฝ่งั ลาวทีเ่ ปน็ เมืองเวียงจันทน์อยู่ในทุกวันน้ี และฝ่ังไทยเป็นอาเภอศรีเชียงใหม่
จังหวัดหนองคาย พิจารณาจากชากคูน้าคันดินเมืองเวียงจันทน์ท้ังสองฝ่ังโขง รวมถึงร่องรอย
โบราณวัตถุสถาน ทาใหร้ ู้ว่าเป็นเมอื งโบราณ มีอายุอยู่ในราวปี พ.ศ.1300 ไล่เลี่ยกับเมืองนครชัยศรี
(นครปฐมโบราณ) หรืออยู่ในยคุ ทวาราวดี

2

นิราศทัพเวียงจันทนื แต่งโดยหม่อมเจ้าทับผู้เสด็จไปราชการทัพปราบเวียงจันทน์ใน

สมัยรชั กาลที่ 3 ไดพ้ รรณนาถึงสภาพบ้านเมืองในนครเวียงจันทนืไว้ แต่เนื่องด้วยบทกลอนนิราศทัพ

เวียงจนั ทนม์ เี น้ือหาคอ่ นข้างมาก ผจู้ ดั ทาจึงได้ตัดมาแตใ่ นเฉพาะส่วนที่จะสามารถทาให้มองเห็นภาพ

ของนครเวยี งจนั ทน์ ไดช้ ดั เจน ดังน้ี

เมืองประมาณด้านชาวสักร้อยเศษ ถงึ คนั คูสุดเขตตใ์ นเข่ือนขัณฑ์

มคี ่ายล้อมปอ้ มเคียงอย่เู รยี งรัน เปน็ สองชัน้ เชิงเทินทเี่ ดนิ พล

ถ้าต้ังรบั กับเมอื งก็เต็มมงุ่ จะตดิ ตามขา้ มคุง้ ก็ขดั สน

กระสุนใหญ่สดุ ยั้งเปน็ วังวล จรดลยากแค้นแสนกนั ดาร

ลุถนนดลโรงอศั วเรศ มหี อลอยคอยเหตุสงู ระหง

เปน็ สามชนั้ กลองชัยอย่ใู นกรง ลว้ นบรรจงเงอ้ื มงามอร่ามตา

มตี ึกดนิ ทิมดาบกระหนาบข้าง ศาลาใหญใ่ หข้ ุนนางนง่ั ปรกึ ษา

ท้งั โรงรถโรงคชไอยรา เป็นสง่าตามแถวอยูแ่ นวทาง

มีโรงศกั ดิ์โรงแสงตาแหนง่ ท่ี ท้งั โรงสารบญั ชอี ันกว้างขวาง

อกี โรงพจิ ารณาศาลากลาง ท้งั สองข้างแถวทิมอยรู่ ิมวัง

มีโรงปืนหน้าป้อมลอ้ มนเิ วศ จนรอบเขตต์ซ้ายขวาและหน้าหลงั

ทีว่ งในล้วนแล้วแตแ่ ถวคลงั เป็นตกึ ตั้งรายเรียงอยเู่ คยี งกัน

มโี รงโขนใหญเ่ ย่ียมเอ่ยี มสะอาด งามประหลาดน่าชมดคู มสัน

มรี อกรอ้ ยห้อยเหาะเหน็ เหมาะครน้ั เปน็ จกั รผนั เล้ยี วไลก่ นั ไปมา

มีอาวาสลาดล้วนศลิ าเลีย่ น ช่อวิเชยี รวาววามพระเวหา

หางหงส์ยอดลายองล้วนทองทา รจนาด้วยสวุ รรณอันบรรจง

มีมณฑปอนั ประดบั วิเชียรรตั น์ กระจา่ งจดั ฉ้อช้อยลอยระหง

งามสมทรงสมตรวจทงั้ ทรวดทรง เปน็ วดั วงในเขตนิเวศวัง...

(ศิลปวฒั นธรรม, 2540:20-22)

กำรยำ้ ยถนิ่ ของชนชำวลำวเวยี งในประเทศไทย

การศึกษาค้นคว้าวิจัยทางด้านสังคม วัฒนธรรม ประเพณี และภาษาของชนชาวลาวเวียง
ท่ีอาศัยอยู่ในประเทศไทยนั้น ยังไม่มีการเสนอรายละเอียดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของชุมชน
ชาวลาวเวียงอย่างชัดเจน เพื่อความกระจ่างชัดทางด้านประวัติศาสตร์ของชุมชนลาวเวียงใน
ประเทศไทยจึงใช้การวิเคราะห์ตีความจากเอกสารชั้นต้น ได้แก่ จดหมายเหตุ พงศาวคาร เอกสาร
งานวิจยั ต่าง ๆ ที่ได้กล่าวถึงชุมชนลาวเวียงในประเทศไทย

3

แต่เนื่องจากการย้ายถ่ินของชนชาวลาวเวียงในประเทศไทยในการบันทึกไว้ในเอกสารดังกล่าว
น้อยมากจึงขอกล่าวไว้เท่าท่ีมีหลักฐานพอทราบได้ โดยสามารถแบ่งการอพยพย้ายถ่ินของชนชาว
ลาวเวยี งจันไดเ้ ป็น 2 ชว่ งระยะหลกั ๆ คือ สมยั กรงุ ธนบรุ ี และในสมยั รตั นโกสินทรต์ อนตน้ ดงั นี้

กำรยำ้ ยถ่ินของชนชำวลำวเวยี งจนั ทน์ในสมยั กรุงธนบุรี

สมัยกรุงธนบุรีเป็นราชธานี (พ.ศ.2310-2325) บริเวณหัวเมืองลาวแบ่งออกเป็น
3 อาณาจักรใหญ่วางอานาจไม่ขึ้นต่อกัน คือ อาณาจักรหลวงพระบาง มีพระเข้าสุริยวงศ์เป็น
ผู้ปกครอง อาณาจักรเวียงจันทน์ มีพระเจ้าศิริบุญสารเป็นผู้ปกครอง และอาณาจักรจาปาศักด์ิ
มีพระเจา้ ไขยกุมารเป็นผูป้ กครอง แต่ละอาณาจักรมีอาณาเขตแผ่ขยายออกไปมีหัวเมืองข้ึนมากมาย
ขอบเขตของอาณาจักรท้ังสามนั้น รวมกันแล้วครอบคลุมทั้งฝ่ังซ้าย และฝ่ังขวาแม่น้าโขง ต่อมาในปี
พ.ศ.2302 เกิดความขัดแย้งข้ึนภายในอาณาจักรเวียงจันทน์ระหว่างพระเจ้าศิริบุญสาร โอรสของ
พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 2 กับพระวรปิตาหรือพระวอผู้เป็นพระสัสสุระและเสนาบดีผู้ใหญ่ด้วย
สาเหตุหลายประการ ได้แก่ พระเจ้าศิริบุญสารบีบบังคับเอาบุตรีของพระวอไปเป็นหม่อมห้ามและ
พระเจ้าศิรบิ ญุ สารมีความหวากระแวงว่า พระวอจะชว่ งชิงราชบัลลังก์ เป็นต้น จะด้วยสาเหตุใดก็ตาม
ทาให้พระวออพยพ ไพร่พลครอบครัวจากเวียงจันทน์มาสร้างเมืองขึ้นท่ีบ้านหนองบัวลาภู (จังหวัด
หนองบัวลาภูในปัจจบุ ัน) ขนานนามเมอื งวา่ “นครเขอ่ื นขนั ธก์ าบแก้วบวั บานหรือจาปานครขวางกาบ
แก้วบัวบาน” แล้วประกาศตนเปน็ อสิ ระ ไมข่ ้นึ กบั นครเวยี งจันทน์

ฝ่ายพระเจ้าศิริบุญสาร ได้พยายามส่งกาลังทหารไปตีเมืองจาปานครขวางกาบแก้วบัวบาน
อยู่หลายครั้งกไ็ มส่ ามารถยดึ ดีเอาได้ ทางฝ่ายพระวอแม้ว่าจะตีฝ่ายเวียงจันทน์แตกทัพ ไปหลายครั้ง
แต่กาลงั เมอื งก็ออ่ นลงไปทุกที จงึ แตง่ พระราชสาน์สและเคร่ืองราชบรรณาการไปขอเป็นเมืองขึ้นกับ
พระเจ้าจิงกูจา แห่งกรุงอังวะและขอกาลังกองทัพพม่าลงมาช่วยตีนครเวียงจันทน์ ความทราบถึง
พระเจ้าศิริบุญสาร จึงแต่งพระราชสาน์สพร้อมเคร่ืองราชบรรณาการไปขอข้ึนกับพม่าเช่นกัน
และขอให้ยกกองทัพพม่าไปตีพระวอที่เมืองจาปานครขวางกาบแก้วบัวบาน ฝ่ายพระเจ้าจิงกูจา
แห่งกรงุ องั วะ เลอื กที่จะเขา้ ขา้ งพระเจา้ ศิริบญุ สารเจ้านครเวียงจันทน์ จึงยกกองทัพไปปราบพระวอ
พระวอสูก้ าลังกองทัพผสมพมา่ เวยี งจนั ทน์ไม่ได้ เพราะมีกาลังพลน้อยกว่าท้ังไม่คิดว่าทัพพม่าจะเป็น
ศึกกระหนาบ จึงอพยพครอบครัวบ่าวไพร่หลบหนีไปขอล้ีภัยอยู่กับพระเจ้าไชยกุมารเจ้านครจาปา
ศกั ด์ิ ตอ่ มาพระวอเกิดขัดใจวิวาทกับพระเจ้าไชยกุมารจึงได้อพยพไพร่พลข้ึนมาต้ังซ่องสุมผู้คนอยู่ท่ี
บ้านดอนมดแดง (เขตจังหวัดอุบลราชธานีในปัจจุบัน) แล้วแต่งทูตให้ถือพระราชสาน์สและเครื่อง
บรรณาการลงไปเมืองนครราชสีมา ให้เจ้าเมืองนครราชสีมานาเข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
พระเจ้าแผ่นดนิ แหง่ กรุงธนบุรีขอพงึ่ พระบรมโพธิสมภารขึน้ เป็นขา้ ขอบขัณฑสีมา

4

ความแตกแยกกันระหว่างพระวอกับพระเจ้าไชยกุมารล่วงรู้ไปถึงนครเวียงจันทน์ พระเจ้า
ศิริบุญสารจึงแต่งกองทัพเวียงจันทน์ยกทัพลงมาตีพระวอส่งผลให้พระวอส้ินชีวิตในการต่อสู้
ด้วยเหตุการณ์นี้เองเป็นเหตุให้กรุงธนบุรีเข้าแทรกแซง โดยถือว่าพระวอเป็นข้าขอบขัณฑสีมาของ
กรุงธนบุรี ดังน้ันสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี จึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก และ
เจ้าพระยาสุรสีห์ เป็นแม่ทัพ ยกกองทัพไปตีนครเวียงจันทน์ และหัวเมืองขึ้นต่าง ๆ ของนคร
เวียงจันทน์ โดยเจ้าพระยามหากษัตริย์ยกกองทัพมาทางบกไปทางอีสานตอนบน ส่วนเจ้าพระยา
สุรสหี ์ยกกองทัพมาตามลาน้าโขงไปทางกัมพูชาแล้วตีหัวเมืองข้ึนตามรายทางต่าง ๆ และไปบรรจบ
กันท่ีนครเวียงจันทน์ กองทัพทั้งสองสามารถยึดตีได้หัวเมืองลาวทั้งหมด ได้แก่ เมือง พันพ้าว
เมืองพะโค เมืองเวียงคุก เมืองหนองคาย และเมืองนครพนม เป็นต้น รวมท้ังนครจาปาศักดิ์และ
นครหลวงพระบาง ก็ใดม้ าขอขึ้นกับแผ่นดินกรุงธนบุรีในสงครามครั้งน้ี พร้อมรับอาสาส่งกองทัพเข้า
ช่วยตีนครเวียงจันทน์ด้วย สงครามดาเนินอยู่นาน 4 เดือน พระเจ้าศิริบุญสารเห็นเหลือกาลังที่จะ
รกั ษานครเวยี งจนั ทน์ไวไ้ ด้จึงหลบหนพี ร้อมดว้ ยเจ้าอนิ ท์ เจ้าพรหม ราชบตุ ร และข้าหลวงคนสนิทหนี
ศึกไปอยู่เมืองคาเกิดแล้วขอลี้ภัยเข้าไปอยู่ในดินแดนญวนต่อไป ทาให้กองทัพกรุงธนบุรีเข้ายืด
นครเวยี งจันทน์ได้ เม่ือวันจนั ทร์ เดอื น 10 แรม 3 ค่า ปีกนุ พ.ศ.2322 เม่อื กองทัพกรุงธนบุรเี ข้าเมือง
ได้แล้ว จึงจับเอาพระราชบุตรพระราชธิดาของพระเจ้าศิริบุญสาร ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์
เสนาขา้ ราชการน้อยใหญ่กวาดเก็บทรัพยส์ นิ ข้าวของท้ังมวล อนั มีค่าในพระคลงั หลวง พรอ้ มด้วยพระ
แก้วมรกตและพระบางอีกท้ังกวาดเอาครัวลาวเวียงจันทน์ลงมายังกรุงธนบุรีด้วย โดยครัวลาว
เวียงจันทน์พระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดเกล้าฯ ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองสระบุรี เมืองราชบุรี ตามหัวเมือง
ตะวันตก และเมืองจันทบุรี ส่วนเข้านายเชื้อกษัตริย์ โปรดเกล้าฯ ให้พานักอยู่ที่บางย่ีขัน โดย
วตั ถุประสงค์ของการกวาดตอ้ นชาวลาวเวียงจันเข้ามาในสมยั กรงุ ธนบุรี ด้วยเหตผุ ลต่าง ๆ ดงั นี้

1) นครเวยี งจันทนเ์ ป็นเมืองหลวงของอาณาจักรเวียงจันทน์มีเมืองเล็กเมืองน้อยมาขึ้นด้วย
หลายสิบเมืองจึงทาให้เมืองเวียงจันทน์มีผู้คนช้างม้า และเสบียงอาหารอยู่มาก แต่เน่ืองจาก
นครเวียงจันทน์อยู่ห่างไกลจากกรุงธนบุรีมาก อีกทั้งภัยสงครามจากพม่าท่ีพยายามช่วงชิงหัว
เมืองลาว เพ่ืออาศัยเป็นแหล่งสนับสนุนปัจจัยดังกล่าวข้างต้นและจากเวียดนาม ที่ให้การสนับสนุน
พระเจ้าศิริบุญสารพระเจ้าแผ่นดินเวียงจันทน์ ดังนั้น พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงมีนโยบายตัดกาลัง
นครเวยี งจนั ทนใ์ ห้อ่อนแอลง โดยกวาดต้อนครัวลาวเวียงจันทน์ลงมาหลายหมื่นคนให้ทาลายเสบียง
อาหารเรือกสวนไร่นาในเมืองเวียงจันทน์ เป็นการให้พระเจ้าศิริบุญสารกลับมายืดเมืองเวียงจันทน์
เปน็ ท่มี ั่นไดอ้ กี

5

2) พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงต้องการกาลังคนเพื่อมาทดแทนพลเมืองท่ีเสียชีวิต เนื่องจาก
สงคราม ในปี พ.ศ.2310 สงครามคร้ังน้ันนอกจากจะเสียร้ีพลไปจานวนมากแล้ว พลเมืองบางส่วน
ต้องตาย เพราะอดอาหารด้วย เมืองต่าง ๆ มีพลเมืองเหลืออยู่น้อยมาก สงครามชิงหัวเมืองลาวใน
สมัยกรงุ ธนบุรีก็เป็นเหตุให้ทหารทไ่ี ปรบเสยี ชีวติ อีกมาก ดังนัน้ พระเจา้ กรุงธนบุรีจงึ ต้องรวบรวมผู้คน
มาเพ่ิมเติมทดแทนเพือ่ ใหม้ ีจานวนมากพอ แม้ว่าจะเป็นพลเมืองชาวลาวแต่ถ้าสามารถควบคุมให้เป็น
ระบบกส็ ามารถใช้ประโยชน์ใชท้ งั้ การเมอื งและเศรษฐกิจ ประโยชนท์ างดา้ นการเมืองนอกจากใช้เป็น
กาลงั ป้องกนั เมอื งหรอื สง่ ไปราชการสงครามแล้ว เชลยศกึ ท่ไี ด้มาพระเจ้ากรุงธนบุรยี ังได้พระราชทาน
ให้แม่ทัพนายกองเพ่ือเป็นบาเหน็จตอบแทนความดีความชอบต่อไป ทางด้านเศรษฐกิจ เชลยศึก
นบั เป็นแรงงานสาคัญในการเพาะปลูกเพิม่ ผลผลติ ทางดา้ นการเกษตร ได้แก่ การทานาและใช้ในการ
สาธารณปู โภคตา่ ง ๆ (บงั อร ปยิ ะพนั ธุ์, 2541:25-30)

กำรยำ้ ยถ่นิ ของชนชำวลำวเวยี งจันทนใ์ นสมัยรัตนโกสินทรต์ อนตน้

การย้ายถน่ิ ของชนชาวลาวเวยี งจันทนใ์ นสมัยรตั นโกสินทร์ตอนต้น สามารถแบ่งออกได้เป็น
3 ช่วง คือ

1. รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
(พ.ศ.2325-2352) พระองค์ทรงดาเนินนโยบายการปกครองนครเวียงจันทน์ประเทศราช
โดยประกาศพระบรมราชโองการแต่งต้ังให้เจ้านันทเสน ราชบุตรองค์โตของพระเจ้าศิริบุญสารท่ี
นามาถวายตัวเพ่ือรับใช้พระมหากษัตริย์ตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรีให้กลับไปครองนครเวียงจันทน์ในปี
พ.ศ.2325 (พระราชพงศาวดารกรงุ รัตนโกสนิ ทร์ ฉบบั หอสมุดแห่งชาติ เล่ม 1:45) ถวายพระนามว่า
“พระเจ้านนั ทเสนพรหมลาว” แลว้ ตัง้ ให้เจา้ อนิ ทวงศ์ เป็นอุปราช ส่วนเจ้าอนุวงศ์และเจ้าพรหมวงส์
ยังคงถวายตัวรับใช้อยู่ต่อไป พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงสนับสนุนให้นคร
เวียงจันทน์เป็นศูนย์กลางในการควบคุมดูแลความสงบเรียบร้อย รวมไปถึงรวบรวมผู้คนและเคร่ือง
ราชบรรณาการจากหัวเมืองต่าง ๆ โดยเฉพาะหัวเมืองลาวทางฝั่งซ้ายแม่น้าโขง (พรรษา สินสวัสดิ์
2521:61)

ตอ่ มาในราวปี พ.ศ.2335 ลาวดาเมอื งแถนและลาวเมอื งพวนแขง็ ขอ้ ตอ่ นครเวียงจนั พระเจ้า
นันทเสน จึงแต่งกองทัพข้ึนไปปราบปรามได้กวาดต้อนครัวลาวทรงดาและลาวพวนส่งลงมาถวายที่
กรุงเทพฯ (ศรีศักร วัลลิโภดม, 2538:288) เพ่ือท่ีจะได้เป็นข้อแลกเปลี่ยน โดยจะขอครัว
ลาวเวยี งจันทน์ทถ่ี ูกกวาดค้อนไปตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรีกลับคืนมา พระเจ้าแผ่นดินไทยทรงปฏิเสธคา
ขอของพระเจา้ นนั ทเสน เป็นเหตใุ หพ้ ระเจา้ นันทเสนคิดการกบฏ

6

สมคบกับพระบรมราชาเจ้าเมืองนครพนมทาการติดต่อกับญวน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า
จฬุ าโลก จงึ ทรงสั่งถอดพระเจา้ นนั ทเสนออกจากเจา้ เมืองเวียงจันทน์ การท่ีพระเจ้านันทเสนให้ความ
สนใจต่อครวั ลาวเวยี งจนั ทนท์ เ่ี มืองสระบุรพี ยายามหาทางนากลับคืนไปเมืองเวียงจันทน์ให้ใด้นั้นเป็น
เพราะว่าการกวาดต้อนครัวลาวเวยี งจันทน์คราวพ่ายแพ้แก่กองทัพกรุงธนบุรี มีผลกระทบกระเทือน
ตอ่ สถานะเมอื งเวียงจนั ทนต์ ลอดมา กลา่ วคอื

1) เมืองเวียงจันทน์ต้องถูกลดฐานะจากเมืองเอกราชมาเป็นแค่เมืองประเทศราชของ
กรุงธนบรุ ี

2) ครัวลาวที่ถูกกวาดต้อนไปจานวนหลายหมื่นเป็นการบ่อนทาลายเศรษฐกิจของเมือง
เวียงจนั ทน์ทางออ้ ม เพราะชมุ ชนของเวียงจันบางแห่งได้กลายเป็นชุมชนร้างไป ไร่นาไม่มีคนทาเป็น
เหตใุ หไ้ ม่สามารถเกบ็ สว่ ยอากร ตลอดจนเกณฑ์แรงงานได้ไม่เต็มท่ี

3) การท่ีครัวลาวและเจ้านายในราชวงศ์เมืองเวียงจันทน์ถูกกวาดต้อนลงไปกรุงธนบุรีและ
เมอื งสระบุรี ก่อใหเ้ กดิ ภาวะพลัดพรากในหม่ญู าติมติ รของชาวเมอื งเวียงจันทน์

2. รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระมหากษัตริย์รัชกาลท่ี 2
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ.2352-2367) ความสัมพันธ์ระหว่างกรุงเทพฯกับนครเวียงจันทน์ยังคง
ดาเนินไปอยู่ตามเดิม โดยอานาจของกรุงเทพยังคงมีอยู่เหนือนครเวียงจันทน์และหัวเมืองลาว
ท้ังหลาย ในช่วงเวลาน้ีนครเวียงจันทน์ มีเจ้าอินทวงศ์ พระอนุชาของพระเจ้านันทเสน เป็นพระเจ้า
แผ่นดินเวียงจันทน์ พระนามว่า “พระชัยเชษฐา” และให้เจ้าอนุวงศ์เป็นอุปราช การย้ายถ่ินของ
ชาวลาวเวยี งจันทนไ์ ม่ปรากฏในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีเพียงครัวลาว
เมืองนครพนมย้ายถ่ินเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร และเจ้าเมืองเวียงจันทน์ส่งครัวลาวเมือง ภูครัง
ลงมากรงุ เทพฯ เท่านน้ั แต่ความพยายามทีจ่ ะไดค้ รวั ลาวเวียงจันทน์กลับคืนมารวมทั้งการดิ้นรนเพ่ือ
เป็นเอกราชของนครเวียงจันทน์ ยังเป็นส่ิงท่ีพระชัยเชษฐา พระเจ้าแผ่นดินเวียงจันทน์ใช้ความ
พยายามอยู่ตลอดเวลา จวบจนส้ินรัชกาลของพระองค์ เมื่อปี พ.ศ.2347 พระบาทสมเด็จพระพุทธ
เลิศหล้านภาลัย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ต้ังให้เจ้าอนุวงศ์ พระโอรสองค์ท่ี 3 ของพระเจ้าศิริบุญ
สารเสวยราชยค์ รองนครเวยี งจันทน์ พระนามวา่ “พระเจา้ ไชยเชษฐาธิราชท่ี 3” สบื

3. รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์องค์ท่ี 3 แห่งพระบรม
ราชวงศ์จักรี พ.ศ.2367-2394) นครเวียงจันทน์ฟื้นตัวเป็นบ้านเมืองได้อีกในฐานะประเทศราชของ
กรุงเทพฯทั้งมีไพร่พลเสบียง อาหาร ช้าง ม้า ซ่ึงเป็นพาหนะสาคัญในการสงครามอย่างสมบูรณ์
พอควร มีหัวเมืองลาวท่ีมีเขตติดต่อกับเขมรและญวนถึง 79 หัวเมือง ส่วนหัวเมืองลาวท่ีอยู่ริมฝั่ง
แมน่ า้ โขงทงั้ ฝา่ ยเหนอื ฝา่ ยใต้มถี งึ 80 หัวเมือง รวมหวั เมืองลาวทอ่ี ยู่ในความดูแลถงึ 165 หวั เมือง

7

โดยทั้งไพรพ่ ลเสบียงอาหารชา้ งม้าต่าง ๆ นัน้ ล้วนแตไ่ ดม้ าจากหัวเมืองลาวต่าง ๆ กระน้ันก็ตามความ

ต้องการท่ีจะใด้รับเอกราช และครัวลาวเวียงจันทน์กลับคืนมาก็ยังเป็นสิ่งท่ีเจ้าอนุวงศ์ พระเจ้า

แผ่นดนิ เวยี งจันทนค์ ิดและใช้ความพยายามอยู่ตลอดมากระท่ังในปี พ.ศ.2369 เจ้าอนุวงศ์ได้คิดการ

ก่อกบฏไมย่ อมเปน็ เมืองขึน้ ต่อกรงุ เทพฯ ดว้ ยสาเหตหุ ลายประการ ดังนี้

1) เจา้ อนุวงศท์ ลู ขอแบ่งครัวลาวเวียงจันทน์ที่กวาดต้อนลงมา แต่ครั้งกองทัพกรุงธนบุรีขึ้น

ไปตีนครเวียงจนั ทน์กลบั ข้นึ ไปบา้ นเมอื ง

2) เจ้าอนวุ งศก์ ราบถวายบังคมทูลของพระราชทานพวกหม่อมละครเล็กไปเป็นครูละครใน

วังที่นครเวียงจันทน์ พร้อมด้วยเจ้าดวงคาซ่ึงเป็นหลานปู่ของเจ้าอนุวงศ์ท่ีถูกกวาดต้อนลงมาถวาย

ตัวรับใช้ในสมยั กรุงธนบรุ ี

3) เจ้าอนุวงศ์เห็นความทุกข์ยากลาบากของชาวลาวเวียงจันที่ถูกเกณฑ์มาใช้แรงงาน เช่น

ในปี พ.ศ.2326 ไดเ้ กณฑแ์ รงงานลาวเวียงจัน 5,000 คน มาสร้างกาแพงเมืองและป้อมรอบพระนคร

4) เจ้าอนุวงศ์คิดว่าความขัดแย้งระหว่างไทยกับอังกฤษ เร่ืองการคิดต่อทาสนธิสัญญาทาง

ไมตรีและขอขยายการค้า กับเรื่องกบฏไทรบุรีที่ถูกไทยปราบปรามจนต้องหนีไปอยู่ประเทศอังกฤษ

คงจะประสบความล้มเหลวและบานปลายกลายเป็นสงคราม ซ่ึงหากเกิดสงครามขึ้นจริงไทยคงไม่มี

ทรัพยากรเพยี งพอท่จี ะรบกับลาวและอังกฤษพร้อมกนั

5) เจา้ อนุวงศค์ ดิ วา่ กาลงั อยใู่ นชว่ งผลัดเปลีย่ นแผน่ ดินใหม่ จะต้องเกดิ ความสบั สนวุ่นวายขึ้น

ในราชบัลลังก์ไทยอย่างแน่นอน เพราะวา่ พระเจา้ ลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (รัชกาลที่ 3) ได้

เสวยราชยแ์ ทนสมเด็จพระเจา้ ลกู ยาเธอ เจา้ ฟ้ากรมหลวงอศิ รสนุ ทร (รชั กาลที่ 4)

โดยคาขอของเจ้าอนุวงศ์ในสามข้อแรกนั้น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ทรง

พระราชทานให้ตามท่เี จา้ อนุวงศ์ขอแม้แต่ข้อเดียว แผนการยุทธ์ของเจ้าอนุวงศ์ คือ การโจมตีพร้อม

กัน 3 ดา้ น โดยจดั แบง่ กาลงั ออกเป็น 3 กองทัพ กาลงั ส่วนแรกให้บุตรของเจ้าอนุวงศ์คือ เจ้าราชบุตร

(โย)้ ซ่ึงเปน็ เจ้าเมืองจาปาศกั ด์เิ ขา้ มาทางเขตอีสานใตแ้ ถบอบุ ลราชธานี เขมราฐ ยโสธรและศรีษะเกษ

เปน็ ต้น กาลังอกี ส่วนหนึ่งใหเ้ จ้าอุปราชแห่งเวียงจันทน์คือ เจ้าติสสะ ซ่ึงเป็นอนุชาต่างมารดายกเข้า

มาทางเขตอีสานกลางแถบกาพสินธุ์ ร้อยเอ็ด สุวรรณภูมิ และอีสานใต้บางส่วน เช่น สุรินทร์ สังขะ

และขุขันธ์ เป็นต้น ส่วนเจ้าอนุวงศ์คุมกาลังทัพหลวงตรงเข้าสู่นครราชสีมาและสระบุรี โดยทาท่ี

อาพรางเจ้าเมืองกรมการต่าง ๆ ตามรายทางว่าได้รับคาส่ังจากกรุงเทพฯ ให้เกณฑ์กองทัพเมือง

เวียงจันทน์ลงไปช่วยทาศึกกับอังกฤษท่ีกาลังจะยกกองทัพเรือมาตีกรุงเทพฯ ทาให้การเดินทัพของ

กองทัพเวียงจันทน์ท้ังสามด้านไม่ได้รับการต่อต้านจากหัวเมืองต่าง ๆ ตามรายทาง ในที่สุดกองทัพ

เมอื งเวยี งจนั ทน์ทั้งสามทัพสามารถยดึ เมอื งยุทธศาสตร์ได้ทั้งหมดคือ เมืองนครราชสีมาและหัวเมือง

บริเวณท่ีราบสูงฝั่งขวาแม่น้าโขงได้ท้ังหมด กองทัพเวียงจันทน์ได้ทาการกวาดต้อนครัวลาวตาม

หัวเมืองดังกล่าวกลับไปเมืองเวียงจันทน์เป็นจานวนมาก ได้แก่ ครัวเมืองนครราชสีมา ประมาณ

18,000 คน 8

ครัวเมืองชัยภูมิ ประมาณ 300 ครัว และครัวเมืองชนบท ประมาณ 200 ครัว ครัวเมืองสระบุรี
ประมาณ 10,000 คนเศษ ความทราบถึงกรุงเทพฯ วา่ เจ้าอนวุ งศแ์ ข็งเมอื งและยกพลลงไปกวาดครัว
ลาวคืนนครเวียงจนั ทน์ จงึ ส่งกองทัพแบง่ ออกเป็น 3 ทพั คือ

1) กองทัพหลวง มีสมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานมงคล เป็นแม่ทัพยกกองทัพมุ่งสู่
นครราชสมี า แล้วดีขน้ึ เหนอื ไปทางชัยภมู ิ ช่องสามหมอ ภเู วียง สหู่ นองบัวลาภู

2) กองทัพฝา่ ยเหนอื มเี จา้ พระยาอภัยภูธร เป็นแม่ทัพยกข้ึนไปตามลาน้าป่าสักสู่เพชรบูรณ์
3) กองทัพฝ้ายตะวันออก มีพระยาราชสุภาวดีเป็นแม่ทัพยกกองทัพมุ่งหน้าสู่ภาคอีสาน
ทางช่องเรือแตก 4 ทพั มีการเกณฑ์เขมรป่าคงจากสุรินทร์ สงั ขะ และเขมรจากพระตะบอง
การดาเนินการตีโต้ตอบของกองทัพไทยใด้รับความสาเร็จอย่างรวดเร็ว สามารถตียึดเอา
ดินแดนที่เสยี ไปกลบั คืนมาได้ทง้ั หมด ทงั้ นเี้ พราะเจ้าอนุวงศ์ไม่ต้องการท่ีจะขยายผลแห่งชัยชนะและ
มัวแตว่ นุ่ วายอยกู่ บั การกวาดต้อนครัวตามหวั เมืองที่ยึดมาได้เพือ่ สง่ กลับไปนครเวียงจันทน์ ทั้งยังคาด
ไมถ่ ึงผลสะท้อนที่บังเกิดขึ้น เม่ือครัวไทยท่ีกวาดต้อนมาจากนครราชสีมาได้ก่อความวุ่นวายจนผู้คุม
ขบวนไมส่ ามารถควบคมุ ดแู ลสถานการณไ์ วไ้ ด้ ยงั ผลใหเ้ จา้ อนวุ งศต์ ้องขนยา้ ยทรพั ยส์ ินและครอบครัว
ลงเรือหนีไปอยู่เวียดนามก่อนเสียนครเวียงจันทน์ ต่อมาถูกจับได้ด้วยความช่วยเหลือของเจ้าน้อย
เมืองพวน ราชบตุ รเขยของเจ้าอนุวงศ์ และถูกส่งตัวลงไปกรุงเทพฯ พร้อมพระบรมวงศานุวงศ์ แล้ว
สิ้นพระชนมอ์ ยู่ท่ีกรุงเทพฯ ในปี พ.ศ.2371 ในปีเดียวกันน้ัน พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงมีพระราชประสงค์ให้ทาลายนครเวียงเวียงจันทน์ให้สิ้นซากเพ่ือมิให้กลับมาเป็นบ้านเมืองได้อีก
เพราะหากนครเวียงจนั ทนค์ ิดการกบฏข้ึนมาอีก จะทาให้ยุ่งยากแก่การปราบปรามโดยให้รื้อทาลาย
กาแพงเมอื ง ตัดตันไม้ลงให้หมดแล้วจุดไฟเผาทาลายนครเวียงจันทน์เสีย คงเหลือเพียงวัดเดียวท่ีไม่
ถูกไฟเผาไหม้คือ วัดสีสะเกด และให้ล้มเลิกนครเวียงจันทน์มิให้เป็นบ้านเมืองต่อไป ยังผลให้
นครเวียงจันทน์และราชวงศ์ลา้ นชา้ งเวียงจนั ทนถ์ ึงการสญู ส้นิ แต่น้ันมา
พระบาทสมเด็จพระนงั่ เกล้าเจา้ อยูห่ ัว ทรงมพี ระราชดารใิ ห้สมเด็จกรมพระราชวังบวรสถาน
มงคลและพระยาสุภาวดี แม่ทัพไทยท่ยี กกองทัพไปปราบกบฏเมืองเวียงจันทน์ในคร้ังนั้น กวาดต้อน
คนจากเมืองเวียงจันทน์ และหัวเมืองลาวใกล้เวียงจันทน์ลงมาให้มากที่สุด และให้หัวเมืองลาว
ทั้งหลายที่เป็นเมืองขึ้นของไทยให้ทาการเกล้ียกล่อมและกวาดต้อนครัวลาวเวียงจันทน์ท่ีหลบหนี
เข้ามา และจัดส่งต่อมาพักไว้ตามเมืองใหญ่ ๆ ก่อนจัดส่งลงมาไว้ที่กรงเทพฯ ซึ่งนอกจากครัว
ลาวเวียงจันทน์แล้ว ยังมีครัวลาวเมืองอื่น ๆ อีก ได้แก่ เมืองคาเกิด เมืองคาม่วน เมืองพร้าว
เมืองหาว เมืองพิน เมืองนอง เมืองมหาไชยกองแก้ว เมืองหนองหาร เมืองวังยาว เมืองปะขาว
เมืองพันนา เมอื งพันพร้า และเมืองข้าวแปง้ เปน็ ต้น

9

นอกจากครัวลาวเวียงจันทน์และครัวลาวเมืองอ่ืน ๆ ท่ีถูกกวาดต้อนส่งลงมายังกรุงเทพฯ
แล้วยังมีช้าง ม้า โคกระบืออีกเป็นจานวนมาก รวมทั้งพระพุทธรูปสาคัญ ๆ อีกหลายองค์ ได้แก่
พระเสริม พระใส พระแซกคา พระแก่นจัน พระเงินหล่อ พระเงินบุ พระนาคปรก และพระนาค
สวาดขนาคต่าง ๆ และพระพุทธรูปบางส่วนที่ไม่ได้จัดส่งลงมายังกรุงเทพฯ ถูกบรรจุไว้ในพระเจดีย์
ปราบเวียงท่ีเมืองพันพร้าวเพอ่ื เป็นทีส่ ักการะบูชาต่อไป

กบฏเจ้าอนุวงศ์ถือว่าเป็นกบฏของชนชาวลาวที่ใหญ่ที่สุด นับต้ังแต่ไทยปกครองลาวมา
47 ปี (พ.ศ.2322-2369) ซงึ่ การกบฏคร้ังนี้ได้มีผลกระทบต่อจานวนของประชากรและเป็นการย้าย
ถนิ่ ฐานของประชากรลาวเมอื งเวียงจันทนแ์ ละลาวเมืองอ่นื ๆ เขา้ มาในประเทศไทยมากทส่ี ดุ

ประวตั ิชุมชนลำวเวียงบ้ำนหำดสองแคว

จากคาบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ ได้กล่าวถึงการต้ังถ่ินฐานของชุมชนลาวเวียง หมู่บ้าน
หาดสองแดว ตาบลหาดสองแคว อาเภอตรอน จังหวัดอุตรดิตถ์ ไว้ว่า บรรพบุรุษของคนได้ถูกกวาด
ต้อนมาจากเมืองลาวเวียงขันในฐานะเชลยศึกสงคราม มีท้ังชายฉกรรจ์ ผู้หญิง คนชราและเด็กชาย
หญิงในวัยแล่นจูงอุ้ม โดยแรกเร่ิมถูกส่งเข้ามาต้ังหลักแหล่งอยู่บนฝ่ังตะวันตกของแม่น้าน่าน
ทห่ี มบู่ ้านกองโค ตาบลคอรุม อาเภอพชิ ัย จังหวดั อตุ รดิตถ์ ในปัจจุบัน เมื่อชุมชนขยายใหญ่มีจานวน
คนและครอบครัวเพิ่มมากข้ึนจึงขยายชุมชนจากบ้านกองโคที่ตั้งอยู่เดิมข้ึนไปทางทิศเหนือตาม
ลาแม่น้าน่านจนถึงเขตบ้านแก่ง จนเกิดเป็นชุมชนเด็ก ๆ ได้แก่บ้านวังสะโม บ้านหาดสองแคว
บา้ นเด่นสาโรง และบ้านวังแดง สว่ นช่อื ทม่ี าของหม่บู ้านหาดสองแควนั้น ผู้เฒ่าผู้แก่ได้กล่าวเพิ่มเติม
ว่า บรรพบุรุษของตนไห้ต้ังช่ือข้ึนตามลักษณะภูมิประเทศท่ีตั้งของหมู่บ้านในขณะน้ัน คือ บริเวณ
ท่ีตั้งของหมู่บ้านเป็นทางออกของลาน้าสองสายท่ีไหลมาบรรจบกันคือ แม่น้าน่านกับคลองตรอน
โดยลานา้ มีลักษณะเป็นสองสายไหลมาบรรจบกนั จึงเรียกกันวา่ เรียกว่า “สองแคว” และตรงบริเวณ
ทตี่ ัง้ ของหมู่บ้านได้เกิดเป็นสันทรายย่ืนออกมาจนเป็นหาดทรายแนวทางยาวตลอดหมู่บ้านจึงเรียก
บริเวณนี้ว่า “บ้านหาดสองแคว” ซึ่งในสมัยก่อนการคมนาคมมีอยู่สองทางคือ ทางน้ากับทางบก
การคมนาคมทางน้าใช้เรือเป็นพาหนะหลัก ชาวเรือท่ีเดินทางผ่านมาจึงมักจะค้างแรมบริเวณ
หาดทรายแห่งนี้ โดยจากหลกั ฐานทางเอกสารทีจ่ ากนกั ผวู้ ิจยั ไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ มาพอท่ีจะเช่ือมโยงและ
ยนื ยันคาบอกเล่าของผู้เฒา่ ผูแ้ ก่ในชุมชนลาวเวียงหมู่บ้านหาคสองแควได้ว่า ชุมชนลาวเวียงหมู่บ้าน
หาคสองแควชุมชนเก่าแกท่ ม่ี ีประวตั คิ วามเป็นมายาวนาน ดังน้ี

ประเทือง ช้างศรี ครูใหญ่โรงเรียนบ้านกองโค กล่าวว่า แต่เดิมหมู่บ้านกองโคน้ีไม่มีผู้คน
อาศยั อยู่ ต่อมาในชว่ งรัชกาลท่ี 3 แห่งราชวงศจ์ กั รี ได้ยกกองทัพไปปราบกบฏลาวเมอื งเวยี งจนั ทน์

10

แล้วไดก้ วาดต้อนชาวลาวจากเมืองเวียงจนั ทน์มาเปน็ จานวมมาก และได้นาชาวลาวเหล่าน้ันแยกย้าย
กันไปอยู่ตามเชื้อสายในท่ีต่าง ๆ ทั่วราชอาณาจักร เพ่ือป้องกันมิให้รวมตัวกันก่อความกระด้าง
กระเด่ืองได้ อีกท้ังยังได้ใช้เป็นแรงงานในการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร เป็นกาลังของบ้านเมือง
สาหรับราชการทัพศึก และเกณฑ์แรงมาใช้ในกิจการที่เกี่ยวกับการสร้างเพ่ือพัฒนาบ้านเมืองและ
วัดวาอารามตา่ ง ๆ โดยหมู่บ้านลาวเวียงจันทน์ในจังหวัดอุตรดิตถ์ในปัจจุบัน ได้แก่ หมู่บ้านวังสะโม
และหมู่บ้านกองโค อาเภอพิชัย หมู่บ้านวังแดง หมู่บ้านนหาดสองแคว และหมู่บ้านเด่นสาโรง
อาเภอตรอน สาหรับหมู่บ้านกองโดน้ัน ชาวลาวที่ถูกกวาดต้อนมาเป็นชาวลาวเมืองเวียงจันทน์
ซึ่งทางราชการได้จัดให้ปลูกบ้านเรือนข้ึนเป็นหมู่บ้าน โดยตั้งเป็นกองเล้ียงโค มีประมาณ 70
ครอบครัว มีชายหญิงท้ังผู้ใหญ่และเด็ก และให้ขุดบึงเก็บน้าไว้ 3 บึง เพื่อใช้สาหรับเล้ียงโค บึงละ
1,000 ตวั

อาจารยข์ วัญเมอื ง จันทโรจน์ อาจารย์ประจาภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
กล่าวว่ากลุ่ม วัฒนธรรมลาวเวยี งจันทน์ถูกกวาดตอ้ นเขา้ มาในช่วงปี พ.ศ.369-2375 กลมุ่ น้ีจะพบเห็น
อยใู่ นเขตหมู่บ้านวงั แดง หม่บู ้านหาดสองแดว อาเภอตรอน และหมู่บ้านกองโค อาเภอพิชัย เป็นต้น
จากการตรวจสอบหลกั ฐานชน้ั ตน้ ในสมัยรัชกาลท่ี 3 โดยเฉพาะใบบอกจากท้องถิ่นและสารตราของ
รัฐส่วนกลางได้กล่าวถึงเหตุการณ์หลังสงครามปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์ยุติลงว่า เมืองพิชัยได้ถูกยกข้ึน
เปน็ หัวเมืองช้ันนอกมีฐานะเป็นเมืองโท มีหน้าที่ควบคุมสอดส่องความเคลื่อนไหวทางการเมืองของ
หัวเมืองลาวเขตฝ่ังขวาแม่น้าโขง และเมืองพิชัยต้องส่งส่วยเป็นไม้ขอนสักรายใหญ่ในเมืองเหนือ
อีกท้ังยังต้องรับส่งส่วยจากของหัวเมืองข้ึนต่าง ๆ ส่งให้ทางกรุงเทพฯ เช่น เมืองตรอนตรีสินธ์ุ
(อาเภอตรอนในปจั จุบนั ) ต้องสง่ สว่ ยเหลก็ นา้ พ้ี ในนามหัวเมืองขึ้นของเมืองพิชัยให้กับทางกรุงเทพฯ
ปีละ 22 หาบ เป็นต้น และในเรื่องการค้า ยังได้กล่าวถึง กองโคหลวงเมืองพิชัย ซ่ึงมีหน้าที่รวบรวม
จดั หาและเลี้ยงโคสาหรบั ไวใ้ นราชการเพ่อื มาใช้ในการทานา

ในสมยั รัตนโกสนิ ทร์ตอนต้น เมืองพิชัยเป็นเมืองสาคัญข้นึ ในรชั กาลท่ี 3 เมือ่ เจา้ อนุเวียงจันท์
เปน็ ขบถ กองทพั กรงุ เทพฯขน้ึ ไปปราบปรามราบคาบ แลว้ โปรดให้เลกิ อาณาเขตนครเวียงจันทน์ มใิ ห้
มีดังแต่ก่อน เมืองพิชัยได้รับการโอนหัวเมืองขึ้นของเมืองเวียงจันทน์ที่อยู่ในเขตต่อแดนมาเป็น
เมืองขึ้นหลายเมือง ขยายเขตแดนออกไปถึงแม่น้าโขง ต้องตรวจตรารักษาการทางเมืองแพร่
เมืองน่าน ตลอดจนเมืองหลวงพระบาง เป็นเมืองหน้าด่านแต่นั้นมา ฉะนั้นในสมัยรัชกาลท่ี 3
เมอื งพิชัยจงึ เป็นหัวเมืยงทีม่ คี วามสาคัญอยา่ งมาก

บังอร ปียะพันธุ์ กล่าวว่า ชนชาวลาวที่ย้ายถ่ินเข้ามาในสมัยพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้า
เจ้าอย่หู วั เป็นพวกทถ่ี ูกกวาดต้อนเข้ามาหลังจากการปราบปรามกบฏเข้าอนุวงศ์แล้วในปี พ.ศ.2371
ซึ่งมีทั้งชาวลาวเวียงจันทน์และชาวลาวเมืองต่าง ๆ ที่อยู่ท้ังฝ่ังซ้ายและฝ่ังขวาแม่น้าโขง การย้ายถิ่น
เขา้ มามที ั้งการกวาดตอ้ นด้วยกองทัพกรงุ เทพฯ และบรรดาหวั เมอื งลาวตา่ ง ๆ โดยได้ส่งมาพักไว้ตาม
เมอื งใหญ่ ๆ ก่อน ไดแ้ ก่ เมอื งพชิ ยั เมอื งพษิ ณุโลก กรงุ เกา่ อยุธยา เป็นตน้

11

แล้วแยกส่งไปต้ังบ้านเรือนอยู่ในเมืองต่าง ๆ ท้ังในเขตหัวเมืองช้ันในและหัวเมืองชั้นนอก และให้
อาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่มตามเช้ือสายเดียวกันโดยคานึงถึงความสะดวกในการควบคุมดูแล และ
ความรู้สึกรักหมู่คณะไม่ให้พลัดพรากจากกัน ทางราชการให้ปลูกบ้านเรือนเป็นหมู่บ้านสลับกับ
หมู่บา้ นคนไทย ซ่ึงชาวลาวที่ถูกกวาดตอ้ นเขา้ มาหลังสงครามในแต่ละครั้ง หากไม่ใช่กลุ่มเจ้านายเชื้อ
พระวงศแ์ ละขนุ นางข้าราชการ ท่ีเรยี กว่า “มลู นาย” แลว้ จะเรียกว่า “ไพร่ลาวหรือเลกลาว” ซ่ึงเป็น
คาทใี่ ช้เรยี กราษฎรทงั้ ชายหญงิ โปรดเกลา้ ฯใหจ้ ัดแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนท่ีหน่ึง พระราชทาน
ให้กับแม่ทัพนายกองที่มีความดีความชอบในราชการ ชาวลาวกลุ่มนี้เรียกว่า ไพร่สมหรือเลกสม
มีหน้าที่รับใช้มูลนายผู้นั้น ส่วนที่สองพระราชทานไปยังเมืองต่าง ๆ ท้ังในเขตหัวเมืองชั้นในและ
หัวเมอื งช้ันนอกชาวลาวกลมุ่ ทีเ่ รียกว่า “ไพร่หลวงหรอื เลกหลวง” มที ้งั ชายฉกรรจแ์ ละครอบครวั

โดยทางราชการได้จัดตั้งเป็นหน่วยปกครองเรียกว่า “กองลาว” แบ่งกองลาวออกเป็น
4 กอง ได้แก่ กองลาวคงเมือง กองลาวเข้าเดือน กองลาวด่าน ซ่ึงกองลาวทั้งสามกองนี้ มีหน้าที่รับ
ราชการเข้าเวรยาม ประจาการ ดูแลรักษาเมือง รักษาด่านทาง และทางานโยธาตามแต่จะมี
หมายเกณฑ์หรืออาจให้รับคาส่ังให้หาส่วยส่ิงของส่งให้ทางราชการเป็นคร้ังคราว และกองลาวนอก
ซึ่งแยกออกเป็นกองย่อย ๆ ได้แก่ กองโค กองช้าง กองม้า กองไร่ กองนา และกองส่วย มีหน้าที่
จัดหาส่วยส่งให้ทางราชการตามกาหนดเป็นรายปี โดยในแต่ละเมืองจะมีกองลาวอยู่หลายกอง
กองลาวแต่ละกองมีผู้ปกครอง เรียกว่า “นายกองลาว” ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวลาวเช้ือสายเดียวกัน
และนายกองลาวจะถูกปกครองควบคมุ ดแู ลจากมลู นายทั้งลาวและไทยอีกทีหนงึ่ แต่ละกองลาวก็จะมี
หลายหลังคาเรือนรวมกัน เช่น กองโคก็จะต้ังบ้านเรือนอยู่ในละแวกลาวกองโคด้วยกัน ไม่อยู่อาศัย
ปะปนรวมกับกองลาวอนื่ ๆ ท้ังนีเ้ พอื่ ความสะดวกในการปกครองควบคมุ

จดหมายเหตุ รัชกาลที่ 3 เล่มที่ 5 กล่าวถึง บัญชีจานวนครัวลาว ซึ่งมาแต่เมืองหลวง
พระบาง จ.ศ.1192 (พ.ศ.2373) พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้พระยา
อามาตย์ข้ึนไปชาระรับครัวลาวท่ีเมืองหลวงพระบางกวาดต้อนรวบรวมมาจากหัวเมืองลาวต่าง ๆ
ส่งลงมาพกั ไว้ที่เมืองพชิ ัย พระยาอามาตยช์ าระแล้ว มีใบบอกส่งครัวลาวลงมาถงึ 7 ครั้ง ครัวลาวที่ได้
กวาดต้อนมาจากหัวเมืองลาวต่าง ๆ มีดังน้ี เมืองลม เมืองเลย เมืองแก่นท้าว เมืองปากลาย
เมอื งเวยี งจนั ทน์ เมืองภเู วียง และเมืองภูครังซึ่งมีทั้งชายฉกรรจ์ ผู้หญิง เด็ก พระภิกษุ และสามเณร
รวมท้ังส้ินประมาณ 16,000 คนเศษ (บัญชีจานวนครัวซ่ึงมาแต่เมืองหลวงพระบาง จศ. 192
(พ.ศ.2373) เลขท่ี 21, อา้ งในจมห.ร 3 เล่ม 5, 2530:70-78)

ตรี อมาตยกุล (2513: 223) กลา่ ววา่ ในสมยั รตั นโกสนิ ทร์ตอนต้น ตาบลบางโพทา่ อิฐ
(จังหวัดอตุ รดติ ถใ์ นปัจจบุ ัน) จะมีเรือสินคา้ เดนิ ทางข้ึนมาจากกรุงเทพฯ ถึงตาบลบางโพท่าอิฐเท่านั้น
ซ่ึงก่อนถึงบางโพจะต้องเดินเรือผ่านหมู่บ้านหาดสองแควด้วย สาเหตุท่ีสามารถเดินเรือถึงเพียงแค่
ตาบลบางโพเท่าน้ัน เพราะเหนอื ขน้ึ ไปจากแม่น้านา่ นน้นั จะมคี วามตน้ื เขนิ และเป็นเกาะแก่งมาก

12

เรอื ตา่ ง ๆ ไม่สามารถเดนิ ทางไดส้ ะดวก ฉะน้ันตาบลบางโพท่าอิฐจึงเป็นย่านสาคัญ เพราะเป็นท่ีรวม
ของสินค้าต่าง ๆ ซึ่งพ่อค้าได้นาสินค้าทางเมืองใต้ขึ้นมาสุดทางเพียงได้เพียงเท่าน้ี และพ่อค้าทาง
เมืองเหนือ เช่น หลวงพระบาง เมืองแพร่ เมืองน่าน ตลอดจนแคว้นสิบสองปันนา ก็จะนาสินค้า
พื้นเมอื งเดนิ ทางบกลงมาเพือ่ ค้าขายแล้วคอยรบั ซอ้ื สินคา้ ทส่ี ่งมาจากกรุงเทพฯ ข้ึนไปขายตอ่ อีกทีหน่งึ

สุวิทย์ ธีรศาศวัต (2541:139-140) กล่าวว่า เส้นทางการค้าหลักของลาวในช่วงเป็น
ประเทศราชของไทย สามารถใช้ติดต่อค้าขายได้ 2 เส้นทาง คือ เส้นทางแรกเป็นเส้นทางน้าผสม
ทางบก โดยในช่วงแรกออกจากเชยี งรงุ้ เชียงลบั เชียงแสน เชียงของ นาสินค้าจากจีนมาทางเรือล่อง
มาตามลาแม่น้าโขงมายังเมืองหลวงพระบาง พ่อค้าบางกลุ่มอาจหยุดและเดินทางกลับเชียงรุ้งเพียง
เท่านี้ แตพ่ อ่ ค้าบางกลมุ่ ที่เดินทางตอ่ จะล่องแม่น้าโขงลงมาถึงเมืองปากลาย แล้วใช้ช้างบรรทุกสินค้า
เดินทางจากเมืองปากลายต่อไปถึงตาบลบางโพ (จังหวัดอุตรดิตถ์ในปัจจุบัน) ซึ่งจากเมืองปากลาย
มายังตาบลบางโพใช้ระยะทางประมาณ 150 กิโลเมตร เส้นทางท่ีสองเป็นเส้นทางน้า คือ จาก
เมืองปากลายมาทางเมืองวามาลงแม่น้าน่านใช้ระยะทางประมาณ 50 กิโลเมตร แล้วล่องเรือไปตาม
ลาน้าน่านไดเ้ ชน่ เดยี วกนั แต่ชว่ งเมืองวามาถงึ ตาบลบางโพนัน้ ลาน้าน่านคอ่ นข้างคดเค้ียวและตื้นเขิน
ทาให้เดินเรือลาบาก จากตาบลบางโพล่องมาตามลาน้านา่ น จะผ่านหมู่บ้านหาดสองแควไปพิษณุโลก
พิจิตร ปากน้าโพ ชัยนาท สิงหบ์ ุรี อ่างทอง ปทุมธานี นนทบรุ ี มาถึงปลายทางที่กรุงเทพฯ ระยะเวลา
เดินทางจากหลวงพระบางมาถึงกรุงเทพฯ ตามเส้นทางดังกล่าว ใช้ระยะเวลา 26 วัน โดยระยะทาง
จากหลวงพระบาง-ปากลาย ระยะทางประมาณ 240 กิโลเมตร ใช้เวลา 6 วัน จากปากลาย-บางโพ
ระยะทางประมาณ 150 กิโลเมตร ใช้เวลา 10 วัน จากบางโพ-กรุงเทพ ระยะทางประมาณ 550
กโิ ลเมตร ใช้เวลา 10 วนั รวมระยะทางจากเมืองหลวงพระบางถึงกรุงเทพฯ ประมาณ 940 กิโลเมตร

จากหลกั ฐานทางเอกสารและการบอกเล่าขานสืบต่อกันมาของผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชนลาวเวียง
หมบู่ ้านหาดสองแคว มหี ลายส่วนที่สอคคล้องกนั ที่บง่ บอกให้ทราบถึงประวัติความเป็นมาของกลุ่มชน
ทีไ่ ด้เคลอื่ นยา้ ยเขา้ มาบกุ เบิกหักลา้ งถางพงและต้ังถิ่นฐานในเขตชุมชนลาวเวียงหมู่บ้านหาดสองแคว
ซงึ่ พอที่จะสรุปเป็นขอ้ สนั นิษฐานไดด้ ังน้ี

ชุมชนลาวเวยี งหมูบ่ ้านหาดสองแควเปน็ ชมุ ชนชาวลาวเมอื งเวียงจันทน์ท่ีถูกกวาดต้อนเข้ามา
ในรชั สมยั พระบาทสมเด็จพระน่งั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาลท่ี 3 หลังจากปราบกบฏเจา้ อนุวงศ์ได้แล้วในปี
พ.ศ.2371 การย้ายถ่ินเข้ามาของครัวลาวเมืองเวียงจันทน์มีท้ังการกวาดต้อนด้วยกองทัพกรุงเทพฯ
และบรรดาหวั เมืองลาวตา่ ง ๆ โดยได้สง่ ครัวลาวเมืองเวยี งจันทน์มาพักไว้ตามเมืองใหญ่ ๆ ก่อนได้แก่
เมืองพิษณุโลก พิชยั เป็นตน้ ซึ่งตรงกับจดหมายเหตุรัชกาลท่ี 3 เล่ม 5 ท่ีใด้กล่าวถึง พระบาทสมเด็จ
พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าๆ ให้พระยาอามาตย์ขึ้นไปชาระรับครัวลาวท่ีเมืองหลวงพระบาง
กวาดต้อนรวบรวมมาจากหัวเมืองลาวต่าง ๆ ส่งมาพักไว้ท่ีเมืองพิชัย รวมทั้งสิ้นประมาณ 16,000
คนเศษ

13

รัฐบาลไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ได้กาหนดให้แยกส่งครัวลาวไปตั้งบ้านเรือนอยู่
ในเมืองต่าง ๆ ทั้งในเขตหัวเมืองชั้นในและหัวเมืองชั้นนอกและให้อาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่มตาม
เช้ือสายเดียวกันโดยคานึงถึงความสะดวกในการควบคุมดูแล และให้ปลูกบ้านเรือนเป็นชุมชน
หมู่บ้านสลบั กับหมู่บ้านของคนไทย แต่ยงั คงใหอ้ ยใู่ กลเ้ คยี งกับชุมชนชาวไทย โดยบรรพบุรุษของชาว
ลาวเวียงหมู่บ้านหาดสองแควในขณะน้ันเรียกว่า “ไพร่หลวงหรือเลกหลวง” มีทั้งชายฉกรรจ์และ
ครอบครัว รัฐไทยได้จัดต้ังให้เป็นหน่วยปกครองขึ้นเรียกว่า “กองลาวนอก” สังกัดกองโค มีหน้าท่ี
จัดหาและเล้ยี งโคสาหรบั ใช้ในราชการ และทางานโยธาตามแต่จะมีหมายเกณฑ์หรืออาจได้รับคาส่ัง
ใหห้ าสว่ ยสิ่งของส่งให้ทางราชการเปน็ ครั้งคราว และได้กาหนดให้ต้งั หลักแหล่งเป็นชุมชนหมู่บ้านขึ้น
บริเวณฝ่ังตะวันตกของแม่น้าน่านที่หมู่บ้านกองโค ตาบลคอรุม อาเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ใน
ปัจจุบัน ซ่ึงจากการสารวจพบว่า บริเวณใกล้เคียงกันกับหมู่บ้านหาดสองแควนั้น มีหมู่บ้านของ
ชาวไทยตงั้ เปน็ หมู่บา้ นอาศยั อยู่มานานแลว้ เช่นกนั ไดแ้ ก่ หมบู่ ้านแก่ง หมู่บา้ นทา่ สกั เป็นต้น

แม้ว่าชาวลาวจะมีหนา้ ท่ที าสว่ ยหรือถูกเกณฑ์แรงงานต่าง ๆ แต่ชาวลาวก็สามารถทามาหา
กินเลี้ยงชีพได้ด้วยการประกอบอาชีพไม่แตกต่างไปจากชาวไทย เช่น การทานา ทาไร่ ทาสวน
ค้าขาย และการจับปลา เป็นต้น โดยต้องเสียภามีอากรตามอัตราท่ีทางราชการกาหนดไว้ และ
สามารถเดินทางไปมาค้าขายในเขตเมืองท่ีอยู่อาศัยหรืออาจออกไปนอกเมืองที่มีชายแดนติดต่อกัน
ไดบ้ ้าง แตไ่ ม่สามารถออกไปต้ังถิ่นฐานบ้านเรือนแห่งใหม่ได้ตามอาเภอใจ เพราะรัฐใช้การปกครอง
และควบคุมชาวลาวในระบบไพร่ซ่ึงเป็นวิธีเดียวกับท่ีใช้กับคนไทย ต่อมาระบบไพร่เริ่มคล่ีคลายลง
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิรูปการปกครองและยกเลิกระบบไพร่ทาให้
การควบคุมกาลังคนเปลี่ยนแปลงไปโดยมีผลตามมาคือ การย้ายถ่ินของชนชาวลาวจากชุมชนหรือ
เมืองที่เคยอยู่ออกไปอยู่ต่างเมืองกันมากข้ึน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลท่ีว่าต้องการกลับคืนถิ่นฐาน
บา้ นเมอื งเดิมหรอื หาแหลง่ ทากนิ ใหมท่ อ่ี ดุ มสมบรู ณ์กว่าก็ตาม

จากขอ้ มูลดงั กล่าวนีส้ อดคล้องกับการสัมภามณ์ผูใ้ ห้ข้อมลู คนหน่ึงท่ี ได้เลา่ วา่ กลุ่มบรรพบุรุษ
ของตนอพยพมาจากฝั่งตะวันตกของแม่น้าน่านบริเวณหมู่บ้านกองโค ตาบลคอรุม อาเภอพิชัย
จงั หวดั อุตรดติ ถใ์ นปจั จุบนั ซง่ึ จะด้วยเหตใุ ดของการอพยพไม่ทราบไว้ โดยกลุ่มบรรพบุรุษของตนได้
ใช้เส้นทางเดนิ ขึน้ ไปทางทศิ เหนอื ตามลานา้ น่านจนถึงบรเิ วณทต่ี ั้งของหมูบ่ า้ นในปัจจุบันคือ บริเวณท่ี
เปน็ ทางออกของลานา้ สองสายท่ไี หลมาบรรจบกันคือ แมน่ ้าน่านกบั คลองตรอน และตรงบริเวณท่ีตั้ง
ของหมู่บ้านนั้นไว้เกิดเป็นสันทรายย่ืนออกมาจนเป็นหาดทรายแนวทางยาวตลอดหมู่บ้าน จึงเรียก
บรเิ วณน้ีวา่ “บา้ นหาดสองแคว” และบรรพบุรษุ ชาวลาวเวียงบางกลุ่มก็ยังเดินทางเรื่อยข้ึนไปจนถึง
เขตบ้านแกง่ และต้งั เปน็ บา้ นเรอื นตั้งแตน่ ้นั มา

14

พัฒนาการของชุมชนชาวลาวเวียงหมู่บ้านหาดสองแควนั้น ผู้วิจัยสันนิษฐานว่าเกิดจากการ
ขยายตวั ของจานวนประชากร ทาให้เกดิ การขยายชมุ ชนออกไปในพืน้ ที่ใกลเ้ คยี งและกวา้ งไกลออกไป
เพื่อบุกเบิกที่ดินทากินเป็นของตนเอง โดยบรรพบุรุษของชาวลาวเวียงกลุ่มนี้ได้เดินทางอพยพขึ้น
เหนอื มาตามลาน้านา่ นจากหม่บู ้านกองโคจนมาถงึ บ้านวงั สะโม บรรพบุรษุ ของชาวลาวเวียงส่วนหน่ึง
จึงไดห้ ักล้างถางพงสรา้ งบ้านปลกู เรอื น ณ ทน่ี ี้ ส่วนกล่มุ อืน่ ๆ กไ็ ด้เคล่ือนย้ายกันต่อไปเพื่อหาบริเวณ
เขตท่ีรกร้างว่างเปล่าจับจองที่ดินทากิน กระท่ังเมื่อเดินทางมาถึงยังเขตบริเวณท่ีต้ังของหมู่บ้าน
หาดสองแควในปัจจบุ ัน ทม่ี ลี กั ษณะเป็นทางออกของลาน้าสองสายที่ไหลมาบรรจบกันคือ แม่น้าน่าน
กับคลองตรอน โดยแม่น้าน่านมีต้นน้าเกิดจากทิวเขาหลวงพระบางในเขตท้องท่ี อาเภอปัว
จังหวัดน่าน ลาน้าในตอนต้นจะไหลลงทางเหนือแล้วจึงวกลงมาทางใต้ผ่านที่ราบแคบ ๆ ของ
จังหวัดน่าน จากนั้นก็จะไหลผ่านซอกเขาซ่ึงมีลักษณะค่อนข้างคดเคี้ยวทาให้กระแสน้าไหลเชี่ยว
ในช่วงเวลาน้ันเศษหินต่าง ๆ ท่ีถูกกระแสน้าพัดพาจะกระทบกระแหกขัดสีกันจนค่อย ๆ แตกออก
กลายเปน็ กรวดทรายและโคลนตม เม่อื กระแสน้าน่านไหลลงมาถงึ เขตอาเภอทา่ ปลา จังหวัดอุตรดิตถ์
แล้ว จงึ ไหลลงมาทางทศิ ตะวันออกมงุ่ สู่ทุ่งราบจน

15

ประวตั คิ วำมเป็นมำจำกเมืองหลวงพระบำงและเวียงจนั ทน์
สปป.ลำว

ลาวอุตรดิตถ์มคี วามแตกต่างกนั แบ่งไดเ้ ป็นสองกล่มุ ตามพ้นื ที่และลานา้ ประวัติความเป็นมา
และภาษา คือ กลุ่มลาวอาเภอน้าปาด ฟากท่า และบ้านโคก ซ่ึงอาศัยอยู่ตามลาน้าปาด มีต้นกาเนิด
จากอาเภอบา้ นโคก ไหลผา่ นอาเภอฟากทา่ ลงมาส่อู าเภอนา้ ปาด ซ่ึงในบทความน้ีจะเรยี กว่า “ลาวน้า
ปาด-ฟากท่า-บ้านโคก” และกลุ่มลาวอาเภอตรอนและพิชัยเป็นกลุ่มท่ีอาศัยอยู่ตามลาน้าน่าน ซ่ึงใน
พจนานุกรมน้ีจะเรียกว่า “ลาวหาดสองแคว” ลาวอุตรดิตถ์มีประวัติความเป็นมาโดยอพยพมาจาก
สปป.ลาว ท้ังสองกลุ่ม โดยมีเรื่องราวความเป็นมาท่ีแตกต่างกัน โดยชาวลาวน้าปาด-ฟากท่า-
บ้านโคก ซ่ึงเป็นกลุ่มใหญ่กว่า มาจากเมืองหลวงพระบางและเมืองเวียงจันทน์ประมาณ 200 ปี
มาแลว้ หรือต้ังแต่ปลายสมยั อยธุ ยา โดยอพยพเข้ามาตั้งรกรากอยู่ในสามอาเภอของจังหวัดอุตรดิตถ์
คือ อาเภอน้าปาด ฟากท่า และบ้านโคก

ภำพที่ 1 แผนทีแ่ สดงจงั หวดั อุตรดิตถ์ และอำเภอนำ้ ปำด ฟำกท่ำ บ้ำนโคก และตรอน

1

การถ่ายเสียงสทั อกั ษร
(Phonetic transcription)

การถ่ายเสยี งคาในพจนานุกรมฉบบั น้ี ใช้สาเนียงลาวเวียงบ้านหาดสองแคว ตาบล
หาดสองแคว อาเภอตรอน จังหวัดอุตรดิตถ์เป็นหลัก และใช้สัทอักษรที่เป็นหน่วยเสียง
แทนเสียงต่าง ๆ ท่ปี ระกอบกันเปน็ คา

1

การถ่ายเสียงคาในพจนานุกรมฉบับนี้ ใช้สาเนียงลาวบ้านหาดสองแควเป็นหลัก และ
ใช้สัทอกั ษร

1

1


Click to View FlipBook Version