มหาเวสสั นดรชาดก
คำนำ
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์(E-Book) เล่มนี้เป็นส่วน
หนึ่งในรายวิชาภาษาไทย(ท๓๑๑๐๒) ชั้น
มัธยมศึกษาปีที่๔/๔ จัดทำขึ้นเพื่อให้ได้ศึกษา
หาความรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติความ
เป็นมา ประวัติผู้แต่ง ลักษณะคำประพันธ์ เนื้อ
เรื่อง คำศัพท์และข้อคิดเกี่ยวกับเรื่องมหา
เวสสันดรชาดก
ทางคณะผู้จัดทำหวังว่าหนังสืออิเล็กทรอนิกส์
(E-Book) เล่มนี้จะเป็นประโยชน์ให้ความรู้แก่ผู้
อ่านและผู้ที่กำลังศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่อง
มหาเวสสันดรชาดกไม่มากก็น้อย หากมีข้อผิด
พลาดประการใดทางคณะผู้จัดทำต้องขออภัยมา
ณ ที่นี้
สารบัญ เลขหน้า
1-2
รายการ 3
-ผู้แต่ง 3
-ลักษณะคำประพันธ์
-วัตถุประสงค์ 4
กัณต์ 5
-กัณต์ที่1 6
-กัณต์ที่2 7
-กัณต์ที่3 8
-กัณต์ที่4 9
-กัณต์ที่5 10
-กัณต์ที่6 11
-กัณต์ที่7 12
-กัณต์ที่8 13-14
-กัณต์ที่9 15
-กัณต์ที่10 16
-กัณต์ที่11 17
-กัณต์ที่12 18
-กัณต์ที่13 19
-คำศัพท์ที่ปรากฏ 20
-วิจารณ์ตัวละคร 21
-ฝนโบกขรพรรษ 21
-ข้อคิดที่ได้
-ทศชาติ
ผู้แต่ง 1
•พระเทพโมลี (กลิ่น) เกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๒๘๓ ในสมัย •เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เป็นเสนาบดี
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ มีเชื้อสายรามัญ เป็น กรมคลังในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ
อดีตเจ้าอาวาสวัดราชสิทธารามราชวรวิหาร พระ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และเป็น
ราชนิพนธ์ไว้ ๑ กัณฑ์ คือ กัณฑ์มหาพน เป็นกวีคนสำคัญคนหนึ่งในสมัยต้น
รัตนโกสินทร์ เป็นบุตรของเจ้าพระยาสุร
บดินทร์สุรินทร์ฦๅไชย (บุญมี) เจ้าเมือง
กำแพงเพชรในสมัยกรุงธนบุรี พระราช
นิพนธ์ไว้ ๒ กัณฑ์ คือ กัณฑ์กุมาร และ
กัณฑ์มัทรี
•พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่
หัว เป็นพระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ ๔
แห่งราชวงศ์จักรี มีพระนามเดิมว่า
"เจ้าฟ้ามงกุฎ" เป็นพระราชโอรส
พระองค์ที่ ๔๓ และเป็นลำดับที่ ๒ ใน
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า
นภาลัยกับสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบ
รมราชินี พระราชนิพนธ์ไว้ ๓ กัณฑ์ คือ
กัณฑ์วนประเวศน์ กัณฑ์จุลพน และ
กัณฑ์สักกบรรพ
ผู้แต่ง 2
• พระเทพมุณี(ด้วง) แต่ประวัติของท่านยังไม่
เป็นที่แน่ชัด พระราชนิพนธ์ไว้ ๑ กัณฑ์ คือ
กัณฑ์ชูชกนั่นเอง
•ทองอยู่ เกิดที่บ้านไผ่จำศีล อำเภอวิเศษชัยชาญ •สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุ
จังหวัดอ่างทอง เกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๓๐๐ ในสมัย ชิตชิโนรสเป็นสมเด็จพระสังฆราชไทย
ปลายแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระองค์ที่ ๗ แห่งอาณาจักรรัตนโกสินทร์
พระทองอยู่นับว่าเป็นสถาปนิกชั้นเยี่ยมท่านหนึ่ง (สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์) และเป็น
ท่านจึงได้สร้างเจดีย์ไว้องค์หนึ่ง ซึ่งนับว่าเป็น พระราชวงศ์พระองค์แรกที่ทรงได้รับ
เจดีย์ที่งดงามปรากฏอยู่หน้าพระวิหารวัดถนน สถาปนาให้ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระ
ถึงกับมีผู้มาวาดรูปไปเป็นแบบก่อสร้าง พระราช สังฆราช พระราชนิพนธ์ไว้ ๕ กัณฑ์ คือ
นิพนธ์ไว้ ๑ กัณฑ์ คือ ทานกัณฑ์ กัณฑ์ทศพร กัณฑ์หิมพานต์ กัณฑ์
มหาราช กัณฑ์ฉกษัตริย์ และ นครกัณฑ์
ลักษณะคำประพันธ์ 3
มหาเวสสันดรชาดกเป็นมหาชาติกลอนเทศน์ มีลักษณะคำประพันธ์เป็นร่ายยาวที่มีคาถาบาลีนำ
ร่ายยาว บทหนึ่งไม่จำกัดจำนวนวรรค แต่ที่นิยมคือตั้งแต่ ๕ วรรคขึ้นไป และแต่ละวรรคก็ไม่
จำกัดจำนวนคำเช่นกัน แต่ไม่ควรน้อยกว่า ๕ คำ ซึ่งคำสุดท้ายของวรรคหน้าจะส่งสัมผัสไปวรรค
หลังคำใดก้ได้ แต่เว้นคำสุดท้ายของวรรคอาจจบลงด้วย “คำสร้อย” (คำสร้อย เช่น ฉะนี้ ดังนี้
นั้นเกิด นั้นแล แล้วแล ด้วยประการฉะนี้ เป็นต้น)
วัตถุประสงค์ในการแต่ง
เพื่อใช้เทศน์ให้ประชาชนฟัง มหาเสสันดรชาดก แต่งขึ้นเพื่อใช้เทศน์มหาชาติ เนื่องจากร่ายยาว
มหาเวสสันดรชาดกเป็นชาดกเรื่องใหญ่ที่สุด เป็นชาติที่พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระเสสัน
ดรซึ่งเป็นพระชาติสุดท้ายก่อนจะประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แล้วเสด็จออกผนวชกระทั่งได้
ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเรื่องราวในพระชาติที่เป็นพระเวสสันดรได้ทรงบำเพ็ญทศ
บารมี ครบทั้ง ๑๐ ประการ โดนเฉพาะอย่างยิ่ง ทานบารมี ซึ่งทรงบริจาคบุตรทารทาน คือ
บริจาคพระชาลี พระกัณหา และพระนางมัทรี จึงเป็นชาติที่สำคัญและยิ่งใหญ่ เรียกว่า
“มหาชาติ” หรือ “มหาเสสันดรชาดก”
เนื้อเรื่อง ๑๓ กัณฑ์ 4
กัณฑ์ที่ ๑ ทศพร
เมื่อถึงคราวที่พระนางผุสดี จะต้องจุดติ ท้าวสักกะพระสวามี ทรงทราบ จึงพาพระนางไปประทับ
ยังสวนนันทวัน เพื่อให้สำราญพระทัยแล้ว บอกว่า บัดนี้เธอสิ้นบุญ จะต้องจุดติ ไปบังเกิดเป็น
มนุษย์แล้วฉันให้พร ๑๐ประการ เธอจึงเลือกตามใจชอบเถิด
พระนางผุสดี ได้ทูลขอพร๑๐ ประการ ตามที่พอใจดังนี้
๑. ขอให้ได้อยู่ในปราสาททอง ของพระเจ้า สีวิราชพระนครสีพี
๒. ขอให้มีตาดำ ดุจนัยน์ตาลูกเนื้อ
๓. ขอให้มีคิ้วดำสนิท
๔. ขอให้มีนามว่า ผุสดี
๕. ขอให้มีพระโอรสที่ทรงเกียรติยศเหนือกษัตริย์ทั้งหลายและมีใจบุญ
๖. ในเวลาทรงครรภ์ ขออย่าให้ครรภ์นูนปรากฏ ดังสตรีสามัญ
๗. ขอให้มีถันงาม ในเวลาทรงครรภ์ก็อย่าดำและต่อไป ก็อย่าให้หย่อนยาน
๘. ขอให้มีเกศาดำสนิท
๙. ขอให้มีผิวงาม
๑๐. ขอให้มีอำนาจ ปลดปล่อยนักโทษประหารชีวิตได้
ข้อคิด
การทำบุญทำความดีต้องกระทำและรักษาความดีนั้นไว้ และต้องหมั่นเพิ่มพูนบุญความดีให้มาก
ยิ่งขึ้น
5
เนื้อเรื่อง ๑๓ กัณฑ์
กัณฑ์ที่ ๒ หิมพานต์
เป็นกัณฑ์ที่เป็นมูลเหตุในการออกไปอยู่ป่าของพระเวสสันดร เพราะพระองค์ได้หลั่งน้ำประทาน
ช้างปัจจัยนาเคนทร์ ช้างที่มีความสามารถพิเศษในการบันดาลให้ฝนตกให้แก่พราหมณ์ 8 คนจาก
เมืองกลิงคราษฎร์ที่กำลังประสบปัญหาฝนแล้ง ซึ่งการประทานช้างวิเศษให้แก่เมืองอื่นสร้าง
ความไม่พอใจให้แก่ชาวเมืองเป็นอย่างมากและส่งผลให้พระเวสสันดรต้องถูกเนรเทศออกจาก
เมือง โดยมีนางมัทรี พระกัณหา และพระชาลี ติดตามไปด้วย
ฉากสำคัญของกัณฑ์นี้ย่อมเป็นฉากที่พระเวสสันดรบริจาคช้างให้แก่พราหมณ์ทั้ง 8
ข้อคิด
๑. คนดีเกิดมานำพาโลกให้ร่มเย็น
๒. โลกต้องการผู้เสียสละ มิฉะนั้นหายนะจะบังเกิด
๓. การทำดีย่อมมีอุปสรรค "มารไม่มีบารมีไม่มา มารยิ่งมาบารมียิ่งแก่กล้า"
๔. จุดหมายแห่งการเสียสละ อยู่ที่พระโพธิญาณมิหวั่นไหวแม้จะได้รับทุกข์
เนื้อเรื่อง ๑๓ กัณฑ์ 6
กัณฑ์ที่ ๓
กัณฑ์ที่ ๓ ทานกัณฑ์ ๒๐๙ พระคาถา
ก่อนพระเวสสันดรจะเสด็จออกพระนครสีพีทรงบริจาค “สัตตสดกม
หาทาน” (ทาน ๗ สิ่งๆ ละ ๗๐๐) ทรงมีพระนางมัทรี พระกัณหา และพระชาลี
รวม ๔ ชีวิตตามเสด็จไปประทับที่ป่าหิมพานต์ ระหว่างทางมียากจกมาทูลของพระราชทานรถและ
ม้า พระองค์
ก็ทรงเมตตาประทานให้ ในที่สุดทั้งสองพระองค์ทรงอุ้มพระโอรส พระธิดา เสด็จพระดาเนินเข้าสู่
ป่าหิมพานต์
อานิสงส์: ความมีชีวิตสมบูรณ์พูนสุขและความมีทรัพย์สินมั่งคั่ง มั่นคงลงตัวเพราะถูกจัดสรร
บันดาลด้วยทานบารม
เนื้อเรื่อง ๑๓ กัณฑ์ 7
กัณฑ์ที่ ๔
กัณฑ์ที่ ๔ วนประเวสน์ ๕๗ พระคาถา
เมื่อพระเวสสันดร พระนางมัทรี พระกัณหา และพระชาลี ๔ ชีวิต เสด็จ
พระดาเนินสู่ป่าวนาสณฑ์ ความทราบถึงพระเจ้าเจตราษฎร์ กษัตริย์แห่งมาตุลนคร
จึงทูลอ้อนวอนให้ทรงเป็นกษัตริย์ครองมาตุลนคร แต่พระเวสสันดรก็ทรงปฏิเสธ พระเจ้าเจต
ราษฎร์จึงได้ทรงพรรณนาหนทางไปสู่ป่าหิมพานต์ว่าคดเคี้ยวเลี้ยวลด ประการใด โดยทรงให้
พรานเจตบุตรเป็นผู้กาหนดจุดรักษาประตูป่า เพื่อระวังรักษามีให้ผู้ใด
เข้าไปรบกวน
ครั้งนั้น พระอินทร์ทรงมีเทวบัญชาให้พระวิษณุกรรมเทพบุตรเนรมิตศาลาให้
๒ หลัง พระเวสสันดร พระนางมัทรี พระกัณหา และพระชาลี ได้ทรงผนวชเป็นพระดาบส โดยมี
อาศรมศาลา ๒ แห่งนี้เป็นที่ทรงอาศัย
อานิสงส์: ชีวิตจะได้รับการคุ้มครองให้แคล้วคลาดปลอดภัยในที่ทุกสถาน ในการทุกเมื่อ
เนื้อเรื่อง ๑๓ กัณฑ์ 8
กัณฑ์ที่ ๕ กัณฑ์ชูชก
ขอทานเฒ่าอีกด้านหนึ่งนั้น พราหมณ์นาม "ชูชก" ได้เที่ยวขอทานเก็บเงินได้ถึง ๑๐๐ กษาปณ์ จึง
นำเงินไปฝากเพื่อนไว้พลางคุยอวดเศรษฐีอย่างปีตินัก จากนั้นก็ออกเดินทางตระเวนขอเงินสืบไป
ส่วนพราหมณ์ผัวเมียเก็บเงินไว้นานแล้ว เห็นว่าชูชกไม่มาเอาสักที คิดว่าชูชกคงจะตายไปแล้ว จึง
ชวนกันนำเงินนั้นออกมาใช้จ่ายเสียจนหมดทั้งสิ้น ครั้นชูชกหวนกลับมาทวงเอาเงิน สองผัวเมียก็
ตกใจงันงกมิรู้จะทำประการใด ด้วยความที่กลัวชูชกจะเอาความ จึงตกลงจะยกนางอมิตดาลูกสาว
ให้แก่ชูชกแทนเงินที่ใช้หมดไป นางอมิตดามีรูปงามและวัยสาว ส่วนชูชกนั้นเฒ่าชราและมีรูป
ลักษณ์อุบาทว์อัปลักษณ์ยิ่งนัก เมื่อชูชกพานางอมิตดาไปอยู่กินด้วยกันที่หมู่บ้านทุนวิฐ พวกเมีย
พราหมณ์บ้านอื่นต่างพากันริษยาอิจฉานางอมิตดา พราหมณ์ทั้งหมู่บ้านก็ชื่นชมนางอมิตดาจน
มาทุบตีเมียตนกันทุกวัน ด้วยเพราะนางอมิตดานั้นเป็นบุตรกตัญญู เมื่อมาอยู่กับชูชกก็ปรนนิบัติ
รับใช้ทุกประการมิให้ขาดตกบกพร่อง วาจาก็ไพเราะมิเคยขึ้นเสียงเหล่าเมียของพราหมณ์จึงมา
ดักนางอมิตดาที่ท่าน้ำ รุมด่าว่านางอมิตดาที่มาเป็นเมียชูชกน่าเกลียดตัวเหม็นน่าขยะแขยง
ยอมรับใช้ตาเฒ่าทุกอย่างน่าสมเพช นางอมิตดาถูกรุมด่าก็หิ้วหม้อน้ำร้องไห้กลับบ้าน บอกแก่ชู
ชกว่าจะไม่ไปตักน้ำและไม่ทำงานบ้านอีกแล้ว ขอให้ชูชกไปทูลขอกัณหาชาลี จากพระเวสสันดรมา
ช่วยงานบ้านก็แล้วกัน ด้วยความรักภรรยา เฒ่าชูชกจึงเตรียมข้าวตู และถั่วงาใส่ย่ามออกเดิน
ทางไปยังเขาวงกตทันทีในระหว่างเดินทาง ตาเฒ่าชูชกแวะเวียนถามชาวบ้านว่า พระเวสสันดร
เสด็จประทับอยู่ ณ ที่แห่งใด พวกชาวบ้านต่างก็ขว้างอิฐหินเข้าใส่ขอทานเฒ่า แล้วขับไล่ด้วย
ถ้อยคำหยาบคายต่าง ๆ ว่าเป็นไอ้พวกจัญไร มักขอเอาทุกอย่างจนพระเวสสันดรตกระกำลำบาก
เฒ่าชูชกเดินดุ่มเข้าป่าไปเจอสุนัขของเจตบุตรที่อารักขาป่า สุนัขต่างวิ่งกรูเข้าไล่กัดขอทานเฒ่า
จนต้องวิ่งขึ้นต้นไม้ด้วยตกใจเสียขวัญ
ข้อคิดประจำกัณฑ์
๑.ของที่รักและหวงแหน ที่โบราณห้ามฝากผู้อื่นไว้คือ เงิน ม้า เมีย ยิ่งน้องเมียห้ามฝากเด็ดขาด
อันตรายมาก
๒.ภรรยาที่ดีย่อมไม่ย่อหย่อนต่อหน้าที่ ข้าวดำ น้ำตัก ฟืนตอหักหา น้ำร้อน น้ำชาเตรียมไว้เสร็จ
๓.ของไม่คู่ควรย่อมมีปัญหา ตำราหิโตปเทศกล่าวว่า "ความรู้เป็นพิษเพราะเหตุที่ไม่ใช้ อาหารเป็น
พิษเพราะเหตุไฟธาตุไม่ย่อย เมียสาวเป็นพิษเพราะผัวแก
เนื้อเรื่อง ๑๓ กัณฑ์ 9
กัณฑ์ที่๖
เจตบุตรพราน นายด่านประตูป่า ฟังคารมชูชก หลงเชื่อพอใจ เลื่อมใสนับถือ ยำเกรง ถึงกับเสีย
สละอาหาร ต้อนรับเลี้ยงดูชูชกเต็มที่ แล้วก็พาชูชกไปยังต้นทางชี้บอกให้ชูชกกำหนดหมายภูเขา
และป่าไม้กับพรรณาความงามนานาพฤกษชาติสร้างความยินดีให้มีกำลังใจหายสะดุ้งหวาดกลัว
ภัยในป่า ทั้งบอกระยะทางที่จะไปพบอาศรมฤาษี ซึ่งเป็นดุจสถานีที่พักในการเดินทางคราวนี้ และ
จะได้รับความปราณีจากอจุตดาบสบอกทางให้ต่อไป จนถึงอาศรมของพระเวสสันดร จบความย่อ
ปี่ พาทย์ทำเพลงคุกพาทย์ อานิสงส์ ผู้บูชากัณฑ์จุลพน แม้จะบังเกิดในปรภพใดๆ จะเป็นผู้สมบูรณ์
ในสมบัติบริวาร จะมีอุทยานอันดารดาษดอกไม้หอมตลบไป แล้วจะมีสะโบกขรณี อันเต็มไปด้วย
ปทุมชาติ ครั้นตายไปแล้ว ก็ได้เสวยทิพย์สมบัติในโลกหน้าสืบต่อไป
เนื้อเรื่อง ๑๓ กัณฑ์ 10
กัณฑ์ที่ ๗
เฒ่าชูชกเดินทางมาถึงกลางป่าใหญ่ พบกับพระอัจจุตฤาษี ได้หลอกลวงพระฤาษีให้หลงกลว่าเป็น
กัลยาณมิตรของพระเวสสันดร จนได้พักค้างคืนที่อาศรม พอรุ่งเช้าพระฤาษีให้กินผลไม้ พร้อม
บอกเส้นทาง และสภาพแวดล้อมในป่าที่จะเดินทางไปอาศรมของพระเวสสันดร
ข้อคิดประจำกัณฑ์
๑. ฉลาดแต่ขาดเฉลียว มีปัญญาแต่ขาดสติก็เสียทีพลาดท่าได้
๒. เชื่อง่ายเป็นทุกข์
๓. คบคนให้ดูหน้า ซื้อผ้าให้ดูเนื้อ ซื้อเสื่อให้ดูลาย
เนื้อเรื่อง ๑๓ กัณฑ์ 11
กัณฑ์ที่ ๘. กัณฑ์กุมาร
กัณฑ์กุมาร ว่าด้วยเรื่อง เฒ่าชูชกเดินทางไปถึงอาศรมของพระเวสสันดร เป็นช่วงที่พระนางมัทรี
ไปป่าหาผลไม้ จึงรีบเข้าไปขอพระชาลีและพระกัณหา ทั้ง ๒ กุมารได้ยินแล้วพากันตกใจกลัว หนีไป
ซ่อนตัวอยู่ในสระบัวบังกายไว้ พระองค์ได้ขอร้องให้ทั้งสองออกมา แล้วเฒ่าชูชกก็นำทั้งสองพระ
องค์ไป
ข้อคิดประจำกัณฑ์
๑. ความเป็นผู้รู้จักกาลเทศะ ไม่ผลีผลามเข้าไปขอ รอจนพระมัทรีเข้าป่าจึงเข้าเฝ้า เพื่อของสอง
กุมาร เป็นเหตุให้ชูชกประสบผลสำเร็จใจสิ่งที่ตนปรารถนา ดังภาษิตโบราณว่า “ช้า ๆ จะได้พร้า
เล่มงาม ด่วนได้สามผลามมักพลิกแพลง” ช้าเป็นการนานเป็นคุณ ผู้รู้จักโอกาส มีมารยาท กล้า
หาญ ใจเย็น เป็นสำเร็จ
๒. พ่อแม่ทุกคนรักลูกเหมือนกัน แต่เป็นห่วงไม่เท่ากัน ห่วงหญิงมากกว่าห่วงชาย เพราะท่าน
เปรียบไว้ว่า “ลูกหญิงเหมือนข้าวสาร ลูกชายเหมือนข้าวเปลือก”
๓. สติ เตสัง นิวารณัง สติเป็นเครื่องป้องกันอันตรายทั้งปวงได้ ขันติ สาหสวารณา ขันติป้องกัน
ความหุนหันพลันแล่นได้ เป็นเหตุให้พระเวสสันดรไม่ประหารชูชกด้วยพระขรรค์ เมื่อถูกชูชก
ประนาม
๔. วิสัยหญิงนั้น แม้จะมากอยู่ด้วยเมตตากรุณา ชอบปลดเปลื้องทุกข์แก่ผู้อื่นก็จริงอยู่ แต่เว้น
อย่างเดียว ที่ผู้หญิงนั้นไม่มีวันจะสละสิ่งนั้น คือ “ลูก”
เนื้อเรื่อง ๑๓ กัณฑ์ 12
กัณฑ์ที่ ๙ กัณฑ์มัทรี
ว่าด้วยเรื่อง พระนางมัทรีเข้าป่าหาผลไม้ ขณะเดินทางกลับอาศรมพบเจอเหตุการณ์มหัศจรรย์
ต่าง ๆ เช่น เกิดพายุใหญ่ มืดครึ้มไปทั่วบริเวณ อีกทั้งยังมีสิงห์สาราสัตว์ร้ายมาขวางทางไว้ เมื่อ
มาถึงอาศรมได้ทราบเรื่องราวของกุมารทั้ง ๒ ทำให้พระองค์เสียพระทัยมากจนสลบไป หลังจาก
ฟื้ นคืนสติกลับมา พระนางได้อนุโมทนากับพระเวสสันดรด้วย
ข้อคิดประจำกัณฑ์
ลูกคือแก้วตาดวงใจของผู้เป็นพ่อแม่ “ลูกดีเป็นที่ชื่นใจของพ่อแม่ ลูกแย่พ่อแม่ช้ำใจ” รักใครเล่า
จะเท่าพ่อแม่รัก ห่วงใดเล่าจะเท่าพ่อแม่ห่วง หวงใดเล่าจะเท่าพ่อแม่หวง ให้ใครเล่าจะเท่าพ่อแม่ให้
เพราะฉะนั้นพึงเป็นลูกแก้ว ลูกขวัญ ลูกกตัญญู ที่ชาวโลกชื่นชม พรหมก็สรรเสริญฯ
เนื้อเรื่อง ๑๓ กัณฑ์ 13
กัณฑ์ที่ ๑๐ สักกบรรพ
ท้าวสักกะ อมรินทร์ ราชาแห่งเทวโลกชั้นดาวดึงส์ ทรงคำริว่า เมื่อวานนี้พระเวสสันดรพระราชทาน
โอรสสองพระองค์แก่ชูชกไป ถ้ามีใครมาขอพระนางมัทรีอีก พระองค์ก็จะพระราชทานให้ และ
พระองค์ก็จะต้องอยู่พระองค์เดียว ไม่มีใครปฏิบัติบำรุง จะลำบากมาก เราควรจะแปลงเพศเป็น
พราหมณ์ไปทูนขอพระนางมัทรีเสียก่อน เมื่อได้รับพระราชทานแล้วก็ฝากไว้ ป้องกันมิให้พระองค์
พระราชทานแก่ใครอีก หากจะมีผู้มาขอภายหลัง ทั้งยังเป็นทางช่วยส่งเสริมเพิ่มภริยาทานบารมี
ซึ่งพระองค์ยังไม่ได้ทรงบำเพ็ญให้ได้บำเพ็ญเสียให้บริบูรณ์ด้วย เพื่อบรรลุ พระสัมโพธิญาณ
ครั้นท้าวสักกะทรงดำริแล้วื ก็เสด็จลงมาโดยเพศพราหมณ์เดินทางเข้าไปเฝ้าพระเวสสันดร ทูลขอ
พระนางมัทรี พระเวสสันดรก็พระราชทานให้ พร้อมกับรับสั่งว่าพระนางมัทรีนั้น พระองค์รักใคร่
ดังดวงเนตร แต่รักพระสัพพัญญุตญาณยิ่งกว่ามากจึงยินดีให้เสมือนแลกเอาสัพพัญญุตญาณ
ไว้ แม้พระนางมัทรีก็ยินดีอนุโมทนาในการพระราชทานพระเวสสันดร เพื่อร่วมทานบารมีให้สำเร็จ
แก่พระสัมโพธิญาณเป็นเหตุให้แผ่นดินไหวเป็นอัศจรรย์ ต่อนั้น ท้าวสักกะที่แปลงกายเป็น
พราหมณ์ ก็ฝากพระนางมัทรีไว้ยังไม่รับไปขอใหอยู่ปฏิบัติพระเวสสันดรและตรัสบอกว่า ตนมิได้
เป็นพราหมณ์เข็ญใจ หากเป็นท้าวท้าวสักรินทร์ขอถวายพร๘ประการแก่พระองค์แล้วสำแดงกาย
ปรากฏเหาะขึ้นสู้ท้องฟ้า พระเวสสันดรก็ดีพระทัยทูลรับพร ๘ ประการโดยดังนี้
เนื้อเรื่อง ๑๓ กัณฑ์ 14
กัณฑ์ที่ ๑๐ สักกบรรพ
๑. ขอให้พระบิดามีเมตตา
๒. ขอให้ปล่อยนักโทษ
๓. ขอให้อนุเคราะห์คนยากจน
๔. ขออย่าให้รู้อำนาจสตรี
๕. ให้พระโอรสมีอายุยืน
๖. ขอให้ฝนแก้ว๗ ประการตกลงในเมืองสีพี
๗. ขอให้สมบัติในท้องพระคลังอย่ารู้หมดสิ้น
๘. เมื่อทิวงคตแล้ว ขอให้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
ท้าวสักกะเทวราช ก็ตัดประสิทธิ์ประสาทให้สมมโนรถและตรัสว่า ในไม่ช้าพระชนกก็จะเสด็จออกมา
รับพระองค์คืนเข้าไปครองราชย์สมบัติอย่าทรงวิตกอาดูรพระทัย อุตส่าห์บำเพ็ญเนกขัมมบารมี
ตามทางพุทธทางกูงสืบไปเถิดแล้วเสด็จกลับเทวโลก
ข้อคิด
การทำดีแม้ไม่มีคนเห็น แต่เทพยดาอารักษ์เบื้องบน ท่านย่อมรู้
เนื้อเรื่อง ๑๓ กัณฑ์ 15
กัณฑ์ที่ ๑๑ คือกัณฑ์มหาราช
กัณฑ์นี้แบ่งฉากใหญ่ออกเป็น 2 ฉาก ฉากแรกคือฉากในป่า ซึ่งเป็นฉากระหว่างการเดินทาง พอ
ถึงกลางคืน ชูชกก็ผูกเปลขึ้นไปนอนบนต้นไม้ ทิ้งสองกุมารให้อยู่บนพื้น จนเทวดาต้องแปลงตัว
เป็นพระเวสสันดรและนางมัทรีมาดูแลสองกุมารทุกคน ส่วนฉากที่สองเป็นฉากในเมือง ซึ่งก็คือ
เมืองเชตุดรของพระเจ้าสัญชัยเพราะเหมือนโชคชะตาเข้าข้างสองกุมาร ชูชกพาทั้งสองเข้าไปยัง
เมืองเชตุดรจนทำให้ได้พบกับพระเจ้าสัญชัย ซึ่งพระองค์ตัดสินใจไถ่ตัว 2 กุมารจากชูชกพร้อม
ดูแลชูชกอย่างดี ชูชกไม่เคยกินดีอยู่ดีขนาดนี้จึงกินเกินขนาดจนท้องแตกตาย พระเจ้าสัญชัยจึง
ตัดสินใจที่จะไปพาพระเวสสันดรกับนางมัทรีกลับเมือง
ข้อคิดประจำกัณฑ์ กัณฑ์มหาราช เทวดาจำแลงเป็นพระเวสสันดรและนางมัทรี มาอุ้มชูสองกุมาร
ให้เสวยนมด้วยเมตตา คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ย่อมได้รับความปกป้องคุ้มครองภัยในทุก
สถานชาติเสือยังไว้ลาย เกิดเป็นหญิงชายต้องไว้ฝีมือ เกิดเป็นคนควรสร้างตนให้มีดีเกิดมาทั้งที
ควรสร้างดีให้ติดตน แล้วโลกจะไม่ลืม
เนื้อเรื่อง ๑๓ กัณฑ์ 16
กัณฑ์ที่ ๑๒ ฉกษัตริย์
กล่าวถึงพระเจ้าสญชัย ให้พระชาลีทรงช้างปัจจัยนาค นากองทัพมา
รับพระเวสสันดร เมื่อหกกษัตริย์ได้พบกันก็บังเกิดความรู้สึกทั้งดีพระทัยและ
เศร้าโศกอย่างรุนแรง ทรงกรรแสงสุดจะประมาณจนสลบไป บรรดาเสวกามาตย์ก็สลบลง
หมด ครั้งนั้นแผ่นดินสั่นไหวและ
ท้าวสหัสนัยเทวนราชบันดาลฝนโบกขรพรรษตกลงมาประพรมชุบชีพให้ชื่นบาน ฟื้ นคืนลมป
ฤดีทุกคน
อานิสงส์: จะช่วยให้มีชีวิตและครอบครัวที่ร่มเย็นเป็นสุขปราศจาก ทุกข์มาหา
ข้อคิด
๑. พรากมีวันพบ จากมีวันเจอ จากกันยามเป็นได้เห็นน้ำใจจากกันยามตายได้เห็นน้ำตา
๒. การให้อภัยเป็นเพราะได้สำนึกเป็นเหตุให้ลบรอยร้าวฉานบันดาลสันติสุขแก่ส่วนรวม
๓. สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้ผิด บรรพชิตยังรู้เผลอ ความผิดพลาดเป็นเรื่องของ
มนุษย์ แต่การให้อภัยเป็นวิสัยของเทวดา
เนื้อเรื่อง ๑๓ กัณฑ์ 17
กัณฑ์ที่ ๑๓ นครกัณฑ์
กล่าวถึงพระเวสสันดรได้รับคาทูลเชิญให้ลาผนวช (สึก) เพื่อรับราช
สมบัติและให้ทาพิธีราชาภิเษกในบริเวณพระอาศรมแล้วจึงทรงช้างปัจจัยนาค
เดินทางกลับนครสีพี
บรรดาสัตว์น้อยใหญ่ที่เคยได้อาศัยร่มบารมี คุ้มครองป้องกันอันตราย
ภัยพิบัติต่างพากันเศร้าโศกเสียใจ เมื่อพระเวสสันดรกลับมาครองพระนครก็มี
ห่าฝนสัตตรัตนมาศตกไปทั่วพระนคร ให้เป็นทานแก่ชนทั้งหลาย พระเวสสันดรครองนครสีพี
จนพระชนมายุ ๑๒๐ พรรษา ก็สวรรคต
ไปบังเกิดในดุสิตเทวโลก
อานิสงส์: จะช่วยให้ชีวิตอยู่เย็นเป็นสุขในท่ามกลางหมู่ญาติมิตร ชีวิตปราศจากโรคภัยมี
พลานามัยสมบูรณ์ เมื่อถึงคราวสิ้นใจจักไป บังเกิดบนสวรรค์ มีพระนิพพานเป็นที่ไปในเบื้อง
หน้า
ข้อคิดที่ได้รับ
การทำความดี ย่อมได้รับผลดีตอบแทน การใช้ธรรมะในการปกครองย่อมทำให้เกิดความสงบ
ร่มเย็น
18
คำศัพท์สำคัญที่ปรากฏ
-ครรไล = ทาง ,ไป
-พญาพาฬมฤคราชอันเรืองเดช = ราชาแห่งสัตว์ร้ายราชาแห่งสัตว์ที่
กินสัตว์อื่ นเป็นอาหาร
-สามรา/สองรา =สองคน สามคน
-ทศนัขเบญจางค์ = การกราบแบบเบญจางค์ประดิษฐ์
การกราบไหว้ ด้วยอาการคว่ำฝ่ามือทั้ง ๒ ให้ราบพร้อมด้วยองค์ ๕ คือ
หน้าผาก ๑ ข้อศอก ๒ เข่า ๒
-หน่อกษัตริย์ = เชื้อสายกษัตริย์
-บริจาริกากร = ผู้ที่ทำหน้าที่หญิงรับใช้ ผู้ที่ทำหน้าที่ภรรยา
-สายัณห์ = เวลาเย็น
-พระอัสสุชล = น้ำตา
-มูนมาก =มากมาย
-พญาพาฬมฤคราช = เสือโคร่ง,เสือเหลือง
-มรคา =ช่องทาง
-พฤกษาลดาวัลย์=ไม้เลื้ อยหรือไม้เถา
-พื้นปริมณฑล=พื้นที่โดยรอบ
-มัจฉริยธรรม=ความตระหนี่
-มุจลินท์- สระใหญ่ในป่าหิมพานต์ เป็นที่
หงส์อาศัยอยู่ "ปราศจากมุจลินท์ "
-มูนมอง=มากมาย
-ไม่มีเนตร =ไม่มีตา ไม่เห็นตา
-ยุบลสาร=ข่าว
-ระแนง=เรียงราย
-ศิโรเพรน์=ผ้าโพกศีรษะ
-สองรา=สองคน
19
วิจารณ์ตัวละครสำคัญในเรื่อง
พระเวสสันดร
เป็นพระโอรสของพระเจ้ากรุงสญชัยและพระนางผุสดีแห่งเมืองสีพี มีพระอุปนิสัย ที่สำคัญ
คือ การบริจาคทาน พระราชกุมารเวสสันดรทรงบริจาคทานตั้งแต่เกิด
พระนางมัทรี
เป็นคนอดทนและหนักแน่น แม้จะเป็นกษัตริย์แต่พระนางก็ปรับตัวให้เข้า สภาพแวดล้อม
นางมาอยู่ป่ากับพระเวสสันดรและกัณหา ชาลี พระนางต้องออกหาผลไม้ในป่า ด้วยพระองค์
เองเพื่อดูแลลูกและสามี จึงถือว่าพระนางมัทรีเป็นต้นแบบของสตรีที่มีความอดทน
พระกัณหา
เป็นผู้ว่าง่ายถึงคนคนนั้นจะดีหรือไม่ดีต่อตนก็ตามก็ยังเชื่อฟังคำสั่งโดยไม่ขัดขืน และยังมี
น้ำใจคอยช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ เป็นผู้ที่เข้าใจในเจตนาของพระเวสสันดรที่เสียสละเพื่อ
ประโยชน์ของชน หมู่มาก แม้การเสียสละนั้นจะทำให้ตนลำบากก็พร้อมที่จะเข้าใจเหตุผล
ความจำเป็นที่ตนต้องเสียสละ
พระชาลี
ทรงมีความอ่อนน้อมถ่อมตน และมีคารมคมคาย เมื่อพระเจ้ากรุงสญชัยตรัสเรียกให้มา
ประทับ ร่วมพระอาสน์ พระชาลีกราบทูลว่าเป็นข้าของชูชกมิบังอาจไปใกล้ชิดได้ด้วยเกรงว่า
พระองค์จะมัวหมอง พระเจ้ากรุงสญชัยเมื่อได้ยินคำตัดพ้อของพระชาลีจึงทรงไถ่ถอนให้พ้น
จากการเป็นทาส และยังพระราชทาน ปราสาท ๗ ชั้น ให้แก่ชูชกอีกด้วย
ชูชก
เป็นตัวอย่างของคนที่ติดอยู่ในกามคุณเข้าลักษณะว่า "วัวแก่กินหญ้าอ่อน" ต้องตกระกำ
ลำบากในยามชรา เพราะ "รักสนุก จึงต้องทุกข์ถนัด" ตำราหิโตปเทศว่า " ความรู้เป็นพิษ
เพราะเหตุไม่ใช้ปราสาทเป็นพิษเพราะคนเข็ญใจ อาหารเป็นพิษเพราะไฟธาตุไม่ย่อย เมียสาว
เป็นพิษเพราะผัวแก่"
พระเจ้าสญชัย - พระนางผุสดี
พระเจ้ากรุงสัญชัย-พระนางผุสดี
เป็นแบบอย่างของนักปกครองระบอบประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ฟัง
เสียงประชาชนส่วนใหญ่ รู้จักผ่อนผันเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ ไม่เว้นแก่พวกพ้อง แม้จะ
เป็นพระโอรสก็ตาม
ฝนโบกขรพรรษ 20
มีสีแดงหลั่งไหลเสียงสนั่นลั่นออกไปไกล
เหมือนเสียงสายฝนธรรมดา ถ้าผู้ใดปรารถนาจะ
ให้เปียกกาย จึงจะเปียกกาย ถ้าไม่ปรารถนาแล้ว
แม้แต่เม็ดหนึ่งก็มิได้เปียกตัว
เหมือนหยาดน้ำตกลงในใบบัว แล้ว
ก็กลิ้งตกลงไปมิได้ติดอยู่ให้เปียก ดังนั้น จึงได้
นามขนานขานเรียกว่า"ฝนโบกขรพรรษ" เป็น
มหัศจรรย์
ครั้งนั้น พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายก็ชวนกัน
พิศวง ต่างองค์ก็สนทนาว่า มิได้
เคยเห็นมาแต่ก่อนกาล พระองค์จึง
มีพุทธบรรหารตรัสว่า"ฝนโบกขรพรรษนี้ มิใช่
จะตกในที่ชุมนุมพระประยูรญาติในครั้งนี้เท่านั้น
ก็หาไม่ ในอดีตสมัย เมื่อตถาคตเสวยพระชาติ
เป็น พระเวสสันดร บรมโพธิสัตว์
ฝนโบกขรพรรษก็เคยได้ตกลงใน
ที่ชุมนุมพระประยูรญาติเหมือนครั้งนี้" แล้ว
สมเด็จพระมหามุนีจึงได้
ทรงพระแสดงพระธรรมเทศนา
เรื่องมหาเวสสันดรชาดก"
ตามข้อความที่ปรากฎนั้นจะเห็นว่าคุณสมบัติข้อหนึ่งของ ฝนโบกขรพรรษ นั้นเป็นปรากฎการฝนตก
ที่เม็ดน้ำฝนมีสีแดง และอนุมานว่าเป็นปรากฎการธรรมชาติที่ไม่เกิดขึ้นบ่อย จากข้อมูลตามที่พระ
ภิกษุสงฆ์ในสมัยนั้น สนทนากันว่าไม่เคยพบเจอกันมาก่อนในอดีตกาล
"ฝนโบกขรพรรษ" มีลักษณะพิเศษดังนี้
๑. น้ำฝนนี้มีสีแดงดังเท้านกพิราบ หลั่งไหลเสียงสนั่นลั่นออกไปไกลเหมือนเสียงสายฝนธรรมดา
๒. ถ้าผู้ใดปรารถนาจะให้เปียกกายจึงจะเปียก หากมิได้ปรารถนาแม้แต่เม็ดหนึ่งก็มิได้เปียก
๓. เมื่อถูกกายแล้วจะหล่นสู่พื้นดินเสมือนหยาดน้ำที่ตกลงสู่ใบบัวแล้วกลิ้งตกลงไปฉะนั้น
๔. ไม่เจิ่งนองพื้นดิน เมื่อตกลงแล้วก็ซึมหายไปในแผ่นดินทันที
ในพุทธประวัติ ปรากฏฝนโบกขรพรรษตก 3 ครั้ง คือ
1. เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จแสดงธรรมโปรดพระประยูรญาติ
2. เมื่อ พระเวสสันดร พระนางมัทรี พระเจ้ากรุงสญชัย พระนางผุสดี กัณหา และชาลี พบกัน
3. เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จแคว้นเวสาลีแสดงธรรมจักกัปปวัฒนสูตร
ข้อคิดที่ได้จากเรื่องสามรถนำไป 21
ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
๑. การเสียสละ เป็นคุณธรรมที่น่ายกย่อง และ ๖.เสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อประโยชน์
สุขของส่วนรวม
การบริจาคทาน เป็นการกระทำที่สมควรได้รับ ๗. การให้อภัยสามารถลบความร้าวฉาน
การอนุโมทนา
และความบาดหมางได้
๒. การทำความดีแม้ไม่มีใครเห็นแต่ความดี ๘. คนดีย่อมได้รับการคุ้มครอง
ย่อมเป็นความดีอยุ่วันยันยังคำ ๙. คนโง่ย่อมเป็นเหยื่อของคนฉลาด และ
๓. การเป็นคู่สามีและภรรยาที่ดีให้แก่กัน
๔. แง่คิดเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของคนเป็นแม่ คนฉลาดไม่ควรเอาความฉลาดไป
เบียดเบียนผู้อื่ น
และภรรยาที่ดี ๑๐. ผลดีของมิตรแท้ คือ ไม่ทอดทิ้งใน
๕. คู่ครองที่ดีควรอยู่ด้วยกันทั้งยามสุขและ
ยามเพื่อนทุกข์ ช่วยอุ้มชูยามเพื่อนอ่อน
ยามทุกข์
ล้า ช่วยฉุดดึงยามเพื่อนตกต่ำ
ทศชาติ
๑. เตมีย์ชาดก : บำเพ็ญเนกขัมมบารมี
๒. ชนกชาดก : บำเพ็ญวิริยบารมี
๓. สุวรรณสามชาดก : บำเพ็ญเมตตาบารมี
๔. เนมิราชชาดก : บำเพ็ญอธิษฐานบารมี
๕. มโหสถชาดก : บำเพ็ญปัญญาบารมี
๖. ภูริทัตชาดก : บำเพ็ญศีลบารมี
๗. จันทชาดก : บำเพ็ญขันติบารมี
๘. นารทชาดก : บำเพ็ญอุเบกขาบารมี
๙. วิธุรชาดก : บำเพ็ญสัจจบารมี
๑๐.เวสสันดรชาดก : บำเพ็ญทานบารมี
บรรณานุกรม
ไม่ปรากฏชื่อผู้เเต่ง. (ม.ป.ป.). กัณฑ์ที่ ๑กัณฑ์ทศพร, สืบค้นเมื่อ
๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๕.
https://www.xn--o3ce8b8evc.com/aano1/
ไม่ปรากฏชื่อผู้เเต่ง. (๒๕๖๕). กัณฑ์ที่ ๑๐ กัณฑ์สักกบรรพ, สืบค้นเมื่อ
๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๕.
https://www.mculture.go.th/mahasarakham/ewt_new
s.php?nid=4351&filename=index
ไม่ปรากฏชื่อผู้เเต่ง. (ม.ป.ป.). เรื่องพระเวสสันดร, สืบค้นเมื่อ
๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๕.
http://www.geocities.ws/sakyaputto/wijanchadok.
htm
ธนภัทร์ ลิ้มหัสนัยกุล. (๒๕๖๓). เกร็ดอะไรที่ซ่อนในภาพฝาผนัง13กัณฑ์,
สืบค้นเมื่อ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๕.
https://readthecloud.co/vessantara-jataka/
ไม่ปรากฏชื่อผู้เเต่ง. (ม.ป.ป.). ทศชาติชาดก, สืบค้นเมื่อ ๒๗
พฤศจิกายน ๒๕๖๕.
http://www.dhammathai.org/chadok/chadok10.php
ผลงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้รายวิชา ท๓๑๑๐๒
ภาษาไทย ๒ เสนอ ครูสุชาติ พิบูลย์วรศักดิ์ ครูประจำวิชา
สมาชิก
จัดทำโดย
นาย ธนภัทร อาจหยุด ชั้น ม.๔/๔ เลขที่ ๑๑
นางสาว จิราภรณ์ ทิพนา ชั้น ม.๔/๔ เลขที่ ๒๔
นางสาว ชรินชญาน์ สุวรรณทวี ชั้น ม.๔/๔ เลขที่ ๒๕
นางสาว ทิษยวัลย์ กอเข็ม ชั้น ม.๔/๔ เลขที่ ๒๘
นางสาว น้ำมนต์ อธิคุปต์ธนวัฒ ชั้น ม.๔/๔ เลขที่๓๐
นางสาว ปณิตา แก้วแพงมาก ชั้น ม.๔/๔ เลขที่ ๓๑