หนังสือหมวดวิชาสมรรถนะชาพ รหัสวิชา 30201-2105 การสอบบัญชี (AUDITING)
คำ นำ หนังสือเรียนวิชา การสอบบัญชี เล่มนี้ ได้เรียบเรียงขึ้นเพื่อใช้ประกอบ การเรียนการสอนวิชาการสอบบัญชี เนื้อหาในหนังสือตรงตามจุดประสงค์รายวิชา สมรรถนะรายวิชา และคำ อธิบายรายวิชา ตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นสูง (ปวส.) พุทธศักราช 2563ของสำ นักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และหลักสูตรระดับปริญญาตรี กระทรวงศึกษาธิการเนื้อหาประกอบด้วย ความรู้ ทั่วไปเกี่ยวกับการสอบบัญชี กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการสอบบัญชีหลักฐานการ สอบบัญชี การวางแผนงานสอบบัญชี ความเสี่ยงในการสอบบัญชีและการควบคุม ภายในกระดาษทำ การของผู้สอบบัญชี การตรวจสอบสินทรัพย์ การตรวจสอบหนี้ สินและส่วนของผู้ถือหุ้นการตรวจสอบรายได้และค่าใช้จ่าย รายงานการสอบบัญชี และการสอบบัญชีภาษีอากร ในการเรียบเรียงหนังสือเล่มนี้ได้นำ ประสบการณ์จากการปฏิบัติงานใน วิชาชีพ ตลอดจนศึกษาความรู้จากแหล่งความรู้หลาย ๆ แหล่ง มารวบรวมและ เรียบเรียงขึ้นมา เพื่อให้อ่านเข้าใจง่ายเหมาะสำ หรับการเรียนการสอนในระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง และได้ปรับปรุงเนื้อหาให้เป็นปัจจุบันตามมาตรฐาน การสอบบัญชีที่ปรับปรุงใหม่ และเพิ่มตัวอย่างการจัดทำ กระดาษทำ การในการ ตรวจสอบบัญชีเพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจขั้นตอนการปฏิบัติงานได้ง่ายขึ้น ตลอดจนเพิ่ม เนื้อหาการสอบบัญชีภาษีอากร ขอกราบขอบพระคุณบิดามารดา และอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชา ผู้ ให้ประสบการณ์การฝึกหัดงานการสอบบัญชี ตลอดจนเพื่อน ๆ ที่ร่วมเรียนด้วย กันมา และผู้มีประสบการณ์ในวิชาชีพ ที่ให้ข้อมูล ความรู้ ทำ ให้ได้ความรู้และ ประสบการณ์อันนำ มาสู่แรงบันดาลใจในการเรียบเรียงหนังสือเล่มนี้ หวังว่า หนังสือเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอน และหากมีข้อเสนอแนะผู้ เรียบเรียง น้อมรับฟังเพื่อนำ มาปรับปรุงพัฒนาต่อไป
1. เข้าใจเกี่ยวกับมาตรฐานการสอบบัญชี หลักการสอบบัญชี กฎหมายที่ เกี่ยวข้องกับการสอบบัญชี และจรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี 2. สามารถปฏิบัติงานสอบบัญชี ตามมาตรฐานการสอบบัญชี 3. มีเจตคติและกิจนิสัยที่ดีในการปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์และรอบคอบ จุดประสงค์รายวิชา รหัสวิชา 30201-2105 การสอบบัญชี (AUDITING) สมรรถนะรายวิชา 1. แสดงความรู้เกี่ยวกับมาตรฐานการสอบบัญชี หลักการสอบบัญชี กฎหมายที่ เกี่ยวข้องกับการสอบบัญชี และจรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี 2. ปฏิบัติงานสอบบัญชีตามมาตรฐานการสอบบัญชี คำ อธิบายรายวิชา ศึกษาเกี่ยวกับหลักการและแนวคิดพื้นฐานของการสอบบัญชี มาตรฐาน การสอบบัญชี กฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับการสอบบัญชี จรรยาบรรณของผู้ ประกอบวิชาชีพบัญชี การวางแผนและการจัดทำ แนวการตรวจสอบบัญชี การรวบรวมและวิเคราะห์หลักฐาน การเลือกตัวอย่างในการสอบบัญชีการ ตรวจสอบสินทรัพย์ หนี้สิน ส่วนของผู้ถือหุ้น รายได้และค่าใช้จ่าย การจัดทำ กระดาษทำ การการจัดทำ รายงานของผู้สอบบัญชีรับอนุญาต และรายงาน การตรวจสอบและรับรองบัญชีภาษีอากร
สารบัญ หน่วยที่1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการสอบบัญชี ความหมายการสอบบัญชี ความแตกต่างระหว่างการบัญชีและการสอบบัญชี วัตถุประสงค์ของการสอบบัญชี สิ่งที่ผู้บริหารได้ให้การรับรองไว้เกี่ยวกับงบการเงิน มาตรฐานการสอบบัญชี พัฒนาการของวิชาชีพสอบบัญชี กระบวนการสอบบัญชี สรุป คำ ถามท้ายหน่วยที่ 1 กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการสอบบัญชี 11 กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการสอบบัญชีที่สำ คัญ 12 สภาวิชาชีพบัญชี 14 ประเภทของผู้ตรวจสอบบัญชี 18 จรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพ 22 สรุป คำ ถามท้ายหน่วยที่2 หลักฐานการสอบบัญชี 29 ความหมายของหลักฐานการสอบบัญชี 30 วิธีการตรวจสอบเพื่อให้ได้มาซึ่งหลักฐานการสอบบัญชี 30 หลักฐานการสอบบัญชีที่เหมาะสมอย่างเพียงพอ 34 วิธีการตรวจสอบที่ใช้ในการสอบบัญชี 35 สรุป 39 คำ ถามหน่วยที่3 39 การวางแผนงานสอบบัญชี 41 ความหมายของการวางแผนงานสอบบัญชี 42 ประโยชน์ของการวางแผนงานสอบบัญชี 43 การวางแผนก่อนการรับงานสอบบัญชี 43 ขั้นตอนการวางแผนงานสอบบัญชี 45 การจัดทำ กลยุทธ์การสอบบัญชีโดยรวม 47 ความหมายของแนวการสอบบัญชี 48 สรุป 49 คำ ถามท้ายหน่วยที่4 50 ความเสี่ยงในการสอบบัญชีและการควบคุมภายใน 52 องค์ประกอบของความเสี่ยงในการสอบบัญชี 53 การกำ หนดระดับความมีสารสำ คัญ 55 ความเสี่ยงในการสอบบัญชีที่ยอมรับได้ 57 การวิเคราะห์ความเสี่ยงในการสอบบัญชี 58 ความหมายของการควบคุมภายใน 59 องค์ประกอบของการควบคุมภายใน 60 การประเมินความเสี่ยงจากการควบคุม 62 การรายงานจุดอ่อนของการควบคุมควบคุมภายใน 63 สรุป 64 คำ ถามท้ายหน่วยที่5 65 กระดาษทำ การของผู้สอบบัญชี 67 ความหมายของกระดาษทำ การของผู้สอบบัญชี 68 วัตถุประสงค์ในการจัดทำ กระดาษทำ การ 69 รูปแบบและเนื้อหากระดาษทำ การ 70 การกำ หนดดัชนีกระดาษทำ การและการอ้างอิง 71 ประเภทของกระดาษทำ การ 72 การสอบทานกระดาษทำ การ 73 การเก็บรักษากระดาษทำ การ 74 สรุป 75 คำ ถามหน่วยที่6 76 หน่วยที่1 1 2 2 3 4 5 6 7 8 9 หน่วยที่2 11 12 14 18 22 26 27 หน่วยที่3 หน่วยที่4 หน่วยที่5 หน่วยที่6
การตรวจสอบสินทรัพย์ 78 การ ตรวจสอบเงินลงทุน 79 การตรวจสอบลูกหนี้การค้า 80 การตรวจสอบสินค้าคงเหลือ 81 การตรวจสอบลูกหนี้อื่นและสินทรัพย์หมุนเวียนอื่น 82 การตรวจสอบที่ดินอาคารและอุปกรณ์ 83 สรุป 84 คำ คำ ถามท้ายหน่วยที่7 85 การตรวจสอบหนี้สินส่วนของผู้ถือหุ้น 87 การตรวจสอบเจ้าหนี้การค้าเจ้าหนี้อื่น 88 และหนี้สินหมุนเวียนอื่น 89 การตรวจสอบเงินกู้ยืมระยะยาว 90 การ ตรวจสอบส่วนของผู้ถือหุ้น 91 สรุป 92 คำ ถามท้ายหน่วยที่8 93 การตรวจสอบการจ่ายเงินเดือนและค่าแรง 101 สรุป 102 คำ ถามท้ายหน่วยที่9 103 รายงานการสอบบัญชี 105 ขั้นตอนการออกรายงานของผู้สอบบัญชี 106 ความหมายของรายงานของผู้สอบบัญชี 107 รูปแบบการแสดงความเห็นต่องบการเงิน 108 ในรายงานของผู้สอบ 109 สรุป 110 คำ ถามท้ายหน่วยที่10 111 การสอบบัญชีภาษีอากร 113 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการสอบบัญชีภาษี 114 มาตรฐานการปฏิบัติงานของผู้สอบบัญชีภาษีิอากร 115 การจัดทำ แนวทางการสอบบัญชีของผู้สอบบัญชี ภาษีอากร 116 หลักฐานการตรวจสอบและรับรองบัญชี 117 การจัดทำ กระดาษทำ การของผู้สอบบัญชีภาษีอากร 118 การทดสอบรายการทางบัญชีและภาษีอากร 119 จรรยาบรรณของผู้สอบบัญชีภาษีอากร 120 การรายงานการตรวจสอบและรับรองบัญชี 121 สรุป 122 คำ ถามท้ายหน่วยที่ 11 123 การตรวจสอบรายได้และค่าใช้จ่าย 95 การตรวจสอบรายได้ 96 การตรวจสอบการซื้อสินค้า 97 การ ตรวจสอบต้นทุนขาย 98 การตรวจสอบค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 99 การตรวจสอบดอกเบี้ยจ่าย 100 บรรณานุกรม หน่วยที่7 หน่วยที่8 หน่วยที่9 หน่วยที่10 หน่วยที่11
ความรู้ทั่วไป เกี่ยวกับ การสอบบัญชี ความหมายของการสอบบัญชี ความเเตกต่างระหว่างการบัญชีเเละการสอบบัญชี วัตถุประสงค์ของการสอบบัญชี สิ่งที่ผู้บริหารได้ให้การรับรองไว้เกี่ยวกับงบการเงิน มาตรฐานการสอบบัญชีมาตร พัฒนาการของวิชาชีพสอบบัญชี กระบวนการสอบบัญชีกระบ สาระการเรียนรู้ 1. ความหมายของการสอบบัญชี 2. ความแตกต่างระหว่างการบัญชีและการสอบบัญชี 3. วัตถุประสงค์ของการสอบบัญชี 4. สิ่งที่ผู้บริหารได้ให้การรับรองไว้เกี่ยวกับงบการเงิน 5. มาตรฐานการสอบบัญชี 6. พัฒนาการของวิชาชีพสอบบัญชี 7. กระบวนการสอบบัญชี ความรู้ทั่วไป เกี่ยวกับการสอบบัญชี หน่วยที่ สมรรถนะการเรียนรู้ 1. อธิบายความหมายของการสอบบัญชีได้ 2. บอกความแตกต่างระหว่างการบัญชีและการสอบบัญชีได้ 3. บอกวัตถุประสงค์และหลักการพื้นฐานของการสอบบัญชีได้ 4. อธิบายสิ่งที่ผู้บริหารได้ให้การรับรองไว้เกี่ยวกับจบการเงิน 5. อธิบายมาตรฐานการสอบบัญชีได้ 6. อธิบายพัฒนาการของวิชาชีพสอบบัญชีได้ 7. อธิบายกระบวนการสอบบัญชีได้ แผนผังความคิด (MIND MAPPING)
วิชาชีพสอบบัญชีเป็นวิชาชีทที่ให้บริการแก่สาธารณชนในด้านการตรวจสอบบัญชี โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อให้ได้มาซึ่งความเชื่อมั่นอย่างมีนตุผลล่า อบการเงินโดยรวมปราศจากการแสดง ข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำ คัญหรือไม่ ไม่จะเกิดจากการทุจิตรือข้อผิดหลาด ซึ่งช่วยให้ ผู้สอบบัญชีสามารถแสดงความเห็นได้ว่า บบการเงินได้จัดทำ ขึ้นในสาระสำ คัญตามแม่บาการบัญชี ในการรายงานทางการเบนที่เกี่ยวข้องหรือไม่ และเพื่อรายงานต่องบการเงินและสื่อสารตามที่ มาตรฐานการสอบบัญชีกำ หนดตามข้อเก็จจริงที่ผู้สอบบัญชีตรวจานเนื่องจากผลงานของผู้สอบ บัญชีเกี่ยวข้องกับสาธารณชนและผู้ใช้งบการเงิน จึงต้องมีกฎหมายเข้ามากำ กับดูแล ผู้ประกอบวิชา ชีทสอบบัญชีต้องได้รับใบอนุญาตในการประกอบวิชาชีพ และมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กฎหมาย กำ หนด เรียกว่า "ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต" (GERTIFIED PUBLIC ACCOUNTANT) จึงจะสามารถ ปฏิบัติหน้าที่ได้ และ ผู้สอบบัญชีต้องเป็นบุคคลที่มีความเป็นกลาง มีความรู้ความสามารถ และมี ความเป็นอิสระ ความรู้ทั่วไป เกี่ยวกับการสอบบัญชี สาระสำ คัญ การสอบบัญชี (AUDITING) หมายถึง การตรวจสอบสมุดบัญชี เอกสารประกอบการบันทึก บัญชีและหลักฐาน อื่น ๆ รวมถึงการรวบรวมและประเมินหลักฐานหรือข้อเท็จจริงต่าง ๆ โดยปฏิบัติตามมาตรฐานทางวิชาชีพ เพื่อแสดงความเห็นต่องบการเงิน ว่างบการเงินนั้นแสดงฐานะการเงินและผลการดำ เนินงานโดยถูกต้องตามที่ ควรในสาระสำ คัญตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินหรือไม่เพียงใด และงบการเงินดังกล่าวได้แสดงข้อมูล ที่จำ เป็นอย่างเพียงพอแล้วหรือไม่ เพื่อให้ความเชื่อมั่นแก่ผู้ใช้งบการเงินทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นผู้ลงทุน เจ้าหนี้ หน่วยราชการ ผู้บริหาร พนักงาน และสาธารณชนทั่วไป การบัญชีมีความหมายตามคำ นิยามของวิชาชีพบัญชีดังนี้ "การบัญชีเป็นศิลปะ การเก็บรวบรวม บันทึก จำ แนก และ สรุปข้อมูลอันเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจในรูปตัวเงิน ผลงานสุดท้ายของการ บัญชีคือการให้ข้อมูลทางการเงิน ซึ่ง เป็นประโยชน์แก่บุคคลหลายฝ่าย และผู้ที่สนใจในกิจกรรมของ กิจการ" ดังนั้น งานของนักบัญชีคือการจัดทำ งบการ เงินเพื่อแสดงฐานะการเงิน ณ วันใดวันหนึ่ง และ 1.ความหมายของการสอบบัญชี 2.ความเเตกต่างระหว่างการบัญชีเเละการสอบบัญชี
ผลการดำ เนินงานของกิจการในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น เพื่อให้ข้อมูลทางการเงินซึ่งเป็นประโยชน์ต่อ ผู้ใช้งบการเงินภายในกิจการ เช่น ผู้บริหาร พนักงาน ภายนอกกิจการ เช่น ผู้ถือหุ้น สถาบันการเงิน หน่วยงานภาครัฐ และผู้สนใจในธุรกิจของกิจการ การสอบบัญชีเป็นวิชาชีพที่ใช้บริการความเชื่อมั่นแก่ผู้ใช้งบการเงิน เป็นงานที่พิสูจน์ความถูก ต้องของ ข้อมูลทางบัญชี โดยการรวบรวมเอกสารประกอบการลงบัญชีและหลักฐานอื่น ๆ และ ประเมินหลักฐานการสอบบัญชี รวมทั้งใช้วิธีการตรวจสอบอื่นที่จำ เป็น โดยผู้ประกอบวิชาชีพสอบ บัญชีตามแนวทางปฏิบัติงานที่วิชาชีพได้กำ หนดเป็นมาตรฐานไว้ เพื่อที่ผู้สอบบัญชีจะได้วินิจฉัยและ แสดงความเห็นต่องบการเงินที่กิจการจัดทำ นั้น แสดงฐานะการเงิน และผลการดำ เนินงานโดยถูก ต้องตามที่ควรในสาระสำ คัญ ตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินหรือไม่เพียงใด งานสอบบัญชี ต้องอาศัยบุคคลที่มีความเป็นอิสระ เป็นกลางไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของใคร หรือมีส่วนได้เสียใน กิจการที่ตนสอบบัญชี เพราะ ผู้สอบบัญชีต้องมีความรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้น เจ้าหนี้ ผู้ลงทุน ส่วน ราชการ และบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องในการรายงานและแสดงความเห็นต่องบการเงิน นอกจากนี้ ในการ ตรวจสอบของผู้สอบบัญชีอาจพบข้อบกพร่องเกี่ยวกับการควบคุมภายใน หรือพบการทุจริตในกิจการ ผู้สอบบัญชีก็สามารถเสนอข้อสังเกต ต่อผู้บริหารของกิจการ ให้ทราบข้อบกพร่องเกี่ยวกับการ ควบคุมภายในดังกล่าว และรายงานการทุจริตให้ผู้บริหารได้ทราบด้วย มาตรฐานการสอบบัญชี รหัส 200 เรื่อง วัตถุประสงคโดยรวมของผู้สอบบัญชีรับอนุญาตและ การปฏิบัติงานตรวจสอบตามมาตรฐานการสอบบัญชี ได้กำ หนดวัตถุประสงค์การตรวจสอบไว้ดังนี้ วัตถุประสงค์ของการตรวจสอบ (1) เพื่อให้ได้มาซึ่งความเชื่อมั่นอย่างมีเหตุผลว่า งบการเงินโดยรวมปราศจากการแสดง ข้อมูลที่ขัด ต่อข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำ คัญหรือไม่ ไม่ว่าจะเกิดจากการทุจริตหรือข้อผิดพลาด ซึ่ง ช่วยให้ผู้สอบ บัญชีสามารถแสดงความเห็นได้ว่า งบการเงินได้จัดทำ ขึ้นในสาระสำ คัญตามแม่บทการ บัญชีในการ รายงานทางการเงินที่เกี่ยวข้องหรือไม่ (2) เพื่อรายงานต่องบการเงินและสื่อสารตามที่มาตรฐานการสอบบัญชีกำ หนดตามข้อเท็จจริง ที่ผู้ สอบบัญชีตรวจพบ หลักการพื้นฐานในการปฏิบัติงานของผู้สอบบัญชีมาตรฐานการสอบบัญชี รหัส 200 กำ หนด หลักการพื้นฐานแนวทางในการปฏิบัติงานสอบ บัญชี ดังนี้ 1. ด้านจรรยาบรรณที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบงบการเงิน ผู้สอบบัญชีต้องปฏิบัติตาม ข้อ กำ หนดด้านจรรยาบรรณที่เกี่ยวข้อง รวมถึงข้อกำ หนดเกี่ยวกับความเป็นอิสระในงานตรวจสอบงบ การเงิน 3.วัตถุประสงค์ของการสอบบัญชี
ข้อกำ หนดด้านธรรยาบรรณวิชาชินที่ผู้สอบบัญชีต้องปฏิบัติตาม ได้แก่ (ก) ความโปร่งใส ความเป็นอิสระ ความเที่ยงธรรม และความชื่อสัตย์สุจริต (ข) ความรู้ ความสามารถ และมาตรฐานในการปฏิบัติงาน (ค) การรักษาความลับ (ง) ความรับผิดชอบต่อผู้รับบริการ (จ)ความรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้น ผู้เป็นหุ้นส่วน บุคคลหรือนิติบุคคลที่ผู้ประกอบวิชาชีพ ปฏิบัติหน้าที่ให้ (ฉ) ความรับผิดชอบต่อเพื่อนร่วมวิชาชีพ และจรรยาบรรณทั่วไป 2. การใช้วิจารณญาณในการสังเกตและสงสัยเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ ผู้สอบบัญชีต้องวางแผน และปฏิบัติงานตรวจสอบโดยใช้วิจารณญาณในการสังเกตและสงสัยเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ โดย ตระหนักว่าอาจมีสถานการณ์ที่ทำ ให้งบการเงินแสดงข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำ คัญ 3. การใช้ดุลพินิจเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ ผู้สอบบัญชีต้องใช้ดุลพินิจเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพใน การวางแผนและปฏิบัติงานตรวจสอบงบการเงิน 4. หลักฐานการสอบบัญชีที่เพียงพอและเหมาะสม และความเสี่ยงในการสอบบัญชี ผู้สอบ บัญชีต้องได้มาซึ่งหลักฐานการสอบบัญชีที่เพียงพอและเหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงในการสอบ บัญชีให้อยู่ในระดับต่ำ ที่ยอมรับได้ ซึ่งช่วยให้ผู้สอบบัญชีสามารถได้มาซึ่งข้อสรุปที่สมเหตุสมผลใน การแสดงความเห็นของผู้สอบบัญชีได้ 5. การปฏิบัติงานตรวจสอบตามมาตรฐานการสอบบัญชี ผู้สอบบัญชีต้องปฏิบัติตามมาตรฐาน การสอบบัญชีทุกฉบับที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบ สิ่งที่ผู้บริหารได้ให้การรับรองไว้เกี่ยวกับงบการเงิน (MANAGEMENT ASSERTIONS) หมายถึง การ รับรองของผู้บริหารที่มีต่องบการเงินไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนหรือไม่ ก็ตามที่ผู้สอบบัญชีใช้ในการพิจารณาประเภทของการแสดงข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงที่อาจเกิดขึ้น มาตรฐานการสอบ บัญชีกำ หนดให้ผู้สอบบัญชีต้องปฏิบัติตามวิธีการประเมินความเสี่ยง เพื่อใช้เป็น พื้นฐานในการระบุและการประเมินความเสี่ยงจากการแสดงข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงอันเป็นสาระ สำ คัญในระดับงบการเงินและในระดับที่เกี่ยวกับสิ่งที่ผู้บริหารได้ให้การรับรองไว้ในการให้คำ รับรอง ว่างบการเงินเป็นไปตามแม่บทการรายงานทางการเงิน ผู้บริหารให้คำ รับรองอย่างชัดแจ้งเกี่ยวกับ การรับรู้รายการ การวัดมูลค่าการแสดงรายการและการเปิดเผยข้อมูล ในส่วนประกอบต่าง ๆ ของ งบการเงิน และการเปิดเผยข้อมูล ที่เกี่ยวข้อง สิ่งที่ผู้บริหารได้ให้การรับรองไว้ที่ผู้สอบบัญชีใช้ในการพิจารณาการแสดงข้อมูลที่ขัดต่อ ข้อเท็จจริง ที่อาจเกิดขึ้น แบ่งเป็น 3 กลุ่มดังนี้ 4. สิ่งที่ผู้บริหารได้ให้การรับรองไว้เกี่ยวกับงบการเงิน
(ก)สิงที่ผู้บริหารได้ให้การรับรองไว้เกี่ยวกับประการายการ (รายการในงบกำ ไรขาดทุน) (1)เกิดขี้นรับจริง (OEURENE) รายการและเหตุการณ์ทุกรายการที่อาบันทกนั้นเกิดขึ้น จริงและเกี่ยวข้องกับกิจการ (2) ความครบถ้วน (COMPLETENES) รายการและเหตุการณ์ทุกรายการที่ควรจะ บันทึกได้ ถูกบันทึกแล้วครบถ้วนทุกรายการ (3) ความถูกต้อง (ACCURACY) จำ นวนเงินและข้อมูลอื่นที่เกี่ยวข้องกับรายการ (4)และเหตุการณ์ที่ถูกบันทึกได้ถูกบันทึกอย่างเหมาะสมการตัดยอด (CUT-OT) รายการและ เหตุการณ์ได้ถูกบันทึกในรอบระยะเวลาบัญชีที่ถูกต้อง (5) การจัดประเภทรายการ (CLASSIFICATION) รายการและเหตุการณ์ได้ถูกบันทึกใน บัญชี ที่เหมาะสม (ข) สิ่งที่ผู้บริหารได้ให้การรับรองไว้เกี่ยวกับยอดคงเหลือทางบัญชี ณ วันสิ้นสุดรอบระยะเวลา บัญชี (รายการในงบแสดงฐานะการเงิน) ได้แก่ (1) ความมีอยู่จริง (EXISTENCE) ลินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของผู้ถือหุ้น มีตัวตนหรือ มีอยู่ จริง (2)กรรมสิทธิ์และข้อผูกพัน (RIGHTS AND OBLIGATIONS) กิจการลือหรือควบคุมสิทธิใน สินทรัพย์ และมีหนี้สินที่กิจการมีข้อผูกพัน (3) ความครบถ้วน (COMPLETENESS) สินทรัพย์ หนี้ลิน และส่วนของผู้ถือหุ้น ทั้งหมด ที่ ควรบันทึกได้ถูกบันทึกแล้ว (4) การแสดงมูลค่าและการปันส่วน (VALUATION AND ALLOCATION) สินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของผู้ถือหุ้น ที่แสดงในงบการเงิน แสดงด้วยจำ นวนที่เหมาะสมและผลจากการปรับมูลค่า หรือการปรับปรุง การปันส่วนได้ถูกบันทึกอย่างเหมาะสม (ค) สิ่งที่ผู้บริหารได้ให้การรับรองไว้เกี่ยวกับการแสดงรายการและการเปิดเผยข้อมูล ได้แก่ (1) การเกิดขึ้นจริงและกรรมสิทธิ์และข้อผูกพัน (OCCURRENCE AND RIGHTS AND OBLIGATIONS) การเปิดเผยเหตุการณ์ รายการและประมาณการอื่น ๆ เกิดขึ้นจริงและเกี่ยวข้อง กับกิจการ (2) ความครบถ้วน (COMPLETENESS) การเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดที่ควรรวมอยู่ในงบ การเงินได้รวมไว้แล้ว (3) การจัดประเภทรายการและการเข้าใจได้ (CLASSIFICATION AND UNDERSTANDABILI ข้อมูลทางการเงินมีการแสดงและอธิบายอย่างเหมาะสมและเปิดเผยอย่างชัดเจน (4) ความถูกต้องและการแสดงมูลค่า (ACCURACY AND VALUATION) ข้อมูลทางการ เงินและอื่น ๆ ได้ถูกเปิดเผยด้วยจำ นวนเงินที่เหมาะสม
มาตรฐานการสอบบัญชี เป็นหลักการพื้นฐานและวิธีการตรวจสอบที่สำ คัญรวมถึงแนวทางปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง กับการสอบบัญชี เพื่อให้ผู้สอบบัญชียึดถือปฏิบัติซึ่งอาจอยู่ในรูปของคำ ชี้แจงหรือคำ อธิบายต่าง ๆ ที่สภาวิชาชีพบัญชี กำ หนดขึ้น ในนการจัดทำ มาตรฐานการสอบบัญชีไทยได้นำ มาตรฐานการสอบบัญชีระหว่างประเทศ (INTER-NATIONAL STANDARDS ON AUDITING : ISA) มาเป็นแนวทางในการจัดทำ มาตรฐานดังกล่าวจัดทำ โดยสหพันธ์นักบัญชี ระหว่างประเทศ (INTERNATIONAL FEDERATION OF ACCOUNTANTS : IFAC) ประกอบ ด้วยสมาชิกที่เป็น องค์การทางวิชาชีพของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อพัฒนาและส่งเสริมความร่วมมือระดับนานาชาติ ด้านการบัญชี และ มีแนวทางปฏิบัติทางวิชาชีพบัญชีที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คณะกรรมการสภาวิชาชีพของไทย ได้เข้าเป็นสมาชิกของ สหพันธ์แห่งนี้ด้วย การนำ มาตรฐานการสอบบัญชีระหว่างประเทศมาใช้ ช่วยให้วิชาชีพบัญชีของไทยพัฒนาขึ้นไปใน ระดับที่ทัดเทียมกับประเทศชั้นนำ ทางเศรษฐกิจ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ที่ต้องการใช้ข้อมูลทางการเงินที่มี คุณภาพ สามารถเปรียบเทียบกันได้ จากงบการเงินที่ตรวจสอบโดยมาตรฐานการสอบบัญชีของประเทศไทย อันจะเป็น ประโยชน์ด้านการค้าและการลงทุนต่อไป มาตรฐานการสอบบัญชี ที่มีผลใช้บังคับในปัจจุบัน ปัจจุบันสภาวิชาชีพบัญชีฯ ได้ประกาศบังคับใช้มาตรฐานการสอบบัญชีไทย (THAI STANDARDS ON AUDITING : TSA) จำ นวนทั้งสิ้น 44 ฉบับ ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ที่ 21/2555 มีผลใช้บังคับ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 องค์ประกอบมาตรฐานใหม่จำ นวน 44 ฉบับ ประกอบด้วย - แม่บทสำ หรับงานที่ให้ความเชื่อมั่น - มาตรฐานการสอบบัญชี - มาตรฐานงานสอบทาน - มาตรฐานงานที่ให้ความเชื่อมั่น - มาตรฐานงานบริการเกี่ยวเนื่อง 5.มาตรฐานการสอบบัญชี การสอบบัญชีของประเทศไทยได้กำ เนิดขึ้นในลักษณะของการสอบบัญชีในภาคราชการก่อนโดยมีลำ ดับขั้นตอน ที่สำ คัญดังนี้ 1. พระราชบัญญัติกรมพระคลังมหาสมบัติ จุลคักราช 1237 ตราขึ้นเมื่อวันที่ 14 เมษายนพ.ศ. 2418 ว่าด้วยกรมต่าง ๆ ซึ่งจะเบิกเงินส่งเงินของทางราชการ เป็นการตรวจสอบการรับจ่ายและการใช้จ่ายเงินของแผ่นดิน พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ตราพระราชบัญญัตสำ หรับพระคลังมหาสมบัติขึ้น ถือว่าเป็นต้น กำ เนิดการตรวจเงินแผ่นดินในประเทศไทย มีการจัดตั้งหน่วยตรวจสอบรัฐบาลเรียกว่า ออฟฟิศหลวงหรือออดิ ทออฟฟิศ ทำ หน้าที่ตรวจสอบบัญชีต่าง ๆ 2. พระราชบัญญัติพระธรรมนูญหน้าที่ราชการในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ตราขึ้นในพ.ศ. 2433 มีการจัดตั้งกรม ตรวจเงินแผ่นดินในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ทำ หน้าที่รับจ่าย และ รักษาเงินแผ่นดินทั้งราชสมบัติพัสดุ และเก็บ ภาษีอากร 3. พระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน มีการตราพระราชบัญญัติฉบับนี้ในปี พ.ศ. 2476 มีการจัดตั้ง สำ นักงานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินขึ้นแทนกรมตรวจเงินแผ่นดิน มีฐานะเทียบเท่ากรมสังกัดสำ นักนายกรัฐมนตรี ต่อมาในปี พ.ศ. 2522 ได้มีการตราพระราชบัญญัติการตรวจเงินแผ่นดิน เพื่อให้มีการตรวจสอบการรับจ่าย เก็บรักษา เงินและทรัพย์สินของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจปัจจุบันการตรวจเงินแผ่นดินของไทยเป็นไปตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญ 6. พัฒนาการของวิชาชีพสอบบัญชี
ว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2542 ซึ่งกำ หนดให้การตรวจเงินแผ่นดิน กระทำ โดยคณะกรรมการตรวจ เงินแผ่นดิน และผู้ตรวจเงินแผ่นดินที่เป็นอิสระและเป็นกลาง ดังนี้ ส่วนกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการสอบบัญชีในทางธุรกิจหรือภาคเอกชนโดยมีลำ ดับขั้นที่สำ คัญดังนี้ 1.พระราชบัญญัติลักษณะเข้าหุ้นส่วนและบริษัท รัตนโกสินทรศก 130 (พ.ศ. 2454) พระราช บัญญัติ ฉบับนี้ตราขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีการแบ่งประเภทกิจการออกเป็น ห้างหุ้นส่วนสามัญ ห้าง หุ้นส่วนจำ กัด สินใช้และบริษัทจำ กัดสินใช้ จากบทบัญญัติบางมาตราของกฎหมายฉบับนี้ ทำ ให้ทราบถึง จุดเริ่มต้นของ วิชาชีพการสอบบัญชีในประเทศไทย โดยเฉพาะในมาตรา 199 บัญญัติว่า "งบเทียบ นั้นให้มีผู้สอบบัญชีคน หนึ่งหรือหลายคนได้ตรวจสอบเสร็จแล้ว และให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อให้ชี้บาดอนุญาตรับเชื่อฟังแต่ ภายใน 4 เดือน นับตั้งแต่วันที่ลงในงบเทียบนั้น" ผลจากพระราชบัญญัติฉบับนี้ทำ ให้มีการตรวจสอบบัญชีของ บริษัทจำ กัด ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2454 เป็นต้นมา 2.ประมวลกฎหมายแห่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2467 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระ กรุณาโปรดเกล้า ให้ตราประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 3 ออกใช้ จึงได้มีพระบรมราชโองการให้ ยกเลิกพระราชบัญญัติ ลักษณะการเข้าหุ้นส่วนและบริษัท รัตนโกสินทรศก 130 และได้มีการตรวจชำ ระ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 3 ใหม่แทน ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2472โดยยังให้ใช้ชื่อว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 3 ตามเดิม ซึ่งยังคงใช้บังคับอยู่จนตราบเท่าทุกวันนี้ กฎหมายฉบับนี้ ยังได้กำ หนดคุณสมบัติของผู้สอบบัญชี รวมทั้งวิธีการตรวจสอบและการเสนอรายงานการตรวจสอบอีกด้วย 3.พระราชบัญญัติผู้สอบบัญชี พ.ศ. 2505 กฎหมายฉบับนี้ตราขึ้นเนื่องจากรัฐบาลมองเห็นความสำ คัญ และความจำ เป็นของวิชาชีพการสอบบัญชีที่มีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศซึ่งขณะนั้น ยังไม่มีกฎหมาย ควบคุมการสอบบัญชี และกฎหมายฉบับนี้ได้กำ หนดคุณสมบัติและพื้นความรู้ของผู้สอบบัญชีรับอนุญาตให้ เป็นไปตามมาตรฐานการสอบบัญชี นอกจากนี้ยังได้กำ หนดให้มีคณะกรรมการ ชุดหนึ่ง คือ "คณะกรรมการ ควบคุมการประกอบวิชาชีพบัญชี (ก.บช.)" เพื่อทำ หน้าที่ควบคุมการประกอบวิชาชีพ กฎหมายฉบับนี้นับว่า เป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพสอบบัญชีโดยตรง ต่อมา ถูกยกเลิกในปี พ.ศ. 2547 โดยพระราชบัญญัติ วิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547 เนื่องจากเห็นว่าไม่เหมาะสมและไม่สอดคล้องกับวิชาชีพบัญชีที่ได้พัฒนาก้าวหน้าไป อย่างมาก จึงได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547 ซึ่งมีหลักการที่สำ คัญคือสร้างความ เป็นปึกแผ่น และเป็นศูนย์รวมของผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี ภายใต้องค์กรที่เป็นนิติบุคคลเรียกว่า "สภาวิชาชีพ บัญชี" มีอำ นาจหน้าที่ที่สำ คัญคือ การกำ หนดมาตรฐานวิชาชีพบัญชีและจรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพ บัญชี ออก พักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี เมื่อธุรกิจต่าง ๆ ได้พัฒนาการก้าวหน้าขึ้นมากทำ ให้งานของผู้สอบบัญชีเปลี่ยนแปลงจากยุคก่อนการ สอบบัญชีในยุคก่อนเป็นการตรวจสอบเพื่อค้นหาทุจริต เน้นการตรวจสอบความถูกต้องของการ บันทึกบัญชี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการทุจริตมากกว่าการพิจารณาว่าการบันทึกรายการบัญชีเป็นไปตามมาตรฐาน การรายงานทางการเงินหรือไม่ และการตรวจสอบจะใช้วิธีการตรวจสอบอย่างละเอียด ต่อมาธุรกิจขยายตัว มากขึ้น รายการค้าและเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ ตลอดจนเอกสารการ ค้าซับซ้อนมากขึ้น จึงได้มีการพัฒนา ระบบการควบคุมภายใน เพื่อป้องกันการทุจริต ดังนั้น วิธีการ
การสอบบัญชีเป็นกระบวนการรวบรวมและประเมินหลักฐานหรือข้อเท็จจริงต่าง ๆ ให้เพียง พอและเหมาะสม วัตถุประสงค์เพื่อให้ได้มาซึ่งความเชื่อมันอย่างมีเหตุผลว่า งบการเงินโดยรวม ปราศจากการแสดงข้อมูลที่จัดต่อข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำ คัญหรือไม่ ไม่ว่าจะเกิดจากการทุจริตหรือ ข้อผิดพลาด ซึ่งช่วยให้ผู้สอบบัญชีสามารถแสดงความเห็นได้ว่า งบการเงินได้จัดทำ ขึ้นในสาระสำ คัญตาม แม่บทการบัญชีในการรายงานทางการเงินที่เกี่ยวข้องหรือไม่ กระบวนการสอบบัญชีอาจแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนดังนี้ 1. การวางแผนงานตรวจสอบ (AUDIT PLANNING) มีขั้นตอนดังนี้ (1) การรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจที่ตรวจสอบ และทำ ความเข้าใจสภาพโดยทั่วไป เกี่ยวกับกรอบของกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับกิจการ (2) การวิเคราะห์เปรียบเทียบในเบื้องต้น (3) การกำ หนดความมีสาระสำ คัญ (4) การประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้และความเสี่ยงสืบเนื่อง (5) การทำ ความเข้าใจระบบการควบคุมภายใน และการประเมินความเสี่ยงจากการ ควบคุม (6) การจัดทำ กลยุทธ์การสอบบัญชีโดยรวมและแนวการสอบบัญชี 2. การปฏิบัติงานตรวจสอบ (AUDIT PRACTICE) โดยปฏิบัติงานตรวจสอบระหว่างปี (INTERIM AUDIT) และปฏิบัติงานตรวจสอบประจำ ปี (YEAREND AUDIT) โดยใช้วิธีการดังนี้ (1) วิธีการทดสอบการควบคุม (TEST OF CONTROL) (2) การตรวจสอบเนื้อหาสาระ (SUBSTANTIVE PROCEDURES) ตรวจสอบ จึงได้เปลี่ยนแปลงจากการตรวจสอบโดยละเอียด มาเป็นการเลือกตัวอย่างขึ้นมาทำ การทดสอบ รายการ และการใช้วิธีการตรวจสอบให้เหมาะสมแต่ละกรณี เนื่องจากการตรวจสอบบัญชีทุกรายการจะสิ้น เปลืองเวลาและค่าใช้จ่ายสูงมาก และอาจทำ ให้ไม่สามารถปฏิบัติงานตรวจสอบให้เสร็จ ทันเวลา ปัจจุบันมี การพัฒนาวิธีการตรวจสอบใหม่โดยใช้คอมพิวเตอร์มาช่วยในการตรวจสอบ และใช้การตรวจสอบโดยใช้ ความเสียงเป็นฐาน ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ได้ความเชื่อมั่นอย่างสมเหตุสมผลว่าไม่มีการแสดงข้อมูลที่ขัดต่อ ข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำ คัญ ไม่ว่าจะเกิดจากการทุจริตหรือข้อผิดพลาดที่มีอยู่ในงบการเงิน ดังนั้น ในการ แสดงความเห็นผู้สอบบัญชีจะใช้คำ ว่า งบการเงินแสดงฐานะการเงินและผลการดำ เนินงาน โดยถูกต้องตามที่ ควรในสาระสำ คัญตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ซึ่งหมายความ ว่าผู้สอบบัญชีจะพิจารณาสิ่งที่เป็น สาระสำ คัญต่อผู้ใช้งบการเงินเท่านั้นเพื่อให้ได้มาซึ่งความเชื่อมั่นอย่างมีเหตุผล ว่างบการเงินโดยรวม ปราศจากการแสดงข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำ คัญหรือไม่ ไม่ว่าจะเกิดจากการทุจริตหรือข้อผิด พลาด ซึ่งช่วยให้ผู้สอบบัญชีสามารถแสดงความเห็นได้ว่า งบการเงินได้จัดทำ ขึ้นในสาระสำ คัญตามแม่บท การบัญชีในการรายงานทางการเงินที่เกี่ยวข้องหรือไม่ 7.กระบวนการสอบบัญชี
วิชาชีพด้านการสอบบัญชีเป็นวิชาชีพที่ให้ความเชื่อมั่นแก่ผู้ใช้บัญชี ข้อมูลในงบการเงิน ผู้สอบบัญชีต้องปฏิบัติตามมาตรฐานการสอบ และต้องกำ หนดระดับความมิสาระสำ คัญของรายการ เพื่อประกอบการพิจารณาความถูกต้องตามที่ ควรของบบการเงินตามมาตรฐานการรายงานของงบการเงิน การสอบบัญชีมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ได้มาซึ่งความเชื่อมั่นอย่างมีเหตุผล ว่างบการเงินโดยรวม ปราศจากการแสดงข้อมูลที่ขัดต่อข้อเก็จจริงอันเป็นสาระสำ คัญหรือไม่ ไม่ว่าจะเกิดจากการทุจริต หรือข้อ ผิดพลาด ซึ่งช่วยให้ผู้สอบบัญชีสามารถแสดงความเห็นได้ว่า บการเงินได้จัดทำ ขึ้นในสาระ สำ คัญตามแม่ราการบัญชีในการรายงานทางการเงินที่เกี่ยวข้องหรือไม่ และเพื่อรายงานต่องบการ เงินและสื่อสารตาม ที่มาตรฐานการสอบบัญชีกำ หนด ตามข้อเท็จจริงที่ผู้สอบบัญชีตรวจพบ เพื่อให้ ความเชื่อมั่นแก่ผู้ใช้งบการเงินทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นผู้ลงทุน เจ้าหนี้ หน่วยงานราชการ พนักงานและ สาธารณชนทั่วไป ในการปฏิบัติการตรวจสอบ ผู้สอบบัญชีต้องปฏิบัติตามข้อกำ หนดด้านจรรยา บรรณที่เกี่ยวข้อง รวมถึงข้อกำ หนดเกี่ยว กับความเป็นอิสระในงานตรวจสอบงบการเงิน การใช้ วิจารณญาณในการสังเกตและสงสัยเยี่ยงผู้ประกอบ วิชาชีพ การใช้ดุลพินิจเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ ตลอดจนถึงการปฏิบัติงานเพื่อให้ได้มาซึ่งหลักฐานการสอบ บัญชีที่เพียงพอและเหมาะสม กระบวนการสอบบัญชีแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน ได้แก่ การวางแผนงานตรวจสอบการปฏิบัติ งานตรวจสอบ และการสรุปผลการตรวจสอบ 3.การสรุปผลการตรวจสอบ(AUDIT REPORTING) (1) การตรวจสอบเหตุการณ์ภายหลังวันที่ในงบการเงิน (2) ขอหนังสือรับรองของผู้บริหาร (3)การวิเคราะห์เปรียบเทียบขั้นสุดท้าย (4) การเสนอรายการปรับปรุงและจัดประเภทบัญชีใหม่ (5) การจัดทำ รายงานของผู้สอบบัญชี สรุป
1. ข้อใดเป็นวัตถุประสงค์ของการสอบบัญชี ก. ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจเชิงเศรษฐกิจ แก่ผู้ใช้งบการเงิน ข. ให้ข้อเสนอแนะและคำ ปรึกษาแก่ผู้ใช้งบการเงิน ค. ตรวจข้อทุจริตและข้อผิดพลาดในงบการเงิน ง. แสดงความเห็นว่างบการเงินแสดงฐานะการเงินและผลการดำ เนิน งานโดยถูกต้องตามที่ควรในสาระสำ คัญตามมาตรฐานการรายงาน ทางการเงินหรือไม่ เพียงใด 2. การตรวจนับทรัพย์สินเป็นการพิสูจน์ความถูกต้อง ด้านใด ก. ความมีอยู่จริง ข. การเกิดขึ้นจริง ค. ความครบถ้วน ง. การวัดมูลค่า 3. CUT-OFF หมายถึงรายการตามข้อใด ก. การจัดประเภทรายการที่ถูกต้อง ข. รายการหรือเหตุการณ์ได้บันทึกในรอบระยะ เวลาบัญชีที่ถูกต้อง ค. รายการเกิดขึ้นจริงของรายการ ง. ความครบถ้วนของรายการ 4. ข้อใด ไม่ใช่ หลักการพื้นฐานของจรรยาบรรณ วิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับผู้ สอบบัญชีในการปฏิบัติงานตรวจสอบงบการเงิน ก. ความโปร่งใส ความเป็นอิสระ ความเที่ยงธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต ข.ความรู้ ความสามารถ และมาตรฐานในการ ปฏิบัติงาน ค. ความรับผิดชอบต่อการเสียภาษีของผู้รับบริการ ง. ความรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้น ผู้เป็นหุ้นส่วนบุคคล หรือนิติบุคคลที่ผู้ประกอบวิชาชีพปฏิบัติหน้าที่ให้ 5. การปฏิบัติงานตรวจสอบเนื้อหาสาระระหว่างปีถือเป็นขั้นตอนใดของ กระบวนการตรวจสอบ ก. การวางแผน ข. การควบคุม ค. การสรุปผล ง. การปฏิบัติงานตรวจสอบ 6. การตรวจสอบโฉนดที่ดินเพื่อดูกรรมสิทธิ์และภาระผูกพันเป็นการตรวจ สอบเพื่อพิสูจน์สิ่งที่ผู้บริหารรับรองไว้เกี่ยวกับความถูกต้องของ งบการเงินในข้อใด ก. RIGHTS AND OBLIGATIONS ข. CLASSIFICATION AND UNDERSTANDABILITY ค. ACCURACY AND VALUATION ง. VALUATION AND ALLOCATION 7. ในการจัดทำ มาตรฐานการสอบบัญชีไทยได้นำ มาตรฐานการสอบ บัญชีใดมาใช้เป็นแนวทางในการจัดทำ ก. มาตรฐานการสอบบัญชีระหว่างประเทศของ สหพันธ์นักบัญชีระหว่างประเทศ ข. มาตรฐานการสอบบัญชีของสมาคมผู้สอบ บัญชีรับอนุญาตสหรัฐอเมริกา ค. มาตรฐานการสอบบัญชีของประเทศอังกฤษ ง. มาตรฐานการสอบบัญชีของสหพันธ์บัญชี อาเซียน 8. หน่วยงานใดที่มีหน้าที่ในการออกมาตรฐานการสอบบัญชี ของประเทศไทย (TSA) ก. กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ข. สภาวิชาชีพบัญชี ค. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ง. กระทรวงพาณิชย์ 9. การกำ หนดความมีสาระสำ คัญอยู่ในขั้นตอนใด ของการตรวจสอบ ก. การวางแนวการตรวจสอบ ข. การปฏิบัติงานตรวจสอบ ค. การวางแผนการตรวจสอบ ง. รายงานการตรวจสอบ 10. ข้อใด ไม่ถูกต้อง ก. ผู้สอบบัญชีต้องใช้วิจารณญาณในการสังเกตและสงสัยเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพนั้น ข. ผู้สอบบัญชีต้องปฏิบัติตามจรรยาบรรณของ ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี ค. ผู้สอบบัญชีต้องใช้ดุลพินิจในการวางแผน การปฏิบัติงาน ง. ผู้สอบบัญชีต้องรับผิดชอบต่อการทุจริตที่มี อยู่ในงบการเงิน คำ ถามท้ายหน่วยที่ 1 จงทำ เครื่องหมายกากบาท (X) ลงหน้าข้อที่ถูกต้องที่สุด แบบฝึกหัด
กฎหมายที่ เกี่ยวข้องกับการ สอบบัญชีกฎหมาย กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการสอบ บัญชีที่สำ คัญ สภาวิชาชีพบัญชี ประเภทของผู้ตรวจสอบบัญชี จรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพ บัญชี กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ การสอบบัญชี หน่วยที่ สาระการเรียนรู้ สมรรถนะการเรียนรู้ แผนผังความคิด (MIND MAPPING) 1.กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการสอบบัญชีที่สำ คัญ 2.สภาวิชาชีพบัญชี 3.ประเภทของผู้ตรวจสอบบัญชี 4.จรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี 1.อธิบายกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการสอบบัญชีที่สำ คัญได้ 2.อธิบายเกี่ยวกับสภาวิชาชีพบัญชีได้ 3.อธิบายประเภทของผู้ตรวจสอบบัญชีได้ 4.บอกจรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีได้
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ การสอบบัญชี สาระสำ คัญ การสอบบัญชีเป็นวิชาชีพทีให้บริการแก่สาธารณชน โดยมี วัตถุประสงค์หลักคือ การแสดงความเห็นต่องบการเงินจึงมีผลกระทบ ต่อบุคคลหลาย ฝ่าย กฎหมายสำ คัญที่ใช้กำ กับดูแลลิชาชีพสอบบัญชีได้แก่ ประมวลกฎหมายแท่งและ พาณิชย์ พ.ศ. 2472 พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 ประมวลรัษฎากรและพระ ราชบัญญัติวิชาชีพ บัญชี พ.ศ. 2547 กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการสอบบัญชีที่สำ คัญ ได้แก่ ประมวลกฎหมายแม่งและพาณิชย์ พ.ค. 2472มาตรา 1197 กำ หนดให้บริษัทต้องจัดให้มีการสอบบัญชีโดยผู้สอบ บัญชีคนหนึ่งหรือหลายคนตรวจสอบงบดุล แล้วนำ เสนอเพื่ออนุมัติในที่ประชุมใหญ่ภายใน 4 เดือนนับแต่วันที่ใน งบดุลและให้ส่งสำ เนางบดุลที่ตรวจสอบแล้วไปให้ผู้ถือหุ้นทุกคนที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัท ก่อนวัน นัด ประชุมใหญ่ล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 3 วัน นอกจากนั้นให้มีสำ เนางบดุลเปิดเผยไว้ในสำ นักงานของบริษัท ในระหว่าง เวลาเช่นว่านั้น เพื่อให้ผู้ทรงใบหุ้นชนิดออกให้แก่ผู้ถือนั้นตรวจดูได้ด้วย จากข้อกฎหมายดังกล่าว ทำ ให้บริษัทจำ กัดต้องจัดให้มีการประชุมผู้ถือหุ้นและก่อให้เกิดวิชาชีพสอบบัญชีเกิดขึ้น ในประเทศไทย ที่กำ หนดให้นิติบุคคลประเภทบริษัทจำ กัด ต้องปิดบัญชีและให้ผู้สอบ บัญชีรับอนุญาตตรวจสอบบัญชี ของกิจการให้เสร็จสิ้นก่อนนำ เสนอต่อ และเพื่อให้ที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นอนุมัติภายใน 4 เดือนนับแต่วันสิ้นรอบระยะ เวลาบัญชี มาตรา 1208 ผู้สอบบัญชีจะเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทก็ได้ จะเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการงานของบริษัทหรือกรรมการ ตัวแทน หรือลูกจ้างของบริษัทนั้นไม่ได้ มาตรา 1209 ให้ที่ประชุมใหญ่สามัญเลือกตั้งผู้สอบบัญชีทุกปี 1.กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการสอบบัญชีที่สำ คัญ
มาตรา 1213 ผู้สอบบัญชีมีสิทธิ์เข้าตรวจสอบสมุดและบัญชีของบริษัทในเวลาอันสมควรได้ทุก เมื่อและสามารถไต่ถามสอบสวนกรรมการหรือผู้อื่น ซึ่งเป็นตัวแทนหรือลูกจ้างของบริษัทได้ มาตรา 1214 กำ หนดว่า "เมื่อผู้สอบบัญชีตรวจสอบงบการเงินเสร็จแล้ว ผู้สอบบัญชีจะต้องจัดทำ รายงานการสอบบัญชี เพื่อแถลงในรายงานด้วยว่า ตนเห็นว่างบดุลได้ทำ โดยถูกถ้วนหรือไม่ ควรฟังว่าลำ แดงให้เห็นการงานของบริษัทที่เป็นอยู่ตามความเป็นจริงและถูกต้องหรือไม่ นำ เสนอต่อที่ประชุมสามัญ ประจำ ปี" พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 มาตรา 8 ผู้มีหน้าที่จัดทำ บัญชี ได้แก่ ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน บริษัทจำ กัด บริษัทมหาชน จำ กัด ที่ จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทย และกิจการร่วมค้าตามประมวลรัษฎากรต้องจัดให้มีการทำ บัญชี มาตรา 11 ผู้มีหน้าที่จัดทำ บัญชีต้องจัดทำ งบการเงินและยื่นงบการเงินต่อสำ นักงานกลางบัญชีหรือ สำ นักงานบัญชีประจำ ท้องที่ งบการเงิน ต้องมีรายการย่อตามที่อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากำ หนด และงบการเงินของห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมาย ต่างประเทศและกิจการร่วมค้าตามประมวลรัษฎากร ต้องจัดทำ งบการเงินยื่นต่อสำ นักงานกลางบัญชีหรือ สำ นักงานบัญชีประจำ ท้องที่ภายใน 5 เดือนนับแต่วันปิดบัญชี สำ หรับบริษัทจำ กัดหรือบริษัทมหาชน จำ กัดที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยให้ยื่นภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่บบการเงินได้รับอนุมัติในที่ประชุมใหญ่ผู้ ถือหุ้น โดยงบการเงินดังกล่าวต้องได้รับการตรวจสอบและแสดงความเห็นโดย ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต เว้นแต่งบการเงินของห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท สินทรัพย์รวมไม่เกิน 30 ล้านบาท และรายได้รวมไม่เกิน 30 ล้านบาท ได้รับการยกเว้นให้งบการเงินดังกล่าวไม่ต้องได้รับการ ตรวจสอบและแสดงความเห็นโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ประมวลรัษฎากร มาตรา 69 แห่งประมวลรัษฎากร กำ หนดให้บัญชีงบดุล บัญชีกำ ไรขาดทุน บัญชีรายรับรายจ่าย ที่ ยื่นพร้อมกับแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้ของนิติบุคคล ต้องมีบุคคลตามมาตรา 3 สัตต ตรวจสอบ และรับรองบัญชีบริษัทและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามมาตรา 39 ทั้งนี้ บุคคลดังกล่าวต้องมีคุณสมบัติและ ปฏิบัติตามระเบียบที่อธิบดีกรมสรรพากรกำ หนด มาตรา 3 สัตต แห่งประมวลรัษฎากร บัญญัติเกี่ยวกับการตรวจสอบและรับรองบัญชีดังนี้ เพื่อ ประโยชน์แห่งการจัดเก็บภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรการตรวจสอบและรับรองบัญชี จะกระทำ ได้แต่ โดยบุคคลที่ได้รับอนุญาตจากอธิบดี ปัจจุบันผู้ที่สามารถทำ การตรวจสอบและรับรองบัญชีตามมาตรา 3 สัตต แห่งประมวลรัษฎากรในฐานะผู้ ตรวจสอบและรับรองบัญชี ได้แก่บุคคลดังต่อไปนี้ 1.ผู้สอบบัญชีรับอนุญาติ (CERIFIED PUBLIC ACCOUNTANT : CPA) เป็นผู้ที่ได้รับการขึ้น ทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาตจากสภาวิชาชีพบัญชี ตามพระราชบัญญัติวิชาชี พบัญชีพ.ศ. 2547 และต้องปฏิบัติงานตามมาตรฐานที่กำ หนดโดยกฎหมายหรือองค์กรวิชาชีพบัญชี สำ หรับการตรวจสอบ รับรองบัญชีบริษัท และห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลขนาดใหญ่ (ทุนจดทะเบียนเกิน 5 ล้านบาท
สินทรัพย์รวมเกิน 30 ล้านบาท และรายได้รวมเกิน 30 ล้านบาท) ส่วนการตรวจสอบและรับรองบัญชี ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนขนาดเล็ก (ทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท สินทรัพย์รวมไม่เกิน 30 ล้านบาท และรายได้รวมไม่เกิน 30 ล้านบาท) ให้ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ที่อธิบดีกรมสรรพากรกำ หนดเช่นเดียวกับผู้สอบบัญชีภาษีอากรในเรื่องมารยาทการปฏิบัติงานการ รายงานและบทลงโทษ 2. ผู้สอบบัญชีภาษีอากร(TAX AUDITOR : TA) เป็นผู้ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาต เป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากรจากอธิบดีกรมสรรพากร ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ อธิบดีกรมสรรพากรกำ หนด ผู้สอบบัญชีภาษีอากรสามารถตรวจสอบได้เฉพาะบบการเงินของห้างหุ้น ส่วน นิติบุคคลขนาดเล็ก (ทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท สินทรัพย์รวมไม่เกิน 30 ล้านบาท และราย ได้รวมไม่เกิน 30 ล้านบาท) ซึ่งตามพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 งบการเงินดังกล่าวไม่ต้องได้ รับการตรวจสอบโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต พระราชบัณ์ทีวิชาชิมบัญชี พ.ค. 2547 พระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547 เป็นกฎหมายที่ออกมาใช้บังคับแทนพระราชบัญญัติผู้ สอบบัญชี พ.ศ. 2505 ก่อให้เกิดองค์กรภาคเอกชน คือสภาวิชาชีพบัญชี มีหน้าที่ส่งเสริมและพัฒนา วิชาชีพบัญชี และมีคณะกรรมการกำ กับดูแลการประกอบวิชาชีพบัญชี (กกบ.) ซึ่งมีหน้าที่กำ กับดูแลการ ดำ เนินกิจการของสภาวิชาชีพบัญชี สภาวิชาชีพบัญชีจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547 อยู่ในพระบรมราชูปลัมภ์เป็น สถาบันที่จัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมและพัฒนาวิชาชีพบัญชี สภาวิชาชีพบัญชีมีฐานะเป็นนิติบุคคล มี วัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและพัฒนาวิชาชีพบัญชีและมีอำ นาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ 1. ส่งเสริมการศึกษา การอบรม และการวิจัยเกี่ยวกับวิชาชีพบัญชี 2. ส่งเสริมความสามัคคีและผดุงเกียรติของสมาชิก จัดสวัสดิการและการสงเคราะห์ระหว่างสมาชิก 3. กำ หนดมาตรฐานการบัญชี มาตรฐานการสอบบัญชี และมาตรฐานอื่นที่เกี่ยวกับวิชาชีพบัญชี 4. กำ หนดจรรยาบรรณผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี 5. รับขึ้นทะเบียนการประกอบวิชาชีพบัญชี ออกใบอนุญาต พักใช้ หรือเพิกถอนใบอนุญาต ผู้ ประกอบวิชาชีพบัญชี 6. รับรองปริญญาหรือประกาศนียบัตรในวิชาการบัญชีของสถาบันการศึกษาต่าง ๆ" เพื่อประโยชน์ ในการรับสมัครเป็นสมาชิก 7. รับรองความรู้ความชำ นาญในการประกอบวิชาชีพบัญชี 2.สภาวิชาชีพ
8. รับรองหลักสูตรการฝึกอบรมเป็นผู้ชำ นาญการและการศึกษาต่อเนื่องในด้านต่าง ๆ ของ ผู้ประกอบวิชาชีพ บัญชี 9. ควบคุมความประพฤติและการดำ เนินงานของสมาชิกและผู้ขึ้นทะเบียน อันเกี่ยวกับการประกอบวิชาชีพ บัญชีให้ถูกต้องตามจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพบัญชี 10. ช่วยเหลือ แนะนำ เผยแพร่ และให้บริการวิชาการแก่ประชาชนเกี่ยวกับวิชาชีพบัญชี 11. ออกข้อบังคับสภาวิชาชีพบัญชี 12. เป็นตัวแทนของผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี 13. ให้คำ ปรึกษาและเสนอแนะต่อรัฐบาลเกียวกับนโยบายและปัญหาของวิชาชีพบัญชีดำ เนินการอื่นเพื่อให้เป็น ไปตามวัตถุประสงค์ สมาชิกของสภาวิชาชีพบัญชี สมาชิกสภาวิชาชีพบัญชี แบ่งเป็น 4 ประเภท ดังนี้ 1. สมาชิกสามัญ ต้องเป็นผู้มีสัญชาติไทย อายุไม่ต่ำ กว่า 20 ปี และสำ เร็จการศึกษาในระดับไม่ต่ำ กว่าปริญญา ตรีหรือเทียบเท่าทางการบัญชี หรือสาขาอื่นตามที่สภาวิชาชีพกำ หนด สมาชิกสามัญต้องมีคุณสมบัติ และไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้ 1. มีอายุไม่ต่ำ กว่า 20 ปีบริบูรณ์ 2. มีสัญชาติไทย 3. สำ เร็จการศึกษาไม่ต่ำ กว่าปริญญาตรีหรือได้รับวุฒิอื่นเทียบเท่าปริญญาตรีสาขา วิชาการบัญชี หรือสำ เร็จการศึกษาอื่นตามที่สภาวิชาชีพบัญชีกำ หนด 4. ไม่เป็นผู้ประพฤติผิดจรรยาบรรณ อันนำ มาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่ง วิชาชีพบัญชี 5. ไม่เคยต้องโทษจำ คุก โดยคำ พิพากษาถึงที่สุดให้จำ คุกในคดีที่เป็นการประพฤติผิด จรรยาบรรณ อันจะนำ มาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพบัญชี 6. ไม่เป็นคนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ หรือเป็นโรคตามที่ กำ หนดในข้อบังคับสภาวิชาชีพบัญชี 2. สมาชิกวิสามัญ (1) กรณีเป็นผู้มีสัญชาติไทย ต้องมีอายุไม่ต่ำ กว่า 20 ปี และสำ เร็จการศึกษาในระดับ ไม่ต่ำ กว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่าทางบริหารธุรกิจ พาณิชยศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ หรือสาขาอื่น ที่คณะกรรมการ สภาวิชาชีพบัญชีพิจารณาเห็นว่ามีความเกี่ยวข้องกับการประกอบวิชาชีพบัญชี (2) กรณีเป็นผู้ไม่มีสัญชาติไทย ต้องเป็นบุคคลซึ่งมีสัญชาติของประเทศที่ยินยอมให้ ผู้มีสัญชาติไทยประกอบอาชีพสอบบัญชีในประเทศนั้นได้ อายุไม่ต่ำ กว่า 20 ปี และสำ เร็จการศึกษาในระดับไม่ต่ำ กว่าปริญญาตรีทางการบัญชี 3. สมาชิกสมทบ ต้องเป็นผู้มีสัญชาติไทย อายุไม่ต่ำ กว่า 18 ปี และสำ เร็จการศึกษาในระดับที่ต่ำ กว่าปริญญาตรี แต่ไม่ต่ำ กว่าประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ทางการบัญชี
4. สมาชิกกิตติมศักดิ์ คือผู้ทรงคุณวุฒิชึ่งได้รับเชิญเป็นสมาชิกตามมติของคณะกรรมการสภาวิชาชีพ บัญชี สิทธิและหน้าที่ของสมาชิกสามัญ มีดังต่อไปนี้ (1) แสดงความคิดเห็นในการประชุมใหญ่ (2) ออกเสียงลงคะแนนในการประชุมใหญ่ (3) เลือกตั้ง รับเลือกตั้ง หรือรับแต่งตั้งเป็นกรรมการหรือดำ รงตำ แหน่งอื่นอันเกี่ยวกับ กิจการของสภาวิชาชีพ (4) สมาชิกสามัญไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยคนเข้าชื่อเสนอร่างข้อบังคับต่อสภาวิชาชีพบัญชีได้ (5) สมาชิกสามัญไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยคนเข้าชื่อกันทำ หนังสือร้องขอให้นายกสภา วิชาชีพบัญชีเรียกประชุมใหญ่วิสามัญได้ (6) ชำ ระค่าบำ รุงสมาชิกหรือค่าธรรมเนียม (7) ผดุงไว้ซึ่งเกียรติศักด์แห่งวิชาชีพบัญชีและปฏิบัติตนตามบทบัญญัติแห่งพระราช บัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547 (8) สิทธิและหน้าที่อื่นตามที่สภาวิชาชีพบัญชีกำ หนด หมายเหตุ สมาชิกวิสามัญ สมาชิกสมทบ และสมาชิกกิตติมศักดิ์ มีสิทธิและหน้าที่ ตาม (1) (6) (7) และ (8) โครงสร้างสภาวิชาชีพบัญชี การบริหารงานของสภาวิชาชีพบัญชีตามพระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547 กำ หนด ให้มีคณะกรรมการสำ คัญอยู่ 4 คณะ ได้แก่ 1. คณะกรรมการสภาวิชาชีพบัญชี เป็นคณะกรรมการที่มีภารกิจสำ คัญในการบริหารกิจการของ สภาวิชาชีพบัญชี ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และดำ เนินการตามภารกิจที่กำ หนดในกฎหมายวิชาชีพ บัญชี 2. คณะกรรมการกำ หนดมาตรฐานการบัญชี (กมบ.) มีภารกิจสำ คัญในการกำ หนดและปรับปรุง มาตรฐานการบัญชี เพื่อใช้เป็นมาตรฐานในการจัดทำ บัญชีตามกฎหมายว่าด้วยการบัญชีและกฎหมายอื่น 3. คณะกรรมการจรรยาบรรณ มีภารกิจสำ คัญในการสอบสวนคดีจรรยาบรรณ กรณีที่มีผู้กล่าวหา ว่าผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีประพฤติผิดจรรยาบรรณ โดยมีอำ นาจสั่งยกคำ กล่าวหาหรือลงโทษ ผู้ถูกกล่าว หาได้ 4. คณะกรรมการกำ กับดูแลการประกอบวิชาชีพบัญชี (กกบ.) มีภารกิจสำ คัญในการกำ กับดูแลการ ดำ เนินกิจการของสภาวิชาชีพบัญชี ให้เป็นไปตามกฎหมายและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของสภา วิชาชีพบัญชี ตลอดจนมีอำ นาจพิจารณาอุทธรณ์ผู้ขอรับใบอนุญาตเป็นผู้สอบบัญชีการพิจารณาอุทธรณ์ ของผู้กล่าวหา หรือผู้ซึ่งถูกคณะกรรมการจรรยาบรรณสั่งลงโทษ
พระราชบัญญัติฉบับนี้ยังได้ขยายขอบเขตการให้บริการวิชาชีพบัญชีครอบคลุมหลายด้านโดยในระยะ แรกแบ่งเป็น 6 ด้าน ได้แก่ 1. การทำ บัญชี 2. การสอบบัญชี 3. การบัญชีบริหาร 4. การวางระบบบัญชี 5. การบัญชีภาษีอากร 6. การศึกษาและเทคโนโลยีการบัญชี วิชาชีพบัญชีที่ถูกควบคุม ในเบื้องต้นพระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547 กำ หนดให้มีการควบคุมการประกอบ วิชาชีพบัญชี 2 ด้าน คือ ด้านการสอบบัญชีและด้านการทำ บัญชี หากมีความจำ เป็นอาจมีการตราพระราชกฤษฎีกากำ หนด ให้การประกอบวิชาชีพด้านนั้น ๆ ต้องมีการควบคุมเพิ่มขึ้น ได้ให้วิชาชีพบัญชีด้านการทำ บัญชีและด้านการ สอบบัญชีอยู่ภายใต้การควบคุม 1. ด้านการสอบบัญชี ห้ามมิให้ผู้ดประกอบวิชาชีพการสอบบัญชี เว้นแต่เป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาตหรือ เป็นการกระทำ ในอำ นาจหน้าที่ราชการ ผู้ที่จะประกอบวิชาชีพสอบบัญชีจะต้องเป็นสมาชิกสามัญของสภา วิชาชีพบัญชี ต้องมีคุณสมบัติ ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กฎหมายกำ หนด ต้องได้รับใบอนุญาตจากสภา วิชาชีพบัญชี ใบอนุญาตผู้สอบบัญชีไม่มีอายุแต่ต้องชำ ระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตเป็นรายปี ปีละ 2,000 บาท ทั้งนี้ ใบอนุญาตผู้สอบบัญชีอาจสิ้นผลได้ในหลายกรณี เช่น ขาดจากสมาชิกสภาวิชาชีพบัญชี ขาดคุณสมบัติ ถูกเพิกถอนใบอนุญาต ไม่ชำ ระค่าธรรมเนียม ไม่เข้ารับการอบรมตามหลักเกณฑ์ที่สภาวิชาชีพบัญชีกำ หนด 2. ด้านการทำ บัญชี ห้ามมิให้ผู้ใดประกอบวิชาชีพด้านการทำ บัญชี เว้นแต่เป็นผู้ทำ บัญชีตามพระราช บัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 ซึ่งเป็นสมาชิกสภาวิชาชีพบัญชีหรือขึ้นทะเบียนไว้กับสภา วิชาชีพบัญชี ผู้ที่จะ ประกอบวิชาชีพเป็นผู้ทำ บัญชีจะต้องเป็นสมาชิกสภาวิชาชีพบัญชี หรือขึ้นทะเบียน กับสภาวิชาชีพบัญชีอย่าง ใดอย่างหนึ่งก่อนจึงจะสามารถประกอบวิชาชีพได้ ต้องมีคุณสมบัติ ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กฎหมาย กำ หนด ทั้งนี้ ผู้ทำ บัญชีมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามทั้งพระราชบัญญัติการ บัญชี พ.ศ. 2543 และพระราชบัญญัติ วิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547 โดยเมื่อจะเริ่มทำ บัญชีต้องไปเป็นสมาชิกหรือขึ้นทะเบียนกับสภาวิชาชีพบัญชี ภายใน 60 วัน นับแต่วันเริ่มทำ บัญชี ต้องไปแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการทำ บัญชีที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ซึ่งจะได้ รับหมายเลขรหัสผู้ทำ บัญชีต่อไป นิติบุคคลที่ประกอบกิจการให้บริการด้านวิชาชีพควบคุม นิติบุคคลซึ่งประกอบกิจการให้บริการด้านการสอบบัญชี หรือด้านการทำ บัญชีต้องดำ เนินการดังต่อไปนี้
บิติบุคคลต้องจดทะเบียนต่อสภาวิชาชีพบัญชีตามเงื่อนไข ดังนี้ (1) ให้ยื่นขอจดทะเบียนต่อสภาวิชาชีพบัญชี ภายใน 30 วันหลังจากการจดทะเบียนจัดตั้ง นิติบุคคลที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์แล้วเสร็จ โดยสภาวิชาชีพบัญชีได้กำ หนดค่าจด ทะเบียนนิติบุคคลไว้รายละ 2,000 บาท และต้องยื่นขอต่ออายุทุก 3 ปีนับจากวันจดทะเบียนกับสภา วิชาชีพบัญชี โดยดำ เนินการต่ออายุภายใน 3 เดือนก่อนใบทะเบียนหมดอายุ (2) ต้องจัดให้มีหลักประกันเพื่อประกันความรับผิดต่อบุคคลที่สามตามประเภท จำ นวนไม่น้อย กว่าร้อยละ 3 ของทุน ณ วันที่ยื่นจดทะเบียนต่อสภาวิชาชีพ และภายใน 60 วันนับแต่วัน สิ้นรอบปี บัญชี นิติบุคคลต้องดำ รงหลักประกันเป็นจำ นวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 3 ของทุน ณ วันสิ้นปีแล้วแต่ จำ นวนใดจะมากกว่าหลักประกัน ได้แก่ เงินฝากสถาบันการเงินในประเทศประเภทประจำ 1 ปีขึ้นไป บัตรเงินฝากซึ่งสถาบันการเงินในประเทศออกให้ พันธบัตรรัฐบาลไทย พันธบัตรองค์การหรือ รัฐวิสาหกิจ กรมธรรม์ประกันภัย โดยหลักประกันดังกล่าวต้องปราศจากภาระผูกพัน ผู้ตรวจสอบอาจจำ แนกเป็น 2 ประเภท คือ 1. ผู้ตรวจสอบบัญชีอิสระหรือผู้ตรวจสอบบัญชีภายนอก (EXTERNAL AUDITOR) 2. ผู้ตรวจสอบภายใน (INTERNAL AUDITOR) 1. ผู้ตรวจสอบบัญชีอิสระหรือผู้ตรวจสอบบัญชีภายนอก [EXTERNALAUDITON) อาจแบ่งตามคุณสมบัติ ออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1.คุณสมบัติของผู้สอบบัญชีรับอนุญาต 2. คุณสมบัติผู้สอบบัญชีภาษีอากร 1. คุณสมบัติของผู้สอบบัญชีรับอนุญาต พระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547 กำ หนดคุณสมบัติของผู้สอบบัญชี รับอนุญาตว่าต้องได้รับใบอนุญาตจากสภาวิชาชีพบัญชี โดยผู้ขอรับใบอนุญาตต้องมีคุณสมบัติและ ไม่มีลักษณะต้องห้ามดังนี้ (1) เป็นสมาชิกสามัญหรือสมาชิกวิสามัญของสภาวิชาชีพบัญชี ในกรณีเป็นสมาชิก วิสามัญซึ่งเป็นคนต่างด้าวต้องเป็นผู้มีความรู้ภาษาไทยดีพอที่จะสามารถสอบบัญชี จัดทำ รายงานเป็น ภาษาไทยได้ มีภูมิลำ เนาในประเทศไทย และเมื่อได้รับใบอนุญาตแล้วต้องได้รับใบอนุญาตตาม กฎหมาย ว่าด้วยการทำ งานของคนต่างด้าวด้วย จึงจะปฏิบัติงานเป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาตได้ (2) ผ่านการทดสอบ ฝึกอบรม ฝึกงาน หรือเคยปฏิบัติงานเกี่ยวกับวิชาชีพบัญชี มาแล้วตามที่กำ หนดในข้อบังคับสภาวิชาชีพบัญชี ต้องฝึกหัดงานไม่น้อยกว่า 3 ปี แต่ไม่เกิน 5 ปี นับ แต่วันที่ยื่นแจ้งการฝึกหัดงานโดยไม่จำ เป็นต้องต่อเนื่องกันและไม่น้อยกว่า 3,000 ชั่วโมง 3.ประเภทของผู้ตรวจสอบบัญชี
(3) ไม่เคยต้องคำ พิพากษาถึงที่สุดให้จำ คุกหรือความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ เว้นแต่ ความผิดฐานทำ ให้เสียทรัพย์และความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดตามกฎหมายว่า ด้วย การบัญชี กฎหมายว่าด้วยผู้สอบบัญชี หรือกฎหมายว่าด้วยการกำ หนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำ กัด บริษัทจำ กัด สมาคมและมูลนิธิเฉพาะที่เกี่ยวกับการรับรองงบการเงินหรือบัญชีอื่นใดอันไม่ถูก ต้อง หรือทำ รายงานเท็จเว้นแต่ต้องคำ พิพากษาหรือพ้นโทษมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี (4) ไม่เป็นบุคคลลัมละลาย (5) มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามอื่นตามที่กำ หนดในข้อบังคับสภาวิชาชีพ บัญชี ในการทดสอบความรู้ของผู้สอบบัญชีรับอนุญาตนั้น สภาวิชาชีพบัญชีได้มีประกาศสภา วิชาชีพบัญชี เรื่องรายละเอียดเนื้อหาและเค้าโครงของวิชาที่ต้องทดสอบ ขอบเขตของวิชาที่ต้องทดสอบเกี่ยว กับวิชาชีพบัญชีของผู้ขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาต พ.ศ. 2557 โดยกำ หนดขอบเขตวิชาที่ต้อง ทดสอบ 6 วิชา ดังนี้ 1.วิชาการบัญชี 1 ให้ทดสอบความรู้เกี่ยวกับการจัดทำ บัญชีและงบการเงินที่เกี่ยวกับ แม่บทการบัญชี สินทรัพย์หมุนเวียน เงินลงทุน ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ สินทรัพย์ไม่มีตัวตนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อการลงทุน การสำ รวจและประเมินค่าแหล่งทรัพยากรแร่ การด้อยค่าของสินทรัพย์ภาษีเงินได้ และหนี้สิน ตลอดจนเรื่องอื่น ๆ ให้เป็นไปตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินของสภา วิชาชีพบัญชีที่ประกาศใช้ใน ปัจจุบัน 2. วิชาการบัญชี 2 ให้ทดสอบความรู้เกี่ยวกับการจัดทำ บัญชีและงบการเงินที่เกี่ยวกับ รายได้ การนำ เสนองบการเงิน การเปิดเผยข้อมูลในงบการเงิน ตลอดจนเรื่องอื่นๆ ให้เป็นไปตามมาตรฐานการ รายงานทางการเงินของสภาวิชาชีพบัญชีที่ประกาศใช้ในปัจจุบัน รวมถึงความรู้เกี่ยว กับการบัญชีต้นทุน 3. วิชาการสอบบัญชี 1 ให้ทดสอบความรู้เกี่ยวกับแนวคิดทั่วไปและแม่บทงานให้ความ เชื่อมั่น หน้าที่และความรับผิดชอบของผู้สอบบัญชี กระดาษทำ การของผู้สอบบัญชี การเลือกตัวอย่างในงาน สอบบัญชี หลักฐานการสอบบัญชี วิธีการรวบรวมหลักฐานการสอบบัญชี และวิธีการตรวจสอบ บัญชีที่สำ คัญใน งบการเงิน ได้แก่ สินทรัพย์ หนี้สิน ส่วนของผู้ถือหุ้น รายได้ และค่าใช้จ่าย รวมทั้งทดสอบความรู้เกี่ยวกับการ สอบบัญชีของกิจการที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการประมวลผลด้วย 4. วิชาคารสอบบัญชี 2 ให้ทดสอบความรู้เกี่ยวกับจรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพ บัญชี ข้อตกลงในการรับงานสอบบัญชี การควบคุมคุณภาพงานสอบบัญชี การวางแผน การตรวจสอบงบการ เงิน การประเมินความเสี่ยงและการตอบสนองความเสี่ยงที่ได้ประเมินไว้ การพิจารณาการ ทุจริตในการตรวจ สอบงบการเงิน การใช้บริการหรือผลงานของบุคคลอื่น การสรุปผลการตรวจสอบการรายงานการสอบทานงบ การเงิน ข้อพิจารณาสำ หรับการตรวจสอบในบางกรณี แนวทางในการปฏิบัติสำ หรับงานให้ความเชื่อมั่นอื่น และ แนวทางในการปฏิบัติสำ หรับงานบริการเกี่ยวเนื่อง
5.. วิชากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบวิชาชิพสอบบัญชี 1 ให้ทดสอบความรู้เกี่ยวกับ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบวิชาชีพบัญชี ได้แก่ กฎหมายว่าด้วยการบัญชี ประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ (เฉพาะบรรพ 3 หุ้นส่วนและบริษัท) กฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำ กัด กฎหมาย ว่าด้วยหลักทรัพย์และ ตลาดหลักทรัพย์ และกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 6. วิชากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบวิชาชีพสอบบัญชี 2 ให้ทดสอบความรู้ เกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบวิชาชีพบัญชี ได้แก่ ประมวลรัษฎากร พระราชกฤษฎีกากฎกระทรวง ประกาศกระทรวงการคลัง คำ วินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร คำ สั่งกรมสรรพากร ประกาศกรม สรรพากรและประกาศอธิบดีกรมสรรพากร ที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บภาษีอากรของบริษัทและห้างหุ้นส่วน นิติบุคคล และกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพบัญชี สำ หรับกำ หนดการทดสอบการเป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาตนั้น สภาวิชาชีพบัญชีกำ หนด ไว้อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง หรือตามที่คณะกรรมการสภาวิชาชีพเห็นสมควร โดยผู้ฝึกหัดงานที่มีสิทธิเข้าทดสอบ สามารถสมัครสอบได้ทุกวิชา ยกเว้นการสอบวิชาการสอบบัญชี 1 และการสอบบัญชี 2 ผู้เข้ารับการทดสอบต้องมี เวลาการฝึกหัดงานไม่น้อยกว่า 1 ปี และมีเวลาฝึกหัดงานไม่น้อยกว่า 1,000 ชั่วโมงเกณฑ์ผ่านการทดสอบความรู้ คือ ได้คะแนนแต่ละวิชาไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 โดยผู้เข้ารับการทดสอบสามารถสะสมผลการทดสอบของแต่ละวิชา ที่สอบผ่านได้ไม่เกิน 4 ปี นับแต่วันที่ผ่านการทดสอบแต่ละ วิชา รายละเอียดในการทดสอบสามารถดูได้จาก เว็บไซต์ของสภาวิชาชีพบัญชี WWW.FAP.OR.TH 2. คุณสมบัติของผู้สวบบัญชีภาษีอากร คุณสมบัติของผู้สอบบัญชีภาษีอากร ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเรื่องกำ หนด ระเบียบเกี่ยวกับการตรวจสอบและรับรองบัญชี ตามมาตรา 3 สัตต แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2544 กำ หนดไว้ดังนี้ (1) สำ เร็จการศึกษาไม่ต่ำ กว่าปริญญาตรีทางการบัญชี หรือประกาศนียบัตรทางการ บัญชีซึ่งสำ นักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และสำ นักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนรับรองเทียบเท่า ไม่ต่ำ กว่าปริญญาดังกล่าว (2) มีอายุไม่ต่ำ กว่า 20 ปีบริบูรณ์ (3) มีสัญชาติไทย หรือมีสัญชาติของประเทศที่ยินยอมให้บุคคลสัญชาติไทยเป็นผู้สอบ บัญชีในประเทศนั้นได้ (4) ไม่เป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี (5) ไม่เคยต้องโทษจำ คุกในคดีเกี่ยวกับภาษีอากรหรือคดีอื่น ตามที่อธิบดีกรมสรรพากร เห็นว่าอาจนำ มาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งความเป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร (6) ไม่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ (7) ไม่เป็นผู้ตรวจสอบและรับรองบัญชีที่อยู่ระหว่างถูกสั่งพักหรือถูกเพิกถอนใบอนุญาต (8) ต้องผ่านการทดสอบตามที่อธิบดีกรมสรรพากรกำ หนด ซึ่งมีขอบเขตเนื้อหาวิชา ที่ทำ การทดสอบ 3 วิชา ดังนี้ 1. วิชาการบัญชี ทดสอบความรู้การบัญชีเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน
โดยครอบคลุมในเรื่องแม่บทการบัญชี การบันทึกบัญชี การจัดทำ งบการเงินตามประกาศกรมพัฒนา ธุรกิจการค้า การเปิดเผยข้อมูลในงบการเงิน มาตรฐานการบัญชีเกี่ยวกับสินทรัพย์หนี้สิน และ ส่วน ของผู้เป็นหุ้นส่วน การรับรู้รายได้และค่าใช้จ่าย การบัญชีต้นทุนผลิตสินค้า ทั้งนี้ ให้เป็นไปตาม มาตรฐานการรายงานทางการเงินสำ หรับกิจการที่ไม่มีส่วนได้เสียสาธารณะ (TERS FOR NONPUBLICLY ACCOUNTABLE ENTITIES : NPAES) ที่สภาวิชาชีพบัญชีในพระบรมราชูปถัมภ์ประกาศ ใช้ในปัจจุบัน 2. วิชาการสอบบัญชี ทดสอบความรู้เกี่ยวกับการสอบบัญชีตามหลักเกณฑ์การ ปฏิบัติงาน และการรายงานสำ หรับผู้สอบบัญชีภาษีอากรตามมาตรา 3 สัตต แห่งประมวลรัษฎากรโดย ครอบคลุมถึงหลักฐานการสอบบัญชีและวิธีการตรวจสอบ รวบรวมหลักฐาน หลักพื้นฐานของการ ควบคุมภายใน การประเมินความเสี่ยง เทคนิคต่าง ๆ ที่ใช้ในการตรวจสอบบัญชี การจัดทำ กระดาษ ทำ การแนวการตรวจสอบ การสอบทานและการควบคุมงานสอบบัญชี จรรยาบรรณของ ผู้ตรวจสอบ และรับรองบัญชี 3. วิชาความรู้เกี่ยวกับประมวลรัษฎากร ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในส่วนที่ เกี่ยวข้องกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ทดสอบความรู้เกี่ยวกับ (1)ประมวลรัษฎากร ในส่วนที่เกี่ยวกับการคำ นวณกำ ไรสุทธิเพื่อเสียภาษี เงินได้นิติบุคคลของห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ อากรแสตมป์ หน้าที่ เกี่ยวกับการยื่นแบบแสดงรายการ การนำ ส่งภาษี การหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย การจัดทำ รายงานและ บัญชีพิเศษตามประมวลรัษฎากร รวมถึงประกาศเกี่ยวกับการตรวจสอบและรับรองบัญชีตามมาตรา 3 สัตต แห่งประมวลรัษฎากร (2) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 ประกาศและคำ สั่งของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน เกณฑ์ผ่านการทดสอบความรู้ คือ ได้คะแนนแต่ละวิชาไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 โดย ผู้เข้ารับการทดสอบสามารถสะสมผลการทดสอบของแต่ละวิชาที่สอบผ่านได้ไม่เกิน 3 ปี นับแต่วันที่ ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการทดสอบ รายละเอียดในการทดสอบสามารถดูได้จากเว็บไซต์ของกรม สรรพากร WWW.RD.GO.TH 2. ผู้ตรวจสอบภายใน (INTERNAL AUDITOR) ผู้ตรวจสอบภายในเป็นพนักงานขององค์กร มีหน้าที่ให้ตรวจสอบหน่วยงานต่าง ๆ ใน องค์กร ให้ความเชื่อมั่น ให้คำ ปรึกษาอย่างเที่ยงธรรมและเป็นอิสระ เพื่อเพิ่มคุณค่าและปรับปรุงการ ดำ เนินงานองค์กร ช่วยให้บรรลุเป้าหมาย การให้ความเชื่อมั่นและการให้คำ ปรึกษาอย่างเที่ยงธรรม และเป็นอิสระ เพื่อเพิ่มคุณค่าและปรับปรุงการดำ เนินงานขององค์กร การตรวจสอบภายในช่วยให้ องค์กรบรรลุเป้าหมาย ด้วยการประเมินและปรับปรุงประสิทธิผลของกระบวนการบริหารความเสี่ยง การควบคุม และการกำ กับดูแลอย่างเป็นระบบ และเป็นระเบียบ และเสนอรายงานต่อผู้บริหารระดับ สูงหรือคณะกรรมการ
จรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีจรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี (PROFESSIONAL EIHICS) หมายถึง สิ่งที่กำ หนดความประพฤติและวิธีปฏิบัติงานของผู้ประกอบ วิชาชีพบัญชี ต้องยึดถือโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดำ รงไว้ในเรื่อง ดังต่อไปนี้ 1. ความเชื่อถือได้ในผลงาน 2. ความเป็นมืออาชีพ 3. คุณภาพของงานบริการ 4. ความเชื่อมั่นจากผู้รับบริการ ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี นอกจากต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่บัญญัติเป็นการทั่วไปแล้ว ยังต้องปฏิบัติ ตามจรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพ ซึ่งเป็นบทบัญญัติเฉพาะของวิชาชีพโดยสภาวิชาชีพบัญชี ได้ออกข้อบังคับ (ฉบับที่ 19) เรื่องจรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี เมื่อวันที่ 8 กันยาย นพ.ศ. 2553 กำ หนดแนวทางในการควบคุมความประพฤติและการดำ เนินงานของผู้ประกอบ วิชาชีพบัญชีหรือผู้ซึ่งขึ้นทะเบียนไว้กับวิชาชีพบัญชีให้ถูกต้องตามจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพบัญชี โดยจรรยาบรรณ นี้ครอบคลุมเนื้อหาตามข้อบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547 และมีความสอดคล้อง กับหลักการพื้นฐานที่กำ หนด โดยสมาพันธ์นักบัญชีระหว่างประเทศ (INTERNATIONAL FEDERATION OF ACCOUNTANTS : IFAC) เพื่อใช้บังคับกับสมาชิกสภา วิชาชีพบัญชี ได้แก่ ผู้ประกอบวิชาชีพด้านการทำ บัญชี การสอบบัญชี การบัญชีบริหาร การวาง ระบบบัญชี การบัญชีภาษีอากร การศึกษาและเทคโนโลยีการบัญชี ข้อบังคับสภาวิชาชีพบัญชีกำ หนดจรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี ประกอบด้วย (ก) ความโปร่งใส ความเป็นอิสระ ความเที่ยงธรรม และความชื่อสัตย์สุจริต (ข) ความรู้ ความสามารถ และมาตรฐานในการปฏิบัติงาน (ค) การรักษาความลับ (ง) ความรับผิดชอบต่อผู้รับบริการ (จ) ความรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้น ผู้เป็นหุ้นส่วน บุคคลหรือนิติบุคคลที่ผู้ประกอบวิชาชีพปฏิบัติ หน้าที่ให้ (ฉ) ความรับผิดชอบต่อเพื่อนร่วมวิชาชีพ และจรรยาบรรณทั่วไปจรรยาบรรณของผู้ประกอบ วิชาชีพบัญชนี้ได้ให้ความหมายของแต่ละข้อ ดังนี้ความโปร่งใส หมายความว่า ภาพลักษณ์ที่แสดง ให้เห็นถึงการปฏิบัติงานตามกฎ ระเบียบ ต่าง ๆ และมาตรฐานวิชาชีพบัญชีที่กำ หนดไว้ และไม่ ปกปิดข้อเท็จจริงหรือบิดเบือนความจริงอันเป็นสาระสำ คัญซึ่งสามารถติดตามตรวจสอบได้ 4.จรรยาบรรณ ของผู้ประกอบวิชาชีพ
ความเป็นอิสระ หมายความว่า การปฏิบัติหน้าที่โดยปราศจากอิทธิพลของบุคคลอื่นที่ทำ ให้ เกิดความสงสัยในความเป็นกลาง หรือความเที่ยงธรรมของผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี ความเป็น อิสระนี้จะต้องเป็นที่ประจักษ์ เพื่อให้ผลงานของผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีเป็นที่เชื่อถือได้ ความเที่ยงธรรม หมายความว่า การใช้ดุลพินิจเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพโดยปราศจากความ ลำ เอียง อคติ ความขัดแย้งทางผลประโยชน์และอิทธิพลอื่น ความชื่อสัตย์สุจริต หมายความว่า การประพฤติอย่างตรงไปตรงมา จริงใจ ชื่อตรงต่อวิชาชีพ ไม่คดโกง ไม่หลอกลวง ปฏิบัติงานบนหลักฐานที่เป็นจริงและเชื่อถือได้ ไม่อ้างหรือยินยอมให้ บุคคลอื่น อ้างว่าได้ปฏิบัติงานถ้าไม่ได้ปฏิบัติงานจริง ความรู้ความสามารถ หมายความว่า การใช้ความรู้ความสามารถ ความชำ นาญในการปฏิบัติ วิชาชีพบัญชีด้วยความเอาใจใส่อย่างเต็มความสามารถ ความเพียรพยายาม ความระมัดระวัง รอบคอบเพื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล มั่นใจได้ว่ามีผลงานทาง วิชาชีพที่อยู่บน พื้นฐานของกฎเกณฑ์ มาตรฐานในการปฏิบัติงานและวิชาการที่เกี่ยวข้อง กรอบวิชาชีพบัญชี หมายความว่า หลักการ มาตรฐาน และแนวปฏิบัติของวิชาชีพบัญชี การรักษาความลับ หมายความว่า การไม่นำ ข้อมูลใด ๆ ที่โดยปกติองค์กรไม่ได้เปิดเผยต่อ สาธารณชนไปเปิดเผย หรือใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือบุคคลอื่น เว้นแต่ในกรณีที่เป็นการเปิด เผยตามสิทธิ หน้าที่ที่กำ หนดไว้ในกฎหมายหรือในฐานะผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีข้อกำ หนด อรรยา บรรณของผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี ข้อกำ หนดจรรยาบรรณด้านความโปร่งใส ความเป็นอิสระ ความเที่ยงธรรม และความ ซื่อสัตย์ สุจริตประกอบด้วย ความโปร่งใส (1) ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีต้องปฏิบัติงานด้วยความโปร่งใสความเป็นอิสระ (1) ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีต้องใช้ดุลพินิจและปฏิบัติงานอย่างเป็นอิสระภายใต้กรอบ วิชาชีพ บัญชี (2) ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีต้องไม่ปฏิบัติงานที่ตนขาดความเป็นอิสระภายใต้กรอบ วิชาชีพบัญชี ความเที่ยงธรรม (1) ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีต้องปฏิบัติงานด้วยความยุติธรรม ชื่อตรงต่อวิชาชีพและ ต้องไม่มีส่วน ได้เสียในงานที่ตนประกอบวิชาชีพ นอกจากค่าตอบแทนที่ได้รับจากการประกอบวิชาชีพนั้น (2) ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีต้องใช้ดุลพินิจบนหลักฐานที่เชื่อถือได้ โดยปราศจากความมีอคติและ ความลำ เอียง
(3) ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีต้องใช้คุลพินิจอย่างเที่ยงธรรมโดยหลีกเลี่ยงความสัมพันธ์หรือ สถานการณ์ใด ๆ ที่อาจทำ ให้ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีไม่สามารถปฏิบัติงานได้โดยโปร่งใส อิสระ และชื่อ สัตย์สุจริต ความชื่อสัตย์สุจริต (1) ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีต้องปฏิบัติงานอย่างตรงไปตรงมา จริงใจ ซื่อตรงต่อวิชาชีพไม่คดโกง ไม่ หลอกลวง (2) ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีต้องปฏิบัติงานตรงตามหลักฐานที่เป็นจริง (3) ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีต้องไม่อ้างหรือยินยอมให้บุคคลอื่นอ้างว่าได้ปฏิบัติงานโดยที่ไม่ได้มีการ ปฏิบัติงานจริง (ข) ข้อกำ หนดจรรยาบรรณด้านความรู้ ความสามารถและมาตรฐานในการปฏิบัติงาน ประกอบด้วย ความรู้ ความสามารถ (1) ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีต้องใช้ความรู้ตามมาตรฐานวิชาชีพ วิธีปฏิบัติ กฎหมาย ที่เกี่ยวข้อง ความชำ นาญและประสบการณ์ทางวิชาชีพด้วยความมีสติ เอาใจใส่อย่างเต็มความสามารถ และ ระมัดระวังรอบคอบ (2) ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีต้องประกอบวิชาชีพ โดยมีความสามารถเพียงพอที่จะปฏิบัติงานให้ สำ เร็จได้ (3) ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีต้องประกอบวิชาชีพด้วยความมุ่งมั่นและขยันหมั่นเพียร (4) ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีต้องศึกษาหาความรู้และความชำ นาญทางวิชาชีพเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาความรู้ความสามารถให้ทันสมัยอยู่เสมอ มาตรฐานใบคารปฏิบัติงาน (1) ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีต้องประกอบวิชาชีพให้สอดคล้องกับมาตรฐานวิชาชีพและมาตรฐานทาง วิชาการที่เกี่ยวข้อง (2) ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีต้องปฏิบัติงานด้วยความระมัดระวังรอบคอบ และด้วยความชำ นาญตาม มาตรฐานวิชาชีพและมาตรฐานทางวิชาการที่เกี่ยวข้อง (ค) ข้อกำ หนดจรรยาบรรณด้านการรักษาความลับ ประกอบด้วย การรักษาความสับ (1) ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีต้องไม่นำ ข้อมูลที่เป็นความลับขององค์กรที่ตนได้มาจากการปฏิบัติงาน วิชาชีพ และความสัมพันธ์ในทางธุรกิจ รวมทั้งความลับขององค์กรทีตน สังกัดไปเปิดเผยต่อบุคคลที่ไม่มี ส่วนเกี่ยวข้องได้รับทราบ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากองค์กร เว้นแต่ในกรณีที่เป็นการเปิดเผยตามสิทธิหรือ หน้าที่ที่กำ หนดไว้ในกฎหมายหรือในฐานะผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี (2) ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีต้องไม่นำ ข้อมูลที่เป็นความลับขององค์กรที่ตนได้มาจากการปฏิบัติงาน วิชาชีพ และความสัมพันธ์ในทางธุรกิจ รวมทั้งความลับขององค์กรที่ตน สังกัดไปใช้เพื่อประโยชน์ของ ตนหรือบุคคลอื่นโดยมิชอบ
(ง) ข้อกำ หนดจรรยาบรรณด้านความรับผิดชอบต่อผู้รับบริการ ประกอบด้วย ความรับผิดชอบต่อผู้รับบริการ (1) ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีต้องมีความรับผิดชอบตามกรอบวิชาชีพบัญชีต่อผู้รับบริการ (2) ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีต้องปฏิบัติงานตามกรอบวิชาชีพบัญชี เพื่อให้เกิดความ น่าเชื่อถือ และมีประโยชน์ต่อผู้รับบริการ (จ) ข้อกำ หนดจรรยาบรรณด้านความรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้น ผู้เป็นหุ้นส่วน หรือนุคคลหรือ นิติบุคคลที่ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีปฏิบัติหน้าที่ให้ ประกอบด้วย (1) ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีต้องปฏิบัติตามจริยธรรมทางธุรกิจขององค์กรที่ตนสังกัด (2) ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต อุทิศตน ทุ่มเท ดูแล ทรัพย์สินขององค์กรที่ตนสังกัด (3) ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีต้องใช้เวลาและทรัพย์สินขององค์กรที่ตนสังกัด ให้เกิดประโยชน์ สูงสุดไม่นำ ไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือบุคคลที่สาม ทั้งทางตรงและทางอ้อม (4) ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีต้องเปิดเผยความสัมพันธ์กับองค์กร สถาบัน ธุรกิจภายนอกหรือ ความสัมพันธ์ทางเครือญาติ เพื่อความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (5) ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีต้องไม่กระทำ การใด ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียง และการดำ เนิน การขององค์กรที่ตนสังกัด (6) ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีต้องใช้วิจารณญาณอย่างรอบคอบ มีเหตุผลในการปฏิบัติงาน ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อองค์กรที่ตนสังกัดรวมถึงนายจ้าง (ผู้ถือหุ้น ผู้เป็นหุ้นส่วนเจ้าของ) ของผู้ ประกอบวิชาชีพบัญชี (ฉ) ข้อกำ หนดจรรยาบรรณด้านความรับผิดชอบต่อเพื่อนร่วมวิชาชีพ และจรรยาบรรณทั่วไป (1) ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีต้องไม่แย่งงานวิชาชีพบัญชี จากผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีด้านเดียวกัน รายอื่น (2) ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีต้องไม่ปฏิบัติงานทางวิชาชีพเกินกว่าที่รับมอบหมายจาก ผู้ประกอบ วิชาชีพรายอื่น (3) ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีต้องไม่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับงานของตนเกินความเป็นจริงไมโอ้อวดหรือ เปรียบเทียบตน องค์กรที่ตนสังกัดอยู่กับผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีด้านเดียวกันรายอื่น หรือองค์กรที่ผู้ ประกอบวิชาชีพบัญชีด้านเดียวกันรายอื่นสังกัดอยู่ (4) ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีต้องไม่ให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์ใด ๆ เพื่อเป็นการ จูงใจให้บุคคลอื่นแนะนำ หรือจัดหางานวิชาชีพบัญชีมาให้ตน (5) ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีต้องไม่เรียกหรือรับทรัพย์สินหรือประโยชน์จากบุคคลใดเมื่อบุคคลนั้น ได้รับงานจากการแนะนำ หรือการจัดหางานของตนในฐานะที่เป็น ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีของ องค์กรนั้น
(6) ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีต้องไม่กำ หนดค่าธรรมเนียมหรือค่าตอบแทนในการให้บริการ วิชาชีพบัญชีโดยมิได้คำ นึงถึงลักษณะความเสี่ยง ความซับซ้อนและปริมาณของงานที่ตนให้ บริการหรือมีส่วนร่วมในการให้บริการวิชาชีพบัญชี (7) ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีต้องประพฤติปฏิบัติตนในทางที่ถูกที่ควร สำ นึกในหน้าที่และไม่ ปฏิบัติตนในลักษณะที่ทำ ให้เกิดความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพบัญชี บทลงโทษการไม่ปฏิบัติตามจรรยาบรรณ หากผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีไม่ปฏิบัติตามจรรยาบรรณนี้แล้ว กฎหมายจะถือว่าเป็น ผู้ประพฤติ ผิดจรรยาบรรณและมีการกำ หนดโทษการประพฤติผิดจรรยาบรรณ แบ่งเป็น 4 ระดับ คือ 1. ตักเตือนเป็นหนังสือ 2. ภาคทัณฑ์ 3. พักใช้ใบอนุญาต พักการขึ้นทะเบียน หรือห้ามการประกอบวิชาชีพด้านที่ประพฤติผิด จรรยาบรรณ โดยมีกำ หนดเวลาแต่ไม่เกิน 3 ปี 4. เพิกถอนใบอนุญาต เพิกถอนการขึ้นทะเบียน หรือสั่งให้พ้นจากการเป็นสมาชิกสภา วิชาชีพบัญชี วิชาชีพสอบบัญชีมีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่องตามลำ ดับเวลา วัตถุประสงค์ของการสอบบัญชีเปลี่ยนมา เป็นการตรวจสอบเพื่อแสดงความเห็นต่องบการเงินว่าถูกต้องตามที่ควร ตามมาตรฐานการรายงานทางการ เงิน ผู้สอบบัญชีได้พัฒนาการวิธีการตรวจสอบใหม่ ๆ มาใช้ในการสอบบัญชีรวมทั้งเสนอบริการประเภทต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการสอบบัญชีในทางราชการหรือภาครัฐฉบับแรกของประเทศไทยคือ พระราชบัญญัติสำ หรับกรมพระคลังมหาสมบัติและว่าด้วยกรมต่าง ๆ ซึ่งจะเบิกเงินส่งเงินในปี พ.ศ. 2478 ต่อมาได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติผู้สอบ บัญชี พ.ศ. 2505 ซึ่งถือเป็นกฎหมายฉบับแรกที่มีการ กำ หนดคุณสมบัติและพื้นฐานความรู้ของ ผู้สอบบัญชีรับอนุญาติให้เป็นไปตามมาตรฐานการสอบบัญชี และ กำ หนดให้มิคณะกรรมการควบคุมการประกอบวิชาชีพ (ก.บช.) เพื่อทำ หน้าที่ควบคุมการประกอบวิชาชีพ ต่อมาได้มีการยกเลิกพระราชบัญญัติผู้สอบบัญชี พ.ศ. 2505 เนื่องจากเห็นว่าไม่เหมาะสม และไม่สอดคล้อง กับวิชาชีพ ที่ได้พัฒนาและก้าวหน้าไปอย่างมาก จึงได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547ทำ ให้เกิดองค์กรภาคเอกชน คือ สภาวิชาชีพบัญชี เป็นองค์กรที่ตั้งขึ้นมาเพื่อพัฒนามาตรฐานวิชาชีพ กำ กับดูแลจรรยาบรรณของสมาชิก ในการปฏิบัติงานผู้สอบบัญชีจะต้องยึดถือจรรยาบรรณแห่ง วิชาชีพ เพื่อ ให้ผลงานการสอบบัญชีเป็นที่น่าเชื่อถือและได้รับการยอมรับจากสาธารณชนทั่วไป สรุป
1. ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำ หนดให้ งบดุลของบริษัทจำ กัดต้องมีผู้สอบบัญชีตรวจสอบ แล้วนำ เสนออนุมัติใน ที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นเมื่อใด ก. ภายใน 1 เดือนนับแต่วันที่ในงบดุล ข. ภายใน 3 เดือนนับแต่วันที่ในงบดุล ค. ภายใน 4 เดือนนับแต่วันที่ในงบดุล ง. ภายใน 5 เดือนนับแต่วันที่ในงบดุล 2. จากข้อ 1. เมื่องบดุลได้รับอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่แล้ว ตาม พ.ร.บ. การบัญชี พ.ศ. 2543 ต้องนำ ส่งงบการเงินเมื่อใด ก. ภายใน 1 เดือนนับแต่วันที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น ข. ภายใน 3 เดือนนับแต่วันที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น ค. ภายใน 4 เดือนนับแต่วันที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น ง.ภายใน 5 เดือนนับแต่วันที่ได้รับอนุมัติจาก ที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น 3. ตาม พ.ร.บ. การบัญชีพ.ศ. 2543 งบการเงินข้อใด ไม่ต้อง ได้รับการตรวจสอบโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ก. ห้างหุ้นส่วนที่มีทุน 6 ล้านบาท และรายได้รวม 20 ล้านบาท และสินทรัพย์รวม 20 ล้านบาท ข. ห้างหุ้นส่วนที่มีทุน 5 ล้านบาท และรายได้ รวม 30 ล้านบาท และสินทรัพย์รวม 50 ล้านบาท ค. ห้างหุ้นส่วนที่มีทุน 4 ล้านบาท และราย ได้รวม 20 ล้านบาท และสินทรัพย์รวม 40 ล้านบาท ง.ห้างหุ้นส่วนที่มีทุน 5 ล้านบาท และราย ได้รวม 20 ล้านบาท และสินทรัพย์รวม 20 ล้านบาท 4. พระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547 ออกมาใช้ แทนกฎหมายฉบับใด ก. พ.ร.บ. การบัญชี พ.ศ. 2543 ข. พ.ร.บ. ผู้สอบบัญชี พ.ศ. 2505 ค. ประกาศของคณะปฏิบัติฉบับที่ 285 พ.ศ.2515 ง. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 5. ตามพระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547กำ หนดวิชาชีพ ด้านใดบ้างที่ต้องถูกควบคุม ก. ด้านทำ บัญชี ข. ด้านการทำ บัญชี ด้านการสอบบัญชี ค. ด้านการทำ บัญชี ด้านการสอบบัญชี ด้าน การบัญชีบริหาร ง. ด้านการทำ บัญชี ด้านการสอบบัญชี ด้านการบัญชี บริหาร ด้านการวางระบบบัญชี 6. ข้อใดไม่ถูกต้อง ก. ผู้สอบบัญชีต้องเป็นสมาชิกสามัญหรือ วิสามัญของสภาวิชาชีพบัญชี ข. นิติบุคคลที่ให้บริการด้านการทำ บัญชีหรือสอบบัญชี ต้อง จดทะเบียนต่อสภาวิชาชีพบัญชี ค. สภาวิชาชีพบัญชีเป็นองค์กรอิสระที่จัดตั้ง ขึ้นตาม พ.ร.บ. วิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547 7. ข้อใดถูกต้อง ก. ผู้สอบบัญชีอนุญาตต้องมีสัญชาติไทยเท่านั้น ข. ผู้สอบบัญชีภาษีอากรสามารถตรวจสอบและรับรองงบการเงิน เพื่อเสียภาษีได้เฉพาะห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีทุนไม่เกิน 5 ล้านบาท และสินทรัพย์รวมไม่เกิน 5 ล้านบาท รายได้รวม ไม่เกิน 30 ล้านบาท ค. ผู้ที่จะเป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากรต้องผ่านการฝึกหัดงาน ด้านวิชาชีพบัญชีไม่น้อยกว่า 3 ปี 3,000 ชั่วโมง ง. ผู้ที่เป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาตต้องผ่านการฝึกงาน และผ่านการทดสอบ 5 วิชา 8. การที่คู่สมรสของผู้สอบบัญชีเป็นกรรมการของบริษัท ที่ผู้สอบตรวจสอบถือว่าผิดจรรยาบรรณ ของผู้สอบบัญชีในเรื่องใด ก. ความโปร่งใส ความเป็นอิสระ ความเที่ยงธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต ข. ความรู้ ความสามารถ และมาตรฐานในการปฏิบัติงาน ค. ความรับผิดชอบต่อผู้รับบริการ ง. ความรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้น 9. การที่ผู้สอบบัญชีเรียกค่าธรรมเนียมการสอบ บัญชีจากการที่กิจการมีความ ซับซ้อนและปริมาณธุรกิจมากขึ้นถือว่าเป็นการผิดจรรยาบรรณหรือไม่ ก. ผิดจรรยาบรรณ เพราะเป็นการกำ หนด ค่าธรรมเนียมหรือค่าตอบแทนโดยถือเอาอัตราสูงต่ำ ของยอดเงินหรือของมูลค่า ทรัพย์สินใดที่ตนสอบบัญชี หรือมีส่วนร่วมในการสอบบัญชีเป็นเกณฑ์ ง. ผู้ที่จบการศึกษาด้านการบัญชีทุกคนต้อง เป็นสมาชิกของสภาวิชาชีพบัญชี 10. ข้อใดผิดจรรยาบรรณของผู้สอบบัญชี ก. ผู้สอบบัญชีแจ้งชื่อ คุณวุฒิ ที่อยู่ ในสมุดโทรศัพท์ ข. ผู้สอบบัญชีรับงานตรวจสอบบริษัทที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการ บันทึกบัญชีโดยไม่มีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ ค. ผู้สอบบัญชีรับเชิญไปเป็นวิทยากรบรรยายให้ความรู้ทาง วิชาชีพ ง. ผู้สอบบัญชีพิจารณารับงานใหม่ โดยทำ หนังสือติดต่อกับผู้สอบ บัญชีเดิม เพื่อสอบถามผู้สอบบัญชีเดิมว่ามีเหตุผลทางจรรยาบรรณ วิชาชีพประการใดหรือไม่ที่ ควรนำ มาพิจารณาในการรับงานสอบบัญชี คำ ถามท้ายหน่วยที่ 2 จงทำ เครื่องหมายกากบาท (X) ลงหน้าข้อที่ถูกต้องที่สุด แบบฝึกหัด ข.ผิดจรรยาบรรณเพราะปฏิบัติงานความรู้ ความสามารถในการปฏิบัติงาน ค. ไม่ผิดจรรยาบรรณ เพราะคิดค่าธรรมเนียมจากความซับซ้อนของธุรกิจ และปริมาณงาน ที่มากขึ้น ง. ไม่ผิดจรรยาบรรณ เพราะไม่ได้ปฏิบัติงานเกินความรู้ ความสามารถในการ ปฏิบัติงาน
สมรรถนะการเรียนรู้ หลักฐานการสอบ บัญชี หลักฐานการสอบบัญชี สาระการเรียนรู้ 1. ความหมายของหลักฐานการสอบบัญชี 2. วิธีการตรวจสอบเพื่อให้ได้มาซึ่งหลักฐานการสอบ บัญชี 3. หลักฐานการสอบบัญชีที่เหมาะสมอย่างเพียงพอ 4. วิธีการตรวจสอบที่ใช้ในการสอบบัญชี 1. บอกความหมายของหลักฐานการสอบ บัญชีได้อธิบายวิธีการตรวจสอบเพื่อให้ได้มา ซึ่งหลักฐานการสอบบัญชีได้ 3. อธิบายหลักฐานการสอบบัญชีที่เหมาะ สมอย่างเพียงพ่อได้ 4. อธิบายวิธีการตรวจสอบที่ใช้ในการสอบ บัญชีได้ แผนผังความคิด (MIND MAPPING) ความหมายของหลักฐาน การสอบความบัญชี วิธีการตรวจสอบเพื่อให้ได้มาซึ่ง หลักฐานการสอบบัญชี หลักฐานการสอบบัญชีที่ เหมาะสมอย่างเพียงพอ วิธีการตรวจสอบที่ใช้ ในการสอบบัญชี
หลักฐานการสอบบัญชี สาระสำ คัญ ในการปฏิบัติงานสอบบัญชีเพื่อแสดงความเห็นต่องบการเงิน ผู้สอบบัญชีควรออกแบบและใช้ วิธีการตรวจสอบเพื่อให้สามารถได้มาซึ่งหลักฐานการสอบบัญชีที่เหมาะสมอย่างเพียงพอ เพื่อให้ผู้ สอบบัญชีสามารถได้ข้อสรุปอย่างสมเหตุสมผลในการแสดงความเห็นของผู้สอบบัญชี ในการ ออกแบบและใช้วิธีการตรวจสอบ ผู้สอบบัญชีต้องพิจารณาถึงความเกี่ยวข้องและความน่าเชื่อถือของ ข้อมูลที่จะใช้เป็นหลักฐานการสอบบัญชีเพื่อสนับสนุนสิ่งที่ผู้บริหารรับรองได้เกี่ยวกับงบการเงิน เนื่องจากในการปฏิบัติงานตรวจสอบงบการเงินผู้สอบ บัญชีไม่ได้ตรวจสอบเอกสารทั้งหมด แต่จะใช้ วิธีการเลือกตัวอย่างมาทดสอบและประเมินหลักฐานที่ได้จากการตรวจสอบ ดังนั้น ผู้สอบบัญชีจึง ต้องมีความรู้เกี่ยวกับวิธีการรวบรวมหลักฐานและการเลือกใช้วิธีที่เหมาะสมเพื่อทำ ให้ได้หลักฐานที่ เชื่อถือได้ มาตรฐานการสอบบัญชี รหัส 500 เรื่องหลักฐานการสอบบัญชี ให้ความหมายของหลักฐาน การสอบบัญชีไว้ดังนี้ หลักฐานการสอบบัญชี (AUDIT EVIDENCE) หมายถึง ข้อมูลที่ผู้สอบบัญชีใช้เพื่อให้ได้ข้อสรุปในการ แสดงความเห็นของผู้สอบบัญชี หลักฐานการสอบบัญชียังรวมถึงข้อมูลที่เกี่ยวเนื่องกับบันทึกทาง บัญชีที่ใช้ในการ จัดทำ งบการเงิน และข้อมูลอื่น ๆ บันทึกทางบัญชี หมายถึง การบันทึกรายการทางบัญชีครั้งแรก และเอกสารที่สนับสนุนการ บันทึกทาง บัญชี เช่น เช็ค และบันทึกการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ใบกำ กับภาษี หนังสือสัญญา บัญชีแยกประเภททั่วไป และบัญชีย่อย สมุดรายวันทั่วไปต่าง ๆ เช่น กระดาษทำ การแสดงการจัดสรร ต้นทุน การคำ นวณ การกระทบยอด และการเปิดเผยข้อมูล 1. ความหมายของหลักฐานการสอบบัญชี หลักฐานการสอบบัญชีเป็นสิ่งจำ เป็นที่ใช้สนับสนุนความเห็นและรายงานของผู้สอบบัญชี หลักฐานการสอบบัญชีต้องมีการรวบรวมและได้รับจากวิธีการตรวจสอบในระหว่างการตรวจสอบ 2. วิธีการตรวจสอบเพื่อให้ได้ซึ่งหลักฐานการสอบบัญชี
มาตรฐานการสอบบัญชี รหัส 500 เรื่องหลักฐานการสอบบัญชี กล่าวถึงวิธีการปฏิบัติเพื่อ ให้ได้มาซึ่งหลักฐานการสอบบัญชีว่าอาจได้มาโดยใช้วิธีหนึ่งหรือหลายวิธีดังต่อไปนี้ 1. การตรวจสอบ (INSPECTION) 2. การสังเกตการณ์ (OBSERVATION) 3. การขอคำ ยืนยันจากบุคคลภายนอก (CONFIRMATION) 4 การทดสอบการคำ นวณ (CALCULATION) 5. การปฏิบัติช้ำ (REPERFORMANCE) 6. การวิเคราะห์เปรียบเทียบ (ANALYTICAL PROCEDURE) 7.การสอบถาม (INQUIRY) 1. การตรวจสอบ (INSPECTION) การตรวจอาจแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ (1) การตรวจสอบบันทึกทางการบัญชี หรือเอกสาร การตรวจสอบเกี่ยวข้องกับการ ตรวจสอบบันทึกหรือเอกสารหลักฐาน ไม่ว่าจะเป็นการจัดทำ จากภายในหรือจากภายนอกกิจการ ซึ่งอยู่ใน รูปแบบของกระดาษ รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือสื่ออื่นๆ ได้แก่ การตรวจสอบเอกสารใบสำ คัญ (VOUCHING) เป็นการตรวจสอบรายการจากบันทึกทางการบัญชีกับเอกสารใบสำ คัญ เช่น การตรวจ รายการขายในสมุดรายวันขายกับใบกำ กับสินค้า การตรวจรายการซื้อทรัพย์สินในทะเบียนคุมสินทรัพย์กับ สัญญาซื้อขายทรัพย์สินและใบเสร็จรับเงินจากผู้ขาย เป็นต้น และการติดตามรายการ (TRACING) เป็นการตรวจสอบเอกสารตามรายการที่สุ่มขึ้นมาว่ามีการบันทึกรายการบัญชีตามเอกสารหรือไม่ เช่นการ เลือกสัญญากู้ยืมเงิน หรือรายการค่าใช้จ่ายที่มีสาระสำ คัญเพื่อติดตามว่ามีการบันทึกบัญชี และ ผ่านรายการ ไปบัญชีแยกประเภททั่วไปหรือไม่ การตรวจสอบบันทึกและเอกสารให้หลักฐานการสอบบัญชีที่มีความน่าเชื่อถือใน ระดับต่าง ๆ กัน ขึ้นอยู่กับลักษณะและแหล่งที่มาในกรณีที่เป็นบันทึกและเอกสารหลักฐานภายใน ความ น่า เชื่อถือยังขึ้นอยู่กับความมีประสิทธิผลของการควบคุมภายในในการจัดทำ เอกสารด้วย ตัวอย่างของการ ตรวจสอบที่ใช้เป็นการทดสอบการควบคุมภายใน ได้แก่ การตรวจสอบบันทึกเพื่อให้ได้หลักฐานการอนุมัติ รายการ (2) การตรวจสินทรัพย์ที่มีตัวตน (COUNTING) เป็นการตรวจนับทางกายภาพ อาจให้ หลักฐานการสอบบัญชีที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับความมีอยู่จริง แต่ไม่ได้แสดงถึงสิทธิและภาระผูกพันของ กิจการ หรือมูลค่าของสินทรัพย์นั้น เช่น การตรวจนับรถยนต์เป็นเพียงหลักฐานว่ารถยนต์ มีอยู่จริงแต่มิได้ให้หลัก ฐานว่ากิจการเป็นเจ้าของรถยนต์คันนั้น ต้องใช้วิธีการตรวจสอบอื่นเพิ่มเติมในการพิสูจน์ความเป็นเจ้าของ เช่น การตรวจทะเบียนรถยนต์ สัญญาซื้อขาย หรือสัญญาเช่าซื้อ เพื่อให้ได้หลักฐานในเรื่องสิทธิและภาระ ผูกพันของสินทรัพย์นั้น 2. การสังเกตการณ์ (OBSERVATION) การสังเกตการณ์ ประกอบด้วยการดูกระบวนการหรือขั้นตอนที่ผู้อื่นกระทำ เช่น ผู้สอบบัญชีสังเกตการณ์การตรวจนับสินค้าที่กระทำ โดยพนักงานของบริษัท หรือการสังเกตการณ์การปฏิบัติ ตามการควบคุมภายใน การสังเกตการณ์ให้หลักฐานการสอบบัญชีเกี่ยวกับผลการปฏิบัติตามขั้นตอนหรือวิธี การแต่มีข้อจำ กัดเฉพาะ ณ ช่วงเวลาที่ทำ การสังเกตการณ์เท่านั้น โดยข้อเท็จจริง ที่ว่าการสังเกตการณ์การ ปฏิบัติดังกล่าว อาจมีผลกระทบต่อขั้นตอนหรือวิธีการปฏิบัติงานที่กระทำ
ผู้สอบบัญชีอาจใช้การสังเกตการณ์ได้ในทุกขั้นตอนของการตรวจสอบ เช่น การสังเกตการณ์การตรวจ นับสินค้า คงเหลือของพนักงานของกิจการ การเยี่ยมชมโรงงานเพื่อดูกระบวนการผลิต การสังเกตการปฏิบัติตามระบบการ ควบคุมภายในของพนักงานของกิจการ เป็นต้น การสังเกตการณ์ให้หลักฐานการสอบบัญชีเกี่ยวกับผลการปฏิบัติ ตามขั้นตอนหรือวิธีการ แต่มีข้อจำ กัดเฉพาะ ณ ช่วงเวลาที่ทำ การ สังเกตการณ์เท่านั้น หลักฐานที่ได้จากการ สังเกตคือการจดบันทึกของผู้สอบบัญชีในกระดาษทำ การในเรื่องที่เป็นสาระสำ คัญที่ได้จากการสังเกตการณ์ อาจ ไม่ให้หลักฐานที่สมบูรณ์ในตัวเอง หลักฐานที่ได้จึงเป็นเพียงหลักฐานประกอบ ดังนั้น ผู้สอบบัญชีจึงควรหาหลัก ฐานอื่นเพิ่มเติม 3.. การขอคำ ยืนยันจากบุคคลภายนอก (CONFIRMATION) การขอคำ ยืนยันจากบุคคลภายนอก เป็นหลักฐานการสอบบัญชีที่ผู้สอบบัญชีได้รับ โดยตรงในรูปของเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรจากบุคคลภายนอก (ผู้ให้คำ ยืนยัน) ในรูปแบบของกระดาษ หรือ อิเล็กทรอนิกส์ หรือสื่ออื่น ๆ วิธีการขอคำ ยืนยันจากบุคคลภายนอกมักใช้กับการยืนยันสิ่งที่ผู้บริหารให้การรับรองที่เป็นยอดคง เหลือทางบัญชีและข้อมูลประกอบบัญชีนั้น การขอคำ ยืนยันโดยทั่วไปผู้ให้คำ ยืนยันมักเป็นบุคคลภายนอกที่มี ความเป็นอิสระ ดังนั้น การขอคำ ยืนยันจึงมีความน่าเชื่อถือมากกว่าหลักฐานที่มีการจัดทำ ขึ้นภายในกิจการ เช่น การส่งหนังสือขอคำ ยืนยันยอดจากลูกหนี้ การขอข้อมูลจากธนาคาร เป็นต้น การขอคำ ยืนยันยอดควรให้ผู้บริหาร ของกิจการเป็นผู้จัดทำ หนังสือยืนยันยอด เนื่องจากเป็นผู้รับผิดชอบต่อ ข้อมูลของกิจการ โดยผู้สอบบัญชีจะเป็น ผู้ส่งหนังสือยืนยันด้วยตนเองหรือควบคุมการจัดส่งหนังสือยืนยันยอดไปยังบุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้อง และควรส่ง ซองให้ตอบกลับมายังผู้สอบบัญชีโดยตรง ภาพที่ 3.1 แสดงวิธีการส่งหนังสือยืนยันยอด 4. การทดสอบการคำ นวณ (CALCULATION) การทดสอบการคำ นวณ ประกอบด้วย การตรวจสอบความถูกต้องของตัวเลขในเชิง คำ นวณในเอกสารและบันทึกทางการบัญชีต่าง ๆ การทดสอบการคำ นวณสามารถทำ ได้ทั้งด้วยมือและทาง อิเล็กทรอนิกส์ เช่น การทดสอบการบวกเลขในรายละเอียดสินค้าคงเหลือ การทดสอบการคำ นวณ ค่าเลื่อมราคา การคำ นวณค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ เป็นต้น หลักฐานที่ได้จะเป็นผลพิสูจน์ความถูกต้องของการคำ นวณตัวเลขตาม บัญชี หรือตามรายละเอียดต่าง ๆ แต่ไม่ได้พิสูจน์แหล่งที่มาของตัวเลขนั้น คือการที่ผู้สอบบัญชีปฏิบัติโดยอิสระ ตามวิธีหรือตามการควบคุมภายในที่กิจการปฏิบัติ ผู้สอบบัญชี บุคคลภายนอก หนังสือยืนยันยอด กิจการที่ตรวจสอบ 1.ผู้สอบบัญชีขอให้กิจการทำ หนังสือ ยืนยันยอดในนามของกิจการ 3.บุคคลภายนอกส่งกลับ ให้ผู้สอบบัญชีโดยตรง 2.ผู้สอบบัญชีควบคุม การจัดส่ง
5. การปฏิบัติซ้ำ (REPERFORMANCE) การปฏิบัติช้ำ เป็นการที่ผู้สอบบัญชีปฏิบัติโดยอิสระตามขั้นตอนหรือตามการควบคุม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการควบคุมภายในของกิจการ 6.การวิเคราะห์เปรียบเทียบ (ANALYTICAL PROCEDURE) การวิเคราะห์เปรียบเทียบ ประกอบด้วย การประเมินข้อมูลทางการเงินโดยการวิเคราะห์ ความสัมพันธ์ที่มีเหตุผลระหว่างข้อมูลทางการเงินและข้อมูลที่ไม่ใช่ข้อมูลทางการเงิน การวิเคราะห์ อัตราส่วนและแนวโน้มที่สำ คัญ รวมทั้งการตรวจสอบผลของการเปลี่ยนแปลงและความสัมพันธ์ ซึ่งไม่ สอดคล้องกับข้อมูลที่เกี่ยวข้องอื่น หรือเบี่ยงเบนไปจากจำ นวนที่คาดการณ์ไว้ เช่น การวิเคราะห์เปรียบ เทียบยอดขาย ต้นทุนขาย กำ ไรขั้นต้นปีปัจจุบันเปรียบเทียบกับปีก่อน การวิเคราะห์เปรียบเทียบการ เปลี่ยนแปลงในส่วนของผู้ถือหุ้นว่ามีการเพิ่มทุนหรือลดทุนในระหว่างปีหรือไม่ เป็นต้น การวิเคราะห์ เปรียบเทียบยังรวมถึงการสอบสวนตามความจำ เป็นของการเปลี่ยนแปลงและความสัมพันธ์ที่ระบุได้ ซึ่งไม่ สอดคล้องกับข้อมูลที่เกี่ยวข้องอื่น หรือที่แตกต่างไปจากจำ นวนที่คาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำ คัญ การวิเคราะห์เปรียบเทียบมุ่งให้ได้หลักฐานเบื้องต้นว่ามีรายการผิดปกติ ข้อมูลที่ไม่สัมพันธ์ กันรายการใดบ้าง ดังนั้น จึงเป็นเพียงวิธีการที่ไม่ใช่ผลลัพธ์ ผู้สอบบัญชีต้องใช้วิธีการตรวจสอบอื่นเพื่อให้ ได้ข้อสรุปว่าข้อมูลที่ผิดปกติ หรือไม่สัมพันธ์กันนั้นมีผลกระทบต่องบการเงินอย่างไร การวิเคราะห์เปรียบ เทียบใช้ได้สำ หรับการตรวจสอบเนื้อหาสาระเท่านั้น 7. การสอบถาม (INQUIRY) การสอบถาม ประกอบด้วย การหาข้อมูลทางการเงินและข้อมูลที่ไม่ใช่ข้อมูลทางการเงิน จากบุคคลที่มีความรู้ทั้งภายในและภายนอกกิจการ การสอบถามเป็นวิธีการตรวจสอบวิธีหนึ่ง ที่ใช้กัน อย่างมากตลอดการตรวจสอบ โดยใช้ประกอบวิธีการตรวจสอบอื่น การสอบถามอาจทำ ได้ทั้งการ สอบถามอย่างเป็นทางการที่เป็นลายลักษณ์อักษรและการสอบถามด้วยวาจาอย่างไม่เป็นทางการ โดยการ ประเมินคำ ตอบที่ได้รับจากการสอบถามถือเป็นส่วนหนึ่งของวิธีการสอบถามด้วยคำ ตอบที่ได้รับจากการ สอบถามอาจทำ ให้ผู้สอบบัญชีได้รับข้อมูลซึ่งไม่เคยได้รับมาก่อน หรือได้รับข้อมูลที่สอดคล้องกับหลักฐาน การสอบ บัญชีอื่น ในทางกลับกัน คำ ตอบที่ได้รับอาจให้ข้อมูลที่แตกต่างอย่างมากจากข้อมูลอื่นที่ผู้สอบ บัญชีได้รับมาก่อน ตัวอย่างเช่น ข้อมูลที่เกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่ผู้บริหารจะไม่ปฏิบัติตามการควบคุม ใน บางกรณีคำ ตอบที่ได้รับอาจทำ ให้ผู้สอบบัญชีต้องปรับปรุงวิธีการตรวจสอบที่ใช้หรือใช้วิธีการตรวจสอบอื่น เพิ่มเติม ถึงแม้ว่าการสอบถามอาจให้หลักฐานการสอบบัญชีที่สำ คัญ และอาจให้หลักฐานของการแสดง ข้อมูลที่ขัดต่อ ข้อเท็จจริง แต่การสอบถามเพียงอย่างเดียว โดยปกติไม่ได้ให้หลักฐานการสอบบัญชีที่เพียง พอสำ หรับการขาดหลักฐานที่เป็นรูปธรรมของการแสดงข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงอย่างมีสาระสำ คัญใน ระดับที่ผู้บริหารให้การรับรอง หรือความไม่มีประสิทธิผลของการควบคุมภายใน ในการเลือกใช้วิธีการปฏิบัติห้ได้มาซึ่งหลักฐานการตรวจสอบนั้น ผู้สอบบัญชีอาจต้องใช้วิธีการ ตรวจสอบหลายวิธีในการตรวจรายการบัญชีใดบัญชีหนึ่ง เพื่อให้ได้มาซึ่งหลักฐานการสอบบัญชีที่เหมาะ สมอย่างเพียงพอ เพื่อให้ผู้สอบบัญชีสามารถได้ข้อสรุปอย่างมีเหตุผลในการแสดงความเห็นของ ผู้สอบ บัญชี
มาตรฐานการสอบบัญชี รหัส 200 เรื่องวัตถุประสงค์โดยรวมของผู้สอบบัญชีรับอนุญาตและการ ปฏิบัติงานตรวจสอบตามมาตรฐานการสอบบัญชี กล่าวว่าผู้สอบบัญชีจะได้รับความเชื่อมั่นอย่างมีเหตุผล เมื่อผู้สอบบัญชีได้รับหลักฐานการสอบบัญชีที่เหมาะสมอย่างเพียงพอ เพื่อลดความเสี่ยงในการสอบบัญชี ซึ่ง เป็นความเสี่ยงที่ผู้สอบบัญชีแสดงความเห็นที่ไม่เหมาะสมต่องบการเงินที่แสดงข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริง อัน เป็นสาระสำ คัญให้อยู่ในระดับต่ำ ที่ยอมรับได้ มาตรฐานการสอบบัญชี รหัส 500 เรื่องหลักฐานการสอบบัญชี กำ หนดให้ผู้สอบบัญชีต้อง ออกแบบและใช้วิธีการตรวจสอบที่เหมาะสมในแต่ละสถานการณ์ เพื่อให้ได้มาซึ่งหลักฐานการสอบบัญชีที่ เพียงพอและเหมาะสม นอกจากนั้น มาตรฐานการสอบบัญชี รหัส 330 ยังกำ หนดให้ผู้สอบบัญชีต้องสรุปว่า ได้รับหลักฐานการสอบบัญชีที่เพียงพอและเหมาะสมหรือไม่ ทั้งนี้ การตัดสินว่าผู้สอบบัญชีได้รับหลักฐาน การสอบบัญชีที่เหมาะสมอย่างเพียงพอเพื่อลดความเสี่ยงในการสอบบัญชีให้อยู่ในระดับตำที่ยอมรับได้และ เพื่อให้ผู้สอบบัญชีได้ข้อสรุปที่มีเหตุผล ในการแสดงความเห็นหรือไม่นั้นถือเป็นเรื่องของการตัดสินใจเยี่ยงผู้ ประกอบวิชาชีพ ในการพิจารณาหลักฐานการสอบบัญชีที่เหมาะสมอย่างเพียงพอ มาตรฐานการสอบบัญชีได้ให้ ความหมาย ดังนี้ ความเพียงพอของหลักฐาน (SUFFICIENCY OF EVIDENTIAL MATTER) หมายถึง การวัด ปริมาณของหลักฐานการสอบบัญชี ซึ่งการประเมินความเสี่ยงจากการแสดงข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงอันเป็น สาระสำ คัญของผู้สอบบัญชี และคุณภาพของหลักฐานการสอบบัญชี ต่างมีผลกระทบต่อปริมาณของหลัก ฐานการสอบบัญชีที่ต้องการ ความเหมาะสมของหลักฐาน (COMPETENCE OF EVIDENTIAL MATTER) หมายถึง การวัด คุณภาพของหลักฐานการสอบบัญชี ว่ามีความเกี่ยวข้องและความน่าเชื่อถือเพื่อใช้สนับสนุนข้อสรุปในการ แสดงความเห็นของผู้สอบบัญชี -ความเกี่ยวข้อง (RELEVANCE) คือความเชื่อมโยงกันอย่างมีเหตุผล หรือผลกระทบ ของวัตถุประสงค์ของวิธีการตรวจสอบ และสิ่งที่ผู้บริหารให้การรับรองซึ่งอยู่ในการพิจารณาหากมีความ เหมาะสม ความเกี่ยวข้องของข้อมูลที่ใช้เป็นหลักฐานการสอบบัญชีอาจได้รับผลกระทบจากการกำ หนด แนวทางของการตรวจสอบ -ความน่าเชื่อถือ (RELIABILIY) ความน่าเชื่อถือของหลักฐานการสอบบัญชีขึ้นอยู่กับ แหล่งที่มาและลักษณะของหลักฐานนั้น และขึ้นอยู่กับสถานการณ์เฉพาะที่ได้รับหลักฐานนั้น มาตรฐานการสอบบัญชี รหัส 500 ยังได้กำ หนดแนวทางในการพิจารณาความเชื่อถือได้ของหลัก ฐานการสอบบัญชีไว้ดังนี้ (1)หลักฐานจะมีความน่าเชื่อถือมากขึ้นเมื่อได้รับจากแหล่งที่มาจากภายนอกที่เป็นอิสระ จากกิจการ (2) หลักฐานการสอบบัญชีภายในกิจการมีความน่าเชื่อถือมากขึ้นถ้ากิจการมีระบบบัญชีและระบบการ ควบคุมภายในที่มีประสิทธิผล 3.หลักฐายการสอบบัญชีที่เหมาะสมอย่างเพัยงพอ
(3) หลักฐานการสอบบัญชีที่ผู้สอบบัญชีได้รับโดยตรง เช่น การสังเกตการณ์การปฏิบัติตามการ ควบคุม ย่อมมีความน่าเชื่อถือมากกว่าหลักฐานที่ผู้สอบบัญชีไม่ได้รับเองโดยตรง (4) หลักฐานการสอบบัญชีในรูปของเอกสาร ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของกระดาษ อิเล็ก-ทรอนิกส์ หรือสื่ออื่น ๆ จะมีความน่าเชื่อถือมากกว่าหลักฐานที่ได้รับทางวาจา เช่น การบันทึกผลการประชุมเป็น ลายลักษณ์อักษร มีความน่าเชื่อถือมากกว่าคำ รับรองด้วยวาจาเกี่ยวกับเนื้อหาการประชุม (5) หลักฐานการสอบบัญชีที่เป็นเอกสารต้นฉบับ มีความน่าเชื่อถือมากกว่าภาพถ่ายเอกสารหรือ กระดาษโทรสาร หรือเอกสารที่มาจากฟิล์มภาพถ่าย เอกสารดิจิตอล หรือหลักฐานที่ถูกเปลี่ยนให้อยู่ในรูป แบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งความน่าเชื่อถือนั้นขึ้นอยู่กับการควบคุมภายในของการจัดทำ และรักษาเอกสารนั้น ความเพียงพอและความเหมาะสมของหลักฐานการสอบบัญชีมีความเกี่ยวข้องกัน โดยความเพียง พอเป็นการวัดปริมาณของหลักฐานการสอบบัญชี ซึ่งปริมาณของหลักฐานการสอบบัญชีที่จำ เป็น ต้องได้ รับนั้น มาจากการประเมินความเสี่ยงของผู้สอบบัญชีต่อการแสดงข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงความเสียงที่ ประเมินได้ยิ่งสูง ปริมาณหลักฐานการสอบบัญชีที่ต้องการก็มากขึ้น และจากคุณภาพของหลักฐานการสอบ บัญชีเหล่านั้น หลักฐานยิ่งมีคุณภาพสูง ปริมาณหลักฐานการสอบบัญชีที่ต้องการอาจน้อยลง อย่างไรก็ตาม การได้รับหลักฐานการสอบบัญชีที่มากขึ้น อาจไม่ทดแทนได้หากหลักฐาน ที่ได้รับนั้นมีคุณภาพต่ำ ส่วน ความเหมาะสมเป็นการวัดคุณภาพของหลักฐานการสอบบัญชีว่ามีความ สัมพันธ์กันและความเชื่อถือได้ ในการตรวจสอบงบการเงิน วิธีการตรวจสอบที่ใช้ในการสอบบัญชีเพื่อให้ได้มาซึ่งหลักฐานการสอบ บัญชี ผู้สอบบัญชีอาจใช้วิธีการตรวจสอบ เพื่อใช้เป็นข้อสรุปอย่างมีเหตุผลเพื่อแสดงความเห็น ต่องบการ เงิน ประกอบด้วย ก. วิธีการประเมินความเสี่ยง (เนื้อหาอยู่ในบทที่ 4) ข. วิธีการตรวจสอบ ประกอบด้วย 1. การทดสอบการควบคุม (TEST OF CONTROL) 2. การตรวจสอบเนื้อหาสาระ (SUBSTANTIVE PROCEDURES) 1. การทดสอบการควบคุม (TEST OF CONTROL) หมายถึง การออกแบบการทดสอบเพื่อ ประเมินความมีประสิทธิผลของการควบคุมในการป้องกัน การตรวจพบ และการแก้ไขการแสดงข้อมูล ที่ ขัดต่อข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำ คัญในระดับที่เกี่ยวกับสิ่งที่ผู้บริหารได้ให้การรับรองไว้วิธีการที่ผู้สอบ บัญชี ใช้ในการทดสอบการควบคุม ได้แก่ (1) การสอบถาม ได้แก่ การสอบถามผู้บริหาร พนักงาน ผู้ควบคุมงาน และพนักงานเกี่ยวกับ ขั้น ตอนของการปฏิบัติงาน ตลอดจนการอ้างอิงเอกสาร เช่น คู่มือการปฏิบัติงาน ผังการปฏิบัติงานเป็นต้น การสอบถามอาจจัดทำ เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับการควบคุมภายในในแต่ละวงจรของกิจกรรม ต่าง ๆ ใน การตั้งคำ ถามผู้ประเมินต้องเข้าใจคำ ถามเป็นอย่างดี มิฉะนั้น จะไม่พบข้อบกพร่อง ที่มีนัย 4.วิธีการตรวจสอบที่ใช้ในการสอบบัญชี
สำ คัญ ผู้ประเมินเป็นผู้ถามตามแบบสอบถาม คำ ตอบว่าไม่มีหรือไม่ใช่ หมายถึง มิได้ปฏิบัติตามคำ ถามแสดงถึงจุดอ่อนของระบบการ ควบคุมภายในซึ่งควรทดสอบและหาสาเหตุ และพิจารณาว่ามีการควบคุม อื่นทดแทนหรือไม่ ข้อบกพร่องหรือจุดอ่อนของการควบคุม ภายในดังกล่าว จะนำ ไปพิจารณาว่ามีนัยสำ คัญหรือไม่ต่อไป ส่วนคำ ตอบว่าไม่มีกิจกรรมเกี่ยวกับเรื่องที่ถามแสดงถึงการออกแบบสอบถามที่ ไม่มีประสิทธิภาพ ผู้จัดทำ ควรระวังในเรื่องนี้ ในแบบสอบถามควรมีช่องคำ อธิบาย/คำ ตอบ เพื่อจดข้อความ ว่าผู้ประเมินมีการทดสอบการ ปฏิบัติงานจริง หรือสังเกตการปฏิบัติงานจริงและมีการตรวจสอบเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องเพื่อทดสอบความถูกต้องของคำ ตอบที่ได้รับ จากการสอบถาม และเพื่อสรุปคำ ตอบการสอบถามเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอในการทดสอบความมีประสิทธิผลของการปฏิบัติตามการ ควบคุม ดังนั้น ผู้สอบบัญชีควรใช้วิธีการตรวจสอบอื่นร่วมกับการสอบถาม การสอบถามร่วมกับการตรวจสอบเอกสารหรือการปฏิบัติช้ำ ย่อมให้ความเชื่อมั่นมากกว่าการสอบถามและการสังเกตการณ์เนื่องจากการสังเกตการณ์จะสัมพันธ์กับจุดเวลาที่สังเกตการณ์เท่านั้น 2)การตรวจสอบเอกสาร เป็นการตรวจสอบเอกสารและบันทึกรายการบัญชี เพื่อใช้เป็น หลักฐานว่าการควบคุมมีการปฏิบัติอย่างถูกต้อง เช่น การตรวจสอบอนุมัติคำ สั่งซื้อของลูกค้า การตรวจสอบ การออกเลขที่เอกสาร การ ขายเรียงตามลำ ดับเลขที่เอกสาร เป็นต้น (3) การสังเกตการณ์ปฏิบัติงาน เป็นการเฝ้าดูวิธีการปฏิบัติงาน ในขณะที่พนักงานของ กิจการยังคงปฏิบัติงานอยู่ เช่น การสังเกต ขั้นตอนการควบคุมการตรวจนับสินค้าเมื่อมีการรับสินค้าการสังเกตการณ์แบ่งแยกหน้าที่การขายสินค้า การออกบิล และการส่งของ เป็นต้น (4) การปฏิบัติงานซ้ำ เป็นการปฏิบัติงานซ้ำ ตามวิธีที่พนักงานของกิจการปฏิบัติ เช่น การทดสอบรายการขายเชื่อทุกรายการ มีการ อนุมัติการให้สินเชื่อตามวงเงินที่ได้รับอนุมัติ ผู้สอบบัญชีจะทดลองปฏิบัติงานซ้ำ เพื่อให้แน่ใจว่าการขายเชื่อมีการอนุมัติตามวงเงินที่กำ หนด สำ หรับผู้มีอำ นาจในแต่ละระดับจริง ผู้สอบบัญชีต้องออกแบบการทดสอบการควบคุมและทดสอบการควบคุม เพื่อให้ได้หลักฐานการสอบบัญชีที่เพียงพอและเหมาะสม เกี่ยวกับความมีประสิทธิผลของการควบคุมที่เกี่ยวข้อง ในการทดสอบการควบคุมนั้น การสอบถามเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอเพื่อ ทดสอบความมีประสิทธิผลของการควบคุม ดังนั้น ผู้สอบบัญชีควรใช้วิธีการตรวจสอบอื่นร่วมกับการสอบถาม การสอบถามร่วมกับการ ตรวจสอบเอกสารหรือการปฏิบัติช้ำ ย่อมให้ความเชื่อมั่นมากกว่าการสอบถามและการสังเกตการณ์เนื่องจากการสังเกตการณ์จะสัมพันธ์กับ จุดเวลาที่สังเกตการณ์เท่านั้น 2.การตรวจสอบเนื้อหาสาระ (SUBSTANTIVE PROCEDURES) หมายถึง วิธีการตรวจสอบที่ถูกออกแบบเพื่อตรวจพบการ แสดงข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำ คัญในระดับที่เกี่ยวกับสิ่งที่ผู้บริหารได้ให้การรับรองไว้เกี่ยวกับงบการเงิน วิธีการตรวจสอบเนื้อหาสาระ ประกอบด้วย 1. การทดสอบรายละเอียดของประเภทของรายการ ยอดคงเหลือทางบัญชี และการ เปิดเผยข้อมูล 2. วิธีการวิเคราะห์เปรียบเทียบ 1. การทดสอบรายละเอียดของรายการและยอดคงเหลือและการเปิดเผยข้อมูล ประกอบด้วย (1) การทดสอบรายละเอียดของรายการ (TEST OF DETAIL OF TRANSACTION) เป็นการทดสอบรายการที่บันทึกในสมุดบัญชี ซึ่งสามารถตรวจสอบได้จากการตรวจเอกสารเบื้องต้น ที่ก่อให้เกิดรายการค้านั้น เช่น การ ทดสอบรายละเอียดรายการขายจากสมุดรายวันขายระหว่างงวดโดยตรวจสอบสำ เนาใบกำ กับสินค้า และใบส่งของที่มีลายเซ็นลูกค้า การ ตรวจสอบยอดรวมในสมุดรายวันซื้อกับบัญชีแยกประเภทซื้อ และบัญชีอื่นที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น (2) การทดสอบรายละเอียดของยอดคงเหลือ (TEST OF DETAIL OF BALANCES) เป็นการทดสอบที่ผู้สอบบัญชีใช้ เพื่อให้ได้หลักฐานเกี่ยวกับความถูกต้องของยอดคงเหลือในบัญชีแยกประเภททั่วไป เช่น การตรวจสอบ ยอดรวมของบัญชีลูกหนี้ในรายละเอียดจากบัญชีย่อยตรงกับยอดรวมของบัญชีแยกประเภท การขอคำ ยืนยันยอดลูกหนี้เพื่อทดสอบความมี อยู่จริงของลูกหนี้คงเหลือณ วันสิ้นงวด เป็นต้น 2. การวิเคราะห์เปรียบเทียบ (ANALYTICAL PROCEDURES) หมายถึง การวิเคราะห์อัตราส่วน และแนวโน้มต่าง ๆ ที่สำ คัญ รวมถึงการตรวจสอบผลของการเปลี่ยนแปลง และความสัมพันธ์ต่าง ๆ ที่ไม่สอดคล้องกับข้อมูลที่เกี่ยวข้อง การวิเคราะห์เปรียบเทียบโดยทั่วไปมักใช้สำ หรับรายการที่มีปริมาณมากที่สามารถคาดการณ์ได้ในช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่ง การวางแผนใน การใช้วิธีการวิเคราะห์เปรียบเทียบ ขึ้นอยู่กับการคาดการณ์เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลที่มีอยู่ และไม่มีสิ่งที่แสดงถึงการขัดแย้ง ของ ข้อมูล
วิธีการที่นิยมใช้ในการตรวจสอบเนื้อหาสาระ ได้แก่ (1) การตรวจสอบยอดยกมา ผู้สอบบัญชีควรตรวจสอบยอดยกมาของบัญชี สินทรัพย์ หนี้สินและทุน ว่าตรงกับงบการเงินงวดก่อนหรือไม่ (2) การตรวจสอบรายการระหว่างปี เป็นการตรวจสอบรายการที่มียอดเพิ่มขึ้นและ ลดลงระหว่างปี วิธีการตรวจสอบที่ใช้มักจะเป็นการตรวจสอบเอกสารใบสำ คัญ (VOUCHING) หรือการ ตรวจสอบบันทึกทางการบัญชีหรือการติดตามรายการ (TRACING) (3) การเปรียบเทียบยอดคงเหลือตามบัญชีคุมยอดกับบัญชีรายละเอียดประกอบ เป็นการพิสูจน์เบื้องต้นของยอดคงเหลือของบัญชีแยกประเภท ณ วันสิ้นงวด ว่าตรงกับรายละเอียดหรือไม่ หากไม่ตรงกันต้องติดตามหาสาเหตุ (4) การตรวจสอบความถูกต้องของรายละเอียดประกอบบัญชี เป็นการตรวจเพื่อให้ ทราบว่ารายการต่าง ๆ มีอยู่จริง วิธีการตรวจสอบที่ใช้ ได้แก่ การตรวจนับ การสังเกตการณ์ การตรวจดู และการยืนยันยอด (5) การตรวจสอบการบันทึกตามหลักการบัญชี เป็นการตรวจสอบว่ากิจการบันทึก ตามหลักการบัญชี และถือปฏิบัติเช่นเดียวกับปีก่อนหรือไม่ เช่น การตีราคาสินค้าคงเหลือ การบันทึกราคา ทุนของที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ การคิดค่าเสื่อมราคา การรับรู้รายได้และค่าใช้จ่าย (6) การตรวจดัดยอด (CUT-OFI) เป็นการตรวจเพื่อดูว่ารายการและเหตุการณ์ได้บันทึก ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ถูกต้อง โดยเฉพาะการบันทึกรายการบัญชีช่วงใกล้วันสิ้นงวดต่อเนื่อง ไปยังรายการ ต้นงวดบัญชีใหม่ เพื่อดูว่ารายการในบัญชีแยกประเภทและรายการที่เกิดขึ้นอยู่ในงวดบัญชีเดียวกันหรือไม่ เช่น การตรวจตัดยอดขาย เพื่อดูว่าการบันทึกบัญชีคุมยอดลูกหนี้ บัญชีขาย บัญชีลูกหนี้รายตัว การส่งของ และการบันทึกบัญชีคุมสินค้าอยู่ในงวดเดียวกันหรือไม่ การตรวจตัดยอดซื้อเพื่อดูว่าการบันทึกบัญชีคุมยอด เจ้าหนี้ บัญชีซื้อ บัญชีเจ้าหนี้รายตัว การรับของและการบันทึกบัญชีคุมสินค้าอยู่ในงวดเดียวกันหรือไม่ (7) การตรวจสอบรายการหลังวันสิ้นงวด เป็นการตรวจสอบรายการในงวดบัญชีใหม่ ต่อเนื่องกับงวดบัญชีที่ตรวจสอบ เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของยอดที่ปรากฏในงบการเงิน ณ วันสิ้นงวดเช่น การตรวจสอบการรับชำ ระหนี้ของลูกหนี้ในช่วงต้นปี หากมีการชำ ระหนี้แสดงว่าลูกหนี้รายนั้น มีอยู่จริง ณ วันสิ้นงวดบัญชี (8) การตรวจสอบประมาณการทางบัญชี เป็นการตรวจสอบข้อมูลและรายการ ใน งบการเงินที่เกิดจากการประมาณการทางบัญชีของผู้บริหารของกิจการว่าประมาณการทางการบัญชีมีความ สมเหตุสมผล และเปิดเผยข้อมูลอย่างเหมาะสมหรือไม่ เช่น ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ ประมาณการหนี้สินจาก การรับประกันคุณภาพสินค้า เป็นต้น วิธีที่ผู้สอบบัญชีใช้ในการตรวจสอบประมาณการทางบัญชีได้แก่ การ ทดสอบการคำ นวณที่เกี่ยวข้องกับการประมาณการ การเปรียบเทียบ ประมาณการงวดก่อน กับผลที่เกิดขึ้น จริง การประเมินความเหมาะสมของการประมาณการทางบัญชี (9) การตรวจสอบภาระผูกพันและหนี้สินที่อาจเกิดขึ้น เป็นการตรวจสอบเพื่อให้ทราบ ว่า รายการที่มี อยู่ในงบการเงินมีภาระผูกพันหรือภาระค้ำ ประกันหรือไม่ เช่น กิจการอาจนำ สินทรัพย์ไปค้ำ ประกันเงินกู้ยืม จากธนาคาร การมีคดีความถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย เป็นต้น ดังนั้น ผู้สอบ บัญชีควรสอบถามผู้บริหาร เกี่ยวกับภาระผูกพันการขอคำ ยืนยันจากบุคคลภายนอก
โดยทั่วไปกิจการที่มีขนาดใหญ่และขนาดกลาง ที่มีระบบการควบคุมภายในและมี การแบ่งแยกหน้าที่ชัดเจน ผู้สอบบัญชีจะใช้วิธีการทดสอบการควบคุมในการตรวจสอบ ระหว่างปี (INTERIM AUDIT)หากผลการตรวจสอบพบว่ามีระบบควบคุมภายในที่มี ประสิทธิภาพแล้ว ผู้สอบบัญชีจะลดขอบเขตการทำ งานตรวจสอบเนื้อหาสาระตอนสิ้นปี (FINAL AUDIT) หากเป็นกิจการขนาดเล็กที่ไม่มีระบบการควบคุมภายในที่ดี ผู้สอบบัญชีจะเน้นไป ตรวจสอบเนื้อหาสาระแทน สรุป หลักฐานการสอบบัญชี หมายถึง ข้อมูลซึ่งผู้สอบบัญชีได้รับและใช้สรุปเพื่อแสดง ความเห็นต่องบการเงิน หลักฐานการสอบบัญชีจะช่วยสนับสนุนสิ่งที่ผู้บริหารรับรองไว้ เกี่ยวกับงบการเงิน ผู้สอบบัญชีจะรวบรวมหลักฐานการสอบบัญชี โดยอาจใช้วิธีการตรวจ สอบวิธีใดวิธีหนึ่งหรือหลายวิธี เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์การตรวจสอบ ในการปฏิบัติงาน สอบบัญชีผู้สอบบัญชีต้องรวบรวมหลักฐานการสอบบัญชีที่เพียงพอและเหมาะสม เพื่อ สรุปความเห็นของผู้สอบบัญชีได้อย่างสมเหตุสมผล องค์ประกอบที่ทำ ให้หลักฐานการสอบ บัญชีมีความเทียงพอและเหมาะสม ได้แก่ ปริมาณของหลักฐาน รวมทั้งความเกี่ยวพันและ ความเชื่อถือได้ของหลักฐาน วิธีการตรวจสอบงบการเงิน แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ การ ทดสอบการควบคุมและการตรวจสอบเนื้อหาสาระ การทดสอบการควบคุม เป็นวิธีที่ใช้ใน การตรวจสอบ เพื่อให้ได้หลักฐาน ที่ทำ ให้ผู้สอบบัญชีมีความเชื่อมั่นว่าระบบบัญชีและ ระบบการควบคุมภายในมีประสิทธิผล วิธีที่ผู้สอบ บัญชีใช้ในการทดสอบการควบคุม ได้แก่ การสอบถาม การตรวจสอบเอกสารและบันทึกรายการทาง บัญชี การสังเกตการณ์ การปฏิบัติงาน และการปฏิบัติซ้ำ เกี่ยวกับการควบคุมภายใน ส่วนการตรวจสอบเนื้อหา สาระเป็นการทดสอบเพื่อให้ได้หลักฐานการสอบบัญชี ที่ทำ ให้ตรวจพบการแสดงข้อมูลที่ ขัด ต่อข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำ คัญในงบการเงิน โดยผู้สอบบัญชีจะมุ่งทิสูจน์ความถูก ต้องของรายการและมูลค่าที่แสดงไว้หรือตามที่ปรากฏในงบการเงิน ซึ่งรวมถึงการทิสูจน์ ความถูกต้องของข้อมูลและ ตัวเลขต่าง ๆ ที่แสดงไว้ในหมายเหตุประกอบงบการเงิน
1. ผู้สอบบัญชีรวบรวมหลักฐานการสอบบัญชีเพื่อวัตถุประสงค์ใด ก. ประเมินการปฏิบัติงานของผู้บริหาร ข.ประเมินความเสี่ยงจากการควบคุม ค. เพื่อให้ตรวจพบการทุจริตที่เกิดขึ้นภายในกิจการ ง.เพื่อเป็นเกณฑ์สนับสนุนการแสดงความเห็นของผู้สอบบัญชี 2. การตรวจสอบใดที่ให้หลักฐานเกี่ยวกับความมีอยู่จริงของลูกหนี้ ก.การสอบถาม ข.การสังเกตการณ์ ค.การปฏิบัติซ้ำ ง.การยืนยันยอด 3. หลักฐานการสอบบัญชีใดต่อไปนี้มีความเชื่อถือได้น้อยที่สุด ก. ใบสั่งซื้อ ข. ใบแจ้งยอดจากธนาคาร ค. ใบกำ กับภาษีของผู้ขาย ง. ผลจากการคำ นวณค่าเสื่อมราคาโดยผู้สอบบัญชี 4. หลักฐานการสอบบัญชีใดต่อไปนี้มีความเชื่อถือได้มากที่สุด ก. งบพิสูจน์ยอดเงินฝากธนาคารที่พนักงานบัญชีจัดทำ ข. ใบแจ้งยอดจากธนาคาร ค. รายละเอียดสินค้าคงเหลือที่ได้รับจาก กิจการพร้อมลายมือ ชื่อรับรองว่ามีอยู่จริง ง. สำ เนาใบนำ เงินฝากธนาคารที่ผ่านการปฏิบัติงานและประทับตรา ของธนาคารเรีบบร้อยเเล้ว 5. ความเหมาะสมของหลักฐานเป็นการวัดคุณภาพของหลักฐานด้านใด ก. ความถูกต้องและความเกี่ยวข้อง ข. ความเกี่ยวข้องและความน่าเชื่อถือ ค. ความเกี่ยวข้องและการเกิดขึ้นจริง ง. ความน่าเชื่อถือและปริมาณของหลักฐาน 6. วิธีการตรวจสอบใดต่อไปนี้ที่ ไม่ได้ ให้หลักฐานเกี่ยวกับ ความถูกต้องของหลักฐาน ก. การตรวจสอบกรมธรรม์ประกันภัย ข. การเปรียบเทียบลูกหนี้ปีปัจจุบันกับปีก่อน ค. การตรวจสัญญาซื้อขาย ง. การขอคำ ยืนยันยอดลูกหนี้ 7. หลักฐานที่ผู้สอบบัญชีได้รับจากการ สังเกตการณ์การตรวจนั บสินค้าคงเหลือช่วยให้ผู้สอบบัญชีทราบถึงเรื่องใด ก. มูลค่าของสินค้าคงเหลือที่ตรวจนับ ข. ภาระผูกพันของสินค้าคงเหลือ ค. กรรมสิทธิ์ในสินค้าคงเหลือ ง.ความมีอยู่จริง ปริมาณ และสภาพของสินค้าคงเหลือ 8. ข้อใดต่อไปนี้เป็นการทดสอบการควบคุม ก. ส่งหนังสือยืนยันยอดเงินฝากธนาคาร ข. ตรวจสอบลายเซ็นผู้มีอำ นาจในใบสำ คัญรับเงิน ค. ตรวจนับยอดเงินสดในมือ ง. สอบทานงบกระทบยอดเงินฝากธนาคาร 9. ผู้สอบบัญชีจะใช้วิธีการทดสอบการควบคุมเมื่อใด ก. ระบบการควบคุมภายในไม่มีประสิทธิภาพและความเสี่ยง จากการควบคุมสูง ข.ระบบการควบคุมภายในมีประสิทธิภาพและความเสี่ยงจาก การควบคุมต่ำ ค. เมื่อพบการทุจริตหรือมีข้อผิดพลาด ง. เป็นการตรวจสอบปีแรก 10. ข้อใด ไม่ใช่ การตรวจสอบเนื้อหาสาระ ก. การยืนยันยอดลูกหนี้ ข. การตรวจสอบการตัดยอดขาย ค. การดูว่ามีการอนุมัติใบสำ คัญตามระเบียบหรือไม่ ง. การเปรียบเทียบยอดลูกหนี้ปีปัจจุบันกับปีก่อน คำ ถามท้ายหน่วยที่ 3 จงทำ เครื่องหมายกากบาท (X) ลงหน้าข้อที่ถูกต้องที่สุด แบบฝึกหัด
สาระการเรียนรู้ สมรรถนะการเรียนรู้ การวางแผนงานสอบบับับั บั ญ บั ญ บั ญชีชีชีชีชีชี หน่วยที่ 1. ความหมายของการวางแผนงานสอบบัญชี 2. ประโยชน์ของการวางแผนงานสอบบัญชี 3. การวางแผนก่อนรับงานสอบบัญชี 4. ขั้นตอนของการวางแผนงานสอบบัญชี 5. การจัดทำ กลยุทธ์การสอบบัญชีโดยรวม 6. ความหมายของแนวการสอบบัญชี 1. บอกความหมายของการวางแผนการสอบบัญชีได้ 2. บอกประโยชน์ของการวางแผนการสอบบัญชีได้ 3. อธิบายการวางแผนการรับงานสอบบัญชีได้ 4. บอกขั้นตอนของการวางแผนงานสอบบัญชีได้ 5.อธิบายการจัดทำ กลยุทธ์การสอบบัญชีโดยรวมได้ 6. อธิบายความหมายของแนวการสอบบัญชีได้ แผนผังความคิด (MIND MAPPING) การวางแผนก่อนรับงานสอบการสอบบัญชี ขั้นตอนของการวางแผนงานสอบบัญชี การจัดทำ กลยุทธ์การสอบบัญชีโดยรวม ประโยชน์ของการวางแผนการสอบบัญชี ความหมายของการวางแผนงานสอบบัญชี การวางเเผน งานสอบบัญชี ความหมายของแนวการสอบบัญชี
การวางแผนงานสอบบัญชี 1.ความหมายของการวางเเผนงานสอบบัญชี หน่วยที่ สาระสำ คัญ ในการปฏิบัติงานการตรวจสอบของผู้สอบบัญชี จำ เป็นต้อง มีการวางแผนงาน สอบบัญชี ซึ่งจะช่วยให้การปฏิบัติงานจริงเป็นไปด้วยความราปรื่น ช่วยให้ผู้สอบบัญชี สามารถเก็บรวบรวมหลักฐานในการสอบบัญชีได้อย่างเพียงพอและเหมาะสมการ วางแผนการสอบบัญชียังช่วยผู้สอบบัญชีให้มีการพิจารณาเรื่องที่สำ คัญอย่างเหมาะสม รวมทั้งสามารถระบุปัญหาที่เกิดขึ้นและทำ งานสำ เร็จรวดเร็ว มีประสิทธิผล การวางแผนงานสอบบัญชี (AUDIT PLANNING) หมายถึง การกำ หนดขอบเขต ช่วงเวลาและ การกำ หนดวิธีการโดยละเอียดสำ หรับลักษณะ ช่วงเวลา และขอบเขตของการตรวจสอบเพื่อรวบรวม หลักฐานการสอบบัญชีที่เพียงพอและเหมาะสม เพื่อให้การปฏิบัติงานสอบบัญชีเป็นไปอย่างมี ประสิทธิผล มาตรฐานการสอบบัญชี รหัส 300 เรื่อง การวางแผนงานตรวจสอบงบการเงินกล่าวว่าการ วางแผนงานตรวจสอบเกี่ยวข้องกับการจัดทำ กลยุทธ์การสอบบัญชีโดยรวม ซึ่งเป็นการกำ หนด ลักษณะ ขอบเขตช่วงเวลาและแนวทางของการตรวจสอบ ลักษณะของวิธีการตรวจสอบ หมายถึง วิธีที่ใช้ในการตรวจสอบว่าใช้วิธีการทดสอบการควบคุม หรือการตรวจสอบเนื้อหาสาระ และประเภทของการตรวจสอบที่ใช้ว่าใช้วิธีใด ได้แก่ การตรวจการ สังเกตการณ์ การสอบถาม การยืนยันยอด การคำ นวณใหม่ การปฏิบัติซ้ำ หรือการวิเคราะห์เปรียบเทียบ ลักษณะของวิธีการตรวจสอบเป็นสิ่งที่สำ คัญที่สุดในการตอบสนองต่อความเสี่ยงที่ได้ประเมินไว้ ช่วงเวลาของวิธีการตรวจสอบ หมายถึง เวลาที่ผู้สอบบัญชีปฏิบัติวิธีการตรวจสอบหรือช่วง ของเวลาหรือวันที่ที่ผู้สอบบัญชีต้องการได้ หลักฐานการสอบบัญชีอาจแบ่งเป็น - การตรวจสอบระหว่างปี (INTERIM AUDIT) - การตรวจสอบสิ้นงวดบัญชี (FINAL AUDIT) ขอบเขตของวิธีการตรวจสอบ หมายถึง ปริมาณที่จะปฏิบัติวิธีการตรวจสอบ เช่น ขนาดของ ตัวอย่างหรือจำ นวนครั้งที่จะสังเกตการณ์กิจกรรมการควบคุมหนึ่ง ๆ
การวางแผนงานสอบบัญชี ถือเป็นเรื่องสำ คัญที่ผู้สอบบัญชีต้องปฏิบัติงานตามที่มาตรฐานการ สอบบัญชีกำ หนด การวางแผนงานสอบบัญชีจะช่วยให้ผู้สอบบัญชีมีการพิจารณาเรื่อง ที่สำ คัญอย่าง เหมาะสม รวมทั้งสามารถระบุปัญหาที่อาจเกิดขึ้นและทำ ให้งานสำ เร็จได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิผล ประโยชน์ของการวางแผนงานสอบบัญชี มีดังนี้ การวางแผนการตรวจสอบที่เพียงพอจะช่วยผู้สอบในการตรวจสอบงบการเงินดังนี้ 1. ช่วยผู้สอบบัญชีให้แน่ใจว่าได้มีการพิจารณาเรื่องที่สำ คัญต่อการตรวจสอบอย่างเหมาะสม 2. ช่วยผู้สอบบัญชีในการระบุประเด็นปัญหาที่อาจเกิดขึ้นและแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงที 3. ช่วยผู้สอบบัญชีให้จัดการและบริหารงานสอบบัญชีอย่างเหมาะสม เพื่อให้งานสอบบัญชี เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล 4. ช่วยในการเลือกสมาชิกในกลุ่มผู้ปฏิบัติงานตรวจสอบที่มีระดับความรู้และความสามารถ ที่ เหมาะสม เพื่อให้ตอบสนองต่อความเสี่ยงที่คาดการณ์ไว้ และช่วยในการมอบหมายงานให้แก่สมาชิก อย่างเหมาะสม 5. ช่วยในการกำ หนดแนวทางและควบคุมดูแลสมาชิกในกลุ่มผู้ปฏิบัติงานตรวจสอบ และ สอบทานงานของสมาชิกในกลุ่มผู้ปฏิบัติงานตรวจสอบ 6. ช่วยในการประสานงานกับผู้สอบบัญชีของกิจการภายในกลุ่มและผู้เชี่ยวชาญการวางแผน ควรกระทำ อย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาการตรวจสอบ เนื่องจาก สถานการณ์อาจมีการเปลี่ยนแปลงหรือได้รับผลที่ไม่คาดหมายจากการตรวจสอบ ผู้สอบบัญชีจึงควร ทบทวนกลยุทธ์การสอบบัญชีโดยรวม และแนวการสอบบัญชีตามความจำ เป็นในระหว่าง การตรวจสอบ ในช่วงก่อนการรับง่าน ผู้สอบบัญชีควรพิจารณาเลือกรับงานสอบบัญชี เนื่องจากในการ รับ งานสอบบัญชีที่มีความเสี่ยงสูงอาจมีผลทำ ให้ผู้สอบบัญชีไม่สามารถปฏิบัติงานได้ตามมาตรฐานการ สอบบัญชี และอาจเสี่ยงต่อการปฏิบัติงานผิดจรรยาบรรณของผู้สอบบัญชี ซึ่งมีผลทำ ให้ผู้สอบบัญชี อาจถูกพักหรือถูกเพิกถอนใบอนุญาต หรือมีความเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย มาตรฐานการสอบบัญชี รหัส 300 กำ หนดกิจกรรมเบื้องต้นของการสอบบัญชีให้ผู้สอบบัญชี ต้องปฏิบัติกิจกรรมต่อไปนี้ 1. ปฏิบัติตามวิธีการที่กำ หนดในมาตรฐานการสอบบัญชี รหัส 220 ที่เกี่ยวกับการคงไว้ซึ่ง ความสัมพันธ์กับลูกค้าและงานตรวจสอบนั้น 2.ประโยชน์ของการวางแผนงานสอบบัญชี 3.การวางแผนก่อนการรับงานสอบบัญชี
2. ต้องประเมินการปฏิบัติตามข้อกำ หนดด้านจรรยาบรรณที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวม ถึงความเป็น อิสระของผู้สอบบัญชีตามมาตรฐานการสอบบัญชี รหัส 220 3. ทำ ความเข้าใจเกี่ยวกับข้อตกลงในการรับงานสอบบัญชีตามมาตรฐานการ สอบบัญชีรหัส 210 การดำ เนินงานก่อนการรับงานสอบบัญชีอาจแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนย่อยดังนี้ 1. การประเมินความเสียงในการรับงาน ผู้สอบบัญชีจะต้องพิจารณาความ เสี่ยงในการ รับงานสอบบัญชีสำ หรับลูกค้ารายใหม่และลูกค้ารายเดิมดังนี้ (1) ลูกค้าใหม (NEW ENGAGEMENT) ในการตอบรับงานสอบบัญชีลูกค้า รายใหม่ ผู้สอบ บัญชีจะต้องรวบรวมข้อมูล โดยพิจารณาสภาพโดยทั่วไปของลูกค้า ตลอดจนการประเมินความเสี่ยงเบื้องต้นในการที่จะรับงานสอบบัญชีรวมถึงการพิจารณา จรรยาบรรณของผู้สอบบัญชีด้วย ในกรณีที่งบการเงินปีก่อนของลูกค้า ตรวจสอบโดยผู้ สอบบัญชีอื่น ผู้สอบบัญชีควรทำ หนังสือไปยังผู้สอบ บัญชีเดิมว่า มีเหตุผลทางจรรยา บรรณทางวิชาชีพใดหรือไม่ที่ควรนำ มาพิจารณาในการรับงานลูกค้ารายนี้ ผู้สอบบัญชี จำ เป็นต้องขอทราบเหตุผลดังกล่าวจากผู้สอบบัญชีเดิม เช่น การถูกจำ กัดขอบเขตการ ตรวจสอบ หรือขัดแย้งกับผู้บริหาร เป็นต้น (2) ลูกค้าเดิม (ENGAGEMENT CONTINUING) ในการตรวจสอบงบการเงิน สำ หรับปีถัดไป ของลูกค้ารายเดิม ผู้สอบบัญชีต้องประเมินว่ามีสถานการณ์ที่ทำ ให้ต้องแก้ไขข้อตกลงใน การรับงานสอบบัญชีหรือไม่ และมีความจำ เป็นที่ต้องแจ้งให้กิจการทราบถึงข้อตกลงใน งานสอบบัญชีที่มีอยู่เดิมหรือไม่ 2. ข้อตกลงในการรับงานสอบบัญชี หลังจากผู้สอบบัญชีรับงานแล้วผู้สอบบัญชี ควร จัดทำ หนังสือตอบรับงานสอบบัญชี (ENGAGEMENT LETTER) ก่อนที่จะเริ่มงาน ตรวจสอบ ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดเกี่ยวกับลักษณะของการรับงาน ตลอดจน เป็นการชี้แจงถึงขอบเขตการให้บริการของผู้สอบบัญชี ขอบเขตความรับผิดชอบของผู้ บริหาร หน้าที่และความรับผิดชอบที่ลูกค้าจะต้อง จัดเตรียม รูปแบบรายงานของผู้สอบ บัญชี ตลอดจนค่าธรรมเนียมสอบบัญชีที่ตกลงกัน นอกจากนั้นหนังสือตอบรับงานควร ชี้แจงให้ลูกค้าทราบว่าการตรวจสอบตามมาตรฐานการสอบบัญชีนั้นมิได้มุ่งหวังเพื่อการ ค้นหาข้อทุจริตที่เกิดขึ้น การสอบบัญชีใช้วิธีทดสอบและมีข้อจำ กัดอื่น ๆ ตลอดจนมีข้อ จำ กัดของระบบการควบคุมภายใน ฉะนั้น ในบางกรณีการตรวจสอบจึงอาจไม่พบการ แสดงข้อมูลผิดพลาดบางรายการหรืออาจไม่พบการทุจริตที่เกิดขึ้น
4. ขั้นตอนการวางแผนงานสอบบัญชี การวางแผนงานสอบบัญชี ประกอบด้วยขั้นตอนที่สำ คัญ 6 ขั้นตอนดังนี้ 1. การรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจที่ตรวจสอบ และทำ ความเข้าใจสภาพโดยทั่วไปเกี่ยวกับกรอบของ กฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับกิจการ 2. การวิเคราะห์เปรียบเทียบในเบื้องต้น 3. การกำ หนดความมีสาระสำ คัญ 4. การประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้และความเสี่ยงสืบเนื่อง 5. การทำ ความเข้าใจระบบการควบคุมภายในและการประเมินความเสี่ยงจากควบคุม 6. การจัดทำ กลยุทธ์การสอบบัญชีโดยรวมและแนวการสอบบัญชี 1. การรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิงที่ตรวจสอบ และทำ ความเข้าใจสภาพโดยทั่วไปเกี่ยวกับกรอบของ กฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับกิจการ เป็นการพิจารณาว่ากิจการได้มีการปฏิบัติตามกรอบของกฎหมาย และข้อบังคับนั้นอย่างไร ในการวางแผนงานสอบบัญชี ผู้สอบบัญชีควรรวบรวม ข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจ ซึ่งจะช่วย ให้ผู้สอบบัญชีมีความรู้ความเข้าใจในระบบบัญชี และวิธีปฏิบัติทางการ บัญชีอันจะเป็นประโยชน์ต่อการตรวจ สอบ การรวบรวมเอกสารทางกฎหมายของลูกค้า ทำ ให้ผู้สอบ บัญชีทราบถึงข้อมูลที่ต้องเปิดเผยเพิ่มเติมในงบ การเงิน เอกสารที่ควรรวบรวม ได้แก่ เอกสารการจัดตั้งบริษัท รายงานการประชุมคณะกรรมการ สัญญาต่าง ๆ และเอกสารพิเศษ เช่น การได้รับการส่งเสริมการลงทุน เป็นต้น การรวบรวมข้อมูลยังช่วยทำ ให้ผู้สอบบัญชีมี ความรู้ความเข้าใจในธุรกิจของ ลูกค้า เพื่อนำ มาประเมินความเสี่ยงสืบเนื่องของกิจการที่ตรวจสอบ 2. การวิเคราะห์เปรียบเทียบในเบื้องต้น การวิเคราะห์เปรียบเทียบ หมายถึง การวิเคราะห์อัตราส่วนและแนวโน้มต่าง ๆ ที่สำ คัญ รวมทั้งการตรวจสอบผลของการเปลี่ยนแปลง และความสัมพันธ์ต่าง ๆ ที่ไม่สอดคล้องกับข้อมูลที่เกี่ยวข้องหรือ ไม่เป็นไปตามคาดหมาย การวิเคราะห์เปรียบเทียบเบื้องต้นในช่วงการวางแผนการตรวจสอบจะช่วยให้การ ตรวจสอบเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และอาจทำ ให้ทราบถึงรายการผิดปกติในงบการเงินเช่น ผลการ วิเคราะห์เปรียบเทียบบัญชีลูกหนี้การค้าของปีที่ตรวจสอบกับยอดขายของปีก่อน หากพบ ว่ายอดคงเหลือของ บัญชีลูกหนี้การค้าเพิ่มขึ้นมากซึ่งไม่สัมพันธ์กับยอดขาย ผู้สอบบัญชีควรหาสาเหตุการเพิ่มขึ้นของบัญชีลูกหนี้ การค้า และวางแผนที่จะตรวจสอบบัญชีลูกหนี้การค้าในเรื่องความเพียงพอของค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ 3. การกำ หนดความมีสาระสำ คัญ ผู้สอบบัญชีจะนำ หลักการของความมีสาระสำ คัญไปใช้ทั้งในการวางแผนและปฏิบัติงาน ตรวจสอบ และในการประเมินผลกระทบของการแสดงข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงที่พบในการตรวจสอบ ความมีสาระสำ คัญ หมายถึง รายการหรือเหตุการณ์ทางบัญชี ซึ่งหากผู้ใช้งบการเงิน ไม่ได้รับทราบแล้วอาจตัดสินใจผิดไปจากกรณีที่รับทราบ ความมีสาระสำ คัญขึ้นอยู่กับขนาดและลักษณะของ รายการทางบัญชีที่มีผลกระทบต่อการตัดสินใจเชิงเศรษฐกิจของผู้ใช้ข้อมูลการพิจารณาว่าข้อมูลมีสาระสำ คัญ หรือไม่นั้น ให้พิจารณาจากผลกระทบที่มีต่อการตัดสินใจเชิงเศรษฐกิจเป็นเกณฑ์ กล่าวคือหากการไม่แสดง ข้อมูลหรือการแสดงข้อมูลที่ผิดพลาด มีผลกระทบต่อการตัดสินใจเชิงเศรษฐกิจของผู้ใช้งบการเงิน จะถือว่า ข้อมูลนั้นมีสาระสำ คัญ
ระดับความมีสาระสำ คัญ หมายถึง ขนาดหรือลักษณะของความไม่ถูกต้องของข้อมูล ซึ่ง ถือว่ามีผลต่อความถูกต้องตามที่ควร ตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ซึ่งเป็นระดับความไม่ถูกต้องของรายการ และข้อมูลที่ผู้สอบบัญชียอมรับได้ โดยผู้สอบบัญชีสามารถแสดงความเห็นต่องบการเงิน ถูกต้องตามควร แม้ว่าจะพบ ความไม่ถูกต้องของรายการและข้อมูลในงบการเงิน ซึ่งมิได้มีการปรับปรุงแก้ไข การกำ หนดความมีสาระสำ คัญของผู้สอบบัญชีเป็นเรื่องของการใช้ดุลพินิจเยี่ยง ผู้ประกอบวิชาชีพ ความมีสาระสำ คัญ ที่กำ หนดขึ้นในการวางแผนการตรวจสอบ ผู้สอบบัญชีจะพิจารณา ทั้งจำ นวนเงิน และลักษณะของการแสดงข้อมูลที่ ขัดต่อข้อเท็จจริงที่ยังไม่ถูกแก้ไข และสถานการณ์ที่รายการเหล่านั้นเกิดขึ้น การกำ หนดระดับความมีสาระสำ คัญในการวางแผนงานตรวจสอบ ช่วยให้ผู้สอบบัญชี ปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมุ่งเน้นการตรวจสอบที่สำ คัญและช่วยให้กำ หนดวิธีการตรวจสอบให้เหมาะสมกับ สถานการณ์เกณฑ์ในการพิจารณาระดับความมีสาระสำ คัญ การกำ หนดระดับความมีสาระสำ คัญ เป็นการใช้ดุลยพินิจเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพของ ผู้สอบบัญชีเกณฑ์ที่ผู้สอบบัญชีมักใช้ในการนำ มาเป็นฐานที่ใช้ในการคำ นวณระดับความมีสาระสำ คัญ คือ การ พิจารณาจากองค์ประกอบที่สำ คัญในงบการเงิน เช่น 5-10%ของยอดกำ ไรก่อนภาษี 2-1%ของยอดสินทรัพย์รวม 2-1%ของยอดรายได้รวม 1%ของยอดส่วนของผู้ถือหุ้น นอกจากกำ หนดตามอัตราร้อยละแล้วยังอาจกำ หนดเป็นจำ นวนเงิน เช่น ผู้สอบบัญชี กำ หนดระดับความมีสาระสำ คัญไว้ 100,000 บาท สำ หรับการตรวจสอบบัญชีเจ้าหนี้การค้า นั่นคือ ผู้สอบบัญชีจะเลือก รายการเจ้าหนี้ที่มีจำ นวนเงิน 100,000 บาทขึ้นไป ดังนั้น การแสดงข้อมูลที่ขัดต่อ ข้อเท็จจริงที่เกินกว่า 100,000 บาทจึงจะ เสนอเป็นรายการที่ปรับปรุงต่องบการเงิน ในขั้นตอนนี้ผู้สอบบัญชีควรวางแผนการตรวจสอบ เพื่อให้ความเสี่ยงในการสอบบัญชี อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ และประเมินความเสี่ยงสืบเนื่องด้วยซึ่งจะกล่าวรายละเอียดในหน่วยต่อไป 4. การประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้และความเสี่ยงสืบเนื่อง ก่อนการตรวจสอบผู้สอบบัญชีจะประเมินความเสี่ยงใน การสอบบัญชีที่ยอมรับได้และ ความเสี่ยงสืบเนื่องโดยทำ ความเข้าใจกิจการ สภาพแวดล้อมของกิจการ เกี่ยวกับข้อบังคับทางกฎหมาย ปัจจัยภายนอก เช่น สภาพเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ย เงินเฟ้อ การดำ เนินธุรกิจ การลงทุน โครงสร้างของกิจการ การเลือกใช้นโยบายบัญชี เป็นต้น 5. การทำ ความเข้าใจระบบการควบคุมภายในและการประเมินความเสี่ยงจากควบคุม ผู้สอบบัญชีต้องมีความเข้าใจ ระบบบัญชีและการควบคุมภายในเพื่อกำ หนดและเข้าใจเกี่ยวกับประเภทของรายการที่สำ คัญในการดำ เนินงานของกิจการ กระบวนการรายงานทางการเงินและทางบัญชี นอกจากนี้ ควรทำ ความเข้าใจองค์ประกอบของการควบคุมภายใน ได้แก่ สภาพแวดล้อมของการควบคุม ควรประเมินความเสี่ยง กิจกรรมการควบคุม ระบบข้อมูลสารสนเทศและการสื่อสารตลอดจน ระบบการติดตามและประเมินผล ผู้สอบบัญชีควรศึกษาและทำ ความเข้าใจในระบบบัญชีอย่างเพียงพอ เพื่อให้ผู้สอบบัญชี ได้ความรู้เกี่ยวกับลักษณะและธุรกรรมต่าง ๆ ประเภทของรายการที่สำ คัญในการดำ เนินงานของ กิจการ การเกิดขึ้นของ รายการที่บัญชีที่สำ คัญ เอกสารประกอบการค้าที่สำ คัญ และระบบบัญชีกระบวนการรายงานทางการเงินและทางการบัญชี จากจุดเริ่มต้นของรายการที่สำ คัญจนถึงจุดสิ้นสุดในงบการเงิน หลังจากที่ผู้สอบบัญชีทำ ความเข้าใจในระบบบัญชี และระบบ การควบคุมภายในแล้ว ผู้สอบบัญชีจะประเมินความเสี่ยงจากการควบคุมในเบื้องต้นว่า กิจการมีระบบการควบคุมภายในที่มี ประสิทธิภาพเพียงพอที่จะเชื่อถือได้และสามารถใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติงานสอบบัญชีได้หรือไม่สำ หรับรายละเอียดเกี่ยวกับ ความเสี่ยงจากการควบคุมจะกล่าวในหน่วยต่อไป 6.การจัดทำ กลยุทธ์การสอบบัญชีโดยรวมและแนวการสอบบัญชีการจัดทำ กลยุทธ์การสอบบัญชีโดยรวม หรือแผนการ สอบบัญชีโดยรวมเป็นแผนงาน ที่มีไว้เพื่อให้การปฏิบัติงานสอบบัญชีมีประสิทธิผล ช่วยให้แน่ใจว่ามีการพิจารณาเรื่องที่สำ คัญอย่างเหมาะสม ทำ ให้งานตรวจ สอบเสร็จอย่างรวดเร็ว
ผู้สอบบัญชีจะบันทึกข้อมูลที่สำ คัญ ๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการตรวจสอบไว้ใน กลยุทธ์การสอบบัญชีโดยรวม และควรปรับแผนการตรวจสอบและจัดทำ แนวการสอบบัญชีให้ สอดคล้องกับผลจากการประเมินความเสียง เช่น หากผลการประเมินความเสียงจากการ ควบคุมอยู่ในระดับต่ำ ผู้สอบบัญชีอาจใช้การทดสอบการควบคุม เพื่อที่จะสนับสนุนการ ประเมินนั้น ในทางตรงกันข้าม หากการประเมินความเสี่ยงจากการควบคุมและความเสี่ยงสืบ เนื่องอยู่ในระดับสูง ผู้สอบบัญชีควรใช้วิธีการตรวจสอบเนื้อหาสาระ เป็นต้น เมื่อผู้สอบบัญชี พัฒนากลยุทธ์การสอบบัญชีโดยรวมแล้ว ขั้นตอนต่อไป คือการจัดทำ แนวการสอบบัญชี โดยผู้ สอบบัญชีจะใช้แนวการสอบบัญชีในการควบคุม และบันทึกการปฏิบัติงานให้เป็นไปตาม กลยุทธ์การสอบบัญชีโดยรวม ในการวางแผนงานตรวจสอบนั้น มาตรฐานการสอบบัญชีฉบับ 300 เรื่องการวางแผนงาน ตรวจสอบงบการเงิน กำ หนดให้ผู้สอบบัญชีต้องจัดทำ กลยุทธ์การสอบบัญชีโดยรวม มาตรฐาน เดิมใช้คำ ว่าแผนการสอบบัญชีโดยรวม ซึ่งเป็นการกำ หนดขอบเขต ช่วงเวลา และแนวทางของ การตรวจสอบและเป็นแนวทางในการพัฒนาแผนการตรวจสอบ ในการจัดทำ กลยุทธ์การสอบบัญชีโดยรวม ผู้สอบบัญชีต้องระบุเรื่องดังต่อไปนี้ 1. ระบุลักษณะของงานตรวจสอบซึ่งจะกำ หนดขอบเขตของงาน 2. ทำ ความเข้าใจในวัตถุประสงค์ของการรายงานตามข้อตกลงรับงาน เพื่อการกำ หนด ช่วงเวลาในการตรวจสอบ และลักษณะของการสื่อสารที่จำ เป็น 3. พิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ซึ่งผู้สอบบัญชีใช้ดุลพินิจเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพแล้วเห็นว่ามี นัยสำ คัญในการกำ หนดแนวทางในการทำ งานของกลุ่มผู้ปฏิบัติงานตรวจสอบ 4. พิจารณาถึงผลของกิจกรรมเบื้องต้นของการสอบบัญชี และพิจารณาว่าความรู้ของ ผู้สอบบัญชีที่รับผิดชอบงานตรวจสอบที่ได้จากการปฏิบัติงานอื่นในกิจการนั้น ๆ มีความ เกี่ยวข้องหรือนำ มาใช้ได้หรือไม่ 5. กำ หนดลักษณะ ช่วงเวลา และขอบเขตของทรัพยากรที่จำ เป็นที่จะใช้ในการตรวจ สอบบัญชี ในการจัดทำ กลยุทธ์การสอบบัญชีโดยรวมและแนวการสอบบัญชีจะจัดทำ ในขั้นตอน สุดท้ายของการวางแผน หลังจากที่ได้ทำ ความเข้าใจในระบบบัญชีและระบบการควบคุม ภายใน รวมทั้งการประเมินความเสี่ยงแล้ว 5.การจัดทำ กลยุทธ์การสอบบัญชีโดยรวม