พระราชกรณียกิจของ
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
และพระบาทสมเด็จพระนั่ง
เกล้าเจ้าอยู่หัว
-อรรถวิทย์ ศรีเจริญ
สารบัญ 1
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ 3
-พระราชกรณียกิจ 6
7
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
-พระราชกรณียกิจ
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระราชสมภพที่ทุ่งพระอุทัย หรือใน
ปัจจุบันเรียกว่า ทุ่งหันตรา โดยเมื่ อครั้งสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่2
(เจ้าสามพระยา) จะยกกองทัพลงไปตีเมืองพระนครหลวง
(นครธม) นั้น ได้รวมพลและตั้งพลับพลาเพื่ อประกอบพิธีกรรมตัดไม้
ข่มนามที่ทุ่งพระอุทัย ขณะนั้นพระอัครชายาซึ่งเป็นพระราชธิดาของ พระ
มหาธรรมราชาที่ 2 กษัตริย์แห่งพระราชวงศ์พระร่วง กำลังทรงพระ
ครรภ์อยู่ ได้ออกไปส่งเสด็จ ได้ประสูติสมเด็จพระบรมไตรนาถที่
พลับพลานั้น เมื่ อปีกุน จุลศักราช 797 พ.ศ. 1974 ซึ่งในยวนพ่ายโคลง
ดั้น ระบุว่า แถลงปางพระมาตรไท้ สมภพ ท่านนา แดนด่ำบลพระอุทัย
ทุ่งกว้าง
1
ทรงเจริญพระชันษาที่เมืองพิษณุโลก พระองค์ทรงครองราชย์ 40
ปีเป็นเวลานานที่สุดในบรรดาพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิ
แห่งอาณากรุงศรีอยุธยา โดยเป็นพระราชโอรสใน สมเด็จพระบรม
ราชาธิราชที่ 2 และก็ยังเป็นพระนัดดาใน สมเด็จพระอินทราชา มีพระ
ราชมารดาเชื้อสาย ราชวงศ์พระร่วง พระนามมีความหมายถึง
"พระพุ ทธเจ้า" หรือ "พระอิศวร" มีผู้ที่เข้าใจว่าคงเป็นพระสหายมาตั้งแต่
วัยเยาว์ชื่อ " ยุทธิษเฐียร " ซึ่งตอนหลังกลายมาเป็นผู้ชักนำศึกเข้ามา
หลังการขึ้นครองราชย์แล้ว ก็เสด็จมาประทับที่อยุธยาในช่วงแรกของ
การครองราชย์ อีกครึ่งหนึ่งเสด็จมาประทับที่พิษณุโลก เชื่อว่าคงเป็นไป
เพื่ อการควบคุมดูแลหัวเมืองทางด้านเหนือ และคานอำนาจของ
อาณาจักรทางเหนือ คือ อาณาจักรล้านนา ซึ่งกำลังมีความเข้มแข็ง
และต้องการแผ่อำนาจลงมาทางใต้ ในยุคของ พระเจ้าติโลกราช
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเสด็จสวรรคต เมื่ อปี พ.ศ. 2031 เมื่ อพระ
ชนมายุ 57 พรรษา ทรง ครองราชย์ได้ 40 ปี ยาวนานที่สุดของ
อาณาจักรอยุธยา และเป็นลำดับ 3 ของพระมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่อดีต
จนถึงปัจจุบัน พระองค์ประทับอยู่ที่ กรุงศรีอยุธยา ประมาณ 20 ปี ที่
เหลือทรงประทับที่เมืองพิษณุโลกตลอดรัชกาล
2
พระราชกรณียกิจ
ด้านการปกครอง
พระราชกรณียกิจด้านการปกครองประกอบด้วยการจัดระเบียบการ
ปกครองส่วนกลางและส่วนภูมิภาค อันเป็นแบบแผนซึ่งยึดสืบต่อกันมา
จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และการตราพระ
ราชกำหนดศักดินา ซึ่งทำให้มีการแบ่งแยกสิทธิ และหน้าที่ของแต่ละ
บุคคลแตกต่างกันไป โดยทรงเห็นว่ารูปแบบการปกครองนับตั้งแต่รัช
สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 มีความหละหลวม หัวเมืองต่าง ๆ เบียดบัง
ภาษีอากร และปัญหาการแข็งเมืองในบางช่วงที่พระมหากษัตริย์อ่อนแอ
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงปฏิรูปการปกครองโดยมีการแบ่งงาน
ฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือนออกจากกันอย่างชัดเจน ให้สมุหพระ
กลาโหมดูแลฝ่ายทหาร และให้สมุหนายกดูแลฝ่ายพลเรือน รวมทั้ง
จตุสดมภ์ในราชธานี
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงแบ่งงานทางการปกครองออกเป็น
"ฝ่ายพลเรือน" และ "ฝ่ายทหาร" อย่างชัดเจน โดยมี "เจ้าพระยามหา
เสนาบดี" ดำรงตำแหน่ง สมุหพระกลาโหม มีหน้าที่ดูแลกิจการทหารทั่ว
อาณาจักร และ "เจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์" ดำรงตำแหน่ง สมุหนายก
รับผิดชอบงานพลเรือนทั่วอาณาจักร พร้อมกับดูแลหน่วยงานจตุสดมภ์
จากเดิมที่พื้ นฐานการปกครองนับตั้งแต่สมัยอาณาจักรสุโขทัยยังไม่ได้
แยกฝ่ายพลเรือนกับทหารออกจากกันชัดเจน ทั้งนี้ ในยามสงคราม ไพร่
ทุกคนจะต้องรับราชการทหารอันเป็นหน้าที่หลัก อันเป็นลักษณะรูปแบบ
การปกครองของอาณาจักรขนาดเล็กที่ขาดการประสานงานระหว่าง
เมือง
3
การปกครองในส่วนภูมิภาค ได้ยกเลิกระบบการปกครองหัวเมือง
ต่าง ๆ แต่เดิมที่แบ่งออกเป็นเมืองลูกหลวง หลานหลวง[5] แล้วระบบ
การปกครองหัวเมืองเสียใหม่ ดังนี้
หัวเมืองชั้นใน เช่น เมืองราชบุรี นครสวรรค์ นครนายก เมือง
ฉะเชิงเทรา และปราจีนบุรี เป็นต้น[6] จัดเป็นเมืองจัตวา พระมหา
กษัตริย์ทรงแต่งตั้งผู้ที่เหมาะสมไปปกครอง แต่สิทธิอำนาจทั้งหมด
ยั ง ขึ้ น อ ยู่ กั บ อ ง ค์ พ ร ะ ม ห า ก ษั ต ริย์
หัวเมืองชั้นนอก หรือ เมืองพระยามหานคร มีการกำหนดเป็นเมือง
เอก โท หรือตรี ตามลำดับความสำคัญ เมืองใหญ่อาจมีเมืองเล็กขึ้น
อยู่ด้วย พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งเจ้านายหรือขุนนางชั้นผู้ใหญ่ไป
ปกครอง มีการจัดการปกครองเหมือนกับราชธานี คือ มีกรมการ
ตำแหน่งพลและกรมการตำแหน่งมหาดไทย และพนักงานเมือง วัง
คลัง นา[7] เช่น เมืองพิษณุโลก สุโขทัย นครราชสีมา และทวาย จัด
เป็น เมือง เอก โท ตรี พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งพระราชวงศ์หรือ
ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ไปเป็นเจ้าเมืองมีอำนาจบังคับบัญชาเป็นสิทธิ
ขาด เป็๋ นผู้แทนองค์พระมหากษัตริย์ มีกรมการปกครองในตำแหน่ง
เมือง วัง คลัง นา เช่นเดียวกับของทางราชธานี
เมืองประเทศราช คงให้เจ้าเมืองปกครองกันเอง เพียงแต่ส่งเครื่อง
ราชบรรณาการมาถวายตามกำหนด และเกณฑ์ผู้คนและทรัพย์สิน
เพื่ อช่วยราชการสงคราม
สำหรับการปกครองส่วนท้องถิ่น ให้จัดเป็นหมู่บ้าน มีผู้ใหญ่บ้าน
ปกครองดูแล ตำบล มีกำนันเป็นหัวหน้า แขวง มีหมื่ นแขวงเป็นหัวหน้า
พระองค์ยังทรงแบ่งการปกครองในภูมิภาค ออกเป็นหมู่บ้าน ตำบล
แขวง และเมือง[5]
4
ตราพระราชกำหนดศักดินา
ส ม เ ด็ จ พ ร ะ บ ร ม ไ ต ร โ ล ก น า ถ ท ร ง ต ร า พ ร ะ ร า ช กำ ห น ด ศั ก ดิ น า ขึ้ น เ ป็ น
กฎเกณฑ์ของสังคม ทำให้มีการแบ่งประชากรออกเป็นหลายชนชั้น เช่น
เดียวกับหน้าที่และสิทธิของแต่ละบุคคล ศักดินาเป็นความพยายามจัด
ระเบียบการปกครองให้มีความรัดกุมยิ่งขึ้น อันเป็นหลักที่เรียกว่า การ
รวมเข้าสู่ศูนย์กลาง ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าศักดินาจะเป็นการกำหนดสิทธิในการ
ถือครองที่ดิน แต่ในทางปฏิบัติแล้วหมายถึงจำนวนไพร่พลที่สามารถ
ครอบครอง เกณฑ์การปรับไหม และลำดับการเข้าเฝ้าแทน
มีการแต่งตั้งตำแหน่งข้าราชการให้มีบรรดาศักดิ์ตามลำดับจากต่ำสุดไป
สูงสุดคือ ทนาย พัน หมื่ น ขุน หลวง พระ พระยา และเจ้าพระยา มีการ
กำหนดศักดินาเพื่ อเป็นค่าตอบแทนการรับราชการ และได้อาศัยใช้เป็น
เกณฑ์กำหนดการมีที่นาและการปรับไหมตามกฎหมาย
กฎมณเฑียรบาล
1. พระตำราว่าด้วยแบบแผนพระราชพิธีต่าง ๆ
2. พระธรรมนูญว่าด้วยตำแหน่งหน้าที่ราชการต่าง ๆ
3. พระราชกำหนดเป็นข้อบังคับสำหรับพระราชสำนัก
ด้านวรรณกรรม
ในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระองค์ได้โปรดเกล้า ฯ ให้
ประชุม นักปราชญ์ ราชบัณฑิต แต่งหนังสือ มหาชาติคำหลวง นับว่า
เป็นวรรณกรรมทาง พระพุ ทธศาสนา เรื่องแรกของกรุงศรีอยุธยา และ
เป็น วรรณคดี ชั้นเยี่ยมที่ใช้เป็นแนวทางในการศึกษา ภาษา และ
วรรณคดีของไทย นอกจากนี้ยังมี ลิลิตพระลอ ซึ่งเป็นยอดวรรณคดี
ประเภท ลิลิต ของไทย
5
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้า
อยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระปรมาธิวรเสรฐมหาเจษฎาบดินทรฯ พระนั่งเกล้า
เจ้าอยู่หัว (31 มีนาคม พ.ศ. 2331 - 2 เมษายน พ.ศ. 2394) เป็นพระมหา
กษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 3 แห่งราชวงศ์จักรี
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นพระราชโอรสพระองค์
ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระพุ ทธเลิศหล้านภาลัย และพระองค์แรกที่
ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเรียม (ภายหลังได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระ
ศรีสุลาลัย) เสด็จพระราชสมภพเมื่ อ วันจันทร์ แรม 10 ค่ำ เดือน 4 ปี
มะแม เวลาค่ำ 10.30 น. (สี่ทุ่มครึ่ง) ตรงกับวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2330
(นับแบบปัจจุบัน พ.ศ. 2331) เสวยราชสมบัติเมื่ อวันอาทิตย์ เดือน 9 ขึ้น
7 ค่ำ ปีวอก ซึ่งตรงกับวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367 สิริดำรงราช
สมบัติได้ 26 ปี 255 วัน
ทรงมีเจ้าจอมมารดาและเจ้าจอม 56 ท่าน มีพระราชโอรสธิดาทั้งสิ้น
51 พระองค์ เสด็จสวรรคตเมื่ อวันพุ ธ เดือน 5 ขึ้น 1 ค่ำ ปีกุน โทศก
จุลศักราช 1212 เวลา 7 ทุ่ม 5 บาท ตรงกับวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2394
6สิริพระชนมพรรษา 63 ปี 2 วัน
พระราชกรณียกิจ
ด้านความมั่นคง
พระองค์ได้ทรงป้องกันราชอาณาจักรด้วยการส่งกองทัพไปสกัด
ทัพของ เจ้าอนุวงศ์ แห่งเวียงจันทน์ ไม่ให้ยกทัพเข้ามาถึงชานพระนคร
และขัดขวางไม่ให้เวียงจันทน์เข้าครอบครองหัวเมืองอีสานของสยาม
นอกจากนี้ พระองค์ทรงประสบความสำเร็จในการทำให้สยามกับ ญวน
ยุติการสู้รบระหว่างกันเกี่ยวกับเรื่อง เขมร โดยที่สยามไม่ได้เสียเปรียบ
ญวนแต่อย่างใด
ด้านการคมนาคม
ในรัชสมัยของพระองค์ใช้ทางน้ำเป็นสำคัญ ทั้งในการสงครามและ
การค้าขาย คลอง จึงมีความสำคัญ มากในการย่นระยะทางจากเมือง
หนึ่งไปอีกเมืองหนึ่ง จึงโปรดฯให้มีการขุดคลองขึ้น เช่น คลอง
บางขุนเทียน คลองบางขนาก และ คลองหมาหอน
ด้านการทำนุบำรุงพระพุ ทธ
ศาสนา
พระองค์ทรงเลื่ อมใสในพระพุ ทธศาสนามาก และได้ทรงสร้าง
พระพุ ทธรูปมากมายเช่น พระประธานในอุโบสถ วัดสุทัศนเทพวราราม
ราชวรมหาวิหาร วัดเฉลิมพระเกียรติ วัดปรินายก และ วัดนางนอง
ทรงสร้างวัดใหม่ขึ้น 3 วัด คือ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร วัดเทพธิดา
รามวรวิหาร และ วัดราชนัดดารามวรวิหาร ทรงบูรณปฏิสังขรณ์ วัด
เก่าอีก 35 วัด เช่น วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งสร้างมาแต่รัชกาลที่
1 วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร
เป็นต้น
7
ด้านการศึกษา
ทรงทำนุบำรุงและสนับสนุนการศึกษา โปรดเกล้าฯ ให้ พระเจ้าบรม
วงศ์เธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท แต่งตำราเรียน ภาษาไทย ขึ้นเล่ม
หนึ่งคือ หนังสือ จินดามณี โปรดเกล้าฯ ให้ผู้รู้นำตำราต่าง ๆ มาจารึก
ลงในศิลาตามศาลารอบพุ ทธาวาส วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราช
วรมหาวิหาร ปั้ นตั้งไว้ตามเขามอและเขียนไว้ตามฝาผนังต่าง ๆ มีทั้ง
อักษรศาสตร์ แพทยศาสตร์ พุ ทธศาสนศึกษา โบราณคดี ฯลฯ
เพื่ อเป็นการเผยแพร่วิชาการสาขาต่าง ๆ จึงอาจกล่าวได้ว่า วัด
พระเชตุพนวิมลมังคลารามเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของกรุงสยาม
ด้านสังคมสงเคราะห์
พระองค์ทรงเอาพระทัยใส่ดูแลทุกข์สุขของราษฎร ด้วยมีพระบรม
ราชวินิจฉัยว่า ไม่ทรงสามารถจะบำบัดทุกข์ให้ราษฎรได้ หากไม่เสด็จออก
นอกพระราชวัง เพราะราษฎรจะร้องถวายฏีกาได้ต่อเมื่ อพระคลังเวลา
เสด็จออกนอกพระราชวังเท่านั้น จึงโปรดให้นำกลองวินิจฉัยเภรีออกตั้ง
ณ ทิมดาบกรมวัง ในพระบรมมหาราชวัง เพื่ อราษฎรผู้มีทุกข์จะได้ตี
กลองร้องถวายฎีกาไปทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย เพื่ อให้มีการชำระ
ความกันต่อไป โดยพระองค์จะคอยซักถามอยู่เนื่ อง ๆ ทำให้ตุลาการ ผู้
ทำการพิพากษาไม่อาจพลิกแพลงคดีเป็นอื่ นได้
ในรัชสมัยของพระองค์ได้มีมิชชันนารีชาวอเมริกันและชาวอังกฤษ
เดินทางเข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์เพิ่มมากขึ้น หนึ่งในจำนวนนี้คือ
ศาสนาจารย์ นายแพทย์แดน บีช บรัดเลย์ หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในนาม
"หมอบรัดเลย์" ได้เป็นผู้ริเริ่มให้มีการปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษ และการฉีด
วั ค ซีน ป้ อ ง กั น อ หิว า ต ก โ ร ค แ ล ะ ก า ร ทำ ผ่ า ตั ด ขึ้ น เ ป็ น ค รั้ง แ ร ก ใ น ก รุ ง
รัตนโกสินทร์ นอกจากนี้หมอบรัดเลย์ยังได้คิดตัวพิมพ์อักษรไทยขึ้น (ปี
พ.ศ. 2379) ทำให้มีการพิมพ์หนังสือภาษาไทยเป็นครั้งแรกโดยพิมพ์คำ
สอนศาสนาคริสต์เป็นภาษาไทย เมื่ อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2379 ต่อมา
ปี พ.ศ. 2385 หมอบรัดเลย์พิมพ์ปฏิทินภาษาไทยขึ้นเป็นครั้งแรก
8
ในด้านการหนังสือพิมพ์ฉบับแรกในสมัยรัชกาลที่ 3 หมอบรัดเลย์ได้
ออกหนังสือพิมพ์แถลงข่าวรายปักษ์เป็นภาษาไทย ชื่อ บางกอกรีคอร์เด
อร์ (Bangkok Recorder) มีเรื่องสารคดี ข่าวราชการ ข่าวการค้า ข่าว
เบ็ดเตล็ด ฉบับแรกออกเมื่ อวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2387
หนังสือบทกลอนเล่มแรกที่พิมพ์ขายและผู้เขียนได้รับค่าลิขสิทธิ์คือ
นิราศลอนดอน ของหม่อมราโชทัย (หม่อมราชวงศ์กระต่าย อิศรางกูร)
โดย หมอบรัดเลย์ ซื้อกรรมสิทธิ์ไปพิมพ์ในราคา 400 บาท เมื่ อวันที่ 15
มิถุนายน พ.ศ. 2404 และตีพิมพ์จำหน่ายครั้งแรกเมื่ อวันที่ 6
พฤศจิกายน พ.ศ. 2404
ด้านการค้ากับต่างประเทศ
พระองค์ทรงสนับสนุนส่งเสริมการค้าขายกับต่างประเทศ ทั้งกับ
ชาวเอเชีย และ ชาวยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้ากับจีนมาตั้งแต่เมื่ อ
ครั้งพระองค์ทรงดำรงพระอิสสริยศเป็นกรมหมื่ นเจษฎาบดินทร์ ส่งผล
ให้ พระคลังสินค้า มีรายได้เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ มีการแต่งสำเภาทั้ง
ของราชการ เจ้านาย ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ และพ่อค้าชาวจีนไปค้าขายยัง
เมืองจีนและประเทศใกล้เคียง รวมถึงการเปิดค้าขายกับมหาอำนาจตะวัน
ตกจนมีการลงนามในสนธิสัญญาระหว่างกันคือ สนธิสัญญาเบอร์นี
พ.ศ. 2369 และ 6 ปีต่อมาก็ได้เปิดสัมพันธไมตรีกับ สหรัฐอเมริกา และ
มีการทำสนธิสัญญาต่อกันใน พ.ศ. 2375 นับเป็นสนธิสัญญาฉบับแรกที่
สหรัฐอเมริกาทำกับประเทศทางตะวันออก ส่งผลให้ไทยได้ผลประโยชน์
ทางเศรษฐกิจอย่างมาก
ด้านศิลปกรรม
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะปฏิสงข
รณ์พระปรางค์วัดอรุณราชวรารามจนแล้วเสร็จ และทรงมีรับสั่งให้สร้าง
เรือสำเภาก่อด้วยอิฐใน วัดยานนาวา เพื่ อให้ประชาชนได้รู้ว่าเรือสำเภา
นั้นมีรูปร่างลักษณะอย่างไร เพราะทรงเล็งเห็นว่าภายหน้าจะไม่มีการ
สร้างเรือสำเภาอีกแล้ว
9
สำหรับวรรณกรรม พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้นักปราชญ์ราชบัณฑิต
จารึกวรรณคดีที่สำคัญ ๆ และวิชาแพทย์แผนโบราณลงบนแผ่นศิลา
แล้วติดไว้ตามศาลารายรอบพระอุโบสถ รอบพระมหาเจดีย์บริเวณวัด
พระเชตุพนวิมลมังคลาราม เพื่ อให้ประชาชนได้ศึกษาหาความรู้
10