The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ratchadavan6215, 2023-01-02 03:50:34

E-book

E-book

ชีวิต


ชาววัง

เด็กหญิงรัชดาวัลย์ ทรายทอง ม.๒/๙ เลยที่๑๙ ตอน ข

คำนำ

หนังสือ ชีวิตชาววัง ฉบับนี้สามารถศึกษาการใช้ชีวิตของและ
วัฒนธรรมของชาววังได้ ในสมัยนี้คนส่วนน้อยจะหันมาสนใจ
ในเรื่องของชาววังหรือเรื่องราวประวัติศาสตร์ในไทย หนังสือ

ฉบับนี้จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีความสนใจในเรื่องของ
ประวัติศาสตร์ไทยและวิถีชีวิตของชาววัง





หนังสือฉบับนี้ประกอบด้วย การใช้ชีวิตในแต่ละวันของชาววัง
ไม่ว่าจะการแต่งกาย อาหาร หรืออะไรอีกมากมายที่เกี่ยวกับ
ชาววัง ข้อมูลทั้งหมดนี้สามารถนำไปศึกษาเป็นความรู้พื้นฐาน

ได้

สารบัญ ๑

ประเพณีวัง ๑๑
การแต่งกาย
อาหารชาววัง

ประเพณีวัง

พระราชวังเป็นพระราชฐานที่ประทับของพระมหากษัตริย์ เช่น พระบรมมหาราชวัง
พระราชวังดุสิต ในพระมหานครอมรรัตนโกสินทร์ เป็นต้น พระมหากษัตริย์ประทับแรมที่
แห่งใด ที่นั้น เป็นที่ตั้งแห่งพระราชสำนัก มีเจ้าหน้าที่ประจำดูแลรักษากับมีการปฏิบัติตาม

ระเบียบแบบแผนประเพณี

พระราชวังดุสิต พระบรมหมาราชวัง

ระเบียบแบบแผนประเพณีที่ใช้ในพระบรมมหาราชวัง เป็นระเบียบแบบแผนที่ถือปฏิบัติ
สืบเนื่องต่อ ๆ กันมาเป็นเวลาช้านาน บางเวลาก็เปลี่ยนแปลงไปบ้างเพื่อให้ต้องด้วย
กาลและพระราชนิยม ระเบียบแบบแผนและประเพณีที่กล่าวนี้ สามัญชนเรียกว่า

“ประเพณีวัง”

ในพระราชวังชั้นใน ผู้ชายจะอยู่หรือเดินคนเดียวมิได้ ถ้ามีกิจธุระต้องอยู่หรือไปไหน
ภายในพระราชวัง ต้องปฏิบัติการตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไป หมายความว่าต้องมีการควบคุม

และมีผู้รู้เห็นเป็นพยาน ความเคลื่อนไหวของตนตลอดเวลา



โคมไฟหน้าพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท

โคมไฟภายในพระที่นั่งอาภรณ์ภิโมกข์

ในรัชกาลที่ ๕ การเดินในพระราชวังชั้นในในเวลาค่ำคืน ผู้เดินต้องถือโคมไฟหรือเทียน
ให้มีแสงสว่างไปด้วย แต่ประเพณีนี้บัดนี้ไม่ได้ใช้แล้ว เนื่องจากมีแสงไฟฟ้าใช้แล้ว



ชายใดที่มีกิจเป็นกรณีที่จะต้องค้างในพระราชวังชั้นใน เช่น หมอ หรือผู้กำกับหมอ ได้
รับอนุญาตจากทางราชการให้นอนค้างได้แล้วก็ปฏิบัติได้ แต่ชายผู้นอนค้างในพระราชวัง

จะใช้มุ้งกางนอนหาได้ไม่ แต่ในปัจจุบันนี้ไม่เข้มงวดถึงปานนั้น และชายผู้ใดถ้าเข้า
พระราชวังชั้นในทางประตูใด เวลาออกก็ต้องออกประตูนั้น เว้นแต่ทางการจะมีกำหนด

เป็นอย่างอื่นจึงปฏิบัติตามนั้นได้



พระรามัญนิกายประพรมน้ำพระปริตรรอบพระมหามณเฑียร โดยมีเจ้าหน้ามณเฑียรบาล (ตำรวจวัง) ถือบาตรน้ำพระปริตร

ประเพณีวังอีกอย่างหนึ่ง เรียกกันว่า เรียกกันว่า “พระนำมนต์หรือพระรามัญนิกาย” คือทุก ๆ วัน ใน
เวลา ๑๔.๐๐ น. จะมีพระภิกษุ ๒ รูป (ในภาพ) เป็นพระครูพระปริตรมอญผู้มีสำนักอยู่ที่วัด

ชนะสงคราม (ตองปุ) และมีหน้าที่เข้ามาสวดพระปริตรทำน้ำมนต์ที่หอศาสตราคมในพระบรมมหาราช
วังทุกวัน น้ำพระปริตรนั้น ส่วน ๑ แบ่งส่งไปสำหรับเป็นน้ำสรงพระพักตร์ และพระมหากษัตริย์ทรงสรง
อีกส่วน ๑ ใส่บาตร ๒ ใบ ให้เจ้าหน้าที่มณเฑียรบาล (ปัจจุบันคือ ตำรวจวัง) ถือเดินตามพระครูพระ
ปริตร ๒ รูป เข้าประตูดุสิตศาสดาประพรมประทักษิณารอบพระมหามณเฑียรแล้วออกทางประตูสนาม

ราชกิจ ในปัจจุบันนี้กระทำในวันธรรมสวนะ

การทรงบาตร พระมหากษัตริย์มักจะทรงบาตรเวลา ๘.๐๐ น. เสด็จลงจุดธูปเทียน เครื่องทองน้อย
ชาวพนักงานประโคมสังข์ แตร และเครื่องดุริยางค์ เจ้าหน้าที่นิมนต์พระสงฆ์เข้ารับอาหารบิณฑบาต
เรียกว่า “พระล่อง” เมื่อเข้าประตูพระราชวังชั้นใน เจ้าพนักงานพระราชกุศลจ่ายผ้าถวายติดมือไปรูป
ละ ๑ ผืน และคอยรับคืนที่ประตูพระราชวังขาออก ผ้านี้เป็นผ้าขาวขนาดผ้าเช็ดมือ ประทับตรากาชาด
และพับเป็นรูปยาวรีเรียกว่า “ผ้าเช็ดมูลกา” เนื่องจากมีพระราชทานอภัยแก่กามาตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ ใน
พระบรมมหาราชวังมีกาอาศัยอยู่มาก เกรงว่ากาจะถ่ายมูลให้เปรอะเปื้อนในเวลาทรงบาตร แต่ความ
จริงนั้นสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ตรัสว่า เพื่อให้เจ้าหน้าที่รู้ว่าพระภิกษุที่

ถือผ้าเช็ดมูลกานั้นไม่ใช่แปลกปลอมเข้าไป



การแต่งกาย

ชุดไทยสมัย ร.1-ร.3

รัชกาลที่ 1-3 ระยะเวลา 69 ปี (พ.ศ. 2325-2394)
การแต่งกายของผู้หญิง : ผู้หญิงจะนุ่งผ้าจีบ ห่มสไบเฉียง ตัดผมไว้ปีกประบ่า กันไรผม

วงหน้าโค้ง หากเป็นชาวบ้านอาจนุ่งผ้าถุงหรือโจงกระเบน สวมเสื้อรัดรูปแขนกระบอก
ห่มตะเบงมาน หรือผ้าแถบคาดรัดอก แล้วห่มสไบเฉียง

การแต่งกายของผู้ชาย : ผู้ชายจะนุ่งผ้าม่วง โจงกระเบน สวมเสื้อนอกคอเปิด ผ่าอก
กระดุม 5 เม็ด แขนยาว หากเป็นชาวบ้านจะไม่สวมเสื้อ

การแต่งกายของชาววังและชาวบ้านจะไม่แตกต่างกันมาก จะมีแตกต่างกันก็ตรงส่วน
ของเนื้อผ้าที่สวมใส่ ซึ่งหากเป็นชาววังแล้วจะห่มผ้าไหมอย่างดี ทอเนื้อละเอียด เล่น
ลวดลาย สอดดิ้นเงิน-ทอง ส่วนชาวบ้านทั่วไปจะนุ่งผ้าพื้นเมือง หรือผ้าลายเนื้อเรียบ ๆ
หากเป็นราษฎรทั่วไปที่มีอาชีพเกษตรกร ทำไร่ ทำนาแล้วจะนุ่งผ้าในลักษณะถกเขมร
คือจะนุ่งเป็นโจงกระเบนแต่จะถกสั้นขึ้นมาเหนือเข่า เพื่อความสะดวก ไม่สวมเสื้อ หาก
อยู่บ้านจะนุ่งลอยชาย หรือโสร่งแล้วมีผ้าคาดพุง แต่ถ้าแต่งกายไปงานเทศกาลต่าง ๆ มัก
นุ่งโจงกระเบนด้วยผ้าแพรสีต่าง ๆ และห่มผ้าคล้องคอปล่อยชายทั้งสองยาวไว้ด้านหน้า
การตัดผมของสตรีสาวจะตัดผมทรงดอกกระทุ่ม ปล่อยท้ายทอยยาวถึงบ่า หากเป็น
ผู้ใหญ่แล้วจะตัดผมปีกแบบโกนท้ายทอยสั้น



ชุดไทยสมัย ร.4

สมัยรัชกาลที่ 4 ระยะเวลา 17 ปี (พ.ศ. 2394-2411)
เนื่องจากสมัยโบราณคนไทยไม่นิยมสวมเสื้อแม้แต่เวลาเข้าเผ้า ในสมัยรัชกาลที่ 4
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงประกาศให้ข้าราชกาลสวมเสื้อเข้าเฝ้า และ
ทรงสนับสนุนให้มีการศึกษาภาษาอังกฤษ จึงทำให้มีการรับวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามา
การแต่งกายของสตรีจึงมีการเปลี่ยนแปลงไป
การแต่งกายของผู้หญิง: ผู้หญิงจะนุ่งผ้าลายโจงกระเบน หรือนุ่งผ้าจีบ ใส่เสื้อแขนยาว ผ่า
อก ปกคอตั้งเตี้ยๆ (เสื้อกระบอก) แล้วห่มผ้าแพรสไบจีบเฉียงทับบนเสื้อ ตัดผมไว้ปีกเช่น
เดิม แต่ไม่ยาวประบ่า
การแต่งกายของผู้ชาย: ผู้ชายจะนุ่งผ้าม่วงแพรโจงกระเบน สวมเสื้อเปิดอกคอเปิด หรือ
เป็นเสื้อกระบอกแขนยาว เรื่องของทรงผมผู้ชายยังไว้ทรงมหาดไทยอยู่ ส่วนรัชกาลที่ 4
จะไม่ทรงไว้ทรงมหาดไทย



ชุดไทยสมัย ร.5

สมัยรัชกาลที่ 5 ระยะเวลา 42 ปี (พ.ศ. 2411-2453)

ในสมัยรัชกาลที่ 5 นี้ ถือเป็นยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงการแต่งกายของคนไทย เนื่องจาก
รัชกาลที่ 5 ทรงเสด็จประพาสยุโรป และมีการนำแบบอย่างการแต่งกายของชาวยุโรป
กลับมาประยุกต์ใช้ในประเทศไทย อีกทั้งในสมัยนี้ยังมีกำเนิดชุดชั้นในรุ่นแรกที่ดัดแปลง
จากเสื้อพริ้นเซส ซึ่งต่อมาได้พัฒนาให้เป็นเสื้อชุดชั้นในที่เรียกว่า เสื้อคอกระเช้า ที่ยังคง
เป็นที่รู้จักกันในปัจจุบันนี้

ชุดไทยสมัย ร.5 ตอนต้น

การแต่งกายของหญิง: ผู้หญิงจะนุ่งผ้าลายโจงกระเบน เสื้อกระบอก แขนยาว ผ่าอก ห่ม
ผ้าแพร จีบตามขวาง สไบเฉียงทับบนเสื้ออีกชั้นหนึ่ง ถ้าอยู่บ้านจะห่มแต่สไบ ไม่สวมเสื้อ
เมื่อมีงานพิธีจะนุ่งห่ม ผ้าตาด เลิกไว้ผมปี และหันมาไว้ผมยาวประบ่า

การแต่งกายของชาย: ผู้ชายจะนุ่งผ้าม่วงโจงกระเบน สวมเสื้อราชประแตน สวมหมวก
หางนกยูง ถือไม้เท้า และไว้ผมรองทรง หากไปงานพฺธีจะสวมถุงเท้าและรองเท้าด้วย การ
สวมเสื้อแพรสีจะสวมตามกระทรวงและหมวดต่างๆ ดังนี้
- ชั้นเจ้านาย สวมเสื้อสีไพล
- ชั้นขุนนางกระทรวงมหาดไทยสวมเสื้อแพรสีเขียวแก่
- ชั้นขุนนางกระทรวงกะลาโหม สวมเสื้อแพรสีลูกหว้า
- ชั้นขุนนางกรมท่า (กระทรวงต่างประเทศ) เสื้อแพรสีน้ำเงิน (สีกรมท่า)
- ชั้นมหาดเล็ก สวมเสื้อแพรสีเหล็ก
- พลเรือน สวมเสื้อปีก เป็นเสื้อคอปิด มีชายไม่ยาวมาก คาดเข็มขัดไว้นอกเสื้อ



ชุดไทยสมัย ร.5 ตอนกลาง

การแต่งกายของหญิง: ผู้หญิงจะนุ่งผ้าจีบไว้ชายพกแต่หากมีงานพิธีก็ยังคงให้นุ่งโจง
กระเบนอยู่ สวมเสื้อแบบตะวันตกแขนยาว ต้นแขนพองแบบหมูแฮม ปกคอตั้ง มีผ้าแพร
หรือผ้าห่มสไบเฉียงทับตัวเสื้ออีกที ไว้ผมยาวเสมอต้นคอ สตรีชาววังจะมีผ้าแพรชมพูปัก
ดิ้น มีลวดลายตามยศพระราชทาน สวมรองเท้าบูตและถุงเท้า
การแต่งกายของชาย: การแต่งกายจะเหมือนสมัยต้นรัชกาล ฝ่ายพลเรือนจะมีเครื่องแบบ
เต็มยศ เป็นเสื้อแพรสีกรมท่า ปักทองที่คอและที่ข้อมือ เวลาปกติจะสวมเสื้อคอปิด ผูกผ้า
พันคออย่างชาวตะวันตก นุ่งผ้าไหมสีน้ำเงินแก่ สวมหมวกเฮลเม็ท (Helmet) สวมถุงเท้า
ขาวและรองเท้าหนังสือดำ



ชุดไทยสมัย ร.5 ตอนปลาย

การแต่งกายของหญิง: ผู้หญิงจะนุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อแพรไหม ลูกไม้ ตัดแบบตะวันตก
แขนยาว พองฟู เอวเสื้อเข้ารูป มีการคาดเข็มขัดหรือสายห้อยนาฬิกา มีสายสะพายผ้า
แพร สวมถุงเท้ามีลวดลายและรองเท้าส้นสูงให้ไว้ผมทรงดอกกระทุ่ม และมักนิยมเครื่อง
ประดับมุกสายสร้อยหลายชั้น

การแต่งกายของชาย: ผู้ชายจะนุ่งกางเกงแบบฝรั่งแทนโจงกระเบน สวมหมวกกะโล่
ข้าราชการจะแต่งเครื่องแบบเหมือนอารยประเทศ (แบบพระราชกำหนด)

ชุดไทยสมัย ร.6

การแต่งกายของหญิง: ผู้หญิงเริ่มมีการนุ่งผ้าซิ่นตามพระราชนิยม สวมเสื้อแพรโปร่งบาง
หรือผ้าพิมพ์ดอก คอกว้างขึ้น หรือแขนเสื้อสั้นประมาณต้นแขน ไม่มีการสะพายแพร
ส่วนทรงผมจะไว้ยาวเสมอต้นคอ ตัดเป็นลอน หรือเรียกว่า ผมบ๊อบ มีการดัดผมด้านหลัง
ให้โค้งเข้าหาต้นคอเล็กน้อย นิยมคาดผมด้วยผ้าหรือไข่มุก
การแต่งกายของชาย: ผู้ชายยังคงนุ่งผ้าม่วงโจงกระเบน สวมเสื้อราชประแตน แต่เริ่มมี
การนุ่งกางเกงแบบชาวตะวันตกในภายหลัง แต่ประชาชนธรรมดาจะนุ่งกางเกงผ้าแพร
ของจีน สวมเสื้อคอกลมสีขาว (ผ้าบาง)



ชุดไทยสมัย ร.7

การแต่งกายของหญิง: ผู้หญิงเลิกนุ่งโจงกระเบน แต่จะนุ่งเป็นผ้าซิ่นแค่เข่า สวมเสื้อทรง
กระบอก ไม่มีแขน ไว้ผมสั้นดัดลอน ซึ่งจะดัดลอนมากขึ้น
การแต่งกายของชาย: ผู้ชายจะนุ่งกางเกงเป็นสีต่างๆ แต่ข้าราชการจะผ้าม่วงหรือสีน้ำเงิน
สวมเสื้อราชประแตน สวมรองเท้าและรองเท้า แต่ในปี 2475 มีการเปลี่ยนแปลงระบอบ
การปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย ทำให้อารยธรรมตะวันตกมีอิทธพลต่อการแต่ง
กายของคนไทยมากขึ้น ผู้ชายจึงจะมีการนุ่งกางเกงขายาวแทนการนุ่งผ้าม่วง
แต่ถึงอย่างไร สามัญชนทั่วไปยังคงแต่งกายแบบเดิมคือ ผู้ชายสวมกางเกงแพรหรือ
กางเกงไทย สวมเสื้อธรรมดา ไม่สวมรองเท้า ส่วนผู้หญิงสวมเสื้อคอกระเช้าเก็บชายไว้ใน
ผ้าซิ่นหรือโจงกระเบน เวลาออกนอกบ้านจึงแต่งกายสุภาพ



ชุดไทยสมัย ร.8

โดยสรุปแล้วในสมัยนี้จะมีการแต่งกายที่เป็นสากลมากยิ่งขึ้น อีกทั่งยังเป็นยุครัฐนิยมซึ่ง
จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้กำหนดเครื่องแต่งกายออกเป็น 3 ประเภท

1. ใช้ในที่ชุมชน
2. ใช้ทำงาน
3. ใช้ตามโอกาส
ผู้หญิงจะสวมเสื้อแบบไหนก็ได้ แต่ต้องคลุมไหล่ มีการนุ่งผ้าถุง แต่ต่อมาจะเริ่มนุ่งกระโปง
หรือผ้าถุงสำเร็จสวมรองเท้า สวมหมวก และเลิกกินหมาก ส่วนผู้ชายจะสวมเสื้อมีแขน
คอปิดหรือจะเปิดก็ได้

๑๐

อาหารชาววัง

อาหาร เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของความเป็นไทยที่อร่อยและมีความสวยงาม โดยเฉพาะ
‘อาหารชาววัง’ หรือ ‘สำรับชาววัง’ ที่มีความงดงามอ่อนช้อย ดูสวยงามราวกับราวกับ
เป็นสิ่งที่ผุดขึ้นมาจากจินตนาการ เข้ากันได้ดีกับลวดลายอ่อนช้อยงดงามจากฝีมือการ
แกะสลักของผู้ปรุง และเนื่องจากการปรุงอาหารแบบชาววังนั้นมีขั้นตอนที่ละเอียดละออ
มีรายละเอียดเครื่องปรุงที่ค่อนข้างเยอะและซับซ้อน รวมไปถึงศาสตร์การแกะสลักผัก
และผลไม้ก็เป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาในการฝึกฝน ทำให้อาหารไทยตำรับชาววังไม่สามารถหา
ทานได้จากร้านทั่วไป เมื่อหาทานยากก็ทำให้สูตรอาหารค่อยๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา

จริง ๆ แล้วอาหารชาววังไม่แตกต่างจากอาหารทั่วไปเท่าไหร่ เพียงแต่ขั้นตอนการทำจะมี
ความวิจิตรบรรจงมากกว่า อาหารทุกชิ้นจะถูกหั่นมาแบบพอดีคำและทานง่าย ไม่มีก้าง,
กระดูก หรือเมล็ด ผักผลมีการแกะสลักอย่างสวยงามเป็นทั้งอาหารตาและอาหารปาก
วัตถุดิบและส่วนประกอบจะต้องสดใหม่ทุกอย่าง ในส่วนของรสชาติจะไม่จัดจ้านมากนัก
เน้นความกลมกล่อมลงตัว ไม่มีรสชาติไหนโดด เนื่องจากเจ้านายชั้นผู้ใหญ่จะไม่รับ
ประทานอาหารรสเผ็ดหรือรสจัดเพราะอาจแสดงอาการที่ไม่สมควรได้ค่ะ นอกจากนี้ใน
หนึ่งสำรับจะต้องมีอาหารอย่างน้อย 7 ชนิด ประกอบไปด้วย

ข้าวสวยเป็นหลัก เครื่องจิ้ม
อาหารคาว เกาเหลา
เครื่องเคียงอาหารคาว ของหวาน
เครื่องเคียงแขก

๑๑

แกงนพเก้า

เริ่มต้นด้วยอาหารมงคลอย่างแกงนพเก้า เมนูนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในสำรับ
อาหารชาววัง แกงนพเก้าประกอบไปด้วยพืชผัก 9 ชนิดที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตาม
ฤดูกาลหรือวัตถุดิบที่มีอยู่ในครัว น้ำแกงจะมีลักษณะคล้ายแกงเทโพคือมีความข้นของ
กะทิแต่ใช้พริกแกงแดงเหมือนแกงส้มหรือแกงเผ็ดทั่วไป ในส่วนของรสชาติจะมีครบครัน
ไม่ว่าจะเป็นรสเปรี้ยว, เผ็ด, เค็ม และหวาน อร่อยกลมกล่อมไม่มีรสใดรสหนึ่งโดดเด่น
หรือจัดมากจนเกินไป

แกงรัญจวน

ถัดมาเป็นเมนูที่หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามกันบ่อยครั้ง แกงรัญจวนเป็น
เมนูที่ถูกคิดค้นขึ้นภายในวัง เป็นการนำของเหลืออย่างน้ำพริกกะปิที่ทานไม่หมดมาต้ม
รวมกับเนื้อผัดพริกเพื่อไม่ให้ทิ้งอาหารอย่างเสียเปล่า เมนูนี้มีกลิ่นหอมชวนรับประทาน
ของน้ำพริกกะปิที่กลายร่างมาเป็นน้ำซุปที่มีความเข้มข้นกลมกล่อม เครื่องสมุนไพรต่าง ๆ
ช่วยดับกลิ่นเนื้อได้เป็นอย่างดี

๑๒

แกงมัสมั่นสูตรชาววัง

จากต้องการทำสำรับอาหารชาววัง เมนูที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงเลยก็คือมัสมั่น
ค่ะ เมนูนี้คืออาหารชาววังอย่างแท้จริง มัสมั่นสูตรชาววังจะต้องมีความกลมกล่อม น้ำ
แกงหอมเครื่องเทศและเนื้อเนียนละเอียด เข้มข้นด้วยกะทิล้วน ๆ ไม่มีส่วนผสมของน้ำ
เปล่า เข้ากันกับความนุ่มของมันฝรั่งและเนื้อสัตว์ที่เปื่อยกำลังดี มีรสชาติหวานนำเค็ม
ตามด้วยเผ็ดและเปรี้ยวเบา ๆ ลงตัวพอดี ส่วนน้ำแกงควรจะมีสีส้มสดและมีน้ำมันลอย
หน้าเล็กน้อย ไม่มันย่องจนดูเลี่ยน

ยำทวาย

ยำทวายเป็นอาหารของชาวทวายที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย สำหรับการทำยำทวายแบบ
ดั้งเดิมจะต้องใช้เวลาและเครื่องปรุงค่อนข้างเยอะ เมนูนี้จึงนิยมทำกันในเทศกาลหรือ
โอกาสสำคัญ ๆ เท่านั้น แต่ในปัจจุบันการทำยำทวายนั้นง่ายและใช้เวลาน้อยลงเพราะเรา
จะใช้พริกแกงสำเร็จรูปแทนการโขลกสมุนไพรทีละเล็กละน้อย นำมาปรุงรวมกับกะทิและ
ปลาแห้งจนเนื้อสัมผัสข้นขึ้น รสชาติจะมีความนวล ๆ กลมกล่อม ไม่หวานหรือเผ็ดโดด มี
ความเค็ม, หวาน, เผ็ด และเปรี้ยวเท่า ๆ กัน ทานคู่ผักลวกสุกและอกไก่ฉีกลงตัวพอดี

๑๓

ยำไก่ อย่างเต่า

อ่านชื่อแล้วหลายคนอาจจะรู้สึกแปลกใจว่าเมนูยำไก่อย่างเต่านี่มันคืออะไรกันแน่? สรุป
ต้องใช้เนื้อไก่หรือเนื้อเต่ามาเป็นวัตถุดิบหลัก ต้องย้อนที่มาของเมนูนี้ก่อนว่ายำเต่าแบบ
ไทยเป็นเมนูทรงโปรดในรัชกาลที่ 5 เมื่อทรงอยากเสวยขึ้นมาอีกครั้งแต่ปัญหาคือไม่
สามารถหาเนื้อเต่าไก้ พระวิมาดาเธอฯ จึงคิดค้นพลิกแพลงเอาเนื้อไก่ที่มีสัมผัสคล้ายเต่า
มาแทน และนำมาปรุงด้วยวิธีเดียวกัน กลายมาเป็นเมนูทานเล่นที่อร่อยถูกใจ

ข้าวแช่ชาววัง

ข้าวแช่เป็นเมนูประจำหน้าร้อนที่มักจะเสิร์ฟเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ภายในวัง เมนูนี้ประกอบไป
ด้วยข้าวแช่น้ำลอยดอกมะลิหอม ๆ เย็นชื่นใจ เมล็ดข้าวนุ่มกำลังดีไม่สุกบานจนเละ เสิร์ฟ
พร้อมเครื่องเคียงและผักสด วิธีทานที่ถูกต้องคือจะต้องทานเครื่องเคียงรสคาวอย่างลูก
กะปิหรือพริกหยวกยัดไส้ก่อน แนมด้วยกระชายหรือมะม่วงเปรี้ยว จากนั้นตักข้าวแช่ตาม
เข้าไปเพื่อล้างปากและเพิ่มความสดชื่น ก่อนจะทานเมนูอื่น ๆ อย่างหมูฝอยหรือไชโป๊ผัด
หวาน ทานสลับกับข้าวไปเรื่อย ๆ จนหมดหรือรู้สึกอิ่ม ห้ามนำเครื่องเคียงมาผสมกับข้าว
แช่ก่อนทานเด็ดเพราะจะทำให้ข้าวมีกลิ่นและเสียรสชาติ อีกทั้งจะไม่รู้รสของเครื่องเคียง
ชนิดต่าง ๆ อีกด้วย

๑๔

ขนม อินทนิล

อินทนิลเป็นขนมไทยในรั้ววังที่กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งในปัจจุบันค่ะ ขนมชนิดนี้มีสีเขียว
มรกตที่ได้มาจากใบเตยหอม รสชาติหวานกำลังดีและเนื้อขนมหนุบหนับขณะเคี้ยว เสิร์ฟ
มาพร้อมกับน้ำกะทิสีขาวนวลหอมกลิ่นอบควันเทียน รสชาติหวานเค็มกำลังดี ทานแล้ว
ทำให้รู้สึกชื่นใจและช่วยคลายร้อนได้เป็นอย่างดี ยิ่งเสิร์ฟพร้อมน้ำแข็งบดเย็น ๆ ก็จะยิ่ง
เหมาะกับการรับประทานดับร้อน

มะปรางลอยแก้ว

มะปรางลอยแก้วเป็นเมนูที่เหมาะกับหน้าร้อนสุด ๆ เลยค่ะ มะปรางเนื้อหนารสชาติ
หวานฉ่ำ เสิร์ฟมาพร้อมกับน้ำเชื่อมใส ๆ หอมกลิ่นใบเตยอ่อน ๆ และรสชาติหวานลงตัว
กำลังดี มีน้ำแข็งบดเย็น ๆ ให้ทานชื่นใจ สำหรับมะปรางลอยแก้วสูตรชาววังจะมีส่วน
ผสมไม่ต่างจากสูตรทั่วไปสักเท่าไหร่ แต่จะเน้นไปที่การตกแต่งลวดลายของผลมะปรางให้
สวยงามดูน่ารับประทานมากขึ้น แสดงให้เห็นถึงความประณีตอ่อนช้อยของคนทำ

๑๕

ขนมพระพาย

ขนมพระพายถูกคิดค้นขึ้นเพื่อใช้เป็นขนมสำหรับงานแต่งโดยเฉพาะเลยค่ะ โดยคำว่าพระ
พายจะแปลว่าลมที่จะนำความร่มเย็นเป็นสุขมาแก่คู่บ่าวสาว แป้งด้านนอกทำจากข้าว
เหนียวสื่อถึงความเหนียวแน่นกลมเกลียว ส่วนไส้ถั่วกวนหวาน ๆ ด้านในจะบ่งบอกถึง
ความรักอันหวานชื่นของคู่บ่าวสาวที่กำลังเข้าพิธีแต่งงานในวันนี้ โดยขนมชนิดนี้จะมีวิธี
การทำที่ไม่ยากมากนักแต่กลับหาทานค่อนข้างยากในปัจจุบัน แนะนำให้ทานตอนขนม
อุ่นร้อนจะเหนียวนุ่มและมีรสชาติหวานลงตัว หากทิ้งไว้นานจนเย็นแป้งด้านนอกจะเริ่ม
แข็งและฝืดคอ

ปลาแห้งแตงโม

ปลาแห้งแตงโมเป็นอาหารว่างดับร้อนยอดนิยมในยุคสมัยที่ยังไม่มีตู้เย็นสำหรับแช่น้ำเย็น
หรือทำน้ำแข็ง เมนูนี้จะเป็นการนำเอาแตงโมสด ๆ รสชาติหวานฉ่ำมาทานคู่กับของคาวที่
ดูเหมือนจะไม่เข้ากันอย่างปลาแห้งที่ปรุงรสชาติให้มีความหวานเค็มกำลังดี ได้กลิ่นหอม
เจียวและปลาย่างอ่อน ๆ แต่เมื่อนำมาทานพร้อมแตงโมจะลงตัวเข้ากันพอดิบพอดี เป็น
เมนูทานเล่นที่อร่อยชื่นใจสุด ๆ นอกจากนี้ปลาแห้งปรุงรสยังสามารถใช้เป็นผงโรยข้าว
ทานพร้อมข้าวสวยร้อน ๆ ได้อีกด้วยค่ะ

๑๖

บรรณานุกรม

ที่มา

ประเพณีวัง - https://www.royaloffice.th/2021/06/22/ประเพณีวัง/

การแต่งกาย - https://www.winnews.tv/news/10350

อาหารชาววัง - https://bestreview.asia/foods/chao-wang-menu/




Click to View FlipBook Version