ความผิดเกี่ยวกับความสงบสุข
ของประชาชน
- กฎหมายอาญาภาคความผิด
FACULTY OF LAW
คำนำ
รายงานเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิชา กฎหมายอาญา ภาคความผิด เกี่ยวกับความ
สงบสุขของประชาชน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาและการนำมาเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับความผิด
ด้านสงบสุขของประชาชน องค์ประกอบความหมายและคำพิพากษาศาลฎีกาในกฎหมายอาญา 2
การศึกษาในหนังสือเล่มนี้ ข้าพเจ้าได้มีการวางแผนดำเนินงานการค้นคว้าจากแหล่งความรู้ต่างๆ
จากหนังสือ ตำรา จากเว็บไซต์ เพื่อให้ข้อมูลเกิดความแม่นยำ ถูกต้องและหลากหลายต่อผู้อ่าน
การทำหนังสือสำเร็จตามวัตถุประสงค์ ข้าพเจ้
าขอขอบคุณแหล่งข้อมูล ที่นำมาทำรายงานในครั้ง
นี้ ข้าพเจ้าหวังว่าหนังสือเล่มนี้จะเกิดประโยชน์อันสุงสุดแก่ผู้อ่าน หากมีความผิดพลาดประการใดก็
ขออภัยมา ณ ที่นี้
ผู้จัดทำ
นายอารีฟ อุแม
15 กันยาย
น 2565
สารบัญ
บทนำ หน้า
ความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชน 1
2
1.ความผิดเกี่ยวกับอั้งยี่และซ่องโจร
5
7
1.1 ความผิดฐานเป็นอั้งยี่ (209) 10
12
1.2 ความผิดฐานเป็นซ่องโจร (210) 13
17
1.3 ความผิดฐานประชุมในที่ประชุมอั้งยี่และซ่องโจร (211)
1.4 ความผิดฐานช่วยเหลืออั้งยี่และซ่องโจร (212)
1.5 การลงโทษกรณีสมาชิกอั้งยี่และพรรคพวกซ่องโจรได้กระทำ
ความผิด (213)
2. ความผิดฐานช่วยกระทำความผิดเป็นปกติธุระ (214)
3. ความผิดเกี่ยวกับการมั่วสุม
3.1 ความผิดฐานมั่วสุม (215)
3.2 ความผิดฐานไม่เลิกมั่งสุมเมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิก (216)
ส่วนที่ 2
บทที่ 11
ความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชน
การรักษาความสงบเรียบร้อยเป็นเป้าหมายหลักของกฎหมายอาญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรักษาความ
สงบสุขซึ่งเป็หน้าที่ ของรัฐในการสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนว่าจะใช้ชีวิตได้โดยปกติสุข การกระทำที่อาจ
กระทบต่อความสงบสุขขอประชาชนที่สำคัญ ได้แก่การรวมตัวกระทำความผิดทั้งที่เป็นการสมคบกันทั่วๆไป
จนถึงขั้นเป็นองค์กรอาชญากรรม การรวมตัวดังกล่าวอาจสร้างความเสียหายแก่รัฐ และสร้างความหวาดกลัวให้
แก่ประชาชนอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ รัฐจึงต้องป้องกันปรามด้วยกำหนดความผิดและโทษสำหรับบุดคลที่สมคบ
กันหรือเป็นสมาชิกของสมาคมลับหรือองค์กรอาชญากรรมดลอดจนผู้เกี่ยวข้อง แม้ว่าการลงมือกระทำความผิด
ตามที่สมคบกันยังไม่เกิดขึ้นเลยก็ตาม
1.ความผิดเกี่ยวกับอั้งยี่และซ่องโจร
1.1 ความผิดฐานเป็นอั้งยี่ (มาตรา 209)
ก.บทบัญญัติ
มาตรา 209 ผู้ใดเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบ
ด้วยกฎหมาย ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นอั้งยี่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปีและปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่
หมื่นบาท ถ้าผู้กระทำความผิดเป็นหัวหน้าผู้จัดการ หรือผู้มีตำแหน่งหน้าที่ในคณะบุดคลนั้นผู้นั้นต้องระวาง
โทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท
ข. องค์ประกอบความผิด
ข.1 องค์ประกอบภายนอก
(1) ผู้ใด
(2) เป็นสมาชิกของคณะบุคคล
(3) ปกปิดวิธีดำเนินการ
(4) มีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย
1
ข.2 องค์ประกอบภายใน
เจตนาธรรมดา
ค. เหตุที่ทำให้รับโทษหนักขึ้น
เหตุฉกรรจ์ตามวรรคสอง รับโทษหนักขึ้นถ้าผู้กระทำความผิดเป็นหัวหน้า ผู้จัดการหรือผู้มีตำแหน่งหน้าที่
ในคณะบุคคลนั้น
ง. คำอธิบาย
ง.1 เป็นสมาชิกของคณะบุคคล
"เป็นสมาชิกของคณะบุคคล" หมายความว่า เป็นสมาชิกของกลุ่มบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ซึ่งมีลักษณะเป็น
องค์กรที่สมาชิกมีความมุ่งหมายอย่างเดียวกัน เช่น เป็นสมาชิกของกลุ่มบุคคลเพื่อช่วยเหลือหาพยานเท็จและ
ออกเงินช่วยเหลือเมื่อสมาชิกตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา"
ถ้าการรวมตัวกันกระทำความผิดซึ่งมิใช่ลักษณะในเชิงคณะบุดคล ผู้กระทำไม่มีความผิดฐานนี้ เช่น เพียง
แต่นัดหมายมาเล่นการพนันกันเป็นครั้งคราวแต่เจ้าของบ่อนกับผู้ร่วมก่อการจัดให้มีการเล่นการพนันเป็นประจำ
เข้าข่ายกระทำในเชิงคณะบุคคล ย่อมมีความผิดฐานนี้
ง.2 ปกปิดวิธีดำเนินการ
คณะบุคคลที่เข้าเป็นสมาชิกนั้นปกปิดวิธีดำเนินการ เฉพาะสมาชิกเท่านั้นที่รู้วิธีนการ ซึ่งไม่เป็นที่เปิดเผยแก่
บุคคลภายนอก เช่น ใช้วิธีการซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐ ใช้ป้าสำนังานทนายความมาปิดบังไม่ให้รู้ว่าเป็นสถานที่ใช้
เล่นการพนัน"
ง.3 มีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย
นอกจากจะปกปิดวิธีดำเนินการแล้ว คณะบุคคลดังกล่าวยังมีความมุ่งหมายเพื่อมิชอบด้วยกฏหมาย ซึ่งการอันมิ
ชอบดังกล่าวไม่จำต้องถึงขนาดเป็นความผิดอาญาเสียแต่หมายความรวมถึงการอื่นใด ที่ไม่มีกฎหมายรับรองให้
กระทำได้เพราะขัดต่อความสงบเรียบร้อยธรรมอันดีของประชาชน เช่น การที่สถาบันกวดวิชาช่วยเหลือกลุ่มผู้
เข้าสอบ เข้าทำงานให้โกงการสอบ
ง.4 เหตุฉกรรจ์ตามวรรคสอง
ผู้เป็นหัวหน้า ผู้จัดการหรือผู้มีตำแหน่ง หน้าที่ในคณะบุดคลซึ่งเป็นตำแหน่งบริหาร เช่น เหรัญถูก ต้องระวาง
โทษหนักขึ้น
2
คำพิพากษาฎีกาที่ 283/2565 ความผิดฐานร่วมกันกระทำการเป็นอั้งยี่ เป็นความผิดทันทีเมื่อผู้นั้นได้เข้า
เป็นสมาชิกของคณะบุดคล ซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย และ
ความผิดฐานร่วมกันเป็นช่องโจรก็เป็นดวามผิดสำเร็จเมื่อมีการสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิด
อย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 ของประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งตามองค์ประกอบของความผิดสอง
ฐานนี้ จึงอาจเป็นควาผิดต่างกรรมกันได้ แต่เมื่อการกระทำความผิดฐานร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กร
อาชญากรรมข้ามชาติตามพ.ร.บป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กอาชญากรรมข้ามชาติพ.ศ. 2556
มาตรา 5 (1) และ (2) มีองค์ประกอบของความผิดในลักษณะเดียวกันกับความผิดฐานร่วมกันกระทำการเป็น
อั้งยี่และความผิดฐานร่วมกันเป็นซ่องโจร ความผิดฐานดังกล่าวจึงเป็นการกระทำกรรมเดียวกัน เมื่อปรากฏ
ว่าการเข้าเป็นสมาชิกหรือการสมคบกันนั้น ก็เพื่อจะกระทำความผิดฐานร่วมกันฉัอโกงประชาชนโดยแสดงตน
เป็นคนอื่นและด้วยการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปลอมหรือเป็นเท็จ ความผิดฐานร่วม
กันกระทำการเป็นอั้งยี่ ฐานร่วมกันเป็นซ่องโจรและร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติจึงเป็นการ
กระทำที่ต่อเนื่องกันและโดยมีเจตนามุ่งหมายอันเดียวกันกับความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตน
เป็นคนอื่น และฐานร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปลอมหรือเป็นเท็จ ความผิดฐาน
ต่างๆดังกล่าวจึงเป็นการกระทำกรรมเดียวกัน แต่ความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินนั้น พ.ร.บ. ป้องกันและปราบ
ปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มีเจตนารมณ์ในการปราบปรามผู้กระทำความผิดมูลฐานที่ได้นำเงินหรือ
ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมากระทำการในรูปแบบต่างๆ อันเป็นการฟอกเงินเพื่อนำเงินหรือ
ทรัพย์สินนั้นไปใช้เป็นประโยชน์ในการกระทำความผิดต่อไปได้อีก ความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินจึงเป็นการ
กระทำความผิดที่เกิดภายหลัง เมื่อมีการกระทำความผิดฐานอื่นๆดังกล่าวสำเร็จแล้วและเป็นความผิดอีกส่วน
หนึ่งซึ่งสามารถแยกเจตนาและการกระทำต่างจาการ
กระทำความผิดฐานอื่นนั้นได้ จึงเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่งต่างกรรมกัน
1.2 ความผิดฐานเป็นซ่องโจร (มาตรา 210)
ความผิดฐานเป็นซ่องโจรเปรียบทียบได้กับความผิดฐาน สมคบในระบบคอมมอนลอว์ความผิดฐานนี้
เอาผิดตั้งแต่ขั้นตอนก่อนการลงมือกระทำความผิดที่สมคบกัน ซึ่งสาระสำคัญของความผิดได้แก่การตกลงกันว่า
จะกระทำความผิด
ก. บทบัญญัติ
มาตรา 210 ผู้ใดสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ใน
ภาค 2 นี้ และความผิดนั้นมีกำหนดโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไปผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นช่องโจร
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าเป็นการสมคบเพื่อกระทำความผิดที่มีระวางโทษถึงประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกอย่างสูง
ตั้งแต่สิบปีขึ้นไป ผู้กระทำต้องระวางโทษจำดุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปีและปรับตั้งแต่สี่หมื่นบาทถึงสองแสนบาท
3
ข. องค์ประกอบความผิด
ข.1 องค์ประกอบภายนอก
(1) ผู้ใด
(2) สมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป
ข.2 องค์ประกอบภายใน
(1) เจตนาธรรมดา
(2) เจตนาพิเศษ - เพื่อกระทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในกาค 2 นี้ และความ
ผิดนั้นมีกำหนดโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป
ค. เหตุที่ทำให้รับโทษหนักขึ้น
เหตุฉกรรจ์ตามวรรคสอง รับโทษหนักขึ้นถ้าเป็นการสมคบกันโดยมีเจตนาพิเศษเพื่อกระทำความผิดที่มีระวาง
โทษถึงประหารชีวิต จำดุกตลอดชีวิต หรือจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สิบปีขึ้นไป
ง. คำอธิบาย
ความผิดฐานนี้มุ่งพิจารณาถึงลักษณะการกระทำที่เป็นการสมคบกันโดยมีจำนวน ตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป ถ้าไม่ถึงห้า
คนย่อมไม่เป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจรซึ่งลักษณะการกระทำแตกต่างจากความผิดฐานเป็นอั้งยี่ตรงที่ว่า ความ
ผิดฐานเป็นอั้งยี่นั้นพิจารณาจากการเป็นสมาชิกของคณะบุคคลโดยไม่พักต้องคำนึงว่า จะมีบุคคลจำนวนเท่าใด
ส่วนความผิดฐานเป็นซ่องโจรนั้น ผู้กระทำไม่จำต้องเป็นสมาชิกของคณะบุคคลใด เพียงแต่แสดงให้เห็นว่ามีการ
สมคบกันจำนวนไม่น้อยกว่าห้าคนก็เป็นดวามผิดฐานนี้ นอกจากนี้ การเป็นอั้งยี่นั้นมีการปกปีดวิธีดำเนินการอัน
มิชอบด้วยกฎหมาย แต่อาจไม่ถึงกับเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาภาค 2 ก็ได้ ในขณะที่การเป็น
ซ่องโจรต้องสมคบกันกระทำความผิดตามภาค 2 แห่งประมวลกฎหมายอาญาเท่านั้น
ง.1 สมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป
คำว่า "สมคบ" หมายความว่า ร่วมกันคิดและตกลงกันกระทำการในทางที่ไม่ชอบความผิดสำเร็จเมื่อมีการตกลง
กันกระทำความผิด (Agreements to Commit a Crime) ซึ่งต้องพิสูจน์ได้ว่ามีการตกลงกันเช่นนั้นอย่างแน่ชัด
กล่าวคือ มีการประชุมหารือร่วมกันและตกลงกันว่าจะกระทำความผิดอะไร เพราะการ "ตกลงกัน" เป็นสาระ
สำคัญที่จะแสดงให้เห็นว่ามีการกระทำความผิดฐานเป็นช่องโจรหรือไม่ และเป็นความผิดสำเร็จเมื่อสมคบกัน
ถ้าไม่อาจแสดงให้เห็นได้ว่ามีการตกลงกัน หรือเพียงแต่มาประชุมหารือกันโดยมิได้ตกลงอะไรกันหรือยังตกลง
กันไม่ได้ ก็ย่อมไม่เป็นการสมคบกันเป็นซ่องโจร
ตัวอย่างที่ 1 จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 เพียงแต่ร่วมกันเจรจากับเจ้าพนักงานตำรวจที่ไปล่อซื้อ
โดยเสนอขายรถจักรยานยนต์ที่ถูกลักมาเท่านั้น เป็นลักษณะที่เป็นการกระทำต่อบุคคลภายนอก เมื่อไม่ปรากฏ
ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 ได้มีการคบคิดกันว่าจะกระทำความผิดร่วมกันรับของโจร จึงยังฟังไม่ได้ว่า
กระทำความผิดฐานเป็นซ่องโจร
4
ง.2 เจตนาพิเศษ - เพื่อกระทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้
ในภาค 2 นี้ และความผิดนั้นมีกำหนดโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไปนอกจากผู้กระทำต้องรู้ข้อเท็จจริง
อันเป็นองค์ประกอบความผิดและประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลแล้ว ยังจะต้องมีเจตนาพิเศษเพื่อกระทำ
ความผิดอย่างหนึ่งอย่างใคตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 กล่าวคือ เป็นการสมคบกันเพื่อกระทำความผิดดังที่
บัญญัติไว้ในลักษณะ 1 จนถึงลักษณะ 13 ของภาค 2 แห่งประมวลก ฎหมายอาญา เช่น การก่อการร้าย การ
ฆ่าหรือทำร้ายร่างกาย2การข่มขืนใจหรือหน่วงเหนี่ยวหรือกักขัง2 การลักทรัพย์2 การชิงทรัพย์หรือปลัน
ทรัพย์23 การฉ้อโกง"โจทก็มีหน้าที่บรรยายฟ้องให้ชัดเจนเพียงพอว่าจำเลยได้ตกลงกระทำความผิดฐานใด ด้วย
วิธีการอย่างไร หาไม่แล้วอาจเป็นฟ้องที่ไม่ชอบซึ่งศาลอาจยกฟ้องได้2
1.3 ความผิดฐานประชุมในที่ประชุมอั้งยี่หรือช่องโจร (มาตรา 211)
ก. บทบัญญัติ
มาตรา 211 ผู้ใดประชุมในที่ประชุมอั้งยี่หรือช่องโจร ผู้นั้นกระทำความผิด
อั้งยี่หรือช่องโจรเวันแต่ผู้นั้นจะแสดงได้ว่า ได้ประชุมโดยไม่รู้ว่าเป็นการประชุมของอั้งยี่หรือ
ซ่องโจร
ข. องค์ประกอบความผิด
ข.1 องค์ประกอบภายนอก
(1) ผู้ใด
(2) ประชุมในที่ประชุมอั้งยี่หรือซ่องโจร
(3) เว้นแต่ผู้นั้นจะแสดงได้ว่าได้ประชุมโดยไม่รู้ว่าเป็นการประชุมของอั้งยี่
ข.2 องค์ประกอบภายในเจตนาธรรมดา
ค. คำอธิบาย
นอกจากการเข้าเป็นสมาชิกอั้งยี่ตามมาตรา 209 หรือการสมคบกันเป็นซ่องโจรตามมาตรา 210 แล้ว บุคคลที่
ร่วมประชุมในที่ประชุมอั้งยี่หรือซ่องโจรก็ถูกสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นอั้งยี่หรือซ่องโจร เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าผู้
นั้นไม่รู้ว่าเป็นการประชุมของอั้งยี่หรือซ่องโจร ซึ่งเป็นกรณี
กลับหน้าที่นำสืบให้แก่จำเลย
คำว่า "ประชุม" ในที่นี้ หมายความถึง มารวมกันปรึกษาหารือหรือตกลงกันการประชุม
นั้นจะต้องเกี่ยวข้องกับการเป็นอั้งยี่หรือช่องโจรโดยเฉพาะ ถ้าหากผู้ใดเข้าร่วมประชุมกับกลุ่มบุดคลดังกล่าว ก็
จะมีความผิดตามมาตรานี้ แต่ถ้าหากการมารวมตัวกันนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับวิธีการดำเนินการหรือการตกลงว่า
จะกระทำความผิดใด เช่น พวกอั้งยี่เชิญ นาย ก. ไปร่วมรับประทานอาหารกับกลุ่มของตน โดยมิได้ปรึกษา
หารือเกี่ยวกับการดำเนินการของอั้งยี่เลย นาย ก. ย่อมไม่มีความผิดตามมาตรา 211 เพราะไม่ถือว่าการรวมตัว
กันรับประทานอาหารนั้นเป็นการประชุมของอั้งยี่หรือซ่องโจร
5
นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมประชุมต้องมี "เจตนา" เข้าร่วมประชุมด้วย กล่าวคือ รู้ว่าตนเข้าร่วมการประชุม
ของอั้งยี่หรือซ่องโจร ถ้าไม่รู้ว่าการรวมกันดังกล่าวเป็นการประชุม ผู้นั้นก็ไม่มีความผิดเพราะไม่รู้ ข้อเท็จจริงอัน
เป็นองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 59 วรรคสาม เช่น
นาย ก. เดินผ่านมา นาย ข. กับพวกซึ่งนั่งรับประทานอาหารและอยู่ระหว่างการตกลงเกี่ยวกับวิธีการดำเนินการ
ของอั้งยี่ได้ชักชวนให้นาย ก. มานั่งรับประทานอาหารด้วย กรณีนี้นาย ก. ไม่ทราบว่าเป็นการประชุม นาย ก.
ย่อมไม่มีความผิดเพราะขาดเจตนาอันเป็นผลจากการไม่รู้ว่าเป็นการประชุมตามมาตรา 59 วรรคสาม
กรณีบุคคลรู้ว่าตนกำลังประชุมในที่ประชุม ประเด็นปัญหาที่ต้องพิจารณาต่อไปก็คือ
บุคคลนั้นจำเป็นต้องรู้หรือไม่ว่าการประชุมดังกล่าวเป็นการประชุมของอั้งยี่หรือช่องโจร
(1) กรณีเข้าประชุมโดยรู้ว่าเป็นการประชุมของอั้งยี่หรือช่องโจร บุคคลนั้นก็มีความผิด
นับแต่เข้าร่วมประชุม ซึ่งเป็นความผิดฐานเป็นอั้งยี่หรือช่องโจรตามมาตรา 211 แต่อาจจะมีเหตุ
ยกเว้นโทษอย่างอื่น เช่น การกระทำโดยจำเป็นต้องเข้าร่วมประชุมเพราะถูกบังคับให้อยู่ในที่ประชุมนั้น ซึ่งเป็น
เหตุยกเว้นโทษตามมาตรา 67 (1)9"
(2) กรณีเข้าประชุมโดยไม่รู้ว่าเป็นการประชุมของอั้งยี่หรือซ่องโจร บุคคลนั้นจะมีความผิดหรือไม่ขึ้น
อยู่กับว่าจะสามารถแสดงได้ว่า ตนได้ประชุมโดยไม่รู้ว่าเป็นการประชุมขออั้งยี่หรือช่องโจร ซึ่งกรณีนี้เป็นบท
สันนิษฐานซึ่งผลักภาระการพิสูจน์ให้แก่จำเลยเพื่อพิสูจน์หักล้างว่าตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มอั้งยี่หรือ
ซ่องโจรนั้น ถ้าจำเลยพิสูจน์ได้ก็ไม่มีความผิด แต่ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ก็มีความผิดฐานเป็นอั้งยี่หรือช่องโจรตามมาดรา
211 นี้
ตัวอย่าง นายหลงเข้าไปนั่งประชุมกับสมาชิกซ่องโจรตามคำชักชวนของนายเหลิงซึ่งกำลังตกลงว่าจะ
กระทำความผิดฐานลักทรัพย์ในเคหสถาน นายเหลิงแกลังทำทีปรึกษานายหลงซึ่งเป็นช่างว่าเปิดประตูเข้าบ้าน
ตนเองไม่ได้เพราะกลไกของประตูมีปัญหาเพื่อให้นายหลงบอกวิธีเปิดประตูบ้านของคนอื่นเข้าไปลักทรัพย์ ต่อ
มาเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าควบคุมตัวบุคคลทั้งหมดในข้อหาช่องโจร นายหลงย่อมมีหน้าที่แสดงให้เห็นว่าตนไม่รู้ว่า
เป็นการประชุมของช่องโจร ถ้านายหลงสามารถห็นได้ นายหลงก็จะไม่มีความผิด แต่ถ้หากนายหลงไม่สามารถ
พิสูจน์ได้ว่าตนเป็นการประชุมของซ่องโจร นายหลงยังคงต้องรับผิดฐานเป็นช่องโจร ตามมาตรา 211 ทั้งๆ ที่
ตนเองไม่ได้เข้าร่วมเป็นซ่องโจรกับกลุ่มบุคคลดังกล่าวเลย
6
เหตุผลที่มาตรา 21 กำหนดความผิดโดยมีบทสันนิษฐานยกเว้นความรับผิดไว้กรณีที่ผู้กระทำไม่รู้ว่า
เป็นการประชุมของอั้งยี่หรือซ่องโจร ก็เพราะประสงค์จะผลักภาระการพิสูจน์ให้แก่ผู้ต้องหาหรือจำเลยซึ่งเข้า
ร่วมประชุมด้วยเป็นฝ่ายพิสูจน์ว่า ตนไม่มีเจตนาเข้าร่วมประชุมกับอั้งยี่หรือซ่องโจรนั้นศาสตราจารย์ ดร. หยุด
แสงอุทัย ได้กรุณาแสดงความเห็นไว้ว่าปกติแล้วการประชุมอั้งยี่หรือกษณะพิเศษกว่าการประชุมธรรมดา เพราะ
มีวิธีการหรือกล่าวถึงการกระทำความผิดเป็นนั้น ผู้ที่เข้าประชุมจึงน่าจะทราบได้ว่าเป็นการประชุมอั้งยี่หรือ
ซ่องโจ1ร.4แลคะวมีาหมนผ้ิาดทีฐ่ผาลนะชอ่วอยกเหลืออั้งยี่หรือช่องโจร (มาตรา 212)
ก. บทบัญญัติ
มาตรา 212 ผู้ใด
(1) จัดหาที่ประชุมหรือที่พำนักให้แก่อั้งยี่หรือซ่องโจร
(2) ชักชวนบุคคลให้เข้าเป็นสมาชิกอั้งยี่หรือพรรคพวกซ่องโจร
(3) อุปการะอั้งยี่หรือช่องโจรโดยให้ทรัพย์หรือโดยประการอื่น หรือ
(4) ช่วยจำหน่ายทรัพย์ที่อั้งยี่หรือช่องโจรได้มาโดยการกระทำความผิด
ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดฐานเป็นอั้งยี่หรือช่องโจร แล้วแต่กรณี
ข. องค์ประกอบความผิด
ข.1 องค์ประกอบภายนอก
(1) ผู้ใด
(2) กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้
(2.1) จัดหาที่ประชุมหรือที่พำนักให้แก่อั้งยี่หรือซ่องโจร
(2.2) ชักชวนบุคคลให้เข้าเป็นสมาชิกอั้งยี่หรือพรรคพวกซ่องโจร
(2.3) อุปการะอั้งยี่หรือช่องโจรโดยให้ทรัพย์หรือโดยประการอื่น หรือ
(2.4) ช่วยจำหน่ายทรัพย์ที่อั้งยี่หรือซ่องโจรได้มาโดยกระทำความผิด
ข.2 องค์ประกอบภายใน
เจตนาธรรมดา
ค. คำอธิบาย ความผิดฐานช่วยเหลืออั้งยี่หรือซ่องโจรเป็นความผิดที่แยกต่างหากจากความ
ผิดฐานเป็นอั้งยี่หรือซ่องโจร แต่ระวางโทษเช่นเดียวกับที่บัญญัติไว้ในมาตรา 209 หรือมาตรา 210 ผู้กระทำผิด
ตามมาตรานี้เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือเกื้อกูล ให้การกระทำความผิดฐานเป็นอั้งยี่ หรือซ่องโจรดำเนินไปได้อย่าง
สะดวกในลักษณะที่เป็นผู้สนับสนุน แต่การสนับสนุนตามมาตรานี้เป็นได้ทั้งก่อน ขณะหรือหลังความผิดที่สมคบ
กันได้ถูกกระทำลง ซึ่งการช่วยเหลือดังกล่าวเป็นไปตามข้อหนึ่งข้อใดตาม ง.1 จนถึง ง.4
7
ง.1 จัดหาที่ประชุมหรือที่พำนักให้แก่อั้งยี่หรือซ่องโจร
ผู้กระทำช่วยจัดหา "ที่ประชุม" หรือ "ที่พำนัก" ให้แก่อั้งยี่หรือซ่องโจร ทั้งสถานที่ประชุมและสถานที่พำนักโดย
ไม่จำต้องเป็นของผู้กระทำ เพียงแต่ผู้นั้นช่วยจัดหาให้ ความผิดก็สำเร็จลงแล้ว ทั้งยังไม่ต้องพิจารณาว่าอั้งยี่หรือ
ซ่องโจรได้ใช้สถานที่นั้นประชุมหรือพำนักแล้วหรือไม่ เช่นโทรศัพท์ไปจองโรงแรมให้ประชุมหรือเข้าพักก็เป็น
ความผิดสำเร็จแล้ว ไม่ว่าจะมีการประชุมหรือเข้าพักหรือไม่ก็ตาม เนื่องจากผู้กระทำได้กระทำการ "จัดหา"
ลุล่วงไปแล้ว การที่อั้งยี่หรือซ่องโจรจะมาประชุมหรือพำนักหรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลังจากการจัดหา
แล้ว ความประสงค์ของมาตรานี้น่าจะไม่ต้องการให้ผู้ใดกระทำการใดอันเป็นการช่วยเหลืออั้งยี่หรือช่องโจร
มากกว่าการพิจารณาว่าการช่วยเหลือนั้นสำเร็จลุล่วงหรือไม่ มิฉะนั้นจะเกิดข้อแตกต่างกันในการลงโทษ เช่น
นาย ก. จัดหาที่ประชุมให้แก่ซ่องโจรเรียบร้อย แต่ปรากฎว่าช่องโจรเปลี่ยนที่ประชุมกะทันหัน
นายก. ก็ควรได้รับโทษในฐานะที่ "จัดหา" ที่ประชุมให้สำเร็จลงแล้ว มิใช่เป็นเพียงกรณี
"พยายามจัดหา "ที่ประชุมเท่านั้น"
ง.2 ชักชวนบุคคลให้เข้าเป็นสมาชิกอั้งยี่หรือพรรคพวกช่องโจร
การชักชวนบุดคลให้เข้าเป็นสมาชิกอั้งยี่หรือพรรคพวกซ่องโจรเป็นการช่วยเหลือ หรือส่งเสริมให้กลุ่มอั้งยี่หรือ
ซ่องโจรมีกำลังหรืออิทธิพลมากยิ่งขึ้น ผู้กระทำจึงมีความผิดตามมาตรานี้ แต่ผู้ที่เป็นอั้งยี่หรือซ่องโจรอยู่แล้วแม้
ได้ซักชวนบุคคลอื่นมาเข้ากลุ่มด้วย จะมีความผิดเฉพาะฐานเป็นอั้งยี่หรือช่องโจรตามมาตรา 200 หรือ 210
เท่านั้น ไม่มีความผิดตามอนุมาตรานี้อีก"
ความผิดฐานนี้สำเร็จเมื่อผู้กระทำได้ซักชวนบุคคล ให้เข้าเป็นสมาชิกอั้งยี่หรือพรรคพวกซ่องโจร ไม่ว่า
บุคคลนั้นจะเข้าเป็นสมาชิกหรือพรรคพวกตามที่ได้รับการซักชวนหรือไม่ เพราะการกระทำอันเป็นการ "ซัก
ชวน" เสร็จสิ้นลงแล้ว อำนาจในการตัดสินใจว่าจะเข้าเป็นสมาชิกอั้งยี่หรือพรรดพวกซ่องโจรมิได้อยู่ที่ผู้ที่ซักชวน
อีกต่อไป
8
ง.3 อุปการะอังยี่หรือช่องโจรโดยให้ทรัพย์หรือโดยประการอื่น
อุปการะ หมายถึง ช่วยเหลือเกื้อกูลหรืออุดหนุนอั้งยี่ด้วยการให้ทรัพย์หรือการอื่นใดโดยสมัครใจ เช่น ให้งิน
สนับสนุนการดำเนินการ บอกสถานที่หรือชี้ตัวบุคคลที่จะไปกระทำความผิดแนะนำวิธีหาทรัพย์โดยมิชอบด้วย
กฎหมาย ถ้าถูกบังดับให้ช่วยเหลือ ผู้กระทำไม่มีความผิดตามอนุมาตรานี้" เช่น สมาชิกอั้งยี่เรียกเก็บค่คุ้มครอง
โดยขู่ว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย
ง.4 ช่วยจำหน่ายทรัพย์ที่อั้งยี่หรือซ่องโจรได้มาโดยการกระทำความผิด
ช่วยจำหน่ายทรัพย์ หมายถึง ช่วยให้ทรัพย์เปลี่ยนมือจากบุคคลหนึ่งไปยังบุคคลอีกคนหนึ่ง ไม่ว่าจะใช้วิธีซื้อ
ขาย แลกเปลี่ยน ให้ หรือวิธีอื่นใด โดยทรัพย์นั้นไม่จำต้องอยู่ในความครอบครองของผู้กระทำ เช่น ประกาศทาง
อินเทอร์เน็ตช่วยขายทรัพย์ที่ซ่องโจรลักมา
แม้ว่าช่องโจรนั้นจะเลิกไปเพราะกระทำความผิดที่สมคบกันสำเร็จแล้ว ผู้ช่วยเหลือก็ยังคงมีความผิด
อยู่ ความผิดสำเร็จเมื่อช่วยจำหน่าย ถ้าหากผู้กระทำช่วยแล้ว แต่ยังจำหน่ายทรัพย์นั้นไม่ได้ ผู้กระทำยังคงต้อง
รับผิดตามอนุมาตรานี้
นอกจากนี้ ทรัพย์ที่เป็นวัตถุแห่งการกระทำตามมาตรานี้จำกัดเฉพาะทรัพย์ที่ได้มาจากการกระ
ทำความผิดเท่านั้น ทั้งนี้ไม่ว่าจะได้มาจากการกระทำความผิดฐานใดก็ตามแต่ไม่รวมถึงทรัพย์สินอื่นที่อั้งยี่หรือ
ช่องโจรเป็นเจ้าของโดยชอบด้วยกฎหมาย เช่น กลุ่มอั้งยี่ให้ช่วยประกาศขายรถยนต์ของสมาชิกอั้งยี่ที่มีมาแต่
เดิมเพื่อนำเงินมาใช้หมุนเวียนภายในกลุ่ม ไม่เป็นความผิดตามอนุมาตรานี้
9
1.5 การลงโทษกรณีสมาชิกอั้งยี่หรือพรรคพวกช่องโจรได้กระทำความผิด
(มาตรา 213)
ก. บทบัญญัติ
มาตรา 213 ถ้าสมาชิกอั้งยี่หรือพรรคพวกช่องโจรคนหนึ่งคนใด ได้กระทำความผิด
ตามความมุ่งหมายของอั้งยี่หรือซ่องโจรนั้น สมาชิกอั้งยี่หรือพรรคพวกซ่องโจรที่อยู่ด้วยในขณะ
กระทำความผิด หรืออยู่ด้วยในที่ประชุมแต่ไม่ได้คัดค้านในการตกลงให้กระทำความผิดนั้น และ
บรรดาหัวหน้า ผู้จัดการหรือผู้มีตำแหน่งหน้าที่ในอั้งยี่หรือซ่องโจรนั้น ต้องระวางโทษตามที่บัญญัติ
ไว้สำหรับความผิดนั้นทุกคน
ข. เงื่อนไขและผล
ข.1 เงื่อนไข
ถ้าสมาชิกอั้งยี่หรือพรรดพวกซ่องโจรคนหนึ่งคนใดได้กระทำความผิดตามความมุ่งหมายของอั้งยี่หรือ
ซ่องโจรนั้น
ข.2 ผล
สมาชิกอั้งยี่หรือพรรดพวกซ่องโจร
(1) ที่อยู่ด้วยในขณะกระทำความผิด
(2) ที่อยู่ด้วยในที่ประชุม แต่ไม่ได้คัดด้านในการตกลงให้กระทำความผิดนั้น หรือ
(3) ซึ่งเป็นบรรดาหัวหน้า ผู้จัดการ หรือผู้มีตำแหน่งหน้าที่ในอั้งยี่หรือช่องโจรนั้น
ต้องระวางโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้นทุกคน
ค. คำอธิบาย
มาตรา 213 นี้ เป็นบทบัญญัติที่ลงโทษผู้ที่เป็นสมาชิกอั้งยี่หรือพรรคพวกซ่องโจรทั้งที่อยู่ด้วยหรือไม่อยู่
ด้วยขณะกระทำความผิดตามความมุ่งหมาย ต้องได้ระวางโทษสำหรับความผิดที่สมาชิกอั้งยี่หรือพรรคพวก
ซ่องโจรบางคนไปกระทำลง ซึ่งเป็นความรับผิดทางอาญาสำหรับการกระทำของบุคคลอื่นที่เรียกว่า Vicarious
Liabilityseloert
การที่สมาชิกอั้งยี่ หรือ พรรดพวกซ่องโจรจะรับผิดตามผลของมาตรานี้ได้ จะต้องเป็นการกระทำของ
หนึ่ง ในสมาชิกอั้งยี่หรือพรรคพวกช่องโจรซึ่งเป็นไปตามความมุ่งหมายของอั้งยี่หรือซ่องโจรนั้น เช่น พรรดพวก
ซ่องโจรมีความมุ่งหมายในการชิงทรัพย์ เมื่อพรรคพวกซ่องโจรคนใดก็ตามได้กระทำความผิดฐานชิงทรัพย์แล้ว ก็
ถือได้ว่าอยู่ในขอบเขตของความมุ่งหมายของซ่อง
10
ในทางตรงข้าม ถ้าหากการกระทำของสมาชิกอั้งยี่หรือซ่องโจรนั้นไม่ได้อยู่ในความ
มุ่งหมายของอั้งยี่หรือซ่องโจร ย่อมไม่ผูกพ้นให้สมาชิกหรือพรรคพวกคนอื่นต้องรับผิดร่วมด้วยเช่น สมาชิกอั้งยี่ที่
มีเป้าหมายในการกรรโซกทรัพย์ แต่กลับไปข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ซึ่งอยู่นอกขอบเขตของความมุ่งหมาย
สมาชิกอั้งยี่คนอื่นไม่ต้องร่วมรับผิดในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราด้วย
บุคคลที่จะต้องรับผิดในการกระทำของสมาชิกอั้งยี่หรือพรรคพวกซ่องโจรที่กระทำ
ความผิดตามความมุ่งหมาย ได้แก่
(1) สมาชิกอั้งยี่หรือพรรคพวกช่องโจรที่อยู่ด้วยในขณะกระทำความผิด
การอยู่ด้วยในขณะกระทำความผิดอาจ หมายถึงการอยู่ด้วยในฐานะตัวการหรือในฐานะอื่นก็ได้ กรณีเป็นตัวการ
ซึ่งมีเจตนาและได้ลงมือกระทำความผิดด้วยกัน ตัวการก็ระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดสำหรับความผิดหลัก
ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 83 นอกจากนี้ยังอาจมีการอยู่ด้วยในลักษณะที่ไม่เป็นตัวการ เนื่องจากไม่ได้เจตนา
กระทำความผิดหรือไม่ได้ร่วมลงมือกระทำผิดด้วย หรืออาจเป็นเพียงผู้สนับสนุน เช่น นาย ก. ตกลงกับพรรค
พวกช่องโจรมาปลันบ้านบิดาซึ่งตนอาศัยอยู่ด้วยแม้ว่านาย ก. จะไม่ได้ลงมือกระทำความผิดร่วมด้วย แต่เมื่อนาย
ก. อยู่ด้วยกับพรรดพวกซ่องโจรนะเกิดเหตุ นาย ก. ก็ต้องรับโทษตามระวางโทษในความผิดฐานปลันทรัพย์ด้วย
ถึงแม้จะไม่ได้เป็นตัวการก็ตาม
(2) สมาชิกอั้งยี่หรือพรรคพวกช่องโจรที่อยู่ด้วยในที่ประชุม แต่ไม่ได้
คัดค้านในการตกลงให้กระทำความผิดนั้น การอยู่ด้วยในที่ประชุมและไม่ได้คัดค้าน กฎหมาย
ถือว่าผู้ที่อยู่ด้วยนั้นยินยอมพร้อมใจให้เกิดความผิดขึ้น ดังนั้นจึงไม่มีเหตุอันไดที่จะอ้างให้พัน
ความรับผิดตามความผิดที่ผู้อื่นได้กระทำลงไปได้
(3) เป็นหัวหน้า ผู้จัดการ หรือผู้มีตำแหน่งหน้าที่ในอั้งยี่หรือช่องโจรนั้น เนื่องจาก
การเป็นอั้งยี่ หรือ ช่องโจรไม่อาจเกิดขึ้นได้ถ้าไม่มีหัวหน้าหรือผู้มีบทบาทสำคัญในการบังคับบัญชาหรือบริหาร
อั้งยี่หรือซ่องโจรนั้น กฎหมายจึงให้บุดคลที่เป็นหัวหน้า ผู้จัดการ หรือผู้มีตำแหน่งหน้าที่ในอั้งยี่ หรือ ซ่องโจร
นั้นต้องระวางโทษเช่นเดียวกับสมาชิกหรือพรรดพวกที่ได้กระทำความผิดตามความมุ่งหมายลงแล้ว ถึงแม้ว่าจะ
ไม่ได้อยู่ด้วยในขณะกระทำความผิด หรือจะได้คัดด้านในการตกลงให้กระทำความผิดนั้นแล้วก็ตาม
11
2. ความผิดฐานช่วยผู้กระทำความผิดเป็นปกติธุระ (มาตรา 214)
ก. บทบัญญัติ
มาตรา 214 ผู้ใดประพฤติตนเป็นปกติธุระเป็นผู้จัดหาที่พำนัก ที่ซ่อนเร้นหรือที่ประชุมให้บุคคลซึ่ง
ตนรู้ว่าเป็นผู้กระทำความผิดที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่น
บาท หรถื้อาทกั้งาจรำกทรั้ะงปทำรับความผิดนั้น เป็นการกระทำเพื่อช่วยบิดา มารดา บุตร สามี หรือภริยาของผู้กระทำ ศาล
จะไม่ลงโทษก็ได้
ข. องค์ประกอบความผิด
ข.1 องค์ประกอบภายนอก
(1) ผู้ใด
(2) ประพฤติตนเป็นปกติธุระ เป็นผู้จัดหาที่พำนัก ที่ซ่อนเร้น หรือที่ประชุม
(3) ให้บุคคลซึ่งตนรู้ว่าเป็นผู้กระทำความผิดที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้
ข.2 องค์ประกอบภายใน
เจตนาธรรมดา
ค. เหตุที่ศาลอาจใช้ดุลพินิจไม่ลงโทษได้
ถ้าการกระทำความผิดนั้นเป็นการกระทำเพื่อช่วยบิดา มารคา บุตร สามีหรือภริยาของผู้กระทำ
ง. คำอธิบาย
ความผิดตามมาตรานี้เป็นกรณีให้ความช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่ผู้อื่นหลังจากได้กระทำความผิดมาแล้ว
โดยเฉพาะการจัดหาที่พักหรือที่หลบซ่อนเพื่อไม่ให้ถูกจับตัวไปดำเนินคดีหรือจัดหาที่ประชุมเพื่อดำเนินการอย่าง
หนึ่งอย่างใดต่อ
ผู้กระทำมีความผิดตามมาตรา 214 ก็ต่อเมื่อได้จัดหาที่นัก ที่ซ่อเร้น หรือแก่ผู้กระทำความผิดตามที่บัญญัติ
ไว้ในภาค 2 ซึ่งความผิดดังกล่าวมีลักษณะใกล้เคียงกับความผิดฐานช่วยเหลืออั้งยี่หรือซ่องโจรตามมาตรา 212
แต่มาตรานี้จำกัดอยู่เฉพาะการจัดหาที่พำนัก ที่ซ่อนเร้นหรือที่ประชุมเท่านั้น และผู้กระทำความผิดไม่จำต้อง
เป็นสมาชิกอั้งยี่หรือพรรคพวกซ่องโจร
การจัดหาสถานที่ตามมาตรา 214 เป็นการกระทำ ในลักษณะที่เป็นธุระจัดการให้ ผู้นั้นไม่จำต้องเป็น
เจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่จัดหานั้น และการจัดหาอาจเป็นเพียงการติดต่อประสานงานกับผู้อื่นเพื่อให้ผู้
กระทำความผิดมีที่พำนัก ที่ซ่อนเร้นหรือที่ประชุมก็มีความผิดตามมาตรานี้แล้ว
12
นอกจากนี้ การกระทำที่จะเป็นความผิดตามมาตรานี้จะต้องได้ความว่าผู้กระทำได้ประพฤติตนเป็น
ปกติธุระ (Habitually) กล่าวคือ มีการช่วยเหลือผู้กระทำความผิดเป็นประจำไม่ใช่เพียงครั้งเดียว" ซึ่งผู้นั้นอาจ
ช่วยผู้กระทำคนเดียวกันซ้ำๆ หรือช่วยเหลือคนหลายคนในหลายโอกาสก็ได้
การจัดหาที่พำนัก ที่ซ่อนเร้น หรือที่ประชุมจะเป็นความผิดก็ต่อเมื่อผู้นั้นรู้ว่าผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือเป็น
ผู้กระทำความผิดที่บัญญัติไว้ในภาด 2 ถ้าหากไมรู้ว่าเป็นผู้กระทำความผิด ผู้นั้นย่อมไม่มีความผิดหรือแม้ว่ารู้ข้อ
เท็จจริงเช่นนั้นแต่ไม่ใช่ความผิดตามภาค 2 เช่น ความผิดลหุโทษในภาค 3 หรือความผิดตามกฎหมายอื่นๆ ไม่
ว่าโทษจะร้ายแรงเพียงใดก็ตาม ผู้นั้นก็ไม่มีความผิดเช่นกัน
3. ความผิดเกี่ยวกับการมั่วสุม
ความผิดเกี่ยวกับการมั่วสุมมี 2 ฐานความผิด ได้แก่ ความผิดฐานมั่วสุม (มาตรา 215) และความผิด
ฐานไม่ยอมเลิกมั่วสุมตามดำสั่งเจ้าพนักงาน (มาตรา 216)
3.1 ความผิดฐานมั่วสุม (มาตรา 215)
ก. บทบัญญัติ
มาตรา 215 ผู้ไดมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือ
กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่
เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าผู้กระทำความผิดคนหนึ่งคนใดมีอาวุธบรรดาผู้ที่กระทำความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือ
ปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
13
ถ้าผู้กระทำความผิดเป็นหัวหน้า หรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการในการกระทำความผิดนั้นต้องระวางโทษจำ
คุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ข. องค์ประกอบความผิด
ข.1 องค์ประกอบภายนอก
(1) ผู้ใด
(2) มั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป
(3) ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่ข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการ
อย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง
ข.2 องค์ประกอบภายใน
เจตนาธรรมดา
ค. เหตุที่ทำให้รับโทษหนักขึ้น
ค.1 เหตุฉกรรจ์ตามวรรคสอง รับโทษหนักขึ้นถ้าผู้กระทำความผิดคนหนึ่งคนใดมีอาวุธ
ค.2 เหตุฉกรรจ์ตามวรรคสาม รับโทษหนักขึ้นอีกถ้าผู้กระทำความผิดเป็นหัวหน้าหรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่ง
การในการกระทำความผิดนั้น
ง. คำอธิบาย
ง.1 มั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป
คำว่า "มั่วสุม" หมายความว่า มารวมกันเพื่อก่อการในทางไม่ดีในลักษณะที่เป็นพวกเดียวกันซึ่งการมา
รวมกันนี้ผู้กระทำจะรู้จักกันมาก่อนหรือวางแผนมาก่อน หรือไม่ไม่ใช่ข้อสำคัญถ้าครบจำนวนตั้งแต่สิบคนขึ้นไป
เมื่อใดก็เข้าองค์ประกอบข้อแรกนี้ ตัวอย่างเช่น รวมกลุ่มกันไปพังร้านรวงต่าง ๆ ในบริเวณนั้น
ง.2 ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการ
อย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง
การมั่วสุมตามมาตรา 215 นี้ไม่ใช่การมั่วสุมกันอยู่เฉยๆ เช่น นั่งล้อมวงดื่มสุราหรือเล่นการพนันเท่านั้น
แต่ต้องกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ด้วยจึงจะเป็นความผิด
(1) ใช้กำลังประทุษร้าย
(2) ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย
14
(3) กระทำการอย่างหนึ่อย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง
การใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายไม่เป็นการมั่วสุมตามมาตรานี้ เช่น ชุมนุมสาธารณะ และมี
การปราศรัยด้วยความสงบ โดยไม่มีพฤติการณ์ว่าจะใช้กำลังหรือขู่ว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือก่อให้เกิดการ
วุ่นวายขึ้น
ถ้าการชุมนุมดังกล่าวเข้าข่ายจะทำให้เกิดความไม่สงบขึ้น เช่น มีอาวุธ กระทำความผิดอาญาอย่างอื่น ผู้กระทำ
มีความผิดฐานนี้ แต่อาจมีเหตุยกเว้นโทษอย่างอื่น เช่น เข้าไปยึดพื้นที่สร้างเขื่อนเพื่อหยุดยั้งการทำลายระบบ
นิเวศ เป็นความผิดตามมาตรา 215 แต่กระทำด้วยความจำเป็น ซึ่งเป็นเหตุยกเว้นโทษตามมาตรา 67
ตัวอย่างที่ 1 ชักชวนนักศึกษาประชาชนชุมนุมกล่าวโจมตีผู้ว่าราชการจังหวัดคนเหล่านั้นรวมตัวกันหลายพันคน
ขว้างปาเผาจวนผู้ว่าราชการจังหวัด คนเหล่านั้นก่อให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองย่อมมีความผิดมาตรา 116
และมาตรา 215
ตัวอย่างที่ 2 จำเลยสั่งการในการนัดหยุดงานของลูกจ้างประมาณ 300 คนโดยมิได้เป็นไปตามขั้นตอนและ
เงื่อนไขตามกฎหมาย แต่เพื่อต่อรองบีบบังคับให้นายจ้างรับลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างกลับเข้าทำงาน เมื่อปรากฏว่ามี
การปะทะและทำร้ายซึ่งกันและกันระหว่างลูกจ้างที่นัดหยุดงานและลูกจ้างที่ทำงานในโรงงาน มีการปิดประตู
ทางเข้าออกโรงงานเพื่อมิให้ลูกจ้างส่วนหนึ่งที่ประสงค์จะเข้าทำงานเข้าออกได้ มีการขว้างปาวัตถุก้อนหินก้อน
อิฐเข้าไปในโรงงานเหตุเกิดริมถนนสาธารณะ เป็นความผิดตามมาตรา 215
ง.3 เจตนา
แม้ว่าผู้ที่มามั่วสุมกันจะต่างคนต่างมาในตอนแรก แต่ถ้ามีเจตนาร่วมกันใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญ
ว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในตอนที่มาชุมนุมกันโดยไม่จำต้องมีเจตนากระทำผิด
ในรายละเอียดอย่างเดียวกัน "ผู้ที่กระทำไปโดยมีเจตนาร่วมกัน" ต้องรับผิดตามมาตรานี้ แต่ถ้าการกระทำดัง
กล่าวไม่ได้เกิดจากเจตนาร่วมกัน แม้จะมีความวุ่นวายเกิดขึ้น ผู้กระทำก็ไม่มีความผิดฐานมั่วสุมตามมาตรา 215
นี้
15
ง.4 เหตุฉกรรจ์ตามวรรคสอง
หากผู้ร่วมมั่วสุมคนหนึ่งคนใดมีอาวุธ ผู้ร่วมกระทำทั้งหมดมีความผิดตามวรรดสองนี้ อย่างไรก็ตาม
การมีอาวุธหรือไม่เป็นข้อเท็จจริงที่ทำให้ผู้กระทำรับโทษหนักขึ้น ผู้กระทำจำต้องรู้ข้อเท็จจริงนั้นตามความใน
มาตรา 62 วรรคท้าย มิฉะนั้นจะลงโทษตามวรรคสองนี้ไม่ได้
ง.5 เหตุฉกรรจ์ตามวรรคสาม
ถ้าผู้กระทำความผิดเป็นหัวหน้า หรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการในการกระทำความผิดนั้น เช่น จำเลยได้รับมอบหมาย
จากหัวหน้าให้เป็น ผู้สั่งการในการมั่วสุมได้สั่งให้เผาทำลายสถานที่ราชการหรือร้านค้าต่าง ๆ หรือจำเลยสามารถ
อนุญาตให้รถยนต์คันใดแล่นผ่านจุดที่ชุมนุมมั่วสุมไปได้ ผู้นั้นต้องระวางโทษหนักขึ้นตามมาตรา 215 วรรคสามนี้
จ. คำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจ
คำพิพากษาฎีกาที่ 5573/2554 การที่ชาวบ้านร่วมชุมนุมและเดินขบวนกันเพราะไม่พอใจที่ทางราชการมีมติให้
จัดตั้งกิ่งอำเภอนาทมในที่อื่น ที่ไม่ใช่ตำบลนาทม โดยมีชาวบ้านร่วมกันกว่า 200 คน ไม่ปรากฏว่ามีการร่วมกัน
วางแผนหรือคบคิดกระทำการในสิ่งผิดกฎหมายไม่มีผู้ใดมีอาวุธ จึงต้องถือว่าเป็นการชุมนุมที่เริ่มต้นด้วยความ
สงบปราศจากอาวุธ อันเป็นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน โดยชอบที่รัฐธรรมนูญแห่งราช
อาณาจักรไทยทุกฉบับให้การรับรองตลอดมาการกระทำความผิดมาเกิดขึ้นในกายหลัง ต้องถือว่าเป็นเจตนาของ
ผู้กระทำความผิดของแต่ละคนแต่ละกลุ่ม จะถือเอาเป็เจตนาร่วมของผู้เข้าชุมนุมทุกคนไม่ได้ ลำพังแต่จำเลยเป็น
ผู้ร่วมอยู่ในกลุ่มชาวบ้าน 2 กลุ่มที่มีคนร้ายบางคนกระทำความผิดก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง หรือ
พฤติการณ์อันใดที่แสดงการขัดขวางมิให้ ศ.กับพวกนำรถดับเพลิงเข้าไปในบริเวณที่เกิดเหตุเผาสะพาน ยังไม่
อาจถือได้ว่าจำเลย เป็นตัวการร่วมกระทำความผิดกับคนร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 กรณีต้อง
ถือว่าจำเลยที่ 3 ที่ 5 ที่ 7 และที่ 9 มีเสรีภาพในการชุมนุมดังกล่าวตามสิทธิขั้นพื้นฐานที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้
16
3.2 ความผิดฐานไม่เลิกมั่วสุมเมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิก (มาดรา 216)
ก. บทบัญญัติ
มาตรา 216 เมื่อเจ้าพนักงานสั่งผู้ที่มั่วสุมเพื่อกระทำความผิดตามมาตรา 215 ให้เลิกไปผู้ไดไม่
เลิก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ข. องค์ประกอบความผิด
ข.1 องค์ประกอบภายนอก
(1) เมื่อเจ้าพนักงานสั่งผู้ที่มั่วสุมเพื่อกระทำความผิดตามมาตรา 215 ให้เลิกไป
(2) ผู้กระทำไม่เลิก
ข.2 องค์ประกอบภายใน
เจตนาธรรมดา
ค. คำอธิบาย
เจตนารมณ์ของความผิดมาตรา 216 ก็คือเพื่อตัดไฟแต่ต้นลมไม่ให้การมั่วสุมนั้นลุกลามไปถึงขั้น
กระทำความผิดตามมาตรา 215 ด้วยเหตุนี้ การกระทำความผิดหลักตามมาตรา 215 ยังไม่เกิดขึ้นแต่เจ้า
พนักงานได้สั่งให้เลิกไปเสียก่อน ถ้าผู้มั่วสุมเลิกไปตามคำสั่งเจ้าพนักงานก็ไม่มีความผิด แต่ถ้าไม่เลิกมั่วสุมและ
ยังขืนมั่วสุมกันต่อไป ผู้ที่มั่วสุมกันมีความผิดตามมาตรา 216 แม้จะยังไม่ได้กระทำความผิดตามที่มั่วสุมเลย
ก็ตาม
เหตุที่ทำให้เจ้าพนักงานมีอำนาจสั่งเลิกตามมาตรา 216 นี้จะต้องปรากฎเสียก่อนว่ามีการมั่วสุมคือ
การมารวมกันเพื่อกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดในทางที่ไม่ชอบ เช่น มารวมตัวกันเพื่อจะทำเสียงเอะอะโวยวายท่อ
กวนชาวบ้าน เมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกมั่วสุม ผู้กระทำกลับไม่เลิก ผู้นั้นย่อมมีความผิดตามมาตรานี้ แต่ถ้าหาก
การรวมตัวกันนั้นไม่ใช่การมั่วสุม เช่น นั่งฟังปราศรัยทางการเมืองด้วยอาการสงบ เจ้าพนักงานก็ไม่มีอำนาจสั่ง
ให้เลิกและเมื่อผู้นั้นไม่ยอมเลิก ก็ไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้
17
ตัวอย่าง จำเลยที่ 1 ร่วมอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงตั้งแต่สิบคนขึ้นไปและเป็นผู้จุดไฟเพาสินของ
ผู้อื่นอันเป็นการเข้าร่วมมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไปและกระทำการอย่างหนึ่ง ให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง
โดยมีอาวุธ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดตามมาตรา 215 วรรดสอง 217 และ 358 ต่อมาเจ้า
พนักงานตำรวจได้ประกาศผ่านเครื่องกระจายเสียงว่าไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงกระทำผิดกฎหมายซึ่งเป็นการ
สั่งให้เลิกมั่วสุมในการก่อเหตุวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองหลังจากที่จำเลยที่ 1 ได้มั่วสุมและกระทำการก่อความ
วุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองแล้ว จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดตามมาตรา 216 ที่มุ่งประสงค์ลงโทษ ผู้ที่ขัดขืนคำสั่ง
ของเจ้าพนักงานอันเป็นการกระทำที่ยังไม่ถึงขั้นความผิดสำเร็จตามมาตรา 215
ง. คำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจ
คำพิพากษาฎีกาที่ 346-34 7/2535 การมั่วสุมตามมาตรา 215 ผู้มั่วสุมไม่จำต้องมีเจตนากระทำ
ผิดในรายละเอียดอย่างเดียวกัน เพียงแต่ป็นการใช้กำลัประทุษร้าย
การอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองก็เป็นความผิดแล้วและผู้ที่มามั่วสุมก็ไม่จำต้องรู้จักหรือ
มีการนัดหมายวางแผนกันมาก่อน ความผิดตามมาตรา 216 มุ่งประสงค์ลงโทษผู้ที่ขัดขืนคำสั่งของเจ้าพนักงาน
ที่ไม่ยอมเลิกการมั่วสุมกันเพื่อกระทำความผิดตามมาตรา 215 อันเป็นการกระทำที่ยังไม่ถึงขั้นที่ผู้กระทำได้
ลงมือใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญ หรือทำให้เกิดการวุ่นวายอันเป็นความผิดสำเร็จตามมาตรา 215 เมื่อเจ้า
พนักงานได้สั่งให้จำเลยกับพวกเลิกการมั่วสุม ภายหลังที่มีการกระทำผิดตามมาตรา 215 แล้ว แม้จำเลยทุกคน
ไม่เลิกการกระทำของจำเลยทุกคน ก็คงเป็นความผิดตามมาตรา 215 เท่านั้น ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 216
ด้วย
18
ความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชน
ความผิดเกี่ยวกับอั้งยี่ ความผิดฐานช่วยผู้กระทำ ความผิดเกี่ยวกับการมั่วสุม
และซ่องโจร ความผิดเป็นปกติธุระ
(มาตรา214) มั่วสุม (มาตรา 215)
เป็นอั้งยี่ (มาตรา 209)
ไม่เเลิกมั่วสุมเมื่อเจ้าพนักงาน
เป็นซ่องโจร (มาตรา 210) สั่งให้เลิก
ประชุมในที่ประชุมอั้งยี่และ (มาตรา 216)
ซ่องโจร (มาตรา 211)
ช่วยเหลืออั้งยี่หรือซ่องโจร
(มาตรา 212)
การลงโทษกรณีสมาชิกอั้งยี่หรือ
ซ่องโจรกระทำความผิด
(มาตรา 213)
19
^ แผนผังขั้นตอนขั้นตอนการกระทำความผิดฐานซ่องโจรเทียบกับความผิดอาญาอื่น
______คิด_______ต_กล_งใ_จ/_สม_ค_บ _____ต_ะเ_ตร_ีย_มก_าร______ล_งม_ือ______ค_ว_าม_สำ_เร็_จ
_
_________ความผิดอาญาทั่วไป เช่น ฆ่า
|
_
|_____คว_า_ม_ผิด_อ_าญ__าร_้าย_แ_ร_ง _เช_่น_ว_าง_เ_พล_ิง____
|__ค_ว_าม_ผิ_ดฐ_า_นเ_ป็น_ซ_่อ_งโ_จร_ห_รื_อค_ว_าม_ผิ_ดต_่อ_ค_วา_มม_ั่น_ค_ง _เช่_น_ส_มค_บ_กัน_เ_ป็น_ก_บ_ฏ
^^ ^ ^
•
•
•
•
•
20
บรรณานุกรม
คณพล จันทน์หอม. (2565). คำอธิบายกฎหมายอาญาภาคความผิด (พิมพ์ครั้งที่ 5). กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ์
วิญญูชน.
21