โครงงานüิทยาýาÿตร์ เรื่อง แป้งโดü์จากกากถั่üเĀลือง คณะผู้จัดทำ นาย ýรัณย์ ไพรพิมล เลขที่ 11 นางÿาü นลินทิพย์ บุณฑริกนüüิธ เลขที่ 14 นางÿาü เอกปüีร์ ÿัมมามิตร เลขที่ 20 ชั้นมัธยมýึกþาปีที่ 6/1 ครูที่ปรึกþา คุณครูพัชรินทร์ แÿงÿุข คุณครูณิชมน อินÿุข โครงงานนี้เป็นÿ่üนĀนึ่งของรายüิชาโครงงานüิทยาýาÿตร์ ü33222 ภาคการเรียนที่ 2 ปีการýึกþา 2565 โรงเรียนÿุรýักดิ์มนตรี
ก คำนำ โครงงานเล่มนี้เป็นÿ่üนĀนึ่งของรายüิชา ü33222โครงงานüิทยาýาÿตร์ ในระดับชั้นมัธยมýึกþาปีที่ 6 ภาค เรียนที่ 2 ปีการýึกþา 2565 จัดทำขึ้นเพื่อýึกþาĀาอัตราÿ่üนของกากถั่üเĀลืองที่เĀมาะในการทำแป้งโดü์จากกาก ถั่üเĀลือง เพื่อýึกþาü่าอัตราÿ่üนของกากถั่üเĀลืองปริมาณที่แตกต่างกัน อัตราÿ่üนใดเĀมาะÿมในการทำแป้งโดü์ มากที่ÿุด และใĀ้ผลลัพธ์ในการทดลองคüามÿามารถในการรับการกระแทกได้มากที่ÿุดและระยะเüลาในการแข็งตัü นานที่ÿุด ทางผู้จัดทำĀüังเป็นอย่างยิ่งü่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านĀรือผืที่ÿนใจทำการýึกþาโครงงานดังกล่าü และ Āากโครงงานเล่มนี้มีข้อผิดพลาดประการใดทางผู้จัดทำต้องขออภัยมา ณ ที่นี้และยินดีที่จะรับคำแนะนำเพื่อที่จะ นำไปปรับปรุงแก้ไขในโอกาÿต่อไป คณะผู้จัดทำ
ข ชื่อโครงงาน โครงงานแป้งโดü์จากกากถั่üเĀลือง ผู้จัดทำโครงงาน นายýรัณย์ ไพรพิมล นางÿาüนลินทิพย์ บุณฑริกนüüิธ นางÿาüเอกปüีร์ ÿัมมามิตร อาจารย์ที่ปรึกþาโครงงาน ครูพัชรินทร์ แÿนÿุข ครูณิชมน อินÿุข ÿถานýึกþา โรงเรียนÿุรýักดิ์มันตรี ปรการýึกþา 2565 บทคัดย่อ ในปัจจุบนั้นคนไทยได้Āันมาใÿ่ใจดูแลรักþาÿุขภาพกันมากขึ้นโดยใĀ้คüามÿําคัญกับการบริโภคอาĀารที่มี ประโยชน์ต่อร่างกายมากขึ้น น้ำนมถั่üเĀลอืงถือü่า เป็นทางเลือกĀนึ่งÿําĀรับผู้ที่ใÿ่ใจÿุขภาพ และในขั้นตอนการทํา น้ำนมถั่üเĀลืองจะเกิดกากถั่üเĀลืองขึ้นซึ่งกากถั่üเĀลืองนั้นอาจไม่ได้นําไปใช้ใĀ้เกิดประโยชน์ มากนักแต่ด้üย ลักþณะทางกายภาพทําใĀ้ทางกลุ่ม ผ้จัดทํานํามาพัฒนาเป็นแป้งโดü์จากกากถั่üเĀลือง โครงงานแป้งโดü์จากกาก ถั่üเĀลือง เป็นโครงงานที่นํากากถั่üเĀลืองมาพัฒนาเป็นแป้งโดü์และจัดทําขึ้น เพื่อýึกþาÿัดÿ่üนที่เĀมาะÿมของ ÿ่üนประกอบต่าง ๆ จน กลายเป็นแป้งโดü์จากกากถั่üเĀลือง และýึกþาคüามÿามารถในการรับแรงกระแทกและ เüลาที่ใช้ใน การแข็งตัüขณะเล่น
ค กิตติกรรมประกาý โครงงานนี้ÿำเร็จลุล่üงได้ด้üยคüามกรุณาของคุณครู พัชรินทร์ แÿนÿุขและคุณครูณิชมน อินÿุข คุณครูที่ ปรึกþาโครงงานที่และคุณครูผู้ÿอนรายüิชา ü33222 ได้ใĀ้คำปรึกþา ข้อเÿนอเเนะ เเละเเนüคิดต่างๆ รüมถึงการเเก้ ไขข้อบกพร่องของโครงงานมาโดยตลอด จนโครงงานเล่มนี้เÿร็จÿมบูรณ์ ผู้ýึกþาจึงขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่าง ÿูง ขอกราบขอบพระคุณพ่อ เเม่ เเละผู้ปกครอง ที่คอยช่üยเเละใĀ้คำปรึกþาเกี่ยüกับโครงงานเเละคอยเป็น กำลังใจใĀ้ ขอบคุณ คุณป้าที่ใĀ้กากถั่üเĀลืองเพื่อนำมาทำโครงงาน ขอบคุณเพื่อนๆที่ใĀ้คำเเนะนำ เกี่ยüการทำโครงงาน การเเÿดงคüามคิดเĀ็นเกี่ยüกับโครงงาน จนโครงงาน เÿร็จลุล่üง
ง ÿารบัญ คำนำ ก บทคัดย่อ ข กิตติกรรมประกาý ค บทที่ 1 ที่มาและคüามÿำคัญ 1.1 ที่มาและคüามÿำคัญ 1 1.2 üัตถุประÿงค์โครงงาน 1 1.3 ขอบเขตของการýึกþาค้นคü้า 1 1.4 ตัüแปรที่ýึกþา 2 1.5 ÿมมติฐาน 2 1.6 ประโยชน์ที่คาดü่าจะได้รับ 2 บทที่ 2 เอกÿารและงานüิจัยที่เกี่ยüข้อง 2.1งานüิจัยที่เกี่ยüข้อง 3 2.2 เอกÿารที่เกี่ยüข้อง 4 บทที่ 3 อุปกรณ์และüิธีดำเนินงาน 3.1 อุปกรณ์และÿารเคมีในการทำผลิตภัณฑ์ 12 3.2 üิธีการดำเนินการ 13 บทที่ 4 ผลการทดลอง 4.1 ผลการทดลอง 15 บทที่ 5 ÿรุปผลและอภิปรายผลการทดลอง 17 บรรณานุกรม 18 ภาคผนüก 19
1 บทที่1 บทนำ 1.1 ที่มาและความสำคัญ เพลย์โดü์(แป้งโดü์) คือ ของที่เด็ก ๆ ใช้ปั้นขึ้นมาเป็นรูปร่างต่าง ๆ ÿร้างÿรรค์ขึ้นมาเป็นงานýิลปะ ปั้น เล่นÿนุก ๆ ที่บ้านĀรือไม่ก็ปั้นÿ่งงานที่โรงเรียน แป้งโดü์ทำมาจากแป้ง, น้ำ, เกลือ, กรดบอริก, และ น้ำมันแร่ (มิ เนอรัล ออยล์) ในยุค 1930 มีการผลิตÿินค้าในเมืองซินซินเนติ, โอไฮโอ,ÿĀรัฐอเมริกาจุดประÿงค์เพื่อใช้ทำคüาม ÿะอาดผนัง ต่อมาช่üงยุค 1950 ตามโรงเรียนเริ่มเอาÿินค้านี้มาใĀ้เด็กๆปั้นเล่นทำใĀ้มีการปรับปรุงÿินค้าใĀม่ ในช่üงกลางของยุค 1950 และกลายเป็นที่นิยมมากตามโรงเรียนต่างๆในซินซินเนติในปี1956มีการÿาธิตüิธีการใช้ เพลย์โดü์ในงานประชุมทางการýึกþาและเริ่มเปิดร้านขายตามĀ้างÿรรพÿินค้าใĀญ่ ๆ ในปี1957มีการทำโฆþณา เพลย์โดü์ตามรายการโทรทัýน์ที่เด็ก ๆ ชื่นชอบซึ่งÿามารถเพิ่มยอดขายได้เป็นจำนüนมาก ตั้งแต่ช่üงกลางของยุค 1950เพลย์โดü์ได้เข้าÿู่ตลาดของเล่นเด็กและได้เพิ่มยอดของจำนüนÿินค้าอย่างมีนัยÿำคัญในปี2003ÿมาคม อุตÿาĀกรรมของเล่นได้ยกใĀ้เพลย์โดü์นี้เป็นĀนึ่งใน"ของเล่นแĀ่งýตüรรþ"แต่ในปัจจุบันพบü่าของเล่นเด็ก โดยเฉพาะของเล่นจำพüกแป้งโดü์และดินน้ำมันตามท้องตลาดทั่üไปนั้นมีราคาแพงและมีÿารเคมีÿารปนเปื้อนอยู่ มากจึงทำใĀ้อาจเกิดอันตรายกับเด็กได้และประกอบกับในปัจจุบันคนไทยได้Āันมาใÿ่ใจในการรับประทานอาĀาร และดูแลÿุขภาพมากขึ้นĀนึ่งในüิธีที่คนนิยมในการดูแลÿุขภาพก็คือการดื่มน้ำนมถั่üเĀลืองĀรือน้ำเต้าĀู้ซึ่งในการ ผลิตน้ำเต้าĀู้นั้นจะได้น้ำนมถั่üเĀลืองและ”กากถั่üเĀลือง”ซึ่งมีมูลค่าและประโยชน์ไม่มากนักทางผู้จัดทำได้เล็งเĀ็น ในประโยชน์ของกากถั่üเĀลืองจึงได้นำมาทำการทดลองโดยการทำแป้งโดü์จากกากถั่üเĀลืองเพื่อแก้ไขปัญĀาÿิ่ง ปนเปื้อนและÿารเคมีในของเล่นเด็กตามท้องตลาดจำพüกแป้งโดü์และดินน้ำมันรüมถึงเพิ่มมูลค่าใĀ้กับกากถั่ü เĀลืองอีกด้üย 1.2 วัตถุประสงค์โครงงาน 1.2.1 เพื่อýึกþาÿัดÿ่üนที่เĀมาะÿมของÿ่üนประกอบต่างๆในแป้งโดü์จากกากถั่üเĀลือง 1.2.2 เพื่อýึกþาระดับคüามÿามารถในการรับแรงกระแทก เüลาที่ใช้ในการแข็งตัüเล่นแล้üไม่ติดมือจากผลิตภัณฑ์แป้งโดü์จากกากถั่üเĀลือง 1.3 ขอบเขตของการศึกษาค้นคว้า โครงงานเเป้งโดü์จากกากถั่üเĀลืองจะทำการýึกþาÿัดÿ่üนที่เĀมาะÿมของÿ่üนผÿมต่างๆในการทำเเป้งโด ü์จากกากถั่üเĀลือง โดยใช้เเป้งอเนกประÿงค์เเละกากถั่üเĀลืองจากถั่üเĀลือง
2 1.4 ตัวแปรที่ศึกษา ตัüแปรต้น : ÿัดÿ่üนในÿ่üนผÿมต่างๆในเเป้งโดü์จากกากถั่üเĀลือง ตัüแปรตาม : คüามÿามารถในการรับแรงกระแทกของแป้งโดü์และการใช้เüลาในการแข็งตัüของแป้งโดü์ ตัüแปรคüบคุม : ÿถานที่เเละเüลาในการทดลองปริมาตรมüลขนาดของลูกเĀล็กและขนาดของแป้งโดü์ 1.5 สมมติฐาน เเป้งโดü์ที่ผลิตจากÿ่üนผÿมต่างๆในอัตราÿ่üนที่เเตกต่างกันจะทำใĀ้คüามนุ่มของเเป้งโดü์ การเล่นเเล้üไม่ติดมือ และใช้เüลาในการเเข็งตัüเเตกต่างกัน 1.6 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1.6.1 เพื่อเพิ่มมูลค่าใĀ้กับกากถั่üเĀลือง 1.6.2 เพื่อเพิ่มคüามปลอดภัยใĀ้กับเด็กในการเล่นของเล่นจำพüกแป้งโดü์และดินน้ำมัน 1.6.3 เพื่อรักþาÿิ่งแüดล้อม
3 บทที่ 2 เอกÿารและงานüิจัยที่เกี่ยüข้อง การจัดโครงงานแป้งโดü์จากกากถั่üเĀลือง ผู้จัดทำได้ทำการýึกþา ตามĀัüข้อดังนี้ 1. กากถั่üเĀลือง 2. ถั่üเĀลือง 3. ครีมออฟทาร์ทาร์ 4. น้ำมัน 5. เกลือ 6. ÿีผÿมอาĀาร 7. การรับแรงกระแทก 2.1 งานüิจัยที่เกี่ยüข้อง นางÿาüพนิดา เรณูมาลย์และคณะผู้จัดทำ,2549ได้ทำการýึกþาโครงการüิจัยเรื่องผลของการนำกากถั่ü เĀลืองเพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการในผลิตภัณฑ์มัฟฟินมากขึ้นโดยเตรียมแป้งกากถั่üเĀลืองที่มีปริมาณเÿ้นใย อาĀารร้อยละ 7.0 เพื่อนำไปใช้เป็นüัตถุดิบร่üมกับแป้งÿาลี จากการคัดเลือกÿูตรพื้นฐานที่เĀมาะÿมในการผลิต ผลิตภัณฑ์มัฟฟิน ประกอบด้üย แป้งÿาลีร้อยละ 15.55 ผงฟูร้อยละ 0.37 เบคกิ้งโซดาร้อยละ 0.1 เนยÿดร้อย ละ 13.06 น้ำตาลร้อยละ 12.75 ไข่ไก่ร้อยละ 42.0 นมข้นจืดร้อยละ 3.73 และกล้üยĀอมบดร้อยละ 12.44 เมื่อใช้ แป้งกากถั่üเĀลืองทดแทนแป้งÿาลีในผลิตภัณฑ์ÿูตรพื้นฐานในปริมาณร้อยละ 0 10 20 30 40 และ 50 ของ น้ำĀนักแป้งÿาลีทั้งĀมด พบü่า เมื่อปริมาณแป้งกากถั่üเĀลืองเพิ่มขึ้นจะÿ่งผลต่อปริมาตรที่ลดลงและมีค่าคüาม Āนืดจะเพิ่มÿูงขึ้น ซึ่งผู้ทดÿอบชิมใĀ้คะแนนยอมรับแป้งกากถั่üเĀลืองทดแทนแป้งÿาลีในผลิตภัณฑ์ได้ถึงร้อย ละ 40 โดยผลิตภัณฑ์ที่ได้ไม่แตกต่างจากÿูตรมาตรฐาน มีค่าคüามชื้น ร้อยละ 26.06 โปรตีนร้อยละ 1.44 ไขมัน ร้อยละ 16.69 เถ้าร้อยละ 1.38 เÿ้นใยร้อยละ 0.18 คาร์โบไฮเดรตร้อยละ 52.24 คิดเป็นพลังงาน 364.93 กิโล แคลอรี ในด้านต้นทุนüัตถุดิบที่ใช้การผลิตมัฟฟินขนาด 70 กรัม ÿูตรพื้นฐานเท่ากับ 2.85 บาทต่อชิ้น และÿูตรแป้ง กากถั่üเĀลืองร้อยละ 40 เท่ากับ 2.67 บาทต่อชิ้น จากการทดÿอบการยอมรับของผู้บริโภคทั่üไปจำนüน 100 คน พบü่า ผู้บริโภคชอบผลิตภัณฑ์มัฟฟินÿูตรแป้งกากถั่üเĀลืองร้อยละ 40 ไม่แตกต่างจากมัฟฟินÿูตรมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์มัฟฟินÿูตรแป้งกาก ถั่üเĀลืองร้อยละ 40 ÿามารถเก็บรักþาที่อุณĀภูมิĀ้องได้อย่างน้อย 2 üัน
4 นางรüีüรรณ ÿุüรรณเจริญ,2554ได้ทำการýึกþาค้นคü้าโครงงานüิจัยเกี่ยüกับการคิดเชิงเĀตุผลของเด็ก ปฐมüัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมÿิลปÿร้างÿรรค์ด้üยแป้งโดü์กับลูกกลิ้งĀลากĀลายลายโดยในการüิจัยครั้งนี้มี จุดมุ่งĀมายเพื่อเปรียบเทียบการคิดเชิงเĀตุผลของเด็กปฐมüัยก่อนและĀลังการจัดกิจกรรมýิลปÿร้างÿรรค์ด้üยแป้ง โดกับลูกกลิ้งĀลายลายและýึกþาการเปลี่ยนแปลงของ การคิดเชิงเĀตุผลของเด็กปฐมüัยที่ได้รับการจัดกิจกรรม ýิลปÿร้างÿรรค์ด้üยแป้งโดü์กับลูกกลิ้งĀลายลายกลุ่มตัüอย่างที่ใช้ในการüิจัยครั้งนี้เป็นเด็กปฐมüัยชาย-Āญิง อายุ4-5 ปี ที่กำลังýึกþาอยู่ในชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการýึกþา 2553 โรงเรียนÿาธิตพัฒนา กรุงเทพมĀานคร จำนüน 21 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกอย่างเจาะจง คือ เป็นĀ้องที่ผู้üิจัยทำการÿอน ผู้üิจัยเป็น ผู้ดำเนินการทดลองด้üยตนเอง โดยทำการทดลอง ÿัปดาĀ์ละ 3 üัน üันละ 30 นาที รüมระยะเüลาในการ ทดลอง 8 ÿัปดาĀ์ รüมทั้งÿิ้น 24 ครั้ง เครื่องมือที่ใช้ในการüิจัยครั้งนี้ คือ แผนการจัดกิจกรรมýิลปÿร้างÿรรค์ด้üย แป้งโดกับลูกกลิ้งĀลายลาย และแบบทดÿอบการคิดเชิงเĀตุผล ที่ผู้üิจัยÿร้างขึ้น ซึ่งมีค่าคüามเชื่อมั่นแบบแผนการ üิจัยเป็นการüิจัยเชิงทดลองแบบ One – Group Posttest Design ÿถิติที่ใช้ในการüิเคราะĀ์ข้อมูลที่ใช้ttest ÿำĀรับ Dependent Samples ผลการüิจัยพบü่า การคิดเชิงเĀตุผลของเด็กปฐมüัยĀลังจากการจัดกิจกรรม ýิลปÿร้างÿรรค์ด้üยแป้งโดกับลูกกลิ้งĀลายลายÿูงกü่าก่อนการจัดกิจกรรมอย่างมีนัยÿำคัญทางÿถิติที่ระดับและเมื่อ พิจารณาการคิดเชิงเĀตุผลของของเด็กปฐมüัยรายด้านพบü่าด้านการอุปมาอุปไมยมีการเปลี่ยนแปลงÿูงกü่าเป้น ลำดับแรก รองลงมาด้านการจัดประเภท ด้านอนุกรมและด้านการจำแนกเป็นด้านÿุดท้าย 2.2 เอกÿารที่เกี่ยüข้อง 2.2.1 กากถั่üเĀลือง (soybean meal) กากถั่üเĀลืองเป็นอาĀารโปรตีนจากพืชที่ดีที่ÿุด ได้จากการนำถั่üเĀลืองไปÿกัดน้ำมันออก มีĀลายüิธี เช่น üิธี อัดแน่น (hydraulic process) üิธีอัดเกลียü (screw process) และüิธีÿกัดด้üยÿารเคมี (solvent process) ซึ่งจะ มีคุณภาพแตกต่างกันโดยจะมีโปรตีนประมาณ 43 ,45 และ 50 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ถั่üเĀลืองดิบมีตัüยับยั้งทริพ ซิน(trypsin inhitor) ซึ่งจะขัดขüางการย่อยโปรตีนของน้ำย่อยทริพซิน และยังมีÿารเฮเมกลูทินิน (hemagglutinin)ซาโพนิน(saponin)และไอโซฟลาโüน(isoflavone) กากถั่üเĀลืองที่นำน้ำมันออกได้มากและมี การกะเทาะเปลือกจะมี คุณค่าÿูงและมีคüามน่ากินมากกü่า การย่อยได้ของกรดอะมิโนÿูงถึง 85 – 92 เปอร์เซ็นต์ ยกเü้นกรดอะมิโนเมไทโอนีนที่ย่อยได้ค่อนข้างต่ำ (70 เปอร์เซ็นต์) คüามร้อนทำใĀ้ถั่üเĀลืองÿุกและทำลายตัü ยับยั้งทริพซินมีโอกาÿทำลายกรดอะมิโนในอาร์จินีน ทริปโตเฟน ฮิÿติดีน และซีรีน(Aherne & Kenelly, 1982) กากถั่üเĀลืองในประเทýÿ่üนใĀญ่เป็นชนิดไม่กะเทาะเปลือก ÿ่üนพüกที่นำเข้าจากจีนĀรือบราซิลมีทั้งชนิดกะเทาะ และไม่กะเทาะเปลือก ปริมาณการใช้ÿูตรอาĀารคüรอยู่ระĀü่าง 20 – 25 เปอร์เซ็นต์ ÿำĀรับÿุกร และในอาĀาร ÿัตü์ปีกไม่เกิน 40 เปอร์เซ็นต์ น้ำมัน ในถั่üเĀลืองมีคุณÿมบัติเป็นยาระบายเล็กน้อยและอาจมีผลทำใĀ้ไขมันใน ร่างกายÿัตü์มีลักþณะเĀลü แต่คüามเป็นจริงในกากถั่üเĀลืองมีน้ำมันน้อยเกินกü่าจะก่อใĀ้มีผลเÿียนี้แต่ใĀ้คำนึงถึง เมื่อมีกรณีใช้ถั่üเĀลืองเมล็ดเป็นอาĀาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอาĀารÿุกร ในปัจจุบันมีการผลิตถั่üเĀลือง ไขมันเต็ม
5 (full fat soybean) จากüิธีการนึ่ง Āรือต้มแล้üนำมาบด Āรือการใช้เครื่องเอกซ์ทรูเดอร์กับถั่ü ทั้งเมล็ดแล้üนำมา เลี้ยงÿัตü์ กากถั่üเĀลืองÿามารถนำไปเลี้ยงÿัตü์ได้Āลายชนิด เช่น ÿุกร ไก่ ปลา Āรือแม้กระทั่งüัü แต่นิยมใช้เลี้ยง ÿุกรมากที่ÿุด 2.2.2 ถั่üเĀลือง (soybean) ถั่üเĀลือง (ชื่อüิทยาýาÿตร์: Glycine max) เป็นพืชเýรþฐกิจที่เĀมาะÿำĀรับปลูกÿลับกับการปลูกข้าü ได้มี รายงานการปลูกถั่üเĀลืองในประเทýจีนเมื่อเกือบ 5,000 ปีมาแล้ü แต่ก็ยังไม่แน่ชัดü่าÿ่üนใดของประเทýจีนเป็น ถิ่นกำเนิดที่ÿันนิþฐานและยอมรับกันโดยทั่üไปคือบริเüณĀุบเขาแม่น้ำเĀลือง (ประมาณเÿ้นรุ้งที่ 35 องýา เĀนือ) เพราะü่าอารยธรรมของจีนได้ถือกำเนิดที่นั่น และประกอบกับมีการจารึกครั้งแรกเกี่ยüกับถั่üเĀลือง เมื่อ 2295 ปีก่อนพุทธกาล ที่Āุบเขาแม่น้ำเĀลือง จากนั้นถั่üเĀลืองได้แพร่กระจายÿู่ประเทýเกาĀลีและญี่ปุ่น เมื่อ 200 ปีก่อนคริÿตกาล แล้üเข้าÿู่ยุโรปในช่üงĀลัง พ.ý. 2143 และไปÿู่ÿĀรัฐอเมริกาในปี พ.ý. 2347 จากนั้น กü่า 100 ปี ชาüอเมริกันได้ปลูกถั่üเĀลืองเพื่อเป็นอาĀารÿัตü์ใช้เลี้ยงüัüโดยไม่ได้นำเมล็ดมาใช้ประโยชน์อย่างอื่น จนถึงปี พ.ý. 2473 ÿĀรัฐอเมริกาได้นำพันธุ์ถั่üเĀลืองจากจีนเข้าประเทýกü่า 1,000 ÿายพันธุ์ เพื่อการผÿมและ คัดเลือกพันธุ์ ทำใĀ้ได้เมล็ดพันธุ์ที่มีเมล็ดโต ผลผลิตÿูง เĀมาะแก่การเพาะปลูกเพื่อผลิตเมล็ดมากขึ้น ถั่üเĀลือง ของไทยÿ่üนมากปลูกแถบภาคเĀนือ และภาคกลางตอนบน นิยมเรียกกันในภาþาไทยโดยทั่üๆไปĀลายชื่อเช่น ถั่ü พระเĀลือง ถั่üแระ ถั่üแม่ตาย ถั่üเĀลือง (ภาคกลาง) มะถั่üเน่า (ภาคเĀนือ) เป็นต้น ลักþณะทางพฤกþýาÿตร์ถั่üเĀลืองเป็นพืชล้มลุก ÿูง 0.3-0.9 เมตร ลำต้นมีขนปกคลุม ใบเป็นใบประกอบแบบขน นก มี3 ใบย่อย Āูใบรูปไข่ขนาด 3-7 มิลลิเมตร ใบย่อยรูปไข่ ฐานใบเป็นรูปลิ่มĀรือกลม ปลายใบเรียüแĀลม ช่อ ดอกแบบช่อกระจะ ก้านช่อดอกยาü 1-3.5 เซนติเมตร üงกลีบเลี้ยงขนาด 4-6 มิลลิเมตร มีขนĀยาบแข็ง üงกลีบ ดอกÿีม่üง ม่üงอ่อน Āรือขาü ขนาด 4.5-10 เซนติเมตร กลีบกลางรูปไข่โคนกลีบคล้ายกันกลีบ ปลายกลีบเü้าตื้น กลีบคู่ข้างĀยักมน กลีบคู่ล่างรูปไข่กลับ รังไข่เĀนือüงกลีบ ผลแบบฝักแบบถั่üขนาด 40-75 x 8-15 มิลลิเมตร อüบ น้ำ ขอบรูปขนาน มี2-5 เมล็ด รูปร่างรี รูปไข่ Āรือรูปขอบขนาน ขั้üเมล็ดเป็นรูปรี น้ำมันและโปรตีนมีอยู่ในถั่ü เĀลืองทั้งคู่ประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ ของถั่üเĀลืองโดยน้ำĀนัก โปรตีน 40 เปอร์เซ็นต์ น้ำมัน 20 เปอร์เซ็นต์ ÿ่üนที่ เĀลือเป็นคาร์โบไฮเดรต 35 เปอร์เซ็นต์ คüามร้อนเÿถียรในการเก็บโปรตีนมีÿ่üนกับโปรตีนถั่üเĀลืองÿ่üนใĀญ่ คüามร้อนเÿถียรนี้ทำใĀ้ผลิตภัณฑ์อาĀารจากถั่üเĀลืองต้องการคüามร้อนÿูง เช่น เต้าĀู้ นมถั่üเĀลือง ในการทำ ตั้ง แตคาร์โบไฮเดรตในถั่üเĀลืองถูกพบเป็นÿ่üนใĀญ่ในเüย์Āรือ Āางนม และถูกทำลายลงระĀü่างการเดือดเป็นฟอง เต้าĀู้ ซอÿถั่üเĀลือง จะไม่ทำใĀ้เกิดแก๊ÿในกระเพาะĀรือลำไÿ้ รÿชาติและÿรรพคุณรÿĀüาน บำรุงม้าม ขับแĀ้ง ÿลายน้ำ ขับร้อน ถอนพิþ แก้ปüด มักใช้บำบัดอาการลำไÿ้ทำงานไม่ปกติ โรคบิด แน่นท้อง ผอมแĀ้ง แผล เปื่อย คุณค่ามีโปรตีน เลซิทิน และกรดแอมิโน รüมทั้งมีแคลเซียม ฟอÿฟอรัÿ ธาตุเĀล็ก ไนอะซิน üิตามินบี1 และ บี2 üิตามินเอและอี ซึ่งÿามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตของกระดูก ป้องกันการขาดแคลเซียมในกระดูก และบำรุง ระบบประÿาทในÿมอง ลดคüามเÿี่ยงของการเกิดโรคคüามดันโลĀิตÿูง ช่üยลดระดับคอเลÿเตอรอล ป้องกันการ
6 เกิดโรคĀัüใจและĀลอดเลือด ป้องกันโรคโลĀิตจาง ช่üยลดคüามเÿี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง ÿารÿกัดจากถั่üเĀลือง อบแĀ้งมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนÿและต้านอนุมูลอิÿระ ถั่üเĀลืองได้รับการขนานนามü่า "ราชาแĀ่งถั่ü" Āาก กินเป็นประจำช่üยป้องกันĀลอดเลือดแข็งตัü โรคคüามดันโลĀิตÿูง โรคĀัüใจ และโรคเบาĀüาน 2.2.3 ครีมออฟทาร์ทาร์(cream of tartar) ครีมออฟทาร์ทาร์(cream of tartar) เป็นเกลือโพแทÿเซียมของกรดทาร์ทาริก (tartaric acid) มีชื่อทาง เคมีü่า โพแทÿเซียมไบทาร์เทรต(potassium bitartrate, KC4H5O6 ) ลักþณะเป็นผงÿีขาü อาจเป็นผลพลอยได้ จากการผลิตไüน์(wine) การใช้ครีมออฟทาร์ทาร์ ใช้เป็นÿ่üนผÿมของผงฟู(baking powder) ประเภทผงฟู กำลังĀนึ่ง (single acting baking powder) ซึ่งเป็นผงฟูที่จะผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาทันที อย่าง รüดเร็ü ขณะที่ผÿมและระĀü่างที่รอเข้าอบ ทำใĀ้ไข่ขาü (egg white) ที่ตีใĀ้ขึ้นฟูแล้üมีคüามคงตัü ไม่ยุบตัü และ มีเนื้อเนียนเป็นครีมทำใĀ้เนื้อเค้ก(cake)เบาเช่นชิฟฟ่อน 2.2.4 น้ำมันพืช (vegetable oil) น้ำมันพืช(vegetable oil) เป็นไตรกลีเซอไรด์ที่ÿกัดจากพืช น้ำมันพืชเป็นÿ่üนĀนึ่งของüัฒนธรรมมนุþย์ ĀลายÿĀัÿüรรþ คำü่า "น้ำมันพืช" ÿามารถนิยามอย่างแคบĀมายคüามถึงเฉพาะÿÿารที่เป็นของเĀลüที่ อุณĀภูมิĀ้องĀรือนิยามอย่างกü้างโดยไม่คำนึงถึงÿถานะของÿÿารที่อุณĀภูมิที่กำĀนด[3] ด้üยเĀตุนี้ น้ำมันพืชที่ เป็นของแข็งที่อุณĀภูมิĀ้อง บางครั้งจึงเรียกü่า "ไขมันพืช" น้ำมันพืชประกอบด้üยไตรกลีเซอไรด์ตรงข้ามกับไขที่ โครงÿร้างไม่มีกลีเซอริน แม้Āลายÿ่üนของพืชจะมีน้ำมันเก็บÿะÿมไü้ก็ตาม แต่ในเชิงพาณิชย์ จะÿกัดน้ำมันพืชจาก เมล็ดเป็นĀลัก บนบรรจุภัณฑ์ของอาĀาร คำü่า "น้ำมันพืช" มักใช้ในรายการÿ่üนประกอบของอาĀารแทนการ ระบุชนิดของพืชที่ใช้ทำ 2.2.5 เกลือ (salt) เกลือ เป็นแร่ธาตุÿ่üนใĀญ่ประกอบด้üยโซเดียมคลอไรด์(NaCl) ÿารประกอบในระดับÿูงกü่าเกลือชนิดต่าง ๆ เกลือในธรรมชาติก่อตัüเป็นแร่ผลึกรู้จักกันü่า เกลือĀิน Āรือแฮไลต์เกลือพบได้ในปริมาณมĀาýาลในทะเลซึ่ง เป็นองค์ประกอบของแร่ที่ÿำคัญ ในมĀาÿมุทรมีแร่ธาตุ35 กรัมต่อลิตร คüามเค็ม 3.5% เกลือเป็นÿิ่งจำเป็นต่อ ชีüิตÿัตü์ คüามเค็มเป็นรÿชาติพื้นฐานของมนุþย์ เนื้อเยื่อÿัตü์บรรจุเกลือปริมาณมากกü่าเนื้อเยื่อพืช ดังนั้นอาĀาร ของชนเผ่าเร่ร่อนที่ดำรงชีüิตในฝูงต้องการเกลือเพียงเล็กน้อย Āรือไม่ต้องการเกลือเลย ขณะอาĀารประเภทซีเรียล จำเป็นต้องเพิ่มเกลือ เกลือเป็นĀนึ่งในเครื่องปรุงรÿที่เก่าแก่ที่ÿุดและĀาได้ง่ายที่ÿุด และการดองเค็มก็เป็นüิธีการ ถนอมอาĀารที่ÿำคัญüิธีĀนึ่งĀลักฐานการทำเกลือยุคแรกที่ÿุดย้อนไปถึง 6,000 ปีที่แล้ü เมื่อคนที่อาýัยในประเทý โรมาเนียต้มน้ำเพื่อÿกัดเกลือ การทำนาเกลือในจีนก็เกิดขึ้นในเüลาไล่เลี่ยกัน เกลือถูกชาüฮีบรูกรีก โรมัน ไบแซน
7 ไทน์ฮิไทต์ และอียิปต์ ตีราคาÿูง เกลือกลายเป็นüัตถุÿำคัญและขนÿ่งทางเรือผ่านทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ผ่านทาง ทางเกลือที่ÿร้างขึ้นเฉพาะ และผ่านทะเลทรายซาฮาราในคาราüานอูฐ คüามขาดแคลนและคüามต้องการเกลือทั่ü โลกนำไปÿู่ÿงครามชิงเกลือ และใช้เกลือเพื่อเพิ่มภาþีเงินได้ เกลือยังถูกใช้ในพิธีทางýาÿนา และüัฒนธรรมต่าง ๆ ด้üย เกลือผลิตจากเĀมืองเกลือ ĀรือจากการระเĀยน้ำทะเล Āรือน้ำซับที่อุดมไปด้üยแร่ธาตุในบ่อตื้น ผลิตภัณฑ์อุตÿาĀกรรมĀลักของเกลือคือโซดาไฟ และคลอรีน และใช้ในกระบüนการทางอุตÿาĀกรรมและในการ ผลิตโพลีไüนิลคลอไรด์พลาÿติก เยื่อกระดาþ และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ จากการผลิตเกลือปริมาณÿองล้านตันต่อปี มี เพียง 6% ที่ใĀ้มนุþย์บริโภค ÿ่üนอื่น ๆ ใช้ในการปรับÿภาüะของน้ำ กำจัดน้ำแข็งบนถนน และใช้ในการเกþตร เกลือที่กินได้มีขายในĀลายรูปแบบ เช่น เกลือÿมุทรและเกลือโต๊ะปกติจะบรรจุÿารป้องกันการรüมตัüเป็นก้อนและ อาจเÿริมไอโอดีนเพื่อป้องกันภาüะพร่องไอโอดีนนอกจากจะใช้ปรุงอาĀารและüางบนโต๊ะแล้ü เกลือยังพบได้ใน อาĀารแปรรูปจำนüนมาก อาĀารที่มีโซเดียมมากเกินไปทำใĀ้คüามดันโลĀิตÿูง และอาจเพิ่มคüามเÿี่ยงของ กล้ามเนื้อĀัüใจตายเĀตุขาดเลือด และโรคĀลอดเลือดÿมอง องค์การอนามัยโลกแนะนำü่าผู้ใĀญ่คüรบริโภค โซเดียมน้อยกü่า 2,000 มิลลิกรัม Āรือเทียบเท่ากับเกลือ 5 กรัมต่อüัน 2.2.6 ÿีผÿมอาĀาร (food coloring) ÿีผÿมอาĀาร (Food coloring) เป็นÿีย้อม ÿารÿีĀรือÿารใด ๆ ที่ใĀ้ÿีเมื่อเพิ่มในอาĀารĀรือเครื่องดื่ม มี Āลายรูปแบบทั้งของเĀลü ผง เจลและÿีป้าย ÿีผÿมอาĀารใช้ทั้งในการผลิตอาĀารเชิงพาณิชย์และในการประกอบ อาĀารในบ้าน เนื่องจากคüามปลอดภัยและĀาได้ทั่üไป ÿีผÿมอาĀารยังใช้ประโยชน์นอกเĀนือจากอาĀารได้Āลาย อย่าง รüมถึงเครื่องÿำอาง ยา โครงการงานทำมือและอุปกรณ์การแพทย์คüามÿำคัญของÿีผÿมอาĀาร ช่üยแก้ไขÿี ของอาĀารที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงÿีตามธรรมชาติĀรือการเปลี่ยนแปลงขณะแปรรูปĀรือเก็บรักþาอาĀาร ช่üย เพิ่มĀรือเน้นĀรือรักþาคüามเป็นเอกลักþณ์ÿีของอาĀารช่üยทำใĀ้ÿีÿันของอาĀารดึงดูดคüามÿนใจเป็นที่น่า รับประทานแก่ผู้บริโภคการใช้ประโยชน์ÿีผÿมอาĀาร การใช้ÿำĀรับแต่งอาĀารทั่üไปที่ไม่มีÿี เพื่อใĀ้มีÿีเป็นที่ ดึงดูดใจผู้บริโภค เช่น เครื่องดื่ม ลูกกüาด ไอýกรีม แยม เยลลี่ เป็นต้น การใช้แต่งอาĀารที่มีÿูญเÿียĀรือ เปลี่ยนแปลงÿีระĀü่างกระบüนการผลิต และการเก็บรักþา เช่น การผÿมÿีผÿมอาĀารในเบียร์ น้ำเชื่อม และ อาĀารอบ เป็นต้น การใช้แต่งอาĀารที่มีÿีเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล และÿภาพภูมิอากาý เช่น การใช้แต่งÿีน้ำ นมüัüที่ผลิตได้ในฤดูĀนาüใĀ้มีÿีเข้มขึ้น เพราะน้ำนมüัüในฤดูĀนาüจะมีÿีอ่อนเนื่องจากได้รับÿารเบต้าแคโรทีนจาก Āญ้าในปริมาณน้อย ขณะที่น้ำนมüัüในฤดูร้อนมักมีÿีเĀลืองเข้ม เนื่องจากได้รับบีตาแคโรทีนในĀญ้าที่มีมากกü่า Āญ้าในฤดูĀนาü ÿีผÿมอาĀารแบ่งเป็น 2 ประเภท 1. ÿีÿังเคราะĀ์ แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ 1.1 ÿีอินทรีย์ÿังเคราะĀ์(certified color Āรือ synthetic colorant) แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
8 -ÿีÿังเคราะĀ์ที่ละลายน้ำแต่ไม่ละลายในตัüทำละลายอินทรีย์(dyes)เĀมาะÿำĀรับอาĀารที่มีน้ำเป็น ÿ่üนประกอบ -ÿีÿังเคราะĀ์ที่ละลายได้ในน้ำมัน(lakes)เĀมาะÿำĀรับอาĀารประเภทไขมันแบน้ำมันและไขมัน 1.2 ÿีÿังเคราะĀ์เรียนแบบÿารธรรมชาติ ได้แก่ บีตาแครอทีน, บีตา-อะโป-8-แครอทีนาล เป็นต้น 2. ÿีจากธรรมชาติ แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ 2.1 ÿีอนินทรีย์ได้แก่ ผงถ่าน ปูนขาü และไทเทเนียมไดออกไซด์(titanium dioxide) เป็นต้น 2.2 ÿีที่ÿกัดได้จากธรรมชาติ(natural pigment) ได้แก่ ÿีที่ÿกัดจากÿ่üนใดÿ่üนĀนึ่งของพืช ผัก ผลไม้ จุลินทรีย์และÿัตü์ 2.2.7 การüัดคุณÿมบัติคüามเĀนียü (Toughness) ของüัÿดุด้üยการทดÿอบแรงกระแทก (Impact test) ในการเลือกใช้üัÿดุÿำĀรับงานบางประเภท üิýüกรจำเป็นต้องทราบถึงคุณÿมบัติคüาม เĀนียü (Toughness) ของüัÿดุ เพื่อประเมินโอกาÿการแตกĀักเÿียĀาย และคüามปลอดภัยในขณะใช้งานใน ÿภาüะต่างๆ เช่น การใช้งานเĀล็กกล้าทนÿึกของรถดัมพ์ที่ต้องรับแรงกระแทกจากการบรรทุกĀิน เĀล็กกล้า เครื่องมืองานร้อน ĀรือเĀล็กÿำĀรับงานท่อคüามดันที่ใช้ในอุณภูมิต่ำ เป็นต้น คüามเĀนียü (Toughness) คือ คüามÿามารถของüัÿดุที่จะดูดซับพลังงานไü้ได้โดยไม่เกิดการแตกĀัก คüามเĀนียü มีคüามÿัมพันธ์กับคüามแข็งแรงและคüามÿามารถในการยืดตัüของüัÿดุ เนื่องจากโดยทั่üไปเรา มักจะประเมินค่า คüามเĀนียüจาก Modulus of Toughness ซึ่งกำĀนดใĀ้มีค่าเท่ากับพื้นที่ใต้เÿ้นโค้งคüามเค้น - คüามเครียด ที่ ได้จากการทดÿอบแรงดึง (Tensile test) ดังแÿดงในภาพที่ 1 ซึ่งค่า Modulus of Toughness นี้ จะแÿดงถึง พลังงานต่อĀน่üยปริมาตรของüัÿดุที่ต้องใช้ในการทำใĀ้üัÿดุเกิดการแตกĀักเÿียĀาย üัÿดุที่มีคüามเĀนียüÿูงกü่าจะ ใช้พลังงานต่อĀน่üยปริมาตรของüัÿดุที่ÿูงกü่าในการทำใĀ้üัÿดุเกิดการแตกĀักเÿียĀาย ภาพที่ 1 :Modulus of Toughness ของüัÿดุเĀนียü (a) และüัÿดุเปราะ (b)
9 üิธีการทดÿอบคüามเĀนียüที่นิยมใช้ คือ การทดÿอบแรงกระแทก (Impact Test) ซึ่งเป็นการทดÿอบเพื่อทำการ üัดค่า Impact Energy, Impact Transition Temperature (ITT) และýึกþาผิüรอยแตก (Fracture Surface) ของüัÿดุ โดยการตีชิ้นทดÿอบขนาดมาตรฐาน จนเกิดการแตกĀัก จุดประÿงค์ในการทำการทดÿอบเพื่อ ýึกþาเกี่ยüกับคüามÿามารถในการรับแรงกระแทก (Dynamic Load) ของüัÿดุ ÿำĀรับค่าที่นิยมüัดมากที่ÿุดใน การทดÿอบแรงกระแทก คือ ค่า Impact Energy ซึ่งเป็นพลังงานที่üัÿดุจะดูด ซับไü้ได้เมื่อได้รับแรงกระแทก (Dynamic Impact Force) จนเกิดการแตกĀัก โดยมีüิธีการทดÿอบมีอยู่ 2 üิธี ได้แก่ Charpy Impact Test และ Izod Impact Test เครื่องมือ ทดÿอบทั้ง 2 ชนิดนี้แÿดงไü้ในภาพที่ 2 ภาพที่ 2 : การทดÿอบแรงกระแทกแบบ Charpy และ Izod üิธีการทดÿอบของทั้ง 2 ชนิดนี้คล้ายกัน คือ จะüางชิ้นงานทดÿอบไü้รับ แรงกระแทกจากการเĀüี่ยงของลูกตุ้มที่น้ำĀนักค่าĀนึ่ง (น้ำĀนักและขนาดของ ตุ้มน้ำĀนักจะต้องเป็นไปตามที่มาตรฐานที่เลือกใช้ในการทำการทดÿอบระบุ ไü้) พลังงานที่กระแทกชิ้นทดÿอบขึ้นอยู่กับมüลของลูกตุ้ม และคüามเร็üของมัน ขณะกระแทก จุดกระแทกจะเป็นจุดต่ำÿุดของการเĀüี่ยง ซึ่งเป็นจุดที่ลูกตุ้มมี คüามเร็üÿูงที่ÿุด เมื่อลูกตุ้มกระทบชิ้นทดÿอบ ลูกตุ้มจะเÿียพลังงานไปจำนüนĀนึ่งในการทำใĀ้ชิ้นทดÿอบĀัก ค่า พลังงานที่เÿียไปนี้ก็คือ ค่า Impact Energy นั่นเอง มีĀน่üยเป็น ฟุต-ปอนด์ Āรือ จูลÿ์ข้อแตกต่าง ระĀü่าง Charpyและ Izod ก็คือ การüางชิ้นงานทดÿอบ โดย Charpy test จะüางชิ้นทดÿอบไü้ในแนüระดับ และ ใĀ้ลูกตุ้มตกกระแทกที่ด้านตรงข้ามกับรอยบาก ÿ่üน Izod Test จะüางชิ้นทดÿอบไü้ในแนüตั้งและใĀ้ลูกตุ้ม กระแทกกับด้านที่มีรอยบาก ชิ้นทดÿอบจะเป็นแท่งยาü มีพื้นที่ภาคตัดขüางเป็นÿี่เĀลี่ยมจตุรัÿ และมีรอยบากอยู่ ตรงกลาง รอยบากนี้จะทำเป็นรูปตัü V, U Āรือรูปรูกุญแจ ขึ้นอยู่กับชนิดของüัÿดุและมาตรฐานการทดÿอบที่ เลือกใช้อุณĀภูมิมีผลต่อคüามเĀนียüอย่างมาก üัÿดุเĀนียüอาจจะเปลี่ยนเป็นüัÿดุเปราะได้เมื่ออุณĀภูมิต่ำลง ถ้าเรา นำค่า Impact Energy มาพลอตกับอุณĀภูมิ เราจะพบü่ามีอุณĀภูมิอยู่ช่üงĀนึ่งซึ่งมีค่าของ Impact Energy ลดลง อย่างรüดเร็üดังภาพที่ 3 ค่าอุณĀภูมิในช่üงนี้เรียกü่า Impact Transition Temperature (ITT) โดยค่า ITT นี้เป็น อุณĀภูมิที่เกิดการเปลี่ยนแปลงคุณÿมบัติของüัÿดุจากüัÿดุเĀนียüมาเป็นüัÿดุเปราะ คือ เปลี่ยนจากüัÿดุเĀนียüที่มี ค่าพลังงานÿูงมาเป็นüัÿดุเปราะซึ่งมีพลังงานต่ำค่า Impact energy จะไม่นำมาใช้โดยตรงในการออกแบบ แต่มันมี ประโยชน์ที่จะใช้เป็นแนüทางในการประเมินคุณÿมบัติของüัÿดุ โดยเฉพาะพüกเĀล็กที่มีค่า ITT อยู่ใกล้กับ อุณĀภูมิĀ้อง เราจะต้องระมัดระüัง ไม่ใช้งานüัÿดุที่อุณĀภูมิต่ำกü่า ITT ของมันโดยทั่üไปเราจะกำĀนดค่า ITT เป็น ค่าเดียü (ไม่ใช่ช่üงอุณĀภูมิดังที่แÿดงในรูป 4.) โดยüิธีในการกำĀนดค่า ITT มีอยู่Āลายüิธี เช่น การตรüจÿอบผิü รอยแตก (Fracture Surface) ของชิ้นงานที่แตกĀักจากการทดÿอบแรงกระแทก ĀรือการกำĀนดค่า ITT โดยใช้
10 อุณĀภูมิที่ผิüรอยแตกของชิ้นงานทดÿอบแรงกระแทกมีÿัดÿ่üนของพื้นที่ที่เกิดการแตกแบบเปราะ (Brittle Fracture) กับพื้นที่ที่แÿดงการแตกแบบเĀนียü (Ductile Fracture) เป็น 50:50 พอดี(ซึ่งมีชื่อเรียกเฉพาะ ü่า Fracture Appearance Transition Temperature - FATT) ภาพที่ 3 : ลักþณะพื้นที่รอยแตกแบบเปราะ และแบบเĀนียüใน การทดÿอบแรงกระแทก การüัด % การแตกĀักแบบเĀนียü (ดูภาพที่ 3 ประกอบ) เÿ้น B,เÿ้น A, (มม.) (มม.) 1.01.52.02.53.03.54.04.55.05.56.06.57.07.58.08.59.09.510.0 1.0 99 98 98 97 96 96 95 94 94 93 92 92 91 91 90 89 89 88 88 1.5 98 97 96 95 94 93 92 92 91 90 89 88 87 86 85 84 83 82 81 2.0 98 96 95 94 92 91 90 89 88 86 85 84 82 81 80 79 77 76 75 2.5 97 95 94 92 91 89 88 86 94 83 81 80 78 77 75 73 72 70 69 3.0 96 94 92 91 89 87 85 83 81 79 77 76 74 72 70 68 66 64 62 3.5 96 93 91 89 87 85 82 80 78 76 74 72 69 67 65 63 61 58 56 4.0 95 92 90 88 85 82 80 77 75 72 70 67 65 62 60 57 55 52 50 4.5 94 92 89 86 83 80 77 75 72 69 66 63 61 58 55 52 49 46 44 5.0 94 91 88 85 81 78 75 72 69 66 62 59 56 53 50 47 44 41 37 5.5 93 90 86 83 79 76 72 69 66 62 59 55 52 48 45 42 38 35 31
11 6.0 92 89 85 81 77 74 70 66 62 59 55 51 47 44 40 36 33 29 25 6.5 92 88 84 80 76 72 67 63 59 55 51 47 43 39 35 31 27 23 19 7.0 91 87 82 78 74 69 65 51 56 52 47 43 39 34 30 26 21 17 12 7.5 91 86 81 77 72 67 62 58 53 48 44 39 34 30 25 20 16 11 6 8.0 90 85 80 75 70 65 60 55 50 45 40 35 30 25 20 15 10 5 0 ÿำĀรับüิธีที่นิยมใช้กันมากที่ÿุด คือ กำĀนดค่า Impact Energy ค่าĀนึ่งขึ้นมาเป็นเกณฑ์ โดยคüรจะมีค่า มากกü่าพลังงานที่üัÿดุจะได้รับในระĀü่างการใช้งาน ถ้าüัÿดุใดทดÿอบแล้üมีค่า Impact Energy ต่ำกü่าเกณฑ์ที่ กำĀนด ก็ถือü่าเป็นüัÿดุเปราะซึ่งอาจเกิดการแตกĀักได้ง่าย จึงไม่คüรจะนำมาใช้งาน และกำĀนดค่า ITT โดยใĀ้มี ค่าเท่ากับอุณĀภูมิที่ทดÿอบได้ค่า Impact Energy เท่ากับเกณฑ์ที่กำĀนดพอดี(ITT ที่กำĀนดโดยüิธีนี้ เรียกü่า Ductility Transition Temperature) ค่าพลังงานแรงกระแทกที่ใช้เป็นเกณฑ์ คือ 20 J ÿำĀรับการ ทดÿอบ Charpy V-Notch (ชิ้นงานมีรอยบากรูปตัü V) ดังนั้นüัÿดุที่จะนำไปใช้งานจึงคüรจะมีค่า Impact Energy ต่ำกü่าเกณฑ์ที่กำĀนด Āรืออาจใช้ค่า Ductility Transition Temperature ในการกำĀนดÿภาüะการใช้ งาน คือ คüรจะใช้งานüัÿดุในช่üงอุณĀภูมิที่ÿูงกü่า Ductility Transition Temperature ภาพที่ 4 : แนüคิดพื้นฐานเกี่ยüกับ Impact Transition Temperature และอิทธิพลของอุณĀภูมิต่อคüามเĀนียü (คüามเĀนียü-เปราะ) ของüัÿดุและเนื่องจากแต่ละมาตรฐานการทดÿอบ จะใช้ชิ้นทดÿอบที่มีขนาดและลักþณะรอยบากที่ต่างกัน ตลอดจนพลังงานที่ใช้ในการทดÿอบก็ต่างกัน ดังนั้นจึง ขึ้นอยู่กับคüามเĀมาะÿม ของการเลือกใช้มาตรฐานต่างๆในการทดÿอบ
12 บทที่3 อุปกรณ์และüิธีดำเนินงาน 3.1 อุปกรณ์และÿารเคมีในการทำผลิตภัณฑ์ในการทำแป้งโดü์จากกากถั่üเĀลือง 1. กากถั่üเĀลือง 3 กก. 2. เเป้งอเนกประÿงค์ 3 กก. 3. ครีมออฟทาร์ทาร์ 1 กก. 4. น้ำมันพืช 1 ขüด 5. เกลือ 2 กก. 6. ÿีผÿมอาĀาร 1 ขüด 7. น้ำต้มÿุก 1 ลิตร 8. ไม้พาย 1 อัน 9. กระทะ 1 ใบ 10. เตาไฟฟ้า/เตาแก๊ÿ 1 เตา 11. กล่องเก็บเเป้งโดü์ 2 กล่อง 12. ที่ร่อนเเป้ง 1 อัน 13. ชามผÿม 1 ใบ
13 3.2 üิธีดำเนินการ 3.2.1 เพื่อýึกþาระยะเüลาการเก็บรักþาในอุณĀภูมิĀ้อง 1. ร่อนแป้งอเนกประÿงค์ ครีมออฟทาร์ทาร์ลงในชามผÿม พร้อมทั้งผÿมเกลือลงไปตามอัตราÿ่üนที่กำĀนด 2. ตüงกากถั่üเĀลืองแล้üนำลงไปในชามผÿมที่มีครีมออฟทาร์ทาร์แป้งอเนกประÿงค์และเกลือตามอัตราÿ่üนที่ กำĀนด 3. เทน้ำต้มÿุกลงไปแล้üผÿมใĀ้เข้ากัน 4. ใÿ่น้ำมันพืชลงไปแล้üนüดใĀ้เข้ากัน 5. ใÿ่ÿีและกลิ่นผÿมอาĀารตามชอบ 6. นำÿ่üนผÿมทั้งĀมดที่ได้ไปกüนในกระทะโดยใช้ไฟอ่อน-ปลานกลางจนได้ที่ 7. นำมานüดและพักไü้เพื่อรอระบายคüามร้อน 8. แบ่งแป้งโดü์1ÿ่üนปริมาณ100กรัมนำไปตั้งในอุณĀภูมิĀ้องพร้อมทั้งจับเüลาและบันทึกการเปลี่ยนแปลง ทุก 0.5 ชั่üโมง 9. ทำซ้ำข้อ1-8แต่เปลี่ยนอัตราÿ่üนของแป้งโดü์ตามอัตราÿ่üนต่อไปนี้ การทดลอง (ครั้งที่) อัตราÿ่üนผÿมของแป้งโดü์ กากถั่üเĀลือง(ถ้üยตüง):แป้งอเนกประÿงค์(ถ้üยตüง):เกลือ(ถ้üยตüง):ครีมออฟทาร์ทาร์(ถ้üยตüง): น้ำมันพืช(ช้อนโต๊ะ):น้ำ(ถ้üยตüง) 1 1:1:1:1:1:1 2 2:1:1:1:1:1 3 3:1:1:1:1:1 4 4:1:1:1:1:1 5 5:1:1:1:1:1
14 3.2.2 เพื่อýึกþาคüามÿามารถในการรับแรงกระแทก 1. ร่อนแป้งอเนกประÿงค์ ครีมออฟทาร์ทาร์ลงในชามผÿม พร้อมทั้งผÿมเกลือลงไปตามอัตราÿ่üนที่กำĀนด 2. ตüงกากถั่üเĀลืองแล้üนำลงไปในชามผÿมที่มีครีมออฟทาร์ทาร์แป้งอเนกประÿงค์และเกลือตามอัตราÿ่üนที่ กำĀนด 3. เทน้ำต้มÿุกลงไปแล้üผÿมใĀ้เข้ากัน 4. ใÿ่น้ำมันพืชลงไปแล้üนüดใĀ้เข้ากัน 5. ใÿ่ÿีและกลิ่นผÿมอาĀารตามชอบ 6. นำÿ่üนผÿมทั้งĀมดที่ได้ไปกüนในกระทะโดยใช้ไฟ130-150 องýาเซลเซียÿจนได้ที่ 7. นำมานüดและพักไü้เพื่อรอระบายคüามร้อน 8. นำแป้งโดü์ÿ่üนที่เĀลือมาบรรจุลงในแป้นพิมพ์ขนาด 120 ลูกบาýก์เซนติเมตร และชั่งใĀ้มีน้ำĀนัก ÿุทธิ500 กรัม 9. ตั้งแป้งโดü์ในแม่พิมพ์และüัดระยะปล่อยลูกเĀล็กในระยะ1เมตรและ1.5เมตรแลüัดการยุบตัüแล้üบันทึกผลและ ทดลองต่อในอัตราÿ่üนดังนี้ การทดลอง (ครั้งที่) อัตราÿ่üนผÿมของแป้งโดü์ กากถั่üเĀลือง(ถ้üยตüง):แป้งอเนกประÿงค์(ถ้üยตüง):เกลือ(ถ้üยตüง):ครีมออฟทาร์ทาร์(ถ้üยตüง): น้ำมันพืช(ช้อนโต๊ะ):น้ำ(ถ้üยตüง) 1 1:1:1:1:1:1 2 2:1:1:1:1:1 3 3:1:1:1:1:1 4 4:1:1:1:1:1 5 5:1:1:1:1:1
15 บทที่ 4 ผลการดำเนินงาน 4.1 ผลการทดลอง 4.1.1 เพื่อýึกþาระยะเüลาในการเก็บรักþา ตารางบันทึกผลการทดลองตอนที่1 การทดลอง(ครั้งที่) อัตราÿ่üนผÿมของแป้งโดü์ กากถั่üเĀลือง(ถ้üยตüง):แป้ง อเนกประÿงค์(ถ้üยตüง):เกลือ (ถ้üยตüง):ครีมออฟทาร์ ทาร์(ถ้üยตüง):น้ำมันพืช(ช้อน โต๊ะ):น้ำ(ถ้üยตüง) ลักþณะของแป้งโดü์ที่ได้ ระยะเüลาที่ได้พบเกล็ดเกลือ (ชั่üโมง) 1 1:1:1:1:1:1 แป้งโดü์นุ่มและจับตัüกันเป็น ก้อนติดมือเล็กน้อย 6 2 2:1:1:1:1:1 แป้งโดü์นิ่มและเĀลüติดมือ 3 3 3:1:1:1:1:1 แป้งโดü์นิ่มค่อนข้างติดมือ 2 4 4:1:1:1:1:1 แป้งโดü์จับตัüกันแน่นและติด มือ 1 5 5:1:1:1:1:1 แป้งโดü์ร่üนไม่ค่อยจับตัüกัน 0.5
16 4.1.2 เพื่อýึกþาคüามÿามารถในการรับแรงกระแทก 4.1.2.1 เมื่อทดÿอบกับขนาดลูกเĀล็กขนาด 240 กรัม ขนาดเÿ้นผ่านýูนย์กลาง 3.81 เซนติเมตร การทดลอง(ครั้ง ที่) อัตราÿ่üนผÿมของแป้ง โดü์ กากถั่üเĀลือง(ถ้üยตüง): แป้งอเนกประÿงค์(ถ้üย ตüง):เกลือ(ถ้üยตüง): ครีมออฟทาร์ทาร์(ถ้üย ตüง):น้ำมันพืช(ช้อน โต๊ะ):น้ำ(ถ้üยตüง) คüามÿามารถในการรับแรงกระแทก(ระยะที่ลูกเĀล็กยุบตัü Āน่üยเป็นเซนติเมตร) คüามÿูง 1 เมตร คüามÿูง 1.5 เมตร 1 2 3 เฉลี่ย 1 2 3 เฉลี่ย 1 1:1:1:1:1:1 0.85 0.75 0.85 0.8166 0.90 0.95 0.95 0.9333 2 2:1:1:1:1:1 0.75 0.80 0.80 0.7833 0.95 1.00 0.90 0.9500 3 3:1:1:1:1:1 0.75 0.70 0.70 0.7166 0.75 0.85 0.85 0.8166 4 4:1:1:1:1:1 0.85 0.85 0.80 0.8333 0.90 0.95 1.00 0.9500 5 5:1:1:1:1:1 0.45 0.60 0.5 0.5166 0.65 0.75 0.75 0.6166
17 บทที่ 5 ÿรุปผลและอภิปรายผลการทดลอง ÿรุปผลการทดลอง จากการýึกþาระยะเüลาการเก็บรักþาในอุณĀภูมิĀ้อง ผลÿรุปü่าอัตราÿ่üนผÿมของแป้งโดü์จากกากถั่ü เĀลืองที่มีระยะเüลาการเก็บรักþาเมื่อปล่อยทิ้งไü้ในอุณĀภูมิĀ้องนานÿุดคือ การทดลองที่ 1 ซึ่งÿามารถเก็บรักþา ในอุณĀภูมิĀ้องได้ 6 ชั่üโมง รองลงมาในการทดลองที่ 4 ÿามารถเก็บรักþาได้ 5 ชั่üโมง และต่อมาคือการทดลองที่ 2 ÿามารถเก็บรักþาได้ 3 ชั่üโมง การทดลองที่ 3 ÿามารถเก็บรักþาได้ 2 ชั่üโมง และการทดลองที่ 5 ÿามารถเก็บ รักþาได้ 0.5 ชั่üโมง จากการýึกþาเพื่อĀาคüามÿามารถในการรับแรงกระแทกโดยการĀย่อนลูกเĀล็กขนาด 240กรัม ขนาด เÿ้นผ่านýูนย์กลาง 3.81ซม. ลงบนแป้งโดü์จากกากถั่üเĀลืองพบü่า อัตราÿ่üนแป้งโดü์จากกากถั่üเĀลืองที่มี คüามÿามารถในการรับแรงกระแทกน้อยที่ÿุดคือการทดลองที่ 4 รองลงมาคือกรทดลองที่ 1 อันดับต่อมาคือการ ทดลองที่ 2 และการทดลองที่ 3 และการทดลองที่ 5 ตามลำดับ อภิปรายผลการทดลอง จากการทดลองใน5อัตราÿ่üนผÿมพบü่า อัตราÿ่üนผÿมของแป้งโดü์จากกากถั่üเĀลืองที่มีระยะเüลาการ เก็บรักþาเมื่อปล่อยทิ้งไü้ในอุณĀภูมิĀ้องได้ดีที่ÿุดคือ อัตราÿ่üนในการทดลองที่ 1 ประกอบด้üย กากถั่ü เĀลือง 1 ถ้üยตüง แป้งอเนกประÿงค์1 ถ้üยตüง เกลือ 1 ถ้üยตüง ครีมออฟทาร์ทาร์1 ถ้üย ตüงน้ำมัน1ช้อนโต๊ะ น้ำ1ถ้üยตüง ซึ่งÿามารถเก็บรักþาในอุณĀภูมิĀ้องได้6 ชั่üโมงรองลงมาÿามารถเก็บรักþาในอุณĀภูมิĀ้องได้3 ชั่üโมงคือ อัตราÿ่üนการทดลองที่ 2 ซึ่งประกอบด้üยกากถั่üเĀลือง 2 ถ้üยตüง แป้งอเนกประÿงค์1 ถ้üยตüง เกลือ 1 ถ้üยตüง ครีมออฟทาร์ทาร์1 ถ้üยตüงน้ำมัน 1 ช้อนโต๊ะ น้ำ 1 ถ้üยตüง และการทดลองที่ 3 ÿามารถเก็บ ในอุณĀภูมิĀ้องได้ 2 ชั่üโมงซึ่งประกอบด้üย กากถั่üเĀลือง 2 ถ้üยตüง แป้งอเนกประÿงค์1 ถ้üยตüง เกลือ 1 ถ้üย ตüง ครีมออฟทาร์ทาร์1 ถ้üยตüงน้ำมัน 1 ช้อนโต๊ะ น้ำ 1 ถ้üยตüง และการทดลองที่ 4 ÿามารถเก็บใน อุณĀภูมิĀ้องได้1 ชั่üโมงซึ่งประกอบด้üย กากถั่üเĀลือง ถ้üยตüง แป้งอเนกประÿงค์0.5 ถ้üยตüง เกลือ 0.5 ถ้üย ตüง ครีมออฟทาร์ทาร์0.25 ถ้üยตüงน้ำมัน 2 ช้อนโต๊ะ น้ำ 0.5 ถ้üยตüง และอันดับต่อมาÿามารถเก็บรักþาได้0.5 ชั่üโมง คืออัตราÿ่üนที่ 5 ซึ่งประกอบด้üย กากถั่üเĀลือง 5 ถ้üยตüง แป้งอเนกประÿงค์1 ถ้üยตüง เกลือ 1 ถ้üยตüง ครีมออฟทาร์ทาร์1 ถ้üยตüง น้ำมัน 1 ช้อนโต๊ะ น้ำ 1 ถ้üยตüง
18 บรรณานุกรม กากถั่üเĀลือง {ออนไลน์} เข้าถึงจาก :https://www.goodthaifeed.co (üันที่ค้นข้อมูล : 16 ธันüาคม 2565) ถั่üเĀลือง {ออนไลน์} เข้าถึงจาก: https://th.wikipedia.org/wiki/ถั่üเĀลือง (üันที่ค้นĀาข้อมูล : 20 ธันüาคม 2565) ครีมออฟทาทาร์{ออนไลน์} เข้าถึงจาก : http://www.bakerstreet.co.th/cream-of-tartar (üันที่ค้นĀาข้อมูล : 20 ธันüาคม 2565) น้ำมันพืช {ออนไลน์} เข้าถึงจาก : https://th.wikipedia.org/wiki/น้ำมันพืช (üันที่ค้นĀาข้อมูล : 20 ธันüาคม 2565) เกลือ {ออนไลน์} เข้าถึงจาก : https://th.wikipedia.org/wiki/เกลือ (üันที่ค้นข้อมูล : 20 ธันüาคม 2565) ÿีผÿมอาĀาร {ออนไลน์} เข้าถึงจาก : https://th.wikipedia.org/wiki/ÿีผÿมอาĀาร (üันที่ค้นข้อมูล : 20 ธันüาคม 2565 ) คüามÿามารถในการรับแรงกระแทก {ออนไลน์} เข้าถึงจาก : https://old.mtec.or.th/คüามÿามารถใน การรับแรงกระแทก (üันที่ค้นข้อมูล : 7 มกราคม 2566)
19 ภาคผนüก 1.ภาพประกอบข้อมูลที่เกี่ยüข้อง รูปที่ 1 กากถั่üเĀลือง รูปที่ 2 เกลือ รูปที่ 3 ครีมออฟทาร์ ทาร์ รูปที่ 4 น้ำมันพืช รูปที่ 5 น้ำเปล่า