The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by phattharaporn, 2021-12-14 05:57:55

ตัวอย่างงานวิจัยการเขียนเชิงสร้างสรรค์

proposal วิจัยในชั้นเรียน

การพฒั นาชดุ แบบฝึกทักษะการเขยี นเชงิ สรา้ งสรรค์ ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2
โรงเรียนลาปลายมาศ อาเภอลาปลายมาศ จงั หวัดบุรรี ัมย์

ภทั ราภรณ์ ละมุล

วิจัยน้เี ปน็ ส่วนหน่ึงของการศกึ ษารายวชิ าการปฏิบัตกิ ารสอนในสถานศึกษา 2
(1005202)

หลักสตู รครศุ าสตรบัณฑติ สาขาวิชาภาษาไทย

บทท่ี 1
บทนา

ทม่ี าและความสาคัญ

ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ของชาติเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพและเสริมสร้าง
บุคลิกภาพของคนในชาตใิ ห้มีความเปน็ ไทย เป็นเคร่ืองมอื ในการตดิ ต่อสอื่ สารเพ่ือสรา้ งความเข้าใจแลความสัมพันธ์
ที่ดีต่อกัน ทาให้สามารถประกอบกิจธุระ การงาน และดารงชีวิตร่วมกัน ในสังคมประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุข
และเป็นเคร่ืองมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์จากแหล่งข้อมูลสารสนเทศต่างๆ เพ่ือพัฒนาความรู้
กระบวนการคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรค์ให้ทันต่อการเปล่ียนแปลงทางสังคม และความก้าวหน้าทาง
วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนนาไปใช้ในการพัฒนาอาชีพให้มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ นอกจากน้ียังเป็นสื่อ
แสดงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ ด้านวัฒนธรรม ประเพณี และสุนทรียภาพ เป็นสมบัติล้าค่าควรแก่การเรียนรู้
อนรุ กั ษ์ และสืบสาน ใหค้ งอยูค่ ู่ชาตไิ ทยตลอดไป (หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พนื้ ฐาน : 2551)

ภาษาไทยเป็นทักษะท่ีต้องฝึกฝนจนเกิดความชานาญในการใช้ภาษาเพ่ือการสื่อสาร ทาให้เกิดการเรียนรู้
อย่างมีประสิทธิภาพ และเพ่ือนาไปใช้ในชีวิตจริง ในการเรียนรู้การใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารนั้น ใน
หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ ได้กลา่ วถงึ สาระการเรยี นรทู้ จี่ าเปน็ ไว้ดังน้ี

การอ่าน การอ่านออกเสียงคา ประโยค การอ่านบทร้อยแก้ว คาประพันธ์ชนิดต่าง ๆ การอ่านในใจ
เพ่ือสรา้ งความเข้าใจ และการคดิ วเิ คราะห์ สังเคราะห์ความรู้จากสิ่งที่อา่ นเพอื่ นาไปปรบั ใช้ในชวี ิตประจาวนั

การเขียน การเขียนสะกดตามอักขรวิธี การเขียนสื่อสารโดยใช้ถ้อยคาและรูปแบบต่าง ๆ ของการเขียน
ซึ่งรวมถึงการเขียนเรียงความ ย่อความ รายงานชนิดต่าง ๆ การเขียนตามจินตนาการ วิเคราะห์วิจารณ์ และ
เขียนเชงิ สรา้ งสรรค์

การฟัง การดู และการพูด การฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ การพูดแสดงความคิดเห็น ความรู้สึก
พูดลาดับเรื่องราวต่าง ๆ อย่างเป็นเหตุเป็นผล การพูดในโอกาสต่าง ๆ ท้ังเป็นทางการไม่เป็นทางการ และการพูด
เพื่อโนม้ น้าวใจ

หลักการใช้ภาษาไทย ธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของภาษาไทย การใช้ภาษาให้ถูกต้องเหมาะสมกับโอกาส
และบคุ คล การแต่งบทประพันธ์ประเภทต่างๆ และอิทธพิ ลของภาษาตา่ งประเทศในภาษาไทย

วรรณคดีและวรรณกรรม วิเคราะห์วรรณคดีและวรรณกรรมเพื่อศึกษาข้อมูล แนวความคิด คุณค่าของ
งานประพันธ์ และความเพลิดเพลนิ การเรียนรแู้ ละทาความเข้าใจบทเห่ บทร้องเล่นของเด็ก เพลงพื้นบ้านท่ีเป็น
ภูมิปัญญาที่มีคุณค่าของไทย ซึ่งได้ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ค่านิยม ขนบธรรมเนียมประเพณี เร่ืองราวของ
สังคมในอดีต และความงดงามของภาษา เพื่อให้เกิดความซาบซ้ึงและภูมิใจ ในบรรพบุรุษที่ได้ส่ังสมสืบทอดมา
จนถึงปจั จุบัน (หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน : 2551)

การเขียนเป็นทักษะท่ีมีความสาคัญ การเขียนท่ีดีต้องสามารถสื่อความรู้และความคิดได้อย่างเป็นระบบ
มีขั้นตอน ทาให้ผู้รับสารสามารถเข้าใจสารท่ีต้องการส่ือได้ครบถ้วนสมบูรณ์ สมศักดิ์ อัมพรวิสิทธิ์โสภา กล่าวว่า
การเขียน หมายถึง การส่ือสารด้วยตัวอักษรเพ่ือถ่ายทอดความรู้ ความคิด อารมณ์ ความรู้สึกประสบการณ์ ข่าว
และจนิ ตนาการ โดยใช้ภาษาที่ถกู ตอ้ งเหมาะสมตามหลกั การใชภ้ าษา และตรงตามเจตนาของผู้เขยี น

นอกจากนี้ กองเทพ เคลือบพณิชกุล (2542 : 2 อ้างถึงใน สมพร ตอยยีบี 2554 : 11) ได้กล่าวถึง
ความหมายของการเขียนไวว้ า่ การเขยี นเปน็ ทกั ษะอยา่ งหนึ่งทมี่ นุษย์นามาใช้เพ่ือการติดต่อส่ือสาร โดยที่ผู้เขียนส่ง
สารออกไปด้วยการใช้ ลายลักษณ์อักษรที่มีความหมาย เพื่อใหผู้รับสารอ่านแปลความหมายเกิดความเข้าใจ
ตรงกันกับผ้สู ง่ สาร การเขียนจึงมีความจาเปน็ และสาคัญมากทจ่ี ะตอ้ งนามาใชเ้ รียบเรยี งความรู้ จากคาบรรยายของ
ครูหรือบันทึกความรู้จากตาราต่าง ๆ และการเขียนยังมีความสาคัญตามที่ นฤมล ม่วงไทย (2543 : 2 อ้างถึงใน
สมพร ตอยยีบี 2554 : 11) ได้ให้ความสาคัญกับการเขียนไว้ว่า การเขียนนับเป็นทักษะท่ีสาคัญอย่างยิ่งสาหรับ
ทกุ คนทใ่ี ช้ในการส่ือสาร การเรยี นรู้และการประกอบอาชพี จาเป็นตอ้ งพัฒนาการเขียนให้ดี หม่ันฝึกฝนการเขียนอยู่
เสมอ รู้จักแสวงหาความรู้ ประสบการณ์ ให้ทันต่อโลกและเหตุการณ์ การฝึกทัษะการเขียนมีความสาคัญ เพราะ
ทกั ษะการเขยี นมคี วามสาคญั อย่างมาก เปน็ ทกั ษะท่ยี ากท่สี ดุ ทตี่ ้องใช้ทงั้ ศาสตรแ์ ละศลิ ป์

ศาสตร์ หมายความว่า ความรู้ท่ีฝึกฝนได้ และศิลป์ หมายถึง เทคนิควิธีการของผู้เขียนแต่ละคนท่ีจะทาให้
ผรู้ บั สารเขา้ ใจงานเขยี น

จะเห็นได้ว่าการเขียนเป็นการสื่อสารท่ีมีความสาคัญ จาเป็นที่จะต้องได้รับการฝึกฝนและพัฒนาให้มี
ประสิทธิภาพเพื่อให้ผู้รับสารเข้าใจเนื้อหาสาระครบถ้วนสมบูรณ์ สิ่งสาคัญของการเขียนคือเนื้อสารท่ีผู้เขียน
ต้องการส่ือ นั่นก็คือ ความรู้ ความคิด และประสบการณ์ของผู้เขียน หากผู้เขียนไม่สามารถส่ือส่ิงต่าง ๆ เหล่านี้
ออกมาได้ การเขยี นจะขาดประสทิ ธภิ าพ

นอกจากน้ีสิ่งท่ีจะทาให้งานเขียนมีความน่าสนใจนั่นก็คือ การใส่ความคิดสร้างสรรค์ลงในงานเขียน ซึ่ง
เฉลิมลาภ ทองอาจ กล่าวถึง การเขียนเชิงสร้างสรรค์ไว้ว่า คาว่า “สร้างสรรค์” ในที่นี้ หมายถึง มีลักษณะริเร่ิม
ในทางดี เมื่อนามาใช้กบั เขียนจึงหมายถึงการเขยี นทแี่ สดงความรเิ รม่ิ ซ่งึ ผู้เขยี นจะต้องคิดค้นและเสนอผลงานการ
เขียนที่มีรูปแบบและเน้ือหาท่ีหลากหลาย แปลกใหม่และไม่ถูกจากัดด้วยกรอบหรือกฏเกณฑ์ต่าง ๆ ตามที่เคย
ปฏิบัติสืบต่อมา การเขียนเชิงสร้างสรรค์ตรงกับคาในภาษาอังกฤษว่า creative writing เป็นการเขียนท่ีผู้เขียน
สามารถแสดงอารมณ์ จินตนาการและความคิดได้อย่างอิสระ และสามารถเลือกใช้วิธีการนาเสนอได้หลากหลาย
วธิ ี โดยส่วนใหญ่มกั จะนาเสนอในรูปแบบของ เร่อื งสั้น นวนิยาย กวีนิพนธ์ บทละคร บทภาพยนตร์ เปน็ ตน้

จากการประเมินทักษะการเขียนของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2 พบว่านักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2
โรงเรียนลาปลายมาศ ส่วนใหญม่ ีปัญหาในการเขยี นเชิงสร้างสรรค์ กล่าวคือ นกั เรยี นมีทักษะการเขียนที่ไม่เพียงพอ
การเขียนขาดใจความหลัก ขาดสัมพันธภาพ เน่ืองด้วยนักเรียนขาดหลักการคิด และขาดการฝึกฝนที่เพียงพอ
ทาให้เม่ือวดั ทักษะด้านการเขียนนักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนท่ีต่ากว่าทักษะอ่ืนโดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะการ
เขียนเชงิ สร้างสรรค์

สภุ า พมิ พาแป้น (2546 : 4 อ้างถึงในสมพร ตอยยีบี 2554 : 2) ได้กล่าวว่า การฝึกเขียนเชิงสร้างสรรค์ให้
ได้ผลดีนั้น การสอนเขียนเชิงสร้างสรรค์ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ต้องได้รับการฝึกฝนท่ีถูกต้องตรงตาม
ข้ันตอนเก่ยี วกับการเขยี น เพื่อนักเรียนจะได้เกิดความคล่องแคล่ว ชานาญ มีพ้ืนฐานในการเขียนเพื่อนาไปใช้เขียน
ในระดับที่สูงข้ึน จดจาเน้ือหาในบทเรียนดีข้ึน จดจาเน้ือหาในบทเรียนและคาศัพท์ต่าง ๆ ได้คงทน เกิดความ
สนุกสนานในขณะเรยี น และสร้างความก้าวหน้าของตนเอง การสอนทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ให้นักเรียนเกิด
ความเข้าใจและจินตนาการในการเขียนน้ัน ครูควรใช้แบบฝึกทักษะประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพ่ือช่วย
สร้างและพัฒนาทักษะการเขยี นเชงิ สร้างสรรคข์ องนักเรียน

จากหลักการและเหตุผลดังกล่าว ผู้วิจัยจึงมีความสนใจจะพัฒนาแบบฝึกทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนลาปลายมาศขึ้น เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนลาปลายมาศ ที่มีปัญหานการเขียนเชิงสร้างสรรค์ให้สามารถพัฒนาทักษะการเขียน
ให้มปี ระสทิ ธภิ าพมากยงิ่ ข้ึน

จดุ ประสงค์ของการวจิ ยั

1. เพ่ือพัฒนาแบบฝึกทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียนช้ันมัธ ยมศึกษาปีท่ี 2
โรงเรยี นลาปลายมาศ

2. เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนเรื่องการเขียนเชิงสร้างสรรค์
ของนกั เรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 โรงเรียนลาปลายมาศ

3. เพื่อศกึ ษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนลาปลายมาศท่ีมีต่อการเรียนโดยใช้
แบบฝกึ ทกั ษะการเขยี นเชงิ สร้างสรรค์

ขอบเขตของการวิจยั

1. ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง
ประชากรคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนลาปลายมาศ จานวน 400 คน กลุ่มตัวอย่างเป็น

นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2/2 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2559 โรงเรียนลาปลายมาศ จานวน 1 ห้อง
จานวน 40 คน ซ่งึ ได้มาโดยวธิ ีการส่มุ แบบกลุ่ม

2. ดา้ นเนื้อหา
เน้ือหาท่ีใช้ในการวิจัยใช้แบบฝึกทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น

จากแบบฝกึ ทกั ษะการเขยี นเพ่ือการสอื่ สาร จานวนท้ังหมด 5 แบบฝึกหดั ประกอบด้วย
1. คิดคน้ ถ้อยคา (เรยี นรู้เรือ่ งการสร้างคา)
2. ลองทาเปน็ ประโยค (ฝึกการแตง่ ประโยค)
3. ผูกโยงเข้าเร่ือง (แต่งเรื่องโดยการเรยี งประโยค)

4. สรา้ งเร่อื งจากจนิ ตนาการ (แตง่ เร่ืองจากภาพ)
5. พรรณนาทา้ ให้เขียน (เขียนเรอ่ื งจากภาพ)
3. ตัวแปร
3.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ การเรียนโดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะการเขียนเชงิ สร้างสรรค์
3.2 ตัวแปรตาม

3.2.1 ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
3.2.2 ความพึงพอใจ
4. ระยะเวลาในการวิจยั
ระยะเวลาในการทาวิจัยครั้งนี้ กาหนดระยะเวลา 10 คาบ คาบละ 1 ช่ัวโมง ใช้ระยะเวลา 1 เดือน
ดาเนินการภายในวันที่ 12 ธันวาคม 2559 ถงึ วันที่ 12 มกราคม 2559 ในภาคเรยี นที่ 2 ปีการศกึ ษา 2559

นยิ ามศัพท์เฉพาะ

1. แบบฝึกทักษะ หมายถึง สื่อการเรียนประเภทหนึ่งที่สร้างขึ้นมาเพ่ือฝึกและพัฒนาทักษะในด้านต่าง ๆ
ของนักเรียน เพื่อให้นักเรียนมีความรู้ ความชานาญ ในเร่ืองนั้น ๆ สามารถนาความรู้ท่ีได้ไปใช้ได้อย่างถูกต้อง
เหมาะสม มีพัฒนาการที่ดขี ึ้น

2. การเขยี นเชิงสรา้ งสรรค์ หมายถึง งานเขียนที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ เป็นการเขียนท่ีเกิดจากการ
ใช้จิตจนาการผสานกับความรู้และประสบการณ์ ถ่ายทอดออกมาอย่างมีศิลปะ เขียนแสดงความคิดและอารมณ์
ออกมาอย่างประณีตบรรจง ทาให้ผู้อ่านได้รับอรรถรสของภาษาเกิดภาพพจน์และเพลิดเพลินไปกับความไพเราะ
ของภาษา บางเรื่องอาจขาดเหตุผลผิดความเป็นจริงหรือไม่เป็นธรรมชาติทั้งน้ีเพราะการเขียนเชิงสร้างสรรค์มุ่ง
แสดงออกทางความรสู้ ึกนกึ คดิ และอารมณเ์ ป็นจดุ สาคญั

3. แบบฝึกทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ หมายถึง แบบฝึกที่ผู้วิจัยสร้างข้ึน เป็นส่ือการเรียนที่ช่วยฝึก
และพัฒนาทกั ษะการเขียนของนักเรียน ส่งเสรมิ และพฒั นาทักษะการเขียนเชงิ สรา้ งสรรค์ ช่วยส่งเสริมให้นักเรียนมี
การคดิ ท่ีเปน็ ระบบ และสื่ออารมณ์ออกมาอย่างประณีตบรรจง ทาใหผ้ ้อู ่านได้รับอรรถรสของภาษาอย่างเต็มท่ี โดย
แต่ละแบบฝึกหัดประกอบด้วย คาแนะนาในการใช้แบบฝึก จุดประสงค์การเรียนรู้ ใบความรู้ ใบกิจกรรม
แบบฝกึ หัดและแบบทดสอบหลงั เรียน มีทงั้ หมด 5 แบบฝกึ หัด ประกอบด้วย

1. คิดคน้ ถ้อยคา (เรยี นรู้เรอื่ งการสร้างคา)
2. ลองทาเปน็ ประโยค (ฝึกการแตง่ ประโยค)
3. ผูกโยงเข้าเรอื่ ง (แต่งเร่อื งโดยการเรยี งประโยค)
4. สร้างเรื่องจากจนิ ตนาการ (แตง่ เรอื่ งจากภาพ)
5. พรรณนาทา้ ให้เขียน (เขยี นเรอื่ งจากภาพ)

ประโยชน์ท่ีคาดวา่ จะได้รบั จากการวิจยั

1. นกั เรยี นมีทกั ษะการเขียนเชิงสรา้ งสรรคเ์ พ่มิ มากข้นึ
2. นักเรียนสามารถเขยี นงานได้อย่างมีประสทิ ธภิ าพมากและมีผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนเพ่ิมมากขน้ึ
3. นกั เรยี นมคี วามพึงพอใจในการเรียนโดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะการเขยี นเชิงสร้างสรรค์

กรอบแนวคดิ วิจัย

สมมุติฐานการวิจยั

นกั เรียนที่เรียนโดยการใชแ้ บบฝกึ ทกั ษะการเขยี นเชิงสร้างสรรค์มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่า
กอ่ นเรยี น

บทท่ี 2
เอกสารและงานวจิ ัยทเ่ี กี่ยวขอ้ ง

ในการวจิ ยั คร้ังนี้ ผู้วิจัยไดศ้ กึ ษาเอกสารและงานวิจยั ที่เกีย่ วข้องและไดน้ าเสนอตามลาดับหัวข้อ ดังนี้

1. หลกั สูตรแกนกลาง
2. เอกสารและงานวจิ ัยทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั การเขียน
3. เอกสารและงานวิจยั ทเี่ ก่ยี วข้องกบั ความคิดสรา้ งสรรค์
4. เอกสารและงานวิจัยท่เี กี่ยวข้องกับการเขยี นเชิงสร้างสรรค์
5. เอกสารและงานวิจัยที่เก่ียวข้องกับแบบฝกึ ทกั ษะ

1.หลกั สูตรแกนกลาง

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน (หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช : 2551)
กล่าวว่า ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ของชาติเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพและเสริมสร้าง
บุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเครื่องมือในการติดต่อส่ือสารเพ่ือสร้างความเข้าใจและ
ความสัมพันธ์ท่ีดีต่อกัน ทาให้สามารถประกอบกิจธุระ การงาน และดารงชีวิตร่วมกัน ในสังคมประชาธิปไตยได้
อย่างสันติสุข และเป็นเครือ่ งมอื ในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์จากแหล่งข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ เพื่อพัฒนา
ความรู้ พัฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรค์ให้ทันต่อการเปล่ียนแปลงทางสังคม และ
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนนาไปใช้ในการพัฒนาอาชีพให้มีความม่ันคงทางเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ยังเป็นส่ือแสดงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ ด้านวัฒนธรรม ประเพณี และสุนทรียภาพ เป็นสมบัติล้าค่า
ควรแก่การเรยี นรู้ อนรุ ักษ์ และสบื สาน ใหค้ งอยคู่ ู่ชาติไทยตลอดไป

ภาษาไทยเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนจนเกิดความชานาญในการใช้ภาษาเพื่อการส่ือสาร การเรียนรู้อย่างมี
ประสทิ ธภิ าพ และเพ่อื นาไปใช้ในชีวิตจริง

การอ่าน การอ่านออกเสยี งคา ประโยค การอ่านบทร้อยแก้ว คาประพันธ์ชนิดต่าง ๆ การอ่านในใจเพื่อ
สร้างความเข้าใจ และการคิดวเิ คราะห์ สังเคราะห์ความรจู้ ากสงิ่ ทอี่ า่ น เพื่อนาไปปรับใชใ้ นชีวติ ประจาวนั

การเขยี น การเขยี นสะกดตามอักขรวิธี การเขียนส่ือสาร โดยใช้ถ้อยคาและรูปแบบต่าง ๆ ของการเขียน
ซึ่งรวมถึงการเขียนเรียงความ ย่อความ รายงานชนิดต่าง ๆ การเขียนตามจินตนาการ วิเคราะห์วิจารณ์ และ
เขียนเชงิ สรา้ งสรรค์

การฟัง การดู และการพูด การฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ การพูดแสดงความคิดเห็น ความรู้สึก
พูดลาดบั เรื่องราวต่าง ๆ อยา่ งเปน็ เหตเุ ป็นผล การพูดในโอกาสต่างๆ ทง้ั เป็นทางการและ ไมเ่ ป็นทางการ และ
การพูดเพ่ือโน้มนา้ วใจ

หลักการใช้ภาษาไทย ธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของภาษาไทย การใช้ภาษาให้ถูกต้องเหมาะสมกับโอกาส
และบุคคล การแต่งบทประพนั ธ์ประเภทตา่ งๆ และอทิ ธพิ ลของภาษาตา่ งประเทศในภาษาไทย

วรรณคดีและวรรณกรรม วิเคราะห์วรรณคดีและวรรณกรรมเพื่อศึกษาข้อมูล แนวความคิด คุณค่า
ของงานประพนั ธ์ และความเพลดิ เพลิน การเรียนรแู้ ละทาความเข้าใจบทเห่ บทร้องเล่นของเด็ก เพลงพื้นบ้านที่
เป็นภูมิปัญญาท่ีมีคุณค่าของไทย ซ่ึงได้ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ค่านิยม ขนบธรรมเนียมประเพณี เร่ืองราวของ
สังคมในอดตี และความงดงามของภาษา เพื่อให้เกิดความซาบซึ้งและภูมิใจในบรรพบุรุษที่ได้สั่งสมสืบทอดมาจนถึง
ปัจจบุ ัน

ในหลักสตู รแกนกลางไดก้ าหนดคณุ ภาพผู้เรียนท่ีจบช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 ไวด้ งั น้ี
อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองเป็นทานองเสนาะได้ถูกต้อง เข้าใจความหมายโดยตรงและ
ความหมายโดยนยั จบั ใจความสาคญั และรายละเอียดของส่งิ ทีอ่ ่าน แสดงความคดิ เหน็ และข้อโต้แย้งเก่ียวกับเรื่อง
ท่ีอ่าน และเขียนกรอบแนวคิด ผังความคิด ย่อความ เขียนรายงานจากสิ่งท่ีอ่านได้ วิเคราะห์ วิจารณ์ อย่างมี
เหตุผล ลาดบั ความอย่างมขี ้ันตอนและความเป็นไปได้ของเรื่องท่ีอ่าน รวมทั้งประเมินความถูกต้องของข้อมูลท่ีใช้
สนบั สนนุ จากเรอ่ื งท่ีอ่าน
เขียนส่ือสารด้วยลายมือที่อ่านง่ายชัดเจน ใช้ถ้อยคาได้ถูกต้องเหมาะสมตามระดับภาษาเขียนคาขวัญ คา
คม คาอวยพรในโอกาสต่างๆ โฆษณา คติพจน์ สุนทรพจน์ ชีวประวัติ อัตชีวประวัติและประสบการณ์ต่างๆ เขียน
ย่อความ จดหมายกิจธุระ แบบกรอกสมัครงาน เขียนวิเคราะห์ วิจารณ์ และแสดงความรู้ความคิดหรือโต้แย้ง
อยา่ งมเี หตุผล ตลอดจนเขยี นรายงานการศึกษาค้นควา้ และเขียนโครงงาน
พูดแสดงความคิดเห็น วิเคราะห์ วิจารณ์ ประเมินส่ิงท่ีได้จากการฟังและดู นาข้อคิดไปประยุกต์ใช้ใน
ชีวติ ประจาวัน พดู รายงานเร่อื งหรือประเดน็ ที่ไดจ้ ากการศึกษาค้นควา้ อย่างเปน็ ระบบ
มีศิลปะในการพูด พูดในโอกาสต่างๆ ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ และพูดโน้มน้าวอย่างมีเหตุผลน่าเช่ือถือ รวมทั้งมี
มารยาทในการฟัง ดู และพูด
เข้าใจและใช้คาราชาศัพท์ คาบาลีสันสกฤต คาภาษาต่างประเทศอ่ืนๆ คาทับศัพท์ และศัพท์บัญญัติใน
ภาษาไทย วเิ คราะห์ความแตกต่างในภาษาพูด ภาษาเขียน โครงสรา้ งของประโยครวม ประโยคซ้อน ลักษณะภาษา
ทเ่ี ป็นทางการ ก่ึงทางการและไม่เป็นทางการ และแต่งบทรอ้ ยกรองประเภทกลอนสภุ าพ กาพย์ และโคลงส่สี ภุ าพ
สรุปเนื้อหาวรรณคดีและวรรณกรรมท่ีอ่าน วิเคราะห์ตัวละครสาคัญ วิถีชีวิตไทย และคุณค่าที่ได้รับจาก
วรรณคดีวรรณกรรมและบทอาขยาน พรอ้ มท้ังสรปุ ความรขู้ ้อคิดเพ่อื นาไปประยุกต์ใชใ้ นชวี ิตจรงิ
จะเห็นได้ว่าในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาพ้ืนฐานได้กล่าวถึงความสาคัญของภาษาไทยไว้ว่าภาษาไทย
เป็นทกั ษะทีต่ ้องฝึกฝนจนเกิดความชานาญในการใช้ภาษาเพ่ือการสอ่ื สาร การเรียนรอู้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ และเพื่อ
นาไปใช้ในชีวิตจริง นอกจากน้ียังกล่าวถึงการเขียนไว้ว่า การพัฒนาการเขียนนั้น จาเป็นต้องเรียนรู้ในเรื่อง
การเขียนสะกดตามอักขรวิธี การเขียนส่ือสาร โดยใช้ถ้อยคาและรูปแบบต่าง ๆ ของการเขียน ซึ่งรวมถึง

การเขียนเรียงความ ย่อความ รายงานชนิดต่าง ๆ การเขียนตามจินตนาการ วิเคราะห์วิจารณ์
และเขียนเชงิ สร้างสรรค์

2. เอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั การเขียน

การวิจยั ครัง้ นผี้ ้วู จิ ัยได้ศึกษาคน้ คว้าข้อมลู ที่เกีย่ วขอ้ งกบั การเขียน เพ่ือเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์และ
สร้างเคร่อื งมือทจ่ี ะพฒั นานักเรียนให้เกดิ ประสทิ ธิภาพสงู สดุ ดังน้ี

การเขียน (writing) หมายถึง การเรียบเรียงความรู้ ความคิดและประสบการณ์ต่างๆ ตลอดจน
ความรู้สึกนึกคิดและจินตนาการออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร (สุจริต เพียรชอบ, 2531 : อ้างถึงใน
วรรณวรี ์ บญุ คุ้ม : 2555 )

เสนีย์ วิลาวรรณ (2544 : 156-159) กล่าวถึงการเขียนไว้ว่า การเขียน หมายถึง การถ่ายทอด
ความรู้ ความรู้สึกนึกคิด เรื่องราว ตลอดจนประสบการณ์ต่างๆไปสู้ผู้อื่นโดยใช้ตัวอักษรเป็นเคร่ืองมือใน
การถา่ ยทอด

กระทรวงศึกษาธิการ (2551) กล่าวถึงการเขียนเชิงสร้างสรรค์ไว้ว่า การเขียนเชิงสร้างสรรค์เป็นการ
เขียนโดยใช้ความรู้ ประสบการณ์ และจินตนาการในการเขียน เช่น การเขียนเรียงความ นิทาน เร่ืองสั้น นวนิยาย
และบมร้อยกรอง การเขียนเชิงสร้างสรรค์ผู้เขียนต้องมีความคิดดี มีจินตนาการดี มีคลังคาอย่างหลากหลาย
สามารถนาคามาใชใ้ นการเขยี น ตอ้ งใช้เทคนคิ การเขยี นและใช้ถ้อยคาอยา่ สละสลวย

การเขียนเปน็ วิธีการส่ือสารท่ีสาคัญในการถ่ายทอดความรู้ ความคิด และประสบการณ์ เพ่ือสื่อไปยัง
ผูร้ ับได้อย่างกว้างไกล นอกจากนัน้ การเขียนยงั มีคุณค่าในการบนั ทึกเป็นข้อมลู หลักฐานให้ศึกษาไดย้ าวนาน

หลักการเขยี น
เน่ืองจากหลักการเขียนเป็นทักษะท่ีต้องเอาใจใส่ฝึกฝนอย่างจริงจัง เพ่ือให้เกิดความรู้ความชานาญ
และปอ้ งกนั ความผดิ พลาด ดงั นั้น ผูเ้ ขยี นจงึ จาเป็นต้องใชห้ ลักในการเขียน ดังตอ่ ไปนี้
1. มีความถกู ต้อง คือ ข้อมูลถกู ตอ้ ง ใชภ้ าษาไดถ้ ูกต้องเหมาะสมตามกาลเทศะ
2. มีความชัดเจน คือ ใช้คาที่มีความหมายชัดเจน รวมถึงประโยคและถ้อยคาสานวน เพ่ือให้ผู้อ่าน
เข้าใจได้ตรงตามจดุ ประสงค์
3. มีความกระชับและเรียบง่าย คือ รู้จักเลือกใช้ถ้อยคาธรรมดาเข้าใจง่าย ไม่ฟุ่มเฟือย เพ่ือให้ได้
ใจความชัดเจน กระชบั ไม่ทาให้ผอู้ ่านเกิดความเบ่อื หน่าย
4. มีความประทับใจ โดยการใช้คาให้เกิดภาพพจน์ อารมณ์และความรู้สึกประทับใจ มีความหมาย
ลกึ ซงึ้ กนิ ใจ ชวนตดิ ตามใหอ้ ่าน
5. มีความไพเราะทางภาษา คือ ใช้ภาษาสุภาพ มีความประณีตท้ังสานวนภาษาและลักษณะเนื้อหา
อา่ นแล้วไมร่ ู้สึกขดั เขนิ

6. มีความรับผิดชอบ คือ ต้องแสดงความคิดเห็นอย่างสมเหตุสมผล มุ่งให้เกิดความรู้และทัศนคติ
อันเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่ืน นอกจากหลักการเขียนท่ีจาเป็นต่อการเขียนแล้ว สิ่งท่ีมีความจาเป็นอีกประการหน่ึงคือ
กระบวนการคิดกับกระบวนการเขียนท่ีจะต้องดาเนินควบคู่ไปกับหลักการเขียน เพ่ือที่จะทาให้สามารถเขียนได้ดี
ยง่ิ ขึ้น

จาการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเขียนสามารถสรุปได้ว่า การเขียนเป็นกระบวนการส่ือสาร อย่าง
หนึ่ง เป็นการถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความรู้สึก และประสบการณ์ ผ่านการใช้ตัวอักษรเป็นเคร่ืองมือใน
การส่อื สาร

3. เอกสารและงานวจิ ัยท่ีเก่ยี วขอ้ งกับความคิดสรา้ งสรรค์

การวจิ ยั ครั้งน้ผี ู้วจิ ัยได้ศกึ ษาคน้ คว้าขอ้ มูลท่ีเกีย่ วข้องกับความคิดสร้างสรรค์เพ่ือเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์
และสร้างเครื่องมอื ทีจ่ ะพัฒนานักเรียนให้เกดิ ประสิทธภิ าพสงู สุด ดงั นี้

กิลฟอร์ด (Guilford, 1967 : 6 อ้างถึงใน วรรณวีร์ บุญคุ้ม 2555 : 12) กล่าวว่า ความคิดเชิงสร้างสรรค์
เปน็ ลกั ษณะความคิดอเนกนัย (divergent thinking) ที่สามารถคดิ ได้หลายทาง หลายแง่ หลายมุม คิดได้กว้างไกล
ซึ่งลกั ษณะความคดิ เช่นน้ีจะนาไปสู่การคิดประดิษฐ์ส่ิงแปลกใหม่ รวมถึงการคิดค้นพบแนวทางในการแก้ปัญหาอีก
มากมาย

วอลลาซและโคแกน (Wallach and Kogan, 1965: 34 อ้างถึงใน วรรณวีร์ บุญคุ้ม 2555 : 12)
กล่าวว่า ความคิดเชิงสร้างสรรค์คือความสามารถในการคิดต่อเน่ืองท่ีสัมพันธ์กันเป็นลูกโซ่ เรียกว่า
ความคิดโยงสัมพันธ์ คือเม่ือระลึกถึงสิ่งใดส่ิงหน่ึงแล้ว สิ่งนั้นจะช่วยเช่ือมให้ระลึกถึงส่ิงอ่ืน ๆ ที่สัมพันธ์กันต่อไปได้
เรอ่ื ย ๆ ยิ่งคิดเชือ่ มโยงได้มากเพยี งใด กย็ ่งิ บง่ ชถ้ี ึงความสามารถในการคิดเชงิ สร้างสรรค์ได้มากเพียงนน้ั

เกรียงศักด์ิ เจริญวงศ์ศักดิ์ (2545 : 2) กล่าวว่า ความคิดเชิงสร้างสรรค์ หมายถึงการขยายขอบเขต
ความคิดออกไปจากความคิดเดิมท่ีมีอยู่สู่ความคิดใหม่ ๆ ท่ีไม่เคยมีมาก่อน เพื่อหาคาตอบที่ดีที่สุดให้กับปัญหาที่
เกดิ ข้นึ

กระทรวงศีกษาธิการ (2551) กล่าวว่า การสร้างสรรค์คือการรู้จักเลือกความรู้ ประสบการณ์ที่มีอยู่เดิม
มาเป็นพื้นฐานในการสร้างความรู้ ความคิดใหม่ที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม บุคคลท่ีจะมี
ความสามารถในการสร้างสรรค์จะต้องเป็นบุคคลท่ีมีความคิดอิสระอยู่เสมอ มีความเช่ือม่ันในตนเอง มองโลกใน
แง่ดี คิดไตรต่ รอง ไมต่ ัดสนิ ใจส่ิงใดง่าย ๆ การสร้างสรรค์ของมนุษย์จะเก่ียวเน่ืองกันกับความคิด การพูด การเขียน
และการกระทาเชงิ สรา้ งสรรค์ ซ่งึ จะตอ้ งมีการคิดเชงิ สรา้ งสรรคเ์ ปน็ พื้นฐาน

ความคิดเชิงสร้างสรรค์เป็นความคิดที่พัฒนามาจากความรู้และประสบการณ์เดิม ซ่ึงเป็นปัจจัยพื้นฐานใน
การพูด การเขยี น และการกระทาเชิงสรา้ งสรรค์

จะเห็นได้ว่าความคิดสร้างสรรค์คือความคิดท่ีเกิดจากการจินตนาการและประสบการณ์ที่มีอยู่เดิม เป็น
ความคิดท่ีมีอิสระ เป็นความคิดใหม่ที่เกิดขึ้น ผู้ที่จะมีความคิดสร้างสรรค์น้ันต้องเป็นบุคคลท่ีหม่ันคิดและมีอิสระที่

จะคิด มั่นใจและเชื่อมั่นในตัวเอง ความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่จะพัฒนาให้งานมีคุณภาพและประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ผลจากการคดิ สร้างสรรคจ์ ะนาไปสูก่ ารสรา้ งสังคมท่ีมีคุณค่าและมปี ระโยชน์ตอ่ สังคม

4 . เอกสารและงานวจิ ัยที่เกี่ยวขอ้ งกบั การเขียนเชิงสร้างสรรค์

สมิธ (Smith 1973 : 9 อ้างถึงใน จิตรา จันทร์หอม : 2554) ได้เสนอหลักเกณฑ์ในการสอนเขียน
เชิงสร้างสรรคไ์ วด้ งั น้ี คือ

1. ผลงานท่ีถือว่า เกิดจากการสอนเขียนเชิงสร้างสรรค์น้ัน สิ่งแรกท่ีจะต้องคานึงถึงคือ จะต้อง
เป็นสงิ่ ใหม่ท่ีแตกตา่ งออกไปจากเดิม หรอื มลี ักษณะเฉพาะตัว เชน่ เดก็ อาจคิดรปู แบบของโคลงกลอนข้ึนใหม่

2. จะต้องเน้นความคิดแบบอเนกนัย (divergent thinking) คือรวมความรู้ ความคิด ความจริง
ความเข้าใจ และทกั ษะตา่ ง ๆ ทเี่ รยี นร้มู าสร้างสิ่งใหม่ คดิ คาตอบใหม่หลาย ๆ คาตอบ มิใชเ่ พียงคาตอบเดียว

3. ผู้สอนจะต้องใช้กลวิธีที่จะกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความคิด พัฒนาความคิดของตนเอง และมี
อิสระที่จะแสดงความคิดของตนได้อย่างเต็มท่ี ซึ่งครูอาจจะใช้วิธีตั้งคาถาม หรือ สร้างสถานการณ์ข้ึน แต่ใน
ขณะเดียวกนั ควรจะมีช่วงเวลาให้เดก็ ได้ผ่อนคลายความตงึ เครยี ดบ้าง

4. ก่อนที่จะลงมือเขียนแต่ละคร้ัง ครูควรจะให้เด็กได้ตั้งจุดมุ่งหมายและสารวจความคิดของ
ตนเองเสียก่อน และครคู วรจะมบี ทบาทเพียงเพอ่ื ช่วยเหลอื ช้ีแนะใหน้ ักเรยี นเกิดแนวความคดิ เท่านน้ั

5. ควรจะกระตุ้นให้นักเรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง รู้จักเช่ือมโยงประสบการณ์เดิมให้สัมพันธ์กับ
ความคิดใหม่และจะต้องสนับสนุนส่งเสริมให้นาความรู้และทักษะต่าง ๆ ท่ีเล่าเรียนมา มาใช้แก้ปัญหาใน
สถานการณ์ต่าง ๆ กัน

6. ในการสอนเขียนเชิงสร้างสรรค์น้ัน กระบวนการในการทางานสาคัญเท่ากับผลงาน
กระบวนการนี้เริ่มตั้งแต่ช่วงเวลาเตรียมตัวผู้เขียนได้รับปัญหา ช่วงเวลาที่ผู้เขียนขบคิดปัญหา ช่วงเวลาท่ีมองเห็น
ปญั หากระจ่างชัด ช่วงเวลาท่เี กิดแนวความคดิ และช่วงเวลาที่ผลงานสาเร็จและประเมินผล

7. จะต้องจัดสถานการณ์เพื่อกระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ท้ังสถานการณ์ทางกาย เช่น
หอ้ งเรยี นสะดวกสบาย ที่น่ังเหมาะสม อุปกรณ์ครบครัน และจัดสถานการณ์ทางจิตใจ คือ การสร้างบรรยากาศให้
เกดิ ความเช่อื มนั่ และมีอิสระในการคิดหรือเขียน

8. การสอนแบบสรา้ งสรรค์จะประสบผลสาเร็จมากกว่าล้มเหลว ถึงแม้เด็กบางคนจะทาไม่ได้ แต่
นนั้ เป็นประสบการณห์ น่ึงของเขา ซ่ึงจะช่วยทาให้เข้าใจชีวิตและนาไปปรับปรุงบุคลิกภาพของตนเองอย่างไรก็ตาม
ครจู ะตอ้ งพยายามไม่ให้เกิดความล้มเหลวบอ่ ย เพราะจะทาใหห้ มดกาลังใจ

9. ในการพิจารณาผลงานที่เกิดจากการสร้างสรรค์ ครูจะต้องคานึงถึงความแตกต่างระหว่าง
บุคคล ควรเนน้ และชมเชยในเรอ่ื งของความแปลกใหม่ ลกั ษณะเฉพาะตัว ความคิดริเร่ิมและความเป็นตัวของตัวเอง
ในแต่ละคน ในขณะเดียวกัน ควรจะให้เด็กได้เสนอผลงานเพ่ือให้เพ่ือน ๆ ได้ช่วยกันวิพากษ์วิจารณ์ จะเป็น
การพัฒนาทกั ษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ให้ดีขึน้

10. จะต้องอาศยั กระบวนการแบบประชาธิปไตย เช่น การเปล่ียนบทบาทระหว่างครูกับนักเรียน
และการจดั หอ้ งเรยี น โดยยึดหลกั ประชาธิปไตย

นอกจากนี้ การเขียนเชิงสร้างสรรค์น้ัน ผู้เขียนต้องคานึงถึงผู้อ่านด้วยว่า เป็นใคร อยู่ในระดับใด
อุปนิสัยอย่างไร เพ่ือจะได้ใช้ภาษาและกลวิธีการเขียนได้ถูกต้อง เหมาะสม ควรเริ่มต้นและจบอย่างประทับใจ ใช้
ภาษาสละสลวย อา่ นงา่ ย ไมส่ บั สน ดาเนนิ เรื่องใหส้ นกุ แตค่ วรระวงั การใช้ภาษาเขียนและภาษาพูดให้ถูกกาลเทศะ
เขียนเร่ืองให้ตรงจุด ท้ิงท้ายคม และเขียนอย่างมีชีวิตจิตใจ ส่วนการตั้งชื่อเร่ือง ควรครอบคลุมเนื้อหาท้ังหมด
อาจจะใช้การเล่นคา สานวน ให้น่าสนใจ ใช้คาที่มีความขัดแย้ง ชวนให้ฉงน และอาจต้ังเป็นคาถามหรืออาจจะให้
ความเปรยี บกไ็ ด้ (กาญจนา นาคสกลุ และคณะ 2524 อา้ งถงึ ใน ผลทาน ศรีณรงค์ 2528 : 23-24)

รุ่งอรุณ นนทะโคตร (2555) กล่าวว่า การเขียนเชิงสร้างสรรค์ หมายถึง งานเขียนที่เกิดจากความคิด
สร้างสรรค์ อยา่ งมศี ลิ ปะการเขียนแสดงความคิดและอารมณ์ออกมาอย่างประณีตบรรจง ทาให้ผู้อ่านได้รับอรรถรส
ของภาษาเกิดภาพพจน์และเพลิดเพลินไปกับความไพเราะของภาษา บางเร่ืองอาจขาดเหตุผลผิดความเป็นจริง
หรอื ไม่เป็นธรรมชาตทิ งั้ นเ้ี พราะการเขียนเชงิ สรา้ งสรรคม์ ุ่งแสดงออกทางความรสู้ ึกนึกคดิ และอารมณ์เป็นจดุ สาคญั

องค์ประกอบของการเขียนเชิงสร้างสรรค์
1 ความคิดคานึงดี คือ จินตนาการท่ีผู้เขียนเลือกสรรขึ้นมาแล้วใช้ภาษาทาให้เกิดภาพขึ้นในใจของ
ใหช้ ดั เจน ในขณะเดียวกนั กท็ าใหผ้ อู้ ่านไดร้ ับรสจากภาษาและเกิดอารมณ์ ความรู้สกึ คล้อยตามไปด้วย
2 ถ้อยคาสานวนภาษา คือ ผู้เขียนจะต้องพิถีพิถันเลือกสรรถ้อยคามาเรียบเรียงให้ไพเราะสละสลวย
ชวนอ่าน มีท่วงทา่ ทานองการเขยี นดี
3 ให้คุณค่า คือ ให้คุณค่าทางสติปัญญาและจิตใจ โดยปลูกฝังคุณธรรม ให้เกิดขึ้นจิตใจของผู้อ่าน ทาให้
ผู้อ่านเปล่ียนแปลงความคิดไปในทางที่ดี ให้ความรู้ความคิดเกิดขึ้นในใจของผู้อ่าน อันเป็นประโยชน์ต่อสังคมและ
ส่วนรว่ ม
สมศักด์ิ ภู่วภิ าดาวรรธน์ (2537 : 2) กลา่ วว่า ความคดิ เชงิ สรา้ งสรรค์เปน็ เรื่องที่สลับซับซ้อนยากแก่การให้
คาจากัดความ ถ้าพิจารณาความคิดเชิงสร้างสรรค์ในเชิงผลงาน ผลงานนั้นต้องเป็นงานท่ีแปลกใหม่และมีคุณค่า
ถ้าพิจารณาความคิดเชิงสร้างสรรค์ในเชิงกระบวนการ กระบวนการคิดเชิงสร้างสรรค์คือการเชื่อมโยงสัมพันธ์
สิ่งของหรือความคิดท่ีมีความแตกต่างกันมากเข้าด้วยกัน ถ้าพิจารณาความคิดเชิงสร้างสรรค์ในเชิงบุคล บุคคลน้ัน
ต้องเปน็ คนทมี่ ีความแปลกเป็นตวั ของตวั เอง เปน็ ผทู้ ม่ี คี วามคิดคลอ่ ง มคี วามคดิ ยืดหยนุ่ และสามารถให้รายละเอียด
ในความคดิ น้ัน ๆ ได้
เฉลิมลาภ ทองอาจ (2555) กล่าวถึงการเขียนเชิงสร้างสรรค์ไว้ว่าคาว่า “สร้างสรรค์” ในท่ีน้ี หมายถึง
มีลักษณะริเริ่มในทางดี เมื่อนามาใช้กับเขียนจึงหมายถึงการเขียนท่ีแสดงความริเร่ิม ซ่ึงผู้เขียนจะต้องคิดค้นและ
เสนอผลงานการเขยี นที่มีรูปแบบและเน้ือหาท่ีหลากหลายแปลกใหมแ่ ละไม่ถูกจากัดด้วยกรอบหรือกฏเกณฑ์ต่าง ๆ
ตามที่เคยปฏิบัติสืบต่อมา การเขียนเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งตรงกับคาในภาษาอังกฤษว่า creative writing จึงเป็น
การเขียนท่ีผู้เขียนสามารถสามารถแสดงอารมณ์ จินตนาการและความคิดได้อย่างอิสระ และสามารถเลือกใช้

วิธกี ารนาเสนอได้หลากหลายวิธี โดยส่วนใหญ่มักจะนาเสนอในรูปแบบของ เร่ืองส้ัน นวนิยาย กวีนิพนธ์ บทละคร
บทภาพยนตร์ เปน็ ต้น

การศึกษาเร่ืองการเขียนเชิงสร้างสรรค์ แบ่งได้เป็น ๓ ระดับ คือ ระดับคา ระดับความและระดับรูปแบบ
ดังนี้

๑. การเขียนเชิงสร้างสรรค์ระดับคา คือ การเลือกสรรถ้อยคาที่สื่ออารมณ์ ความรู้สึกหรือรสสัมผัส
ต่าง ๆ มาใช้ในการเรียบเรียงข้อความ เพ่ือให้ผู้อ่านเกิดจินตภาพตาม ซึ่งคาเหล่านี้มักเป็นคาที่มีเสียงหรือ
ความหมายที่เนน้ อารมณ์และความรูส้ กึ เช่น คาซา้ คาซอ้ น คาเลยี นเสยี งธรรมชาติ คาวิเศษณ์บอกคณุ ลักษณะ

ตวั อย่างท่ี ๑

“ฟักเปิดประตูเข้ามา ร่างทั้งร่างเปียกโชก ขี้โคลน
จับเขรอะเป็นรอย บางแห่ง มีดินติดเป็นปื้น ๆ ทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วย
ข้โี คลนสดี า ๆ แม้แต่น้าซึ่งไหลย้อยลงมาจากเส้นผมบนหัวผ่านลงมาบน
ใบหนา้ ก็มสี โี คลนเจอื ปนอยูด่ ้วย”

(คาพิพากษา-ชาติ กอบจติ ติ)

ตวั อย่างที่ ๒

“พออากาศฟาดเปรี้ยงเสียงสนั่น เปน็ หมอกควันมืดมดิ ทุกทิศา

พวกส้รู บดเู หมอื นไมม่ ตี า ไม่รู้ว่าจะไปหนตาบลใด

ประเด๋ียวดังหงั่งเหง่งเสียงเครงครึก ลัน่ พิลกึ โลกาสธุ าไหว

เป็นฝนฟุง้ ทุ่งท่าพนาลัย ทกุ นายไพร่หนาวท่วั ทกุ ตวั คน”

(พระอภัยมณี-สุนทรภู่)

๒. การเขยี นเชิงสรา้ งสรรคร์ ะดับความ คอื การเรียบเรียงข้อความให้ผ้อู ่านเกดิ จนิ ตภาพหรือรับรู้ถึง
อารมณแ์ ละความรสู้ กึ ของผูเ้ ขยี น ซ่งึ ส่วนใหญ่ผู้เขยี นมกั ใชก้ ลวิธกี ารเปรียบเทียบ โดยนาวัตถุ บุคคลหรือเหตุการณ์
ที่สอดคล้องกับประสบการณ์ของผู้อ่านมาเปรียบเทียบกับสิ่งท่ีตนต้องการสื่อความหมาย การเรียบเรียบข้อความ
ลักษณะน้ี เช่น การใช้สานวน คาพงั เพย โวหาร ความเปรียบ เป็นต้น

ตัวอยา่ งที่ ๑

“แม่น้ายมข้างหน้าเราเชี่ยวกราก สีแดงขุ่นข้นของมันบิด
เป็นเกลียว เหมือนจะม้วนสรรพสิ่งนานาชนิดลงไปกับมัน ภายใต้น้า
อันข่นุ ขน้ แดงจัด มนั ไหลเรว็ และแรงเหมือนคนโมโหร้าย”

(สวนสตั ว์-สวุ รรณี สคุ นธา)

ตวั อยา่ งที่ ๒

“เดือนตกไปแล้ว ดาวแข่งแสงขาว ยิบ ๆ ยับ ๆ เหมือน
เกลด็ แกว้ อันสอดสอยร้อยปักอยู่เต็มผ้าดาผืนใหญ่ วูบวาบวิบวับส่องแสง
ใหญ่แลน้อย ใกล้แลไกล บางดวงแสงหนาวดูเย็นนิ่ง บางดวงกะพริบ
พร่างพร้อย ด่ังดาวใหญ่น้อย แย้มยิ้มหยอกเอินกัน บางดวงสุขขาว
เหมอื นตาสาวน้อยลอบแลบา่ วหนุ่ม อยหู่ ลงั แม่ บางดวงก็เก่าหม่นเหมือน
ถา่ นไฟหมกไหม้ก็มพี รอ้ มแลว้ ”

(เจา้ จนั ทผ์ มหอม-มาลา คาจันทร์)

ตัวอย่างที่ ๓

“ความรู้ผปู้ ราชญน์ ั้น รักเรยี น

ฝนทงั่ เทา่ เขม็ เพียร ผา่ ยหน้า

คนเกยี จเกลยี ดหน่ายเวียน วนจติ

กลอทุ กในตระกร้า เปย่ี มล้นฤๅมี”

(โคลงโลกนิต-ิ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาเดชาดศิ ร)

๓. การเขียนเชิงสร้างสรรค์ระดับรูปแบบ คือ การเรียบเรียงข้อความแล้วนาเสนอในรูปแบบท่ี
แปลกใหมจ่ ากรปู แบบทน่ี ิยมมาแตเ่ ดิม การเขียนเชิงสรา้ งสรรคร์ ะดับนม้ี ักพบในงานเขยี นประเภทกวีนิพนธ์ ดังจะ
เห็นได้จากนักเขียนในปัจจุบันได้ทดลองสร้างฉันทลักษณ์ของ คาประพันธ์ชนิดใหม่ๆ นอกเหนือจากร่าย โคลง
กาพย์ ฉันท์และกลอน ซ่ึงเป็นคาประพันธ์ไทยที่มีมาแต่เดิม นอกจากนี้ ยังพบในงานเขียนประเภทเร่ืองสั้น ซ่ึง
นักเขียนไดพ้ ยายามหากลวธิ ี การนาเสนอทนี่ า่ สนใจ ทนั สมยั และแตกตา่ งจากเร่อื งสนั้ ทว่ั ไป

ตัวอย่าง

“ทาไมฉันมาปรากฏกายที่น่ี ทาไมมีผู้คนมากมายเหลือเกิน
ทาไมคนเราต้องเดินทาง ทาไมหลายใบหน้าเศร้าจัง ทาไมมีคนร้องไห้
ทาไมมีคนกอดฉนั กอดกดั เพื่อจากกันหรือกอดกันท่ีได้พบกัน ทาไมมีคน
โบกมือ โบกมือท่ีได้พบกันหรือโบกมือที่ต้องแยกทางกัน ทาไมพวกเขา
ร้องไห้ ทาไมพวกเขาหัวเราะ ทาไมฉันมาที่น่ี ทาไมฉันต้องเดินทาง
ทาไม.....”

(ต๊กุ ตา-วินทร์ เลยี ววารณิ )

การศกึ ษาเรื่องการเขยี นเชิงสรา้ งสรรค์ และการฝึกหัดเขียนเชิงสร้างสรรค์จะช่วยให้นักเรียนพัฒนาทักษะ
การคิดสร้างสรรค์ ซ่ึงเป็นทักษะที่สาคัญย่ิงของเยาวชนโลกในปัจจุบัน ที่มุ่งเน้นการค้นคว้าและผลิตนวัตกรรม
ใหม่ ๆ มาพฒั นาสังคมและโลก

จากความหมายและแนวคิดตา่ ง ๆ ท่ไี ดศ้ ึกษาน้ัน สรปุ ได้ว่า การเขียนเชิงสร้างสรรค์คือการเขียนเพื่อขยาย
ความคิดออกไปได้อย่างหลากหลายทาง หลายมุมมอง คิดได้หลายแง่มุม การเขียนเชิงสร้างสรรค์เป็นการเขียนที่
ช่วยฝึกพัฒนาการคิดสร้างสรรค์และเป็นการฝึกเขียนส่ือสารโดยที่ผู้เขียนไม่จาเป็นต้องคานึงถึงกรอบความคิดเดิม
การเขยี นเชงิ สร้างสรรคจ์ งึ เป็นการเปดิ โอกาสใหผ้ เู้ ขียนไดแ้ สดงความรอู้ ยา่ งเตม็ ที่

5. เอกสารและงานวิจัยท่เี ก่ียวขอ้ งกบั แบบฝกึ ทกั ษะ

การวิจัยครั้งน้ีผู้วิจัยได้ค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับความหมาย ความสาคัญ และประโยชน์
ของแบบฝึกทักษะ ดังน้ี

กู๊ด (Good, 1973 : 224 อ้างถึงใน วรรณวีร์ บุญคุ้ม : 2555) ให้ความหมายของแบบฝึกว่า หมายถึง
งานหรือการบ้านท่ีครู มอบหมายให้นักเรียนทา เพ่ือทบทวนความรู้ที่เรียนไปแล้ว และเป็นการฝึกทักษะการใช้
กฎหรอื สตู รต่าง ๆ ท่ีเรียนไป

กรมวิชาการ (2545 : 48) ให้ความหมายของแบบฝึกไว้ว่า แบบฝึกเป็นสื่อใช้ฝึกทักษะการคิด
การวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และการปฏิบัติของนักเรียน นิยมใช้ในกลุ่มสาระภาษา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์
การงานอาชีพ ลกั ษณะของแบบฝกึ จะประกอบไปดว้ ยจดุ ประสงค์ การทบทวนกฎเกณฑ์ การเสนอตัวอย่างแบบฝึก
และเฉลยหรือการอธิบายเพ่ิมเตมิ

ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2537 : 490) ให้ความหมายของแบบฝึกว่า เป็นคู่มือนักเรียนที่ นักเรียนต้องใช้ควบคู่
กับการเรียนการสอน เป็นส่วนที่นักเรียนบันทึกสาระสาคัญ แบบฝึกอาจกาหนดแยกเป็นแต่ละหน่วยการเรียน
เรยี กว่า “workshop” หรอื กระดาษคาตอบ ซึ่งผู้เรียนต้องใช้ประกอบกิจกรรมต่างๆ หรืออาจรวมเป็นเล่มเรียกว่า
“workbook”

วลิ าวัณย์ สภุ ิรกั ษ์ (2545 : 18) ระบุว่า แบบฝึก หมายถงึ สือ่ การเรียนการสอนท่ีครูสร้างข้ึนเพ่ือให้นักเรียน
ไดฝ้ ึกปฏิบัตดิ ้วยตนเอง จนเกดิ ความรู้ความเข้าใจเพ่ิมข้ึน โดยที่กิจกรรมท่ีได้ปฏิบัติในแบบฝึกน้ันครอบคลุมเน้ือหา
ทไี่ ดเ้ รยี นไปแล้ว จะทาให้ผู้เรียนมคี วามรูแ้ ละมีทกั ษะทกั ษะมากข้นึ เพราะมีรูปแบบหรือลักษณะท่ีหลากหลาย

ขจรี ัตน์ หงส์ประสงค์ (2534 : 13) ระบุว่า การฝกึ ทักษะเป็นการทบทวนความเข้าใจและฝึกในเรื่องท่ีเรียน
ไปแลว้ ครสู ว่ นมากจะใชแ้ บบฝึกทกั ษะที่มอี ยู่ในหนังสือแบบเรยี นใหผ้ เู้ รียนฝึกหัดหลังจากเรียนไปแล้ว หรือหนังสือ
บางเลม่ มแี บบฝกึ เพียงเล็กน้อย จงึ เปน็ หน้าที่ของครูโดยตรงที่จะสร้างแบบฝึกทักษะให้เหมาะกับเร่ืองท่ีสอนเพ่ือให้
นกั เรียนเกดิ ทักษะ

อดุลย์ ภูปลื้ม (2539 : 4) ระบุว่า แบบฝึก มีความสาคัญและจาเป็นต่อการเรียนทักษะทาง ภาษามาก
เพราะจะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจบทเรียนดีข้ึน สามารถจดจาบทเรียนและคาศัพท์ต่างๆ ได้คงทน ทาให้เกิด
ความสนุกสนานในขณะเรียน ทราบความก้างหน้าของตนเอง สามารถนาแบบฝึกมาทบทวนเน้ือหาเดิมได้ด้วย
ตนเอง นามาวัดผลการเรียนหลังเรียนไปแล้ว ตลอดจนสามารถช่วยให้ทราบข้อบกพร่องของผู้เรียนได้และนาไป
ปรับปรงุ แกไ้ ขได้ทนั ที ซึ่งจะมีผลทาใหค้ รูประหยัดเวลา คา่ ใช้จา่ ยและลดภาระไดม้ าก

อรวรรณ ศรีลิขิตตานนท์ (2541 : 26) สรุปหลักการสร้างแบบฝึกไว้ว่า ควรมีเนื้อหาตรงกับจุดประสงค์
เรยี งจากง่ายไปหายาก เนือ้ หาเกยี่ วขอ้ งกับหลักสูตร กิจกรรมเหมาะสมกับวัยความสามารถและพื้นฐานของผู้เรียน
ควรมีภาพประกอบ มีการวางรูปแบบของแบบฝึกท่ีดี มีท่ีว่างพอเหมาะสาหรับฝึกเขียนคาสั่งหรือคาชี้แจงส้ัน ๆ
ควรให้ผู้เรียนใช้ความคิด ฝึกคิดเร็ว สนุกสนาน มีเวลาที่เหมาะสม แบบฝึกควรมีรูปแบบหลากหลาย ท้าทาย
ความสามารถ และทสี่ าคัญผู้เรียนต้องสามารถทาแบบฝึกหดั ไดด้ ว้ ยตนเอง

จากความหมายและแนวคิดท่ีเกี่ยวข้องกับแบบฝึกทักษะที่ได้ศึกษาค้นคว้าพบว่า แบบฝึกทักษะเป็น
เครือ่ งมือท่จี ะชว่ ยพฒั นาทกั ษะด้านการเขียนของนักเรียนให้มีประสิทธภาพมากข้ึน การสร้างแบบฝึกทักษะท่ีดีน้ัน
ต้องมีเนื้อหาตรงกับจุดประสงค์การเรียนรู้ เน้ือหาสอดคล้องกับหลักสูตร มีกิจกรรมที่เหมาะสมกับความสามารถ
ของนักเรียน เรียงลาดับกิจกรรมจากง่ายไปยาก และควรมีความหลากหลายเพื่อให้นักเรียนได้มีโอกาสพัฒนา
ตนเองอยา่ งเตม็ ศกั ยภาพ

บทที่ 3
วิธดี าเนินการวิจยั

การวจิ ัยเร่อื งการพฒั นาแบบฝึกทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนลาปลายมาศ
เป็นงานวจิ ัยเชิงทดลอง (experimental research) ซึ่งมแี บบการทดลองและขน้ั ตอนในการดาเนนิ การวจิ ยั ดังนี้

แบบการทดลอง

การทดลองในครั้งนี้ เป็นการออกแบบการทดลองจากกลุ่มทดลองเพียง 1 กลุ่ม ทาการวัด 2 คร้ัง คือ
กอ่ นและหลงั การทดลอง มีแบบการทดลองคือ one group pre-test post-test design ดงั นี้

การออกแบบการวิจัย

O1 X O2

เมอ่ื O1 หมายถึง การวัดก่อนใช้แบบฝกึ ทกั ษะการเขียนเชิงสรา้ งสรรค์
O2 หมายถงึ การวัดหลงั แบบฝึกทักษะการเขียนเชงิ สร้างสรรค์
X หมายถงึ การทดลองโดยใช้แบบฝกึ ทักษะการเขยี นเชงิ สรา้ งสรรค์
ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 2

ประชากรและกลุม่ ตัวอยา่ ง

1. ประชากรและกล่มุ ตวั อย่าง
ประชากรคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนลาปลายมาศ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559

จานวน 10 หอ้ ง รวม 400 คน
กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธ ยมศึกษาปีท่ี 2/2 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2559

โรงเรียนลาปลายมาศ จานวน 1 หอ้ ง จานวน 40 คน ซง่ึ ไดม้ าโดยวิธกี ารสมุ่ แบบกลุ่ม

2. เครือ่ งมือทใี่ ชใ้ นการวจิ ัย

2.1 ประเภทของเครอ่ื งมือ เคร่อื งมือทใ่ี ช้ในการวิจัยแบง่ เปน็ 3 ประเภท ดงั นี้
2.1.1 แบบฝึกทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ซ่ึงผู้วิจัยสร้างและพัฒนาขึ้น

แบง่ เปน็ 5 ชุดคอื

ชดุ ที่ 1 แผนการจัดการเรียนรู้เรือ่ ง คดิ คน้ ถ้อยคา (เรียนรู้เรือ่ งการสรา้ งคา)
ชุดที่ 2 แผนการจดั การเรยี นรู้เร่ือง ลองทาเปน็ ประโยค (ฝึกการแต่งประโยค)
ชุดที่ 3 แผนการจดั การเรียนรู้เรื่อง ผูกโยงเขา้ เร่ือง (แต่งเร่อื งโดยการเรยี งประโยค)
ชุดที่ 4 แผนการจัดการเรียนรู้เร่ือง สร้างเรอ่ื งจากจินตนาการ (แตง่ เร่อื งจากภาพ)
ชดุ ที่ 5 แผนการจดั การเรยี นร้เู รอ่ื ง พรรณนาท้าเขยี น (เขยี นเรอื่ งจากภาพ)
2.1.2 แบบวัดความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 จานวน
5 แผนการจดั การเรยี นรู้ ทีผ่ ้วู จิ ัยสร้างขึ้น
2.1.3 แบบสอบถามวัดความคิดเห็นของนักเรียนท่ีมีต่อแบบฝึกทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ของ
นกั เรียนชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 ซ่ึงผู้วจิ ัยสร้างและพัฒนาขึ้น
2.2 การสร้างและพฒั นาคณุ ภาพของเครอ่ื งมือ
ในการสรา้ งเคร่อื งมอื ที่ใชใ้ นการวิจยั ท้ัง 5 ฉบับมดี งั นี้
2.2.1 แบบฝึกทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ซ่ึงผู้วิจัยสร้างและ
พฒั นาข้นึ โดยดาเนินการตามลาดบั ขั้นดังน้ี
1) ศึกษาหลักสูตร คาอธิบายรายวิชา และจุดประสงค์การเรียนรู้ในรายวิชาภาษาไทยพ้ืนฐาน
ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรยี นลาปลายมาศ
2) จดั ทาประมวลการสอนรายวิชา กาหนดเน้ือหาและเวลาเรียน โดยใช้เนื้อหาเรื่องการเขียนเพ่ือ
การสื่อสาร ในหนังสือเรียนหลักภาษาและการใช้ภาษา ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 ใช้เวลาในการฝึกแต่ละหัวข้อ
2 ช่ัวโมงต่อ 1 แผนการจดั การเรยี นรู้ สปั ดาห์ละ 2 คาบ รวมทั้งส้ิน 5 สปั ดาห์ 10 คาบ
3) นาประมวลการสอนรายวิชาไปให้ผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาความเหมาะ สมของเน้ือหา
จดุ ประสงค์ในการฝึกและระยะเวลาทใี่ ช้ฝึกทักษะ
4) นาประมวลการสอนรายวิชาท่ีผ่านการพิจารณาของผู้ทรงคุณวุฒิไปใช้ในการจัดการเรียนการ
สอน เพื่อฝกึ ทักษะการเขียนเชงิ สร้างสรรคข์ องนักเรียน
2.2.2 แบบวัดความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ซึ่งใช้วัด
ความสามารถในการคิดและเขยี นเชิงสรา้ งสรรคก์ ่อนและหลงั เรียน ซง่ึ ดาเนนิ การสร้างและพฒั นาดังนี้
1) ศึกษาหลักสูตร คาอธิบายรายวิชา และจุดประสงค์การเรียนรู้ในรายวิชาภาษาไทยพ้ืนฐาน
ช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนลาปลายมาศ
2) ศึกษาวิธกี ารสร้างแบบฝกึ ทักษะของผูเ้ รยี น

3) สรา้ งแบบวัดความสามารถในการคิดและเขียนเชิงสร้างสรรค์ก่อนและหลังเรียนเรื่องการเขียน
เชิงสรา้ งสรรคข์ องนกั เรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 2

4) นาแบบวัดความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ก่อนและหลังเรียน ของนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 ไปให้ผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาความสอดคล้องของข้อคาถามกับเน้ือหาในการวัดโดยการ
พิจารณาค่าความสอดคล้อง IOC (Index of Item- Objective Congruence) โดยผู้เชี่ยวชาญ จานวน 3 ท่าน
โดยคัดเลือกขอ้ คาถามท่ีมคี ่า IOC ต้งั แต่ 0.50 ข้นึ ไป

สตู รการหาความเท่ยี งตรง (Validity)

สตู ร = ∑



เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างจดุ ประสงค์กบั เนื้อหาหรอื
∑R ระหวา่ งขอ้ สอบกบั จดุ ประสงค์

แทน ผลรวมของคะแนนความคิดเหน็ ของผูเ้ ชียวชาญ

แทน จานวนผู้เชียวชาญ

2.2.3 แบบสอบถามความคิดเห็นทมี่ ตี อ่ การใช้แบบฝกึ ทักษะในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียนช้ัน
มธั ยมศึกษาปที ี่ 2 มีขั้นตอนการสร้างและพฒั นาดงั นี้

1) ศึกษาแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับวัดความคิดเห็น เพื่อเป็นแนวทางในการสร้าง
แบบสอบถามความคิดเหน็ ทมี่ ีต่อการใชแ้ บบฝึกทักษะในการเขยี นเชิงสร้างสรรค์ของนกั เรียนช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 2

2) สร้างแบบสอบถามความคิดเห็นท่ีมีต่อการใช้แบบฝึกทักษะในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ของ
นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้ข้อคาถามแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ (rating scale) ตามแนวคิดของ
ลเิ คิรท์ (Likert, 1932: 1-55 อ้างถงึ ใน วรรณวีร์ บุญคมุ้ 2555 : 36) มีรายละเอียดดงั นี้

5 หมายถึง เห็นด้วยกบั การใชแ้ บบฝกึ ทักษะมากที่สุด
4 หมายถึง เหน็ ดว้ ยกับการใชแ้ บบฝึกทกั ษะมาก
3 หมายถงึ เหน็ ดว้ ยกับการใชแ้ บบฝึกทักษะปานกลาง
2 หมายถงึ เหน็ ดว้ ยกบั การใชแ้ บบฝึกทกั ษะน้อย
1 หมายถึง เห็นดว้ ยกบั การใชแ้ บบฝึกทักษะนอ้ ยทสี่ ุด
3) นาแบบสอบถามที่ตรวจสอบความถูกต้องแล้วไปให้ผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาความสอดคล้องของ
ข้อคาถามกับเน้ือหาในการวัดด้วยการพิจารณาค่าความสอดคล้อง IOC (Index of Item- Objective

Congruence) โดยผู้เชี่ยวชาญ จานวน 3 ท่าน และคัดเลือกข้อคาถามท่ีมีค่า IOC ต้ังแต่ 0.50 ข้ึนไป นาไปใช้กับ
กลมุ่ ตัวอยา่ ง

การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล

การวิจยั ในคร้ังนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) ผู้วิจัยได้ดาเนินการเก็บรวบรวม
ขอ้ มลู ดว้ ยตนเอง ตามลาดับข้นั ตอนดังนี้

1. ทาหนงั สือขอความร่วมมอื คณะครูช่วยเป็นผู้เชยี่ วชาญและเป็นที่ปรึกษาในการทาวิจยั ถงึ โรงเรียน
ลาปลายมาศ

2. ผู้วิจัยดาเนนิ การทดสอบวัดผลสมั ฤทธิก์ อ่ นเรียนโดยใชแ้ บบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนเพ่ือ
เกบ็ ข้อมลู

3. ผู้วิจัยใช้เวลาทาการทดลองในเดือนธันวาคม 2559 รวม 5 สัปดาห์ เป็นเวลา 10 คาบ โดยทาการ
ทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเองของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ห้องเรียนท่ีเป็นกลุ่มตัวอย่าง โดยให้
นักเรียนใช้แบบฝึกทักษะทั้ง 5 ชุด จากแผนการจัดการเรียนรู้ท้ัง 5 เรื่อง ใช้เวลาในการทดลองหน่วยการเรียนละ
2 คาบเรียน ทาการวัดความสามารถของนกั เรียนก่อนและหลังการฝึกทักษะ โดยมเี กณฑ์ในการให้คะแนนดงั น้ี

คะแนนเต็มแบบฝึกละ 20 คะแนน
การกาหนดความคดิ ริเรมิ่ 5 คะแนน
การกาหนดความคิดคล่องแคล่ว 5 คะแนน
การกาหนดความคดิ ละเอยี ดลออ 5 คะแนน
การสอื่ ความหมายออกมาในรูปของการเขียนอยา่ งเหมาะสม 5 คะแนน
2. หลังจากครบ 5 สัปดาห์แล้วให้นักเรียนตอบแบบสอบถามความคิดเห็นที่มีต่อการใช้แบบฝึกทักษะ
การเขยี นเชิงสรา้ งสรรค์

การวิเคราะห์ข้อมูล

ในการวิเคราะห์ข้อมลู ดาเนินการดงั น้ี
1. หาค่าเฉลี่ยและส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานของคะแนนความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ของ
นกั เรียน ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 ก่อนและหลังการใชแ้ บบฝึกทกั ษะ

สถิติพนื้ ฐานท่ีใชใ้ นการวเิ คราะห์ข้อมลู มีดงั นี้

1. ร้อยละ (Percentage)

สูตร = × 100



เมื่อ แทน รอ้ ยละ

แทน ความถี่

แทน จานวนกลุม่ ตวั อย่าง
2. ค่าเฉลย่ี (Mean)

สูตร ̅ = ∑


เม่ือ ̅ แทน คา่ เฉล่ีย
∑ แทน ผลรวมทั้งหมดของคะแนน
แทนจานวนกลุ่มตวั อยา่ ง

3. ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)

สตู ร . = √∑( − ̅ )2

( −1)

เมอ่ื . แทน สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน
∑ แทน ผลรวมทัง้ หมดของคะแนน
แทน จานวนกลุ่มตัวอย่าง

2. เปรียบเทยี บความสามารถในการเขียนเชิงสรา้ งสรรค์ของนกั เรียนโดยใช้การทดสอบที
3. หาคา่ เฉล่ียและส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐานของคะแนนความคิดเห็นของนักศึกษา โดยใช้เกณฑ์การแปล
ความหมายของคะแนนในการวิเคราะห์ ตามแนวคิดของเบสท์ (Best, 1981 : 113 อ้างถึงใน วรรณวีร์ บุญคุ้ม
2555 : 37) มรี ายละเอียดดงั น้ี

คา่ เฉลี่ย 4.50 ถงึ 5.00 แสดงวา่ เหน็ ดว้ ยกบั การใชแ้ บบฝึกทักษะมากที่สุด
ค่าเฉล่ีย 3.50 ถึง 4.49 แสดงวา่ เห็นด้วยกบั การใช้แบบฝึกทักษะมาก
คา่ เฉล่ยี 2.50 ถึง 3.49 แสดงวา่ เหน็ ดว้ ยกับการใชแ้ บบฝกึ ทกั ษะปานกลาง
ค่าเฉลย่ี 1.50 ถึง 2.49 แสดงวา่ เห็นดว้ ยกับการใช้แบบฝกึ ทักษะน้อย
คา่ เฉลย่ี 1.00 ถงึ 1.49 แสดงว่า เหน็ ดว้ ยกบั การใชแ้ บบฝึกทักษะน้อยท่ีสุด
4. เปรียบเทียบความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน
โดยใช้ t- test แบบ Dependent Sample

ขนั้ ตอนในการวเิ คราะหข์ ้อมลู

ผ้วู จิ ัยวิเคราะห์ขอ้ มลู ตามลาดบั ข้ันตอนดงั นี้
1. หาคุณภาพของแบบฝึกทักษะการคิดและการเขียนเชิงสร้างสรรค์ โดยการหาค่าความตรง

(validity) ซ่ึงพจิ ารณาจากความสอดคล้องของความคิดเหน็ จากผ้เู ชีย่ วชาญ
2. หาค่าคะแนนเฉล่ียและส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานของคะแนนท่ีได้จากแบบวัดความสามารถใน

การเขียนเชิงสร้างสรรคข์ องนักเรียน
3. เปรยี บเทียบคะแนนทไ่ี ด้จากแบบวัดความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ระหว่างก่อนและ

หลงั ใชแ้ บบฝกึ ทกั ษะของนักเรยี น โดยใช้ t-test แบบ dependent sample
4. หาค่าคะแนนเฉล่ียความคิดเห็นของนักเรยี นที่ตอ่ การใชแ้ บบฝึกทักษะการเขยี นเชงิ สรา้ งสรรค์

สถติ ใิ นการวิเคราะหข์ ้อมูล

1. สถิติพื้นฐานท่ีใชใ้ นการวิเคราะห์ข้อมูล มดี ังน้ี

1. ร้อยละ (Percentage)

สูตร = × 100



เม่อื แทน ร้อยละ
แทน ความถี่
แทน จานวนกลุม่ ตวั อยา่ ง

2. ค่าเฉล่ีย (Mean)

สตู ร ̅ = ∑



เมื่อ ̅ แทน คา่ เฉล่ีย
∑ แทน ผลรวมท้งั หมดของคะแนน
แทนจานวนกลุม่ ตวั อยา่ ง

3. ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)

สตู ร . = √∑( − ̅ )2

( −1)

เมือ่ . แทน สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน
∑ แทน ผลรวมทงั้ หมดของคะแนน
แทน จานวนกลมุ่ ตวั อยา่ ง

2. สถติ ิพื้นท่ีใชใ้ นการหาคณุ ภาพเครื่องมือ

การหาค่าความเทย่ี งตรงของเนอื้ หา (Validity)

สูตร = ∑


เมอื่ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหวา่ งจุดประสงค์กับเนือ้ หาหรือ
∑R ระหว่างข้อสอบกบั จดุ ประสงค์

แทน ผลรวมของคะแนนความคิดเหน็ ของผเู้ ชียวชาญ

แทน จานวนผูเ้ ชียวชาญ

3. สถิติท่ใี ชใ้ นการทดสอบสมมตฐิ าน
เปรยี บเทียบความแตกต่างกอ่ นและหลังการใชแ้ บบฝึก โดยการหาค่า t – test Dependent

t  D
N D2   D2

n -1

เมอ่ื t แทน ค่าสถิตทิ ่ใี ชพ้ ิจารณาใน t – distribution
n แทน จานวนคู่ของข้อมลู
D แทน ผลต่างของคะแนนแต่ละคู่

บรรณานุกรม

กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 : กรุงเทพฯ
กรมวชิ าการ. (2545). เอกสารประกอบหลกั สตู รการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2544 : คูม่ ือการจดั การ

เรียนกลุ่มสาระคณติ ศาสตร์. กรุงเทพฯ : องค์การรับส่งสนิ คา้ และพสั ดภุ ณั ฑ์.
เกรยี งศักดิ์ เจรญิ วงศ์ศักด.์ิ (2545) การคดิ เชิงสรา้ งสรรค์. กรุงเทพฯ : ซัคเซส มเี ดีย.
ขจรี ตั น์ หงสป์ ระสงค.์ (2534). การฝกึ ทกั ษะ. (พิมพค์ รั้งที่ 2) กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พก์ ารศาสนา.
จิตรา จันทร์หอม. (2554). การศึกษาผลสมั ฤทธ์กิ ารเขยี นก่อนการเรียนและหลังเรยี นโดยใชแ้ บบฝกึ เขยี นเชิง

สรา้ งสรรค์. ฉะเทรงิ เทรา : ฝ่ายวชิ าการ โรงเรียนเซนต์หลุยส์
เฉลิมลาภ ทองอาจ. (2555). การเขียนเชิงสรา้ งสรรค์ (Creative Writing). ค้นเมอ่ื 23 ตุลาคม 2559 จาก

https://www.gotoknow.org/posts/511359
ชัยยงค์ พรหมวงศ.์ (2537). ส่อื การสอนระดับประถมศกึ ษา. นนทบุรี : มหาวิทยาลัย สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช.
ร่งุ อรุณ นนทะโคตร. (2555). หลกั การเขยี นเชงิ สรา้ งสรรค์. ค้นเมื่อ 23 ตุลาคม 2559 จาก

https://krurung454.wordpress.com/2014/07/11/
วรรณวรี ์ บญุ คุม้ . (2556). รายงานวจิ ยั เรือ่ งความสามารถในการคิดและเขียนเชงิ สรา้ งสรรค์ในการเรยี นวิชา

วจิ ัยในช้นั เรยี นของนกั ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร. นครปฐม : คณะ ศึกษาศาสตร์
มหาวิทยาลัยศิลปากร.
วภิ าวรรณ แผ้วประสงค์ และบัญญตั ิ ชานาจกจิ . (2557). วารสารวิชาการเครือขา่ ยบัณฑิตศึกษา
มหาวทิ ยาลัยราชภัฏภาคเหนือ ฉบบั ท่ี 7. นครสวรรค์
วิลาวัณย์ สภุ ริ กั ษ์ (2545). การพัฒนาแบบฝึกทกั ษะภาษาไทยเรอ่ื งการเขยี นสะกดคาไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด
สาหรบั นักเรยี นชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 6. ปรญิ ญานพิ นธ์การศึกษามหาบัณฑติ สาขาวิชา การประถมศกึ ษา
บัณฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลัยนเรศวร.

สมพร ตอยบีย.ี (2554). การพัฒนาแบบฝึกทกั ษะการเขยี นเชิงสรา้ งสรรคว์ ิชาภาษาไทยสาหรับนกั เรียนชนั้
มัธยมศึกษาปที ี่ 1 โรงเรยี นเซนตเ์ ทเรซา หนองจอก กรงุ เทพฯ.
กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลยั ศรีนคริทรวิโรฒ

สุจรติ เพยี รชอบ. (2531). การพัฒนาการสอนภาษาไทย. คณะครศุ าสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
สมศักด์ิ ภู่วิภาดาวรรธน์. (2537). เทคนิคการสง่ เสริมความคดิ สร้างสรรค์ พมิ พ์ครง้ั ท่ี 3.

กรงุ เทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช
เสนยี ์ วลิ าวรรณ. (2544). พฒั นาทกั ษะภาษา เลม่ 3. กรุงเทพฯ : สุรวี ยิ าสาส์น
อดลุ ย์ ภูปล้ืม. (2539). การเปรียบเทียบผลสมั ฤทธกิ์ ารเขียนสะกดคาสาหรับนักเรียนชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 1 โดย

ใช้แบบฝึกท่ีจัดคาเป็นกลุ่มคาและแบบฝึกที่จัดคาคละคา. ปริญญานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต
สาขาวิชาการประถมศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม.
อรวรรณ ศรีลขิ ิตตานนท์. (2541). การเปรียบเทียบผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นกลุม่ สร้างเสริมประสบการณช์ วี ิต
(สังคมศึกษา) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 ท่ีใช้แบบฝึกประกอบภาพการ์ตูนกับแบบฝึกไม่มี
ภาพการ์ตูนประกอบ. ปริญญานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน บัณฑิต
วิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น.


Click to View FlipBook Version