The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

โครงงานวิจัยกระถางเพาะชำต้นกล้าจากต้นธูปฤๅษี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by thanakit.ujean, 2022-07-30 08:04:19

โครงงานวิจัยกระถางเพาะชำต้นกล้าจากต้นธูปฤๅษี

โครงงานวิจัยกระถางเพาะชำต้นกล้าจากต้นธูปฤๅษี

Keywords: โครงงานวิจัยกระถางเพาะชำต้นกล้าจากต้นธูปฤๅษี

โครงงานวิทยาศาสตร์
เร่อื ง กระถางเพาะชำตน้ กล้าจากต้นธูปฤๅษี

โดย
นายธนกฤต ศิรทิ องเกษตร ชน้ั ม.6/5 เลขที่ 6
นายธรี พันธ์ พรรณบตั ร ชั้น ม.6/5 เลขท่ี 8
นายปฐมพร โคตรวงษา ช้นั ม.6/5 เลขที่ 9

รายงานน้ีเป็นส่วนหนง่ึ ของรายวชิ า ว30291 โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 2
ตามหลักสตู รห้องเรียนพเิ ศษวทิ ยาศาสตร์ของ สสวท.
โรงเรยี นพระปฐมวทิ ยาลัย
ภาคเรยี นท่ี 1 ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2565

โครงงานวิทยาศาสตร์
เรอื่ ง กระถางเพาะชำตน้ กล้าจากต้นธูปฤๅษี

โดย
นายธนกฤต ศิริทองเกษตร ชั้น ม.6/5 เลขที่ 6
นายธีรพนั ธ์ พรรณบตั ร ช้นั ม.6/5 เลขท่ี 8
นายปฐมพร โคตรวงษา ช้ัน ม.6/5 เลขที่ 9

คุณครูทปี่ รึกษาโครงงาน
นางสาวนฐั กานต์ นามนมิ ติ รานนท์

รายงานนี้เปน็ ส่วนหนง่ึ ของรายวชิ า ว30291 โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 2
ตามหลักสตู รหอ้ งเรียนพเิ ศษวิทยาศาสตรข์ อง สสวท.
โรงเรยี นพระปฐมวทิ ยาลยั
ภาคเรยี นที่ 1 ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 6 ปีการศกึ ษา 2565



ชื่อโครงงาน กระถางเพาะชำต้นกล้าจากต้นธูปฤๅษี
ผู้จัดทำโครงงาน 1. นายธนกฤต ศิริทองเกษตร
2. นายธรี พนั ธ์ พรรณบตั ร
โรงเรียน 3. นายปฐมพร โคตรวงษา
ครูที่ปรึกษาโครงงาน พระปฐมวิทยาลัย
นางสาวนัฐกานต์ นามนมิ ติ รานนท์

บทคัดย่อ

กระถางเพาะชำต้นกล้าจากต้นธูปฤๅษี มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการทำกระถางเพาะชำ
ต้นกล้าจากต้นธูปฤๅษีตามอัตราส่วนต่างๆ และศึกษาระยะเวลาในการย่อยสลายของกระถางเพาะชำต้น
กลา้ จากต้นธูปฤๅษี โดยคณะผจู้ ดั ทำได้ทำกระถางเพาะชำต้นกลา้ จากต้นธปู ฤๅษี โดยนำตน้ ธปู ฤๅษีมาทุบให้
เป็นเส้นใยแล้วนำไปตากให้แห้ง จากนั้นนำเส้นใยต้นธูปฤๅษีและกาวแป้งเปียกมาผสมในอัตราส่วน 5
อัตราส่วนต่างๆ และทำการทดสอบประสิทธิภาพ จากการดำเนินงานพบว่าอัตราส่วน 3:1 มีความ
เหมาะสมที่จะนำมาเพาะชำต้นกล้าไดด้ ีกวา่ อัตราส่วนอืน่ เนอ่ื งจากในอตั ราส่วนอื่นมนี ้ำหนักท่มี าก มีความ
แข็งแรง ยึดเกาะกันแน่น ทำให้เกิดการย่อยสลายได้ยาก และเมื่อนำไปทดสอบประสิทธิภาพในด้านตา่ งๆ
คือ 1.ความแข็งแรง ความคงทนทนด้วยการปล่อยจากที่สูง 3 เมตร 2.ประสิทธิภาพการย่อยสลายของ
ตัวอยา่ งชนิ้ งานแบบแผน่ ในอตั ราสว่ น 3:1 ด้วยวงจรเปียกแหง้ (Wet-dry cycle) โดยรดน้ำแต่ละชว่ งเวลา
จากการเก็บข้อมูลระยะเวลา 60 วัน ตัวอย่างช้ินงานแบบแผ่นมีแนวโน้มการเสือ่ มสภาพตามระยะเวลา 3.
การเปื่อยยุ่ยของกระถางเพาะชำต้นกล้าจากต้นธูปฤๅษีโดยการจำลองนำเมล็ดดาวเรืองปลูกลงในกระถาง
เพาะชำ รดน้ำต้นดาวเรืองวันละ 1 ครั้ง ครั้งละ 100 มิลลิลิตร รดน้ำต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 1 เดือน
สังเกตการเปลีย่ นแปลงทางกายภาพลกั ษณะของเสน้ ใยต้นธูปฤๅษีท่ีเหลือจากการยอ่ ยสลาย พบวา่ กระถาง
เพาะชำต้นกล้าจากต้นธูปฤๅษีในอัตราส่วน 3:1 คงรูปร่างได้ 20 วัน และค่อยๆเสื่อมสภาพ แตกตัวออก
จากกัน วสั ดปุ ระสานเริ่มหายไปกับนำ้ และยอ่ ยสลายไป



กติ ติกรรมประกาศ

โครงงานเรื่องนี้ประกอบด้วยการดำเนินงานหลายขั้นตอน นับตั้งแต่การศึกษาหาข้อมูล การ
ทดลอง การวิเคราะห์ผลการทดลอง การจัดทำโครงงานเป็นรูปเล่ม จนกระทั่งโครงงานนีส้ ำเร็จลุล่วงไปได้
ด้วยดี ตลอดระยะเวลาดังกล่าวคณะผู้จัดทำโครงงานได้รับความช่วยเหลือและคำแนะนำในด้านต่างๆ
ตลอด จนได้รับกำลังใจจากบุคคลหลายท่าน ผู้จัดทำตระหนักและซาบซึ้งในความกรณุ าจากทกุ ๆท่านเปน็
อย่างย่งิ ณ โอกาสนี้ ขอขอบคณุ ทกุ ๆท่าน ดังน้ี

กราบขอบพระคุณ คณุ ครูนัฐกานต์ นามนมิ ติ รานนท์ คุณครูท่ีปรึกษาโครงงานและอาจารยใ์ นกล่มุ
สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีทกุ ทา่ น ทค่ี อยดูแล เอาใจใสแ่ ละใหค้ ำปรกึ ษาอยา่ งดี

ขอขอบคณุ เพือ่ นๆ ทีไ่ ดใ้ หค้ วามชว่ ยเหลอื ในการทำโครงงาน
ท้ายที่สุด ขอกราบขอบพระคุณ คุณพ่อและคุณแม่ ผู้เป็นที่รัก ผู้ให้กำลังใจและโอกาสการศึกษา
อนั มคี ่ายิ่ง

สารบญั ค

บทคัดย่อ หน้า
กติ ตกิ รรมประกาศ ก
สารบัญ ข
สารบัญตาราง ค
สารบญั ภาพ ง
บทท่ี 1 บทนำ จ

ทมี่ าและความสำคัญ 1
วัตถุประสงค์ของโครงงาน 2
ขอบเขตศกึ ษา 2
สมมตฐิ าน 2
ตวั แปรที่ศกึ ษา 2
นิยามศัพท์ 2
บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจยั ท่เี ก่ยี วข้อง
ธปู ฤๅษี 3-7
กระถางเพาะชำ 7-8
พลาสตกิ 8-10
วัสดุอินทรยี ์ 10-12
ดาวเรอื ง 12-16
งานวิจยั ทเ่ี กย่ี วข้อง 17-18
บทท่ี 3 วิธดี ำเนินการทดลอง
วัสดุอุปกรณ์ 19
สารเคมี 20
วธิ กี ารดำเนนิ การทดลอง 20-21
บทที่ 4 ผลการทดลอง 22-23
บทที่ 5 สรุป อภิปราย และขอ้ เสนอแนะ
สรปุ ผล 24
อภปิ รายผล 25
ข้อเสนอแนะ 25
เอกสารอา้ งอิง 26-27
ภาคผนวก

วธิ กี ารดำเนนิ การศกึ ษาทดลอง



สารบัญตาราง

ตารางที่ หน้า
ตารางท่ี 1 การสังเกตอตั ราสว่ นใดมีความเหมาะสม แขง็ แรง มีความคงทน 22
ตารางท่ี 2 การสังเกตประสทิ ธิภาพการยอ่ ยสลายของกระถางเพาะชำ
23
และตัวอยา่ งช้นิ งานแบบแผ่น 6 ช้ิน ในอัตราสว่ น 3:1 เป็นระยะเวลา 2 เดอื น
ตารางที่ 3 การสงั เกตการเป่อื ยย่ยุ ของกระถางเพาะชำตน้ กลา้ 23

จากต้นธปู ฤๅษโี ดยการจำลองปลูกลงดนิ

สารบญั ภาพ จ

ภาพท่ี หนา้
ภาพที่ 1 ต้นธปู ฤๅษี 5
ภาพท่ี 2 ต้นธูปฤๅษี 5
ภาพที่ 3 สญั ลักษณพ์ ลาสติกทรี่ ไี ซเคิลได้ 8
ภาพท่ี 4 ดอกดาวเรอื ง 16
ภาพท่ี 5 กระถางเพาะชำต้นกลา้ จากต้นธูปฤๅษี 22
ภาพที่ 6 การเตรียมวตั ถดุ บิ ตดั ต้นธูปฤๅษี 28
ภาพท่ี 7 การนำต้นธูปฤๅษีมาทุบใหแ้ ยกเปน็ เส้นใย 28
ภาพท่ี 8 นำตน้ ธูปฤๅษที ที่ บุ มาตากแดดให้แห้ง 29
ภาพท่ี 9 การตำสารส้ม 29
ภาพท่ี 10 การกวนกาวแป้งเปียก 29
ภาพท่ี 11 การผสมเส้นใยต้นธปู ฤๅษีกับกาวแป้งเปยี ก 30
ภาพที่ 12 การพอกเส้นใยต้นธปู ฤๅษีท่ีผสมกับกาวแป้งเปยี กแลว้ กับกระถางต้นแบบ 30
ภาพที่ 13 การนำกระถางตน้ แบบท่ีพอกดว้ ยเสน้ ใยตน้ ธูปฤๅษีแล้วนำไปตากแดด 31
ภาพท่ี 14 กระถางเพาะชำต้นกลา้ ในแตล่ ะอัตราส่วน 31
ภาพท่ี 15 ตวั อยา่ งชนิ้ งานในวันท่ี 1 เมษายน 2565 31
ภาพท่ี 16 ตัวอยา่ งชิ้นงานในวันที่ 2 เมษายน 2565 32
ภาพท่ี 17 ตัวอยา่ งชิน้ งานในวนั ท่ี 3 เมษายน 2565 32
ภาพที่ 18 ตัวอยา่ งชิ้นงานในวันที่ 6 เมษายน 2565 32
ภาพที่ 19 ตัวอย่างชิ้นงานในวันที่ 9 เมษายน 2565 32
ภาพท่ี 20 ตวั อยา่ งช้นิ งานในวันท่ี 12 เมษายน 2565 32
ภาพที่ 21 ตัวอย่างชน้ิ งานในวนั ท่ี 15 เมษายน 2565 32
ภาพท่ี 22 ตัวอย่างชน้ิ งานในวันที่ 20 เมษายน 2565 33
ภาพท่ี 23 ตัวอยา่ งชิ้นงานในวันที่ 25 เมษายน 2565 33
ภาพที่ 24 ตัวอยา่ งชนิ้ งานในวนั ท่ี 30 เมษายน 2565 33
ภาพที่ 25 ตวั อยา่ งชน้ิ งานในวันท่ี 5 พฤษภาคม 2565 33
ภาพท่ี 26 ตวั อย่างชิ้นงานในวันที่ 10 พฤษภาคม 2565 33
ภาพที่ 27 ตวั อยา่ งชิ้นงานในวนั ท่ี 15 พฤษภาคม 2565 33
ภาพที่ 28 ตวั อยา่ งชิ้นงานในวันท่ี 20 พฤษภาคม 2565 34
ภาพท่ี 29 ตัวอยา่ งชน้ิ งานในวันท่ี 25 พฤษภาคม 2565 34
ภาพที่ 30 ตวั อยา่ งชิ้นงานในวันที่ 30 พฤษภาคม 2565 34

ภาพที่ 31 นำช้นิ งานไปอบท่ีอณุ หภูมิ 120 องศาเซลเซียส เปน็ เวลา 10 นาที

ชง่ั น้ำหนักช้นิ งานหลงั อบเพ่ือคำนวณหาน้ำหนกั ท่ยี อ่ ยสลายไป 34

ภาพที่ 32 นำเมลด็ ดาวเรืองใสล่ งในดนิ กลบให้มดิ 35

ภาพท่ี 33 กระถางเพาะชำจากต้นธูปฤๅษที ี่นำมาเพาะเมล็ดดอกดาวเรืองในระยะเวลา 5 วนั 35

ภาพที่ 34 กระถางเพาะชำจากตน้ ธปู ฤๅษีท่ีนำมาเพาะเมล็ดดอกดาวเรืองในระยะเวลา 10 วนั 35

ภาพที่ 35 กระถางเพาะชำจากต้นธปู ฤๅษที ่ีนำมาเพาะเมล็ดดอกดาวเรอื งในระยะเวลา 15 วนั 36

ภาพท่ี 36 กระถางเพาะชำจากต้นธปู ฤๅษีทีน่ ำมาเพาะเมล็ดดอกดาวเรืองในระยะเวลา 20 วัน 36

1

บทที่ 1
บทนำ

1.1 ท่ีมาและความสำคญั

ต้นธูปฤๅษีเป็นพืชที่พบในที่ลุ่มทั้งน้ำจืดและน้ำเค็ม ถิ่นกำเนิดเดิมอยู่ในทวีปยุโรปและอเมริกา
ปัจจบุ ันพบการแพร่กระจายไปเกอื บทั่วโลก(สชุ าดา ศรเี พ็ญ, 2530) รวมถงึ ในภมู ิภาคของประเทศไทยด้วย
ต้นธูปฤๅษียังเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่มนุษย์ทั้งทางตรง และทางอ้อมมากมาย เช่น
ทำให้เกิดน้ำเสียในแหล่งน้ำต่างๆ ส่งกล่ินเหม็นไปรอบๆ สร้างความรำคาญแก่ผู้สัญจร และผู้อยู่อาศัย
บริเวณนั้น ในการกำจัดวัชพืชชนิดนี้นั้นไม่สามารถกำจัดได้อย่างถาวรเพราะเมล็ดของธูปฤๅษีนั้นมีขนาด
เล็กมากและมีมากมายมหาศาล และสามารถปลิวกระจัดกระจายไปตามที่ต่างๆ อย่างรวดเร็ว (สุรชัย
มัฉฉาชีพ, 2538)

จากการศกึ ษาค้นคว้าขอ้ มลู และงานวจิ ัยตน้ ธปู ฤๅษเี ปน็ วัชพชื ทสี่ ามารถเจริญเติบโตและขยายพันธุ์
ได้อย่างรวดเร็ว เพราะเนื่องจากมีดอกที่ใช้สำหรับสืบพันธุ์เป็นจำนวนมากทำให้มีผลต่อแร่ธาตุในดิน
เนอื่ งจากถกู ใชเ้ พื่อการเจริญเติบโตทำให้ดินเสอ่ื มสภาพ เพราะขาดแรธ่ าตุ การกำจดั ต้นธูปฤๅษีสามารถทำ
ได้ คือ การใช้แรงงานคน หรือเครื่องจักรกลตัดฟัน การเผาและการใช้สารเคมี ซึ่งต้องเสียแรงงาน
ค่าใช้จ่าย อันก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (สุพรรณี พุมมา, 2550) แม้ว่าต้นธูปฤๅษีเป็นวัชพืชที่มี
ข้อเสียต่างๆ แต่ยังสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ เนื่องจากต้นธูปฤๅษีมีเส้นใยที่ยาวและเหนียว มีแร่ธาตุ
อาหารหลากหลายชนิด เชน่ ไนโตรเจน 233 เปอรเ์ ซน็ ต์ ฟอสฟอรัส 0.51 เปอรเ์ ซน็ ต์ และโพแทสเซียมสูง
คือ 2.35 เปอร์เซ็นต์ (อำไพ ยังบุญเกิด, 2513) ซึ่งเป็นธาตุอาหารหลักที่พืชต้องการ ต้นธูปฤๅษีสามารถ
นำมาทำเป็นเชือก เฟอร์นิเจอร์ หรือนำมาปั่นเป็นเส้นด้ายเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ ทดแทนฝ้าย และ
ลินินที่มีราคาสูง และในอนาคตมีแนวโน้มที่จะนำมาผลิตเป็นวัสดุทดแทนที่มีต้นทุนต่ำแต่ สามารถเพิ่ม
มูลค่าได้(จิติ หนูแก้ว, 2556) แต่การนำมาทำเชือก เฟอร์นิเจอร์ หรือนำมาปั่นเป็นเส้นด้ายเพื่อใช้ใน
อุตสาหกรรมสิ่งทอทดแทนฝ้าย มีขั้นตอนการทำที่ยาก ต้องใช้เครื่องจักรในการผลิตซึ่งมีทั้งกระบวนการ
ขั้นตอนทีย่ ากลำบากและค่าใช้จ่ายทีส่ งู

จากสภาพการณ์ข้างต้น ต้นธูปฤๅษีมีเส้นใยที่มีความเหนียวของเส้นใยสูงคล้ายกับหยวกกล้วย
(ยงยุทธ จันทรอัมพร, 2552) ที่มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุในหน้าดินสามารถหาได้ง่าย และคณะ
ผู้จัดทำมีแหล่งน้ำที่มีต้นธูปฤๅษีขึ้นอยู่จำนวนมาก คณะผู้จัดทำสนใจที่จะนำต้นธูปฤๅษีมาแปรรูปเป็น
กระถางเพาะชำต้นกล้าจากต้นธูปฤๅษี เพื่อศึกษาการทำ อัตราส่วนที่เหมาะสมในการขึ้นรูปกระถาง และ
ระยะเวลาในการคงรูปร่างของกระถางเพาะชำต้นกล้าจากต้นธูปฤๅษี และคณะผู้จัดทำได้เลือกใช้ต้น
ดาวเรืองเป็นพืชที่ใช้ติดตามผลดูการคงรูปร่าง กระถางเพาะชำต้นกล้าจากต้นธูปฤๅษี เนื่องจากต้น
ดาวเรือง มีวงจรชีวิตสั้น ต้องการธาตุอาหารหลักคือ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม อีกทั้งเป็น
ไมด้ อกเศรษฐกจิ และเป็นไม้ดอกทีน่ ิยมปลูกกันอยา่ งแพร่หลาย

2

วตั ถปุ ระสงค์

1. เพ่อื ศกึ ษาการทำกระถางเพาะชำต้นกลา้ จากตน้ ธปู ฤๅษตี ามอตั ราส่วนตา่ งๆ
2. เพื่อศกึ ษาระยะเวลาในการยอ่ ยสลายของกระถางเพาะชำจากตน้ ธูปฤๅษี

สมมติฐาน

1. อัตราสว่ นทเ่ี หมาะสมในการทำกระถางเพาะชำตน้ กล้าจากตน้ ธูปฤๅษีคอื ตน้ ธปู ฤๅษี และกาวแป้งเปียก
เทา่ กบั 3:1
2. เมอ่ื นำต้นดาวเรอื งมาเพาะในกระถางเพาะชำตน้ กลา้ จากต้นธูปฤๅษี กระถางเพาะชำตน้ กลา้ จะคง
รูปร่างได้ 20 วนั จะค่อยๆเส่อื มสภาพ และยอ่ ยสลายไป

ตวั แปรที่เกีย่ วขอ้ ง

ตัวแปรต้น 1. อตั ราส่วนของกระถางเพาะชำต้นกลา้ จากต้นธปู ฤๅษี
2. กระถางเพาะชำตน้ กลา้ จากต้นธปู ฤๅษีในอัตราสว่ นที่เหมาะสม

ตวั แปรตาม ระยะเวลาในการย่อยสลายของกระถางเพาะชำจากตน้ ธปู ฤๅษี
ตัวแปรควบคมุ 1. ขนาดของกระถางเพาะชาํ ต้นกลา้

2. ปรมิ าณในการรดนำ้ และแดดแต่ละคร้งั
3. ระยะเวลาในการทดสอบการเสื่อมสภาพหรือการยอ่ ยสลาย ดว้ ยวธิ ีวงจรเปียกแหง้
4. สถานทีท่ ดสอบ
5. วนั และเวลาที่บนั ทึกผล
6. อตั ราสว่ นทใี่ ชท้ ำกระถางเพาะชําต้นกลา้ ทเี่ หมาะสม

นิยามศพั ท์

1. กระถางเพาะชาํ ต้นกลา้ จากตน้ ธูปฤๅษี หมายถงึ กระถางเพาะชำต้นกลา้ ท่ีใชต้ ้นธูปฤๅษีมาผา่ น
กระบวนการผลิต แลว้ นํามาขึ้นรูปเปน็ กระถางเพาะชำต้นกล้า ใช้ในการปลูกและเพาะชำ
2. การยอ่ ยของกระถางเพาะชําตน้ กล้า หมายถึง การทดสอบการย่อยสลาย ดว้ ยวธิ วี งจรเปยี กแห้ง โดยการ
ต้งั วางชน้ิ งานกลางแจ้ง (วงจรแห้ง) และ รดนำ้ (วงจรเปยี ก)

ประโยชนท์ ่ีคาดวา่ จะได้รับ

1. เพ่ือเปน็ แนวทางในการรักษาสง่ิ แวดล้อมจากการทิ้งกระถางเพาะชำพลาสติก
2. สรา้ งมลู ราคาเพม่ิ ให้กบั วสั ดธุ รรมชาตติ า่ งๆ ท่ี เหลอื ใชใ้ นทอ้ งถน่ิ แทนการนำไปทง้ิ เป็นขยะหรือเผา
ทำลาย
3. นำไปเผยแพรแ่ ละถา่ ยทอดเทคโนโลยีการผลติ กระถางเพาะชำต้นกลา้ จากตน้ ธปู ฤๅษีและ จำหน่ายแก่
เกษตรชมุ ชน เพื่อเพิม่ รายไดใ้ หแ้ กช่ มุ ชน

3

บทที่ 2
เอกสารและงานวิจยั ทเี่ ก่ยี วขอ้ ง

โครงงานเรื่อง กระถางเพาะชำต้นกล้าจากต้นธูปฤๅษี ได้มีการดำเนินการทำโครงงาน ทางคณะ
ผู้จัดทำได้ศึกษาเอกสาร สืบค้นข้อมูลจากสื่อต่างๆ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับ
ดำเนินการทำโครงงาน โดยมหี ัวข้อทที่ ำการศึกษา ดังน้ี
1. เอกสารที่เกยี่ วข้อง

1.1 ธูปฤๅษี
1.2 กระถางเพาะชำ
1.3 พลาสติก
1.4 วัสดุอินทรยี ์
1.5 ดาวเรอื ง

2. งานวจิ ยั ท่ีเก่ยี วข้อง

1. ต้นธปู ฤๅษี

ธูปฤๅษี (Typha angustifolia L. ) เป็นพืชที่พบในที่ลุ่มท้ังน้ำจืด และน้ำเค็ม ถิ่นกำเนิดเดิมอยู่ในทวีป
ยุโรป และอเมรกิ า ปัจจบุ นั พบการแพร่กระจายไปเกอื บท่วั โลก (สชุ าดา, 2530) ใบยาว และเหนียวนิยมใช้
ทำเครื่องจักสาน เช่น นิยมมาทำผลิตภัณฑ์จักสาน เสื้อ ตะกร้า ใช้มุงหลังคา บริโภคได้ ทำเชื้อเพลิงเขียว
และอุตสาหกรรมกระดาษ (Ramey, 1981) สามารถนำมาใช้เป็นแหล่งเชื้อเพลิงทดแทนได้เนื่องจากมี
น้ำหนักแห้งต่อไร่สูง (Pratt และคณะ, 1980) มีประสิทธิภาพสูงในการดูดซับไนโตรเจนและฟอสฟอรัสใน
น้ำเสียสามารถนำมาทำเป็นปุ๋ยหมักพืชคลุมดนิ ได้เพราะมีปริมาณไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม
สูงคือ 2.33 เปอร์เซ็นต์ 0.51 เปอร์เซ็นต์ และ 2.35 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ (อำไพ, 2513) แป้งที่ได้จาก
ลำต้นใต้ดิน และรากใช้บรโิ ภคได้เช่นกัน ในอินเดียเคยใชก้ า้ นชอ่ ทำปากกา และเช่อื วา่ ลำต้นใต้ดินและราก
ใช้เป็นยาบำบัดโรคบางชนิด อย่างไรก็ตามปัจจุบันธูปฤๅษีมีมีเฉพาะในแหล่งธรรมชาติซึ่งยังขาดข้อมูลอีก
หลายประการทั้งพนั ธุกรรมการขยายพนั ธุ์การเจริญเตบิ โต การใช้ปจั จยั ในการเจรญิ เตบิ โตรวมถงึ การสร้าง
ชีวมวลท่ีจะเปน็ ขอ้ มลู ในการนำมาใช้ประโยชนด์ า้ นอ่นื ๆ อีกต่อไป โดยจะมีช่อื เรยี กต่าง ๆ กันดังน้ี

ชื่อวทิ ยาศาสตร์ : Typha angustifolia L

ชอ่ื วงศ์ : T. elephantine Roxb

4

ชื่อสามัญไทย : กกช้าง กกธูป ธูปฤๅษี เฟื้อ เฟื้อง หญ้ากกช้าง หญ้าปรือ หญ้าเฟื้อง หญ้าสลาบ
หลวงหรอื หญ้าสะลาบหลวง

ชื่อสามัญอังกฤษ : Cat-tail, Elephang grass, Lesser reedmace, Narrow-leaved cattail,
Bulrush, Flag, Reedmace tule

1.1 ลักษณะดอกธปู ฤๅษี

ดอกมีลักษณะเป็นช่อเชิงลด (spike) มีก้านดอกที่แข็งแรงอยู่ตรงกลางระหว่างไปโดยใบจะห่อหมุ้
ก้านดอกความยาวของก้านดอกประมาณ 180-200 เซนติเมตร ดอกมีลักษณะเป็นทรงกระบอกคล้ายธูป
ขนาดใหญ่ กลมุ่ ดอกเพศผู้และเพศเมียอย่ใู นช่อดอกเดยี วกัน ดอกย่อยแยกเพศ ดอกตัวผู้ (staminate) อยู่
ตอนปลายของก้านและจะหลุดร่วงไปก่อนกลุ่มดอกเพศเมียประกอบด้วยดอกย่อย ๆ เรียงกันรอบก้านชอ่
ดอกมสี นี ำ้ ตาลอมเขยี วยาวกวา่ ดอกเพศเมียเลก็ น้อย กว้างนอ้ ยกวา่ และดอกเพศเมยี จะอยู่บรเิ วณโคนของ
ช่อดอกประกอบด้วยดอกย่อยอัดแน่นรอบ ดอกเพศเมียแต่ละดอกจะมีอับเรณู 1 อันภายหลังดอกได้รับ
เกสรผสมเกสรจากดอกตัวผูอ้ บั เรณจู ะเปลยี่ นเป็นเมล็ดเมอ่ื ฉีกดอกธูปฤๅษอี อกจะสังเกตเห็นวา่ มเี สน้ ใยดอก
จำนวนมากอัดแน่นอยู่ ซึ่งเส้นใยเหล่านี้จะเป็นส่วนที่พืชสร้างขึ้น ช่อดอกยาวประมาณ 20 เซนติเมตรเส้น
ผ่าศนู ยล์ างประมาณ 0.7-1.5 เซนติเมตร

1.2 การแพรก่ ระจายของต้นธูปฤๅษี

ตน้ ธปู ฤๅษเี ป็นพชื ท่เี จริญเตบิ โตได้อย่างรวดเรว็ โดยลกั ษณะการแพร่กระจายมดี ังนี้
1.2.1 ลม เป็นตัวพาให้ธูปฤๅษีแพร่กระจายไปได้ไกล โดยพัดพาสปอร์และเมล็ดของ

ธูปฤๅษีซึ่งมีลักษณะเบาหรือมีส่วนที่ช่วยพยุงให้เมล็ดลอยไปตามลมได้ พืชเหล่านี้จึงแพร่กระจาย
ไดร้ วดเรว็ เชน่ สปอรข์ องเฟิร์นบางชนดิ หญ้าคา ธปู ฤๅษีเลาเปน็ ต้น

1.2.2 น้ำ สามารถพัดพาเมล็ดของธูปฤๅษีไปตามกระแสน้ำ ทำให้ธูปฤๅษีแพร่กระจายไป
ยังท่ตี ่าง ๆ ซง่ึ อาจถูกพดั พาโดยน้ำฝนท่ีไหลบ่าไป นอกจากน้ยี งั เป็นปัจจัยท่ีสำคัญต่อการงอกของ
เมลด็ ธปู ฤๅษีดว้ ย

1.2.3 สัตว์ เป็นพาหะที่นำพาเมล็ดธูปฤๅษีไปยังที่ต่าง ๆ ได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น
เมลด็ ธปู ฤๅษีอาจติดไปกับรา่ งกายของสตั ว์เอง จากท่ีหน่ึงไปตกยงั อีกทห่ี นึ่งได้หรือเม่ือเวลาท่ีสัตว์
กินพืชเป็นอาหารแล้วจะถ่ายมูลออกไว้โดยที่เมล็ดธูปฤๅษีไม่ถูกย่อยก็จะสามารถเจริญเติบโตงอก
งามได้

1.2.4 มนุษย์ สามารถนำพาธปู ฤๅษีไปได้เป็นระยะทางไกล อาจจะด้วยความต้ังใจหรือไม่
ตั้งใจก็ตามโดยการติดไปกับเสื้อผ้าที่สวมใส่ หรือเกิดจากการรู้เท่าไม่ถึงการณ์การแพรากระจาย
ทางเครื่องมืออุปกรณ์และสิ่งอื่น ๆ ที่ใช้ในการเกษตรจากที่หนึ่งนำไปใช้อีกสถานที่หนึ่งอาจมีเลด็
ธูปฤๅษีติดไปด้วยหรือการขนย้ายดินแม้แต่ในเล็ดพันธุ์พืชซึ่งซื้อมาปลูกก็อาจมีเล็ดธูปฤๅษีประปน
มาได้

5

ภาพท่ี 1 ตน้ ธปู ฤๅษี ภาพท่ี 2 ตน้ ธปู ฤๅษี
(ท่มี า: 18 สรรพคณุ และประโยชนข์ องตน้ ธปู ฤๅษี ! (กกชา้ ง) (ที่มา: ธปู ฤๅษี (ku.ac.th))

(medthai.com))

1.3 ประโยชนจ์ ากธูปฤๅษี
แม้ว่าธูปฤๅษีจะก่อให้เกิดโทษอย่างมากมายมหาศาล แต่ก็ยังมีประโยชน์อยู่บ้างซึ่งหลาย ๆ คน
อาจมองข้ามไปธูปฤๅษีช่วยป้องกันการพังทลายของดินเนื่องจากธูปฤๅษีมีระบบรากที่มีธูปฤๅษีอาจช่วยทำ
ให้วัฏจักรของแร่ธาตุอาหารในดินสมบูรณ์ขึ้นซึ่งเป็นที่ทราบกันดีแล้วองค์ประกอบของส่วนต่าง ๆ ของ
ธูปฤๅษีจะมีแร่ธาตุอาหารชนิดต่าง ๆ ที่เกิดจากการเลี้ยงดูดซึมเข้าไปเพื่อใช้ในการเจริญเติบโตและเมื่อ
ธูปฤๅษตี ายลงหรอื อาจแกต่ ายหรอื เกดิ จาการกาํ จัดก็ตามกจ็ ะมกี ารย่อยสลาย (decomposition) จะทำให้
แร่ธาตุอาหารกลับสู่ดินทำให้สามารถเพาะปลูกได้ซากของธูปฤๅษีสามารถนำมาใช้เป็นวัสดุคลุมผิวดิน
(mulching) การสญู เสยี ความช้ืนออกจาผดิ ดินหรอื ลดการปะทะของนำ้ ฝนทีต่ กลงมากวิธเี ป็นการปฏิบัตใิ น
แปลงปลูกพืชยืนต้นพวกไม้ผลชนิดต่าง ๆ ธูปฤๅษีที่ขึ้นตามธรรมชาติอาจนำมาใช้สัตว์ได้ธูปฤๅษีช่วยเพ่ิม
อินทรียวัตถุในดินองค์ประกอบของธูปฤๅษีนอกจากนะมีแร่ธาตุอาหารหลายชนิดแล้วองค์ประกอบอื่น ๆ
สามารถให้ประโยชน์แกด่ ินในแงข่ องอินทรยี วตั ถุ (Organic matter) ได้การไถกลบเศษซากธปู ฤๅษีหรอื การ
ที่วัชพืชถูกกำจัดโดยเกษตรกรในช่วงแรกของการแก่งแย่ งแข่งขันในพืชปลูกก็เท่ากับเป็นการ เพิ่ม
อินทรียวัตถุลงในดินซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่พืชปลูกโดยตรงประโยชน์ของธูปฤๅษีในแง่ของการเพิ่ม
อินทรียวัตถุในดินนี้ก็เป็นกระบวนการเหมือนกับการทำปุ๋ยพืชสด (green manure) โดยการไถกลบดิน
ประโยชน์ของธปู ฤๅษีนอกเหนือการเกษตรใชธ้ ูปฤๅษีเป็นวัสดุเชื้อเพลิงใช้เป็นวัตถดุ ิบในการทำเครื่องใช้ต่าง
เช่นนำมามุงหลังคาบ้านทำฝาบ้านการสานชนิดต่างในทางหัตถกรรมพื้นบ้านอุตสาหกรรมครัวเรือนใช้ทำ
เย่ือกระดาษใช้เปน็ ปุย๋ พืชสดหรอื ทำปุย๋ หมกั บำรงุ ดนิ ได้ใช้เปน็ อาหารเล้ยี งสตั ว์เคี้ยวเอ้ือง

6

1.4 ความเสยี หายอันเกดิ ต้นธปู ฤๅษี

ต้นธูปฤๅษีเป็นวัชพืชที่นับไดว้ ่ามคี วามสัมพันธ์กับมนษุ ย์ค่อนข้างมากโดยที่ไม่ใช่เฉพาะการมีความ
เกีย่ วขอ้ งกบั การเกษตรเทา่ นั้นวชั พืชยงั เป็นตัวการสำคัญทีท่ ำใหเ้ กดิ ความเสยี หายแก่มนษุ ย์ทั้งทางตรงและ
ทางอ้อมากมายผลเสียที่เกิดจากธูปฤๅษีต่อสภาพแวดล้อม ได้แก่ เมื่อต้นธูปฤๅษีเจริญขึ้นในแหล่งน้ำตื้น
อยากมากมายและตายลงทำให้เกดิ นำ้ เสียในแหลง่ น้ำต่าง ๆ สง่ กลนิ่ เหม็นไปรอบ ๆ สร้างความรำคาญแกผ่ ู้
สัญจรและผู้อยู่อาศยั บริเวณน้ันเป็นที่อยู่ของสัตว์มพี ิษเนื่องจากธปู ฤๅษเี ป็นต้นที่มีลกั ษณะสูงเรียวยาวและ
มักขน้ึ อย่างหนาแนน่ ปกคลมุ เนือ้ ที่ได้หลาย ๆ ไรท่ ำให้มลี กั ษณะเป็นท่ที ร่ี กรุงรงั และสกปรกทำให้สัตว์มีพิษ
ไปอาศัยอยู่ได้เกิดปัญหาการใช้สอยที่ดินทำกินเนื่องจากธูปฤๅษีสามารถเจริญเติบโตและแพร่พันธ์ได้
รวดเร็วครอบคลุมพนื้ ท่ีได้กวา้ งในเวลาเพยี งไมก่ ีเ่ ดือนและแย่งธาตอุ าหารท่ีจำเป็นในดนิ ไปทำใหไ้ ม่สามารถ
เพาะปลกู ไดด้ ีเท่าท่ีควรการเดินทางสัญจรลำบากเพราะบรเิ วณท่ีมธี ูปฤๅษเี จริญอยมู่ ักจะมีแหลง่ น้ำขังแลรก
ไม่สมารถสัญจรไปมาได้สะดวกสิ้นเปลืองงบประมาณในการถางทำลายเป็นอย่างมากในการกำจัดวัชพืช
ชนิดนี้นั้นไม่สามารถกำจัดได้อย่างถาวรเพราะเมล็ดของธูปฤๅษนี ั้นมีขนาดเล็กมากและมมี ากมายมหาศาล
และทส่ี ำคญั สามารถปลิวกระจดั กระจายไปตามทตี่ ่าง ๆ อย่างรวดเร็วในป่าไมอ้ าจะประสบปัญหาไฟป่าได้
ทำใหไ้ ด้รับความเสยี หายอยา่ งมากเปน็ ปญั หาต่อการพฒั นาทด่ี ินทำกินของประเทศ

การใชป้ ระโยชนจ์ ากธปู ฤๅษีในกระบวนการบำบัดน้ำเสยี

การบำบัดน้ำเสียเป็นกระบวนการที่ทำให้ของแข็งที่เจือปนอยู่ในน้ำเสียถูกขจัดหรือเปลี่ยนแปลง
สภาพจากสารอนิ ทรยี ์ที่ทำให้เกิดการเนา่ เสียได้ง่ายกลายไปเปน็ แร่ธาตุหรอื สารอินทรียท์ ่ีค่อนข้างคงสภาพ
ซึ่งส่งผลให้ความสกปรกในน้ำลดลงไปตามเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไม่ทำให้เกิดมลพิษต่อสภาพแวดล้อม
เมื่อปล่อยออกไปสำหรับส่วนที่เป็นของแข็งที่แยกออกไปนั้นต้องนำไปกำจัดในทางที่ถูกต้องต่อไป
กระบวนการบำบดั น้ำเสยี มหี ลายวธิ เี ช่น

1. การบำบัดน้ำเสียแบบธรรมชาติ (natural treatment) เป็นวิธีการท่ีใช้กลไกทางธรรมชาตเิ ปน็
หลักในการบำบดั นำ้ เสียซึง่ อาศัยความเกี่ยวข้องกันระหว่างกระบวนการทางธรรมชาติทางกายภาพทางเคมี
และทางชีวภาพที่เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมของดินและน้ำโดยการบำบัดด้วยวิธีนี้สามารถกำจัดสิ่งเจือปน
ออกจากน้ำเสียไดร้ ะดบั หนึ่งและมวี ิธกี ารแบบต่าง ๆ ดังน้ี

1.1 วิธีบำบัดน้ำเสียแบบกระจายบนดิน (and treatment systems) เป็นวิธีการปล่อยน้ำเสียลง
บนพื้นที่เกษตรกรรมหรือพื้นที่ว่างเปล่าที่ไม่ได้ใช้ในกิจกรรมใด ๆ ทั้งสิ้นวิธีนี้เป็นวิธีที่ประหยัด แต่ต้องใช้
พื้นที่มากในการบำบัดน้ำเสียการใช้วิธีนี้ต้องคำนึงด้วยว่าในน้ำเสียมีสารพิษปะปนหรือไม่เนื่องจากอาจ
ส่งผลกระทบต่อการเจริญงอกงามของพืชและถ้าเป็นพืชที่ต้องนำมารับประทานเป็นอาหารอาจจะมีการ
ปนเปอ้ื นของสารพิษเหล่าน้นั ในพชื ผลท่ีเก็บเกยี่ วได้

7

1.2 วธิ ีว่งิ ประดษิ ฐห์ รอื ระบบท่ชี มุ่ นำ้ เทียม (Constructed wetland Systems) เป็นวิธีการปลอ่ ย
น้ำเสียลงในบึงซึ่งสร้างขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์การบำบัดน้ำเสียโดยตรงที่มีความลึกน้อยกว่า 0.6 ม. มีพืช
น้ำซึ่งมีรากอยู่ใต้ดินเจริญเติบโตภายในบึงซึ่งใบของพืชเหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นแผ่นตัวกลางให้แบคทีเรีย
เกาะไดแ้ ละยงั ทำหน้าท่ีเป็นตัวกรองและตวั ดดู ซบั สารปนเปือ้ นตา่ ง 1 ในนำ้ เสียเพิม่ ปรมิ าณออกซเิ จนใหแ้ ก่
น้ำและป้องกันยบั ยงั้ การเจริญเตบิ โตของสาหรา่ ยโดยทำหน้าที่กันแสงแดดไมใ่ หส้ ่องลงไปในนา

1.3 วิธีพืชลอยน้ำ (floating aquatic plant treatment systems) การบำบัดน้ำเสียด้วยวิธีน้ี
คล้ายคลึงกับระบบวิ่งประดิษฐ์แบบน้ำอยู่เหนือผิวดินส่วนที่แตกต่างกันคือพืชที่ใช้ในการบำบัดซึ่งเป็นพชื
จำพวกผักตบชวาและแหนความลึกของบ่อมีความลึกมากกว่าคือ 50-180 ซม. น้ำเสียที่จะเข้าไปบำบัด
ด้วยวิธีนี้ต้องผ่านการตกตะกอนและการเติมอากาศในระยะเวลาสั้นมาก่อนเพื่อให้บ่อบำบัดมีปริมาณ
ออกซิเจนตลอดเวลาและเพื่อป้องกันกลิ่นเหม็นและแมลงต่าง ๆ มาตอมเมื่อน้ำเสียที่ปล่อยลงบ่อไหลผ่าน
รากพืชลอยนำ้ ซึง่ มแี บคทีเรียเกาะอยูบ่ นรากกจ็ ะเกิดการบำบดั น้ำเสียขึน้

จากการรวบรวมเอกสารของตน้ ธูปฤๅษที ีต่ ้องสืบคน้ เร่ืองน้ีเพราะ จะทำใหท้ ราบว่าตน้ ธูปฤๅษี เป็น
วัชพืชน้ำที่มีการแพรก่ ระจายไดห้ ลายลักษณะทั้งสตั ว์ ลม น้ำ มนุษย์ สามารถนำพาเมล็ดของตน้ ธูปฤๅษไี ป
ได้ทกุ ที่ และยังขยายพนั ธ์ุ ไดอ้ ย่างรวดเรว็ ตาม แพร่กระจายพันธุ์ไปทว่ั ทุกภาคของประเทศไทย ต้นธูปฤๅษี
มที ้งั ประโยชนแ์ ละโทษ ถ้าตน้ ธปู ฤๅษใี นแหลง่ นำ้ มีไม่มากจนเกินไปก็จะเป็นการบำบัดนำ้ เสียแบบธรรมชาติ
แตต่ ้นธูปฤๅษเี ปน็ พชื ทีส่ ามารถเจรญิ เตบิ โตและแพรพ่ ันธไ์ ดร้ วดเรว็ ครอบคลมุ พ้ืนที่ได้กวา้ งในเวลาเพียงไมก่ ี่
เดือน จงึ ทำให้แหลง่ นำ้ ต่างๆเกดิ การเน่าเสีย ส่งกล่ินเหม็น และยงั แย่งธาตอุ าหารที่จำเป็นในดินไป และยัง
ทำให้ทราบถึงคุณสมบัติของต้นธูปฤๅษีอีกด้วย สามารถนำเอาข้อมูลตา่ งๆที่รวมรวม มาตัดสินใจเลือกเป็น
วัสดใุ นการขนึ้ รูปเป็นกระถางเพาะชำ เพราะแพรพ่ ันธ์ุ ไดอ้ ย่างรวดเรว็ และมธี าตุอาหารท่พี ชื ตอ้ งการ

2. กระถางเพาะชำ

คือ ภาชนะปลูก ซึ่งสามารถใช้ในการเพาะต้นกล้า หรือใช้ปลูกต้นไม้ ก็ได้ ขึ้นอยู่กับขนาดของ

กระถาง กระถางเพาะชำ มีหลายไซส์ให้เลือกเหมาะกับการใช้งาน นับบว่าเป็นอุปกรณ์เกษตรที่ได้รับ
ความนิยมในการนำใช้เพาะชำต้นกล้า เพราะมีข้อดีในการช่วยให้การย้ายต้นกล้าเพื่อลงแปลงปลูก ทำได้
สะดวกมากยิ่งขึ้น ในการเพาะเล้ียงไม้ดอกและผักต่าง ๆ เพื่อการค้า ซึ่งจำเป็นต้องผลติ ในปริมาณสูง การ
เพาะเมล็ดในปัจจัยแวดล้อมที่เอื้อต่อการเจริญเติบโต ก่อนที่จะย้ายต้นกล้าลงปลูกในแปลงนั้น เรามักจะ
เลอื กใช้เมล็ดพนั ธค์ุ ุณภาพทด่ี ีและมรี าคาสูง และจำเปน็ ต้องใส่ใจอย่างใกลช้ ดิ ในช่วงเริม่ ต้น การเพาะเมล็ด
ในกระถางเพาะเมล็ดจึงเป็นอุปกรณ์ที่สามารถวางไว้ใกล้ตัวเรา ทำให้มีโอกาสในการดูแลต้นกล้ามากขึ้น
ชว่ ยลดความเสี่ยงเรื่องการตายของต้นกล้า และเรอื่ งของโรคและแมลงศัตรพู ชื ตา่ งๆ และท่ีสำคัญคือทำให้
เราประหยัดเมล็ดพันธุ์ได้ด้วยสามารถผลิตจาก พลาสติก HD HDPE หรือ PE 100 % ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ
จุดประสงค์ในการใช้งาน เช่น กรณีต้องการเพาะชำระยะเวลาส้ัน สามารถเลอื ก พลาสติก HD เพื่อชว่ ยใน
การประหยัดต้นทุน แตก่ รณีเพาะชำตน้ กลา้ ท่ใี ช้ระยะเวลานาน ควรเลือกเปน็ พลาสติก HDPE หรือ PE

เอกสารของกระถางเพาะชำต้นกล้าตามที่นิยามศัพท์ไว้ กระถางเพาะชำต้นกลา้ ที่ใช้ต้นธูปฤๅษีมา
ผ่านกระบวนกาจากการรวบรวมรผลิต แล้วนํามาขึ้นรูปเป็นกระถางเพาะชำต้นกล้า ใช้เป็นภาชนะในการ

8

ปลูกและเพาะชำต้นกล้า เป็นการนำเมล็ดพันธุ์ไม้ต่างๆ มาเพาะก่อนที่จะย้ายต้นกล้าลงปลูกในแปลงนั้น
โดยสามารถนำกระถางฝังลงดินไปพร้อมกบั ต้นกล้าได้เลย เพราะกระถางสามารถย่อยสลายได้ และจะทำ
ใหร้ ้วู ่ากระถางเพาะชำตน้ กลา้ มีคณุ สมบัติแบบใด

3. พลาสติก

1. เทอรโ์ มพลาสติก เทอร์โมพลาสติกเป็นพอลเิ มอร์ (Polymer) ทมี่ โี ครงสร้างเป็นแบบเส้นตรง
หรือ แบบก่ิงสนั้ ๆ โครงสร้าง ภายในโมเลกลุ ยดึ เหนี่ยวกนั ดว้ ยแรงยดึ เหนี่ยวระหว่างโมเลกลุ ด้วยพนั ธะทุติย
ภูมิ สามารถละลายได้ดใี นตัวทำละลายบางชนดิ เช่น โทลูอีน (Toluene) คาร์บอนเตตระคลอไรด์ (Carbon
tetrachloride) เมือ่ ถูกความร้อน สามารถหลอมตัวได้และเมือ่ เย็นจะแข็งตวั สามารถนํากลับมาหลอมและ
ทำใหแ้ ข็งตัวได้หลายครั้ง โดยไม่ทำให้ สมบตั ิทางเคมีและทางกายภาพเปลี่ยนไป สามารถแบ่งออกเป็นกลมุ่
ยอ่ ยได้ 2 กลุ่ม คอื

เทอร์โมพลาสตกิ อสัณฐาน (Amorphous thermoplastics) และ เทอร์โมพลาสตกิ ทมี่ ผี ลกึ
บางสว่ น (Partial crystalline thermoplastics) เทอร์โมพลาสติกอสัณฐาน เป็นพอลิเมอร์ท่ีมีลกั ษณะแขง็
และเปราะ ตัวอยา่ งเช่น พอลิสไตรีน (Polystyrene) พอลเิ มธิลเมธาไครเลต (Polymethyl
methacrylate) พอลไิ วนลิ คลอไรด์ (Polyvinyl chloride) พอลคิ าร์บอเนต (Polycarbonate) เปน็ ต้น

เทอร์โมพลาสตกิ ทมี่ ผี ลกึ บางส่วน พอลเิ มอร์ประเภทน้มี ีโครงสรา้ งของโซโ่ มเลกลุ เปน็ ระเบยี บ ทำ
ใหเ้ รยี งตวั ไดด้ ี จงึ มคี วามเป็นผลกึ ในส่วนที่เป็นอสณั ฐาน ทำใหพ้ อลิเมอรช์ นิดน้มี คี วามเหนียวและยดื หยุ่น
ตัวอย่างเช่น พอลเิ อทลิ นี (Polyethylene) พอลิพรอพิลีน (Polypropylene) พอลเิ อไมด์(Polyamide)
พอลเิ อทิลนี เทเรพฟธอลเลต (Polyethylene terephathalate) เปน็ ต้น พอลิเมอร์ชนดิ นี้มีขอ้ เสยี และ
ขอ้ จำกดั ของ การใช้งาน คือ ไมส่ ามารถใช้งานท่ีอณุ หภมู ิสูงได้ เพราะอาจเกิดการบดิ เบย้ี วเสียรปู ทรงได้ง่าย

เนอื่ งจากเทอรโ์ มพลาสตกิ เมื่อถูกความร้อนทาํ ให้เกิดการอ่อนตวั สามารถนํากลับมาหลอมเหลว
และขึน้ รปู ได้หลายครงั้ จึงนยิ มนาํ พลาสตกิ ชนดิ นม้ี ารีไซเคิล (Recycle) โดยการบด และหลอมดว้ ยความ
รอ้ นเพื่อขนึ้ รูป เปน็ ผลิตภณั ฑใ์ หม่ ผลติ ภณั ฑ์ทีผ่ ลติ จากเทอร์โมพลาสตกิ รีไซเคลิ จะมีการแสดงสญั ลักษณ์
ไว้บนผลติ ภัณฑ์ โดย ใชส้ ัญลกั ษณ์ลูกศรวิ่งวนเปน็ รูปสามเหล่ียมด้านเทา่ มเี ลขกำกับภายใน และมีอกั ษร
ภาษาองั กฤษที่ฐาน สามเหลีย่ ม (ภาพที่ 1)

ภาพที่ 3 สญั ลกั ษณพ์ ลาสตกิ ที่รีไซเคลิ ได้
เทอรโ์ มพลาสติกท่ีนำมารีไซเคิลแบ่งออกเปน็ 7 ชนิด คอื

1. พอลเิ อทลิ นี เทเรพฟธอลเลต (Polyethylene terephthalate; PET) เปน็ พอลเิ มอรใ์ สม่มสี ี
แข็ง ทนทานต่อแรงกระแทก จงึ นิยมใชท้ ำขวดน้ำด่มื และเน่อื งจากมีสมบัตใิ นการป้องกนั

9

การแพร่ผ่านของกา๊ ซไดด้ ี จึงนำมาใชท้ ำขวดบรรจนุ ำ้ อดั ลม สามารถนำมารไี ซเคลิ ไดโ้ ดยการทาํ เปน็ เส้นใย
พอลิเอสเทอร์ (Polyester)

2. พอลิเอทลิ นี ความหนาแน่นสงู (High density polyethylene; HDPE) การจดั เรยี งตัวของ
โมเลกลุ ภายในโครงสร้างมคี วามเป็นระเบยี บ และมีปรมิ าณโครงสรา้ งผลกึ สูง มคี วามข่นุ ทนกรดและดา่ ง
ได้ดี จงึ นิยม ใช้ทำภาชนะบรรจสุ ารเคมี, ถงั ขยะ, ถังนำ้ HDPE สามารถปอ้ งกนั การแพรผ่ ่านของความช้นื ได้
ดี จึงนำมาใช้ทำขวดนม นยิ มนำมารไี ซเคลิ เป็น ม้าน่ัง ขวดใส่นำ้ ยาซกั ผ้า

3. พอลิไวนิลคลอไรด์ (Polyvinyl chloride; PVC) เนอื่ งจากมคี ลอรนี อะตอมอยู่ในสายโซ่ จึงทำ
ให้มีแรง ดงึ ระหว่างโมเลกุลสงู ทำให้มคี วามแข็งมาก นยิ มใชท้ ำทอ่ น้ำประปา หนังเทียม ฉนวนหุ้มสายไฟ
ถ้าเตมิ พลาสตกิ ไซเซอร์ (Plasticizer) ลงไปจะทำใหน้ มิ่ นำมาทำเป็นโฟม สายยาง ม่าน พลาสตกิ ชนิดนีถ้ กู
นำมา รไี ซเคลิ เป็น ท่อน้ำประปาเพ่ือการเกษตร

4. พอลเิ อทิลีนความหนาแน่นต่ำ (Low density polyethylene; LDPE) โครงสร้าง LDPE มี
กิง่ ก้านสาขา จำนวนมาก จึงทำใหม้ ีปรมิ าตรสูง มีความหนาแน่นต่ำ มคี วามโปร่งแสง นยิ มใชท้ ำสายหมุ้
ทองแดงถุงใสข่ อง ถุงเย็นบรรจอุ าหาร แผ่นฟิล์ม สามารถรีไซเคิลเปน็ ถงุ ใส่ขยะได้

5. พอลพิ รอพลิ ีน (Polypropylene; PP) มสี มบตั คิ ล้ายกบั PE แต่มคี วามหนาแน่นต่ำกว่า PE เป็น
พลาสตกิ ท่เี บาทสี่ ดุ แต่มคี วามแข็ง ทนทานตอ่ แรงกระแทกสูง นิยมทำบานพบั และฝาขวดทม่ี กี ารเปิดปดิ
เปน็ ประจำ ทำภาชนะบรรจอุ าหาร เป็นฉนวนไฟฟ้าไดด้ ี เนอื่ งจากมีโครงสร้างเปน็ ผลึก สามารถนาํ กลับมา
รีไซเคลิ เป็นกล่องแบตเตอรีรถยนต์ กันชนได้

6. พอลสิ ไตรีน (Polystyrene; PS) พอลเิ มอรใ์ นเชิงการคา้ อยใู่ นรูปของอสัณฐาน มีลกั ษณะแขง็
ใส แตก เปราะ ขอ้ ดีของ PS คือ สามารถผลติ เป็นรปู ร่างต่างๆได้ง่าย นยิ มใช้งานขนึ้ รูปด้วยการฉดี นํามา
ทำเป็นภาชนะ บรรจุของใช้ เชน่ เทปเพลง ทำถาดโฟมบรรจอุ าหาร นำมารีไซเคลิ เป็น กล่องวีดีโอ ไม้แขวน
เสื้อ

7. พลาสติกชนิดอืน่ ๆทีไ่ ม่ใช่ 6 ชนิดแรก เชน่ พอลคิ าร์บอเนต (Polycarbonate; PC) พอลิเมอร์ช
นิดนม้ี ี ความแขง็ แรงสูง ทนทานต5อแรงกระแทกกสงู ทนอณุ หภมู ไิ ดด้ ี นิยมใช้ทำ หมวกนริ ภยั แว่นนิรภัย
ฝาขวดนมเดก็ ครอบไฟรถยนต์ ไฟจราจร ปา้ ยโฆษณา
2. เทอรโ์ มเซตตง้ิ
พอลเิ มอรป์ ระเภทน้จี ะมีโครงสร้างเปน็ แบบร่างแห ซ่งึ สามารถหลอมเหลวขึ้นรูปได้เพยี งครงั้ เดียว เมื่อผ่าน
กรรมวิธีการผลิตโดยใช้ความร้อนหรือความดัน เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี ในโครงสร้างเกิดการ
เชื่อมโยง ระหว่างสายโซ่โมเลกุล มีการสร้างพันธะโคเวเลนซ์ (Covalent bond) ระหว่างสายโซ5โมเลกุล
ทำให้ผลิตผลท่ี ได้ไม่สามารถนาํ กลับมาหลอมใหมไ่ ด้อกี ครั้ง พอลิเมอร์ชนิดนีจ้ ะแข็งตวั เมื่อได้รับความร้อน
และสามารถเอา ออกจากแม่พิมพ์ได้โดยไม่ต้องรอให้เย็นก่อนเนื่องจากพลาสติกจะแข็งตัวอยู่ในแม่พิมพ์
ถ้าให้ความร้อนสูง เกินไป พอลิเมอร์จะเกิดการไหม้และสมบัติเปลี่ยนไปจากเดิม เนื่องจากพันธะระหว่าง
โมเลกุลแตกออก ความเป็นพอลิเมอร์จึงไม่มีอีกต่อไป พลาสติกชนิดนี้ได้แก่ ฟีนอลิกเรซิน (Phenolic

10

resins) อปี อกซเี รซิน (Epoxy resins) พอลิเอสเทอร์เรซนิ ชนิดไม่อ่ิมตวั (Unsaturated polyester resin)
เป็นต้น

พอลิเมอร์มีหลายชนิดให้เลือกใช้งาน ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติและผลิตภัณฑ์ที่จะนําไปใช้งาน การรี
ไซเคิล พลาสติกเป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่งในการลดปริมาณพลาสติก แต่ผลิตภัณฑ์ที่ได้ก็มีคุณภาพด้อยลงกว่า
ผลติ ภณั ฑ์กอ่ น การรีไซเคลิ ซึง่ ผลติ ภัณฑ์ทไ่ี ด้จากการรไี ซเคิลไม่สามารถนาํ มาใช้เป็นผลติ ภัณฑ์เดิมได้

กรมวิทยาศาสตร์บริการสามารถให้บริการทั้งภาครัฐบาลและเอกชนในการตรวจสอบผลิตภัณฑ์
พลาสติกทั้งทางด้านกายภาพ เชิงกลทางเคมี เช่น ความแข็ง ความหนาแน่น ความหนืด ความต้านทาน
แรงดงึ ความทนต่อแรงดัดโค้ง ความทนแรงกระแทก ความทนต่อแรงกด ความทนทานต่อสารเคมี การหา
จุดอ่อนตัว ของพลาสติก อุณหภูมิเปลีย่ นสถานะคล้ายแก้ว ชนิดของพลาสติก เป็นต้น ซึ่งสามารถทดสอบ
ตามมาตรฐาน ไทยและมาตรฐานสากล

จากการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพลาสติกที่ต้องสืบค้นเรื่องนี้เพราะ จะทำให้ทราบว่าพลาสติก มี
หลายชนิดพลาสติกมีคุณสมบัติ แข็งแรง ความทนทานแรงกระแทก ความหนืด ต้านทานแรงดึงเหมือน
กระถางเพาะชำตน้ กลา้ จากตน้ ธูปฤๅษี พลาสติกใชเ่้ วลาในการยอ่ ยสลายนานถึง 450 ปี แต่กระถางเพราะ
ชำจากตน้ ธปู ฤๅษใี ช้เวลาในการย่อยสลายยเพียง 20 วัน

4. วัสดอุ นิ ทรีย์

วสั ดุอนิ ทรียห์ มายถึง ชนิ้ ส่วนซากพืชและสัตวท์ ต่ี ายแลว้ ซงึ่ ประกอบดว้ ยสารคาร์โบไฮเดรต
โปรตีน ไขมัน และแรธ่ าตตุ ่าง ๆ เมอื่ ลงสดู่ ินวัสดุเหลา่ น้จี ะถกู ยอ่ ยโดยจุลินทรียด์ นิ ให้หมดไประหวา่ งที่ วสั ดุ
เหลา่ นถ้ี กู ย่อยโดยจลุ ินทรีย์ ธาตุอาหารพชื ทมี่ อี ยู่ในวัสดเุ หล่านี้จะถูกปลดปลอ่ ยออกมารวมอยกู่ ับ ซากท่ยี ัง
ถกู ย่อยไม่หมด ซากสว่ นน้จี งึ เรยี กวา่ ปยุ๋ หมกั (Compost) วสั ดอุ นิ ทรยี ย์ งั ประกอบไปด้วย สารประกอบ
หลายชนดิ ต้งั แต่ท่ยี ่อยได้ง่ายจนถึงย่อยสลายยาก เช่น นำ้ ตาล กรดอะมโิ น โปรตนี แปง้ ไปจนถงึ เซลลูโลส
และลิกนนิ ดงั นั้นการทจ่ี ะย่อยสลายสารดังกลา่ วจำเปน็ ตอ้ งมีจุลินทรีย์หลายกลุ่ม ทำงานรว่ มกนั จุลนิ ทรีย์
ท่มี บี ทบาทสำคัญ ไดแ้ ก่ กลุ่ม แบคทีเรีย แอคทโิ นมยั ซสี และรา ในแตล่ ะกลุ่ม จลุ นิ ทรยี ์ยังมคี วามต้องการ
อุณหภูมทิ ่ีเหมาะสมตา่ งกนั เช่น กลุม่ ทีท่ ำงานได้ดีในอณุ หภูมติ ำ่ กลุม่ ที่ ทำงานไดด้ ใี นอณุ หภมู อิ นุ่ กลมุ่ ที่
ชอบอุณหภูมสิ งู ปานกลาง และสูงมาก เป็นต้น

1. ประเภทวัสดอุ นิ ทรีย์ แยกวสั ดุอนิ ทรียต์ ามประเภทของวสั ดุ คือ
1.1 วัสดุเหลอื ใช้ทางการเกษตรและวชั พืช เป็นเศษพชื ที่เหลอื จากการเกบ็ เกย่ี วผลผลิตไป แลว้ ทง้ั
พชื ไร่และพืชสวน
1.2 วสั ดุเหลอื ใชจ้ ากอตุ สาหกรรม เปน็ วัสดทุ ่ีเหลอื ใชจ้ ากระบบการผลติ อตุ สาหกรรม เชน่ โรงงาน
น้ำตาล โรงงานผลิตนำ้ มนั พืช โรงงานแป้งมนั โรงสีข้าว โรงงานผลไม้กระป๋อง โรงงานอาหาร สตั ว์ และ
อุตสาหกรรมการแปรรปู สตั ว์ รวมถึงกากตะกอนจากระบบบำบดั ของเสีย
1.3 วัสดทุ ่ีไดจ้ ากสง่ิ ขับถ่ายจากสตั ว์ รวมถงึ วสั ดุรองพน้ื คอกสัตว์
1.4 วสั ดุจากขยะมูลฝอยในครวั เรือน

11

ทง้ั นีว้ สั ดอุ นิ ทรียท์ นี่ ำมาใชป้ ระโยชน์มกั จะแบง่ ออกเปน็ 2 ประเภทใหญ่ คอื วัสดทุ ่ยี อ่ ย สลายงา่ ย
กบั วสั ดุทยี่ ่อยสลายยาก โดยใช้คา่ สดั สว่ นที่เป็นองคป์ ระกอบหลักในวัสดเุ ป็นเกณฑ์ คอื สดั ส่วนของ
คารบ์ อนกบั ไนโตรเจนหรอื C/N ratio ถ้าเปน็ วสั ดุทย่ี ่อยสลายงา่ ยเปน็ วัสดปุ ระเภทที่มี สดั สว่ นตำ่ กว่า
100:1 และวสั ดทุ ่ียอ่ ยสลายยากเป็นวัสดปุ ระเภททม่ี ีสดั ส่วนสงู กวา่ 100:1 ซึง่ วัสดทุ งั้ 2 กลมุ่ มีองคป์ ระกอบ
ที่เป็นธาตุอาหารพชื หลกั ทั้งนีว้ ัสดุอนิ ทรยี ์ประเภทมูลสตั ว์ เช่น มลู วัว มีคา่ C/N ratio ทร่ี ะดับ 13 - 17:1
ประเภทซากพืช เช่น ฟางข้าว มีค่า C/N ratio ทรี่ ะดับ 80 – 125:1 ตน้ ขา้ วโพดที่ระดับ 60:1 ตน้ ถั่วแก่ที่
ระดับ 40:1 ในขณะท่ีเปลอื กมะพรา้ วและแกลบ มีคา่ C/N ratio ท่ี ระดบั 167:1 และ 152:1 ตามลำดับ

2. ขั้นตอนการถูกย่อยสลายวัสดอุ นิ ทรยี ์ในดิน
สุพรรษา วรนิ ทร์ (2560) กล่าววา่ วัสดุอินทรยี ์มีความสำคญั ตอ่ การปลูกพชื เน่ืองจากเป็น ท่สี ะสม
ธาตุอาหารพืชและยงั ทำให้ดนิ มกี ารถา่ ยเทอากาศ อ้มุ นำ้ ได้ดที ง้ั น้ีการย่อยสลายวัสดุอินทรีย์ ในดนิ สามารถ
แบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คอื
2.1 กลุม่ ที่มกี ารแปรรปู รวดเรว็ วัสดุอินทรียใ์ นดนิ กลมุ่ นีม้ สี ารประกอบทสี่ ิง่ มีชีวติ ในดนิ สามารถ
นําไปใช้ไดใ้ นปรมิ าณมาก ส่ิงมชี วี ติ ในดนิ เกดิ กจิ กรรมการยอ่ ยสลายเพ่ิมขน้ึ อยา่ งรวดเร็ว จงึ ต้องเติมวัสดุ
อนิ ทรียล์ งดินอย่างสมำ่ เสมอและต่อเนื่อง
2.2 กลมุ่ ทม่ี กี ารแปรรปู เฉื่อย วสั ดอุ ินทรยี ใ์ นดินกลุ่มนผี้ ่านการยอ่ ยสลายมามากแลว้ เหลือ เฉพาะ
สารทมี่ รี ปู คงทนอยูใ่ นดนิ
2.3 กลุ่มทม่ี กี ารแปรรปู ชา้ วัสดุอินทรยี ์ในดนิ กลุ่มนมี้ อี ายุคงทนนานนับสบิ ปเี ปน็ แหลง่ ให้ธาตุ
อาหารหลกั ของพชื ในอตั ราคงทตี่ อ่ เน่ือง
ดังนนั้ การใชป้ ระโยชน์วสั ดอุ นิ ทรียแ์ ต่ละชนดิ ตอ้ งพจิ ารณาถึงวตั ถปุ ระสงค์ของการใช้เปน็ สำคญั
เช่น ชนิ้ ไมเ้ ปลอื กไม้ขเ้ี ล่ือย โดยใส่ทผ่ี วิ ดนิ ในสภาพแหง้ เพ่ือใหถ้ กู จลุ นิ ทรยี ์ดินย่อยสลายใน อตั ราตา่ํ ทีส่ ุด มี
วตั ถุประสงคเ์ พ่อื รักษาผวิ หนา้ ดินโดยวธิ ีนจี้ ะไมม่ งุ่ หวงั ธาตุอาหารจากอนิ ทรียวตั ถุ บาง กลมุ่ นำมาใช้ปรบั
โครงสรา้ งดิน เช่น เศษซากพชื หรือพชื สด วสั ดอุ นิ ทรยี ก์ ลุ่มนีน้ ้ีจะย่อยสลายเร็ว มาก และมีสารอินทรีย์
จำนวนมาก และหลากหลาย อาจทำใหเ้ กิดการขาดไนโตรเจนชว่ั คราวจงึ ต้อง แกไ้ ขดว้ ยการเติมไนโตรเจน
ด้วย สว่ นการใช้วัสดอุ ินทรยี ์เพ่อื เพ่ิมความอดุ มสมบูรณข์ องดนิ ควรใช้ กลุม่ ทม่ี ีการแปรรูปชา้ ซ่งึ จะเปน็
แหลง่ ธาตุไนโตรเจน ซัลเฟต ฟอสฟอรัส และจุลธาตทุ กุ ชนดิ นอกจากนวี้ สั ดอุ นิ ทรียบ์ างกลุ่มยงั ชว่ ยดูดซบั
ไอออนไวใ้ นดินโดยเฉพาะกลมุ่ ทีม่ กี ารแปรรูปเฉอ่ื ย

ปัจจยั ท่ีสนับสนุนการสลายตัวของวสั ดอุ ินทรยี ์

วัสดทุ ี่ช้นิ ไม่ใหญม่ ากนกั ทาใหจ้ ลุ ินทรีย์เจริญได้ทว่ั ถงึ ซึ่งจะทาใหว้ ัสดุสลายตวั ได้เร็วขน้ึ ความอ่อน
และความแขง็ ของวัสดุ ถา้ เป็นวัสดทุ ม่ี เี น้ือเย่ือออ่ น การย่อยสลายก็จะเร็วกว่าพวกท่มี ีเน้ือเยือ่ แขง็

ความชื้น เป็นตัวควบคุมกิจกรรมและการดารงชีวิตของจุลินทรีย์ความชื้นในวัสดุที่เหมาะสมต่อ
การยอ่ ยสลายอยทู่ ี่ประมาณ50-60%โดยนา้ หนัก ถ้าความช้ืนต่ำกวา่ 40% การย่อยสลายของวัสดจุ ะช้าลง

12

อากาศ อากาศหรือออกซิเจนมีความจำเป็นในการดำรงชีวิตของจุลินทรีย์ซึ่งต้องการออกซิเจน
เพื่อเปน็ ตัวรับอเิ ลก็ ตรอนในกระบวนการหายใจ

ความร้อน-เย็น (อุณหภูมิ) ความร้อนที่เกิดขึ้นมาจากการทำงานของเชื้อจุลินทรีย์ ในการย่อย
สลายเนอ้ื เยือ่ พชื ให้เปน็ อาหารในการเจริญเตบิ โต

ความเป็นกรด-ด่าง (pH) ค่าความเป็นกรด-ด่าง ของวัสดุ โดยทั่วไปมีค่าเป็นกลางหรือเป็นกรด
เล็กน้อย คา่ pH จะอยู่ระหว่าง 6-8 ขึ้นอยกู่ ับชนดิ ของวัสดุ ซ่ึงจะเปล่ียนแปลงตามธรรมชาติของวัสดุ

จากการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับวัสดุอินทรีย์ทำให้ทราบว่ากระถางเพาะชำต้นกล้าจากต้นธูปฤๅษี
เป็นวัสดุอินทรีย์ วัสดุที่ประกอบด้วยสารคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และแร่ธาตุต่าง ๆ เมื่อลงสู่ดินวัสดุเหล่าน้ี
จะถูกย่อยโดยจุลินทรีย์ดินให้หมดไป และปัจจัยที่สนับสนุนการสลายตัวของวัสดุอินทรีย์ มีทั้งความชื้น
ความร้อน-เย็นความร้อนเย็นของอุณหภมู ิ อากาศหรือออกซิเจน และความเป็นกรด-ด่าง จึงทำให้รูว้ ่าการ
ย่อยสลายของกระถางเพาะชำต้นกล้าจากต้นธูปฤๅษี มีปัจจัยในหลายๆด้านที่สนับสนุนการสลายตัวของ
กระถางเพาะชำต้นกลา้ จากตน้ ธูปฤๅษี

5. ดาวเรือง

ดาวเรืองเป็นไม้ดอกที่คนไทยรู้จักเนื่องจากปลูกง่าย โตเร็ว คงทนต่อสภาพแวดล้อมมีสีสันสดใส
สะดุดตา กลีบดอกจัดเรียงเป็นระเบียบ กลีบดอกยึดแน่นกับฐานดอก ไม่หลุดง่ายดอกมีลักษณะกลม
สวยงาม สามารถเก็บไดน้ านประมาณ 7-10 วนั และเป็นไมด้ อกท่ีมคี วามคงทนดาวเรอื งเปน็ พชื ท่ีมีอายุการ
เก็บเกี่ยวสั้นประมาณ 60-70 วันสามารถตัดจำหน่ายอีกทั้งเป็นพืชที่ขึ้นได้ดีทุกสภาพพ้ืนที่และทุกฤดูกาล
ของประเทศ และเป็นไม้ดอกสามารถทำรายได้ให้กับผู้ปลูกเป็นอย่างดีปัจจุบันการปลูกดาวเรืองนอกจาก
จะปลูกเพื่อตัดดอกขายแล้วสามารถปลูกลงกระถางหรือถุงพลาสติกเพื่อใช้ประดับตามอาคารบ้านเรือน
และสถานทีต่ ่าง ๆ รวมทั้งมกี ารปลูกเพ่ือเกบ็ เมล็ดส่งโรงงานอาหารสัตว์ มีคุณสมบัติเพิ่มสีของไขแ่ ดงในไข่
ไก่ ไข่เป็ดอีกด้วย แหล่งปลูกดาวเรืองที่สำคัญของประเทศไทย ได้แก่ จังหวัดพะเยา ลำปาง นนทบุรี
ราชบรุ ี สุพรรณบรุ ี สมุทรสาคร อุดรธานแี ละกรุงเทพฯ (ทวีพงศ์ สุวรรณโรและคณะ 2545)

ประวัติและขอ้ มลู ทั่วไปของดาวเรอื ง

ดาวเรืองเปน็ พันธุ์ไม้ล้มลุกไม่ใช่พืชพื้นถิน่ ของไทย แต่มีถิ่นกำเนดิ ในประเทศเม็กซิโกและประเทศ
แถบทวีปอเมริกาใต้ เป็นดอกไม้ที่ชาวเม็กซิกันและชาวอินเดียนแดงเผ่าแอสแต็คใช้บูชาเทพเจ้า ต่อมามีผู้
นำเข้าไปปลูกในยุโรป เนื่องจากเป็นไม้ที่ปลูกง่ายโตเร็ว อีกทั้งดอกมีความสวยงามจึงเป็นที่นิยมปลูกกัน
อยา่ งแพรห่ ลายหลายประเทศในยโุ รป ดาวเรอื งเปน็ ดอกไมห้ นา้ แทน่ บูชาพระแม่มารแี ละ ถอื วา่ เป็นดอกไม้
ประจำตวั ของพระแม่มารดี ว้ ย มีตำนานเล่าวา่ ดอกดาวเรืองดง้ั เดิมมีเพียงสีเดียวคือ สเี หลือง จึงเรียกช่ือไม้
ดอกชนิดน้ีว่า Mary's Gold ตอ่ มาจึงกลายไปเป็น Marigolds ในแถบเอเชีย ชาวโปรตเุ กสนำมาเผยแพร่ที่
ประเทศอินเดยี ก่อนเปน็ ดอกไมม้ งคลใช้บชู าพระวษิ ณแุ ละพระลกั ษมี แลว้ จึงแพร่หลายท่ัวไป

สำหรับประเทศไทย มีบันทึกทางประวัติศาสตร์วา่ ชาวฝรงั่ เศสเป็นผู้นำเข้ามาปลูกเป็นครั้งแรกใน
กรุงศรีอยุธยา รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และเจริญงอกงามได้ดีจนปลูกกันเป็นจำนวนมากใน

13

ขณะนั้นแท้จริงแล้วดาวเรื่องเป็นไม้ต่างประเทศที่เข้ามาปลูกเวลานานจนสามารถปรับตัวเข้ากับ
สภาพแวดล้อมในประเทศไทยได้ดี กลมกลืนกับไม้พื้นเมือง และแพร่กระจายขยายพันธุ์ไปจนทั่วประเทศ
ไทยเป็นไม้ดอกไม้ประดับที่นิยมปลูกเป็นการค้าเนื่องจากตลาดมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ
ช่วงเทศกาลและวันสำคัญต่าง ๆ เช่น วันพ่อ วันลอยกระทง วันสงกรานต์ รวมท้ังวนั สำคัญทางศาสนา ท้ัง
วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา วันวิสาฆบูชาตลอดจนทุกวัน (สถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งมหาลัย
เกษตรศาสตรอ์ อนไลน,์ 2558)

ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์

ช่ือสามัญ ดาวเรือง Marigolds
ชือ่ ทอ้ งถิน่ ดอกคำพ่จู ู้ คำปู้จู้ คำปูจหู้ ลวง (ภาคเหนือ) พอทู (กะเหรย่ี ง-แมฮ่ ่องสอน)
ชื่อวทิ ยาศาสตร์ Tagetes spp.
ชั้น (Class) Mafnoliopsida
อันดับ (Order) Asterales
วงศ์ (Family) Asteraceae
สกุล (Genus) Tagetes
ชนิด (Species) T. Erecta

1. ลำต้น : ลำต้นทรงพุ่ม เป็นเหลี่ยม สีเขียว แตกกิ่งก้านที่โคนต้น ความสูง 25 เซนติเมตร ถึง 1
เมตรขน้ึ กับแต่ละพันธ์ุ

2. ใบ : เป็นใบประกอบ ลักษณะรูปหอก ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบยักเป็นฟันแผ่นใบสี
เขียว เน้อื ใบนม่ิ มีกล่ินหอมฉุน

3. ดอก : ลักษณะเป็นดอกรวม ประกอบด้วยดอกย่อยเล็ก ๆ จำนวนมาก อัดซ้อนกันแน่นอยู่บน
ฐานรองดอก ออกเปน็ ช่อที่ปลายลายยอด ดอกมหี ลายสี เช่น สสี ้ม สเี หลือง สที อง สขี าว สคี รมี และสองสี
ในดอกเดียวกัน และมีทั้งดอกชั้นเดียว และดอกซ้อน มีตั้งแต่ขนาดเล็กประมาณ 1 นิ้วจนถึงขนาดใหญ่
ประมาณ 4-5 น้ิว ขึน้ กับแตล่ ะสายพันธ์ุ

4. เมลด็ : เมล็ดแบน เรยี บ สีน้ำตาลเขม้ เกอื บดำ
5. ราก : เป็นระบบรากแก้ว (Top Root System) และเกิดรา รากพิเศษ (Adventitious Root)
บรเิ วณลำตน้ เมื่อมคี วามชนื้ มากพอ

ชนิดของดาวเรอื ง

สถาบันวิจัยและพัฒนามหาลัยเกษตรศาสตร์ (ออนไลน์, 2558) ได้แบ่งประเภทของดาวเรืองท่ี
ปลกู กนั อยู่โดยทั่วไปเป็น 3 ประเภทดังนี้

14

1. ดาวเรืองอเมรกิ ัน
ดาวเรืองอเมริกัน (American Marigold) เป็นดาวเรืองที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของ
ทวีปอเมริกาลำต้นสูงตั้งแต่ 10-40 นิ้วดอก สีเหลือง ส้มทอง และขาว กลีบดอกซ้อนกันแน่นดอกมีขนาด
ใหญ่ประมาณ 3-4 น้ิวดาวเรอื งชนิดนมี้ ีหลายพนั ธ์ุ ไดแ้ ก่

1.1 พันธุ์เตี้ย สูงประมาณ 10-14 นิ้ว ได้แก่ พันธุ์ปาปาย่า (Papaya) ไพน์แอปเปิล
(Pineaple) ปมั พก์ ิน (Pumpkin) เป็นต้น

1.2 พันธุ์ปานกลาง สูงประมาณ 14-16 นิ้ว ได้แก่ พันธุ์อะพอลโล (Apollo) ไวก้ิง
(Ziking) มูนช็อต (Moonshot) เปน็ ตน้

1.3 พันธุ์สูง สูงประมาณ 16-36 นิ้ว ได้แก่ พันธุ์ดับเบิลอีเกิล (Double Egle) ดับบลูน
(Doubloon) ซอฟเวอรเ์ รน (Sovereign) เป็นต้น (นนั ทิยาวรรธนภตู ิ 2545: 93)

2. ดาวเรอื งฝร่งั เศส

ดาวเรืองฝรั่งเศส (French Marigolds) ดาวเรืองฝรั่งเศสเป็นดาวเรืองต้นเล็ก ต้นเป็นพุ่มเตี้ยสูง
ประมาณ 6-12 น้วิ ดอกสเี หลอื ง สม้ ทอง นำ้ ตาลอมแดง และสีแดงดอกมีขนาดเลก็ ประมาณ 1.5 นิ้วนิยม
ปลูกประดับในแปลงมากกว่าปลูกเพื่อตัดดอกเนื่องจากมีก้านดอกสั้น งานวิจัยในรัฐจอเจีย
รัฐนอร์ทแคโรไลนา และมหาวิทยาลัยในเนเธอแลนด์พบว่า ดาวเรืองฝรั่งเศสบางพันธุ์เป็นดาวเรืองท่ี
สามารถลดปริมาณไส้เดือนฝอยที่ทำให้เกิดอาการรากปมในรากพืชได้ (นันทิยา วรรธนภูติ 2545 : 96)
ตัวอย่างดาวเรืองฝรั่งเศส ได้แก่ พันธุ์ดอกชั้นเดียว ดอกมีขนาด 1.5-2 นิ้ว ได้แก่ พันธุ์เรามาเรตต้า (Red
Marietta) นอ ธ มาเรตต้า (Naughty Marietta) เอสปานา (Espana) 25 ลีโอปาร์ต (Leopard) เป็นต้น
พันธุ์ดอกซ้อนดอกมีขนาดตั้งแต่ 1.5-3 นิ้ว ได้แก่ พันธุ์ควีนโซเฟีย (Queen Sophia) สการ์เลตโซเฟีย
(Scarlet Sophia) โกลเดน้ เกต (Golden Gate) เปน็ ตน้

3. ดาวเรอื งพันธ์ุลูกผสม

ดาวเรืองพันธุ์ลูกผสม (Mule Mariglds หรือ Afro American Marigolds) เป็นดาวเรืองลูกผสม
ระหว่างดาวเรืองอเมริกันและดาวเรืองฝรั่งเศสโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำลักษณะความแข็งแรงดอกใหญ่
และมีกลีบซ้อนมากของดาวเรอื งอเมรกิ ัน รวมเข้ากับลกั ษณะตน้ เตีย้ ทรงพุ่มกะทัดรัดของดาวเรืองฝรัง่ เศส
ดาวเรืองลูกผสมให้ดอกเร็วมากคือเพียง 5 สัปดาห์หลังจากเพาะเมล็ดดอกมีขนาด 2-3 นิ้วดอกดกและอยู่
กับต้นได้ดี ดาวเรืองชนิดนี้มีข้อเสียก็คือเมล็ดจะลีบ ไม่สามารถนำมาเพาะเป็นต้นใหม่ได้จึงเรียกว่า
ดาวเรืองล่อ เช่นเดียวกับการผสมม้ากับลา มีลูกออกมาเรียกว่า ล่อซึ่งเป็นหมันจึงทำให้เมล็ดมีราคาแพง
มากและการปลูกดาวเรืองด้วยเมล็ดชนิดนี้จึงควรใช้เมล็ดเป็นปริมาณ 2 เท่าของจำนวนที่ต้องการ เนื่อง
เมล็ดมีเปอร์เซ็นต์ความงอกต่ำกว่าดาวเรืองลูกผสมที่นิยมปลูกมีอยู่หลายพันธุ์ คือ พันธุ์นักเก็ต ( Nugget)
ไฟร์เวิร์ก (Fireworks) เรดเซเว่นสตาร์ (Red Sevenstar) และโชว์โน๊ต (Showboat) (นันทิยาวรรธนภูติ
2545 97)

15

เทคนคิ การปลูกและดแู ลรกั ษาดาวเรืองตดั ดอก

1. การเตรยี มการกอ่ นปลูก

1.1 การเตรยี มดิน

1) ไถดินลกึ ประมาณ 30 - 50 เซนตเิ มตร ตากดินทง้ิ ไวป้ ระมาณ 1 สัปดาห์
2) ในสภาพดินกรด หว่านปูนขาวหรือโดโลไมท์ อัตรา 300 - 500 กิโลกรัมต่อไร่ และปุ๋ยคอกปุ๋ย
หมัก อตั รา 300 - 500 กิโลกรมั /ไร่ แลว้ ไถพรวนดนิ ให้ละเอียด
3) ยกแปลง สงู 0.50 เมตร กว้าง 1.0-1.2 เมตร ระยะระหว่างแปลง 0.8 เมตร หวา่ นปุย๋ สตู ร 15-
15-15 อัตรา 25-30 กก./ไร่ หรือ 0-46-0 อัตรา 35-50 กก./ไร่ คลุกเคลา้ แล้วเกล่ยี ปรับหน้าแปลงให้
เรียบ

1.2 การเตรยี มพันธ์ุ

1) ใช้ดาวเรืองพันธุ์ลูกผสมที่เหมาะสำหรับการตัดดอกซึ่งเรียกทั่วไปว่า ดาวเรืองอเมริกัน หรือ
ดาวเรืองอาฟรกิ ัน ซึง่ ดอกมขี นาดใหญล่ ักษณะกลม มกี ลบี ดอกซอ้ นกันแนน่

2) นําเมล็ดพันธุ์ดาวเรืองมาเพาะในตะกร้าเพาะกล่องโฟม หรือถาดเพาะขนาด 200 หลุมวัสดุ
เพาะช่าอาจใช้พีทมอส หรือขุยมะพร้าวผสมทราย อัตราส่วน 3: 1 หรือมะพร้าว ทราย ขี้เถ้า แกลบ
ปยุ๋ คอก ในอตั ราสว่ น 1: 1: 1: 1 ผสมนำ้ ใหช้ ุ่มทดสอบด้วยการบีบวัสดุเพาะใหม้ ีนำ้ ซึมออกมาตามง่าม
น้วิ พอประมาณ

3) ทำหลุมหรือร่องลึก 0.5 เซนติเมตร แต่ละช่องห่างกัน 5 เซนติเมตรวางเมล็ดเมล็ด / หลุมและ
กลบเมลด็ ด้วยวัสดเุ พาะพน่ สารเคมีปอ้ งกันกำจัดเชอื้ ราวางไวใ้ ตต้ าขา่ ยพรางแสง 70 80% รดนำ้ วนั ละ
2 ครั้งเชา้ -บา่ ยในชว่ ง 2-3 วนั แรกต่อเมือ่ เหน็ ใบเสยี งคแู่ รกพรางแสง 25-60% และรดนาวันละ 1 ครัง้
หรือตามความจําเป็นโดยให้มีความชื้นสลับแห้งเมื่อต้นกล้าแข็งแรงใบจริงคู่แรกเริ่มพัฒนาแล้วจึงให้
ไดร้ ับแสงแดดเต็มท่ี

2. การปลกู

2.1 วธิ ีปลกู

ก่อนย้ายกล้าลงแปลงปลูกควรให้น้ำแปลงล่วงหน้า 1 วัน ต้นกล้าใบจริง 4-6 ใบหรืออายุ 12-20วัน
ย้ายต้นกล้าในช่วงเย็น ให้วัสดุเพาะชำติดต้นกล้ามาด้วยขุดหลุมลึก 4-5 เซนติเมตรปลูกหลุมละ-ต้นให้ต้น
ตั้งตรงโคนต้นอยู่ระดับปากหลุม และกลบดินหากไม่ได้หว่านปุ๋ยตอนเตรียมแปลงปลูกให้รองก้นหลุมด้วย
ปุ๋ยซูเปอร์ฟอสเฟตหรือปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตราหลุมละ 1 ช้อนชาแล้วเกลี่ยดินกลบปุ๋ยเพื่อป้องกันไม่ให้
รากดาวเรอื งสัมผสั ปยุ๋ โดยตรง

3. การเก็บเกีย่ ว

16

อายุเก็บเกี่ยว 56-75 วันขึ้นกับพันธุ์โดยตัดดอกที่บาน 80-90% (กลีบดอกชั้นในตรงกลางดอก
เป็นสีเขียวเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร โดยใช้กรรไกรตัดดอกให้ติดก้านดอกยาว
ประมาณ 5-10 เซนตเิ มตร เพอ่ื ให้มอี ายกุ ารเก็บรกั ษาได้นานข้ึน และหลังเก็บดอกคร้ังแรกแล้วยังเก็บเก่ียว
ดอกต่อไดอ้ ีกประมาณ 30-45 วนั
สภาพดนิ

ลกั ษณะดินรว่ นถงึ ดนิ รว่ นปนทรายแปง้ แต่ทเ่ี หมาะสมท่สี ดุ คือดินรว่ นปนทรายที่อดุ มสมบรู ณ์หนา้
ดนิ ลกึ มกี ารอมุ้ นำ้ และระบายน้ำไดด้ ี คา่ ความเปน็ กรด-ด่างของดนิ (pH) 6.2-7.5
ธาตุอาหาร

ค่าเฉลี่ยความต้องการธาตุอาหารต่อต้นจากค่าวิเคราะห์ใบ ธาตุอาหารหลัก N 5.5% P 0.67%
K 2.19% (คดิ เปน็ อตั ราส่วน N:P:K = 3 :05: 1) ธาตอุ าหารรอง Ca 2.74% Mg 1.56% S 0.88% จลุ ธาตุ
อาหาร Fe 454 ppm Mn 385 ppm 8 39 ppm Qu 143 ppm Zn 235 ppm Mo 0.60 ppm

ภาพที่ 4 ดอกดาวเรือง
(ทมี่ า: ดาวเรอื งเหลืองสะพรงั่ ทั้งแผน่ ดนิ 500 ล้านดอก…ตลุ าคมนี้ | เกษตรก้าวไกล)

(kasetkaoklai.com)
จากการรวบรวมเอกสารของดาวเรือง ทำให้ทราบว่าเหมาะแก่การนำมาติดตามผลของกระถาง
เพาะชำต้นกล้าจากต้นธูปฤๅษี เนื่องจากเป็นดอกไม้ที่ปลูกง่าย โตเร็ว ระยะเวลาในการย้ายลงแปลงหรือ
กระถางปลูก ต้นกล้าต้องมีใบจริง 4 - 6 ใบ หรือ อายุ 12 - 20 วัน ซึ่งตรงกับระยะเวลาในการย่อยสลาย
ของกระถางเพาะชำท่ีเร่มิ มีการยอ่ ยสลาย โดยอายเุ ก็บเกยี่ วของดาวเรือง 55 - 75 วนั ข้นึ กับพนั ธุ์ สามารถ
เขา้ กบั สภาพแวดลอ้ มในประเทศไทยไดด้ ี ขนาดของตน้ ในแต่ละพนั ธม์ ีขนาดไม่ใหญ่มากนัก การขยายพันธุ์
ทำไดง้ ่ายหลากหลายวิธี และสะดวก

17

งานวจิ ยั ที่เก่ยี วข้อง

ศรุตา กฤษณะเศรณี และคณะ (2557) ได้ศึกษา การทำถุงเพาะชำต้นกล้าพอเพียง (Mo-Bag)
มีวัตถุประสงค์ เพื่อประดิษฐ์ถุงเพาะชำต้นกล้า Mo-Bag จากกาบมะพร้าวและกาบกล้วย เพื่อเปรียบเทียบการ
เจรญิ เตบิ โตของต้นดาวเรืองในถงุ เพาะชำต้นกล้า Mo-Bag กับถุงเพาะชำต้นกลา้ ท่ีทำจากพลาสติก และ เพอ่ื ศึกษา
การย่อยสลายของถุงเพาะชำต้นกล้า Mo-Bag โดยการดำเนินการศึกษาแบ่งเป็น 3 ตอน ได้แก่ การประดิษฐ์ถุง
เพาะชำตน้ กล้า Mo-Bag โดยใช้กาบมะพรา้ วและกาบกล้วย การศึกษาเปรียบเทียบการเจรญิ เตบิ โตของตน้ ดาวเรอื ง
ในถุงเพาะชำต้นกล้า Mo-Bag กับถุงเพาะชำที่ผลิตจากพลาสติก และ การศึกษาการย่อยสลายถุงเพาะชำต้นกล้า
Mo-Bag

กิตติชัย โสพันนา และคณะ (2558) ได้ศึกษาและพัฒนากระถางเพาะชำที่ย่อยสลายได้เพื่อใช้
ทดแทนกระถางหรือถุงเพาะชำพลาสติก ทั้งนี้เพือ่ ลดปริมาณการใช้พลาสติก ซึ่งผู้วิจัยสำรวจและคัดเลือก
วัสดุ 2 ชนิด คือ ขุยฉลากจากโรงงานอุตสาหกรรมผลิตสุราขาว ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ ขุยฉลากดังกล่าวเป็น
กระดาษได้มาจากขั้นตอนการล้างขวดเพื่อนำขวดมาใช้ซ้ำ เป็น กากอุตสาหกรรมไม่อันตรายที่มีปริมาณ
มาก และ ขุยมะพร้าวซึ่งเป็นวัสดุหาได้ง่ายในท้องถิ่น ต้นทุนต่ำ มีการดูดซับน้ำได้ดี มาประสานด้วยกาว
แป้งเปียก เพื่อขึ้นรูปเป็นกระถางเพาะชำ จากนั้นทดสอบและเปรียบเทียบคุณสมบัติ เพื่อหาแนวทางท่ี
เหมาะสมต่อการผลิตกระถางเพาะชำที่ย่อยสลายได้ ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งตอ่ ภาคอุตสาหกรรมเพราะลด
ปริมาณขุยฉลากที่ต้องกำจัดสู่สิ่งแวดล้อม รวมทั้งเพิ่มมูลค่าขุยฉลากดังกล่าว สอดคล้องยุทธศาสตร์การ
สง่ เสริมและพัฒนาอตุ สาหกรรมใหเ้ ปน็ มติ ร

กาญจนา ทวีวัน และคณะ (2559) ได้ศึกษา การใช้ต้นธปู ฤษีมาผลิตเป็นกระถางเพาะชำต้นกล้า ที่ใช้ใน
การปลูกและเพาะชำจะช่วยในการย่อยสลายได้ง่าย ต้นธูปฤๅษีเป็นพืชตระกูลกก เจริญเติบโตตามพ้ืนท่ีรกร้างว่าง
เปลา่ และมีหนองน้ำชื้นแฉะขังอยู่ เปน็ พืชทม่ี ีลักษณะลำต้นคลา้ ยหยวกกล้วย ซ่ึงมีเส้นใยมากสมาชิกในกลุ่มคิดว่า
หนา้ จะนำมาทำเป็นกระถางตน้ ไม้ได้ ทางกลุ่มจึงไดท้ ดลองนำต้นธูปฤๅษีมาทำกระถางเพาะชำต้นกล้าและเกษตรกร
ยังสามารถนําไปเป็นแนวทางในการนําวัสดุธรรมชาติซึ่งไม่มีประโยชน์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในทางสร้างสรรค์การ
ทำกระถางเพาะชาํ นยี้ ังเป็นแนวทางในการช่วยให้เกษตรกรประหยัดรายจ่ายในการซอื้ ผลติ ภณั ฑพ์ ลาสตกิ ทางการ
เกษตรกรรม และปุย๋ เคมไี ด้อกี ดว้ ย

ยงยุทธ จันทรอัมพร (2552) ได้ศึกษา การใช้ประโยชน์จากใยกล้วยพบว่าเส้นใยกล้วยมคี วามเหนียวของ
เส้นใยสูงเหมาะจะนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สร้างมูลค่าเพิ่มได้โดยการแปรรูปต้นกล้วยเป็นผนังได้เลือกใช้ต้น
กล้วยนำ้ วา้ เพราะมีเส้นใยเหนียวกว่ากล้วยชนดิ อ่ืนผลท่ีได้จากการผลิตคือผนงั เส้นใยกลว้ ยที่มีประสิทธิภาพสูงอยู่
ในเกณฑ์มาตรฐานผลิตภณั ฑ์อุตสาหกรรมแผ่นชน้ิ ไมอ้ ดั ชนดิ อัดราบซึง่ มรี าคาตน้ ทนุ ที่ถูกกวา่ แผน่ ผนงั ไมอ้ ดั ชนดิ อี
โอที่มีขายทั่วไปตามท้องตลาดอีกทั้งผนังใยกล้วยนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้หลายรูปแบบทั้งอุตสาหกรรม
ตกแตง่ ภายในอุตสาหกรรมเฟอรน์ เิ จอรแ์ ละยังตอ่ ยอดเพิ่มมูลค่าในรูปแบบอื่นไดอ้ ีกดว้ ยเช่นการเพิ่มคณุ สมบัติการ
ทนไฟคณุ สมบัตไิ ล่ยงุ รวมถึงการเพ่มิ คณุ สมบตั ปิ ล่อยกลิน่ หอมให้บ้านพักอาศัยไดด้ ว้ ย

18

ทตั ธน กจิ การอาสา (2547) ได้ศึกษา การเจริญเติบโตและความงอกของเมล็ดธูปฤๅษีจาก 3 แหล่ง
ธรรมชาตคิ ือ อ.เมอื ง จ. ปทุมธาน(ี MP) อ. บางเลนจ. นครปฐม (BN) และอ. กำแพงแสนจ. นครปฐม (KM)
ที่ปลูกในความหนาแน่นของหน่อปลูก 4 ระดับคือ 1 5 10 และ 15 ต้น 0.53 ตร.ม. พบว่าธูปฤๅษี
จากแหล่ง BN ความหนาแน่นหน่อปลูก 1 ต้น 0.63 ตร.ม. มีความสูงของต้นมากที่สุดคือ 225 ซม. และ
ธูปฤๅษีจากแหล่ง KN ความหนาแน่นหน่อปลูก 5 ต้น 0.63 ตร.ม. มีความสูงน้อยที่สุด 160 ซม. ส่วนการ
แตกกอพบว่าความหนาแน่นหน่อปลูกมีผลต่อการแตกกอคือต้นธูปฤๅษีจากแหล่งธรรมชาติที่มีความ
หนาแน่นของหน่อปลูกสูงจะมีการแตกกอต่อพ้ืนทีส่ ูงโดยที่ต้นธูปฤๅษีจากแหล่ง KN ที่ความหนาแนน่ หน่อ
ปลูก 15 ต้น 0.63 ตร.ม. มีการแตกกอสูงสุดคือ 48 ต้น 0.63 ตร.ม. และธูปฤๅษีจากแหล่ง MP ซึ่งปลูกท่ี
ระดับความหนาแน่นหน่อปลูก 1 ต้น 0.63 ตร.ม. มีการแตกกอน้อยที่สุด 10 ต้น / ตร.ม. สำหรับปริมาณ
การใช้น้ำของต้นธูปฤๅษีเพื่อการเจริญเติบโตพบว่าไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติซึ่งธูปฤๅษีจากแหล่ง MP
ทีค่ วามหนาแน่นหน่อปลูก 15 ตน้ /0.63 ตร.ม. มปี รมิ าณการใช้น้ำในสัปดาห์ที่ 11 มากทสี่ ุดคือ 17.9 ลบ.
ซม. และธูปฤๅษีจากแหล่ง KN ที่ความหนาแน่นหน่อปลูก 1 ต้น 0.63 ตร.ม. มีปริมาณการใช้น้ำน้อยที่สดุ
คือ 10.2 ลบ.ซม. และเม่อื ทำการทดสอบความงอกของเมล็ดในระยะดอกอ่อนระยะดอกแก่และระยะดอก
แก่จัดพบว่าในทุกระยะของดอกมีความงอกของเมล็ดดามากคือ 1-6 เปอร์เซ็นต์

คณะผู้จัดทำจากการอ่านงานวิจัยต่างๆ ทั้งการศึกษาการเจริญเติบโต และลักษณะต่างๆของต้น
ธูปฤๅษีพบว่าเจริญเติบโตไดด้ ี แพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว เส้นใยมีความเหนียวของเส้นใยสูง และได้อ่าน
งานวิจัยของกาญจนา ทวีวัน และคณะ (2559) มีการศึกษา การใช้ต้นธูปฤษีมาผลิตเป็นกระถางเพาะชำ
ต้นกล้า ที่ใช้ในการปลูกและเพาะชำจะช่วยในการย่อยสลายได้ง่าย และ ศรุตา กฤษณะเศรณี และคณะ
(2557) มกี ารศึกษา การทำถุงเพาะชำตน้ กลา้ พอเพียง (Mo-Bag) จงึ ทำใหเ้ กิดแนวคิดทีจ่ ะทำกระถางเพาะ
ชำต้นกล้าจากต้นธูปฤๅษีที่สามารถย่อยสลายได้ โดยดัดแปลงวัสดุคือใช้ใยของต้นธูปฤๅษีแทน กาบกล้วย
และกาบมะพร้าว และได้นำแนวคิดในการทดลอง ทดสอบการย่อยสลายด้วยวงจรแห้งเปียกของกิตติชัย
โสพนั นา และคณะ (2558)

19

บทท่ี 3
วธิ ดี ำเนนิ การ

โครงงานการศึกษากระถางเพาะชำต้นกล้าจากตน้ ธูปฤๅษีมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการทำกระถาง
เพาะชำตน้ กล้าจากตน้ ธปู ฤๅษีตามอตั ราส่วนต่างๆ และเพ่ือศึกษาดรู ะยะเวลาในการย่อยสลายของกระถาง
เพาะชำจากตน้ ธูปฤๅษี ซ่งึ ดำเนนิ การตามขัน้ ตอนดังต่อไปน้ี

1. วสั ดุ อุปกรณ์

1.1 วัสดุ

1.1.2 ต้นธปู ฤๅษี 1 ต้น (ต่อการทำกระถางเพาะชำ 5 ใบ)
1.1.3 แปง้ มนั สำปะหลงั 24 กรมั (ตอ่ การทำกาวแปง้ เปียก 1 ครง้ั )
1.1.4 น้ำ 200 มลิ ลลิ ิตร (ต่อการทำกาวแป้งเปยี ก 1 ครง้ั )
1.1.5 เมลด็ พันธดุ์ าวเรอื ง 1 เมลด็
1.1.6 ดนิ 1 ถงุ

1.2 อุปกรณ์

1.2.1 กระถางต้นไมพ้ ลาสตกิ ขนาดเล็ก 1 ใบ
1.2.2 หม้อ 1 ใบ
1.2.3 ตะเกยี บ 1 คู่
1.2.4 มีด 1 เลม่
1.2.5 เขยี ง 1 อัน
1.2.6 กะละมงั 1 ใบ
1.2.7 ถุงมือ 1 คู่
1.2.8 คอ้ น 1 อัน
1.2.9 ถาดพลาสตดิ 1 ใบ
1.2.10 ยางรัด 10 เสน้
1.2.11 ถว้ ยตวง 1 ใบ
1.2.12 ตะกร้าพลาสตกิ 3 ใบ
1.2.13 ชอ้ งชา 1 คนั
1.2.14 ชอ้ นโต๊ะ 1 คัน

20

สารเคมี

1.3.1 สารส้ม 3 กรมั

ข้ันตอนการดำเนนิ งาน

1.เพอ่ื ศึกษาการทำกระถางเพาะชำตน้ กล้าจากต้นธูปฤๅษีตามอตั ราส่วนตา่ งๆ

วธิ กี ารทำ

1. นำตน้ ธปู ฤๅษี 1 ต้น หนั่ เป็นทอ่ นๆ นำไปทุบจนเป็นเสน้ ใยจากนน้ั นำตากแดดใหแ้ หง้
2. นำน้ำมาผสมกับสารส้มให้สารส้มละลายจนหมด จากนั้นนำแป้งมนั สำปะหลังมาผสมลงไป ตั้ง
ไฟกวนจนแปง้ เหนียวเปน็ กาว
3. นำเส้นใยต้นธูปฤๅษีที่ตากแดดแห้งแล้ว ใส่ในกะละมังจากนั้นใส่กาวแป้งเปียกลงไป ผสม
คลุกเคล้าใหเ้ ขา้ กนั

4. ผสมเส้นใยธูปฤๅษี กับกาวแป้งเปียกในอัตราส่วน 3:1 2:1 1:1 1:2 และ 1:3 ตามลำดับ
แลว้ นำแม่พมิ พ์กระถางพลาสตกิ ท่ีตัดขอบสองข้างแลว้ รัดดว้ ยยางรัด พอกใสอ่ ัดจนแนน่ แล้วนำไป

ตากแดดจนแห้ง ทดสอบความแข็งแรง ความคงทนทนด้วยการปล่อยจากที่สูง 3 เมตร
ออกแบบตารางบนั ทึกผลดงั ตารางท่ี 1

ตารางท่ี 1 การสงั เกตอตั ราสว่ นใดมีความเหมาะสม แขง็ แรง มคี วามคงทน

อัตราสว่ น นำ้ หนกั (กรมั ) ทนแรงกระแทก การยดึ เกาะของเส้นใย

เสน้ ใยต้นธปู ฤๅษ:ี ระดบั ความสงู 3 เมตร

กาวแป้งเปียก

3:1

2:1

1:1

1:2

1:3

2 เพอ่ื ศกึ ษาระยะเวลาในการย่อยสลายของกระถางเพาะชำจากตน้ ธูปฤๅษี
การเปรียบเทยี บประสิทธภิ าพการยอ่ ยสลาย

เปรียบเทยี บประสิทธิภาพการยอ่ ยสลายของกระถางเพาะชำและตวั อยา่ งช้นิ งานแบบ
แผน่ ในอตั ราส่วน 3:1 ดว้ ยวธิ ดี ำเนินการ ดงั น้ี
1. ตัวอย่างชิ้นงานแบบแผ่นในอัตราส่วน 3:1 จำนวน 6 แผ่น ขนาดเท่ากัน ชั่งน้ำหนักกอ่ นทำการทดสอบ
นำชิ้นงานไปทดสอบการเสื่อมสภาพหรือการย่อยสลาย ด้วยวิธีวงจรเปียกแห้ง (Wet-dry cycle)
(Pedreño-Rojas et al., 2019) โดยการตั้งวางชิ้นงานท่ีกลางแจ้ง (วงจรแห้ง) โดยหลีกเลีย่ งการต้ังวางใน
พืน้ ที่สัมผสั น้ำ จากน้ันรดน้ำ (วงจรเปยี ก) โดยใชป้ ริมาณการรดนำ้ ครั้งละ 50 มิลลิลติ ร รอบเวลาการรดน้ำ
ได้แก่ 1 รอบต่อ 1 วัน และ 2 รอบต่อ 1 วัน การทดสอบด้วยวิธีเร่งวงจรแห้งเปียกนี้ดำเนินการในพื้นท่ี
เดียวกันตลอดการวิจัย ตัง้ แต่วนั ท่ี 1 เมษายน 2565 ถึงวันที่ 30 พฤษภาคม 2565

21

จนครบระยะเวลา 2 เดือน นำชิ้นงานไปอบที่อุณหภูมิ 120 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 10 นาที ชั่งน้ำหนัก
ชน้ิ งานหลังอบเพ่ือคำนวณหานำ้ หนกั ทีย่ อ่ ยสลายไป ออกแบบตารางบันทึกผลดงั ตารางที่ 2

ตารางท่ี 2 การสงั เกตประสทิ ธิภาพการย่อยสลายของกระถางเพาะชำและตัวอยา่ งชนิ้ งานแบบแผ่น 6 ชน้ิ

ในอัตราส่วน 3:1

อตั ราสว่ น นำ้ หนกั ระยะเวลา นำ้ หนกั คงเหลือรอบ น้ำหนกั คงเหลอื รอบ น้ำหนักคงเหลอื
(กรัม) (เดือน) เวลาการรดนำ้ เวลาการรดนำ้ ชิ้นงานทก่ี ลางแจง้

1 รอบตอ่ 1 วนั (กรมั ) 2 รอบตอ่ 1 วนั (กรมั )

3:1

2. นำตัวอย่างกระถางเพาะชำในอัตราส่วน 3:1 มาชั่งน้ำหนักบันทึกผล แล้วนำไปบรรจุดินให้
ระดับความสงู ของดนิ ต่ำกวา่ ขอบบนของกระถาง 2 เซนตเิ มตร นำเมล็ดดาวเรอื งปลูกลงในกระถางเพาะชำ
รดน้ำต้นดาวเรืองวันละ 1 ครั้ง ครั้งละ 100 มิลลิลิตร รดน้ำต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 1 เดือน ระหว่างการ
ทดสอบการยอ่ ยสลาย บันทกึ ผลการเปลีย่ นแปลงทางกายภาพ สงั เกตลกั ษณะของเสน้ ใยต้นธูปฤๅษีที่เหลือ
จากการย่อยสลายและบันทึกผล ออกแบบตารางบนั ทกึ ผลดงั ตารางท่ี 3

ตารางท่ี 3 การสังเกตการเปอื่ ยยยุ่ ของกระถางเพาะชำตน้ กลา้ จากตน้ ธูปฤๅษีโดยการจำลองปลกู ลงดิน

วัน/เดอื น/ปี จำนวนวนั ท่ีเพาะเมล็ด ผลการสงั เกตการเป่อื ยยุย่

ลงในกระถางเพาะชำ

2 มกราคม 2565 1

7 มกราคม 2565 5

12 มกราคม 2565 10

17 มกราคม 2565 15

22 มกราคม 2565 20

22

บทที่ 4

ผลการทดลอง

การจดั ทำโครงงานกระถางเพาะชำตน้ กล้าจากตน้ ธปู ฤๅษี ได้ผลการศึกษาดังน้ี
1. เพอ่ื ศกึ ษาการทำกระถางเพาะชำต้นกลา้ จากตน้ ธปู ฤๅษีตามอัตราส่วนต่างๆ
ตารางท่ี 1 การสังเกตอตั ราสว่ นใดมคี วามเหมาะสม แขง็ แรง มคี วามคงทน

อัตราสว่ น นำ้ หนกั (กรัม) ทนแรงกระแทก การยดึ เกาะของเสน้ ใย

เสน้ ใยต้นธปู ฤๅษ:ี ระดบั ความสงู 3 เมตร

กาวแป้งเปียก

3:1 16 ยังคงสภาพเดิม ยดึ เกาะกันดี

2:1 16 ยังคงสภาพเดมิ ยึดเกาะกันดมี ากกวา่ อตั ราสว่ น 3:1

1:1 16 ยังคงสภาพเดมิ ยดึ เกาะกันแนน่ มากกวา่ อตั ราสว่ น 2:1

1:2 18 ยงั คงสภาพเดิม ยดึ เกาะกันแนน่ มากกวา่ อัตราสว่ น 1:2

1:3 20 ยงั คงสภาพเดิม ยึดเกาะกันแนน่ มีความแขง็ แรงสูงสดุ

จากการทำการทดลองนำกระถางเพาะชำต้นกล้าจากต้นธูปฤๅษีตามอัตราส่วนต่างๆเมื่อปล่อย

กระถางเพาะชำต้นกล้าจากต้นธูปฤๅษี ตกจากที่สูงดว้ ยแรงโน้มถ่วง ที่ระดับความสูง 3 เมตร ในอัตราส่วน

ตา่ งๆ กระถางเพาะชำต้นกลา้ จากต้นธูปฤๅษีสามารถทนแรงกระแทกได้ไม่เสียหาย เนอ่ื งจากกระถางมีมวล

น้อย และมีความแข็งแรงเพียงพอ จากผลในตารางทำให้รู้ว่าในอัตราส่วน 3:1 มีความเหมาะสมทีจ่ ะนำมา

เพาะชำต้นกล้าได้ดีกว่าอัตราส่วนอื่น เพราะในอัตราส่วนอื่นมีน้ำหนักที่มากกว่า มีความแข็งแรง ยึดเกาะ

กนั แนน่ ทำให้เกดิ การย่อยสลายได้ยาก ดังภาพที่ 5

ภาพที่ 5 กระถางเพาะชำตน้ กล้าจากต้นธปู ฤๅษี

23

2. เพื่อศึกษาระยะเวลาในการย่อยสลายของกระถางเพาะชำจากตน้ ธปู ฤๅษี

ตารางที่ 2 การสงั เกตประสิทธภิ าพการย่อยสลายของกระถางเพาะชำและตัวอย่างชิน้ งานแบบแผ่น 6 ชน้ิ

ในอัตราส่วน 3:1 เปน็ ระยะเวลา 2 เดอื น

อตั ราสว่ น น้ำหนัก ระยะเวลา นำ้ หนักคงเหลือรอบ นำ้ หนักคงเหลอื รอบ น้ำหนักคงเหลอื
(กรมั ) (เดือน) เวลาการรดน้ำ เวลาการรดนำ้ ชน้ิ งานทกี่ ลางแจ้ง

1 รอบตอ่ 1 วัน (กรมั ) 2 รอบต่อ 1 วนั (กรมั )

3:1 16 2 13 5 16

เมื่อทดสอบการย่อยสลายหรือการเสื่อมสภาพ ของตัวอย่างชิ้นงานแบบแผ่นในอัตราส่วน 3:1

จากผลการวิเคราะห์การเสื่อมสภาพของตัวอย่างชิ้นงานแบบแผ่น ได้ทดสอบการเสื่อมสภาพของตัวอย่าง

ชิ้นงานแบบแผ่น โดยรดน้ำแต่ละช่วงเวลา การเสื่อมสภาพของ ตัวอย่างชิ้นงานแบบแผ่น จากการเก็บ

ข้อมูลระยะเวลา 60 วัน ตัวอย่างช้ินงานแบบแผ่นมีแนวโน้มการ เสื่อมสภาพตามระยะเวลา พิจารณา
ลักษณะการเสื่อมสภาพของตัวอย่างชิ้นงานแบบแผ่น มีการแตกเป็นช้ิน แต่อย่างไรก็ตามชุดการทดลอง
การรดน้ำ 2 รอบต่อ 1 วนั ในอตั ราส่วน 3:1 นน้ั มีการย่อยสลายของตัวอย่างชิ้นงานแบบแผ่นมาก เพราะ
มปี รมิ าณเสน้ ใยตน้ ธปู ฤๅษีทีม่ ากกว่ากาวแป้งเปยี ก(สมพงษ์ พิริยายนต์ และกติ ติศักด์ิ บัวศรี, 2562)

ตารางท่ี 3 การสังเกตการเปอ่ื ยยุ่ยของกระถางเพาะชำต้นกลา้ จากตน้ ธปู ฤๅษีโดยการจำลองปลกู ลงดนิ

วัน/เดือน/ปี จำนวนวันทีเ่ พาะเมล็ด ผลการสังเกตการเป่ือยยุย่

ลงในกระถางเพาะชำ

2 มกราคม 2565 1 กระถางชุ่มน้ำ แต่ไมเ่ ป่ือยยุ่ย

7 มกราคม 2565 5 กระถางช่มุ น้ำ และบางสว่ นเร่ิมมี
ร่องรอยของการเปอื่ ยยุ่ย

12 มกราคม 2565 10 กระถางชมุ่ นำ้ ร่องรอยการเปอ่ื ย
17 มกราคม 2565 ยุย่ เพม่ิ ข้ึน

15 กระถางชมุ่ นำ้ กระถางเรมิ่ บางลง
และแตกบางสว่ น

22 มกราคม 2565 20 กระถางชุ่มน้ำ กระถางเรมิ่ บางลง
และแตกบางสว่ น

วัสดปุ ระสานเริ่มคลายตวั

กระถางเพาะชำต้นกล้าจากต้นธูปฤๅษี เริ่มเปื่อยยุ่ยในวันที่ 6 ของการสังเกต และวัสดุประสาน
เริ่มคลายตัว ในระยะเวลา 20 วัน อันแสดงให้เห็นว่า หากทิ้งไว้เป็นระยะเวลานานกว่า 20 วัน ก็จะ
สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ เนื่องจากวัสดุที่ใช้ทำกระถางเพาะชำต้นกล้าจากต้นธูปฤๅษี เป็นวัสดุ
จากธรรมชาติจึงสามารถยอ่ ยสลายได้ต่างจากกระถางหรือถุงเพาะชำต้นกลา้ ประเภทพลาสติกที่จะต้องใช้
เวลายอ่ ยสลายถงึ 450 ปี

24

บทท่ี 5
สรุป อภิปราย และขอ้ เสนอแนะ

จากการทดลองประดิษฐ์กระถางเพาะชำต้นกล้าจากต้นธูปฤๅษีตามอัตราส่วนต่างๆ และวิธีที่
กำหนด ทำให้ทราบว่าอัตราสว่ นที่ 3:1 เป็นอัตราส่วนทีเ่ หมาะในการนำไปปลกู ต้นดาวเรืองและมกี ารย่อย
สลายที่เหมาะแก่การนำไปเพราะต้นอ่อน เนื่องจากกระถางเพาะชำตน้ กล้าจากต้นธูปฤๅษีมีการย่อยสลาย
ในระยะเวลาที่ไมม่ ากเมื่อต้นกล้าเจริญเติบโตพรอ้ มลงดินแลว้ กระถางกส็ ามารถย่อยสลายกลายเป็นปุ๋ยให้
ต้นดาวเรืองได้ และจากการเจริญเติบโตของต้นดาวเรอื งในกระถางเพาะชำต้นกล้าจากต้นธูปฤๅษี จะเห็น
ได้ว่าต้นดาวเรืองท่ีปลูกในกระถางเพาะชำต้นกล้าจากต้นธูปฤๅษี เจริญเติบได้ดี เนื่องจากกระถางเพาะชำ
ต้นกล้าจากต้นธูปฤๅษี ประกอบด้วย ใยของต้นธูปฤๅษี ที่มีแร่ธาตุไนโตรเจน 233 เปอร์เซ็นต์ ฟอสฟอรัส
0.51 เปอร์เซ็นต์ และโพแทสเซียมสูงคือ 2.35 เปอร์เซ็นต์ (อำไพ ยังบุญเกิด, 2513) และยังทำให้ดูดซับ
น้ำแก่ดิน จึงเป็นการเพิ่มสารอาหารให้แก่พืช ถ้านำไปปรับใช้ในการเกษตร เมื่อกระถางเพาะชำต้นกล้า
จากตน้ ธปู ฤๅษี ย่อยสลายตามธรรมชาติแล้ว จะเปน็ การเพ่มิ คุณภาพดิน เช่น ทำใหด้ นิ รว่ นซยุ ทำให้ดินอุ้ม
น้ำ เป็นต้น และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จากการทำโครงงานของคณะผูจ้ ัดทำใช้กระบวนการคิดตามหลัก
เศรษฐกจิ พอเพยี ง 4 ขน้ั ตอน คือ ความรู้ ความคิด การตดั สนิ ใจ และการลงมือทำ ส่งผลใหก้ ารดำเนินงาน
บรรลตุ ามวตั ถปุ ระสงค์ เน่ืองจาก ในแตล่ ะข้ันตอนยดึ หลักความพอประมาณ มีเหตุผล มภี ูมิคุ้มกนั ในตัวที่ดี
ใช้ความรู้อยา่ งระมดั ระวังกำกับด้วยคุณธรรมตลอดกระบวนการ

5.1 สรปุ ผล และอภปิ รายผล

จากการทดลองประดิษฐก์ ระถางเพาะชำต้นกลา้ จากต้นธูปฤๅษีตามอัตราสว่ นต่างๆ อัตราสว่ นท่มี ี
ความเหมาะสมในการทำกระถางเพาะชำต้นกล้าจากต้นธูปฤๅษีคือ ต้นธูปฤๅษี และกาวแป้งเปียกเท่ากับ
3:1 มีความเหมาะสมที่จะนำมาเพาะชำต้นกล้าได้ดีกว่าอัตราส่วนอื่นเพราะในอัตราส่วนอื่น มีความ
แข็งแรง ยึดเกาะกันแน่น ทำให้เกิดการย่อยสลายได้ยาก ในอัตราส่วนนี้ยังมีน้ำหนักที่เบาขนย้ายสะดวก
และเมื่อนำต้นดาวเรืองมาเพาะในกระถางเพาะชำต้นกล้าจากต้นธูปฤๅษี เป็นไปตามงานวิจัยของ กิตติชยั
โสพันนา และคณะ (2558) ที่ได้ศึกษาและพัฒนากระถางเพาะชำที่ย่อยสลายได้เพื่อใช้ทดแทนกระถาง
หรือถุงเพาะชำพลาสติก กระถางเพาะชำต้นกล้าจะคงรูปร่างได้ 20 วัน จะค่อยๆเสื่อมสภาพ แตกตัวออก
จากกัน วัสดุประสานเริ่มหายไปกับน้ำ และย่อยสลายไป เป็นไปตามงานวิจัยของ กาญจนา ทวีวัน และ
คณะ (2559) ที่ได้ศึกษา การใช้ต้นธปู ฤๅษมี าผลิตเปน็ กระถางเพาะชำต้นกล้า ที่ใช้ในการปลูกและเพาะชำ
จะช่วยในการย่อยสลายได้ง่าย และอัตราส่วน 3:1 มีการย่อยสลายของตัวอย่างชิ้นงานแบบแผ่นมากที่สดุ
เนื่องจากปริมาณเส้นใยต้นธูปฤๅษีที่มากขึ้นนี้ส่งผลให้การเสียรูปอย่างถาวรของชิ้นงานมากขึ้นด้วย
(สมพงษ์ พิริยายนต์และ กิตติศักดิ์ บัวศรี, 2562) ซึ่งเป็นไปตามสมมตฐิ าน ปัญหาที่พบ ในการผสมเส้นใย

25

ต้นธปู ฤๅษีกับกาวแป้งเปยี ก อาจมกี ารคาดเคลอ่ื นไดใ้ นแต่ละรอบเชน่ เหลวเกนิ ไป หรือข้นเกินไป กระถาง
เพาะชำต้นกล้าแต่ละใบ อาจมีพื้นผิวแต่ละด้านที่ไม่เท่ากันทั้งหนา และบางเนื่องจากการพอกที่ไม่
สมำ่ เสมอ ต้นทนุ การผลิตกระถางเพาะชำตน้ กล้าจากต้นธปู ฤๅษนี ีส้ ูงกว่าถงุ เพาะชำพลาสตกิ

5.2 ข้อเสนอแนะ

1. สามารถพฒั นากระถางเพาะชำตน้ กลา้ จากต้นธูปฤๅษรี ว่ มกับวัสดุอ่นื ได้
2. ควรศึกษาความเหมาะสมของระยะเวลาการ ย่อยสลายซึ่งมผี ลต่อการดูแลต้นกล้าของพืชก่อน
นำไปปลูก ประกอบกันด้วย เนื่องจากกระถางเพาะชำต้นกล้าน้ีจะย่อยสลายได้ จึงอาจไม่เหมาะกับการ
เพาะชำตน้ กลา้ ของพืชเปน็ ระยะเวลานาน
3. อาจศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับความหนาของกระถางและองค์ประกอบของวัสดุที่นำมาใช้ ให้มี
ความเหมาะสมกับพชื ทนี่ ำมาปลูกต่อไป

26

เอกสารอา้ งองิ

ประพนธ์ พรหมทอง. (2539). การบำบดั นำ้ เสยี โดยใชพ้ ชื น้ำของพนื้ ที่ชุ่มน้ำ.ภาควิชาเคมี
อุตสาหกรรมสถาบนั เทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ พระนครเหนอื , กรงุ เทพฯ (ออนไลน์). สืบคน้ จาก
http://www.thaithesis.org/detail.php?id=1369 [ 2 ธันวาคม 2564 ]

มกุ ดา สขุ สมาน. (2532). การทดลองเบื้องต้นของการกำจดั น้ำเสียจากโรงงานทอผ้ายา่ น
รังสิตโดยใช้ผักตบชวา ธปู ฤๅษี และสาหร่าย. คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. (ออนไลน์). สบื ค้นจาก
http://tujournals.tu.ac.th/tstj/detailart.aspx?ArticleID=667 [ 2 ธนั วาคม 2564 ]

วรรณา กอวัฒนาวรานนท์. (2538). งานเกษตรสำหรบั ครปู ระถมศึกษา. เพชรบุรี :
สถาบันราชภฏั เพชรบุร.ี [ 2 ธนั วาคม 2564 ]

สมั ฤทธ์ิ เฟอ่ื งจนั ทร์. 2538. ดาวเรอื ง ใน แรธ่ าตุอาหารพชื สวน. ภาควชิ าพืชสวน
คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น. 572 - 576. [ 2 ธนั วาคม 2564 ]

สุจนิ สุนยี ์ และธีรเวท ฐติ กิ ลุ . (2553). เครอ่ื งอดั ขน้ึ รปู กระถางจากขยุ และใยมะพร้าว,
โรงพมิ พ์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี, กรุงเทพมหานคร.(ออนไลน์). สบื คน้ จาก
https://ag2.kku.ac.th/kaj/PDF.cfm?filename=142_Hor25.pdf&id=3614&keeptrack=2
[ 2 ธนั วาคม 2564 ]

สชุ าดา ศรเี พ็ญ. (2530). พรรณไมน้ ำ้ .ภาควิชาพฤกษศาสตร์.มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์,
กรงุ เทพฯ (ออนไลน์). สบื คน้ จาก https://ebook.lib.ku.ac.th/ebook27/ebook/2011-002-
0112/#p=10 [ 2 ธันวาคม 2564 ]

สภุ า จฬุ คุปต์ และคณะ. (2552). การพฒั นาการผลิตกระดาษเชิงหตั ถกรรมจากใย
มะพร้าว. ปทุมธานี : คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคล ธญั บรุ ี
(ออนไลน์). สบื ค้นจาก http://www.research.rmutt.ac.th/?p=4585 [ 2 ธนั วาคม 2564 ]

สุภาพร จันรุ่งเรือง และพสิ บษุ ์ จัตวาพรวนชิ . (2539). ศึกษาศกั ยภาพการใชธ้ ูปฤๅษใี น
การบำบัดนำ้ เสีย กรมพฒั นาทดี่ นิ กรงุ เทพฯ (ออนไลน)์ . สืบคน้ จาก
https://soreda.oas.psu.ac.th/files/700_file_Chapter2.pdf [ 2 ธนั วาคม 2564 ]

สมพงษ์ พริ ิยายนต์ และกิตติศกั ดิ์ บวั ศร.ี (2562). การผลติ และทดสอบสมบตั ทิ างความ
ร้อนและทางกลของวสั ดผุ สม จากน้ำยางธรรมชาติและเส้นใยมะพร้าว, หน้า 684-690. ใน
รายงานการประชุมวชิ าการระดับชาติ IAMBEST คร้ังท่ี 4 สถาบนั พระจอมเกลา้ เจ้าคณุ ทหาร
ลาดกระบงั ,กรุงเทพมหานคร. [ 2 ธันวาคม 2564 ]

27

เอกพงษ์ หนูพลับ. (2553). การจดั การการผลิตดาวเรือง. ใน เอกสารการสอนชุดวชิ า
หนว่ ยที่ 8 - 15 การจดั การการผลติ ไมด้ อกไม้ประดับเชิงธรุ กจิ . สาขาวชิ าส่งเสริมการเกษตร
และสหกรณ์ มหาวิทยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธริ าช. [ 2 ธนั วาคม 2564 ]

โอฬาร พทิ กั ษ์ และคณะ. (2537). คูม่ ือการผลติ ไม้ตดั ดอก. กองส่งเสรมิ พชื สวน
กรมสง่ เสรมิ การเกษตร. 116 - 124 น. [ 2 ธนั วาคม 2564 ]

28

ภาคผนวก

วธิ กี ารดำเนินศกึ ษาทดลอง

1. ขนั้ ตอนการผลติ กระถางเพาะชำต้นกล้าจากตน้ ธปู ฤๅษี
1.1 ตดั ต้นธูปฤๅษนี ำมาลา้ งทำความสะอาด แลว้ นำมาทบุ ให้เสน้ ใยตน้ ธปู ฤๅษี

แตกออก จากนั้นนำไปตากให้แห้ง

ภาพท่ี 6 การเตรียมวตั ถุดิบตัดต้นธปู ฤๅษี

ภาพท่ี 7 การนำต้นธูปฤๅษมี าทุบให้แยกเปน็ เสน้ ใย

29

ภาพที่ 8 นำตน้ ธปู ฤๅษที ท่ี ุบมาตากแดดใหแ้ ห้ง

1.2 การทำกาวแป้งเปียกนำสารส้มมาตำให้เป็นผงเพื่อให้สะดวกในการตวง จากน้ัน
นำแป้งมันสำปะหลัง24 กรัม น้ำ 200 มิลลิลิตร และสารส้ม 3 กรัม มาผสมกันแล้วนำไปตั้งไฟ
ปานกลางกวนจนเหนียวเป็นกาว

ภาพที่ 9 การตำสารสม้ ภาพที่ 10 การกวนกาวแปง้ เปยี ก

30
1.3 นำเสน้ ใยต้นธูปฤๅษที ี่แห้งแลว้ มาผสมกับกาวแปง้ เปยี กในอัตราส่วนตา่ งๆ แลว้ นำมา
พอกทกี่ ระถางตน้ แบบ จากนน้ั นำไปตากใหแ้ หง้

ภาพที่ 11 การผสมเสน้ ใยตน้ ธูปฤๅษีกบั กาวแป้งเปียก

ภาพที่ 12 การพอกเส้นใยตน้ ธปู ฤๅษที ผ่ี สมกบั กาวแป้งเปยี กแล้วกบั กระถางตน้ แบบ

31

ภาพที่ 13 การนำกระถางต้นแบบทีพ่ อกดว้ ยเส้นใยต้นธปู ฤๅษีแล้วนำไปตากแดด

3:1 2:1 1:1 1:2 1:2

ภาพที่ 14 กระถางเพาะชำต้นกลา้ ในแต่ละอัตราส่วน

2. ขัน้ ตอนการสังเกตประสิทธภิ าพการย่อยสลายของกระถางเพาะชำและตวั อยา่ งชิ้นงานแบบ
แผ่น 6 ช้นิ ในอตั ราสว่ น 3:1 ตง้ั แตว่ นั ที่ 1 เมษายน 2565 ถึงวันท่ี 30 พฤษภาคม 2565 เปน็ ระยะเวลา 2
เดือน

ภาพที่ 15 ตวั อยา่ งช้นิ งานในวนั ที่ 1 เมษายน 2565

32

ภาพที่ 16 ตัวอยา่ งชนิ้ งานในวนั ที่ 2 เมษายน 2565 ภาพท่ี 17 ตวั อย่างช้นิ งานในวนั ท่ี 3 เมษายน 2565

จากการสังเกตเป็นระยะเวลา 3 วนั การยอ่ ยสลายตัวอยา่ งช้ินงานแบบแผ่น 6 ชน้ิ ในอตั ราสว่ น 3:1 ไม่
เปลยี่ นแปลง จึงสังเกตขยายระยะเวลาการสังเกตเป็น 3 วนั ครั้ง

ภาพท่ี 18 ตวั อยา่ งช้นิ งานในวันท่ี 6 เมษายน 2565 ภาพที่ 19 ตวั อยา่ งช้ินงานในวันที่ 9 เมษายน 2565

ภาพที่ 20 ตัวอยา่ งชิน้ งานในวนั ที่ 12 เมษายน 2565 ภาพที่ 21 ตวั อยา่ งชน้ิ งานในวนั ท่ี 15 เมษายน 2565

33

จากการสงั เกตอกี เป็นระยะเวลา 12 วันการย่อยสลายตัวอยา่ งชิน้ งานแบบแผ่น 6 ช้นิ ในอตั ราส่วน 3:1 ไม่
เปลี่ยนแปลงไปมากในระยะเวลา 12 วนั จึงสงั เกตขยายระยะเวลาการสังเกตเปน็ 5 วันครง้ั

ภาพที่ 22 ตวั อยา่ งชนิ้ งานในวันที่ 20 เมษายน 2565 ภาพท่ี 23 ตัวอยา่ งชนิ้ งานในวันที่ 25 เมษายน 2565

ภาพที่ 24 ตวั อยา่ งชน้ิ งานในวันที่ 30 เมษายน 2565 ภาพท่ี 25 ตวั อยา่ งชิ้นงานในวนั ท่ี 5 พฤษภาคม 2565

ภาพท่ี 26 ตัวอยา่ งชน้ิ งานในวนั ที่ 10 พฤษภาคม 2565 ภาพที่ 27 ตัวอยา่ งชิ้นงานในวนั ที่ 15 พฤษภาคม 2565

34

ภาพท่ี 28 ตวั อยา่ งชิน้ งานในวันที่ 20 พฤษภาคม 2565 ภาพท่ี 29 ตัวอยา่ งชิน้ งานในวนั ท่ี 25 พฤษภาคม 2565

ภาพท่ี 30 ตัวอยา่ งช้นิ งานในวันที่ 30 พฤษภาคม 2565

ภาพท่ี 31 นำชน้ิ งานไปอบท่ีอณุ หภูมิ 120 องศาเซลเซยี ส เป็นเวลา 10 นาที
ช่ังนำ้ หนักช้ินงานหลงั อบเพือ่ คำนวณหานำ้ หนกั ทยี่ อ่ ยสลายไป

35
3. ขน้ั ตอนการสงั เกตการเปอื่ ยยุ่ยของกระถางเพาะชำตน้ กลา้ จากต้นธปู ฤๅษีโดยการจำลองปลกู
ลงดนิ

ภาพท่ี 32 นำเมลด็ ดาวเรืองใสล่ งในดินกลบใหม้ ดิ

ภาพที่ 33 กระถางเพาะชำจากต้นธปู ฤๅษที ่ีนำมาเพาะเมลด็ ดอกดาวเรอื งในระยะเวลา 5 วัน

ภาพที่ 34 กระถางเพาะชำจากตน้ ธปู ฤๅษที ่นี ำมาเพาะเมลด็ ดอกดาวเรอื งในระยะเวลา 10 วนั

36
ภาพที่ 35 กระถางเพาะชำจากต้นธปู ฤๅษีที่นำมาเพาะเมล็ดดอกดาวเรืองในระยะเวลา 15 วนั
ภาพที่ 36 กระถางเพาะชำจากต้นธปู ฤๅษีที่นำมาเพาะเมลด็ ดอกดาวเรอื งในระยะเวลา 20 วัน


Click to View FlipBook Version