The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

โครงงานภาษาไทย2

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by suchada271049, 2022-09-11 20:12:16

โครงงานภาษาไทย2

โครงงานภาษาไทย2

โครงงานภาษาไทย
เร่ือง หลกั ศิลาจารึกพ่อขนุ รามคาแหง

จัดทาโดย
1.นายสุทธิเกยี รติ เปล่งสมบตั ิ เลขที่ ๓
2.นายเธียรวชิ ญ์ เมืองจันทร์ เลขท่ี ๖
3.นางสาวฌชิ าภา ชุตพิ งษ์ไพโรจน์ เลขท่ี ๑๕

4.นางสาวศิรินภา อเนกา เลขที่ ๑๖
5.นางสาวสิริณญา วงศ์ชวนากร เลขท่ี ๓๖
6.นางสาวสุชาดา ไขลายหงส์ เลขท่ี ๓๗
7.นางสาวสุภสั สรา เลาหะวนิช เลขท่ี ๓๘

ช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี ๔/๑๘

ครูทีป่ รึกษา
คุณครูสุนันทา ประสานสอน
โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช
สานักงานเขตพืน้ ทกี่ ารศึกษามธั ยมศึกษา เขต ๒๙

บทคดั ย่อ

จารึกพอ่ ขนุ รามคาแหง หรือ จารึกหลกั ที่ 1 เป็นศิลาจารึกที่บนั ทึกเหตุการณ์
ประวตั ิศาสตร์สมยั กรุงสุโขทยั ศิลาจารึกน้ี เจา้ ฟ้ามงกฎุ ฯ (ต่อมาคือพระบาทสมเดจ็ พระจอม
เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ) ขณะผนวชอยเู่ ป็นผทู้ รงคน้ พบเม่ือวนั กาบสี ข้ึน 8 ค่า เดือน 3 จ.ศ. 1214 ตรงกบั
วนั ศกุ ร์ที่ 17 มกราคม ค.ศ. 1834 หรือ พ.ศ. 2376 ณ เนินปราสาทเมืองเก่าสุโขทยั อาเภอเมือง
สุโขทยั จงั หวดั สุโขทยั มีลกั ษณะเป็นหลกั ส่ีเหล่ียมดา้ นเท่า ทรงกระโจม สูง 111 เซนติเมตร
หนา 35 เซนติเมตร เป็นหินทรายแป้งเน้ือละเอียด มีจารึกท้งั สี่ดา้ น ปัจจุบนั เกบ็ อยทู่ ี่
พิพิธภณั ฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพมหานคร

โครงงาน หลกั ศลิ าจารึกพอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราช มีจุดประสงค์ เพอ่ื ศกึ ษาประวตั ิความ
เป็นมาของศลิ าจารึก และ ศึกษาประวตั ิความเป็นมาของอกั ษรไทย ซ่ึงนามาเป็นความรู้แก่ผทู้ ่ี
ตอ้ งการศึกษาได้

กติ ตกิ รรมประกาศ

โครงงานหลกั ศิลาจารึกพ่อขนุ รามคาแหงน้ีสาเร็จลุล่วงไดด้ ว้ ยความกรุณาช่วยเหลือ
แนะนา ใหค้ าปรึกษา ตรวจสอบแกไ้ ขขอ้ บกพร่องต่าง ๆ ดว้ ยความเอาใจใส่อยา่ งดียงิ่ จาก
คุณครูสุนนั ทา ประสานสอนครูผสู้ อนรายวชิ าภาษาไทย ท๓๑๑๐๑ ผจู้ ดั ทากราบขอบพระคุณ
เป็นอยา่ งสูง

ขอขอบคุณเพื่อนนักเรียนทุกคนท่ีช่วยเหลือสนับสนุนท้งั ดา้ นกาลงั ใจและกาลงั
ทรัพยด์ ว้ ยดีตลอดมา นอกจากน้ียงั มีผูท้ ่ีให้ความร่วมมือช่วยเหลืออีกหลายท่าน ซ่ึงผูจ้ ดั ทาไม่
สามารถกล่าวนามในท่ีน้ีไดห้ มด จึงขอขอบคุณทุกท่านเหล่าน้นั ไว้ ณ โอกาสน้ีดว้ ย

คณะผจู้ ดั ทาหวงั วา่ โรงงานเล่มน้ีจะเป็นประโยชนต์ ่อผศู้ ึกษาทุกท่าน

คณะผจู้ ดั ทา

คานา

โครงงายฉบบั น้ีเป็ นส่วนหน่ึงของวิชาภาษาไทย เพ่ือใหไ้ ดศ้ ึกษาหาความรู้เรื่องราวของ
หลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคาแหง โดยได้ศึกษาหาความรู้ผ่านแหล่งความรู้ต่างๆ เช่น ตารา
หนังสือ ห้องสมุด และแหล่งเว็บไซต์ต่างๆ โดยรายงานเล่มน้ีต้องมีเน้ือหาเก่ียวกบั ผูแ้ ต่ง
จุดประสงคก์ ารแต่ง ลกั ษณะคาประพนั ธ์ เน้ือหา คุณค่า

ผจู้ ดั ทาความหวงั เป็นอยา่ งยง่ิ วา่ การจดั ทาเอกสารฉบบั น้ีจะมีขอ้ มูลท่ีเป็นประโยชนต์ ่อผู้
ที่สนใจศึกษาหลกั ศลิ าจารึกพอ่ ขนุ รามคาแหงอยา่ งดี

คณะผจู้ ดั ทา

สารบญั หน้า

บทคัดย่อ ก
กิตติกรรมประกาศ ข
คานา ค
สารบญั ง
บทท่ี 1 บทนา 1
1
ทม่ี าและความสาคญั ของโครงงาน 1
วัตถุประสงค์ของการศกึ ษา 1
สมมตฐิ านการศึกษา 1
ประโยชน์ทีค่ าดว่าจะไดร้ บั 2
บทที่ 2 เอกสารท่ีเกยี่ วขอ้ ง 2
เอกสารอา้ งองิ 5
บทท่ี 3 วธิ ีการดาเนินโครงงาน 5
เครือ่ งมอื และวัสดุอุปกรณ์ท่ีใช้ในการศึกษา 6
บทท่ี 4 ผลการศึกษา 6
ผลการศกึ ษา 13
บทท่ี 5 สรปุ ผลการศกึ ษา 13
สรปุ ผลการศกึ ษา 13
ประโยชน์ทไี่ ด้รับจากโครงงาน 13
ขอ้ เสนอแนะ 14

บรรณนกุ รม

บทที่ 1
บทนา

ท่ีมาและความสาคญั ของโครงงาน

ในการศึกษาเร่ืองประวตั ิความเป็ นมาของอกั ษรไทย ศิลาจารึกเป็ นหลกั ฐานช้ันตน้ ท่ี
สาคญั ยง่ิ ที่ใหค้ วามรู้ดา้ นภาษาศาสตร์และประวตั ิศาสตร์ แต่ปัจจุบนั การศกึ ษาและคน้ ควา้
ศิลาจารึกหลกั ต่างๆท่ีมีอยไู่ ดด้ าเนินการเพียงเลก็ นอ้ ย

ดว้ ยเหตุดงั กล่าว ผจู้ ดั ทาจึงขอเสนอโครงงานหลกั ศลิ จารึกพอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราช
เพ่อื ศกึ ษาประวตั ิความเป็นมาและการกาเนิดอกั ษรไทย

วตั ถุประสงค์ของการการศึกษา

1. เพื่อใหเ้ ราทราบถึงประวตั ิการกาเนิดอกั ษรไทย
2. เพอื่ ศกึ ษาหลกั ภาษาในยคุ สุโขทยั
3. เพอ่ื ศึกษาประวตั ิความเป็นมาของหลกั ศลิ าจารึก

สมมตฐิ านการศึกษา

สามารถนาความรู้จากศึกษามาพฒั นาการเขียนและการอ่านภาษาไทยไดส้ ะดวกมากข้ึน

ประโยชน์ทค่ี าดว่าจะได้รับ

1. ทาใหท้ ราบเก่ียวกบั การกาเนิดหลกั ศลิ าจารึกของพอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราช
2. ไดท้ ราบเน้ือเรื่องของหลกั ศิลาจารึก
3. ไดท้ ราบการกาเนิดลายสือไทย
4. ไดท้ ราบถึงการกาเนิดของวรรณคดีและอกั ษรไทย

บทท่ี 2
เอกสารท่เี กย่ี วข้อง

ศิลาจารึกพ่อขุนรามคาแหงมหาราช
ประวตั ิความเป็ นมา

เมื่อราชวงศส์ ุโขทยั ไดส้ ูญเสียอานาจและกลายเป็นเมืองร้าง ศิลาจารึกพอ่ ขนุ รามคาแหง และศิลาจารึก
หลกั อื่น ๆ ท่ีจารึกในยคุ น้นั ก็สาบสูญ ไปจากความทรงจาของชาวไทย จนกระทง่ั ในปี พ.ศ. ๒๓๗๖ เม่ือ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ขณะยงั ทรงดารง พระยศเป็นเจา้ ฟ้ามงกุฎ และผนวชอยทู่ ่ีวดั ราชาธิ
วาส ไดเ้ สดจ็ ธุดงคเ์ มืองเหนือ (ปี มะเส็ง เบญจศก จุลศกั ราช ๑๑๙๓) ในระหวา่ งประทบั อยทู่ ี่สุโขทยั ไดท้ รง
พบศิลาจารึก และพระแทน่ มนงั ศิลา ณ บริเวณเนินประสาทพระราชวงั เก่าสุโขทยั คร้ันเม่ือจะเสด็จกลบั ก็
โปรดเกลา้ ฯ ใหน้ าพระแท่น มนงั คศิลา และศิลาจารึกกลบั มาไวท้ ่ีวดั สมอราย(ราชาธิวาส) ท่ีกรุงเทพฯ แลว้
ยา้ ยมาไว้ ท่ีวดั บวรนิเวศ เมื่อพระองคไ์ ดเ้ สดจ็ ข้ึนครองราชยจ์ ึงไดโ้ ปรดใหน้ ามาไวท้ ่ีวหิ า รขาววดั พระศรี
รัตนศาสดารามที่พระบรมมหาราชวงั ตอ่ มาในปลายปี พ.ศ. ๒๔๖๖ พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา้
เจา้ อยหู่ วั ไดโ้ ปรดเกลา้ ฯ ใหน้ าศิลาจารึกน้ีไปรวมกบั ศิลาจารึกอ่ืน ๆ ในหอสมุดแห่งชาติ ปัจจุบนั น้ีอยทู่ ่ี
พพิ ธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติ

ผู้แต่ง

มีผศู้ ึกษาเกี่ยวกบั ศิลาจารึกของพอ่ ขนุ รามคาแหงหลายทา่ น และผทู้ ่ีมีบทบาท สาคญั กค็ ือ ศาสตราจารย์
ยอร์ช เซเดย์ นกั โบราณคดีชาวฝรั่งเศส ซ่ึงเช่ียวชาญทางดา้ น ภาษาตะวนั ออก ไดศ้ ึกษาศิลาจารึกของพอ่ ขุน
รามคาแหง และไดจ้ ดั ทาคาอ่านไวอ้ ยา่ งละเอียด ในปี พ.ศ. ๒๕๑๕ ศาสตราจารยฉ์ ่า ทองคาวรรณ แ ละ
ผเู้ ช่ียวชาญ ทางภาษาโบราณ อีกหลายคน ไดศ้ ึกษาการอา่ นคาจารึก และการตีความถอ้ ยคาในศิลาจารึกพอ่
ขนุ รามคาแหง ปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร และศาสตราจารยห์ มอ่ มเจา้ สุภทั รดิศ
ดิศกุล ไดศ้ ึกษาคาอ่านทาใหไ้ ดร้ ับความรู้เพ่มิ เติมข้ึน

จากการสนั นิษฐาน ผแู้ ต่งอาจมีมากกวา่ ๑ คน เพราะเน้ือเรื่อง ในหลกั ศิลาจารึกแบ่งไดเ้ ป็น ๓ ตอน คือ
ตอนแรก กล่าวถึง พระราชประวตั ิของพอ่ ขนุ รามคาแหง ใชค้ าแทนชื่อวา่ "กู"

เขา้ ใจวา่ พอ่ ขุนรามคาแหงคงจะทรงแตง่ เก่ียวกบั พระราชประวตั ิของพระองคเ์ อง
ตอนท่ี ๒ เป็นการบนั ทึกเร่ืองราวเหตุการณ์ตา่ ง ๆ ใชค้ าวา่ พอ่ ขนุ รามคาแหง โดยเริ่มตน้ วา่ "เมื่อชวั่

พอ่ ขนุ รามคาแหงเมืองสุโขทยั น้ีดี......" จึงเขา้ ใจวา่ จะตอ้ ง เป็นผอู้ ่ืนแต่ง เพิม่ เติมภายหลงั

ตอนที่ ๓ เป็นตอนยอพระเกียรติพอ่ ขนุ รามคาแหง โดยเริ่มตน้ วา่ "พอ่ ขนุ รามคาแหง น้นั หาเป็นทา้ ว
เป็นพระยาแก่ไทยท้งั หลาย......" ศาสตราจารยย์ อร์ช เซเดย์ สันนิษฐานวา่ ความในตอนที่ ๓ คงจารึกหลงั
ตอนท่ี ๑ และตอนที่ ๒ จึงเขา้ ใจวา่ ผอู้ ่ืนแตง่ ต่อในภายหลงั

จุดมุ่งหมายในการแต่ง

๑. เพ่ือเป็ นหลกั ฐานแสดงความเจริญรุ่งเรืองในสมยั น้นั เช่น หลกั ฐานการประดิษฐอ์ กั ษรไทย
เหตุการณ์ต่าง ๆ ตลอดจนช้ีแจงอาณาเขตของกรุงสุโขทยั

๒. เพื่อสดุดีพระเกียรติพอ่ ขนุ รามคาแหง

ลกั ษณะการแต่ง

แต่งเป็นร้อยแกว้ ลกั ษณะเป็นประโยคส้นั ๆ กะทดั รัด และมีสัมผสั คลอ้ งจองกนั ระหวา่ งวรรคบา้ ง

เนื้อเร่ือง

เน้ือหาแบง่ ออกเป็น ๓ ตอน คือ
ตอนที่ ๑ ต้งั แตด่ า้ นท่ี ๑ บรรทดั ที่ ๑ - ๑๘ เป็นพระราชประวตั ิพอ่ ขนุ รามคาแหง ต้งั แตป่ ระสูติ จนถึง
เสด็จข้ึครองราชย์ เน้ือเรื่องกล่าวถึงพระจริยวตั รที่พระองคท์ รงปฏิบตั ิต่อพระราชบิดา พระราชมารดา และ
พระเชษฐา
ตวั อยา่ งขอ้ ความ "พอ่ กูชื่อศรีอินทราทิตย์ แม่กูชื่อนางเสือง พ่ีกชู ่ือบานเมือง กูพ่ีนอ้ งทอ้ งเดียวกนั หา้ คน
ผชู้ ายสาม ผหู้ ญิงโสง พ่ีเผอื ผูอ้ า้ ยตายจากเผอื เตรียมแต่ยงั เล็ก"
"เม่ือชว่ั พ่อกู กูบาเราแก่พอ่ กู กบู าเรอแก่แมก่ ู กไู ดต้ วั เน้ือตวั ปลากูเอามาแก่พอ่ กู กูไดห้ มากส้มหมาก
หวาน อนั ใดกินอร่อยกินดี กูเอามาแก่พอ่ กู"
ตอนที่ ๒ ต้งั แตด่ า้ นที่ ๑ บรรทดั ท่ี ๑๘ จนถึงดา้ นท่ี ๔ บรรทดั ที่ ๑๑ กล่าวถึงสภาพบา้ นเมือง เหตุการณ์
ขนบธรรมเนียมประเพณี ความเป็นอยู่ พระศาสนา การปกครอง ศิลปะและวฒั นธรรม รวมท้งั การประดิษฐ์
อกั ษรไทยข้ึนใน พ.ศ. ๑๘๒๖
ตวั อยา่ งขอ้ ความ "เม่ือชวั่ พอ่ ขนุ รามคาแหง เมืองสุโขทยั น้ีดี ในน้ามีปลาในนามีขา้ ว เจา้ เมืองบ่เอาจก
อบในไพร่ลู่ทาง เพ่ือจูงววั ไปคา้ ขี่มา้ ไปขาย ใครจกั ใคร่คา้ ชา้ งคา้ ใครจกั ใคร่คา้ มา้ คา้ ใครจดั ใคร่คา้ เงินคา้ ทอง
คา้ ไพร่ฟ้าหนา้ ใส"

"คนเมืองสุโขทยั นี้ มกั ทาน มกั ทรงศีล มักอวยทาน"
ตอนท่ี ๓ ต้งั แต่ดา้ นที่ ๔ บรรทดั ท่ี ๑๒ จนถึงบรรทดั ที่ ๒๗ (บรรทดั สุดทา้ ย) เป็ นการยอพระเกียรติพอ่
ขนุ รามคาแหง และกล่าวถึงอาณาเขตของกรุงสุโขทยั

ตวั อยา่ งขอ้ ความ "ในปากประตูมีกระดิ่งอนั หน่ึงแขวนไวห้ ้นั ไพร่ฟ้าหนา้ ปก กลางบา้ น กลางเมือง มี
ถอ้ ย มีความ เจบ็ ทอ้ งขอ้ งใจ มกั จกั กล่าวถึงเจา้ ถึงขนุ บไ่ ร้ ไปสนั่ กระด่ิงอนั ทา่ นแขวนไว้ พอ่ ขนุ รามคาแหง
เจา้ เมืองไดย้ นิ เรียกเม่ือถามสวนความแก่มนั ดว้ ยซื่อ ไพร่ในเมืองสุโขทยั จึงชม"

คุณค่าของหนังสือ

๑. ด้านภาษาและสานวนโวหาร จารึกของพอ่ ขนุ รามคาแหงเป็นหลกั ฐานที่สาคญั ที่สุด ที่แสดงใหเ้ ห็นถึง
กาเนิดของวรรณคดีและอกั ษรไทย เช่น กล่าวถึงหลกั ฐานการประดิษฐอ์ กั ษรไทย

ดา้ นสานวนการใชถ้ อ้ ยคาในการเรียบเรียงจะเห็นวา่
- ถอ้ ยคาส่วนมากเป็นคาพยางคเ์ ดียวและเป็นคาไทยแท้ เช่น อา้ ง โสง นาง เป็ นตน้
- มีคาที่มาจากภาษาบาลีสันสกฤตปนอยบู่ า้ ง เช่น ศรีอินทราทิตย์ ตรีบูร อรัญญิก ศรัทธา พรรษา เป็น
ตน้
- ใชป้ ระโยคส้นั ๆ ให้ความหมายกระชบั เช่น แม่กูช่ือนางเสือง พีก่ ูชื่อบานเมือง
- ขอ้ ความบางตอนใชค้ าซ้า เช่น "ป่ าพร้าวก็หลายในเมืองน้ี ป่ าลางกห็ ลายในเมืองน้ี”
- นิยมคาคลอ้ งจองในภาษาพดู ทาใหเ้ กิดความไพเราะ เช่น "ในน้ามีปลา ในนามีขา้ ว
เจา้ เมืองบเอาจกอบในไพร่ลู่ทาง เพอื่ นจูงววั ไปคา้ ขี่มา้ ไปขาย"
- ใชภ้ าษาที่เป็นถอ้ ยคาพ้ืน ๆ เป็นภาษาพูดมากกวา่ ภาษาเขียน
๒. ด้านประวตั ิศาสตร์ ใหค้ วามรู้เกี่ยวกบั พระราชประวตั ิพอ่ ขนุ รามคาแหง จารึกไวท้ านองเฉลิมพระเกียรติ
ตลอดจนความรู้ดา้ นประวตั ิศาสตร์ โบราณคดี และสภาพสังคมของกรุงสุโขทยั ทาให้ผูอ้ ่านรู้ถึงความ
เจริญรุ่งเรืองของกรุงสุโขทยั พระปรีชาสามารถของพอ่ ขนุ รามคาแหง และสภาพชีวติ ความเป็นอยขู่ องชาว
สุโขทยั
๓. ด้านสังคม ใหค้ วามรู้ดา้ นกฎหมายและการปกครองสมยั กรุงสุโขทยั วา่ มีการปกครองแบบพ่อปกครอง
ลูก พระมหากษตั ริยด์ ูแลทุกขส์ ุขของราษฎรอยา่ งใกลช้ ิด
๔. ด้านวฒั นธรรม ประเพณี ใหค้ วามรู้เก่ียวกบั วฒั นธรรม ประเพณีอนั ดีงามของชาวสุโขทยั ที่
ปฏิบตั ิสืบมาจนถึงปัจจุบนั เช่น การเคารพบูชาและเล้ียงดูบิดามารดา นอกจากน้นั ยงั ไดก้ ล่าวถึงประเพณีทาง
ศาสนา เช่น การทอดกฐินเมื่อออกพรรษา ประเพณีการเล่นร่ืนเริงมีการจุดเทียนเล่นไฟ พอ่ ขนุ รามคาแหง
โปรดใหร้ าษฎรทาบุญและฟังเทศน์ในวนั พระ เช่น "คนเมืองสุโขทยั น้ีมกั ทาน มกั ทรงศีล มกั อวยทาน.......
ฝงู ท่วยมีศรัทธา ในพระพุทธศาสนา ทรงศีล เม่ือพรรษาทุกคน"

บทท่ี 3
วธิ ีการดาเนินโครงงาน

ข้นั ตอนการดาเนินงาน

๑. ผศู้ ึกษานาเสนอหวั ขอ้ โครงงานต่ออาจารยท์ ่ีปรึกษาเพ่ือขอคาแนะนาและกาหนดขอบเขตในการทา
โครงงาน
๒. ผศู้ ึกษาร่วมกนั ประชุมวางแผนวเิ คราะห์ตามหวั ขอ้ วตั ถุประสงคข์ องโครงงาน
๓. ผศู้ ึกษาร่วมกนั กาหนดบทประพนั ธ์วรรณคดีหนงั สือตา่ งๆ
๔. ศึกษาและเก็บรวบรวมขอ้ มูลเป็นข้นั ตอนของการเก็บรวบรวมขอ้ มูลท่ีเก่ียวขอ้ งกบั โครงงานเพือ่ มา
วเิ คราะห์และสรุปเน้ือหาที่สาคญั ที่จะนามาจดั ทาโครงงาน
๕. นาเสนอผลงานต่ออาจารยท์ ี่ปรึกษาเพอื่ รายงานผลการดาเนินงาน
๖. จดั ทาคู่มือเพ่ือใชส้ าหรับศึกษาและรายงานต่ออาจารยท์ ี่ปรึกษา

อปุ กรณ์และวสั ดุทใ่ี ช้ในการศึกษา

๑. คอมพิวเตอร์
๒. เคร่ืองปรินต์
๓. ไอแพด
๔. อินเตอร์เน็ต
๕. กระดาษ

บทท่ี 4
ผลการศึกษา

บทท่ี 4
ผลการศึกษาค้นคว้า

พอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราช ไดท้ รงประดิษฐอ์ กั ษรไทยข้ึนเมื่อ พ.ศ. 1826 โดยทรงดดั แปลง
มาจากอกั ษรขอมหวดั และอกั ษรไทยเดิม ซ่ึงดดั แปลงมาจากอกั ษรมอญและคิดอกั ษรไทยข้ึนใหม่
ใหม้ ีสระ และวรรณยกุ ตใ์ ห้พอใชก้ บั ภาษาไทย และทรงเรียกอกั ษรดงั กล่าว ลายสือไทย ดงั มีกล่าว
ในศิลาจารึกพอ่ ขนุ รามคาแหงตอนหน่ึงวา่

"เม่ือก่อนลายสือไทยน้ีบ่มี 1205 ศกปี มะแม พอ่ ขนุ รามคาแหงหาใคร่ใจในใจ แลใส่ลายสือ
ไทยน้ี ลายสือไทยน้ีจึงมีพอ่ ขนุ รามคาแหงผนู้ ้นั ใส่ไว…้ " (ปี 1205 เป็นมหาศกั ราชตรงกบั
พุทธศกั ราช 1826)

ลกั ษณะอกั ษรไทยสมัยพ่อขุนรามคาแหง

1. อกั ษรสมยั พอ่ ขนุ รามคาแหงดดั แปลงมาจากอกั ษรขอมหวดั มีดงั น้ีคือ ก ข ค ฆ ง จ ฉ ช
ญ ฎ ฐ ณ ต ถ ท ธ น ป ผ พ ภ ม ย ร ล ว ศ ษ ส ห และไดเ้ พมิ่ พยญั ชนะและวรรณยกุ ตใ์ หพ้ อกบั
ภาษาไทยในสมยั น้นั ไดแ้ ก่ ฃ ฅ ซ ฎ ด บ ฝ ฟ อ และวรรณยกุ ตเ์ อก และโท

2. สระและพยญั ชนะเขียนเรียงอยใู่ นบรรทดั เดียวกนั และสูงเสมอกนั เขียนสระไวห้ นา้
พยญั ชนะ ยกเวน้ สระอะ สระอา เขียนอยขู่ า้ งหลงั ส่วนวรรณยกุ ตเ์ ขียนไวข้ า้ งบน

3. สระอะเม่ือมีตวั สะกด ใชพ้ ยญั ชนะซอ้ นกนั เช่น น่งง (นงั่ ) ขบบ (ขบั )
4. สระเอีย ใช้ ย แทน เช่น สยง (เสียง) ถา้ ไม่มีตวั สะกดใชส้ ระอี โดยไมม่ ีไมห้ นา้
5. สระอวั ท่ีไมม่ ีตวั สะกด ใช้ วว เช่น ตวว (ตวั )
6. สระอือและสระออที่ไมม่ ีตวั สะกด ไม่ใช้ อ เช่น ชี่ (ช่ือ) พ่ (พอ่ )
7. สระอึ ใชส้ ระอิและสระอีแทน เช่น ข๋ิน (ข้ึน) จี่ง (จ่ึง)
8. ตวั ม ที่เป็ นตวั สะกดใชน้ ฤคหิต เช่น กล (กลม)

อกั ษรไทยของพอ่ ขนุ รามคาแหง ใชแ้ พร่หลายในเขตลา้ นนา ลา้ นชา้ ง และกรุงศรีอยธุ ยา ต่อมา
ชาวลา้ นนาและชาวลา้ นชา้ งเลิกใชอ้ กั ษรไทยสมยั กรุงสุโขทยั และใชอ้ กั ษรของพวกล้ือ ซ่ึงเป็น
อกั ษรไทยพวกหน่ึงแทน ส่วนกรุงศรีอยธุ ยายงั คงใชอ้ กั ษรไทยและดดั แปลงแกไ้ ขมาเป็นระยะ ๆ
จนเป็นเช่นอกั ษรไทยปัจจุบนั

ศิลาจารึกพอ่ ขนุ รามคาแหง หรือ "ศิลาจารึกหลกั ที่ 1" เป็นศิลาจารึกหรือบนั ทึกบนแทง่ ศิลาที่
บนั ทึกประวตั ิศาสตร์ในยคุ สมยั กรุงสุโขทยั ถือเป็นวรรณคดีเร่ืองแรกของไทย หลกั ศิลาน้ีคน้ พบใน
สมยั รัชกาลที่ 3 โดยเจา้ ฟ้ามงกฎุ ฯ ขณะทรงผนวชอยู่ (ต่อมาคือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้
เจา้ อยหู่ วั ) เมื่อวนั ท่ี 17 มกราคม พ.ศ. 2376[1] ณ เนินปราสาทเมืองเก่าสุโขทยั อาเภอเมือง จงั หวดั
สุโขทยั มีลกั ษณะเป็นแท่นหินรูปสี่เหล่ียม ยอดกลมมน สูง 1.11 ม. หนา 35 ซม. เป็นหินชนวนสี
เขียวมีจารึกท้งั ส่ีดา้ น ปัจจุบนั เกบ็ อยทู่ ่ีพพิ ิธภณั ฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพมหานคร

กาเนิดลายสือไทย

พอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราชทรงประดิษฐล์ ายสือไทยหรือตวั หนงั สือไทยข้ึนเมื่อมหาศกั ราช
๑๒๐๕ (พุทธศกั ราช ๑๘๒๖) นบั มาถึงพุทธศกั ราช ๒๕๒๖ ได้ ๗๐๐ ปี พอดี ในระยะเวลาดงั กล่าว
ชาติไทยไดส้ ะสมความรู้ท้งั ทางศิลปะ วฒั นธรรม และวชิ าการต่าง ๆ และไดถ้ ่ายทอดความรู้
เหล่าน้นั สืบต่อกนั มา โดยอาศยั ลายสือไทยของพรองคท์ ่านเป็นส่วนใหญ่ ก่อนสมยั สุโขทยั ชาติ
ไทยเคยรุ่งเรืองอยทู่ ี่ไหนอยา่ งไร ไม่มีหลกั ฐานยนื ยนั ใหท้ ราบแน่ชดั แต่เมื่อพอ่ ขนุ รามคาแหง
มหาราชทรงประดิษฐล์ ายสือไทยข้ึนแลว้ มีศิลาจารึกและพงศาวดารเหลืออยูเ่ ป็นหลกั ฐานยนื ยนั วา่
ชาติไทยเคยรุ่งเรืองมาอยา่ งไรบา้ ในยคุ สุโขทยั อยธุ ยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ ในโอกาสครบรอบ
๗๐๐ ปี น้ี คนไทยทุกคนจึงควรนอ้ มราลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และพระปรีชาสามารถของ
พระองคท์ า่ นโดยพร้อมเพรียงกนั

ศิลาจารึกหลกั ท่ี 1 ของพอ่ ขุนรามคาแหงมหาราช มีขอ้ ความปรากฎวา่ “เม่ือก่อนลานสืไทนี๋บ่มี
๑๒๐๕ สก ปี มะแมพอ่ ขนุ รามคาแหงหาใคร่ใจในใจแล่ใศ่ลายสืไทน๋ี สายสืไทนี๋ จ่ีงมีเพอ่ื ขนุ ผ๋นู ๋นน
ใศ่ไว๋” หา แปลวา่ ดว้ ยตนเอง (ไทยขาวยงั ใชอ้ ย)ู่ ใคร่ในใจ แปลวา่ คานึงในใจ (จาก
พจนานุกรมไทยอาหม) ขอ้ ความท่ีอา้ งถึงแสดงวา่ พอ่ ขุนรามคาแหงมหาราช ทรงประดิษฐ์
ตวั หนงั สือไทยแบบท่ีจารึกไวใ้ นศิลาจารึกหลกั ท่ี ๑ ข้ึนเม่ือ พ.ศ. ๑๘๒๖

ศาสตราจารย์ ยอช เซเดส์ ไดก้ ล่าวไวใ้ นตานานอกั ษรไทย ซ่ึงตีพมิ พเ์ ม่ือ พ.ศ. ๒๔๖๘ วา่ คาที่ใชใ้ น
จารึกมีคา น้ี อยตู่ อ่ คา ลายสือ ทุกแห่ง (สามแห่ง) หมายความวา่ หนงั สือไทยอยา่ งน้ีไมม่ ีอยกู่ ่อน
มิไดป้ ระสงคจ์ ะทรงแสดงวา่ หนงั สือของชนชาติไทยพ่ึงมีข้ึนต่อเมื่อ พ.ศ. ๑๘๒๖ เซเดส์ ยงั เห็นวา่
พวกไทยนอ้ ยซ่ึงมาอยทู่ างลาน้ายม ช้นั แรกเห็นจะใชอ้ กั ษรไทยซ่ึงไดแ้ บบมาจากมอญ (ตานาน
อกั ษรไทย หนา้ ๑ หนา้ ๖ และหนา้ ๑๑) ต่อมาขอมมีอานาจปกครองสุโขทยั พวกไทยคงจะศึกษา
อกั ษรขอมหวดั ท่ีใชใ้ นทางราชการ แลว้ จึงแปลอกั ษรเดิมของไทยมาเป็นรูปคลา้ ยตวั อกั ษรขอมหวดั
ถา้ ประสงคจ์ ะสมมติวา่ อกั ษรไทยเดิมเป็นอยา่ งไร ควรจะถือเอาอกั ษรอาหม (ใชใ้ นอสั สมั ) กบั
อกั ษรไทยนอ้ ย (ใชใ้ นอีสานและประเทศลาว) น้ีเป็ นหลกั นายฉ่า ทองคาวรรณ ไดเ้ ขียนเรื่อง
“สนั นิษฐานเทียบการเขียนอกั ษรไทยกบั อกั ษรขอมในสมยั พอ่ ขนุ รามคาหง” ไว้ และไดส้ ันนิษฐาน
วา่ อกั ษรพอ่ ขนุ รามคาแหงทุกตวั ดดั แปลงนาจากอกั ษรขอมหวดั

หนงั สือจินดามณีเล่ม ๑ ของหอสมุดแห่งชาติเลขที่ 11 เป็นสมุดไทยดา มีขอ้ คามเหมือนกบั จินดา
มณีฉบบั พระเจา้ บรมโกศ ซ่ึงนายขจร สุขพานิช ไดม้ าจากกรุงลอนดอน แต่คลาดเคล่ือนนอ้ ยกวา่ มี
ขอ้ ความวา่ “อน่ึงมีในจดหมายแตก่ ่อนวา่ ศกราช ๖๔๕ มแมศก พญาร่วงเจา้ ไดเ้ มืองศรีสชั นาไลย
ไดแ้ ตง่ หนงั สือไทย แล จ ไดแ้ ตง่ รูปกด็ ี แต่งแม่อกั ษรก็ดีมิไดว้ า่ ไวแจง้ อน่ึงแมห่ นงั สือแต่ ก กา กน
ฯ,ฯ ถึงเกอยเมืองขอมก็แต่งมีอยแู่ ลว้ เห็นวา่ พญาร่วงเจา้ จะแต่งแต่รูปอกั ษรไทย” แทจ้ ริงพอ่ ขนุ
รามคาแหงมิไดท้ รงแต่งแต่รูปอกั ษรไทยเท่าน้นั แต่ยงั ไดท้ รงเปล่ียนอกั ษรวธิ ีการเขียนภาษาไทยให้
ดีข้ึนกวา่ เดินอีกปลายประการ ดงั จะไดก้ ล่าวถึงต่อไปขา้ งหนา้ น้ี

มีหนงั สือไทยเดิมก่อนลายสือไทยหรือไม่

ผเู้ ขียนเคยบรรยายไวท้ ่ีหอสมุดแห่งชาติ เม่ือ พ.ศ. ๒๕๑๐ วา่ ถา้ ลายสือไทยน้ีบอ่ มี หมายความวา่
หนงั สือไทยชนิดน้ีไมม่ ี แต่คงจะมีหนงั สือไทยแบบอ่ืนอยกู่ ่อนแลว้ ในจารึกหลกั เดียวกนั น้ีได้
กล่าวถึงเมืองสุโขทยั ๑๔ คร้ัง ทุกคร้ังใชค้ า เมืองสุโขทยั น้ี จะตีความวา่ มีเมืองสุโขทยั อยกู่ ่อนแลว้
แลว้ จึงมาต้งั เมืองสุโขทยั ข้ึนใหมก่ ระน้นั หรือ ผเู้ ขียนเห็นวา่ น้ีเป็นแต่คาช้ีเฉพาะ ถา้ เทียบกบั
ภาษาองั กฤษก็คงจะตรงกบั the เท่าน้นั มิไดห้ มายความวา่ this เพราะฉะน้นั ที่วา่ ลายสือไทยน้ีบม่ ี
คงมิไดห้ มายความวา่ มีลายสือไทยอื่นอยแู่ ลว้ แตผ่ เู้ ขียนยอมรับวา่ อาจจะมีหนงั สือของไทยอาหม
เกิดข้ึนทางอสั สมั ในเวลาใกลเ้ คียงกบั การก่อกาเนิดตวั หนงั สือในสุโขทยั ก็เป็นได้ (หนงั สือรวมการ
บรรยายเรื่องตวั อกั ษรไทย หนา้ ๕๕)

ประวตั ิไทยอาหมปรากฏอยใู่ นหนงั สือบูราณยี คาวา่ ยี อาจจะตรงกบั สือ ในลายสือ หรือรากศพั ท์
เดียวกบั จื่อ ซ่ึงใชอ้ ยใู่ นภาคเหนือและภาคอีสาน แปลวา่ จดจา เช่นไดจ้ ่ือจาไว้ บูราณยบี อกประวตั ิผู้
ครองราชยม์ าต้งั แต่ยคุ ท่ีนิยมแตง่ ตานานเป็ นเทพนิยายลงมา ศกั ราชแรกท่ีกล่าวถึง คือ พ.ศ. ๑๗๓๓
ส่วนใหญ่เผา่ อ่ืนเร่ิมมีประวตั ิเป็นหลกั เป็นฐานไมเ่ ก่าไปกวา่ ยคุ ไทยอาหม หากเก่ากวา่ น้นั ข้ึนไป จะ
เป็นเรื่องเทพนิยายแบบพงศาวดารเหนือหรือตานานเก่า ๆ ของเรา ซ่ึงเกี่ยวกบั ปาฏิหาริยเ์ ป็น
ส่วนมาก ประวตั ิศาสตร์ไทยทุกเผา่ มาเร่ิมจดเป็ นหลกั เป็นฐานในยคุ พอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราชน้ี
ผเู้ ขียนจึงเห็นวา่ ตวั หนงั สือไทยคงจะเกิดข้ึนตน้ ยคุ สุโขทยั น้ีเอง เม่ือมีตวั หนงั สือใชแ้ ลว้ กอ็ าจจะจด
เร่ืองราวยอ้ นหลงั ข้ึนไปไดอ้ ีกสองสามชวั่ คน

อีกประการหน่ึง ไมเ่ คยมีผพู้ บจารึกภาษาไทยก่อนยคุ สุโขทยั ข้ึนไปเลย จริงอยเู่ ป็ นไปไดว้ า่ คนไทย
อาจจะมีตวั อกั ษรอ่ืนใชอ้ ยกู่ ่อนแลว้ แต่เผอิญจารึกหายไปหมด หรืออาจจะเขียนไวบ้ นไมไ้ ผ่ หรือส่ิง
อื่นที่ผพุ งั ไปไดง้ ่ายกเ็ ป็นได้ แต่ถา้ มีตวั อกั ษรอื่นอยกู่ ่อนแลว้ ตวั อกั ษรแบบน้นั ก็น่าจะปรากฏข้ึนท่ี
ใดท่ีหน่ึง เพราะดินแดนต้งั แต่อสั สัมถึงเวยี ดนามและจีนตอนใตถ้ ึงมลายมู ีคนไทยอาศยั อยทู่ วั่ ไป
ทาไมจึงไมป่ รากฏตวั อกั ษรแบบดงั กล่าวเลย ไมว่ า่ จะจารึกไวใ้ นรูปลกั ษณะใด ๆ ท้งั สิ้น

ตวั หนงั สือของพ่อขนุ รามคาแหงมหาราชแพร่หลายเขา้ ไปในลา้ นนา ดงั ปรากฏในศิลาจารึกหลกั ที่
๖๒ วดั พระยนื วา่ พระมหาสุมนเถรนาศาสนาพทุ ธนิกายรามญั วงศ์ หรือนิกายลงั กาวงศเ์ ก่าเขา้ ไปใน
ลา้ นนา เมื่อ พ.ศ. ๑๙๑๒ และไดเ้ ขียนจารึกดว้ ยตวั หนงั สือสุโขทยั ไวเ้ มื่อ พ.ศ. ๑๙๑๔ ต่อมา
ตวั หนงั สือสุโขทยั น้ีไดเ้ ปล่ียนรูปร่าง และอกั ขรวธิ ีไปบา้ งกลายเป็นตวั หนงั สือฝักขาม และลา้ นนา
ยงั ใชต้ วั หนงั สือชนิดน้ีมาจนถึงสมยั ตน้ กรุงรัตนโกสินทร์

เชียงตุงและเมืองที่ใกลเ้ คียงในพม่ามีศิลาจารึกอกั ษรฝักขาม ซ่ึงดดั แปลงไปจากลายสือของพอ่ ขนุ
รามคาแหงมหาราชอยกู่ วา่ 10 หลกั เริ่มแต่ศิลาจารึกวดั ป่ าแดง พ.ศ. ๑๙๙๔ เป็นตน้ มา นอกจากน้ียงั
มีจารึกที่เจดียอ์ านนั ทะในพกุ ามเขียนดว้ ยตวั หนงั สือสุดขทยั ประมาณ พ.ศ. ๑๙๑๐–๑๙๔๐ อยหู่ ลกั
หน่ึง

ในประเทศลาวมีจารึกเขียนไวท้ ่ีผนงั ถ้านางอนั ใกลห้ ลวงพระบางดว้ ยตวั อกั ษรสุโขทยั ซ่ึงมีลกั ษณะ
ใกลเ้ คียงกบั ตวั หนงั สือสมยั พระเจา้ ลิไทย (พ.ศ. ๑๘๙๐–๑๙๑๑)

ไทยขาว ไทยดา ไทยแดง เจา้ ไทยในตงั เก๋ีย ผไู้ ทยในญวน และลาวปัจจุบนั น้ียงั ใชต้ วั อกั ษรที่กลาย
ไปจากลายสือของพอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราช

ถา้ คนไทยมีตวั อกั ษรไทยเดิมอยแู่ ลว้ กค็ งจะไมย่ อมรับลายสือไทยเขา้ ไปใชจ้ นแพร่หลายกวา้ งขวาง
ไปในหลายประเทศดงั กล่าวมาแลว้ เพราะการเปล่ียนแปลงใหผ้ ดิ ไปจากของที่เคยชินแลว้ ทาไดย้ าก
มาก เป็นตน้ วา่ เราเคยเขียนคาวา่ “น้า” บดั น้ีออกเสียเป็น “นา้ ม” แตก่ ม็ ิไดเ้ ปล่ียนวธิ ีเขียนใหต้ รงกบั
เสียง

ผเู้ ขียนเห็นวา่ ในช้นั แรกเมื่อคนไทยมิไดเ้ ป็นชนช้นั ปกครอง กจ็ าเป็นจะตอ้ งเรียนตวั หนงั สือท่ีทาง
ราชการบา้ นเมืองใชอ้ ยู่ เพ่อื อ่านประกาศของทางราชการใหเ้ ขา้ ใจ ถา้ จะประดิษฐต์ วั หนงั สือข้ึนใช้
เอง จะไปบงั คบั ใครใหม้ าเรียนหนงั สือดงั กล่าว เม่ือใดคนไทยไดเ้ ป็นชนช้นั ปกครองข้ึน ก็น่าจะ
ดดั แปลงตวั หนงั สือ ที่ใชก้ นั อยใู่ นถิ่นน้นั มาเป็ นตวั หนงั สือของไทย เช่น คนไทยในเมืองจีนคง
ดดั แปลงตวั หนงั สือจีนมาใช้ คนไทยในลา้ นนาคงจะดดั แปลงตวั หนงั สือมอญซ่ึงนิยมใชก้ นั ในถิ่นน้ี
มาก่อน ส่วนพอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราชก็น่าจะดดั แปลงตวั หนงั สือขอมซ่ึงนิยมใชก้ นั อยแู่ ถวลุ่มน้า
เจา้ พระยามาแต่เดิม หากมีตวั อกั ษรไทยเดิมอยแู่ ลว้ พอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราชคงจะทรงใชต้ วั
อกั ษรไทยเดิม หรือทรงดดั แปลงจากน้นั บา้ งเล็กนอ้ ยแทนที่จะดดั แปลงจากอกั ษรขอมเป็นส่วน
ใหญ่ แทจ้ ริงน้นั มีเคา้ เง่ือนอยใู่ นพงศาวดารเหนือวา่ พอ่ ขุนรามฯ ไดท้ รงอาศยั นกั ปราชญร์ าชบณั ฑิต
ที่เชี่ยวชาญตวั หนงั สือชาติต่าง ๆ ที่อยใู่ กลเ้ คียงไทย ยกเวน้ แต่จีนเพราะจีนใชห้ ลกั การเขียนหนงั สือ
เป็นรูปภาพผดิ กบั หลกั การเขียนเป็นรูปพยญั ชนะและสระแบบของไทย รูปอกั ษรของพ่อขนุ
รามคาแหงคลา้ ยตวั หนงั สือลงั กา บงั คลาเทศ ขอม และเทวนาครี ฯลฯ เป็นตน้ วา่ ตวั จ ฉ หนั หนา้
ไปคนละทางกบั อกั ษรขอม แตห่ นั ไปทางเดียวกบั ตวั อกั ษรลงั กาที่มีใชอ้ ยกู่ ่อนแลว้

สมยั พอ่ ขนุ รามคาแหงยงั ไม่มีไมห้ นั อากาศ แต่ใชพ้ ยญั ชนะตวั เดียวกนั หรือวรรคเดียวกนั เขียน
ติดกนั เช่น อนน แทน อนั และ อฏฐ แทน อฏั ฐ

พอ่ ขนุ รามคาแหงทรงประดิษฐล์ ายสือไทยข้ึน โดยมิไดท้ รงทราบวา่ มีตวั หนงั สือไทยเดิมอยกู่ ่อน
ขอ้ พิสูจนข์ อ้ หนงั คือ ไทยอาหมและไทยคาท่ี (ขาต้ี) ออกเสียงคา อนั คลา้ ยกบั คา อาน แต่เสียงสระ
ส้นั กวา่ และออกเสียง อกั -อาก องั อาง อดั -อาด อบั -อาบ เหมือนกบั ตวั หนงั สือของเราโดยออกเสียง
คาตนส้ันกวา่ คาหลงั ในคู่เดียวกนั แต่ออกเสียง อวั วา่ เอา เพราะถือหลกั การที่กล่าวมาขา้ งตน้ แลว้ วา่
อวั คือ อาว ท่ีเสียงสระส้นั ลง พอ่ ขนุ รามคาแหงทรงใช้ อวา (คืออวั ) เป็ นสระ อวั แทนท่ีจะเป็นสระ
เอา หากคนไทยเคยอ่าน อวั เป็น เอา ซ่ึงถูกตามหลกั ภาษาศาสตร์มาแต่เดิมแลว้ คงยากที่จะเปลี่ยนแก้

ใหอ้ า่ นเป็ น อวั ซ่ึงขดั กบั ความเคยชิน ฉะน้นั จึงน่าเช่ือวา่ พอ่ ขนุ รามคาแหงทรงประดิษฐต์ วั หนงั สือ
ไทยข้ึนโดยมิไดท้ รงทราบวา่ มีตวั หนงั สือไทยเดิมอยกู่ ่อนแลว้

พอ่ ขนุ มงั รายมหาราช (เป็นพระนามท่ีถูกตอ้ งของพระยาเมง็ ราย) คงจะไดด้ ดั แปลงตวั อกั ษรมอญ
มากใชเ้ ขียนหนงั สือไทยในเวลาใกลเ้ คียง ดงั ตวั อยา่ งอกั ษรในจารึกลานทองสุโขทยั พ.ศ. ๑๙๑๙

ส่วนไทยอาหมคงสร้างตวั หนงั สือข้ึน ในระยะเวลาใกลเ้ คียงกบั ตวั หนงั สือสุโขทยั ท้งั น้ีเพราะคน
ไทยเริ่มจะสร้างอาณาจกั รเป็ นปึ กแผน่ กวา้ งขวางออกไปในระยะน้นั อยา่ งไรกด็ ี นกั อา่ นศิลาจารึก
หลายทา่ นเช่ือวา่ รูปตวั อกั ษรของไทยอาหมช้ีใหเ้ ห็นวา่ อกั ษรไทยอาหมพ่ึงเกิดใหมห่ ลงั อกั ษรพอ่
ขนุ รามคาแหงเป็นระยะเวลานานทีเดียว

คุณวเิ ศษของลายสือไทย

๑. ลายสือไทยของพอ่ ขนุ รามคาแหงมหราราชมีลกั ษณะพิเศษกวา่ ตวั อกั ษรของชาติอ่ืนซ่ึงเป็นลูก
ศิษยข์ องชาวอินเดียวกล่าวคือ ชาติอ่ืนขอยมื ตวั หนงั สือของอินเดียมาใชโ้ ดยมิไดป้ ระดิษฐพ์ ยญั ชนะ
และสระเพิ่มข้ึนใหพ้ อกบั เสียงพดู ของคนในชาติ ยกตวั อยา่ งเช่น เขมรโบราณ เขียน เบก อา่ นออก
เสียงเป็น เบก แบก หรือ เบิก กไ็ ด้ ไทยใหญเ่ ขียน ปี น อา่ นออกเสียเป็น ปี น เป็น หรือ แปน กไ็ ด้
เวลาอา่ นจะตอ้ งดูความหมายของประโยคก่อน จึงจะอา่ นออกเสียใหถ้ ูกตอ้ ง

พอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราชทรงประดิษฐต์ วั พยญั ชนะสระอีกท้งั วรรณยกุ ตข์ ้ึน เป็ นตน้ วา่ ไดเ้ พม่ิ ฃ ฅ
ซ ฎ ด บ ฝ ฟ อ สระอึ อือ แอ เอือ ฯลฯ ไมเ้ อก ไมโ้ ท (ในรูปกากะบาท) จนทาใหส้ ามารถเขียนคา
ไทยไดท้ ุกคา

๒. อกั ขรวธิ ีท่ีใช้ สามารถเขียน ตาก-ลม แยกออกไปจากตา-กลม ทาใหอ้ า่ นขอ้ ความไดถ้ ูกตอ้ งไม่
กากวม กล่าวถือ ถา้ เป็นอกั ษรควบกล้าใหเ้ ขียนติดกนั ส่วนตวั สะกดใหเ้ ขียนแยกห่างออกไป เช่น
ตา-กลม เขียนเป็น ตา กล ส่วน ตาก-ลม เขียนเป็น ตา ก ล

๓. ตวั หนงั สือแบบพอ่ ขุนรามฯ ยงั มีลกั ษณะพเิ ศษอีกอยา่ งหน่ึง คือ นาสระมาเรียงอยรู่ ะดบั เดียวกบั
พยญั ชนะแบบเดียวกบั ตวั หนงั สือของชาติตะวนั ตกท้งั หลาย น่าเสียดายที่สระเหล่าน้นั ถูกดึงกลบั ไป
ไวข้ า้ งบนตวั พยญั ชนะบา้ ง ขา้ งล่างบา้ งในสมยั ตอ่ มา ท้งั น้ีเพราะคนไทยเคยชินกบั วธิ ีเขียนขา้ งบน
ขา้ งล่างตามแบบขอมและอินเดีย ซ่ึงเป็นตน้ ตาหรับด้งั เดิม ถา้ ยงั คงเขียนสระแบบพอ่ ขนุ รามฯ อยู่

เราจะประหยดั เงินค่ากระดาษลงไดห้ น่ึงในสามทีเดียว เพราะทุกวนั น้ีจะตอ้ งทิ้งช่องวา่ งระหวา่ ง
บรรทดั ไวเ้ พ่ือเขียนส่วนล่างของ ฏ ฐ สระ อุ อู วรรณยกุ ต์ และสระอือ รวมเป็นช่องวา่ งที่ตอ้ งเตรียม

ไวส้ ี่ส่วนใหเ้ ขียนไดไ้ มซ่ อ้ นกนั ยงิ่ มาถึงยคุ คอมพิวเตอร์ การเกบ็ ขอ้ มูล และการคน้ หาขอ้ มูลจะ
ประหยดั ท้งั เวลาและค่าใชจ้ ่ายไดม้ หาศาล แตต่ วั อกั ษรไทยในปัจจุบนั บรรทดั เดียวคอมพวิ เตอร์
จะตอ้ งกวาดผา่ นตลอดบรรทดั ไปถึง ๔ คร้ัง กล่าวคือ คร้ังแรกกวาดพวกวรรณยกุ ต์ คร้ังท่ีสองกวาด
พวกสระบน เช่น สระอี อึ คร้ังท่ีสามกวาดพวกพยญั ชนะและคร้ังท่ีสี่กวาดพวกสระล่าง คือ สระ อุ
อู จึงทาใหเ้ สียเวลาเป็ นส่ีเทา่ ของตวั อกั ษรขององั กฤษ ซ่ึงเคร่ืองคอมพวิ เตอร์จะกวาดเพียงบรรทดั ละ

คร้ังเดียว ถา้ ใชอ้ กั ขรวธิ ีแบบของพอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราช เครื่องคอมพิวเตอร์จะกวาดเพียงบรรทดั
ละสองคร้ัง ลดเวลาและคา่ ใชจ้ ่ายลงไดก้ วา่ คร่ึง ถา้ ยง่ิ ดดั แปลงใหว้ รรณยกุ ตไ์ ปอยบู่ รรทดั เดียวกบั
พยญั ชนะเสียดว้ ย ก็จะลดค่าใชจ้ ่ายลงไดก้ วา่ สี่เทา่

บทท่ี 5
สรุปผลการศึกษา

สรุปผลการศึกษา

การกาเนิดอกั ษรไทย ทาใหผ้ ทู้ ่ีเขา้ มาศึกษาเยย่ี มชม ไดข้ อ้ มูลมากมายไม่วา่ จะเป็นความรู้
เกี่ยวกบั อกั ษรไทยวา่ กาเนิดข้ึนมาไดอ้ ยา่ งไร ใครเป็นผปู้ ระดิษฐอ์ กั ษรไทย เร่ิมตน้ ของ
อกั ษรไทยเกิดข้ึนมาไดอ้ ยา่ งไร และอกั ษรไทยเริ่มตน้ มีก่ีตวั ในการทาโครงงานผจู้ ดั ทาหวงั เป็น
อยา่ งยง่ิ วา่ จะเป็นประโยชนแ์ ก่ผทู้ ี่เขา้ มาเยย่ี มชมและผอู้ ื่นได้

ประโยชน์ท่ีได้รับจากโครงงาน

1. ทาใหท้ ราบเก่ียวกบั การกาเนิดหลกั ศลิ าจารึกของพอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราช
2. ไดท้ ราบเน้ือเรื่องของหลกั ศิลาจารึก
3. ไดท้ ราบการกาเนิดลายสือไทย
4. ไดท้ ราบถึงการกาเนิดของวรรณคดีและอกั ษรไทย

ข้อเสนอแนะ

จากการศึกษาโครงงานหลกั ศลิ าจารึกพ่อขนุ รามคาแหงมหาราช สามารถนามา
พฒั นาการอ่านและการเขียนภาษาไทยไดส้ ะดวกมากข้ึน

บรรณานุกรม

http://www.thaincd.com/document/file/download/powerpoint/E-book64.pdf 11/9/2565
http://www.info.ru.ac.th/province/sukhotai/srj5.htm 10/9/2565
https://sites.google.com/site/yummyam21/sila-caruk-hlak-thi-1-sila-caruk-phxkhun-
ramkhahaeng 11/9/2565
http://www.krupannee.net/wan1.html 10/9/2565


Click to View FlipBook Version