The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เล่ม กลุ่ม 2 การเป็นผู้ใฝ่รู้และมีวิสัยทัศน์ หลักธรรมาภิบาลและความซื่อสัตย์สุจริต สมรรถนะด้านการใช้เครื่องมือการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Suteetida Jangho, 2023-02-25 09:48:03

เล่ม กลุ่ม 2 การเป็นผู้ใฝ่รู้และมีวิสัยทัศน์ หลักธรรมาภิบาลและความซื่อสัตย์สุจริต สมรรถนะด้านการใช้เครื่องมือการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล

เล่ม กลุ่ม 2 การเป็นผู้ใฝ่รู้และมีวิสัยทัศน์ หลักธรรมาภิบาลและความซื่อสัตย์สุจริต สมรรถนะด้านการใช้เครื่องมือการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล

รายงาน การเป็นผู้ใฝ่รู้และมีวิสัยทัศน์ หลักธรรมาภิบาลและความซื่อสัตย์สุจริต สมรรถนะด้านการใช้เครื่องมือการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล เสนอ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ทีปพิพัฒน์ สันตะวัน จัดทำโดย นางสาววิมลรัตน์ สีผึ้งทอง รหัส 65121288037 นางสาวเสาวภา โทนใหญ่ รหัส 65121288045 นางสาวศศิวิมล คำสุข รหัส 65121288047 นางสาวกรวิภา กาญจนพิริยะพงศ์ รหัส 65121288049 นางสาวสุธีร์ธิดา แจ้งโห้ รหัส 65121288058 นางสาวเบญจพร อ่องทิพย์ รหัส 65121288059 รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา 1165301 นักบริหารยุคดิจิทัล (Digital-aged Administrators) หลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์


คำนำ รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา 1165301 นักบริหารยุคดิจิทัล (Digital-aged Administrators) จัดทำขึ้นเพื่อประมวลความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับคุณลักษณะของนักบริหารยุคดิจิทัล โดยมี เนื้อหาสาระครอบคลุมในเรื่อง การเป็นผู้ใฝ่รู้และมีวิสัยทัศน์ หลักธรรมาภิบาลและความซื่อสัตย์สุจริต สมรรถนะด้านการใช้เครื่องมือการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล ซึ่งคณะผู้จัดทำได้เรียบเรียงเนื้อหาสาระความรู้ไว้ภายใน เล่ม คณะผู้จัดทำขอขอบพระคุณเจ้าของเอกสารและตำราต่าง ๆ คณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงาน ฉบับนี้จะให้ความรู้และเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านทุกๆ ท่าน คณะผู้จัดทำ


สารบัญ การเป็นผู้ใฝ่รู้และมีวิสัยทัศน์ การเป็นผู้ใฝ่รู้ วิสัยทัศน์ หลักธรรมาภิบาล และความซื่อสัตย์สุจริต ความหมายของธรรมาภิบาล ความสำคัญของหลักธรรมมาภิบาล องค์ประกอบของหลักธรรมาภิบาล เป้าหมายของหลักธรรมาภิบาล สมรรถนะด้านการใช้เครื่องมือการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล ความหมายเครื่องมือการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล ประเภทของเครื่องมือการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล แหล่งสืบค้นและการใช้เครื่องมือการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล การประมวลผลข้อมูลและการนำเสนอ การติดต่อสื่อสารและการประสานงาน งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง บรรณานุกรม 1 1 4 6 6 6 6 7 8 8 8 11 11 16 17 19


1 การเป็นผู้ใฝ่รู้และมีวิสัยทัศน์ หลักธรรมาภิบาลและความซื่อสัตย์สุจริต สมรรถนะด้านการใช้เครื่องมือการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล 4. การเป็นผู้ใฝ่รู้และมีวิสัยทัศน์ 4.1 การเป็นผู้ใฝ่รู้ 4.1.1 นิยามของการใฝ่รู้ พระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตโต) (2530:42-43) ให้ความหมายว่า การใฝ่รู้ใฝ่เรียน หมายถึง ใฝ่รู้ความ จริง ต้องการเขาถึงความจริง ความจริงแท้เมื่อพิจารณาหรือประสบสถานการณ์ใด ก็อยากรู้ซึ้งถึงสิ่งนั้นว่าเป็น อย่างไร คืออะไร มีเหตุปัจจัยเป็นอย่างไร มีคุณโทษอย่างไร วิเคราะห์ออกไป อยากรู้ความจริงให้เข้าถึงความ จริงแท้ อย่างนี้จึงเรียกว่า การใฝ่รู้ ซึ่งเป็นความหมายตามแนวพุทธ สำหรับการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ซึ่ง ไอน์สไตน์ เรียกว่า loving interest in the object and a desire for truth and understanding ก็คือ ความสนใจใฝ่รักในสิ่งนั้น ๆ และความปรารถนาต่อสัจธรรม และปัญญา คือความใฝ่รู้อย่างแท้ จริงที่จะเข้า ให้ ถึงความจริง สรุปแล้วความหมายของการใฝ่รู้ใฝ่เรียน ตามแนวพุทธตามแนววิทยาศาสตร์ มีความหมาย เหมือนกัน คือเป็นความอยากรู้ อยากทำ หรือใฝ่รู้และ ใฝ่ดีเป็นแรงจูงใจอย่างเดียวกัน พระสมชาย ฐานวุฑโฒ (2533:51) กล่าวว่า พหูสูต หรือผู้ใฝ่รู้ใฝ่เรียน หมายถึง ความเป็นผู้ฉลาดรู้ คือ เป็นผู้ที่รู้จักเลือกเรียนในสิ่งที่ ควรรู้ เป็นผู้ที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมามาก ได้ยินได้ฟังมามาก และเป็นคนช่างสังเกตุ ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้เป็นต้นทางแห่งปัญญา ทำให้เกิด ความรู้สำหรับบริหารงานชีวิตและเป็นกุญแจไขไปสู่ ความสุข ลาภ ยศ สรรเสริญ เจริญ และทุกสิ่งที่เรา ปรารถนา บุญชิต มณีโชติ (2540:24) การใฝ่รู้ใฝ่เรียน หมายถึง การที่บุคคลมีแรงจูงใจ ความปรารถนา ความ อยากรู้ อยากเห็น ความกระตือรือร้น ความสนใจ และความพอใจที่ จะแสวงหา ข้อมูลความรู้ต่างๆ เพื่อ ตอบสนองความต้องการ หรือกระหายใคร่รู้ที่เกิดขึ้น พฤติกรรมที่แสดงถึงการใฝ่รู้ใฝ่เรียน เช่น การสนใจ แสวงหาความรู้การคิดสืบค้น การสอบถามผู้รู้ การสืบเสาะหาความรู้ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรม แห่งชาติ (2540:13) ความสนใจใฝ่รู้ใฝ่เรียนและ สร้างสรรค์ หมายถึง คุณลักษณะทางจิตใจและพฤติกรรมที่ แสดงถึง ความกระตือรือร้น สนใจ ใฝ่คิดค้น เสาะแสวงหา ความรู้ด้านต่าง ๆ ความสามารถในการจำแนก เปรียบเทียบ และวิเคราะห์เพื่อ นำมาประยุกต์ใช้ให้เป็นประ โยชน์ในการดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้องและ เหมาะสม ทั้งยังเป็นสิ่งที่บุคคล ควรแสวงหา เพื่ออำนวยให้ชีวิตมี ความเป็นอยู่ที่สะดวก ปลอดภัย และมี ความสุขซึ่งสอดคล้องกับ ความหมายของกรมการศึกษานอกโรงเรียน (2542:3) ชิตสุภางค์ ทิพย์เที่ยงแท้และคณะ (2541:13) การใฝ่รู้ใฝ่เรียน หมายถึง การที่บุคคลมีแรงจูงใจมี ความปรารถนาที่จะได้มาซึ่งความรู้เพื่อตอบสนองความต้องการหรือความอยากรู้อยากเห็น ที่เกิดขึ้น ความต้อง การหรือความอยากรู้ที่เกิดขึ้นนี้เป็นแรงผลักดันหรือแรงจูงใจให้มีการแสดงออกทาง พฤติกรรม เช่น ความ


2 สนใจ ศึกษาค้นคว้าแสวงหาความรู้จากตำรา สนทนากับผู้รู้ นิรันดร์ ตั้งธีระบัณฑิตกุล และคณะ (2543.3) คุณลักษณะการใฝ่รู้ใฝ่เรียน หมายถึง ความสามารถใน การแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง มีความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์รักการประดิษฐ์ ค้นคว้ารู้เท่าทันวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยี และสามารถปรับตัวให้ทันต่อกระแส การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ นิรันดร์ ตั้งระบัณฑิตกุล และคณะ (2543.3) คุณลักษณะการใฝ่รู้ใฝ่เรียน หมายถึง ความสามารถใน การแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง มีความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์รักการประดิษฐ์ ค้นคว้ารู้เท่าทันวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยี และสามารถปรับตัวให้ทันต่อกระแสการเปลี่ยนแปลง ต่างๆ ยุพิน โกณฑา และคณะ (2544:11) คุณลักษณะนิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียน หมายถึง คุณลักษณะ ทางจิตใจและ พฤติกรรมของนักเรียนที่ แสดงถึงความกระตือรือร้นสนใจ เสาะแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ มาเพิ่มประสิทธิภาพใน การเรียนและนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม สุภาพร มากแจ้ง (2544:9) พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงกล่าวว่า ความ ฉลาดรู้หรือความใฝ่รู้ใฝ่เรียน หมายถึง รู้แล้วสามารถนำมาใช้ประโยชน์ ได้จริง ๆ โดยไม่เป็นพิษเป็นโทษ การศึกษาเพื่อความฉลาดรู้ต้องยึดหลักอย่างน้อย 2 ประการ ประการแรก เมื่อจะศึกษาสิ่งใดเรื่องใดให้รู้จริง ควรจะได้ศึกษาให้ตลอด ครบถ้วน ทุกแง่ทุกมุม ไม่ใช่เรียนรู้แต่เพียงบางส่วนบางตอนหรือเพ่งเล็งเฉพาะแต่ เพียงบางแง่บางมุม อีกประการหนึ่ง ซึ่งจะต้องปฏิบัติประกอบ กันไปเสมอ คือ ต้องพิจารณาศึกษาเรื่องนั้น ๆ ด้วยความคิดจิตใจที่ตั้งมั่น เป็นปรกติ เที่ยงตรงและเป็นกลาง พิทักษ์ วงแหวน (2546:11) พฤติกรรมใฝ่เรียน หมายถึง การที่นักเรียนมีการกระทำ หรืออาการ แสดงออกเพื่อตอบสนองสิ่งเร้า โดยมีลักษณะเป็นผู้ที่มีนิสัยรักการอ่าน มีความกระตือรือร้น และสนใจเรียนรู้ จากแหล่งต่าง ๆ มีทักษะในการแสวงหาความรู้ สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองและ พยายามพัฒนาตนเองอย่าง ต่อเนื่อง จากความหมายดังกล่าว สรุปได้ว่า คุณลักษณะใฝ่รู้ใฝ่เรียน หมายถึง คุณลักษณะทาง จิตใจ ที่แสดงถึง ความปรารถนา ความอยากรู้อยากเห็น ความกระตือรือร้น ความสนใจ ความพอใจที่จะแสวงหาความรู้ด้วย ตนเอง ทั้งความรู้ด้านการเรียนและสภาพแวดล้อมรอบตัว มีความรู้เท่าทัน วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีสามารถนา ความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาตนเองและในการดำเนิน ชีวิตประจำวันได้ 4.1.2 แหล่งเรียนรู้ของผู้บริหารมืออาชีพ 1. แหล่งเรียนรู้ต่างๆ ทั้งหนังสือออนไลน์และออฟไลน์ 2. เรียนรู้จากปราชญ์ในด้านต่างๆ คนในองค์กรแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน 3. เรียนรู้จากหน่วยงานต่างๆ ทั้งภายในและ ภายนอกองค์กร หรือจากองค์กรเดียวกันและ ต่างองค์กร


3 4. เรียนรู้จากการลงมือทำด้วยตัวเอง 5. เรียนรู้จากประสบการณ์ในการทำงาน ทั้งข้อดี ข้อเสีย ข้อจำกัด และข้อผิดพลาด 4.1.3 หัวใจสำคัญของผู้ใฝ่รู้ หัวใจนักปราชญ์ “ สุ. จิ. ปุ. ลิ. ” สุ ย่อมาจาก สุตต คือ การฟัง จิ ย่อมาจาก จินตน คือ การคิด ปุ ย่อมาจาก ปุจฉา คือ การถาม ลิ ย่อมาจาก ลิขิต คือ การเขียน 1. สุ. คือ สุต การฟัง ได้แก่ การแสวงหาความรู้ เพราะการเล่าเรียนในสมัยโบราณต้องอาศัยการฟัง เป็นพื้น เพราะการใช้หนังสือยังไม่แพร่หลาย จึงจัดเอาการฟังเป็นหัวข้อสำคัญ คนที่จะเป็นนักปราชญ์ได้ต้อง ฟังมามาก ซึ่งเรียกว่า “พหูสูตร” คือ ผู้ฟังมาก แต่สมัยนี้วิชาหนังสือแพร่หลายทั่วไป จึงควรนับ การอ่านเข้าไป ในข้อพหูสูตรนี้ด้วย คือ รวมความว่าผู้มี่เป็นนักปราชญ์จะต้องฟังมากและอ่านมากด้วย 2. จิ. คือ จินตนะ แปลว่า ความคิด เป็นศัพท์พวกเดียวกับ “จิต” ว่าเครื่องคิด คือ ใจเรานี้เอง คำว่า จิ. คือความคิด ในที่นี้ท่านหมายความว่า “ให้ใช้ความคิด” ซึ่งเป็นขั้นที่ ๒ รองจากการฟังหรือ การอ่าน กล่าวคือ เมื่อเราฟังหรืออ่านเรื่องราวใดๆ เราต้องคิดตามไปด้วย ไม่ใช่ปล่อยจิตไปตามยถากรรมอย่างฟังเสียง นกเสียงกา ถ้าพบข้อความแม้จนคำพูดที่ไม่เข้าใจหรือสงสัย ก็ผูกจิตไว้ตรึกตรองภายหลัง เพราะถ้าจะเอามา ตรึกตรองเวลานั้น ก็จะไม่ได้ฟังเรื่องต่อไปหรือจะจดย่อๆ ก็ได้... เพราะฉะนั้นเราจึงควรใช้ความคิดในการอ่าน ให้เหมาะสมแก่ฐานะที่เราเป็นผู้ใคร่ในการศึกษาจึงจะเหมาะ กล่าวคือต้องใช้ จิ. ไปด้วยให้ได้รับความรู้สมค่าที่ ลงทุนอ่าน 3. ปุ. คือ ปุจฉา การถาม ผู้ที่จะเป็นนักปราชญ์ต้องพยายามแสวงหาความรู้ในการถาม กล่าวคือเมื่อ เราฟังหรืออ่าน ถ้าพบข้อความหรือถ้อยคำที่สงสัยหรือไม่เข้าใจ ก็ผูกจิตไว้ตรึกตรองและค้นคว้าหาความเข้าใจ โดยการสอบถามผู้ที่เรามั่นใจว่าเขารู้ดี ไม่กระดากอายในการไต่ถามสิ่งที่เราไม่รู้ เพราะการทนงตัวว่าเรารู้มาก ดูถูกผู้อื่นว่าไม่รู้และการถือเกียรติว่าไม่ควรถามผู้ที่ต่ำต้อยกว่าตน ทั้ง ๓ ประการนี้เป็นมารที่จะรั้งเราให้ลงจาก ฐานะเป็นนักปราชญ์ แต่ต้องรักษาจริยวัตรในการถามให้มากๆ คือ แสดงให้เขาทราบว่า ถามเพื่อต้องการ ความรู้จริง ด้วยความเคารพจริงๆ ไม่ใช่การถามเพื่อสอบไล่เขาหรือถามเพื่อขัดคอเขาหรือเพื่อข่มเขาให้อาย 4. ลิ. คือ ลิขิต แปลว่า เขียนไว้ ลิ. นี้สำคัญกว่าอื่น เพราะเป็นการแสดงผลของการฟัง การอ่าน การใช้ ความคิด การถาม ในสมัยโบราณการบันทึกข้อความนับว่าสำคัญมาก เพราะมีผู้รู้หนังสือน้อย ท่านจึงตั้งไว้เป็น หัวใจข้อสุดท้ายของนักปราชญ์ เพราะสำคัญที่สุดและสำคัญจริงๆ


4 4.2 วิสัยทัศน์ 4.2.1 ความหมายของวิสัยทัศน์ มีผู้รู้หลากหลายท่าน ได้ให้ความหมายของคำว่า “วิสัยทัศน์” เอาไว้ ดังนี้ (เอกชัย กี่สุขพันธ์ และคณะ, 2553) วิสัยทัศน์ หมายถึง การมองภาพในอนาคต (Future Perspective) เป็นสิ่งที่จะบอกถึงสิ่งที่องค์กรอยากจะเป็นในอนาคต เป็นการบอกทิศทางขององค์กรในอนาคต (Nanus, 1992) วิสัยทัศน์ หมายถึง การมองภาพอนาคตของผู้นำและของสมาชิกในองค์การ และ กำหนดจุดหมายปลายทางที่ต้องการ ที่มีความชัดเจน ท้าทาย มีพลัง และมีความเป็นไปได้ (อาจารย์วรากรณ์ สามโกเศศ) วิสัยทัศน์ หมายถึง ความสามารถในการจินตนาการว่า ประเทศ สังคม องค์การ หรือหน่วยงาน จะพัฒนาไปอย่างไรในอนาคต และความสามารถในการวางแผนที่เหมาะสม เพื่อให้ เป็นไปตามจินตนาการ (ศาสตราจารย์ ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์) วิสัยทัศน์ คือ ภาพแห่งความใฝ่ฝัน ความต้องการใน อนาคต ที่เห็นได้อย่างชัดเจนในปัจจุบัน ซึ่งเป็นภาพที่ยิ่งใหญ่ตระการตา สะท้อนความคิดเชิงรุก และเชื่อมั่นว่า ภาพนั้นสามารถเป็นไปได้ จนส่งผลเป็นการลงแรงกระทำอย่างมุ่งมั่น จนกว่าจะสำเร็จ ผสมผสานองค์ประกอบ ของจินตนาการ การกำหนดเป้าหมาย การมองอนาคต การวางแผน การดำเนินตามเป้าหมายนั้น ด้วยใจที่ยึด มั่นจนถึงที่สุด องค์ประกอบเหล่านี้ เป็นคุณสมบัติส่วนบุคคลที่เรียกว่า “วิสัยทัศน์” (Good Material) วิสัยทัศน์ คือ การหลับตาและจินตนาการถึงอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น มันคือ ความสามารถในการมองเห็นอย่างหนึ่งที่นอกเหนือจากความเป็นจริงที่อยู่ตรงหน้า แต่สำหรับองค์กร วิสัยทัศน์ คือ สิ่งที่บริษัทต้องการจะบรรลุผลในระยะยาว โดยทั่วไปจะอยู่ในกรอบระยะเวลา 5 ถึง 10 ปี หรืออาจจะนาน กว่านั้น สิ่งนี้ จะแสดงถึงภาพในจิตนาการว่า บริษัทหรือองค์กร อยากจะมีลักษณะเช่นไรในอนาคต และถือเป็น การกำหนดทิศทาง เพื่อวางแผนกลยุทธ์ และการดำเนินการขององค์กร จากผู้รู้หลายท่านดังข้างต้น สรุปได้ว่า วิสัยทัศน์ คือ ความสามารถในการคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นใน อนาคต โดยสามารถระบุได้ถึงทิศทาง แนวโน้ม ความเป็นไปได้ ระยะเวลา รวมถึงขั้นตอน วิธีการโดยรวม ที่ สามารถทำได้จริง และเกิดขึ้นได้จริง 4.2.2 การสร้างวิสัยทัศน์ กระบวนการสร้างวิสัยทัศน์ 1. ขั้นเตรียมการ เป็นขั้นตอนการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายและให้เห็นความสำคัญ และความจำเป็นในการสร้างวิสัยทัศน์ในองค์การรวมถึงการมีเจตคติที่ดีของสมาชิกที่มีต่อองค์กร 2. ขั้นดำเนินการสร้างวิสัยทัศน์มีขั้นตอนดังนี้ 2.1 รวบรวมข้อมูลพื้นฐาน ที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงาน เช่น วัตถุประสงค์ ภารกิจหน่วยงาน ความคาดหวังและความต้องการของสมาชิก ผู้รับบริการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น


5 2.2 วิเคราะห์สถานภาพปัจจุบันของหน่วยงานเพื่อให้ผู้บริหารเข้าใจและตระหนักใน สถานภาพปัจจุบัน และศักยภาพของหน่วยงาน 2.3 กลุ่มผู้บริหารเสนอมุมมองแห่งอนาคตเป็นลักษณะของการสร้างฝันของผู้บริหารแต่ละ คน (Create Individuals Dream) จะได้มุมมองที่หลากหลายและครอบคลุม 2.4 นำมุมมองของผู้บริหารแต่ละคนมารวมและเชื่อมโยงกัน (Share and Relate the Dreams) เพื่อให้มุมมองของแต่ละคนมาเชื่อมโยงกัน แล้วเรียงลำดับความสำคัญ 2.5 คัดเลือกและตัดสินใจอนาคตของหน่วยงานที่เป็นความฝันของทุกคน 2.6 ขัดเกลาสำนวนให้สื่อความหมายชัดเจน ปลุกเร้า ท้าท้าย สร้างพลังดลใจ มีสาระ ครอบคลุมองค์ประกอบของวิสัยทัศน์ 3. ขั้นนำวิสัยทัศน์ไปปฏิบัติ เมื่อกำหนดวิสัยทัศน์ตามขั้นตอนการสร้างวิสัยทัศน์แล้วจะได้วิสัยทัศน์ ของหน่วยงาน และเมื่อคณะกรรมการบริหารแล้ว ควรสื่อสารให้สมาชิกทุกคนได้รับทราบและเข้าใจตรงกัน กำหนดแผนงานและโครงการให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ และนำแผน/โครงการไปปฏิบัติ 4. ขั้นประเมินวิสัยทัศน์การประเมินวิสัยทัศน์ทำให้ทราบว่า วิสัยทัศน์นั้น มีพลังและมีประสิทธิภาพ เพียงใด โดยพิจารณาจากผลการดำเนินงานตามแผน และโครงการว่ามีความก้าวหน้าที่มุ่งไปสู่วิสัยทัศน์ เพียงใด ควรปรับปรุงแก้ไขการดำเนินงานเพื่อให้เป็นไปตามวิสัยทัศน์อย่างไร 4.2.3 ลักษณะของวิสัยทัศน์ที่ดี 1. มีมุมมองแห่งอนาคต (Future perspective) สอดคล้องเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมทาง เศรษฐกิจ สังคมวัฒนธรรม และค่านิยมขององค์กร รวมทั้งวัตถุประสงค์และภารกิจขององค์กรนั้น ๆ 2. ริเริ่มโดยผู้นำและสมาชิกมีส่วนร่วมคิดและให้การสนับสนุน (Share and Supported) มี ความน่าเชื่อถือ ทุกคนเต็มใจที่จะปฏิบัติตาม การมีส่วนร่วมของสมาชิกจะก่อให้เกิดความผูกพัน (Commitment) ร่วมกัน และทุกคนพร้อมที่จะให้การสนับสนุน 3. มีสาระครบถ้วนและชัดเจน (Comprehensive & Clear) สะท้อนให้เห็นถึงจุดหมาย ปลายทางและทิศทางที่จะก้าวไปในอนาคตที่ทุกคนเข้าใจง่าย สามารถทำให้สำเร็จได้ตรงตามเป้าหมาย สาระ ต่างๆ จะช่วยกระตุ้น ท้าทายความสามารถและความรู้สึกนึกคิดของบุคลากรที่จะปฏิบัติงาน 4. ให้ความฝันและพลังดลใจ (Positive & Inspiring) ท้าท้าย ทะเยอทะยาน สามารถปลุกเร้า และสร้างความคาดหวังที่เป็นสิ่งพึงปรารถนาที่มองเห็นได้ นั่นคือ มีเส้นทางที่ท้าท้ายความสามารถ 5. มีแผนปฏิบัติที่แสดงให้เห็นวิธีการที่มุ่งสู่จุดหมายชัดเจน และเมื่อปฏิบัติตามแล้วจะให้ผล คุ้มค่า ในอนาคต ทั้งในด้านบุคคลและองค์กร ทั้งนี้ จะต้องมีความสอดคล้องกับจุดหมายปลายทางที่กำหนด เป็น วิสัยทัศน์


6 5. หลักธรรมาภิบาล และความซื่อสัตย์สุจริต 5.1 ความหมายของธรรมาภิบาล ธรรมาภิบาล ( Good Governance) หมายถึง การปกครองที่เป็นธรรมหรือการบริหารกิจการ บ้านเมืองที่ดี ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาประเทศ เพราะเมื่อเกิดมีนโยบายต่างๆ และจะนำไปสู่การปฏิบัติจะ มีการพิจารณาว่าทำอย่างไรถึงจะบรรลุผล และสิ่งหนึ่งที่เป็นกลไกในการขับเคลื่อนก็คือการยึดหลักธรรมาภิ บาล เพื่อการอยู่ร่วมกันของคนในสังคมอย่างสงบสุข สามารถประสานประโยชน์และคลี่คลายปัญหาข้อขัดแย้ง โดยสันติวิธีและพัฒนาสังคมให้มีความยั่งยืน 5.2 ความสำคัญของหลักธรรมาภิบาล ธรรมาภิบาล ( Good Governance) หลักธรรมาภิบาล คือ การปกครอง การบริหาร การจัดการการ ควบคุมดูแล กิจการต่าง ๆ ให้เป็นไปในครรลองธรรม นอกจากนี้ยังหมายถึงการบริหารจัดการที่ดี สามารถ นำไปใช้ได้ทั้งภาครัฐและเอกชน ธรรมที่ใช้ในการบริหารงานธรรมาภิบาล เป็นหลักการที่นำมาใช้บริหารงานใน ปัจจุบันอย่างแพร่หลาย เพราะ ช่วยสร้างสรรค์และส่งเสริมองค์กรให้มีศักยภาพและประสิทธิภาพ อาทิ พนักงานต่างทำงานอย่างซื่อสัตย์สุจริตและขยันหมั่นเพียร ทำให้ผลประกอบการขององค์กรธุรกิจนั้นขยายตัว นอกจากนี้แล้วยังทำให้บุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้อง ศรัทธาและเชื่อมั่นในองค์กรนั้น ๆ อันจะทำให้เกิดการ พัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น องค์กรที่โปร่งใส ย่อมได้รับความไว้วางใจในการร่วมทำธุรกิจ รัฐบาลที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ ย่อมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนและประชาชน ตลอดจนส่งผลดีต่อเสถียรภาพของรัฐบาล และความเจริญก้าวหน้าของประเทศ 5.3 องค์ประกอบของหลักธรรมาภิบาล องค์ประกอบของหลักธรรมาภิบาล ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการสร้างระบบบริหารกิจการ บ้านเมืองและ สังคมที่ดี พ.ศ.2542 ระบุว่าธรรมาภิบาลมีองค์ประกอบ 6 ประกอบ คือ 1. หลักนิติธรรม (The Rule of Law) หลักนิติธรรม หมายถึง การปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับต่าง ๆ โดยถือว่าเป็นการ ปกครองภายใต้กฎหมายมิใช่ตามอำเภอใจ หรืออำนาจของ ตัวบุคคล จะต้องคำนึงถึงความเป็นธรรม และ ความยุติธรรม รวมทั้งมีความรัดกุมและ รวดเร็วด้วย 2. หลักคุณธรรม (Morality) หลักคุณธรรม หมายถึง การยึดมั่นในความถูกต้อง ดีงาม การส่งเสริม ให้บุคลากรพัฒนาตนเอง ไป พร้อมกัน เพื่อให้บุคลากรมีความซื่อสัตย์ จริงใจ ขยัน อดทน มีระเบียบ วินัย ประกอบอาชีพสุจริต เป็นนิสัย ประจำชาติ


7 3. หลักความโปร่งใส (Accountability) หลักความโปร่งใส หมายถึง ความโปร่งใส พอเทียบได้ว่ามีความหมาย ตรงข้าม หรือเกือบตรงข้าม กับ การทุจริต คอร์รัปชั่น โดยที่เรื่องทุจริต คอร์รัปชั่น ให้มี ความหมายในเชิงลบ และความน่าสะพรึงกลัวแฝงอยู่ ความโปร่งใสเป็นคำศัพท์ที่ให้แง่มุมในเชิงบวก และให้ความสนใจในเชิงสงบสุข ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ได้สะดวกและเข้าใจง่าย และมีกระบวนการให้ประชาชนตรวจสอบความถูกต้องอย่างชัดเจนในการนี้ เพื่อเป็น สิริมงคลแก่บุคลากรที่ปฏิบัติงานให้มีความโปร่งใส ขออัญเชิญพระราชกระแสรับสั่งในองค์พระบาทสมเด็จ พระ เจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ที่ได้ทรงมีพระราชกระแสรับสั่ง ได้แก่ ผู้ที่มีความสุจริต และบริสุทธิ์ใจ แม้ จะมีความรู้น้อยก็ย่อมทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมได้มากกว่าผู้ที่มีความรู้มาก แต่ไม่มีความสุจริต ไม่มีความ บริสุทธิ์ใจ 4. หลักการมีส่วนร่วม (Participation) หลักการมีส่วนร่วม หมายถึง การให้โอกาสให้บุคลากรหรือผู้มี ส่วนเกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมทางการ บริหารจัดการเกี่ยวกับการตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ เช่น เป็นคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ และหรือ คณะทำงานโดยให้ข้อมูล ความคิดเห็น แนะนำ ปรึกษา ร่วมวางแผนและร่วมปฏิบัติ 5. หลักความรับผิดชอบ (Responsibility ) หลักความรับผิดชอบ หมายถึง การตระหนักในสิทธิและหน้าที่ ความสำนึกในความรับผิดชอบต่อ สังคม การใส่ใจปัญหาการบริหารจัดการ การกระตือรือร้นในการแก้ปัญหา และเคารพในความคิดเห็นที่ แตกต่าง รวมทั้งความกล้าที่จะยอมรับผลดีและผลเสียจากกระทำของตนเอง 6. หลักความคุ้มค่า (Cost – effectiveness or Economy) หลักความคุ้มค่า หมายถึง การบริหารจัดการและใช้ทรัพยากรที่มีจำกัด เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ ส่วนรวม โดยรณรงค์ให้บุคลากรมีความประหยัด ใช้วัสดุอุปกรณ์อย่างคุ้มค่า และรักษาทรัพยากรธรรมชาติให้ สมบูรณ์ยั่งยืน แนวทางปฏิบัติตามหลัก “ธรรมาภิบาล” ธรรมาภิบาลมีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจอย่างชัดเจน เพราะหลักทั้ง 6 ประการ สามารถนำมาแปรเป็นวิธีปฏิบัติสำหรับองค์กร เพราะเมื่อองค์กรมีการปฏิบัติที่ดีต่อ พนักงาน พนักงานก็มีความสุขมีขวัญและกำลังใจในการทำงาน ส่งผลให้พนักงานทุกคนรักและทุ่มเทในการ ทำงาน และพร้อมมีส่วนร่วมในความก้าวหน้าของบริษัท ดังนั้น การนำธรรมภิบาลมาใช้เป็นแนวทางในการ บริหารงาน จึงมีความสำคัญและจำเป็นต่อความสำเร็จขององค์กรทุกประเภททุกระดับ 5.4 เป้าหมายของหลักธรรมาภิบาล รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกัรไทยฉบับ พ.ศ.2550 ได้สร้างระบบบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีอันเรียก เป็นศัพท์ภาษาอังกฤษว่า “ good governance” โดยมีเป้าหมายร่วมกันอยู่ 3ประการ ประกอบด้วย ประการแรก การบรหิารมุ่ง ผลสัมฤทธิ์เพื่อให้การบริหารงานภาครัฐ


8 มีคุณภาพได้มาตรฐานตามที่ประชาชนต้องการ มีความโปร่งใสในการตัดสินใจและในกระบวนการทำงาน ให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสาร ร่วมแสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมในการทำงาน รวมทั้งการประหยัด มีประสิทธิภาพต่อผลงานนั้นแทนการเน้นทำให้ถูกต้องตามกฎระเบียบและวิธีการเพียง อย่างเดียว ประการที่สอง การปรับเปลี่ยนบทบาทการทำงานของภาครัฐ โดยเน้นงานในหน้าที่หลักของภาครัฐซึ่ง ได้แก่ การกำหนดนโยบายที่มองการณ์ไกลการมีบังคับใช้กฎหมายที่ให้ความเสมอภาคเป็นธรรมและองค์การ บริหารอย่างเป็นอิสระ มีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการดำเนินการ ประการที่สาม การบริหารแบบพหุภาคีได้แก่ การบริหารที่ให้ผู้มีส่วนได้เสียเข้ามามีส่วนร่วมในการ กำหนดเป้าหมายตัดสินใจหรือร่วมปฏิบัติงานโดยไม่ผูกขาดหรือรวมศูนย์อำนาจพระราชกฤษฎีกาว่าด้วย หลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 ได้กำหนดขอบเขตเป้าหมายของคำว่า การ บริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีว่า ได้แก่ การบริหารราชการเพื่อบรรลุเป้าหมาย ดังต่อไปนี้ 1. เกิดประโยชน์สุขของประชาชน 2. เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ 3. มีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่าในเชิงภารกิจรัฐ 4. ไม่มีขั้นตอนการปฏิบัติงานเกินความจำเป็น 5. มีการปรับปรุงภารกิจของส่วนราชการให้ทันต่อสถานการณ์ 6. ประชาชนได้รับการอำนวยความสะดวกและได้รับการตอบสนองความต้องการ 7. มีการประเมินผลการปฏิบัติราชการอย่างสม่ำเสมอ 6. สมรรถนะด้านการใช้เครื่องมือการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล 6.1 ความหมายเครื่องมือการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล การศึกษาในยุคดิจิทัล เป็นวิถีการเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีที่มีเครื่องมือดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้เป็นเสมือน อาวุธสำคัญของผู้เรียนและผู้สอนในการเข้าถึงแหล่งความรู้และใช้สร้างสรรค์งานได้อย่างสะดวก เครื่องมือ ดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้ เป็นโปรแกรมหรือแอพลิเคชั่นสำหรับการเรียนรู้ของบุคคลทั้งแบบเรียนรู้ด้วยตนเองหรือ เรียนรู้แบบกลุ่ม ซึ่งผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงด้วยการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านคอมพิวเตอร์ แทบเล็ต หรือสมาร์ท โฟน 6.2 ประเภทเครื่องมือการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล 1) เครื่องมือการจัดการเรียนการสอน ประกอบด้วย เครื่องมือสร้างบทเรียนอีเลิร์นนิ่ง ระบบการ จัดการเรียนรู้ และเครื่องมือโต้ตอบในชั้นเรียน


9 เครื่องมือ e-Learning ด้วยความต้องการการฝึกอบรมที่เปลี่ยนแปลง ไปในอุตสาหกรรมต่าง ๆ การใช้ แนวทางอีเลิร์นนิงเพิ่มขึ้น ในปี 2020 HTML5 ได้กลายเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมสำหรับองค์กรที่ต้องการส่ง มอบการเรียนรู้ออนไลน์ ที่น่าสนใจเป็นส่วนตัวและมีหลายอุปกรณ์ ด้วยขอบเขตของเครื่องมืออีเลิร์นนิงที่มีอยู่ ในตลาดการเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณคือการตัดสินใจที่สำคัญ HTML5 เป็นภาษามาตรฐาน ในการสร้างเนื้อหาบนเว็บ มันมีขอบเขตของผลประโยชน์ 2) เครื่องมือพัฒนาเนื้อหา ประกอบด้วย เครื่องมือพัฒนาเนื้อหา เครื่องมือจับภาพหน้าจอและจับ ภาพเคลื่อนไหวบนหน้าจอ และเครื่องมือแบบฟอร์มสำรวจ 3) เครื่องมือทรัพยากรบนเว็บไซต์ ประกอบด้วย เครื่องมือสืบค้นข้อมูลในอินเทอร์เน็ต เครื่องมือแหล่ง ทรัพยากรบนเว็บไซต์ เครื่องมือหลักสูตรออนไลน์บนเว็บไซต์ เครื่องมือข่าวและจัดการเนื้อหา และเครื่องมือ บล็อกและเว็บไซต์ 4) เครื่องมือทางสังคม ประกอบด้วย เครื่องมือเครือข่ายทางสังคมและส่งข้อความ เครื่องมือการ ประชุมผ่านวิดีโอ เครื่องมือการใช้แฟ้มข้อมูลร่วมกัน และเครื่องมือการทำงานเป็นทีมและร่วมมือกัน 5) เครื่องมือส่วนบุคคลและพัฒนางาน ประกอบด้วย เครื่องมือสำนักงาน เครื่องมืออีเมล์และ เครื่องมือเพิ่มผลผลิตส่วนบุคคล


10 ประเภทของข้อมูล สามารถแบ่งประเภทข้อมูลได้หลายรูปแบบขึ้นอยู่กับความต้องการ ลักษณะของข้อมูลที่นำไปใช้และ เกณฑ์ที่นำมาพิจารณา 1. การแบ่งข้อมูลตามลักษณะของข้อมูล เป็นการแบ่งข้อมูลขั้นพื้นฐานโดยพิจารณาจากการรับ ข้อมูลของประสาทสัมผัส (Sense) ของร่างกาย ได้แก่ ข้อมูลภาพที่ได้รับจากการมองเห็นด้วยดวงตา ข้อมูล เสียงที่ได้รับจากการฟังด้วยหู ข้อมูลกลิ่นที่ได้รับจากการสูดดมด้วยจมูก ข้อมูลรสชาติที่ได้รับจากการรับรสชาติ ด้วยลิ้น และข้อมูลสัมผัสที่ได้รับจากความรู้สึกด้วยผิวหนัง 2. การแบ่งข้อมูลตามแหล่งข้อมูลที่ได้รับ โดยพิจารณาจากลักษณะของที่มาหรือการได้รับข้อมูล 2.1 ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Data) คือ ข้อมูลที่ได้จากจุดกำเนิดของข้อมูลนั้นๆ เป็นการเก็บรวบรวม หรือบันทึกจากแหล่งข้อมูลโดยตรงด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การสอบถาม การสัมภาษณ์ การสำรวจ การจดบันทึก ตลอดจนการใช้เทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งข้อมูลปฐมภูมิจัดเป็นข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือมากที่สุด ตัวอย่างข้อมูลปฐม ภูมิ ได้แก่ ข้อมูลการมาโรงเรียนสายของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งได้จากการจดบันทึกในรอบ 1 เดือนที่ ผ่านมา 2.2 ข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Data) คือ การนำข้อมูลที่ผู้อื่นได้เก็บรวบรวมหรือบันทึกไว้แล้วมาใช้ งาน ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเก็บรวบรวมหรือบันทึกด้วยตนเอง จัดเป็นข้อมูลที่เกิดขึ้นในอดีต มักผ่านการประมวลผล แล้ว บางครั้งจึงไม่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ และข้อมูลที่ได้มีความคลาดเคลื่อน ไม่ทันสมัย ตัวอย่างข้อมูล ทุติยภูมิ ได้แก่ สถิติการมาโรงเรียนสายของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในปี พ.ศ. 2551 3. การแบ่งข้อมูลตามการจัดเก็บในสื่ออิเล็กทรอนิกส์มีลักษณะคล้ายการแบ่งข้อมูลตามลักษณะ ของข้อมูล แต่มีการแยกลักษณะข้อมูลตามชนิดและนามสกุลของข้อมูลนั้น ๆ ซึ่งจะตั้งตามประเภทของข้อมูล และโปรแกรมที่ใช้สร้างข้อมูล ได้แก่ 3.1 ข้อมูลตัวอักษร (Text Data) เช่น ตัวหนังสือ ตัวเลข และสัญลักษณ์ ข้อมูลประเภทนี้มักมี นามสกุลต่อท้ายไฟล์เป็น .txt และ .doc 3.2 ข้อมูลภาพ (Image Data) เช่น ภาพกราฟิกต่างๆ และภาพถ่ายจากกล้องดิจิตอล ข้อมูลประเภทนี้ มักมีนามสกุลต่อท้ายไฟล์เป็น .bmp .gif และ .jpg 3.3 ข้อมูลเสียง (Sound Data) เช่น เสียงพูด เสียงดนตรี และเสียงเพลง ข้อมูลประเภทนี้มักมี นามสกุลต่อท้ายชื่อไฟล์เป็น .wav .mp3 3.4 ข้อมูลภาพเคลื่อนไหว (Video Data) เช่นภาพเคลื่อนไหว ภาพมิวสิควีดิโอ ภาพยนตร์ คลิปวีดีโอ ข้อมูลประเภทนี้มักมีนามสกุลต่อท้ายชื่อไฟล์เป็น .avi .mov


11 4. การแบ่งข้อมูลตามระบบคอมพิวเตอร์ มีลักษณะคล้ายและใกล้เคียงกับการแบ่งข้อมูลตามการ จัดเก็บในสื่ออิเล็กทรอนิกส์มาก แต่มุ่งเน้นพิจารณาการแบ่งประเภทตามการนำข้อมูลไปใช้งานในระบบ คอมพิวเตอร์ ได้แก่ 4.1 ข้อมูลเชิงจำนวน (Numeric Data) มีลักษณะเป็นตัวเลขที่สามารถนำมาคำนวณด้วยคอมพิวเตอร์ ได้ เช่น จำนวนเงินในกระเป๋า จำนวนค่าโดยสารรถประจำทาง และจำนวนนักเรียนในห้องเรียน 4.2 ข้อมูลอักขระ (Character Data) มีลักษณะเป็นตัวอักษร ตัวหนังสือ และสัญลักษณ์ต่างๆ ซึ่ง สามารถนำเสนอข้อมูลและเรียงลำดับได้แต่ไม่สามารถนำมาคำนวณได้ เช่น หมายเลขโทรศัพท์ เลขที่บ้าน และ ชื่อของนักเรียน 4.3 ข้อมูลกราฟิก (Graphical Data) เป็นข้อมูลที่เกิดจากจุดพิกัดทางคอมพิวเตอร์ ทำให้เกิดรูปภาพ หรือแผนที่ เช่น เครื่องหมายการค้า แบบก่อสร้างอาคาร และกราฟ 4.4 ข้อมูลภาพลักษณ์ (Image Data) เป็นข้อมูลแสดงความเข้มและสีของรูปภาพที่เกิดจากการสแกน ของสแกนเนอร์เป็นหลัก ซึ่งสามารถนำเสนอข้อมูล ย่อหรือขยาย และตัดต่อได้ แต่ไม่สามารถนำมาคำนวณ หรือดำเนินการอย่างอื่นได้ 6.3 แหล่งสืบค้นและการใช้เครื่องมือการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล การศึกษาในยุคดิจิทัล เป็นวิถีการเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีที่มีเครื่องมือดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้เป็นเสมือน อาวุธสำคัญของผู้เรียนและผู้สอนในการเข้าถึงแหล่งความรู้และใช้สร้างสรรค์งานได้อย่างสะดวก เครื่องมือ ดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้ เป็นโปรแกรมหรือแอพลิเคชั่นสำหรับการเรียนรู้ของบุคคลทั้งแบบเรียนรู้ด้วยตนเองหรือ เรียนรู้แบบกลุ่ม ซึ่งผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงด้วยการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านคอมพิวเตอร์ แทบเล็ต หรือสมาร์ท โฟน สามารถแบ่งประเภทเครื่องมือดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้ตามลักษณะการใช้งาน 6.4 การประมวลผลข้อมูลและการนำเสนอ ข้อมูล (data) ข้อเท็จจริง (fact) ที่อยู่ในรูปแบบตัวอักษร ตัวเลข สัญลักษณ์พิเศษ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว และเสียง ซึ่งสามารถบันทึกไว้อย่างต่อเนื่องและมีความหมายอยู่ในตัว เช่น ชื่อนักเรียน อายุ เพศ จำนวนประชากร ปริมาณน้ำฝน เป็นต้น ข้อมูลจะมีอยู่จำนวนมากและจะถูกนำไปประมวลผลเพื่อใช้ประโยชน์ในเรื่องต่าง ๆ ได้ มากมาย


12 ลักษณะของข้อมูลที่ดี 1. ความถูกต้องแม่นยำ (accuracy) ข้อมูลที่ดีควรจะมีความถูกต้องแม่นยำสูง หรือถ้ามีความ คลาดเคลื่อน (errors) ปนอยู่บ้าง ก็ควรที่จะสามารถควบคุมขนาดของความคลาดเคลื่อนที่ปนมาให้มีความ คลาดเคลื่อน น้อยที่สุด 2. ความทันเวลา (timeliness) เป็นข้อมูลที่ทันสมัย (up to date) และทันต่อความต้องการของ ผู้ใช้ ถ้าผลิตข้อมูลออกมาช้า ก็ไม่มีคุณค่าถึงแม้จะเป็นข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำก็ตาม 3. ความสมบูรณ์ครบถ้วน (completeness) ข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาต้องเป็นข้อมูลที่ให้ข้อเท็จจริง (facts) หรือข่าวสาร (information) ที่ครบถ้วนทุกด้านทุกประการ มิใช่ขาดส่วนหนึ่งส่วนใดไปทำให้นำไปใช้ การไม่ได้ 4. ความกะทัดรัด (conciseness) ข้อมูลที่ได้รับส่วนใหญ่จะกระจัดกระจาย ควรจัดข้อมูลให้อยู่ใน รูปแบบที่กะทัดรัด สะดวกต่อการใช้และค้นหา ผู้ใช้มีความเข้าใจได้ทันที 5. ความตรงกับความต้องการของผู้ใช้ (relevance) ข้อมูลที่จัดทำขึ้นมาควรเป็นข้อมูลที่ผู้ใช้ข้อมูล ต้องการใช้ และจำเป็นต้องรู้ / ทราบ หรือเป็นประโยชน์ต่อการจัดทำแผนกำหนดนโยบายหรือตัดสินปัญหาใน เรื่องนั้นๆ ไม่ใช่เป็นข้อมูลที่จัดทำขึ้นมาอย่างมากมาย แต่ไม่มีใครต้องการใช้หรือไม่ตรงกับความต้องการของ ผู้ใช้ข้อมูล 6. ความต่อเนื่อง (continuity) การเก็บรวบรวมข้อมูล ควรอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินการอย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่องในลักษณะของอนุกรมเวลา (time-series) เพื่อจะได้นำไปใช้ประโยชน์ในด้านการวิเคราะห์วิจัย หรือหาแนวโน้มในอนาคต วิธีการประมวลผลข้อมูล การประมวลผลข้อมูล (Data Processing) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงหรือจัดระเบียบข้อมูลให้อยู่ใน รูปแบบที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน ข้อมูลโดยทั่วไปเกิดขึ้นอย่างไม่เป็นระเบียบจากขบวนการนับหรือการวัด ไม่ สามารถสื่อความหมายให้เข้าใจหรือใช้ประโยชน์ได้ การประมวลผลจึงเป็นวิธีการนำข้อมูล กลายสภาพเป็น สารสนเทศ ที่มีประสิทธิภาพและนำไปใช้ประโยชน์ต่อไปได้ ซึ่งวิธีการประมวลผลข้อมูลเพื่อให้ได้มาซึ่ง สารสนเทศ มีหลายวิธี ดังนี้ 1. การคำนวณ (Calculation) หมายถึง การนำข้อมูลที่เป็นตัวเลขมาทำการ บวก ลบ คูณ หารยก กำลัง เช่น การคำนวณภาษี การคำนวณค่าแรง เป็นต้น 2. การจัดเรียงข้อมูล (Sorting) เป็นการเรียงข้อมูลจากน้อยไปหามาก หรือมากไปหาน้อย เพื่อทำให้ ดูง่ายขึ้น ค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้เร็วขึ้น เช่น การเรียงคะแนนดิบของนักเรียนจากมากไปหาน้อย การเก็บบัตร ดัชนีสำหรับหนังสือต่างๆ โดยการเรียงตามตัวอักษร จาก ก ข ค ถึง ฮ เป็นต้น จะเห็นได้ว่าการเรียงลำดับ


13 ข้อมูลสองประเภทใหญ่ๆด้วยกันคือ การเรียงข้อมูลที่เป็นตัวเลข (Numeric) และการเรียงข้อมูลที่เป็นตัวอักษร (Alphabetic) สำหรับการจัดเรียงข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์นั้นถ้าข้อมูลเป็นตัวอักษรจะจัดเรียงตามลำดับ ของรหัสแทนข้อมูล 3. การจัดกลุ่ม (Classifying) หมายถึง การจัดข้อมูลโดยการแยกออกเป็นกลุ่มหรือประเภทต่างๆ เช่น การนำข้อมูลเกี่ยวกับประวัตินักศึกษา มาแยกตามคณะต่างๆเช่น แยกเป็นนักศึกษาที่สังกัดคณะวิทยาศาสตร์ นักศึกษาที่สังกัดคณะครุศาสตร์ เป็นต้น การทำเช่นนี้ทำให้การค้นหาข้อมูลทำได้ง่ายขึ้น และยังสะดวกสำหรับ ทำรายงานต่างๆ 4. การดึงข้อมูล (Retrieving) หมายถึง การค้นหาและการนำข้อมูลที่ต้องการมาจากแหล่งเก็บเพื่อ นำไปใช้งาน เช่น ต้องการทราบค่าคะแนนเฉลี่ยๆ สะสมของนักศึกษา ที่มีเลขประจำตัว 33555023 ซึ่งสังกัด คณะวิทยาศาสตร์ ถ้าข้อมูลเรียงโดยแยกตามคณะวิชาและในแต่ละคณะวิชาเรียงตามหมายเลขประจำตัว การ ดึงข้อมูลจะเริ่มต้นค้นหาแฟ้มของคณะวิชา และค้นหาข้อมูลเริ่มจากกลุ่มแรก โดยดูเลขประจำตัวจนกระทั่งพบ หมายเลขประจำตัว 33555023 ก็จะดึงเอาค่าคะแนนเฉลี่ยสะสมของนักศึกษาผู้นี้นำไปใช้ตามที่ต้องการ 5. การรวมข้อมูล (Merging) หมายถึง การนำข้อมูลตั้งแต่สองชุดขึ้นไปมารวมกันให้เป็นชุดเดียวเช่น การนำประวัติส่วนตัวของนักศึกษา และประวัติการศึกษามารวมเป็นชุดเดียวกัน เป็นประวัตินักศึกษา เป็นต้น การรวมข้อมูลจัดได้ว่าเป็นวิธีการที่นิยมใช้กันมากในระบบการจัดการฐานข้อมูลในปัจจุบันนี้ 6. การสรุปผล (Summarizing) หมายถึง การสรุปส่วนต่างๆ ของข้อมูลโดยย่อเอาเฉพาะส่วนที่เป็น ใจความสำคัญ เพื่อเน้นจุดสำคัญและแนวโน้ม เช่น การนำข้อมูลมาแจงนับและทำเป็นตารางการหายอด นักศึกษาของแต่ละวิชา ข้อมูลเหล่านี้ใช้สำหรับพิมพ์เป็นรายงานสรุปส่งขึ้นไปให้ผู้บริหารระดับสูง เพื่อใช้ในการ บริหาร 7. การทำรายงาน (Reporting) การนำข้อมูลมาจัดพิมพ์รายงานรูปแบบต่างๆ เช่น รายงานการ วิเคราะห์อาชีพของผู้ปกครองของนักศึกษา รายงานการเรียนของนักศึกษา เป็นต้น 8. การบันทึก (Recording) หมายถึง การจดบันทึกข้อมูลเอาไว้โดยทำการคัดลอกข้อมูลจากต้นฉบับ แล้วเก็บเป็นแฟ้ม (Filing) เช่น การบันทึกประวัติส่วนตัวนักศึกษาแต่ละคน เป็นต้น 9. การปรับปรุงรักษาข้อมูล (Updating) หมายถึง การเพิ่ม (Add) หรือการเอาออก (Delete) และ การเปลี่ยนค่า (Change) ข้อมูลที่อยู่ในแฟ้มให้ทันสมัยอยู่เสมอ ขั้นตอนการประมวลผลข้อมูล 1. การรวบรวมเอกสารข้อมูลหมายถึง เอกสารข้อมูลที่ได้ถูกบันทึกโดยแหล่งใช้ข้อมูลนั้น เช่น บัตร ลงทะเบียนเรียนของนักศึกษา ใบรายชื่อประวัติหมู่เรียน เป็นต้น เอกสารข้อมูลนับเป็นสิ่งจำเป็นยิ่ง หาก เอกสารผิดพลาดหรือไม่ครบถ้วน รายงานที่ได้จากการประมวลผลย่อมผิดพลาดไปด้วย ฉะนั้น งานในขั้นนี้ก็คือ


14 จะต้องสร้างวิธีการควบคุม ซึ่งส่วนใหญ่มักใช้การจัดเอกสารให้เป็นกลุ่ม มีใบนำส่งที่แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับ จำนวนเอกสารจากจุดต่างๆ ถ้าไม่ครบถ้วน หรือมีข้อผิดพลาดก็จะสามารถทราบจุดที่ติดต่อสอบถามได้ง่าย สำหรับการประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์อาจจะหมายถึงการรวบรวมแฟ้มข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันไว้ในแหล่งข้อมูล ที่สามารถเรียกใช้ ดังเช่นในระบบฐานข้อมูลที่ประกอบด้วยแฟ้มข้อมูลจำนวนมากนั่นเอง 2. การเตรียมข้อมูลหมายถึง การจัดเตรียมข้อมูลที่รวบรวมมาแล้วให้อยู่ในรูปที่สะดวกต่อการ ประมวลผล ซึ่งได้แก่ งานต่างๆ ดังต่อไปนี้ - งานบรรณาธิกรเบื้องต้น (Preliminary Editing) คือ การนำข้อมูลที่รวบรวมได้ของแต่ละ หน่วยงานมาตรวจสอบความถูกต้องและครบถ้วน และทำการปรับปรุงแก้ไขในกรณีที่เอกสารมีข้อผิดพลาดต้อง แก้ไขใหม่ ถ้าเป็นข้อมูลที่สำคัญ เช่นตัวเลขทางการเงินที่จะยอมให้คลาดเคลื่อนไม่ได้ควรส่งไปยังแหล่งที่ให้ เอกสารข้อมูลทำการแก้ไขปรับปรุง การบรรณาธิกรเบื้องต้นนี้นับว่าเป็นสิ่งสำคัญยิ่งเพราะถ้าข้อมูลผิดพลาด ย่อมทำให้ผลสรุป หรือรายงานที่ได้ผิดพลาดไปด้วย - การลงรหัส (Coding) หมายถึง การใช้รหัสแทนข้อมูล เช่น จากข้อมูลเกี่ยวกับภูมิลำเนาของ นักศึกษาอาจจำแนกได้เป็นเขตๆ 3. การประมวลผลในส่วนของการประมวลผลแฟ้มข้อมูล หมายถึง การสร้างความสัมพันธ์ของข้อมูล ระหว่างแฟ้มข้อมูลการออกแบบโปรแกรมเพื่อการประมวลผลแฟ้มข้อมูลต่างๆ เมื่อผ่านการรวบรวมและ เตรียมข้อมูลแล้วเราสามารถใช้วิธีการประมวลผลวิธีใดวิธีหนึ่ง หรือหลายวิธีดังที่ได้กล่าวมาแล้ว เช่น การ คำนวณ การเรียงลำดับ เป็นต้น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์เป็นข้อสนเทศ ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปรายงาน ตาราง หรือกราฟ วิธีการประมวลผลข้อมูลโดยใช้คอมพิวเตอร์ มี 2 วิธี 1. การประมวลผลแบบเชื่อมตรง (online processing) หมายถึง การทำงานในขณะที่ข้อมูลเดินทาง ไปบนสายสัญญาณเชื่อมต่อจากเครื่องปลายทาง (terminal) ไปยังฐานข้อมูลของเครื่องหลักที่ใช้ในการ ประมวลผล การประมวลผลแบบเชื่อมตรงจึงเป็นการประมวลผลโดยทันทีทันใด เช่น การจองตั๋วเครื่องบิน การ ซื้อสินค้าในห้างสรรพสินค้า การฝากถอนเงินผ่านตู้เอทีเอ็ม อาจกล่าวได้ว่าการประมวลผลแบบเชื่อมตรงจึง เป็นวิธีการที่ใช้กันมากในปัจจุบัน 2. การประมวลผลแบบกลุ่ม (batch processing) หมายถึง การประมวลผลในเรื่องที่สนใจเป็นครั้งๆ เช่น เมื่อต้องการทราบผลสำรวจความนิยมของประชาชนต่อการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือที่ เรียกว่า โพล (poll) ก็มีการสำรวจข้อมูลโดยเก็บรวบรวมข้อมูล เมื่อเก็บรวบรวมข้อมูลได้แล้ว ก็นำมาป้อนเข้า เครื่องคอมพิวเตอร์ แล้วนำข้อมูลนั้นมาประมวลผลตามโปรแกรมที่ได้กำหนดไว้ เพื่อรายงานผล หรือสรุปผลหา คำตอบ กรณีการประมวลผลแบบกลุ่มจึงกระทำในลักษณะเป็นครั้งๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ โดยจะต้องมีการ รวบรวมข้อมูลไว้ก่อน


15 ซึ่งในการประมวลผลทั้งสองแบบนี้เป็นวิธีการที่ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยดำเนินการกับข้อมูลจำนวน มากเพื่อแยกแยะ คำนวณ หรือดำเนินการตามที่กำหนดไว้ในโปรแกรม การทำงานของคอมพิวเตอร์ในการ ประมวลผลจึงต้องมีซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมคอยสั่งการเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ในรูปแบบที่ต้องการ การนำเสนอข้อมูล การนำเสนอข้อมูล เป็นการนำข้อมูลที่รวบรวมข้อมูลที่ได้จากการศึกษามานำเสนอ หรือทำการ เผยแพร่ให้ผู้ที่สนใจได้รับทราบ หรือนำไปวิเคราะห์เพื่อไปใช้ประโยชน์แบ่งออกได้ 2 ลักษณะ คือ 1. การนำเสนออย่างไม่เป็นแบบแผน 1.1 การนำเสนอในรูปของบทความ เช่น " ในระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมาการเมืองของไทยอยู่ในสภาพที่ขาดเสถียรภาพ มีการเดินขบวน เรียกร้องในด้านต่างๆมากมาย เนื่องจากความเป็นอยู่ที่แตกต่างกัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านได้ให้ แนวทางในการดำเนินชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียงและแนวทางสมานฉันท์เพื่อให้ความเป็นอยู่ที่ดีและเกิดความ ปองดองในชาติ" 1.2 การนำเสนอข้อมูลในรูปของข้อความกึ่งตาราง เป็นการนำเสนอข้อมูลที่มีข้อความและมีส่วนหนึ่งนำเสนอข้อมูลด้วยตาราง เช่น "การท่องเที่ยว จังหวัดเชียงใหม่ได้มีแผนกลยุทธในการจัดการด้านการท่องเที่ยว ทำให้มีนักท่องเที่ยวทั้งนอกประเทศและใน ประเทศสนใจมาท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่” 2. การนำเสนอข้อมูลอย่างเป็นแบบแผน 2.1 การนำเสนอข้อมูลโดยใช้ตาราง 2.2 การนำเสนอข้อมูลโดยใช้แผนภูมิแท่ง 2.3 การนำเสนอข้อมูลโดยใช้แผนภูมิวงกลม 2.4 การนำเสนอข้อมูลโดยใช้แผนภูมิรูปภาพ 2.5 การนำเสนอข้อมูลโดยใช้แผนที่สถิติ 2.6 การนำเสนอข้อมูลโดยใช้แผนภูมิแท่งเปรียบเทียบ 2.7 การนำเสนอข้อมูลโดยใช้กราฟเส้น


16 6.5 การติดต่อสื่อสารและการประสานงาน การติดต่อสื่อสาร เป็นขั้นตอนของการส่งข่าวสาร จากผู้ส่งไปยังผู้รับด้วยกระบวนการที่สร้างขึ้นเพื่อ ถ่ายทอดข่าวสาร โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมการตลาด ซึ่งมีองค์ประกอบดังนี้ 1. ข่าวสาร (Message) เป็นรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ที่กิจการต้องการเสนอ ขายหรือต้องการแจ้งแก่กลุ่มเป้าหมาย 2. ผู้ส่งข่าวสาร (Sources) หรือแหล่งข่าวสาร หมายถึง ผู้ที่ทำการส่งข่าวสาร ซึ่งอาจจะเป็น ผู้ผลิต คนกลาง หรือ พนักงานขาย ส่งข่าวสาร ไปยังผู้รับ หรือผู้ที่คาดว่าจะเป็นลูกค้า 3. การใส่รหัส (Encoding) เป็นการตัดสินใจ ของแหล่งข่าวสาร ว่าจะใช้วิธีการ สื่อความ ข่าวสารอย่างไร เพื่อให้ผู้รับเกิดความเข้าใจ ในข่าวสาร เช่นเดียวกับ ผู้ส่งข่าวสาร 4. ช่องทางข่าวสาร (Message Channel) หมายถึง บุคคลหรือสื่อต่างๆ ที่ใช้ในการส่ง ข่าวสาร เช่น พนักงานขาย โทรศัพท์ วิทยุ หรือสิ่งพิมพ์ต่างๆ 5. การถอดรหัส (Decoding) การแปลความหมาย ข่าวสารของผู้รับข่าวสาร ที่เป็นกลุ่มลูกค้า เป้าหมาย ซึ่งผู้รับจะเข้าใจข่าวสาร มากน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับทัศนคติ ประสบการณ์ การเรียนรู้และการ รับรู้ 6. ผู้รับข่าวสาร (Receiver) หมายถึง บุคคล หรือกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ที่ผู้ส่งข่าวสารหรือิ กิจการ ต้องการให้ได้รับข่าวสาร ซึ่งอาจจะได้รับชม รับฟังหรือได้อ่านข่าวสาร 7. ข้อมูลย้อนหลัง (Feedback) หมายถึง ปฏิกิริยาที่ผู้รับข่าวสาร ตอบโต้ แสดงออกมา หลังจากรับข่าวสารแล้ว ย้อนกลับไปยังผู้ส่งข่าวสาร หรือกิจการ ทำให้ทราบว่า ผู้รับ มีความเข้าใจข่าวสารมาก น้อยเพียงใด ยอมรับหริอปฎิเสธข่าวสาร 8. สิ่งรบกวน (Noise) หมายถึง อุปสรรค ที่เกิดขึ้นระหว่างการติดต่อสื่อสาร ทำให้เกิดความ คลาดเคลื่อน ระหว่างผู้ส่งข่าวสาว และอาจทำให้การติดต่อสื่อสารล้มเหลว


17 7. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง งานวิจัยในประเทศ วิไลลักษณ์ อำนาจดีและ ศศิรดา แพงไทย (2562) ได้ศึกษากลยุทธ์การบริหารโดยใช้หลักธรรมา ภิบาลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 20 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อ ศึกษาองค์ประกอบของหลักธรรมาภิบาลในการ บริหาร 2) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ ของการใช้หลักธรรมาภิบาลในการ บริหาร 3) เพื่อพัฒนากลยุทธ์การใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหาร สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศึกษา เขต 20 กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้บริหารและครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศึกษา เขต 20 รวมทั้งสิ้น 342 คน ผลการวิจัยพบว่า 1. องค์ประกอบกลยุทธ์การใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหาร สังกัดสำนักงานเขต พื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษา เขต 20 มี 7 องค์ประกอบ ประกอบด้วย 1) ด้านความรับผิดชอบ 2) ด้านความโปร่งใส 3) ด้านนิติ ธรรม 4) ด้านความคุ้มค่า 5) ด้านประสิทธิภาพ 6) ด้านการมี ส่วนร่วมและ 7) ด้านคุณธรรม 2. สภาพปัจจุบันของกลยุทธ์การใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหาร สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศึกษา เขต 20 โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง สภาพที่พึงประสงค์ของ กลยุทธ์การบริหารตาม หลักธรรมาภิบาล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 20 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 3. กลยุทธ์การใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหาร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษา เขต 20 ประกอบด้วย 7 กลยุทธ์ได้แก่กลยุทธ์ที่ 1 เสริมสร้างหลักนิติธรรมของ องค์กร มี 4 มาตรการ 3 ตัวชี้วัด กล ยุทธ์ที่ 2 การเสริมสร้างการมีความรับผิดชอบมี 4 มาตรการ 4 ตัวชี้วัด กลยุทธ์ที่ 3 เพิ่มความมีประสิทธิภาพ การทำงานมี 3 มาตรการ 4 ตัวชี้วัด กลยุทธ์ที่ 4 เพิ่มความคุ้มค่าในการทำงานมี 3 มาตรการ 4 ตัวชี้วัด กลยุทธ์ ที่ 5 พัฒนาการมีส่วนร่วมของบุคลากรมี 4 มาตรการ 3 ตัวชี้วัด กลยุทธ์ที่ 6 ส่งเสริมความโปร่งใส มี 3 มาตรการ 5 ตัวชี้วัด กลยุทธ์ที่ 7 พัฒนาระบบคุณธรรมอย่างยั่งยืนมี 5 มาตรการ 7 ตัวชี้วัด พรทิพย์ ไชยพนาพันธ์ และ ชัชภูมิ สีชมพู (2564) ได้ศึกษาแนวทางการพัฒนาสมรรถนะทางด้าน เทคโนโลยีสารสนเทศในยุคดิจิทัลของผู้บริหาร สถานศึกษาโรงเรียนขยายโอกาส สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาระดับสมรรถนะทางด้านเทคโนโลยี สารสนเทศในยุค ดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนขยายโอกาส 2) เพื่อหาแนวทางการพัฒนาสมรรถนะ ทางด้าน เทคโนโลยีสารสนเทศในยุคดิจิทัล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย มีจำนวนทั้งหมด 48 คนโดยเลือกแบบ เฉพาะเจาะจง ผลการวิจัยพบว่า ระดับสมรรถนะทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนขยาย โอกาส ในภาพรวมทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุด แนวทางการพัฒนาสมรรถนะทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในยุคดิจิทัล สรุปได้ดังนี้


18 1) ด้านวิสัยทัศน์ ควรเป็นที่มีความรู้ กล้าคิดนอกกรอบ สามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ด้านบริหารให้ครอบคลุมงานทุกด้านในสถานศึกษา กำหนดทิศทางให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่กำหนดไว้ 2) ด้านกลยุทธ์ สามารถวิเคราะห์เปรียบเทียบความคุ้มค่างบประมาณในการลงทุนด้านเทคโนโลยี สารสนเทศ จัดสรรบุคลากร ส่งเสริมการมีส่วนร่วม สร้างเครือข่ายการเรียนรู้ผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และแต่งตั้งคณะกรรมการในการดำเนินงาน ติดตตาม และประเมินผล 3) ด้านศักยภาพเพื่อนำการเปลี่ยนแปลง ควรเป็นแบบอย่างที่ดีในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ พัฒนาการนิเทศภายในโดยการนิเทศแบบออนไลน์ อำนวยความสะดวกให้กับบุคลากรทางการศึกษา นำผล การนิเทศสู่การปรับปรุงเพื่อการบริหารอย่างมีคุณภาพ 4) การสอนงานและมอบหมายงาน ควรให้คำแนะนำ ส่งเสริม จัดกิจกรรมพัฒนาทักษะ สร้าง แรงจูงใจ ให้ผู้เรียนสร้างผลงาน นวัตกรรม และทุกภาคส่วนสามารถ เข้าถึงข้อมูลเทคโนโลยีสารสนเทศ จัดหา เวทีในการแข่งขัน นิตยา ขันธุแสง (2562) ได้ศึกษาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารในกลุ่มโรงเรียนเมือง สมุทรปราการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ การศึกษาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารในกลุ่ม โรงเรียนเมืองสมุทรปราการ สังกัดสำนักงานเขต พื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สมุทรปราการ เขต 1 ใน 4 ด้าน ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารและ ครูผู้สอนในกลุ่มโรงเรียนเมืองสมุทรปราการ จำนวน 148 คน ผลการวิจัยพบว่า ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง ของผู้บริหารในกลุ่มโรงเรียนเมืองสมุทรปราการ สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สมุทรปราการ เขต 1 โดยรวมและรายด้านผู้บริหาร โรงเรียนมีภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงอยู่ในระดับมากเรียง ตามลำดับคือ ด้านการมีอิทธิพลอย่างมี อุดมการณ์ การสร้างแรงบันดาลใจ การคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล การกระตุ้นทางปัญญา


19 บรรณานุกรม ธรรมาภิบาลคืออะไร. (2556). ออนไลน์. สืบค้นเมื่อ 12 ธันวาคม 2565. แหล่งที่มา https://medinfo.psu.ac.th/pr/WebBoard/readboard.php?id=20713. นิตยา ขันธุแสง. (2562). ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารในกลุ่มโรงเรียนเมืองสมุทรปราการ สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1. ออนไลน์. สืบค้นเมื่อ 12 พฤศจิกายน 2565. แหล่งที่มา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/EdAd/article/download/193122/ 134595/576292. พรทิพย์ ไชยพนาพันธ์ และ ชัชภูมิ สีชมพู. (2564). แนวทางการพัฒนาสมรรถนะทางด้านเทคโนโลยี สารสนเทศในยุคดิจิทัลของผู้บริหาร สถานศึกษาโรงเรียนขยายโอกาส สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1. ออนไลน์. สืบค้นเมื่อ 12 พฤศจิกายน 2565. แหล่งที่มา https://so02.tci-thaijo.org/index.php/JRKSA/article/view/249839/169709. วริกา คงควร. (2563). การประมวลผลข้อมูล. ออนไลน์. สืบค้นเมื่อ 13 ธันวาคม 2565. แหล่งที่มา https://www.scimath.org/lesson-technology/item/9797-1-9797. วิไลลักษณ์ อำนาจดี และ ศศิรดา แพงไทย. (2562). กลยุทธ์การบริหารโดยใช้หลักธรรมาภิบาลของ สถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 20. ออนไลน์. สืบค้นเมื่อ 12 พฤศจิกายน 2565. แหล่งที่มาhttps://so03.tci-thaijo.org/index.php/JMND/article/download /188250/153384. ศิริวิมล ชูชีพวัฒนา. (2556). พฤติกรรมใฝ่เรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นของโรงเรียนสังกัด ฆมณฑลราชบุรี จังหวัดราชบุรี. ออนไลน์. สืบค้นเมื่อ 12 ธันวาคม 2565. แหล่งที่มา http://www.sure.su.ac.th/xmlui/bitstream/id/e6 7 9 7 6 9 b-0 d5 a-4 8 3 4 - ba9 2 - 2cbe469c6fb8/fulltext.pdf?attempt=2. HermesDigital MarketingThailand. (2565). เทคนิคการสื่อสารและประสานงานอย่างมีประสิทธิภาพ Effective Communication. อ อ น ไ ลน์ . สื บ ค้ น เ ม ื ่ อ 3 ธ ั น ว า คม 2 5 6 5 . แ ห ล่ ง ที ่ มา https://www.hrodthai.com/single-post/เทคนิคการสื่อสารและประสานงานอย่าง มี ประสิทธิภาพ-effective-communication. Kasarin papa. การนำเสนอข้อมูล. สืบค้นเมื่อ 12 พฤศจิกายน 2565. แหล่งที่มา https://sites.google.com /site/kasarinpapa/math/6.


20


Click to View FlipBook Version