á¹Ç·Ò§¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹
µÒÁá¹Ç¤Ô´ TPACK Model
รายงาน
เรื่อง แนวทางการจดั การเรยี นการสอนตามแนวคดิ TPACK Model
                       ผจู้ ดั ทำ
                นางสาวณัชชา เสอื เถือ่ น
              รหัสนสิ ิต 61411140 เลขที่ 10
        คณะศกึ ษาศาสตร์ สาขาคอมพิวเตอร์ ช้นั ปที ี่ 4
                อาจารย์ทีป่ รกึ ษารายวชิ า
                ผศ.ดร.พิชญาภา ยวงสร้อย
  รายวิชา 374434 ประเด็นปจั จุบันทางดา้ นคอมพวิ เตอรศ์ ึกษา
        (Current Issues in Computer Education)
        ปริญญาตรี แบบ 2 ภาคการศึกษา (ภาคปกติ)
             ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2564
                  มหาวิทยาลัยนเรศวร
คำนำ
      รายงานเรอ่ื ง “แนวทางการจดั การเรยี นการสอนตามแนวคิด TPACK Modelฉบบั น้ีเป็นสว่ นหนงึ่ ของ
รายวชิ า 374434 ประเดน็ ปัจจุบันทางดา้ นคอมพวิ เตอร์ ศกึ ษา (Current Issues in Computer Education)
คณะศกึ ษาศาสตร์ ภาควิชาเทคโนโลยแี ละสือ่ สารการศึกษา สาขาวิชาคอมพวิ เตอร์ ชนั้ ปีท่ี 4 ภาคเรียนที่ 2 ปี
การศกึ ษา 2564 มวี ตั ถุประสงค์เพ่ือเป็นแนวทางในการออกแบบการเรยี นการสอน ด้วยการประยุกต์ใช้กบั
เทคโนโลยี และการจัดการเรียนการสอน ตามแนวคดิ TPACK Model
      รายงานฉบับนี้มเี น้ือหาเกย่ี วกับตวั อย่างของการออกแบบการเรยี นการสอนตาม TPACK โดยเริม่ จากการ
เลือกเทคโนโลยีทจี่ ะเข้ามามีส่วนร่วม เลือกวธิ กี ารสอน และเลอื กเน้ือหาทจ่ี ะใชส้ อน จากน้ันก็จะนำประยกุ ต์ใช้ตาม
แนวคดิ TPACK Model และจัดทำแผนการสอน
       ผู้จดั ทำหวังวา่ รายงานฉบบั นี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน นกั เรยี น นิสิต นกั ศกึ ษา ที่กำลังหาข้อมูล เร่ืองนี้
อยู่ หากมีขอ้ ผิดพลาดประการใด ผจู้ ัดทำขอน้อมรบั ไวแ้ ละขออภัยมา ณ ทน่ี ีด้ ว้ ย
                                                                                   ผจู้ ัดทำ
สำรบัญ
เรื่อง หนา้
TPACK Model……………….......................................................................................................................1
การออกแบบการเรียนการสอนโดยใช้ TPACK Model
      ความรู้ดา้ นเทคโนโลยี...............................................................................................................10
             - Blanspace tas teach……………………………………………………………………………..10
             - คู่มอื การใช้............................................................................................................15
      ความรู้ด้านวิธีการสอน........................................................................................ .......................20
             - ห้องเรียนกลบั ดา้ น.................................................................................................21
             - บรรยาย.................................................................................................................24
             - สาธิต.....................................................................................................................26
      ความรดู้ า้ นเนอื้ หา......................................................................................................................28
             การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย..................................................................28
      ออกแบบแผนการสอน..............................................................................................................35
บรรณานกุ รม..........................................................................................................................................47
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 3
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 4
                     การจดั การเรยี นร้แู บบ TPACK Model
TPACK คอื อะไร
      ความรใู้ นเนอื้ หาผนวกวิธีสอนและเทคโนโลยี (Technological pedagogical content knowledge : TPACK
or TPCK) เปน็ กรอบแนวคดิ ท่ีสำคญั ต่อการพัฒนาครูมอื อาชีพ TPACK หมายถึงการนำความร้ทู างดา้ นเทคโนโลยีและ
ความสามารถในการบูรณาการเทคโนโลยเี ขา้ ไปกับความรู้ด้านการสอนในเนื้อหาวิชาเฉพาะในปฏบิ ตั ิการสอนของครู
ดังนั้น ในการจดั การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ที่มปี ระสทิ ธิภาพนอกจากครวู ิทยาศาสตร์ต้องมีความรใู้ นเนื้อหา
วิทยาศาสตร์ที่ถูกต้องแล้วครูวทิ ยาศาสตร์ต้องสามารถนำความร้คู วามสามารถทางดา้ นเทคโนโลยี ศาสตร์การสอน และ
แนวคดิ ทางวทิ ยาศาสตร์มาประยุกต์ใชใ้ นการจดั การเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์เพอ่ื พัฒนาผ้เู รยี นใหเ้ ป็นไปตามเปา้ หมาย
ของหลักสูตรวทิ ยาศาสตร์ บทความน้ีจะอธบิ ายกรอบแนวคิดของความรใู้ นเนือ้ หาผนวกวิธีสอนและเทคโนโลยี รปู แบบ
ของการพฒั นา TPACK ในการสอนวิทยาศาสตร์ พร้อมทง้ั ยกตวั อยา่ งและวิเคราะห์กิจกรรมการสอนวทิ ยาศาสตร์ทมี่ ี
การบูรณาการเทคโนโลยีในประเด็นของการถ่ายทอดความร้ใู นเนือ้ หาผนวกวิธสี อนและเทคโนโลยีของครูในการออกแบบ
กิจกรรมการสอนวทิ ยาศาสตร์
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 5
TPACK Model ทมี่ ีองคป์ ระกอบหลัก ๆ อยู่ 3 สว่ นทผี่ สู้ อนควรรูแ้ ละเขา้ ใจก่อนท่ี จะออกแบบการเรยี นการสอนในช้ัน
เรยี นครบั โดยสามารถแบง่ ออกแป็น 3 สว่ นหลกั ดงั นี้
      1. ความรดู้ ้านเทคโนโลยี (Technological Knowledge) หรอื TK หมายถึง ความรูค้ วามสามารถของผ้สู อนท่ี
เก่ียวข้องกับการประยุกต์ใชส้ ื่ออุปกรณ์ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา ท้งั ในเรื่องของซอร์ฟแวร์ (Software) และ
ฮาร์ดแวร์ (Hardware) ตา่ ง ๆ รวมไปถึงอปุ กรณต์ ่อพว่ งทเ่ี กย่ี วขอ้ ง (Associated peripherals) เพ่อื ใชป้ ระกอบการเรยี น
การสอนท่ีมคี วามสอดคล้องและมีความเหมาะสมกบั เน้ือหาวชิ าและผเู้ รียน เช่น ผสู้ อนมคี วามรูค้ วามเขา้ ใจในเร่อื งของการ
จดั การเรียนการสอนโดยใช้เทคโนโลยีจากเว็บ 2.0 (Web 2.0 tools) ตา่ ง ๆ เช่น Wiki, Blogs, Facebook เปน็ ตน้
      2. ความรดู้ า้ นวิธกี ารสอน (Pedagogical Knowledge) หรือ PK หมายถงึ ความรู้ความสามารถของผู้สอนทนี่ ำมา
ประยกุ ต์ใชเ้ พ่อื เปน็ แนวทางการเรียนการสอนให้กบั ผ้เู รียน หรือทเ่ี กี่ยวกับวิธีการถ่ายถอดความร้ไู ปส่ผู เู้ รียน รวมไปถึงกล
ยุทธ์ หรือกระบวนการ, การปฏิบตั ิ หรือวิธกี ารสอนทัง้ ในและนอกช้ันเรยี น ในสว่ นนไ้ี มร่ ว่ มถงึ ทฤษฎีการศึกษา
(Educational theories) และวธิ ีการประเมนิ (Assessment methods) เชน่ การเรยี นการสอนโดยใช้วธิ กี ารเรยี นรูโ้ ดยใช้
ปัญหาเป็นหลัก วธิ สี อนแบบโครงงาน (Project Method), การจัดการเรยี นรู้แบบค้นพบ (Discovery Method), วธิ สี อน
แบบศึกษาด้วยตนเอง (Self-Study Method) เป็นตน้
       3. ความรู้ด้านเน้อื หา (Content Knowledge) หรือ CK หมายถงึ สาระ, ข้อมลู , แนวคิด, หลกั การท่เี กี่ยวข้องกับ
เนอ้ื หาวิชาการในหลักสูตรที่ต้องการท่จี ะถา่ ยทอดไปยังผู้เรียน เชน่ คณติ ศาสตร์, ภาษาไทย, วทิ ยาศาสตร์ หรอื วชิ าอื่น ๆ
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 6
             “ความรใู้ นเนือ้ หาผนวกวธิ ีการสอน (Pedagogical Content Knowledge: PCK)”
      1. ความรู้ด้านเนื้อหา (Content Knowledge) หรือ CK หมายถึง สาระ, ข้อมูล, แนวคิด, หลักการที่เกี่ยวข้องกับ
เนื้อหาวิชาการในหลักสูตรที่ต้องการที่จะถ่ายทอดไปยังผู้เรียน เช่น คณิตศาสตร์, ภาษาไทย, วิทยาศาสตร์ หรือวิชาอื่น ๆ
ตามแต่ผสู้ อนต้องการ
      2. ความรูด้ ้านวิธกี ารสอน (Pedagogical Knowledge) หรือ PK หมายถงึ ความร้คู วามสามารถของผูส้ อนที่นำมา
ประยุกต์ใช้เพื่อเป็นแนวทางการเรียนการสอนให้กับผู้เรียน หรือที่เกี่ยวกับวิธีการถ่ายถอดความรู้ไปสู่ผู้เรียน รวมไปถึงกล
ยุทธ์ หรือกระบวนการ, การปฏิบัติ หรือวิธีการสอนทั้งในและนอกชั้นเรียน จากองค์ประกอบหลักทั้ง 2 องค์ประกอบของ
รูปแบบ TPACK ส่วนที่ทับซ้อนกันนี้เรียกว่า “ความรู้ในเนื้อหาผนวกวิธีการสอน (Pedagogical Content
Knowledge: PCK)”
      ซงึ่ เกิดจากแนวคิดท่ีจะนำเอาความรู้ความเช่ียวชาญเกี่ยวกบั วธิ กี ารสอนมาประยุกต์ใช้กับเน้ือหาหรือหลักสูตรท่ีจะ
นำมาใช้สอน มาจากนายคนนี้ครับ (Shulman, L. S., 1986) เขาได้กล่าวว่าสิ่งที่ขาดหายไปจากกระบวนทัศน์ที่เกี่ยวกับ
การวิจัยทางการศึกษาและการศึกษาเกี่ยวกับการสอน (Missing paradigm) ก็คือ “ความรู้ในเนื้อหาของผู้สอน”และแบ่ง
ออกได้เป็น 3 ประเภทอันได้แก่ 1. ความรู้ในเนื้อหาสาระ (Subject matter content knowledge)2. ความรู้เกี่ยวกับ
หลกั สูตร (Curricular knowledge)3. ความรู้ในเนือ้ หาผนวกวิธสี อน (Pedagogical content knowledge: PCK)
      สรุปได้ว่า PCK นั้นมีความสำคัญในลำดับต้นๆ ในการที่ผู้สอนจะต้องคำนึงถึง และนำความรู้ในเนื้อหาที่จะสอน
และวธิ ีการสอน เพ่อื ให้สามารครอบคลมุ ไปถงึ ภารกิจหลักของกระบวนการเรียนการสอนท้ังหมดด้วย ซึ่งองค์ประกอบต่างๆ
ที่เกี่ยวของในการนำไปวิเคราะห์ออกแบบการสอนนั้นควรจะมี 7 องค์ประกอบหลักที่ผู้สอนควรนำไปพิจารณา คือ 1)
เนื้อหาสาระ (Subject matter) 2) การเรียนรู้ของผู้เรียน (Student learning) 3) บริบท (Context) 4) วัตถุประสงค์
(Purpose) 5) หลกั สูตร (Curriculum) 6) กลยทุ ธก์ ารสอน (Instructional strategies) 7) การประเมนิ ผล (Assessment)
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 7
           ความร้ใู นเนอ้ื หาผนวกวิธีการสอน (Tecchnological Pedagogical Knowledge : TPK)
      TPK ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการเรียนและการสอนในรูปแบบต่างๆ เช่น การเรียนการสอนโดยใช้วิธีการ
เรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลัก (Problem – based Learning: PBL) การเรียนรู้ที่ใช้สมองเป็นหลัก (Brain – Based
Learning) วิธีสอนแบบโครงงาน (Project Method) การจัดการเรียนรู้แบบค้นพบ (Discovery Method) วิธีสอนแบบ
ศึกษาด้วยตนเอง (Self-Study Method) ของผู้สอน โดยผู้สอนต้องพิจารณาขั้นตอนการออกแบบการเรียนการสอนจาก
ความรู้ความเข้าใจที่จะประยุกต์ใช้เทคโนโลยี (TK) เข้ามาในการจัดกระบวนการเรียนการสอน เพื่อเป็นช่องทางในการ
ส่งผ่านความรู้ไปให้ผู้เรียนเพื่อศึกษาได้ด้วยตนเองผ่านวิธีการสอนต่างๆ ที่ผู้สอนได้เลือกและออกแบบการสอนไว้ ดั้งน้ัน
ผู้สอนจึงมีความจำเป็นต้องรู้และเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่จะนำมาใช้สอนอย่างลึกซึ้ง รวมไปถึงข้อดี ข้อจำกัดของ
เทคโนโลยีน้ันๆ ว่ามคี วามเหมาะสมกับผเู้ รยี น หรือความยากง่ายในการพฒั นาและออกแบบเพื่อนำมาใช้ในการจัดการเรียน
การสอนไดห้ รือไม่ เชน่ การจัดการเรยี นรู้แบบค้นพบ (Discovery Method) โดยผู้สอนได้ออกแบบใหผ้ เู้ รยี นได้ใช้ แท็บเล็ต
เพ่อื สบื ค้นขอ้ มูลจากอินเทอรเ์ นต็ เพ่อื ใชเ้ ปน็ ข้อมูลในการทำงานรว่ มกนั ในชั้นเรียน
      TPK จึงมีความสำคัญมากในการเลือกนำมาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยเฉพาะแอบพลิเคชั่น หรือ
โปรแกรมตา่ งๆ มอี ยู่มากมาย ผูส้ อนควรพึงระลกึ อยู่เสมอวา่ แอบพลเิ คชน่ั หรอื โปรแกรมบางประเภท ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อ
การศึกษา เช่น ชุดโปรแกรม Microsoft Office (Word, Power point, Excel) ที่ออกแบบมาเพื่อการทำธุรกิจ เป็นหลัก
หรือ โปรแกรมทีท่ ำงานบนเวบ็ ไซต์ต่างๆ เชน่ บลอ็ ก (Blog) เฟซบ๊กุ (Facebook) โซเชียลมเี ดยี (Social Media) ตา่ งๆ
      ดั้งนนั้ TPK ควรมงุ่ เน้นไปที่การกระบวนการประยกุ ตใ์ ช้ (Creative) จากเทคโนโลยที ม่ี อี ยแู่ ละควรค้นหาเทคโนโลยี
ด้วยมุมมองที่เปิดกว้างในการนำมาใช้งาน โดยคำนึงถึงความสามารถในการนำมาประยุกต์ใช้ในกิจกรรมการเรียนการสอน
ของผู้สอน และเพื่อประโยชน์ของผู้เรียนโดยพิจารณาใช้เทคโนโลยีจากเครื่องมือที่ผู้เรียนมีอยู่ เช่น คอมพิวเตอร์
โทรศัพท์มือถือ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรือ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก เพื่อให้การกิจกรรมการเรียนรู้ดำเนินไปได้อย่างราบร่ืน
ส่งผลให้ผ้เู รียนมีความสนใจและตั้งใจท่จี ะเรียนร้เู นื้อหาจากเทคโนโลยีท่ผี ู้สอนนำมาใช้เพื่อความเข้าใจของผเู้ รยี น
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 8
          ความรู้ในวิธีการสอนผนวกเทคโนโลยี (Technological Content Knowledge) หรอื TCK
      ความรู้ในเนื้อหาผนวกเทคโนโลยี (Technological Content Knowledge) หรือ TCK หมายถึง การผสมผสาน
กันระหว่างความรู้ ความชำนาญเกีย่ วการใช้กับเทคโนโลยตี ่างๆ ที่มขี องผสู้ อนเพื่อนำมาปรับใชก้ ับความรคู้ วามเชี่ยวชาญใน
ด้านเนื้อหาวิชาที่ผู้สอนมี หรือได้รับมอบหมายให้ทำการสอนในรายวิชา หรือเรื่องต่างๆ ที่ต้องการสอน ซึ่ง TCK ดังกล่าว
เป็นการผสมผสานท่ีต้องมีความลงตัวระหว่างการใช้งานเทคโนโลยขี องตัวผู้สอนเองกับวิธีการท่ีจะใช้เทคโนโลยีเพ่ือส่งผ่าน
เนอ้ื หาต่างๆ ไปยังผเู้ รยี น ให้ได้รับความสะดวกในการเรยี นเพอ่ื ใชส้ ำหรบั การเรียนร้ไู ดท้ ุกที่ ทกุ เวลา ทุกโอกาส ไมว่ ่าจะเปน็
ในด้านเครื่องมือต่างๆ เช่น สมาร์ทโฟน(Smart Phone) หรือแท็บเล็ต(Tablet) รวมไปถึงสือ่ โซเชียลมเี ดีย(Social Media)
ต่างๆ ดงั นั้น ผู้สอนควรต้องมคี วามเชยี่ วชาญ หรือชำนาญการใชเ้ ทคโนโลยีอยูใ่ นขัน้ ทด่ี ีพอสมควร
       ขั้นตอนในการออกแบบพิจารณาความรู้ในเนื้อหาผนวกเทคโนโลยี (Technological Content Knowledge:
TCK) หรือ TCK ที่เป็นความสามารถในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีมาประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนจากผู้สอน
โดยผู้สอนต้องมีความรูแ้ ละมีความสนใจที่จะนำเอาเทคโนโลยสี ารสนเทศต่างๆ ด้านการศึกษามาประยุกต์ใช้เพื่อนำมาเปน็
เครื่องมือในการอำนวยความสะดวกต่อการจัดการเรียนรู้เพ่ื อถ่ายทอดองค์ความรู้ที่มีอยู่ของผู้สอนได้อย่างเหมาะสมกับ
เน้อื หา ระดบั การศกึ ษาของผ้เู รียนและสภาพแวดล้อมท่ีเอื้อต่อการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ รวมไปถึงผู้สอนต้องมี CK ท่ี
หมายถึงความรู้ในเนื้อหาสาระ แนวคิด หลักการ รวมทั้งเจตคติที่ดีจากแหล่งข้อมูลต่างๆ เพื่อนำมาเรียบเรียงลำดับของ
เนื้อหาเป็นขั้นเป็นตอนเพื่อพร้อมที่จะถ่ายทอดไปยังผู้เรียน ได้หลากหลายวิธีเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้เรียนมีความ
สะดวกในการเรียนรู้มากทส่ี ุด
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 9
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 10
ความรดู้ ้านเทคโนโลยี
  (Technological
    Knowledge)
        หรอื TK
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 11
    Blendspace Tes Teach
             TES Teach หรือเดิมเรียกว่า Blend Space เป็นเครื่องมือการเรียนรู้ออนไลน์ที่สนับสนุนโดย บริษัท
หลกั สตู รท่เี รยี กว่า TES Teach ออกแบบมาเพ่อื รวบรวมและรวมขอ้ มูลสำหรบั การใช้งานทหี่ ลากหลาย เครอ่ื งมือนีส้ ามารถ
เข้าถึงได้สำหรับครูและนักเรียน เป้าหมายหลักของ Blend Space คือการช่วยให้ครูสามารถติดต่อกับผู้เรียนโดยใช้สื่อ
มลั ตมิ เี ดยี ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธภิ าพและประสทิ ธผิ ล
      TES สอนในหอ้ งเรยี น (Blendspace) คอื อะไร?
      Tes Teach Blend Space เป็นเครื่องมือออนไลน์ที่ครูสามารถใช้เพื่อสร้างห้องเรียนออนไลน์ เครื่องมือเสมือนน้ี
ผสานรวมเทคโนโลยเี ข้ากับห้องเรียนในขณะที่ช่วยให้การทำงานร่วมกันและการส่ือสารระหว่างครูและผู้เรียนดีขึ้น Blend
Space สร้างประโยชน์มากมายเช่นการขจัดความเป็นไปได้ที่นักเรียนจะทำเอกสารสูญหายลืมว่าจะถึงกำหนดส่งงานหรือ
ขาดเรียนเนื่องจากขาดเรียน
      นอกจากประโยชน์ต่อนักเรียนแล้ว Blend Space ยังมีประโยชน์ต่อครูในหลาย ๆ ด้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ
สร้างแผนการสอนสำหรับห้องเรยี นออนไลน์ ตวั อยา่ งเชน่ Blend Space อนญุ าตให้ครูแบ่งปนั สื่อการเรียนรู้กับผู้ใช้คนอ่ืน
ๆ เช่นนักเรียนและเพอื่ นครู
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 12
      ทำงานอยา่ งไร
      โดยทั่วไป Blend Space ช่วยให้ผู้ใช้สามารถรวมข้อมูลจากทรัพยากรมากมายรวมถึง แต่ไม่ จำกัด เฉพาะส่ิง
ต่อไปนี้: Google, DropBox, Google Drive, Gooru, OpenEd, YouTube และไฟล์ที่เก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ ลองนึกถึง
Blend Space เป็นวิธีการสรา้ งฐานข้อมูลเสมือนที่สามารถเข้าถงึ ไดโ้ ดยผู้ใชห้ ลายคน มันมาพร้อมกบั อินเทอร์เฟซประเภท
แทรกหรือลากและวางท่ีเรยี บง่ายซึ่งทำให้การดึงทรัพยากรเขา้ ด้วยกันเป็นเรื่องง่ายและมีประสิทธิภาพ ทั้งหมดผู้ใช้จะต้อง
ทำคือการคลิกที่บทเรียนใหม่ชื่อมันและเริ่มต้นการใส่และทรัพยากรลำดับในกระเบื้องพื้นท่ี TES Teach มีอินเทอร์เฟซท่ี
เรียบง่ายอยา่ งไมน่ ่าเช่ือซ่ึงคุณสามารถค้นหาจากเนื้อหาเว็บท่มี ีอยู่แล้วแลว้ อปั โหลดเน้ือหาของคุณเองเพ่ือสร้างแหล่งข้อมูล
ทหี่ ลากหลายซ่งึ สามารถส่งไปยังนกั เรียนของคณุ ได้
      เมอื่ คณุ เขา้ สรู่ ะบบ TES Teach เปน็ ครง้ั แรกคุณจะพบกับแดชบอรด์ สำหรับครูของคุณ จากท่นี ี่คณุ สามารถเลือกท่ี
จะสร้างชั้นเรียนของคุณทางด้านขวาหรือข้ามไปที่การสร้างบทเรียนแรกของคุณทางด้านซ้าย นอกจากนี้คุณยังสามารถดู
บทเรียนเด่นที่ครูคนอื่นสร้างไว้ที่ด้านล่างของแผงควบคุมของคุณ ในแต่ละชั้นเรียนที่คุณสร้างคุณจะได้รับพิน 4 หลักที่
นักเรียนสามารถใช้เพื่อลงทะเบียนในชั้นเรยี นเมือ่ พวกเขาสมัครบัญชี TES เมื่อพวกเขาลงทะเบียนในชั้นเรียนของคุณแลว้
พวกเขาจะสามารถเข้าถึงบทเรียนต่างๆที่คุณส่งออกไปได้ คุณยังสามารถแชร์คอลเล็กชันทรัพยากรผ่านลิงก์หรือฝังไว้ใน
เวบ็ ไซตห์ รอื บลอ็ กของชน้ั เรียน
      หลังจากเริ่มสร้างบทเรียนแรกแล้วคุณจะสามารถตั้งชื่อบทเรียนและเริ่มเพิ่มเนื้อหาได้ นอกจากนี้คุณยังสามารถ
เลือกดูสิ่งที่ครูคนอื่นสร้างขึ้น ณ จุดนี้ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณต้องการได้รับแนวคิด
บางอย่างเกี่ยวกับวิธีที่คุณจะเข้าใกล้บทเรียนของคุณ นอกจากนี้ TES ยังมีห้องสมุดบทเรียนซึ่งคุณสามารถตรวจสอบเพ่ือ
รับแนวคิดจากผู้อื่นได้เช่นกัน ตามหัวข้อบทเรียนที่คุณป้อนจะมีการค้นหาเพื่อดึงแหล่งข้อมูลใด ๆ ที่เกี่ยวข้อง คุณยัง
สามารถทำการค้นหาเพ่มิ เตมิ เพ่อื ค้นหาเน้อื หาเวบ็ เพ่ิมเติมจากแหลง่ ตา่ งๆ
      คุณสามารถเพิ่มเนื้อหาทั้งหมดทีต่ ้องการได้นอกเหนือจากความสามารถในการอัปโหลดทรัพยากรของคุณเองเชน่
PDF เอกสารงานนำเสนอและสิ่งอื่น ๆ ที่คุณต้องการให้นักเรียนเข้าถึงได้ คุณยังสามารถคลิกปุ่มแสดงตัวอย่างเพื่อดู
แหลง่ ขอ้ มูลท่คี รคู นอ่ืนสร้างขึ้นก่อนท่ีจะเพิ่มลงในบทเรียนของคุณ คณุ ยังสามารถเพ่มิ แบบทดสอบปรนยั เพื่อให้นักเรียนทำ
เช่นกัน เพียงแค่กดปมุ่ เพ่ิมแบบทดสอบและคุณสามารถเพิ่มคำถามของคุณได้ เม่อื นกั เรียนของคุณทำการประเมินเหล่านั้น
คณุ จะสามารถดูการวิเคราะห์โดยละเอียดเก่ยี วกับประสิทธิภาพของนักเรียนแตล่ ะคน
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 13
วธิ ีการใช้ TES ในหอ้ งเรยี น
      1. อปั โหลดบทเรยี นBlend Space เป็นวธิ ที ี่ยอดเยย่ี มในการหลีกเลี่ยงการทำงานผิดพลาดกบั แฟลชไดรฟ์หรือการ
เสียเวลาอันมีค่าในห้องเรียนเพื่อเปิดอีเมลเพื่อหาไฟล์แนบ เนื่องจากสามารถเพิ่มโครงการทั้งหมดของผู้เรียนโดยใช้ URL
หรืออัปโหลดเป็นบทเรยี นเดียว เมอ่ื อัปโหลดบทเรยี นแล้วจะเปดิ บทเรยี นคร้ังละหนง่ึ บทเทา่ นัน้ เพื่อแสดงผลงานของผู้เรียน
ในชนั้ เรยี นท่เี หลอื
      2. พลิกห้องเรียน Blend Space สามารถใช้เพื่อพลิกห้องเรียนและประหยัดเวลาอันมีค่าในห้องเรียนสำหรับการ
โต้ตอบของผเู้ รยี นและกิจกรรมที่มสี ่วนร่วม นอกจากนีย้ ังเหมาะอย่างย่งิ สำหรบั การใหผ้ เู้ รียนทำงานอย่างอิสระในขณะที่ครู
อำนวยความสะดวกในกิจกรรมเพื่อให้ข้อเสนอแนะแบบตัวต่อตัวแก่ผู้เรียน ผ่านแท็บ TES Resourcesครูสามารถใช้
Blend Space เพื่อสร้างและแบ่งปันบทเรียนกับนักเรียนผ่านลิงก์โดยตรงหรือบัญชีของชั้นเรียน ไม่ว่าคุณจะแบ่งปัน
บทเรียนอย่างไรนกั เรียนสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมลู เพิ่มเติมท่สี ามารถช่วยให้พวกเขาขยายทักษะนอกห้องเรียนได้ตามความ
สะดวกของพวกเขาเองโดยใช้อุปกรณ์ตามท่ีตอ้ งการ นี่หมายความวา่ การเรยี นรู้ในสถานการณ์ท่เี หมาะสมสามารถเกิดข้ึนได้
ทุกที่ทุกเวลา ทุกอย่างเกี่ยวกับความสะดวกของนักเรียนและนี่คือหนึ่งในส่ิงที่ดีที่สุดเกี่ยวกับเทคโนโลยีและแอปพลิเคชัน
เช่น Blend Space นอกจากนี้ยังสามารถใช้ทั้งครูและผูเ้ รยี นในการจัดการงานนำเสนอเครื่องมือเว็บโปรดและงานส่วนตวั
อื่น ๆ
      Blend Space ช่วยให้ครูสามารถแบ่งปันแนวคิดกับเพื่อนร่วมงานได้ง่ายขึ้นและเตรียมสื่อการเรียนรู้ที่ดี ยิ่งขึ้น
สำหรบั นกั เรียน
เคล็ดลบั ที่เปน็ ประโยชน์เม่อื พลิกหอ้ งเรียน
      กำหนดเป้าหมายทรัพยากรของคุณเพื่อแก้ไขแหล่งทีม่ าของความสับสนของผู้เรียน ให้ผู้เรียนมสี ่วนร่วมในการคดิ
ระดับสูง (อภิปรายสถานการณ์แบบ what-if การวิเคราะห์หัวข้อการแก้ปัญหาและสรุปแนวคิดหลัก ๆ ) ประเมินความ
เขา้ ใจของผเู้ รยี นเกย่ี วกับประเดน็ ท่ีสำคัญที่สุดของหัวข้อท้าทายผู้เรยี นด้วยตัวอยา่ งงานและปัญหาท่ีเขม้ งวดยงิ่ ข้ึนช่วยเหลือ
ผเู้ รียนที่ตอ้ งการดว้ ยการฝกึ ฝนมากขึน้
      3. การสร้างบทเรียนBlend Space ช่วยให้ครูสร้างบทเรียนสำหรับทุกระดับหรือสาขาวิชาได้ง่าย สิ่งที่ครูต้องทำ
คือระบุหัวข้อและใช้เครื่องมือ TES Resource ที่มีอยู่เช่น Educreations, Google Search, Dropbox, Google Drive
หรืออัปโหลดจากคอมพิวเตอร์รวบรวมบทเรียน นักเรียนสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลและส่ งงานเพื่อประเมินผลและ
ข้อเสนอแนะผ่านทางศูนย์กลาง ครูสามารถเพิ่มกล่องย้ายสิ่งของไปรอบ ๆ และรวบรวมบทเรียนเข้าด้วยกันในเวลาที่ส้ัน
ทสี่ ุด Blend Space เปน็ แหล่งขอ้ มูลท่ียอดเยยี่ มสำหรับการแบ่งปันขอ้ มลู ตดิ ตามความคืบหนา้ ของบทเรียนและทำสิ่งต่างๆ
อีกมากมายท้ังหมดทางออนไลน์ นี่คอื สาเหตบุ างประการทที่ ำให้ Blend Space ไดร้ ับความนยิ มเพม่ิ ขึ้น
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 14
แนวคดิ ในการสรา้ งบทเรยี นแบบโตต้ อบดว้ ย TES Teach (Blend Space)
1. บูรณาการบทเรียนของคุณด้วยการโตต้ อบแบบเรียลไทม์
2. สรา้ งสรรคด์ ้วยกระดานสนทนาของคณุ
3. เพ่มิ การมีสว่ นรว่ มสงู สดุ ดว้ ยการโตต้ อบที่ไมใ่ ช่งาน
4. มแี ผนชัดเจน
5. ใช้เครือ่ งมอื สอ่ื สารหลายอย่าง
ประโยชนอ์ ื่น ๆ ของ TES Teach (Blend Space)
      1. ความสามารถในการสร้างแบบทดสอบหลายชุดในกลุ่มบทเรียนของคุณเพื่อประเมินความเข้าใจของผู้เรียน
Blend Space ยังช่วยให้คุณจัดระดับคำถามของคุณได้ ใช้ประโยชน์จาก Google ฟอร์มหรือเอกสาร Word เพื่อรวม
คำถามปลายเปดิ หรือคำถามท่เี กยี่ วขอ้ งเพ่มิ เติม
      2. ครูสามารถตั้งค่าบทเรียนเมื่อนักเรียนสร้างบัญชีของตนเอง เมื่อนักเรียนสร้างบัญชีแล้วครูสามารถติดตามส่งิ ท่ี
นักเรียนกำลังทำอย่ไู ด้ นกั เรียนยงั สามารถใหค้ วามคิดเหน็ และแบ่งปันทรัพยากรกบั คนอื่น ๆ ในช้นั เรยี น การติดตามชว่ ยให้
ครูสามารถติดตอ่ กับนักเรียนแตล่ ะคนไดว้ า่ พวกเขาอย่ทู ไี่ หนในบทเรยี นและส่ิงท่ีพวกเขาต้องการเพ่อื ใหบ้ ทเรียนสำเร็จ
      3. ผู้ใช้สามารถเข้าถึง Blend Spaces ที่ตั้งค่าโดยครูและนักเรียนคนอื่น ๆ ได้ตราบใดที่ Blend Spaces เหล่านี้
เปิดเผยต่อสาธารณะ
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 15
คู่มือการใชง้ าน
1. เขา้ google แล้วคน้ หา Blenspace tes teach
2.กด sign up เพือ่ ลงทะเบียน
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 16
3.เลอื กสถานะทตี่ อ้ งการจะใชง้ าน
4.กรอกขอ้ มลู ช้นั เรยี น
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 17
5.กด new lesson เพ่อื สรา้ งบทเรยี นใหม่
6.เพิ่มข้อความ
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 18
7.สร้างแบบทดสอบ
8.สามารถเพิ่มไฟล์ตา่ งๆจากภายนอกได้
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 19
                                                  9.เพม่ิ วดี ีโอจาก Youtube
                                                  10.เพิม่ ข้อมูลจาก google
                                                  11.เพม่ิ ภาพถา่ ยจาก google
                                                  12.เพม่ิ ไฟลจ์ าก google drive
                                                  13.เพ่ิมข้อมลู จาก dropbox
                                                  14.เพม่ิ ไฟลจ์ าก คอมพิวเตอร์
15.แชรล์ งิ ก์ใหก้ บั ผู้เรยี น
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 20
 ความรูด้ ้านวิธีการสอน
     (Pedagogical
Knowledge) หรอื PK
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 21
               ห้องเรยี นกลับด้าน
             Flipped Classroom
      ห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) เป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่ถูกพูดถึงมากในปัจจุบัน เพราะ
Flipped Classroom เป็นวิธีการสอนหนึ่งได้รับการอธิบายว่าเป็นวิธีที่ทำให้เกิดทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (21st
Century Skills) ในขณะที่วงการการศึกษาไทยมีการตื่นตัวเป็นอย่างมากในการสอนโดยใช้ Flipped Classroom ว่าเป็น
การใช้เทคโนโลยีการเรียนการสอนที่ทันสมัยและการให้นักเรียนได้มีโอกาสเรียนรู้ผ่านกิจกรรม ซึ่งในบทความนี้จะได้
อธบิ ายว่า FlippedClassroom มีความเป็นมาอย่างไร สเ่ี สาหลกั ของ F-L-I-Pคืออะไร และครจู ะนำ Flipped Classroom
ไปใช้ได้อย่างไร สื่อการเรยี นการสอน และวิธวี ัดและประเมนิ ผลเป็นอย่างไร และผลดีของการใช้Flipped Classroom เป็น
อย่างไรบ้าง Flipped Classroom เป็นวิธีการสอนที่ใช้มานานหลายปีแล้ว เช่นในหนังสือEffective Grading (1998)
Barbara Walvoord & Virginia Johnson Anderson (Barbara Walvoord & Virginia Johnson Anderson,1998) ได้
นำเสนอรูปแบบการเรียนการสอนที่นักเรียนได้รับเนื้อหาก่อนที่จะมีการเรียนในชั้นเรียน วิธีการที่คล้ายกันที่เรียกว่า
Inverted classroom เพื่อให้นักเรียนได้เรียนกับสื่อการเรียนต่างๆเช่น การเรียนนอกห้อง การอ่านหนังสือ วิดีโอและ
PowerPoint ที่มีเสียงก่อนการเข้าชั้นเรียน เพื่อให้แน่ใจว่านักเรียนได้เตรียมความพร้อมโดยการดูสื่อต่างๆ เมื่อเข้า
ห้องเรียนกจิ กรรมในเวลาเรียน นักเรียนจะอภิปรายกลุ่มเปน็ กลุ่มยอ่ ยๆเกีย่ วกับปัญหาต่างๆ ทั้งนักเรยี นและครูผูส้ อนที่จะ
ตอบสนองต่อวิธีการนี้อย่างดีและสังเกตว่านักเรียนมีแรงจูงใจมากขึ้นกว่าการสอนในรูปแบบดั้งเดิม ซึ่งสอดคล้องกับ สุร
ศักดิ์ ปาเฮ ได้กล่าวไว้ว่า“ห้องเรียนกลบั ด้าน” จึงกลายเป็นนวตั กรรมและมุมมองหน่ึงของตัวอย่างจากประสบการณจ์ ริงท่ี
เกิดขึ้นในวงการศึกษา เป็นวิธีการใช้ห้องเรยี นให้เกดิ คณุ ค่าแก่เดก็ โดยใชฝ้ ึกประยกุ ตค์ วามรู้ในสถานการณ์ต่างๆเพื่อใหเ้ กิด
การเรยี นรู้แบบ “ร้จู รงิ (MasteryLearning)”
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 22
ส่เี สาหลกั ของ F-L-I-P
      จากเว็บไซด์http://flippedlearning.org ได้อธิบาย การเรียนรู้ Flipped Classroom มุ่งเน้นไปที่การเรียนของ
นักเรียนเป็นการเรียนรู้รายบุคคล สี่เสาหลักของ F-L-I-P จะช่วยให้อธิบายให้ครหู รือผู้ที่จะนำ Flipped classroom ไปใช้
นนั้ ไดเ้ ขา้ ในถงึ การเรยี นการสอนแบบ Flipped Classroom วา่ มหี วั ใจหลักที่แท้จริงอยา่ งไร
F – Flexible Environment
      ต้องการความยืดหยุนของสภาพแวดล้อม เช่น รูปแบบของการเรียนรู้ที่หลากหลาย ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับการ
ทำงานนของกลมุ่ การศกึ ษาอิสระ การวิจัย ผลการดำเนนิ งานและการประเมินผล นักเรยี นจะเลือกสภาพแวดลอ้ มที่มีความ
แตกต่าง เวลาและสถานที่ที่ต้องการเรียน นอกจากนี้ครูที่จะต้องมีความยืดหยุ่นในกับการคาดหวังด้วยระยะเวลาในการ
เรยี นร้ขู องนักเรยี น หรือวิธีการประเมิน
L – Learning Culture
     การยกระดับจากวัฒนธรรมการเรียนรู้ให้นักเรียนเปน็ ศูนย์กลาง ในการสร้างความรู้ผ่านการมีส่วนร่วมในเรียนและ
ประเมินผล ในทางทฤษฎีนักเรียนสามารถเลือกการเรียนรู้ของพวกเขาโดยการหาเนื้อหาที่อยู่นอกเหนือจะเนื้อหาภายใน
หอ้ ง หรอื เนือ้ หาทก่ี ำหนดไว้ และครสู ามารถเพ่ิมปฏิสัมพนั ธ์ในห้องเรียนเพ่ือตรวจสอบความเขา้ ใจของนักเรียนและแนะนำ
สอื่ ตา่ งๆใหน้ ักเรียน
I – Intentional Content
     ความตั้งใจในศึกษาเนื้อหา รวมถึงการวางแผนด้วยวา่ จะใช้สื่อใด ๆ ในการสอนเนื้อหานัน้ ครูจะใช้วธิ กี ารสอนแบบ
ในห้องเช่น active learning strategies, peerinstruction, problem-based learning, or mastery หรือ Socratic
methods ขึ้นอยู่กับระดับชั้นและหัวข้อเรื่องที่ครูต้องการสอน ครูจะต้องเข้าใจและศึกษาในเรื่องที่ต้องการจะสอนจริงๆ
เพอื่ เปน็ การวางแผนการเรยี นในคาบนัน้ เพื่อให้เกดิ ผลประโยชน์กบั นกั เรยี นสูงสุด
P – Professional Educator
      Flipped Classroom ต้องการทักษะด้านการศึกษามืออาชีพที่จะมีความสำคัญกับครูมากขึ้นกว่าเดิม ไปเป็นการ
เรยี นรขู้ องแต่ละบุคคลและการเพิม่ เวลาการพบปะระหวา่ งครูและนักเรียนมากขึ้น มกี ารสงั เกตนกั เรียนในช่วงท่ีทำกิจกรรม
ชว่ ยใหก้ ารประเมินนกั เรยี นเปน็ ไปแบบรายบุคคลจริงๆ
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 23
6 ข้ันตอนการสอนของหอ้ งเรยี นกลับดา้ น (Flipped Classroom)
กอ่ นเร่มิ การสอน
   ขั้นที่ 1 คุณครูออกแบบแผนการสอน กำหนดวัตถุประสงค์การสอน การเลือกใช้สื่อการสอน กิจกรรมเสริม ที่
เหมาะสมกบั วัยผูเ้ รยี น กบั หอ้ งเรียน และบรบิ ทของโรงเรียน
   ขั้นที่ 2 เตรียมวิดีโอการสอน คุณครูอาจบันทึกการสอนของตัวเอง หรือใช้บริการจากวิดี โอการสอนที่มีเนื้อหาของ
บทเรียนครบตามตัวช้ีวัด
   ขั้นที่ 3 คุณครูแชร์วิดีโอการสอน ส่งให้กับนักเรียน และอธิบายว่าเนื้อหาในวิดีโอจะนำมาพูดคุยกันในห้องเรียน (ใน
ข้ันตอนน้คี ุณครอู าจสรา้ งกจิ กรรม หรอื แจกแบบทดสอบกอ่ นเรยี นเพือ่ ใหน้ ักเรยี นได้ลองทำก่อนการสอนในห้องเรยี น)
   ขนั้ ที่ 4 แลกเปล่ียน เพือ่ สนับสนนุ การสรา้ งปฏสิ ัมพนั ธ์ระหวา่ งกนั คุณครเู ปิดโอกาสให้เด็ก ๆ ไดร้ ่วมพดู คยุ แลกเปล่ียน
และซักถาม จากเนื้อหาท่ีไดศ้ กึ ษามาแล้วในวดิ โี อ เพอ่ื ใหเ้ กดิ ทักษะการคดิ วิเคราะห์ และการสอ่ื สาร
   ขั้นที่ 5 แบ่งกลุ่ม เพื่อให้ไดผ้ ลสัมฤทธิ์ตามท่ีวางแผนไว้ คุณครูแบ่งกลุม่ เพื่อใหน้ กั เรียนได้ร่วมกันทำงาน ในหัวข้อที่ครู
มอบหมาย หรอื ชว่ ยกันเลือกหวั ข้อในการทำงานเพื่อใหเ้ กดิ ทกั ษะการคิด สรา้ งสรรค์ และการทำงานร่วมกนั
   ข้นั ท่ี 6 รวมกลมุ่ กนั อกี คร้งั เพ่ือนำเสนอผลงานกล่มุ เปดิ เวทใี หเ้ พอ่ื น ๆ รว่ มกันแสดงความคิดเหน็ และซักถาม
หลงั จบการสอน
 คุณครูทบทวนการเรียนการสอน แผนการสอนที่ออกแบบไว้ วิดีโอ และสื่อฯ ที่อยู่ในแผน ได้ผลสัมฤทธิ์หรือไม่ อย่างไร
และเป็นการวัดและประเมินการสอนของคุณครูด้วยเช่นกัน
- ทบทวน แผนการสอนที่ออกแบบไป รวมถึงสื่อการเรียนรู้ และกิจกรรมการสอนว่าได้ผลสัมฤทธิ์หรือไม่ นักเรียนมีความ
เขา้ ใจมากน้อยอยา่ งไร
- ปรบั แก้ หากนักเรียนหลายตนยังมขี อ้ สงสยั คณุ ครคู วรปรบั แกเ้ พ่อื ใหผ้ ้เู รียนมีความเขา้ ใจมากยงิ่
- ทำซ้ำ หากการเรียนการสอนในวันนั้นได้ผลดี คุณครูควรทำซ้ำ และเสริมกิจกรรมที่ท้าทายเพื่อให้นักเรียนได้ใช้ทักษะท่ี
สูงข้ึน
   หลังจากนีห้ ้องเรยี นของคุณครูจะเปล่ียนไป บทบาทของคุณครูจะเปลยี่ นแปลงอย่างเห็นไดช้ ดั เพราะเทคโนโลยีจะเข้า
มามีส่วนช่วยให้คุณครูมีเวลาในการวางแผนและออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้ การเลือกใช้สื่อฯ ที่เหมาะสมกับ
สถานการณ์ การวัดและการประเมินผลในรูปแบบที่เปลี่ยนไป พร้อมทั้งนักเรียนเข้าถึงเนื้อหาได้ง่าย จึงทำให้การสร้าง
ปฏสิ มั พนั ธข์ องผ้เู รียนกบั คุณครู และเพอ่ื นร่วมชนั้ จะมีประสิทธิภาพมากยง่ิ ขึน้
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 24
     การบรรยาย (Lecture Method)
      วิธีสอนแบบบรรยาย คือวธิ ีสอนที่ครเู ปน็ ผบู้ รรยาย ครูจะตอ้ งเตรียมความรทู้ ่จี ะสอนเป็นอย่างดี ใหเ้ ข้าใจเนื้อหาที่
จะบรรยายจนสามารถถ่ายทอดความรูใ้ ห้ผ้เู รยี นได้อย่างคล่องแคล่ว เสยี งดังฟงั ชัด มรี ะดับเสียงสูง ต่ำ เบาอยา่ งเหมาะสม
ครอู าจบรรยายประกอบ เช่น PowerPoint , Video ,ภาพประกอบ, แผนภมู ิ เอกสารประกอบคำบรรยาย และเม่ือจบการ
บรรยายครูจะเปิดโอกาสให้ผู้เรยี นซกั ถามขอ้ สงสยั
ข้ันตอนวธิ ีสอนแบบบรรยาย
      ข้นั ที่ 1 ขั้นเตรียม ครคู น้ คว้า รวบรวมความรู้ทจี่ ะนำมาสอนเป็นอยา่ งดี ลำดับการสอนเปน็ หมวดหมูแ่ ละตามความ
ยากง่ายของเนื้อหา จัดหาอุปกรณ์ที่เหมาะสมนำมาจัดไว้ให้พร้อมและเตรยี มว่าอปุ กรณ์สำหรบั ใชใ้ นแตล่ ะข้นั ตอนให้
เหมาะสม
      ขั้นท่ี 2 ขั้นสอน ครูนำเข้าสบู่ ทเรยี นให้เหมาะสมกบั เน้ือหาท่จี ะสอน แลว้ ครูก็อธิบายช้า ๆ อยา่ งชดั เจน อาจ
อธิบายประกอบรปู ภาพ แผนภูมิ หรอื ยกตวั อย่างประกอบ และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนซกั ถามขอ้ สงสัย
      ขนั้ ท่ี 3 ขนั้ สรปุ ครแู ละผเู้ รยี นช่วยกันสรปุ เพือ่ ทบทวนสงิ่ ท่เี รียนมาทงั้ หมดและใหผ้ เู้ รียนจดบันทกึ ไว้
      ขนั้ ที่ 4 ขน้ั วัดผล ครสู งั เกตความสนใจ ความเขา้ ใจของผู้เรียน โดยวธิ ีต่าง ๆ ทเี่ หมาะสมเชน่ การสอบถาม การ
สัมภาษณ์ การใช้แบบทดสอบ การทำแบบฝกึ หัด การตรวจผลงาน เป็นตน้
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 25
ขอ้ ดขี องวิธสี อนแบบบรรยาย
- ครูได้อธบิ ายเน้ือหาเพม่ิ เตมิ จากหนงั สือหรือแบบเรียนมากข้ึน
- ผู้เรียนเกิดทกั ษะในการฟังและการเขยี น
- ผเู้ รียนมอี ิสระในการเขียนหรือตอบคำถาม
ขอ้ เสยี วธิ สี อนแบบบรรยาย
- ผเู้ รยี นไม่ไดค้ ้นคว้าและอภปิ รายด้วยตนเอง
- ผู้เรียนเกดิ ความเบื่อหน่ายเพราะต้องฟังเป็นส่วนใหญ่
- ผเู้ รียนมีส่วนรว่ มในกิจกรรมการเรยี นการสอนนอ้ ย
- ผเู้ รยี นทม่ี ีพ้นื ฐานการเรยี นอ่อนหรือปานกลางจะเรียนไม่ค่อยทัน
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 26
                     แบบสาธติ
        (Demonstration Method)
      วิธสี อนแบบสาธิต หมายถงึ การท่ีครูหรือนกั เรยี นคนใดคนหน่งึ แสดงบางสง่ิ บางอยา่ งให้นกั เรียนดู หรือให้
เพอื่ นๆดู อาจเป็นการแสดงการใชเ้ คร่อื งมอื แสดงให้เหน็ กระบวนการวิธีการ กลวธิ ีหรือการทดลองท่ีมอี ันตราย ซึ่งไมเ่ หมาะ
ทจ่ี ะใหน้ ักเรียนทำการทดลอง การสอนวธิ ีนชี้ ่วยใหน้ กั เรยี นเกิดความรูค้ วามเขา้ ใจและสามารถทำในสิ่งนน้ั ได้ถกู ต้อง และ
ยงั เปน็ การสอนใหน้ ักเรยี นได้ใชท้ ักษะในการสงั เกต และถือวา่ เป็นการได้ประสบการณต์ รงวิธหี นงึ่ วิธีสอนแบบสาธติ จงึ
เปน็ การสอนท่ียึดผสู้ อนเปน็ ศูนย์กลาง เพราะผสู้ อนเปน็ ผ้วู างแผน ดำเนินการ และลงมือปฏิบัติ ผเู้ รยี นอาจมีสว่ นร่วมบ้าง
เล็กน้อย วธิ ีสอนแบบนจี้ งึ เหมาะสำหรบั จุดประสงค์การสอนที่ต้องการใหผ้ ู้เรยี นเห็นข้นั ตอนการปฏิบตั ิ เช่น วชิ าพลศกึ ษา
ศลิ ปศกึ ษา อุตสาหกรรมศลิ ป์ วิชาในกลมุ่ การงานและพืน้ ฐานอาชพี เปน็ ต้น (ทิศนา แขมมณี ,2557,หน้า19)
ลกั ษณะห้องเรยี น
การสอนแบบสาธิต อาจจะแบ่งลักษณะของห้องเรยี นหรอื สถานทไ่ี ด้ 3 รูปแบบ คือ
      1. การสาธติ ในห้องทดลอง กระบวนการสาธติ ในลกั ษณะน้ีจะต้องอาศัยอุปกรณต์ า่ ง ๆ ในหอ้ งทดลอง เช่น การ
สาธติ เรื่องราวทางวทิ ยาศาสตร์ การผสมสารเคมี ซงึ่ ต้องใช้ความละเอยี ดอ่อนและขน้ั ตอน ผ้สู าธิตตอ้ งรู้และเข้าใจ
กระบวนการสาธิตเปน็ อยา่ งดี เพราะรปู แบบการสาธิตวธิ นี ี้บางครงั้ หากทำผิดพลาดอาจจะเกิดเร่ืองเสยี หายได้
      2. การสาธติ ในหอ้ งเรียน รูปแบบการสาธิตวิธนี ้อี าจจะเปน็ การสาธิตเรอื่ งราวต่าง ๆ ของบทเรยี นทม่ี ี ไมจ่ ำเป็นต้อง
ทำในหอ้ งทดลอง และบางคร้ังกไ็ ม่ต้องใช้อุปกรณม์ ากมาย เชน่ การสาธิต วิธกี าร การสาธติ ท่ายนื เดนิ นัง่ การสาธิตท่า
กราบไหว้ที่ถูกต้อง เปน็ ตน้
      3. การสาธติ นอกห้องเรยี น การสาธติ รปู แบบนอ้ี าจจะตอ้ งใชส้ ถานท่นี อกห้องเรียน เชน่ สนามกีฬา หรือในแปลง
สาธิตทางการเกษตร เป็นกิจกรรมทต่ี อ้ งอาศยั สถานท่ี หรือบริเวณกว้างขวางกว่าห้องเรียน
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 27
ลกั ษณะเนื้อหา
      รปู แบบการสอนแบบสาธติ สามารถใช้ได้กับเนื้อหาในทุกวชิ า ท้ังนข้ี น้ึ อยู่กับวตั ถุประสงค์ของการสอน และผู้สอน
วิเคราะหแ์ ลว้ การใชก้ ิจกรรมการสาธติ จะช่วยใหผ้ เู้ รยี นเข้าใจไดด้ ที ีส่ ุด เช่น การทดลองวิทยาศาสตร์ การสาธติ วิธกี าร
ประกอบอาหาร หรอื การสาธิตการเล่นกีฬา หรอื การออกกำลงั กายในท่าทีถ่ ูกต้อง ฯลฯ จะสังเกตได้ว่าเปา้ หมายของการ
สอนแบบสาธติ คือ ต้องการให้ผเู้ รียนไดเ้ น้นกระบวนการของเรอื่ งหนงึ่ เร่ืองใด เพอ่ื ทีผ่ ู้เรยี นจะได้นำไปปฏบิ ัติได้
บทบาทผู้สอน
      วธิ ีสอนแบบสาธิตสว่ นใหญจ่ ะเปน็ บทบาทของผสู้ อนมากกว่าผเู้ รยี น ท้ังนีก้ ารสอนแบบสาธิตจะมลี กั ษณะใกล้เคียง
กบั การแสดงโดยต้องการทำให้ดู และการบอกใหเ้ ขา้ ใจ บางครงั้ เรอ่ื งทีส่ าธิตนั้นอาจจะมีขน้ั ตอนหรือต้องอาศยั ความชำนาญ
การในการทำ หรือบางคร้งั เครอื่ งมือหรืออปุ กรณ์ที่ใชใ้ นการสาธติ น้นั มีราคาแพง หรือแตกหักชำรุดงา่ ย ผ้สู อนจึงต้องเปน็
ผู้ทำเสียเอง อย่างไรกต็ ามการสาธิตท่ีดนี ัน้ ผเู้ รยี นตอ้ งมสี ว่ นรว่ มดว้ ย โดยเฉพาะหากการเรยี นการสอนเน้นอยทู่ ่ตี ัวผู้เรียน
ผเู้ รียนตอ้ งมโี อกาสไดส้ าธติ ด้วยตนเองให้มากที่สุดเพื่อใหไ้ ด้ประสบการณ์ตรง
บทบาทผเู้ รียน
      วธิ สี อนแบบสาธิตโดยทวั่ ๆ ไป ผเู้ รยี นจะมบี ทบาทน้อยเป็นเพียงผู้ดูและผู้ฟัง อาจจะมีสว่ นร่วมในการชว่ ยเหลอื เลก็
ๆ นอ้ ย เท่านัน้ แต่การสาธิตท่ีดตี อ้ งเปิดโอกาสใหผ้ ู้เรียนเข้ามามสี ว่ นร่วมมากทส่ี ดุ ยิง่ ถา้ มีโอกาสได้รับประสบการณต์ รง
ด้วยคือ มีโอกาสได้ปฏิบัตภิ ายหลงั การสาธติ ดว้ ยแล้ว ก็ยง่ิ ทำใหเ้ กดิ การเรยี นร้มู ากขึ้น
ขอ้ ดขี องการสอนแบบสาธิต
1. นักเรยี นไดป้ ระสบการณต์ รง
2. สรา้ งความสนใจ และความกระตือรือรน้
3. ฝกึ การสงั เกต การสรปุ ผล การบนั ทึก และการจัดขั้นตอน
ขอ้ จำกดั ของการสอนแบบสาธิต
1. การสาธิตบางครั้งไม่สามารถใช้กบั ผูเ้ รยี นกล่มุ ใหญ่
2. ผ้สู อนตอ้ งแนะนำข้นั ตอน อปุ กรณ์ ทใ่ี ชใ้ นการสาธติ อยา่ งชัดเจน
3. ผสู้ อนต้องทดลองการสาธติ กอ่ นสอนให้แม่นยำเพอ่ื ลดขอ้ ผิดพลาดที่อาจเกิดขึน้
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 28
    ความรู้ด้านเน้ือหา
        (Content
Knowledge) หรอื CK
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 29
     การใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศอยา่ ง
                    ปลอดภัย
      เทคโนโลยี หมายถึง สิ่งที่มนุษย์พัฒนาขึ้น เพื่อช่วยในการทำงานหรือแก้ปัญหาต่าง ๆ เข่น อุปกรณ์, เครื่องมือ,
เคร่ืองจักร, วัสดุ หรือ แม้กระทงั่ ท่ีไม่ไดเ้ ป็นส่งิ ของท่จี บั ต้องได้ เช่น กระบวนการตา่ ง ๆเทคโนโลยี เป็นการประยุกต์ นำเอา
ความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์มาใช้ และก่อใหเ้ กิดประโยชน์ ในทางปฏบิ ัติ แก่มวลมนุษย์กล่าวคือเทคโนโลยีเป็นการนำเอาความรู้
ทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการประดิษฐ์สิ่งของต่าง ๆให้เกิดประโยชน์สูงสุด ส่วนที่เป็นข้อแตกต่างอย่างหนึ่งของเทคโนโลยี
กับวิทยาศาสตร์ คือเทคโนโลยีจะขึ้นอยู่กับปัจจัย ทางเศรษฐกิจเป็นสินค้ามีการซื้อขาย ส่วนความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เป็น
สมบัติสว่ นรวมของ ชาวโลกมีการเผยแพรโ่ ดยไม่มีการซ้ือขายแต่อย่างใดกล่าวโดยสรุปคือ เทคโนโลยสี มัยใหม่เกิดขึ้นโดยมี
ความร้ทู างวิทยาศาสตรเ์ ปน็ ฐานรองรบั
      สารสนเทศ (Information) หมายถงึ ข้อมูลตา่ งๆ ท่ไี ดผ้ ่านการเปลี่ยนแปลงหรือมี การประมวลหรอื วิเคราะห์
ผลสรุปดว้ ยวิธกี ารต่างๆ ให้อยู่ในรปู แบบที่มีความสมั พนั ธ์กัน มคี วามหมาย มีคณุ ค่าเพิ่มขึ้นและมวี ัตถุประสงค์ในการใชง้ าน
สามารถนำไปใชป้ ระโยชน์ได้ เช่น การเกบ็ ข้อมูล การขายรายวนั แล้วนำการประมวลผล เพือ่ หาว่าสินคา้ ใดมยี อดขายสูง
ท่ีสุด เพอื่ จัดทำแผนการขายในเดอื นต่อไป เปน็ ต้น ซง่ึ สารสนเทศมปี ระโยชน์ คือ 1. ใหค้ วามรู้ 2. ทำให้เกิดความคิดและ
ความเข้าใจ 3. ทำให้เห็นสภาพปัญหา สภาพการเปล่ยี นแปลงว่ากา้ วหนา้ หรอื ตกต่ำ 4. สามารถประเมินค่าได้
แหล่งที่มาของข้อมูลสารสนเทศ
 1. ขอ้ มลู ภายใน หมายถงึ ขอ้ มูลท่ีเกดิ ขึน้ ภายในองค์กรนน้ั ได้แก่ ข้อมูล การปฏบิ ัติงาน ทเี่ กีย่ วข้อง เช่น ข้อมูลงาน
บคุ ลากร ข้อมูลงานกิจการนักเรียน
 2. ขอ้ มลู ภายนอก หมายถงึ ข้อมลู ท่ีเกดิ ขึ้นนอกองค์กร ข้อมูลหน่วยงานอนื่ ๆ
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 30
ประโยชนข์ องสารสนเทศ
 1. ใหค้ วามรู้ทำใหเ้ กดิ ความคดิ และความเขา้ ใจ
 2. ใช้ในการวางแผนการบริหารงาน
 3. ใชป้ ระกอบการตัดสินใจ
 4. ใชใ้ นการควบคมุ สถานการณ์ หรอื เหตุการณ์ที่จะเกิดข้ึน
 5. เพื่อให้การบรหิ ารงานมีระบบ ลดความซำ้ ซอ้ น
ทกั ษะความเข้าใจและใชเ้ ทคโนโลยี digital
      หมายถึงการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอย่างปลอดภัย รู้เท่าทันสื่อ นวัตกรรม ผลกระทบต่อ
เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสารตอ่ การดำเนินชีวติ อาชีพสังคมและวัฒนธรรม
แนวคิดสำคญั
      การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัยเช่นปกป้องข้อมูลส่วนตัวขอความช่วยเหลือจากครูและผู้ปกครองเม่ือ
เกิดปัญหาจากการใช้งานไม่พบข้อมูลหรือบุคคลที่ทำให้ไม่สบายใจการปฏิบัติตามข้อตกลงในการใช้อินเทอร์เน็ตจะทำให้
เกดิ ความเสียหายต่อตนเองและผู้อืน่ เช่นไม่ใช้คำหยาบล้อเลียนดา่ ทอทำให้ผู้อื่นเสียหายหรือเสียใจข้อดีและข้อเสียจากการ
ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อื สาร
      ยุค Digital คือยุคแห่งข้อมูลข่าวสารซึ่งมีการสื่อสารผ่านอุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารต่างๆเช่น
โทรศัพท์เครื่องที่หรือสมาร์ทโฟนคอมพิวเตอร์เป็นต้นโดยสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ตซึ่งมีความเร็วสูงทำให้เกิดทั้ง ข้อดีและ
ขอ้ เสียตา่ งๆมากมายดังนั้นการเป็นพลเมืองในยุคดจิ ิตอลควรมีทักษะความรู้ในการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสาร
อย่างปลอดภยั รูเ้ ท่าทันส่ือนวัตกรรมและผลกระทบของเทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสารต่อการดำเนนิ ชวี ติ อาชีพสังคม
และวัฒนธรรมหรือทีเ่ รยี กวา่ ทกั ษะความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยใี นยุคดิจิตอล
ทำไมตอ้ งเรยี นร้ทู ักษะความเข้าใจและการใช้เทคโนโลยดี ิจิทลั
      ในโลกปัจจบุ ันมีการเปล่ยี นแปลงอยา่ งรวดเร็วจากยคุ อนาล็อกเป็นดิจิตอลทำให้เทคโนโลยดี ิจติ อลมีอิทธิพลต่อการ
ดำรงชวี ิตและการทำงานและอาจจะทำให้เกิดอันตรายจากการใช้เทคโนโลยีท่ีไม่เหมาะสมเช่นการถูกขโมยข้อมูลส่วนตัวทำ
ใหเ้ กดิ ความอันตรายต่อชีวติ และทรัพย์สนิ จากการโจรกรรมข้อมูลการโจมตที างไซเบอรเ์ ป็นตน้ ดังน้ันทักษะความเข้าใจและ
ใช้เทคโนโลยดี ิจิตอลซงึ่ จำเปน็ ตอ่ การเรยี นรแู้ ละพฒั นาตนเองต่อไปในอนาคต
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 31
ข้อมูลสว่ นตัว
      คือข้อมูลที่แสดงความเป็นตัวตนของเราเช่นชื่อนามสกุลที่อยู่เบอร์โทรศัพท์เลขที่บัตรประชาชนชื่อบัญชีผู้ใช้
รหสั ผ่านจำนวนเงินเลขทบี่ ัญชีธนาคารเปน็ ต้น
ความปลอดภยั และความเป็นส่วนตัว
      เป็นสิ่งที่ทุกคนและทุกๆเว็บไซด์ให้ความสำคัญมากก็หาข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ถูกมิจฉาชี พในโลกอินเตอร์เน็ตที่
เรยี กวา่ แฮกเกอรข์ โมยไปจะเกดิ ผลกระทบมากมาย
อนั ตรายจากการเผยแพรข่ อ้ มลู ส่วนตวั
      ฟิชชิ่ง คือ อันตรายจากอินเทอร์เน็ตอย่างหนึ่งมักจะมาในรูปแบบการปลอมแปลงอีเมลข้อความหรือการเข้ามา
พูดคุยเพื่อให้เราเปิดเผยข้อมูลทางด้านการเงินหรือข้อมูลส่วนตัวต่างๆเช่นหมายเลขบัตรเครดิตหมายเลขประจำตัวผู้ใช้
รหัสผ่านหมายเลขประจำตวั เปน็ ตน้ อนั ตรายจากการเผยแพร่ข้อมลู สว่ นตัวมีดงั นี้
1. ขโมยตัวตนเชน่ บญั ชี facebook เพื่อเปน็ ต่อบคุ คลใกล้ชิดขอขอ้ มูลต่างๆ
2. เข้ามาขโมยไฟลง์ านสำคญั หรอื ความลบั ของเรา
3.เขา้ มาขโมยเงินหรือใช้บัตรเครดิตของเรา
4. ปลอมตัวไปกลนั่ แกลง้ ผู้อืน่ ในโลกออนไลน์
5. สง่ สแปมข้อความลกู โซ่สง่ ต่อโพสต์ทีม่ ีข้อมูลส่วนตวั ของผู้อ่ืนส่งคำเชิญเลน่ เกม
6. ทำลายช่ือเสยี งของเราในโลกอินเตอร์เน็ต
ทำอย่างไรเม่ือมีคนมาขโมยข้อมูลส่วนตัวไป
      ในปัจจุบันอินเทอร์เน็ตกลายเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีวิตอย่างหนึ่งซึ่งการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศผู้ใช้งาน
จะต้องใส่ข้อมูลส่วนตัวลงไปเพื่อยืนยันการเข้าใช้งานซึ่งเป็นโอกาสของนวัตกรรมข้อมูลโดยแฮกเกอร์เจาะระบบเพื่อนำ
ขอ้ มลู สว่ นตวั ออกมาดังน้ันหากทราบวา่ ข้อมูลสว่ นตัวถกู ขโมยไปควรแจ้งผมู้ ีส่วนเก่ยี วข้องทราบดังต่อไปนี้
1. แจง้ ใหก้ บั คุณพ่อคุณแม่หรือคุณครูทราบ
2. แจ้งมายงั เว็บไซต์ต่างๆที่เปิดใชง้ านท่วั ไป
3.แจง้ ธนาคารเพื่อเปล่ยี นรหัสผ่านโดยดว่ น
4.แจง้ ตำรวจดำเนินการเพ่อื ป้องกนั การเสยี หาย
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 32
ข้อมูลส่วนตวั
      คือข้อมูลที่แสดงความเป็นตัวตนของเราเช่นชื่อนามสกุลที่อยู่เบอร์โทรศัพท์เลขที่บัตรประชาชนชื่อบัญชีผู้ใช้
รหสั ผา่ นจำนวนเงนิ เลขทีบ่ ญั ชีธนาคารเปน็ ตน้
ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตวั
      เป็นสิ่งที่ทุกคนและทุกๆเว็บไซด์ให้ความสำคัญมากก็หาข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ถูกมิจฉาชีพในโลกอินเตอร์เน็ตท่ี
เรียกว่าแฮกเกอร์ขโมยไปจะเกดิ ผลกระทบมากมาย
ทำอยา่ งไรเมื่อมีคนมาขโมยข้อมูลสว่ นตัวไป
      ในปัจจุบันอินเทอร์เน็ตกลายเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีวิตอย่างหนึ่งซึ่ง การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศผู้ใช้งาน
จะต้องใส่ข้อมูลส่วนตัวลงไปเพื่อยืนยันการเข้าใช้งานซึ่งเป็นโอกาสของนวัตกรรมข้อมูลโดยแฮกเกอร์เจาะระบบเพื่อนำ
ขอ้ มลู สว่ นตวั ออกมาดังนนั้ หากทราบวา่ ขอ้ มูลสว่ นตัวถูกขโมยไปควรแจง้ ผูม้ สี ว่ นเกี่ยวข้องทราบดังต่อไปนี้
1. แจง้ ให้กับคุณพ่อคุณแม่หรือคณุ ครทู ราบ
2. แจ้งมายังเว็บไซต์ตา่ งๆที่เปิดใชง้ านทว่ั ไป
3.แจ้งธนาคารเพ่ือเปลี่ยนรหสั ผ่านโดยด่วน
4.แจง้ ตำรวจดำเนนิ การเพอ่ื ป้องกันการเสยี หาย
ขอ้ ตกลงในการใช้อินเทอร์เน็ต
      การติดต่อสื่อสารในโลกอินเตอร์เน็ตต้องมีความรับผิดชอบต่อตนเองต่อผู้อื่นและสังคมดังนั้นการสื่อสารจึงควรมี
มารยาทและกาละเทศะด้วยการสื่อสารข้อมูลที่เป็นจริงใช้ถ้อยคำที่สุภาพไม่ใช้อารมณ์ใช้เหตุผลใช้คุณธรรมจริยธรรมของ
สังคมรกั ชาตศิ าสนาและทส่ี ำคัญไมท่ ราบผลกระทบให้กับผู้อื่นไม่ว่าทางตรงหรือทางออ้ ม ไม่คดั ลอกข้อมูลผู้อื่นและคนบอก
แหล่งที่มาของข้อมูลให้ถูกต้อง ไม่สร้างความทุกข์ให้กับตนเองเพื่อครอบครัวและสังคม ไม่ควรใช้ข้อมูลที่เสียใจและ
กอ่ ให้เกดิ ความขดั แยง้ ไม่ควรโตต้ อบและควรแจง้ ผู้เก่ียวข้องกับข้อมูลหรือบุคคลที่ไม่เหมาะสม
ทำอย่างไรเม่ือพบข้อมลู หรือบุคคลทที่ ำให้ไมส่ บายใจ
      การกลั่นแกล้งกันทางอินเตอร์เน็ตหรือบนโลกดิจิตอลมีด้วยกันหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการใส่ร้ายเสห์ทำ
ร้ายจิตใจคนอื่นไดอ้ า่ นสง่ เปน็ ข้อความรูปภาพโดยเฉยี บพลนั social เกิดเหตกุ ารณค์ วรดำเนนิ การดังต่อไปน้ี
1. ไดร้ ับขอ้ มูลจะไปสนใจไม่ส่งต่อข้อมลู
2. รูจ้ ักวเิ คราะห์แยกแยะวา่ ข้อมลู ไหนเปน็ ข้อมูลจริงและเท็จ
3. บล็อคหรือเลิกติดตอ่ กับเว็บไซตห์ รอื คนท่สี ง่ ขอ้ มูลท่ีๆไม่เป็นความจรงิ
4. เลา่ เร่ืองราวให้กับผูป้ กครองโดยคุณครูทราบเพื่อขอคำแนะนำ
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 33
ร่องรอยในโลกอินเตอร์เน็ต
      ร่องรอยบนโลกอินเทอร์เน็ตคือร่องรอยการกระทำของผู้ใช้งานใดๆเช่นหากเราทำอะไรลงไปในโลกอินเตอร์เน็ตก็
จะคงอยู่อย่างถาวรยากที่จะลบมันออกไปได้และบุคคลอื่นเข้ามาอ่านนำข้อมูลของเราไปเผยแพร่ได้จะทำให้เกิดผลเสียต่อ
ตัวเราและคนอน่ื มากมายฉะนน้ั จงึ ต้องระมัดระวงั ใหม้ ากในการส่งข้อมูลลงไปในอนิ เตอร์เนต็
ทำอยา่ งไรเม่อื เกดิ ปญั หาการใช้งานอปุ กรณ์เทคโนโลยสี ารสนเทศ
      ปัญหาที่เกิดจากการใช้งานอุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศและเกิดปัญหาในด้านต่างๆเช่นเกิดจากการใช้งานไม่
ถูกตอ้ งหรือเกดิ จากอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์หรอื ซอฟตแ์ วร์ดังน้นั เมื่อเกิดปัญหาการใชง้ านควรดำเนนิ การดงั ต่อไปน้ี
1.ขอความช่วยเหลือจากครแู ละผ้ปู กครอง
2.หาความร้จู ากอนิ เตอร์เน็ตและเว็บไซต์ที่น่าเช่อื ถือ
3.ถามผเู้ ชี่ยวชาญในเรือ่ งน้ันๆ
4.ขอความช่วยเหลือจากศูนย์บริการ
ข้อดีข้อเสยี ของเทคโนโลยีสารสนเทศ
ข้อดี
     1.ลดเวลาในการทำงานลง
     2.ประหยัดค่าใช้จา่ ยในการดำเนินงาน
     3.ในความบันเทงิ แก่ผ้ใู ช้งาน
     4.ใช้ค้นหาความรไู้ ด้
     5.ใชเ้ ปน็ สือ่ ในการเรียนการสอน
ข้อเสยี
     1.ทำใหเ้ กดิ ขยะของเทคโนโลยีเพ่มิ ขนึ้
     2.ทำให้ไมเ่ กิดการออกกำลังกาย
     3.ทำให้มกี ารหลอกลวงเพ่มิ ข้นึ
     4.การใชง้ านมากๆทำใหล้ มื เทคโนโลยสี มัยเก่าลง
     5.มีการเปลยี่ นเทคโนโลยีไปมากทำให้ตามไมท่ นั
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 34
ออกแบบแผนการสอน
   วิทยาการคานวณ
 ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 3
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 35
                                   แผนการจัดการเรียนรูท้ ี่ 1
กลุม่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  รายวชิ า ว1234 วทิ ยาการคำนวณ
ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 3                         ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565
เรือ่ ง การใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศอยา่ งปลอดภัย  จำนวน 50 นาที
ผู้สอน นางสาวณชั ชา เสอื เถ่ือน                โรงเรยี นพิณพลราษฎร์ ตัง้ ตรงจิตร 12
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
1.มาตรฐานการเรยี นรู้ / ตัวชี้วัด
      มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคดิ เชงิ คำนวณในการแกป้ ัญหาทีพ่ บในชวี ติ จริงอย่างเปน็ ข้นั ตอนและเป็นระบบ
ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อื สารในการเรยี นรู้ การทำงานและการแก้ปญั หาได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ รูเ้ ท่าทัน และมี
จรยิ ธรรม
ตัวชี้วัด
ว 4.2 ป.3/5 ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอยา่ งปลอดภยั ปฏิบัตติ ามข้อตกลงในการใช้อินเทอรเ์ น็ต
2.จุดประสงค์การเรียนรู้
1. นกั เรียนสามารถเปรียบเทียบขอ้ ดีและข้อเสียจากการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศได้ (K)
      2. นกั เรียนสามารถใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอยา่ งปลอดภัยได้ และปฎบิ ตั ติ ามขอ้ ตกลงในการใชเ้ ทคโนโลยี
สารสนเทศได้ (P, A)
3. สาระการเรียนรู้
      เทคโนโลยสี ารสนเทศ (Information Technology) คือ การใช้งานเทคโนโลยี ใช้จัดเก็บ ประมวลผล แลกเปลี่ยน
หรือเผยแพรใ่ นรปู แบบตา่ ง ๆ การใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศอย่างปลอดภยั และข้อดีข้อเสียจากการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 36
4. สาระสำคัญ
       1. การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย
       2. ขอ้ ดแี ละขอ้ เสยี ในการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สาร
5.คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์
      1.มวี นิ ยั
      2.ใฝ่เรยี นรู้
      3.มงุ่ มนั่ ในการทำงาน
6. สมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น
      1. ความสามารถในการสอ่ื สาร
      2.ความสามารถในการคิด
      3.ความสามารถในการแกป้ ัญหา
      4.ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ติ
      5.ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
7. ชน้ิ งานหรือภาระงาน (หลกั ฐานรอ่ งรอยแสดงความรู้)
- ใบงานที่ 1 และ ใบงานที่ 2
8. คำถามทา้ ทาย
      - ในชวี ติ ประจำวนั ของนกั เรียน เคยพบเจอกับปัญหาใดบ้าง และนักเรียนมวี ิธใี นการแก้ปัญหานัน้ อย่างไร
9.รปู แบบการสอน/วธิ กี ารสอน
      วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับดา้ น (Flipped Classroom)
10. การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้                    ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 37
ใหน้ กั เรยี นศึกษาเรื่องใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย จาก Blendspace Tes Teach ที่ครไู ดส้ ร้างและ
จดั ทำไว้ 2- 3 วนั ก่อนเข้าช้นั เรียนแบบออนไลน์
ขัน้ ที่ 1 ขั้นนำเข้าสูบ่ ทเรียน (10 นาที)
        - ให้นักเรียนเล่นเกมส์แผ่นป้ายปริศนา โดยภายในจะเป็นภาพและคำถาม โดยครูจะให้นักเรียนเลือกแผ่นป้าย
แล้วเปดิ และถามนักเรยี นว่าเป็นการกระทำที่ถกู หรือผดิ เกีย่ วกับการใชเ้ ทคโนโลยี เพราะอะไร
ขั้นท่ี 2 ขัน้ สอน (30 นาที)
        1. ตั้งประเด็นคำถามเกี่ยวกับเรื่อง การใช้เทคโนโลยีและสารสนเทศ เช่น ถามว่านักเรียนเคยโดนใครกลั่นแกลง้
ทางอนิ เทอรเ์ นต็ มัย้ แลว้ นกั เรียนมีวธิ แี กป้ ญั หาอยา่ งไร
        2. ใหน้ กั เรียนแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกีย่ วกบั ขอ้ สงสัยจากการดูวีดโี อการสอน และ สอบถามปัญหาในการทำใบงานที่
1 รวมทั้งเฉลยและอธิบาย ใบงานที่ 1
        3. ใหน้ กั เรียนทำใบงานที่ 2 เรอื่ ง การใชเ้ ทคโนโลยอี ยา่ งปลอดภัยในชีวิตประจำวัน
        4. ครูสมุ่ ตรวจสอบผลงานของนกั เรียนในชัน้ เรยี น จำนวน 3 คน แล้วใหน้ ำเสนอกบั เพอื่ นในช้นั เรียน
        5.พูดคุยแลกเปลยี่ นความคดิ เห็นในเรอ่ื งการใช้เทคโนโลยีอย่างปลอดภยั
ขน้ั ท่ี 3 ขัน้ สรปุ (10 นาที )
      เล่นเกม Kahoot เพ่ือทดสอบความรู้ 5 ข้อ ขอตัวแทนสรปุ ความรทู้ ไี่ ด้จากการเรียนรู้ทไ่ี ด้เรียนจากคลปิ และ
ความรทู้ ไี่ ด้เรียนในวนั น้ี จากนั้นครูสรุปความรู้เพ่ือทบทวนให้นกั เรียนอีกครัง้ และมอบหมายให้นกั เรียนไปศึกษาบทเรียนท่ี
บ้านเร่อื งท่ีจะเรียนในสปั ดาห์หน้าจาก Blendspace Tes Teach
11. สื่อและแหล่งการเรียนรู้
      1. Poewr point การสอน
      2. Blendspace Tes Teach
      3. ใบกจิ กรรม Live Worksheet
      4.Kahoot
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 38
ตัวอย่างใบกจิ กรรม
11. การวดั ผลประเมินผล
ดา้ น                      วิธีการ                 เคร่ืองมอื            เกณฑ์
สามารถเปรยี บเทียบขอ้ ดี   ใบงานท่ี 1และทดสอบผ่าน  แบบประเมินการทำใบงาน  สามารถเปรียบเทียบ
และข้อเสยี จากการใช้              Kahoot                   ท่ี 1          ขอ้ ดีข้อเสียระดับ
เทคโนโลยีสารสนเทศได้ (K)                                                   คุณภาพดีข้ึนไป
ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ       ใบงานท่ี 2 และสังเกต   แบบประเมินการทำใบงาน  อยู่ในระดบั พอใช้ขน้ึ
อย่างปลอดภยั ได้ และ             พฤติกรรม            ท่ี 2 และแบบสังเกต
ปฎบิ ตั ติ ามข้อตกลงในการ                                                       ไป
ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศได้
(P, A)
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 39
แบบการประเมนิ ใบงานที่ 2 แนวคดิ ในการแกป้ ญั หา
รายการประเมิน                            ระดบั คะแนน
                                    32
                   5    4                                                              10
    สามารถ          สามารถ สามารถ สามารถเปรยี บเทียบ                      สามารถเปรยี บเทียบ สามารถ          ไม่สามารถ
เปรียบเทียบข้อดี   เปรียบเทยี บ เปรยี บเทยี บขอ้ ดี ข้อดีและขอ้ เสยี จาก
และข้อเสยี จากการ   ข้อดแี ละ และข้อเสียจากการ การใช้เทคโนโลยี            ขอ้ ดแี ละข้อเสยี จาก เปรียบเทยี บขอ้ ดี เปรียบเทยี บขอ้ ดี
                   ขอ้ เสียจาก ใชเ้ ทคโนโลยี สารสนเทศได้
  ใชเ้ ทคโนโลยี                                                           การใชเ้ ทคโนโลยี และข้อเสียจากการ และข้อเสยี จาก
  สารสนเทศได้        การใช้ สารสนเทศได้ ถกู ต้อง เพยี ง 3 ขอ้
                   เทคโนโลยี ถูกต้อง เพยี ง 4 ข้อ                         สารสนเทศได้ ใชเ้ ทคโนโลยี การใช้เทคโนโลยี
                   สารสนเทศ
                   ได้ ถกู ตอ้ ง                                          ถูกต้อง เพยี ง 2 ข้อ สารสนเทศได้ สารสนเทศได้
                    สมบูรณ์
                    ครบถ้วน                                                            ถกู ตอ้ ง เพียง 1ขอ้
เกณฑก์ ารตัดสินคณุ ภาพ
                        ชว่ งคะแนน                                        ระดับคุณภาพ
                            5                                                ดมี าก
                           3-4                                                 ดี
                           1-2                                               พอใช้
                            0                                               ปรบั ปรุง
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 40
                                     แบบการประเมนิ ใบงานที่ 1 แนวคิดในการแกป้ ญั หา
รายการ           5                                    ระดบั คะแนน
ประเมิน                              4 3 210
สามารถบอก        สามารถบอกปญั หา สามารถบอกปัญหา สามารถบอก                       สามารถบอก       สามารถบอก ไม่สามารถบอก
ปญั หาจากการ                                                                    ปัญหาจากการ    ปญั หาจากการใช้ ปัญหาจากการใช้
ใชเ้ ทคโนโลยี    จากการใช้ จากการใช้เทคโนโลยี ปญั หาจากการใช้                   ใชเ้ ทคโนโลยี
 สารสนเทศ                                                                       สารสนเทศ ได้     เทคโนโลยี เทคโนโลยี
                 เทคโนโลยี           สารสนเทศ ได้ เทคโนโลยี                                     สารสนเทศ ได้ สารสนเทศ ได้
                                                                                  ถกู ตอ้ ง     ถูกตอ้ งเพยี ง
                 สารสนเทศ ได้ ถกู ตอ้ ง สมบูรณแ์ ต่ สารสนเทศ ได้
                                                                                                  เล็กนอ้ ย
                 ถูกต้อง สมบูรณ์ ยังไมค่ รบถ้วน ถกู ต้อง แตย่ ังไม่
                 ครบถ้วน                                   สมบูรณ์
สามารถระบุ       สามารถระบสุ าเหตุ   สามารถระบสุ าเหตุ      สามารถระบุ          สามารถระบุ     สามารถระบสุ าเหตุ ไม่สามารถระบุ
สาเหตุปัญหา      ปัญหาจากการใช้      ปญั หาจากการใช้       สาเหตุปัญหาจาก       สาเหตปุ ัญหา   ปัญหาจากการใช้ สาเหตุปญั หาจาก
 จากการใช้                                                 การใช้เทคโนโลยี       จากการใช้
 เทคโนโลยี          เทคโนโลยี           เทคโนโลยี           สารสนเทศได้          เทคโนโลยี        เทคโนโลยี การใชเ้ ทคโนโลยี
สารสนเทศ           สารสนเทศได้         สารสนเทศได้         ถูกต้อง แต่ยงั ไม่   สารสนเทศได้      สารสนเทศได้ สารสนเทศได้
                  ถกู ตอ้ ง สมบูรณ์  ถกู ตอ้ ง สมบูรณ์แต่                                        ถกู ต้องเพียง
                                       ยงั ไมค่ รบถว้ น       สมบูรณ์             ถูกตอ้ ง
                     ครบถว้ น                                                                      เล็กนอ้ ย
สามารถระบุ       สามารถระบวุ ธิ ี สามารถระบวุ ิธี          สามารถระบุวิธี       สามารถระบุวธิ ี สามารถระบุวธิ ี ไม่สามารถระบุวธิ ี
วธิ ีแกป้ ญั หา                                            แก้ปัญหาจากการ        แกป้ ญั หาจาก แก้ปญั หาจากการ แกป้ ัญหาจากการ
จากการใช้        แกป้ ัญหาจากการใช้ แกป้ ญั หาจากการใช้                         การใช้เทคโนโลยี ใชเ้ ทคโนโลยี ใชเ้ ทคโนโลยี
เทคโนโลยี                                                   ใช้เทคโนโลยี         สารสนเทศได้ สารสนเทศได้ สารสนเทศได้
สารสนเทศ         เทคโนโลยี           เทคโนโลยี              สารสนเทศได้
                                                           ถูกตอ้ ง แต่ยงั ไม่     ถกู ตอ้ ง ถกู ตอ้ งเพียง
                 สารสนเทศได้ สารสนเทศได้                                                          เล็กน้อย
                                                              สมบรู ณ์
                 ถูกต้อง สมบรู ณ์ ถกู ตอ้ ง สมบรู ณ์แต่
                 ครบถ้วน             ยงั ไม่ครบถว้ น
เกณฑก์ ารตดั สนิ คณุ ภาพ
                                     ชว่ งคะแนน                                 ระดบั คณุ ภาพ
                                       14-15                                       ดีมาก
                                       11-13                                         ดี
                                       9-10                                        พอใช้
                                                                                  ปรบั ปรงุ
                                     นอ้ ยกว่า 8
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 41
           แบบประเมนิ พฤติกรรมการทำงานรายบคุ คล
    ช่ือ-สกลุ นกั เรยี น.....................................................................หอ้ ง..............................เลขท่ี…….
คำชีแ้ จง : ให้ ผู้สอน สงั เกตพฤติกรรมของนกั เรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แลว้ ขีด ✓ ลงใน
ชอ่ งวา่ งท่ีตรงกบั ระดบั คะแนน
ลำดบั ที่              พฤติกรรม                            คณุ ภาพการปฏบิ ตั ิ
                                                         321
1 การแสดงความคิดเหน็
2 ความตรงตอ่ เวลา
3 การทำงานตามหนา้ ทีท่ ีไ่ ดร้ ับมอบหมาย
4 มนี ำ้ ใจ
5 สามารถให้คำแนะนำคนอน่ื ได้
                            รวม
เกณฑก์ ารให้คะแนน                               3 คะแนน     ลงชื่อ.........................................ผูป้ ระเมนิ
       ปฏิบตั ิหรอื แสดงพฤติกรรมอยา่ งสม่ำเสมอ  2 คะแนน
       ปฏิบัตหิ รอื แสดงพฤติกรรมบ่อยคร้ัง       1 คะแนน         (………………………………)
       ปฏบิ ตั หิ รือแสดงพฤตกิ รรมบางครง้ั
                                                         ระดบั คณุ ภาพ
           ช่วงคะแนน                                        ดมี าก
             14-15                                            ดี
             11-13                                          พอใช้
             8-10                                          ปรับปรงุ
            ต่ำกว่า 8
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 42
                         แบบประเมนิ คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
                         ชือ่ -สกุลนกั เรยี น.....................................................................ห้อง..............................เลขท่ี…….
คำชแี้ จง : ให้ ผสู้ อน สงั เกตพฤตกิ รรมของนกั เรียนในระหว่างเรยี นและนอกเวลาเรยี น แล้วขดี ✓ ลงในชอ่ งวา่ งท่ตี รงกับระดบั
คะแนน
     คุณลักษณะ                                     รายการประเมิน                                                                                                 ระดบั คะแนน
  อนั พงึ ประสงคด์ า้ น                                                                                                                                        3 21
1.มีวินัย                1.1 ปฏบิ ัตติ ามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบ ขอ้ บงั คับของครอบครวั และ
2.ใฝ่เรียนรู้                โรงเรียน มคี วามตรงตอ่ เวลาในการปฏบิ ัติกิจกรรมต่างๆ ในชวี ติ ประจำวัน
                             มีความรับผดิ ชอบ
3.มุง่ มน่ั ในการทำงาน
                         2.1 ตั้งใจเรียนเอาใจใสใ่ นการเรยี น และมีความเพียรพยายามในการเรียน
                         2.2 ศกึ ษาคน้ ควา้ หาความรูจ้ ากหนังสอื เอกสาร สิ่งพิมพ์ สื่อเทคโนโลยตี ่างๆ
                             แหล่งการเรยี นรทู้ งั้ ภายในและภายนอกโรงเรยี น และเลอื กใช้สือ่ ไดอ้ ย่าง
                             เหมาะสม
                         2.5 บันทึกความรู้ วเิ คราะห์ ตรวจสอบบางส่ิงท่ีเรยี นรู้ สรุปเป็นองคค์ วามรู้และ
                         นำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
                          มีความตง้ั ใจและพยายามในการทำงานทไี่ ด้รับมอบหมาย
                         รวม
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน                                           ลงช่ือ ........................................... ผปู้ ระเมนิ
                                                            (………………………………)
       พฤติกรรมทีป่ ฏิบัตชิ ดั เจนและสมำ่ เสมอ
       พฤตกิ รรมท่ปี ฏบิ ัติชดั เจนและบอ่ ยครั้ง  ให้ 3 คะแนน
       พฤติกรรมท่ปี ฏบิ ัติบางคร้ัง               ให้ 2 คะแนน
                                                  ให้ 1 คะแนน
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 43
             แบบประเมินสมรรถนะผ้เู รยี น 5 ดา้ น
ชอื่ ..............................................................นามสกลุ .....................................................ชนั้ ........ เลขท่.ี ....
คำชแี้ จง : ให้ ผสู้ อน สงั เกตพฤตกิ รรมของนักเรยี น แล้วขีด ✓ ลงในชอ่ งทต่ี รงกับระดบั คะแนน
             สมรรถนะที่ประเมนิ                     ระดบั คะแนน                                                                                              สรุป
                                                   3 2 1 0 ผล
1. ความสามารถในการส่ือสาร
1.2 มีความสามารถในการถา่ ยทอดความรู้ ความคิด
    ความเข้าใจของตนเอง โดยใช้ภาษาอยา่ งเหมาะสม
1.3 ใชว้ ิธกี ารสอื่ สารทเ่ี หมาะสม
1.4 วเิ คราะห์แสดงความคิดเหน็ อยา่ งมเี หตผุ ล
2. ความสามารถในการคิด
2.1 มคี วามสามารถในการคิดวเิ คราะห์ สงั เคราะห์
2.3 สามารถคิดอยา่ งมวี จิ ารณญาณ
2.4 มคี วามสามารถในการคดิ อยา่ งมีระบบ
2.5 ตัดสนิ ใจแกป้ ญั หาเกี่ยวกบั ตนเองได้
3. ความสามารถในการแก้ปญั หา
3.1 สามารถแกป้ ัญหาและอปุ สรรคต่าง ๆ ท่เี ผชิญได้
3.2 ใช้เหตุผลในการแกป้ ัญหา
4. ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ติ
4.3 นำความรู้ท่ีไดไ้ ปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน
5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
5.3 สามารถนำเทคโนโลยไี ปใช้พฒั นาตนเองได้
5.4 ใชเ้ ทคโนโลยีในการแกป้ ัญหาอยา่ งสรา้ งสรรค์
5.5 มีคณุ ธรรม จริยธรรมในการใช้เทคโนโลยี
สรปุ ผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงคร์ ายบุคคล
 ดีเยีย่ ม   ดี  ผา่ น                           ไมผ่ ่าน
                                                   ลงช่อื ........................................... ผู้ประเมิน
                                                            (………………………………)
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 44
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนนระดบั คณุ ภาพ                       ให้ 3 คะแนน
   ดีเยี่ยม - พฤตกิ รรมท่ปี ฏิบัติชัดเจนและสมำ่ เสมอ  ให้ 2 คะแนน
   ดี - พฤตกิ รรมท่ปี ฏิบตั ิชัดเจนและบ่อยครง้ั       ให้ 1 คะแนน
   ผา่ น - พฤตกิ รรมทีป่ ฏิบตั ิบางครงั้              ให้ 0 คะแนน
   ไมผ่ ่าน - ไม่เคยปฏิบตั พิ ฤตกิ รรม
                      เกณฑก์ ารสรปุ ผลการประเมนิ สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รียน
                               โรงเรยี นพณิ พลราษฎร์ ต้งั ตรงจิตร 12
             การประเมินสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน กำหนดเป็นผ่านและไม่ผ่าน ในการผ่านกำหนดเกณฑ์การ
ตัดสินเปน็ ดเี ย่ยี ม ดี และผา่ น และความหมายของแตล่ ะระดบั ดังน้ี
      ดีเยี่ยม หมายถึง ผู้เรียนปฏิบัติตนตามสมรรถนะจนเป็นนิสัย และนำไปใช้ในชีวิตประจำวนั เพื่อประโยชน์
สุขของตนเองและสงั คม โดยพิจารณาจากผลการประเมินระดับดีเยย่ี ม จำนวน 3-5 สมรรถนะ และไม่มสี มรรถนะ
ใดได้ผลการประเมนิ ตำ่ กว่าระดับดี
      ดี หมายถึง ผู้เรียนมีสมรรถนะในการปฏบิ ัติตามกฎเกณฑ์ เพื่อให้เป็นการยอมรับของสังคม โดยพิจารณา
จาก
      1.ได้ผลการประเมินระดับดีเยี่ยม จำนวน 1-2 สมรรถนะ และไม่มสี มรรถนะใดได้ผลการประเมินต่ำกว่า
ระดบั ดี หรือ
      2.ได้ผลการประเมินระดับดีเยี่ยม จำนวน 2 สมรรถนะ และ ไม่มีสมรรถนะใดได้ผลการประเมินตำ่ กวา่
ระดบั ผ่าน หรอื
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 45
      3.ได้ผลการประเมินระดับดี จำนวน 4-5 สมรรถนะ และไม่มีสมรรถนะใดไดผ้ ลการประเมนิ ตำ่ กว่าระดับ
ผ่าน
      ผ่าน หมายถึง ผเู้ รยี นรับรแู้ ละปฏิบตั ิตามกฎเกณฑ์และเง่ือนไขทส่ี ถานศึกษากำหนด โดยพิจารณาจาก
1.ได้ผลการประเมินระดบั ผ่าน จำนวน 4-5 สมรรถนะ และไมม่ ีคุณลกั ษณะใดได้ผลการประเมินตำ่ กวา่ ระดับผ่าน
หรอื
      2.ได้ผลการประเมินระดับดี จำนวน 2 สมรรถนะ และ ไม่มีสมรรถนะใดได้ผลการประเมินต่ำกว่าระดับ
ผา่ น
      ไม่ผา่ น หมายถึง ผเู้ รยี นรับร้แู ละปฏบิ ัติได้ไมค่ รบตามกฎเกณฑ์และเง่ือนไขที่กำหนด โดยพิจารณาจากผล
การประเมินระดบั ไมผ่ า่ น ต้งั แต่ 1 สมรรถนะ
ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แ บ บ T P A C K M o d e l | 46
                                 บนั ทึกหลังการจัดการเรยี นรู้
บันทึกผลหลงั การสอนวันที.่ .....เดอื น....................................พ.ศ........................
............................................................................................................................. .......................................................
............................................................................................................................. .......................................................
...........................................................................................................................
ปัญหาหรืออุปสรรคท่เี กิดข้ึนในการสอน
............................................................................................................................. .......................................................
............................................................................................................................. .......................................................
...........................................................................................................................
ขอ้ เสนอแนะหรือแนวทางแก้ไข
............................................................................................................................. .......................................................
............................................................................................................................. .......................................................
...........................................................................................................................
                                                     ลงชอ่ื .................................................ครูผสู้ อน
                                                         (นางสาวณัชชา เสือเถื่อน)
ความคดิ เหน็ ของผู้บริหาร/ผู้ท่ไี ด้รับมอบหมาย
......................................................................................................................................................... ...........................
........................................................................................................ ............................................................................
...........................................................................................................................
                                                          ลงชอื่ ....................................................
                                                                 (.........................................)
