ยตุ ธิ รรมเดนิ เท้าที่...ยะลา
ดร.อภิรัชศกั ดิ์ รชั นวี งศ์
จุดเริ่มต้นของงาน “เดินเท้า” หน่วยแพทย์เคล่ือนที่เดินเท้า พอ.สว. (มูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จ
พระศรีนครินทราบรมราชชนนี) หรือแพทย์เดินเท้าได้ปฏิบัติงานครั้งแรกท่ีอาเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่
ในการปฏิบัติงานแต่ละครั้งจะประกอบไปด้วย อาสาสมัครที่เป็นแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาล
อาสาสมัครสมทบ และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของแต่ละท้องที่เป็นหลัก ในพื้นที่มีขาวไทยภูเขาหลายเผ่าอาศัย
อยู่ถึงแม้จะมีถนนเข้าไปถึงหลายพ้ืนท่ีแล้ว แต่ยังเป็นดินโคลน และบางหมู่บ้านไม่มีถนนมีเฉพาะทางเดินเท้า
ของชาวบ้านทุกฤดูกาล โดยเฉพาะฤดูฝนยานพาหนะจะเข้าไปไม่ถึงประชาชนจะขาดการติดต่อจากภายนอก
ประชาชนมีการ จึงเกิดหน่วยแพทย์เดินเท้าขึ้น โดยได้รับการสนับสนุนอาสาสมัครจากส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค
และอาสาสมัครในพ้ืนที่ร่วมกันปฏิบัติงานรักษาผู้ป่วยท่ีไม่สะดวกเดินทางมารักษาท่ีโรงพยาบาลโดยเฉพาะ
ฤดูฝน12
ที่มา https://www.pmmv.or.th/project-detail.php?id=47
๒
ต่อมา กระทรวงสาธารณสุขได้นาแนวคิดหน่วยแพทย์เคลื่อนท่ีเดินเท้า พอ.สว. มาประยุกต์กับการ
ให้บริการสาธารณสขุ เชน่ การรักษาทางไกล (Telemedicine) สขุ ศึกษาทางไกล ต่อมา รองศาสตราจารย์ ดร.
ชะนวนทอง ธนสุกาญจน์ ภาควชิ าสุขศกึ ษาและพฤตกิ รรมศาสตร์ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ได้ร่วมงานและเป็นวิทยากร โครงการพัฒนายุติธรรมชุมชน กระทรวงยุติธรรม จึงได้นาแนวคิดและวิธีการ
“การเดินเท้าเข้าชุมชน” มาเผยแพร่ในงานยุติธรรมชุมชน และกลุ่มนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านความม่ันคง
กองยุทธศาสตร์และแผนงาน สานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้กาหนดโครงการเดินเท้า ในงานของ
ศูนย์ยุติธรรมชุมชน จังหวัดชายแดนภาคใต้ จนถึงปัจจุบัน จาการสอบถามผู้ปฏิบัติงาน “เดินทางยุติธรรม”
กิจกรรม (๑) สารวจสภาพปัญหาและความต้องการของประชาชนในพ้ืนท่ีของประชาชนในพ้ืนท่ี (๒) แนะนา
การใหบ้ รกิ ารของศูนยย์ ุติธรรมชมุ ชน (๓) ประชาสมั พันธ์บทบาทภารกิจและงานบริการของสานักงานยุติธรรม
จังหวัดยะลา (๔) ประชาสัมพันธ์บทบาทภารกิจของกระทรวงยุติธรรม แนวคิดพ้ืนฐาน “การเดินเท้า” คือ
รักษาผู้ป่วยที่ไม่สะดวกเดินทางมารักษาที่โรงพยาบาลโดยเฉพาะฤดูฝน เม่ือนาแนวคิดการเดินเท้ามา
ดาเนินการในงานยุติธรรมชุมชนก็จะเห็นกิจกรรมท่ีมีการดาเนินการข้างต้น หากเดินเท้าสารวจสภาพปัญหา
และความต้องการของประชาชนในพ้ืนที่ของประชาชนในพ้ืนที่ จะต้องมีการเดินเท้าก่อน แล้วจึงนาปัญหาและ
ความตอ้ งการมาวเิ คราะห์ แล้วจึงนาไปสู่การแก้ไขปัญหาในลาดับถัดไป หากเป็นการเดินเท้าเช่นน้ี ไม่แน่ใจว่า
ผลทเ่ี กิดขึ้น หรอื ประชาชนจะไดร้ บั อะไร เพียงใด
ประสบการณ์ของผู้เขียน เม่ือครั้งทางานท่ีกองสุขศึกษา สานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
“การเดินเท้าสุขศึกษาในชุมชน” หรือโครงการสุขศึกษาเคลื่อนที่ ขั้นท่ี ๑ ในภาคเช้า และภาคกลางวัน จะทา
การสารวจชุมชนอย่างเร่งด่วน (Rapid survey) (รูปแบบของการเฝ้าระวังพฤติกรรมสุขภาพตามวิธีการได้ 5
รปู แบบ (1) การสารวจเร่งด่วน (Rapid survey) โดยการสัมภาษณ์หรือการทดสอบแบบสอบถาม (2) การทา
การสังเกต (Observation) โดยการเฝ้าติดตาม สังเกตพฤติกรรมและปัจจัยของพฤติกรรมสุขภาพตลอดเวลา
หรือเป็นระยะๆ แล้วแต่กรณี ซ่ึงเป็นการสังเกตจากภายนอก (3) การเข้าไปเป็นสมาชิกของครอบครัว ชุมชน
และสงั คม (Membership involvement) เป็นการสังเกตอย่างหน่ึง ซ่ึงเป็นการสังเกตจากภายใน และเป็นไป
ตามบริบทของบุคคลที่อาศัยอยู่ในครอบครัว กลุ่มชุมชน หรือสังคมท่ีต้องการเฝ้าระวัง (4) การทาแผนที่
พฤติกรรม (Behavioral mapping) โดยการจดบันทึกข้อมูลที่ได้พบเห็นจากบุคคล ครอบครัว ชุมชนเก่ียวกับ
พฤติกรรมสุขภาพที่ระบุถึงพ้ืนที่ ช่วงเวลา แล้วนามาวิเคราะห์เพ่ือพิจารณาการกระจาย ขอบเขต และกลไก
ทางพฤติกรรม และความสัมพันธ์ของพฤติกรรมสุขภาพกับปัจจัยอื่นๆที่เก่ียวข้อง (5) การใช้ข้อมูลทุติยภูมิ
(Secondary data) เป็นการใช้ข้อมูลจากบุคคลและเอกสารที่มีอยู่แล้วในลักษณะของข้อมูลทุติยภูมิ ได้แก่
ข้อมูลในระบบรายงาน)๑๓ ข้ันที่ ๒ ภาคบ่าย การวิเคราะห์ข้อมูล และวางแผนให้ความรู้ในภาคกลางคืน ขั้นที่
๓ การให้ความรู้ดา้ นสุขศึกษา พร้อมกบั การฉายภาพยนตร์ ขั้นที่ ๔ ภาคเช้าวนั ต่อมา เดนิ เยี่ยมบ้านในชุมชนใน
การประเมินผลการให้ความรู้ด้านสุขศึกษา ข้ันท่ี ๕ เมื่อกลับสานักงาน จัดทารายงานการประเมินผล น่ีคือ
กิจกรรมการเดินเท้าตามแบบฉบับสาธารณสุข โดยองค์ความรู้ท่ีนามาใช้ในการปฏิบัติงาน คือ ความรู้การวิจัย
ความรู้แนวคิดทฤษฎีพฤติกรรมศาสตร์ ความรู้การประเมินผล ส่วนการเดินเท้าตามแบบฉบับยุติธรรม ได้แก่
(๑) สารวจสภาพปัญหาและความต้องการของประชาชนในพื้นที่ของประชาชนในพื้นที่ (๒) แนะนาการ
ให้บริการของศูนย์ยุติธรรมชุมชน (๓) ประชาสัมพันธ์บทบาทภารกิจและงานบริการของสานักงานยุติธรรม
จังหวัดยะลา (๔) ประชาสัมพันธ์บทบาทภารกิจของกระทรวงยุติธรรม โดยองค์ความรู้ที่นามาใช้ในการ
ปฏบิ ัติงาน คือ ความรู้เกยี่ วกับกระทรวงยุติธรรม ความรู้ พ.ร.บ.ค่าตอบแทนแก่ผู้เสียหาย และค่าทดแทนและ
คา่ ใช้จา่ ยแกจ่ าเลยในคดอี าญา พ.ศ.2544 พ.ร.บ.กองทุนยุติธรรม 2558
๓
ศนู ย์ยตุ ธิ รรมชุมชนอาเภอกาบัง จดั กจิ กรรม "เดินเท้าเข้าพ้ืนที่" ในพื้นทห่ี มู่ ๑ บา้ นบาละ ตาบลบาละ
อาเภอกาบัง จังหวดั ยะลา
ทีม่ า https://www.moj.go.th/view/65789
จากวนั วานจนถึงวันนี้ “กิจกรรมเดินเท้าเข้าพื้นท่ี” เป็นเพียงกิจกรรม (๑) สารวจสภาพปัญหาและ
ความต้องการของประชาชนในพื้นท่ีของประชาชนในพื้นท่ี (๒) แนะนาการให้บริการของศูนย์ยุติธรรมชุมชน
(๓) ประชาสัมพันธ์บทบาทภารกิจและงานบริการของสานักงานยุติธรรมจังหวัดยะลา (๔) ประชาสัมพันธ์
บทบาทภารกิจของกระทรวงยุติธรรม ซ่ึงส่วนกลางเป็นผู้กาหนดให้สานักงานยุติธรรมจังหวัดเป็นผู้ดาเนินการ
โดยการส่งหนังสือในการปฏิบัติการ “เดินเท้าเข้าพ้ืนที่” การจัดสรรงบประมาณให้ดาเนินการ แต่ขาดการให้
ความรู้การดาเนินงาน “เดินเท้าเข้าพ้ืนที่” ความรู้หลักการ หรือหลักวิชาการ “เดินเท้าเข้าชุมชน” ท่ีถูกต้อง
ดังนนั้ ผลทไ่ี ดก้ เ็ ป็นเพยี งการประชาสัมพันธ์เท่านั้นเอง และการประชาสัมพันธ์จะถูกต้องตามหลักการ หรือไม่
ก็ไม่เคยมีการประเมินผล การทางานก็เป็นเพียงตามการส่ังการของส่วนกลางเท่าน้ันเอง เมื่อติดเม็ดดุมต้ังแต่
เม็ดแรก แล้วจะติดเม็ดสุดท้ายได้ถูกต้องเช่นนั้นฤา จึงใคร่ทาความเข้าใจให้ถูกต้องเพื่อให้ติดเม็ดดุมได้ถูกต้อง
เสยี ที
๔
การรับรู (Perception)๑
การรบั รู คอื กระบวนการแปลหรือตีความตอสงิ่ เราขาวสารทีผ่ านอวยั วะรบั สัมผสั ทัง้ หลาย ไดแก
ตา หู จมกู ลน้ิ และกาย เขาไปยังสมองในรปู ของไฟฟาและเคมี สมองจึงเปนคลังเก็บขอมูลมหาศาลก็จะตีความ
ส่ิงเรา หรอื ขาวสารน้ันโดยอาศัยการเทยี บเคียงกับขอมูลที่เคยสะสมไวกอน หรอื ทีเ่ รยี กวา ประสบการณเดิม
การรับรู คือ การสัมผัสท่ีมีความหมาย หรือการรู รูสึกส่ิงตางๆ สภาพตางๆ ท่ีเปนสิ่งเรามาทา
ปฎิกิรยิ ากับตวั เราเปนการแปลอาการสัมผสั ใหมีความหมายข้นึ เกิด ซึ่งเปนความรูสึกซ่ึงเฉพาะตัวสาหรับบุคคล
น้ันๆ เม่ือมกี ารรูสึกเกิดขึ้นจากอวยั วะในการรับความรูสึกอันไดแก ตา หู ปาก จมูก ผิวหนัง อื่นๆ ถาการรูสึกมี
การตคี วามวา การรูสึกที่เกิดขึ้นคืออะไร นั่นถือวามีการรับรูเกิดขึ้นแลว๑ (ส่ิงเร้า (Stimulus) คือสัญญาณหรือ
การเปลี่ยนแปลงท่มี ีผลต่อกิจกรรมของสงิ่ มชี ีวติ แบง่ เป็น ๒ ชนิด คอื ๑) สิ่งเร้าภายนอก (External stimulus)
เช่น อุณหภูมิ แสง เสยี ง สารเคมี ความชื้น กลิ่นและแรงดึงดูดของโลก ๒) ส่ิงเร้าภายใน (Internal stimulus)
เช่น การเปลี่ยนแปลงสรรี ะท่เี กดิ ข้ึนในร่างกาย เช่น ระดับออกซิเจนในเลือด ฮอร์โมน เอนไซม์ ความหิว ความ
โกรธ และความเหนอ่ื ย๓)
การรบั รู หมายถงึ การรูสึกสัมผสั ท่ไี ดรับการตีความใหเกิดความหมายแลว เชน ในขณะน้เี ราอยูใน
ภาวะการรูสึก (Conscious) คือลืมตาต่ืนอยู ในทันใดน้ัน เรารูสึกไดยินเสียงดังปงมาแตไกล (การรูสึกสัมผัส
Sensation) แตเราไมรูความหมายคือไมรูวาเปนเสียงอะไร เราจึงยังไมเกิดการรับรู แตครูตอมามีคนบอกวา
เปนเสียงระเบิดของยางรถยนต เราจงึ เกิดการรูความหมายของการรสู กึ สมั ผสั นน้ั ดังนเ้ี รียกวาเราเกดิ การรับรู
กระบวนการรับรูขาวสารของมนุษยแบงเปน ๒ สวน คือ ๑) กระบวนการรับสัมผัส (Sensation) และ
๒) กระบวนการรับรู (Perception)
สิ่งเร้า การรบั รู้ การตอบสนอง
กระบวนการรับรู (Perception)
การรบั รูเปนกระบวนการนาความรูหรือขอมูล ขาวสารเขาสูสมอง โดยผานอวัยวะสัมผัส (Sensory
Organ) สมองจะเก็บรวบรวมและจดจาส่ิงตาง ๆ เหลาน้ันไวเปนประสบการณ เพื่อเปนองคประกอบสาคัญ
ที่ทาใหเกิดมโนภาพหรือความคิดรวบยอด (Concept) และทัศนคติ (Attitude) ในการเปรียบเทียบหรือ
ถายโยงความหมายกับสิ่งเราใหมที่จะรับรูตอ ๆ ไป ดังน้ัน การรับรูและการเรียนรูจึงมีความเก่ียวของกัน
ถาไมมีการ รบั รู การเรียนรูยอมเกดิ ข้นึ ไมได้
กระบวนการรบั สัมผัส (Sensation) และอวยั วะสมั ผสั (Sensory Organ)
กระบวนการรับสมั ผัสเปนการรบั ขาวสารในระยะแรกระหวางอนิ ทรยี กับสงิ่ เรา โดยอวยั วะ
รับสัมผัส (Reception) เชน อวัยวะในการมองเห็น (Vision) การฟง (Audition) รับความรูสึกทางผิวหนัง
(Skin Senses) เปนตน ในระยะแรกน้ีแมวาส่ิงเราจะยังไมถูกตีความหรือใหความหมายใด ๆ ก็ถือวากลไกการ
รบั สมั ผัสมคี วามสาคัญมากในอนั ทจ่ี ะสงผลถงึ การรบั รู (Perception) และการเรยี นรู (Learning) ตอไป มนุษย
๕
เรารับรูจากการสัมผัสโดยอาศัยอวัยวะรับสัมผัส (Reception) ดังน้ี ๑) ตาใหความรูสึกจากการเห็น เรียกวา
จักษุสัมผัส ๒) หูใหความรูสึกจากการไดยิน เรียกวา โสตสัมผัส ๓) จมูกใหความรูสึกจากการไดกล่ิน เรียกวา
ฆานสัมผัส ๔) ล้ินใหความรูสึกจากการรูรส เรียกวา ชิวหาสัมผัส และ ๕) ผิวหนังใหความรูสึกจากการสัมผัส
เรียกวา การสัมผัส๑ ในทางพระพุทธศาสนา เรียกว่า ผัสสะ หมายถึง สัมผัส การกระทบ การถูกต้องที่ให้เกิด
ความรู้สึก ผัสสะเป็นความประจวบกันแห่งสามส่ิง คือ อายตนะภายใน (ตา หู จมูก ล้ิน กาย ใจ) อายตนะ
ภายนอก (รูป เสียง กล่ิน รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์) และวิญญาณ, สัมผัสหรือผัสสะมีหกอย่าง คือ
๑) จกั ขุสมั ผัส หมายถึง ความกระทบทางตา คือ ตา+รูป+จักขุวิญญาณ ๒) โสตสัมผัส หมายถึง ความกระทบ
ทางหู คอื หู+เสียง+โสตวิญญาณ ๓) ฆานสมั ผัส หมายถึง ความกระทบทางจมูก คือ จมูก+กลิ่น+ฆานวิญญาณ
๔) ชิวหาสัมผัส หมายถึง ความกระทบทางลิ้น คือ ล้ิน+รส+ชิวหาวิญญาณ ๕) กายสัมผัส หมายถึง ความ
กระทบทางกาย คือ กาย+โผฏฐัพพะ (เช่น ร้อน เย็น อ่อน แข็ง)+กายวิญญาณ ๖) มโนสัมผัส หมายถึง ความ
กระทบทางใจ คือ ใจ+ธรรมารมณ์ (ส่งิ ท่ใี จนึกคดิ )+มโนวญิ ญาณ๒
องคประกอบของกระบวนการรับรู การรับรูขาวสารของมนุษยจะมีประสิทธิภาพมากนอยเพียงใด
ยอมขน้ึ อยกู ับองคประกอบดังน้ี
๑. อาการรบั สมั ผัส หมายถึง อวัยวะรับสัมผัสตาง ๆ ไดรับกระตุนจากสิ่งเราแลวจะแปลความหมาย
โดยอาศยั ประสบการณเขามาชวย
๒. การแปลความหมายของอาการสัมผสั การแปลความหมายของส่ิงเราที่รบั เขามาจะถกู ตองเพียงใด
ข้นึ อยูกบั ปจจัย ๒ ประการ คอื
๒.๑ ปจจัยทางดานสรีระ (Physiologial Factor) เปนขดี จากดั ความสามารถของอวัยวะรบั
สัมผัสท่ีตอบสนองตอสงิ่ เรา เชน ขนาดของสง่ิ เรา ความสกึ หรอของอวัยวะรับสัมผัส เปนตน
๒.๒ ปจจัยทางจิตวิทยา (Phycological Factor) เน่อื งจากสง่ิ เราที่มากระทบกับอวัยวะรับสัมผัส
มีมาก มนุษยจะเลือกรับรูเฉพาะสิ่งเราที่มีความหมาย แตการรับรูดังกลาวจะเกิดขึ้นหรือไมน้ันยอมอยูกับ
ปจจัยดานจิตวิทยา เชน (๑) ความต้ังใจ โดยมีสาเหตุหลายประการ เชน ความเปล่ียนแปลง ความแปลกใหม
ขนาดและความเขม การกระทาซ้าเคล่ือนไหว เปนตน (๒) สติปญญา ทาใหบุคคลเขาใจเหตุการณหรือ
สิ่งตาง ๆ ไดชา หรอื รวดเรว็ ตางกนั (๓) ความระวังระไว เปนความคลองแคลวหรอื ไวตอการรับรูส่ิงเราตาง ๆ
(๔) คุณภาพของจิตใจ ความเหนื่อยลาหรือความแจมใสของจิตใจยอมมีผลกระทบตอความเขาใจส่ิงเราตาง ๆ
ได (๕) บุคลิกภาพ ผูท่ีมีบุคลิกภาพเปดเผยชอบสังคมกับผูท่ีมีบุคลิกภาพเก็บตัวมักจะรับรูสิ่งในทางตรงขาม
เสมอ
๓. ประสบการณเดิม บุคคลจะรับรูส่ิงตาง ๆ ดวยการคาดคะเน หรือต้ังสมมุติฐานไวกอน เมื่อไดรับ
ส่ิงเราท่เี กดิ ขน้ึ แลว ประสบการณเดมิ ทีเ่ คยมีมากอนจะชวยใหสามารถยืนยันการคาดคะเนได หรือทาการแกไข
การคาดคะเนเสียใหม กรณีที่สิ่งที่เกิดขึ้นใหมเขมแข็งกวาและสามารถพิสูจนไดวาประสบการณน้ันผิดพลาด
อยางแนนอน
๖
อิทธพิ ลของส่ิงเราทีม่ ตี อการรับรู
1. ส่งิ เราภายนอก คุณสมบัติของสิง่ เราภายนอกจะมีอิทธพิ ลตอการรับรูมากนอยเพียงใดยอมขนึ้ อยู
กับคุณลักษณะดังน้ี (๑) ความเปล่ียนแปลงของสิ่งเรา การเปล่ียนแปลงอยูเสมอยอมดึงดูดความสนใจและ
เอาใจใสตอสิง่ เราน้ัน (๒) การเคลอ่ื นไหวของส่ิงเรา การเคล่อื นไหวจะชวยกระตุนเรตินาในนัยนตา ทาใหเกิด
พลังงานประสาทสมอง (๓) ขนาดของสิ่งเรา วัตถุท่ีมีขนาดผิดปกติ เชน ใหญมากหรือเล็กมากยอมไดรับความ
สนใจมากกวาวตั ถทุ ี่มขี นาดปกติ (๔) การเกิดซ้าซากของส่ิงเรา การเกิดซ้าซาก หมายถึง การตอกย้าดวยความ
เขมขนหรือจังหวะที่แตกตางกัน มิฉะนั้นแลวเกิดการซ้าซากบอยคร้ังจะทาใหขาดความเอาใจใสตอส่ิงเรานั้น
ไดเหมอื นกัน (๕) ความเขมขนหรอื ความหนักเบาของสิ่งเรา ส่ิงเราท่ีมีความเขมขนสูงกวาปกติยอมดึงดูดความ
สนใจไดดกี วาสิ่งเราปกติธรรมดา (๖) องคประกอบอน่ื ๆ ท่มี ีอิทธพิ ลตอการรบั รู เชน สี ความถ่ีของเสียง ความ
แปลกใหม เปนตน
2. สง่ิ เราภายใน ได้แก่ (๑) ความตองการ เม่ือมนุษยเกดิ ความตองการอะไรมักจะเอาใจใสในส่ิงนั้น ๆ
อยูเสมอและกลายเปนจุดเนนของการรับรู (๒) คุณคาและความสนใจ บุคคลจะสนใจกับส่ิงเราหรือเหตุการณ์
ที่มีคุณคาและมีความหมายตอตนเอง บางครั้งกอใหเกิดความตองการและความหวังท่ีจะรับรูในส่ิงน้ัน ๆ ดวย
ความต้ังใจและสนใจ
3. คุณลักษณะของสิ่งเรา ส่ิงเราท่ีมีอิทธิพลตอการรับรูมีคุณลักษณะ 2 อยาง คือ (๑) ส่ิงเราท่ีมี
โครงสรางหรือแบบแผน ไดแก สิ่งเราที่ชัดเจนเปนรูปธรรม (๒) ส่ิงเราท่ีไมมีโครงสรางหรือแบบแผน ไดแก
สิง่ เราท่ีมลี ักษณะกากวม ไมชดั เจน
หลกั การรับรูสาหรบั การศกึ ษา
1. การรบั รูจะพฒั นาตามวัยและความสามารถที่จะรบั รูสิง่ ภายนอกอยางถกู ตองและเหมาะสม
2. การรับรูโดยการเห็นจะกอใหเกิดความเขาใจดีกวาการไดยินและประสาทสัมผัสอื่นๆ ดังนั้น การ
เรียนรโู้ ยผ่านประสบการณส์ ัมผสั ได้มากจะกอ่ นให้เกดิ ความเข้าใจทีส่ มบรู ณย์ ่ิงขึ้น
3. ลักษ ณะและวธิ ีการรับรูของแตละคน จะแตกตางกันตามพ้นื ฐานบคุ ลิกภาพและจะแสดงออก
ตามทีไ่ ดรบั รูและทรรศนะของเขา
4. การเข้าใจผูเรยี นทัง้ ในดานคณุ ลักษณะและสภาพแวดลอมจะเปนผลดีตอ่ การจัดการเรยี นการสอน
การเรียนรู (Learning)
การเรียนรู หมายถึง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจากเดิมไปสูพฤติกรรมใหมคอนขางถาวร และ
พฤติกรรมใหมน้ีเปนผลมาจากประสบการณหรือการฝกฝน มิใชผลจากการตอบสนองจากธรรมชาติ
สญั ชาตญาณ อุบัติเหตุหรอื ความบังเอญิ
กระบวนการเรียนรู้ เปนกระบวนการตอเนื่องเชื่อมโยงจากการรับรู กลาวคือ เม่ือประสาทสัมผัส
กระทบสิ่งเราและเกิดความรูสึกสงไปยังสมอง สมองบันทึกความรูสึกนั้นไวเปนประสบการณและเม่ืออวัยวะ
รบั สัมผัสกระทบกับส่ิงเราเดมิ อกี สามารถระลกึ ได (Recall) หรือจาได (Recognition) ถือวาเกดิ การเรยี นรูข้ึน
๗
การเรียนรู คือ กระบวนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมซึ่งองคประกอบสาคัญของทฤษฏีการเรียนรู
กลุมนี้คือพฤติกรรมน่ันเอง การเรียนรูในทัศนะกลุ่มพฤติกรรมเกิดจากกระบวนการตอบสนองเม่ือมีการเสนอ
ส่งิ เรา องคประกอบสาคัญของการเรยี นรูตามทฤษฏีน้ีมี 4 ประการ คือ 1) แรงขบั (Drive) หมายถึง ความตอง
การของผูเรียนในบางส่ิงบางอยางแลวจูงใจใหผู้เรียนหาหนทางตอบสนองความตองการนั้น ๒) ส่ิงเรา
(Stimulus) เมื่อมีส่ิงเราผูเรียนจะไดรับความรู หรือการช้ีแนะทันทีทันใดจากสิ่งเราน้ันกอนท่ีจะตอบสนอง
๓) การตอบสนอง (Response) หมายถึง การท่ีผูเรียนแสดงปฏิกิริยาตอบสนองสิ่งเรา ซึ่งอธิบายไดดวย
พฤติกรรมท่ีผูเรียนแสดงออก ๔) การเสริมแรง (Reinforcement) หมายถึง การใหรางวัล เชน การปรบมือ
การชมเชยในกรณที ี่ผูเรียนตอบสนองถกู ตอง
สรปุ การรบั รู้
สิง่ เร้า การรบั รู้ การตอบสนอง
สง่ิ เร้าภายนอก: (เช่น อุณหภมู ิ แสง กระบวนการรบั รู้ นาความรขู้ อ้ มลู ข่าวสาร การรสู้ ึกทเี่ กิดขน้ึ :
เสียง สารเคมี ความช้นื กลน่ิ และ เข้าสู่สมองโดยผา่ นอวยั วะสมั ผสั สมอง การตอบสนองเมื่อแสงเป็นสิง่ เรา้
แรงดงึ ดดู ของโลก) โดยมีอิทธพิ ลต่อ จะเก็บรวบรวมและจดจาไวเ้ ปน็ เชน่ การหรต่ี าเมื่อแสงเขา้ ตามาก
สง่ิ เรา้ คือ ความเปลย่ี นแปลงของ ประสบการณ์ เพ่ือเกดิ มโนภาพและ เกนิ ไป การบินเขา้ หาแสงของแมลง
สงิ่ เรา้ การเคลือ่ นไหวของสง่ิ เรา้ ทศั นคติ การท่นี กบินออกจากรังในตอนเชา้ ๓
ขนาดของสง่ิ เร้า การเกิดซา้ ซากของ กระบวนการรับสัมผสั ๑) อนิ ทรยี ์ (ตา หู การตอบสนองเม่อื อณุ หภมู เิ ป็นสิง่ เรา้
สิ่งเรา้ ความเขม้ ข้นหรอื ความหนัก จมูก ลนิ้ กาย) กบั ส่งิ เรา้ ยังไม่ถกู ตีความ เชน่ แมวจะเลยี อุ้งเทา้ ตอนอากาศมี
เบาของส่ิงเรา้ และอืน่ ๆ ๒) รับรจู้ ากสัมผสั (ผสั สะ) (จกั ขสุ มั ผสั อุณหภมู สิ ูง หมจู ะหนรี ้อนด้วยการ
โสตสมั ผสั ฆานสัมผสั ชวิ หาสมั ผสั การ แชโ่ คลน ก้ิงกา่ จะหลบรอ้ นอยตู่ าม
ส่งิ เราภายใน: (เช่น ระดบั ฮอรโ์ มน สมั ผสั ) การแปลความหมายขึ้นกบั ปัจจัย โพรงไม้ เม่อื อากาศหนาวหมี
เอนไซม์ ความหิว ความโกรธ และ ด้านสรรี ะ ปัจจยั จิตวิทยาและ จะจาศลี ๓
ความเหน่ือย) โดยมีอิทธิพลต่อ ประสบการณเ์ ดิม
สง่ิ เร้าคอื ความต้องการ,
คุณคา่ และความสนใจ
การเรียนรู้
การสร้างความเขา้ ใจ
การสร้างความเข้าใจเป็นคาท่ีนิยมนามาใช้กับประชาชน โดยเฉพาะการสร้างความเข้าใจกับ
ประชาชนในเรอ่ื งตา่ งๆ ลองมาดกู นั วา่ “ความเขา้ ใจ” เป็นอย่างไร
ความเข้าใจ คือ กระบวนการทางจติ วิทยาที่เกีย่ วขอ้ งกบั สง่ิ ใดส่งิ หนึง่ ซงึ่ ทาใหบ้ ุคคลสามารถครุ่นคิด
ถึงส่ิงนั้นและสามารถใช้มโนทัศน์ (concept) เพ่ือจัดกับกับส่ิงน้ันได้อย่างเพียงพอ สิ่งที่กล่าวถึงนี้อาจจะมี
ลกั ษณะเปน็ นามธรรมหรือเปน็ สง่ิ ทางกายภาพกไ็ ด้ เช่น บุคคล สถานการณแ์ ละสาร๔
ความเข้าอกเข้าใจ (Empathy) คือการเข้าใจจุดยืนของอีกฝ่ายหนึ่ง การสื่อสารด้วยความเข้าอก
เข้าใจ ผู้พูดจะไม่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง แต่ศูนย์กลางจะอยู่ที่ผู้รับสาร ใช้ความรู้สึกของอีกฝ่ายเป็นตัวตั้ง
เข้าใจความคิด มองเห็นคุณค่าและความเช่ือที่เขายึดถือ รับรู้ประสบการณ์ท้ังหมดของเขาจากมุมที่เขายืนอยู่
๘
โดยปราศจากทัศนคติส่วนตัว ปราศจากการตัดสิน ทักษะน้ีบางคนมีต้ังแต่ยังเด็ก บางคนไม่มี แต่เป็นทักษะท่ี
ฝึกฝนได้และประยุกต์ใช้ได้หลายช่องทาง ในสถานการณ์โควิด-๑๙ ลูกค้าหลายคนที่เคยมีความม่ันคงในชีวิต
สงู ตอ้ งเผชิญกบั ความไม่ม่นั คงหลายดา้ นพรอ้ มกนั ทง้ั ด้านเศรษฐกิจ การเงิน ความเป็นอยู่ จนส่งผลกระทบไป
ถึงความมั่นคงทางจิตใจ ความปลอดภัยทั้งทางร่างกายและจิตใจจึงกลายมาเป็นประเด็นหลักและ Empathy
คือเครอ่ื งมือสาคัญท่ีสรา้ งส่งิ น้ี๕
“การสร้างความเข้าใจ” ในการทางานระหว่างเพ่ือนร่วมงานนั้น เกิดจากปัจจัยหลาย ๆ อย่าง
แต่โดยรวมแล้วมีจุดมุ่งหมายท่ีเหมือนกัน คือ ต้องการเข้าใจในเนื้อหาท่ีตรงกันและทาให้การทางานมีความ
สะดวกมากยิ่งขนึ้ เม่ือเรารสู้ ึกว่าเราไม่เข้าใจเขา และเขาไม่เข้าใจเรา มักจะเกิดจากหลาย ๆ อย่างประกอบกัน
แตส่ ่ิงท่ีเราทาได้คือการปรับตวั เองให้เข้ากับคนอ่นื เพราะอยา่ งน้อยท่สี ุด เรากจ็ ะได้ไม่มปี ญั หาในการทางาน๖
เม่ือพิจารณาจากคาใกล้เคียงข้างต้น พอจะเห็นได้ว่า “การสร้างความเข้าใจ” จะมุ่งเน้นไปใน
ทิศทางการส่ือสาร ซึ่งการสื่อสารจะมีองคประกอบของการสื่อสาร ดังนี้๑ 1) ผูสง ผูสื่อสารหรือตนแหลงของ
การสง (Sender, Communicator or Source) เปนแหลงหรือผูท่ีนาขาวสาร เรื่องราว แนวความคิด ความรู
ตลอดจนเหตุการณตาง ๆ เพ่ือสงไปยังผูรับ ซึ่งอาจเปนบุคคลหรือกลุมชนก็ได โดยการใชภาษาหรือใชวิธีการ
อ่ืนๆ ก็ได เพื่อใหผูรับเขาใจการกระทาดังกลาว เรียกวา "การเขารหัส" (encode) เปนภาษาพูด ภาษาเขียน
ภาษามือ รูปภาพ สัญลักษณ เปนตน 2) เนื้อหาเร่ืองราว (Message) ไดแก เนื้อหาของสารหรือเรื่องราว
ที่ สง ออกมา เชน ความรู ความคิด ขาวสาร บทเพลง ขอเขียน ภาพ ฯลฯ เพ่ือใหผูรับรับขอมูลเหลานั้น
3) ส่ือหรือ ชองทางในการนาสาร (Media or Channel) หมายถึง ตัวกลางท่ีชวยถายทอดแนวความคิด
เหตุการณเรื่องราวตาง ๆ ท่ีผูสงตองการใหไปถึงผูรับ สื่อที่ใชมากที่สุด คือ "ภาษาพูด" ซึ่งใชเสียงเปนส่ือ เวลา
เขียนหรืออานหนงั สือ สือ่ ท่ีใชคือ "ภาษาเขียน" หรือถามีการสื่อความหมายกับคนใบก็ใชสื่อซ่ึงเปน "ภาษามือ"
นอกจากนี้อาจมีการใชส่ืออุปกรณ เชน วิทยุ โทรทัศน ส่ือส่ิงพิมพ ประเภท แผนที่ รูปภาพ การแสดง
นิทรรศการ เปนส่ือหรือชองทางเพื่อการส่ือความหมายได 4) ผูรับหรือกลุมเปาหมาย (Reciever or Target
Audience) ไดแก ผูรับเนื้อหาเร่ืองราวจากแหลงหรือผูสง ผูรับอาจเปนบุคคล กลุมชนหรือสถาบันก็ได
เม่ือรับเรื่องราวแลวผูรับตองมี "การถอดรหัส" (decode) คือ การแปลขาวสารน้ันใหเขาใจ 5) ผล (Effect)
หมายถงึ สิง่ ที่เกิดขึ้นจากการท่ีผูสงสงเรื่องราวไปยังผูรับ เชน ความเขาใจ ไมรูเรื่อง ยอมรับหรือปฏิเสธ พอใจ
หรือโกรธ ฯลฯ ซ่ึงผลของการสื่อสารจะเปนผลสืบเนื่องถึงการบรรลุผลสาเร็จตามจุดมุงหมายของการสื่อสาร
ท้ังน้ี ยอมข้ึนอยกู บั ทศั นคตขิ องผูรับ สื่อทใี่ ชแ้ ละสถานการณในการสื่อสารเปนสาคัญดวย และ 6) ผลยอนกลับ
(Feedback) เปนส่ิงท่ีเกยี่ วเน่ืองจากผลซง่ึ ผูรับสงกลับมายังผูสง โดยผูรับอาจแสดงอาการใหเห็น เชน งวงนอน
ปรบมือ ย้มิ พยักหนา สายหนา การพูดโตตอบหรือการแสดงความคิดเห็น เพ่ือเปนขอมูลที่ทาใหผูสงทราบวา
ผูรบั มีความพอใจหรอื มีความเขาใจในความหมายทีส่ งไปหรือไม
หากพิจารณา “ความเข้าใจ” ในมิติการเรียนรู้อันเกิดมาจากการรับรู้ (การรับรู้เป็นเรื่องจิตวิทยา)
การเรียนรู้เปน็ เรอ่ื งการศกึ ษา หากใชท้ ฤษฎกี ารเรยี นรขู้ องบลูมเปน็ แนวทางการเทียบเคียง “การสร้างความรู้”
ดังน้ี ทฤษฎีการเรียนรู้ของเบนจามิน บลูมและคณะ (Bloom et al, 1956)๗ จาแนกจุดมุ่งหมายการเรียนรู้
๙
ออกเป็น ๓ ด้าน คือ ๑) ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) ๒) ด้านทักษะพิสัย (Psychomotor Domain)
๓) ดา้ นเจตพิสัย (Affective Domain) ดังน้ี
๑. พุทธิพิสัย (Cognitive Domain) พฤติกรรมด้านสมองเป็นพฤติกรรมเก่ียวกับสติปัญญา ความรู้
ความคิด ความเฉลียวฉลาด ความสามารถในการคิดเรื่องราวต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ซ่ึงเป็นความสามารถ
ทางสตปิ ญั ญา พฤตกิ รรมทางพทุ ธพิ สิ ยั 6 ระดบั ได้แก่ 1) ความรคู้ วามจา ความสามารถในการเก็บรักษามวล
ประสบการณต์ ่าง ๆ จากการท่ีได้รับรู้ไว้และระลึกสิ่งน้ันได้เมื่อต้องการเปรียบดังเทปบันทึกเสียงหรือวิดีทัศน์ท่ี
สามารถเก็บเสียงและภาพของเร่ืองราวต่างๆ ได้ สามารถเปิดฟังหรือดูภาพเหล่าน้ันได้ เมื่อต้องการ
2) ความเข้าใจเป็นความสามารถในการจับใจความสาคัญของสื่อและสามารถแสดงออกมาในรูปของการแปล
ความ ตีความ คาดคะเน ขยายความหรือการกระทาอ่ืน ๆ 3) การนาความรู้ไปใช้ เป็นข้ันที่ผู้เรียนสามารถนา
ความรู้ ประสบการณ์ไปใช้ในกาแก้ปัญหาในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ ซึ่งจะต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจ จึงจะ
สามารถนาไปใช้ได้ 4) การวิเคราะห์ ผู้เรียนสามารถคิดหรือแยกแยะเรื่องราวส่ิงต่าง ๆ ออกเป็นส่วนย่อยเป็น
องค์ประกอบที่สาคัญได้ และมองเห็นความสัมพันธ์ของส่วนที่เก่ียวข้องกัน ความสามารถในการวิเคราะห์
จะแตกตา่ งกันไปแลว้ แต่ความคดิ ของแต่ละคน 5) การสงั เคราะห์ ความสามารถในการท่ีผสมผสานส่วนย่อย ๆ
เขา้ เปน็ เรอ่ื งราวเดียวกนั อย่างมรี ะบบ เพื่อใหเ้ กิดสงิ่ ใหมท่ ี่สมบรู ณ์และดกี ว่าเดิม อาจเป็นการถ่ายทอดความคิด
ออกมาให้ผู้อื่นเข้าใจได้ง่าย การกาหนดวางแผนวิธีการดาเนินงานข้ึนใหม่ หรือ อาจจะเกิดความคิดในอันท่ี
จะสร้างความสัมพันธ์ของส่ิงท่ีเป็นนามธรรมขึ้นมาในรูปแบบหรือแนวคิดใหม่ 6) การประเมินค่า
เปน็ ความสามารถในการตัดสิน ตีราคาหรือสรุปเก่ียวกับคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ ออกมาในรูปของคุณธรรมอย่างมี
กฎเกณฑท์ ่เี หมาะสม ซง่ึ อาจเป็นไปตามเน้อื หาสาระในเรื่องน้ัน ๆ หรืออาจเปน็ กฎเกณฑ์ทีส่ ังคมยอมรบั กไ็ ด้
๒. จิตพิสัย (Affective Domain)(พฤติกรรมด้านจิตใจ) ค่านิยม ความรู้สึก ความซาบซึ้ง ทัศนคติ
ความเชื่อ ความสนใจและคุณธรรม พฤติกรรมด้านน้ีอาจไม่เกิดข้ึนทันที ดังนั้น การจัดกิจกรรมการเรียนการ
๑๐
สอนโดยจัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมและสอดแทรกส่ิงท่ีดีงามอยู่ตลอดเวลา จะทาให้พฤติกรรมของผู้เรียน
เปล่ียนไปในแนวทางท่ีพึงประสงค์ได้ ด้านจิตพิสัยจะประกอบด้วย พฤติกรรมย่อย ๆ 5 ระดับ ได้แก่
1) การรับรู้ เป็นความรู้สึกท่ีเกิดขึ้นต่อปรากฏการณ์หรือส่ิงเร้าอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นไปในลักษณะของการ
แปลความหมายของสิ่งเร้าน้ันว่าคืออะไร แล้วจะแสดงออกมาในรูปของความรู้สึกที่เกิดข้ึน 2) การตอบสนอง
เป็นการกระทาท่ีแสดงออกมาในรูปของความเต็มใจ ยินยอม และพอใจต่อส่ิงเร้านั้น ซึ่งเป็นการตอบสนอง
ท่ีเกิดจากการเลือกสรรแล้ว ๓) การเกิดค่านิยม การเลือกปฏิบัติในสิ่งท่ีเป็นท่ียอมรับกันในสังคม การยอมรับ
นับถือในคุณค่าน้ัน ๆ หรือปฏิบัติตามในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง จนกลายเป็นความเชื่อ แล้วจึงเกิดทัศนคติที่ดีใน
ส่ิงนั้น 4) การจัดระบบ การสร้างแนวคิด จัดระบบของค่านิยมที่เกิดข้ึนโดยอาศัยความสัมพันธ์ ถ้าเข้ากันได้
ก็จะยึดถือต่อไปแต่ถ้าขัดกันอาจไม่ยอมรับอาจจะยอมรับค่านิยมใหม่โดยยกเลิกค่านิยมเก่า 5) บุคลิกภาพ
การนาค่านิยมท่ียึดถือมาแสดงพฤติกรรมที่เป็นนิสัยประจาตัว ให้ประพฤติปฏิบัติแต่ส่ิงที่ถูกต้องดีงาม
พฤติกรรมด้านนี้ จะเกีย่ วกับความรู้สึกและจิตใจ ซึ่งจะเริ่มจากการได้รับรู้จากส่ิงแวดล้อม แล้วจึงเกิดปฏิกิริยา
โต้ตอบ ขยายกลายเป็นความรู้สึกด้านต่าง ๆ จนกลายเป็นค่านิยม และยังพัฒนาต่อไปเป็นความคิด อุดมคติ
ซงึ่ จะเป็นควบคุมทิศทางพฤตกิ รรมของคนคนจะร้ดู รี ู้ช่ัวอย่างไรนัน้ ก็เปน็ ผลของพฤตกิ รรมดา้ นน้ี
๓. ทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) (พฤติกรรมด้านกล้ามเนื้อประสาท) พฤติกรรมที่บ่งถึง
ความสามารถในการปฏิบัติงานได้อย่างคล่องแคล่วชานิชานาญ ซ่ึงแสดงออกมาได้โดยตรงโดยมีเวลาและ
คุณภาพของงานเป็นตัวชี้ระดับของทักษะ พฤติกรรมด้านทักษะพิสัย ประกอบด้วย พฤติกรรมย่อย ๆ ๕ ข้ัน
ดังน้ี 1) การรับรู้ เป็นการให้ผู้เรียนได้รับรู้หลักการปฏิบัติท่ีถูกต้องหรือเป็นการเลือกหาตัวแบบท่ีสนใจ
2) กระทาตามแบบหรือเครือ่ งช้ีแนะ เป็นพฤติกรรมท่ีผเู้ รยี นพยายามฝกึ ตามแบบท่ีตนสนใจและพยายามทาซ้า
เพ่ือท่ีจะให้เกิดทักษะตามแบบที่ตนสนใจให้ได้หรือสามารถปฏิบัติงานได้ตามข้อแนะนา 3) การหาความ
ถกู ต้อง พฤตกิ รรมสามารถปฏิบตั ิได้ดว้ ยตนเอง โดยไม่ต้องอาศัยเครื่องช้ีแนะ เม่ือได้กระทาซ้าแล้ว ก็พยายาม
หาความถูกต้องในการปฏิบัติ 4) การกระทาอย่างต่อเนื่องหลังจากตัดสินใจเลือกรูปแบบท่ีเป็นของตัวเองจะ
กระทาตามรูปแบบนั้นอยา่ งต่อเน่ือง จนปฏิบัติงานที่ยุ่งยากซับซ้อนได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง คล่องแคล่ว การท่ี
ผู้เรียนเกิดทักษะได้ ต้องอาศัยการฝึกฝนและกระทาอย่างสม่าเสมอ 5) การกระทาได้อย่างเป็นธรรมชาติ
พฤติกรรมท่ีได้จากการฝึกอย่างต่อเน่ือง จนสามารถปฏิบัติได้คล่องแคล่วว่องไวโดยอัตโนมัติ เป็นไปอย่าง
ธรรมชาติ ซ่ึงถอื เป็นความสามารถของการปฏบิ ัตใิ นระดับสงู
๑๑
จะเห็นได้ว่า ทฤษฎีการเรียนร้ขู องบลูม ประกอบดว้ ย ดา้ นพทุ ธิพิสัย (ความรู้ที่เกิดจากความจา ความ
เข้าใจ การนาไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประเมินค่า) ด้านจิตพิสัย (การรับรู้ (Rerceive: ตั้งใจ
สนใจในสิ่งเร้า) การตอบสนอง คุณค่าค่านิยม การจัดระบบและบุคลิกภาพ) และด้านทักษะพิสัย (การรับรู้
(Imitation: สังเกตและทาตาม) การลงมือปฏิบัติและทาตาม ความถูกต้อง ความชัดเจนและต่อเนื่องในการ
ปฏิบัติ และความเป็นธรรมชาติ) ในด้านจิตพิสัยและทักษะพิสัยต่างมีขั้นตอนการรับรู้เช่นเดียวกัน
แต่ความหมายต่างกัน หากใช้แนวคิดตามทฤษฎีของบลูม “ความเข้าใจ” เป็นข้ันตอนที่สองต่อจากข้ันความรู้
อนั เกิดจากความจา น่ันหมายถงึ วา่ การสร้างความเข้าใจจกั ต้องให้ความรู้จนเกิดความจาเสียก่อน แล้วจึงจะถึง
ความเขา้ ใจ
การประชาสมั พันธ์
การประชาสัมพันธ์ (Public relations หรือ PR) คือ การทางานในการจัดการการสื่อสารระหว่าง
องค์กรและสาธารณะ การประชาสัมพันธ์นั้นช่วยทาให้องค์กรหรือบุคคล ได้แสดงสู่ผู้ชม ผู้อ่าน โดยใช้เร่ืองท่ี
เป็นทีส่ นใจของสาธารณะและใช้เป็นการรายงานข่าวโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายโดยตรง กิจกรรมโดยทั่วไป เช่น การ
พดู ในงานชุมนมุ การทางานรว่ มกบั แหลง่ ข่าว๘
การประชาสัมพนั ธ์ (Public Relation) เป็นการติดต่อส่ือสารจากองค์การไปสู่สาธารณชนท่ีเก่ียวข้อง
รวมถึงรับฟังความคิดเห็นและประชามติจากสาธารณชนท่ีมีต่อองค์การ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความ
เชอื่ ถือ ภาพลกั ษณ์ ความรู้และแกไ้ ขข้อผิดพลาดในเรื่องใดเร่ืองหนึ่ง๙
การประชาสัมพันธ์ของรัฐบาล คือ การเผยแพร่ข่าวสารของหน่วยราชการของรัฐอันได้แก่ กระทรวง
ทบวง กรมและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจซึ่งอยู่ภายใต้การกากับดูแลของรัฐบาล โดยวิธีการกระจายข่าวสาร
เกย่ี วกับนโยบาย กิจกรรมและผลงานต่างๆ ของรัฐ เพื่อการเสริมสร้างความเข้าใจอันดีและช่ือเสียงเกียรติคุณ
ของรัฐ อันจะส่งผลให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ความนิยมและการสนับสนุนจากประชาชนในการสร้างสรรค์
ความสาเร็จแก่หน่วยราชการและประเทศชาติโดยรวม
๑๒
ลักษณะของการประชาสมั พันธม์ ดี งั น้ี๙
๑. การประชาสัมพันธ์เป็นการสื่อสารสองทาง (Two-way communication) เป็นการส่ือสารจาก
ผู้สง่ ไปยงั ผู้รับเก่ยี วกบั ข่าวสารขององค์การทต่ี อ้ งการสือ่ สารใหส้ าธารณชนรับทราบและเขา้ ใจ และยงั เป็น
การสือ่ สารย้อนกลับจากผู้รบั คอื สาธารณชนไปยังองค์การเก่ยี วกบั ความคดิ เห็นท่ีเกย่ี วกบั องค์การ
๒. การประชาสมั พนั ธอ์ าจมีกล่มุ เป้าหมายหลายกลุ่ม (Multiple target group) เชน่ พนกั งาน
ลูกค้า ผู้ถือหุ้น ชุมชน รัฐบาลหรือหน่วยงานต่างๆ เป็นต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวัตถุระสงค์ในการประชาสัมพันธ์ว่า
ต้องการประชาสัมพันธไ์ ปยังกลมุ่ เปา้ หมายใดบ้าง
๓. การประชาสัมพนั ธเ์ ป็นการส่อื สารเพ่ือโนม้ นา้ วใจ ทง้ั นก้ี ารประชาสัมพันธ์ต้องตั้งอยู่บนหลักความ
จรงิ เพอ่ื มุง่ ให้เกิดความเชอ่ื ถอื และปฏิบตั ติ ามดว้ ยความสมคั รใจ
๔. การประชาสมั พันธเ์ ปน็ การดาเนินงานอยา่ งตอ่ เน่ืองและสมา่ เสมอ โดยคาดหวังผลต่อเน่อื ง
ในระยะยาวเพอ่ื ให้สาธารณชนมคี วามศรัทธาและมีความไวเ้ น้อื เชอื่ ใจต่อองค์การเพื่อให้องค์การสามารถดาเนิน
กิจการอยู่ในระยะยาวได้
๕. การประชาสัมพันธ์เป็นการดาเนินงานอย่างเป็นระบบ โดยจะมีการวางแผน ควบคุมและ
ประเมินผลของการประชาสัมพันธ์ เพ่ือให้ม่ันใจว่าการดาเนินการประชาสัมพันธ์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
และประสทิ ธผิ ล
การประชาสมั พนั ธ์ของรัฐบาลมวี ัตถุประสงค์ดงั นี้๙
๑. เพอ่ื ใหส้ าธารณชนได้ทราบถงึ บรกิ ารหรือหน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลทม่ี ีอยู่ อันจะสง่ ผลใหเ้ กดิ
การสนบั สนุนและไดร้ ับประโยชน์จากการใช้บริการหน่วยงานนั้นๆ ไดอ้ ย่างเต็มท่ี
๒. เพอ่ื ให้ได้รบั ความเหน็ ชอบจากสาธารณชนในการออกกฎหมายใหมๆ่ รวมถงึ การแก้ไขกฎหมาย
ตามสถานการณ์ท่เี ปล่ยี นแปลงไป
๓. เพือ่ ขจัดหรอื ลดความขัดแยง้ ตา่ งๆ ที่เกิดขึ้นกบั งานใหมๆ่ ของรัฐบาล
๔. เพ่ือให้สาธารณชนได้มโี อกาสในการเสนอความคดิ เหน็ ต่อรัฐบาล
๕. เพอ่ื อธบิ ายเก่ียวกบั ประชามติของประชาชนตอ่ หน่วยงานราชการตา่ งๆ เพ่ือจะไดด้ าเนินการให้
สอดคล้องกับความต้องการของสาธารณชน
๖. เพ่ือสร้างใหเ้ กดิ การสนบั สนุนจากประชามติและความรว่ มมอื อนั ดจี ากสาธารณชน ด้วยการชแ้ี จง
ถงึ ความจาเปน็ และความเขา้ ใจในกฎระเบยี บตา่ งๆ ของหน่วยงานราชการ
๗. เพอ่ื สรา้ งความนยิ มและความสัมพนั ธอ์ นั ดีจากสาธารณชน
๘. เพื่อเรียกร้องความร่วมมือและการสนับสนุนจากสาธารณชนในด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม
และการพัฒนาประเทศด้านต่างๆ
๙. เพอ่ื เผยแพร่ผลงานความกา้ วหนา้ ตา่ งๆ ด้านการปกครองและการบริหารประเทศของรฐั บาล
๑๓
การประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลอาจแบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภท๙ ได้แก่ ๑) การประชาสัมพันธ์
ภายในประเทศ จะเกี่ยวข้องกับงานด้านข่าวสารและการเผยแพร่เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างรัฐบาล
และประชาชน อันจะส่งผลให้เกิดการลดช่องว่างระหว่างกันได้ โดยประชาชนจะได้รับทราบข่าวสารความ
เคล่ือนไหวต่างๆ ของรัฐบาล อันได้แก่ นโยบาย การดาเนินงานและผลงานของโครงการต่างๆ เพ่ือเรียกร้อง
การสนับสนุนจากประชาชนและป้องกันและแก้ไขความเข้าใจผิดของป ระชาชนที่มีต่อหน่วยงานของรัฐบาล
หน่วยงานราชการมักจะใช้การประชาสัมพันธ์ในกรณีต่อไปน้ี เม่ือเริ่มโครงการใหม่หรือนโยบายใหม่ท่ีต้องการ
ความร่วมมือจากหลายฝ่าย เม่ือโครงการใหม่หรือนโยบายใหม่มีผลให้เกิดการเปล่ียนแปลงในทางท่ีดีต่อ
ประชาชน เมื่อมีกฎหมายหรือระเบียบราชการใหม่ๆ ท่ีประชาชนควรทราบเพื่อจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง
เมื่อหน่วยงานราชการต้องการแถลงผลงานท่ีปฏิบัติไปแล้ว เมื่อมีเรื่องที่ประชาชนเข้าใจผิดเก่ียวกับการ
ปฏิบัติงานหรือเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานราชการ และเม่ือเกิดวิกฤติการณ์ต่างๆ เช่น การเมือง เศรษฐกิจ
วธิ ีการในการประชาสมั พันธภ์ ายในประเทศอาจทาไดโ้ ดย (๑) การรณรงค์เผยแพร่ข่าวสารต่างๆ ของหน่วยงาน
ราชการและรัฐบาลท่ีประชาชนควรทราบ เช่น การจัดต้ังหน่วยราชการใหม่ การดาเนินงานโครงการใหม่
การออกกฎหมายหรือการปรับปรุงกฎหมาย เป็นต้น (๒) การรณรงค์วางแผนระยะยาวหรือโครงการต่อเนื่อง
เพื่อชักจูงใจให้ประชาชนร่วมมือและสนับสนุน เช่น การรณรงค์ให้ประชาชนเสียภาษีอากร การรักษาความ
สะอาด เป็นต้น (๓) การเผยแพร่ความเคลื่อนไหวของทางราชการ เช่น ข่าวการส่งเสริมการท่องเท่ียว
ภายในประเทศการป้องกันการระบาดของโรคปากเท้าเป่ือย เป็นต้น ๒) การประชาสัมพันธ์ภายนอกประเทศ
เป็นการสรา้ งความเข้าใจ ความร้จู ักและความสัมพันธ์อันดีของประชาชนในประเทศต่างๆ อันจะนามาซ่ึงความ
นิยมชมชอบและมติ รภาพอนั ดีระหว่างประเทศ โดยรัฐบาลจะทาการประชาสัมพันธ์ให้ท่ัวโลกทราบถึงนโยบาย
วัตถุประสงค์และการดาเนินงานของรัฐบาล เพ่ือป้องกันและแก้ไขความเข้าใจผิด สนับสนุนนโยบาย
ต่างประเทศของรัฐบาลในดา้ นตา่ งๆ รวมถึงเพือ่ เผยแพร่ศลิ ปวฒั นธรรมอันดขี องประเทศ
สรุป การประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลเป็นการเผยแพร่ข่าวสารของหน่วยราชการของรัฐ เพ่ือการ
เสริมสร้างความเข้าใจอันดีและชื่อเสยี งเกยี รติคณุ ของรฐั อันจะส่งผลให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ความนิยมและ
การสนับสนุนจากประชาชนในการสร้างสรรค์ความสาเร็จแก่หน่วยราชการและประเทศชาติโดยรวม ,
เมื่อการประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลเป็นการเผยแพร่ข่าวสารของหน่วยราชการของรัฐ ลองตามไปดูให้รู้
“การเผยแพร่ข่าวสารของหน่วยราชการ” วา่ เป็นอยา่ งไร
การประชาสัมพันธ์กับการเผยแพร่ โดยการเผยแพร่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการประชาสัมพันธ์
(การเผยแพร่ (publicity) หมายถึง การเผยแพร่หรือการกระจายข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับองค์การผ่านส่ือ
ท่เี หมาะสมไปยังกลุ่มประชาชนเป้าหมาย) ซึ่งนักประชาสัมพันธ์นิยมใช้การเผยแพร่มาเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่ง
เพื่อช่วยให้งานประชาสมั พนั ธ์มปี ระสทิ ธิภาพมากย่งิ ข้ึน นอกจากน้ียังมีคาท่ีอยู่ในหมวดใกล้เคียงกันท่ีก่อให้เกิด
ความสับสน เข้าใจผิดคิดว่าเป็นการประชาสัมพันธ์ ได้แก่ การสารนิเทศ (information) ซึ่งหมายถึง การ
ให้บริการข่าวสารหรือข้อมูลตา่ ง ๆ ทเ่ี ป็นประโยชน์แก่ประชาชนเพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจแก่ประชาชนหรือ
๑๔
ผู้ท่ีมาติดต่อองค์การ โดยบางองค์การมีการตั้งเป็นศูนย์สารนิเทศ (information center) หรือศูนย์บริการ
ข่าวสาร (information service center) และอีกคาท่ีทาให้เกิดความสับสนคือการประกาศ
(announcement) ซ่ึงเป็นการบอกกล่าวแพร่กระจายข่าวสารต่าง ๆ ให้ประชาชนหรือผู้ที่เกี่ยวข้องได้ทราบ
มักจะทาเป็นคร้ังคราวตามโอกาสหรือความจาเป็นแต่ละกรณี๑๐ ความหมายอ่ืนท่ีใกล้เคียงกับการ
ประชาสัมพันธ์ ๑) การเผยแพร่ (Publicity) คือการกระจายข่าวสารต่างๆ ของแหล่งความรู้ไม่สู่บุคคลทั่วไป
๒) สารสนเทศ (Information) คือ การให้บริการข่าวสารหรือข้อมูลต่างๆ ท่ีเป็นประโยชน์แก่คนทั่วไป เพื่อให้
ความรู้ รับทราบข้อมูลและสร้างความเข้าใจ ๓) การโฆษณา (Advertising) คือ การเผยแพร่ สื่อสาร ชักจูงใน
เรื่องท่ีเก่ียวข้องกับสินค้า ผลิตภัณฑ์หรือบริการ โดยใช้ส่ือโฆษณาต่างๆ เป็นตัวกลางในการเผยแพร่
๔) การประกาศ (Announcement) คือการบอกกล่าวแพร่กระจายข่าวสารต่างๆ ให้ประชาชนท่ัวไปหรือ
ผู้เก่ยี วขอ้ งไดทราบในเรอื่ งใดเรอื่ งหนึ่ง๑๑
ส่อื หรอื เคร่อื งมือในดา้ นการประชาสัมพันธ์ท่ีทางภาครัฐจะนิยมใช้ คือสื่อวิทยุโทรทัศน์และกิจกรรม
คือการจัดเหตุการณ์พิเศษ (Special Events) ซึ่งมีหลายประเภท คือ ๑) การจัดวันและสัปดาห์พิเศษ
(Special Days and Weeks) ๒) นิทรรศการ (Exhibitions) ๓) การจัดงานวันครบรอบปี (Anniversaries)
๔) การจัดประชุม (Meetings and Conferences) ๕) การให้รางวัลพิเศษ (Special Awards) ๖) การเปิดให้
เยี่ยมชมองค์กร (Open Houses) ๗) การจัดงานประกวด (Contest) ๘) การจัดขบวนแห่ (Parades and
Pageants) ๙) การอุปถัมภ์งานของชุมชน (Sponsored Community Events)๑๑
สรปุ ภาพรวม “การรบั รู้ การประชาสมั พนั ธ์และการสร้างความเข้าใจ”
สงิ่ เร้า การรบั รู้ การตอบสนอง
กระบวนการรับรู้ การรู้สกึ ทเ่ี กิดข้นึ
ส่ิงเร้าภายนอก กระบวนการรับสมั ผัส
ส่ิงเราภายใน
การเรยี นรู้
การประชาสมั พันธข์ องรฐั บาล การเผยแพร่ข่าวสารของหน่วย เพอื่ การเสริมสร้างความเข้าใจอันดี
ราชการของรฐั และช่ือเสยี งเกียรตคิ ุณของรฐั
อนั จะส่งผลให้เกิด
๑) ความรู้ ความเข้าใจ ความนิยม
๒) การสนบั สนนุ จากประชาชน
๑๕
ตัวอย่าง แผนการสร้างการรับรู้ตามแผนการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเข้าใจระดับยุทธศาสตร์
กิจกรรม ประกอบด้วย ๑) การสัมมนาเชิงบูรณาการส่ือมวลชนภาครัฐสร้างการรับรู้ขับเคล่ือนไทยไปด้วยกัน
กลมุ่ จงั หวัด ๒) การพบปะพฒั นาสัมพันธ์เครือข่ายมวลชนสร้างการรับรู้ ๓) การสัมมนาเชิงบูรณาการเครือข่าย
ส่ือสังคมออนไลน์ ๔) การพบปะพัฒนาสัมพันธ์เครือข่ายนักจัดรายการวิทยุกระจายเสียง ๕) การพบปะพัฒนา
สมั พนั ธ์ส่วนราชการและสื่อมวลชน จะเห็นได้ว่า “ช่ือแผนเป็นการสร้างการรับรู้” ซึ่งการสร้างการรับรู้ภายใต้
กระบวนการสิ่งเร้า การรับรู้และการตอบสนอง อันทาให้เกิดการเรียนรู้ “ตามแผนการประชาสัมพันธ์”
น่ันหมายถึง เป็นการดาเนินการกรอบแนวคิดการประชาสัมพันธ์ (การประชาสัมพันธ์ของรัฐเป็นการเผยแพร่
ขา่ วสารของหน่วยราชการของรัฐ เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจอันดีและชื่อเสียงเกียรติคุณของรัฐ อันจะส่งผลให้
เกิด ๑) ความรู้ ความเข้าใจ ความนิยม และ ๒) การสนับสนุนจากประชาชน) “เพ่ือสร้างความเข้าใจ”
เป็นกรอบทฤษฎีการเรียนรู้ของบลูม โดยมีขั้นตอนของกิจกรรมจักต้องผ่านขั้นตอนท่ี ๑ ข้ันความรู้อันเกิดจาก
ความจา และข้ันที่ ๒ ขั้นความเข้าใจ ในความจริงเป็นเช่นนั้นหรือไม่ หากดูแผนน้ีเป็นการบูรณาการคือ
บูรณาการ ๓ เรอ่ื งเขา้ ดว้ ยกนั (การรับรู้ การประชาสัมพันธ์และการสร้างการรับรู้) สุดปลายทางกลุ่มเป้าหมาย
ที่เข้าร่วมกิจกรรม ๑) จะเกิดการรับรู้เพียงใด ๒) มีความรู้ ความเข้าใจ ความนิยมเพียงใด ๓) การสนับสนุน
จากประชาชนเพียงใด ๔) เกดิ ความเข้าใจเพียงใด
สรุป “การเดินเท้าเข้าพ้ืนที่” รูปแบบมาตรฐาน ได้แก่ รูปแบบของการเฝ้าระวังพฤติกรรมสุขภาพ
ตามวิธีการได้ 5 รูปแบบ (1) การสารวจเร่งด่วน (Rapid survey) โดยการสัมภาษณ์หรือการทดสอบ
แบบสอบถาม (2) การทาการสังเกต (Observation) โดยการเฝ้าติดตาม สังเกตพฤติกรรมและปัจจัยของ
พฤติกรรมสุขภาพตลอดเวลาหรือเป็นระยะๆ แล้วแต่กรณี ซึ่งเป็นการสังเกตจากภายนอก (3) การเข้าไปเป็น
สมาชิกของครอบครัว ชุมชนและสังคม (Membership involvement) เป็นการสังเกตอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นการ
๑๖
สังเกตจากภายใน และเป็นไปตามบริบทของบุคคลท่ีอาศัยอยู่ในครอบครัว กลุ่มชุมชน หรือสังคมที่ต้องการ
เฝ้าระวงั (4) การทาแผนท่ีพฤติกรรม (Behavioral mapping) โดยการจดบันทึกข้อมูลที่ได้พบเห็นจากบุคคล
ครอบครัว ชุมชนเกี่ยวกับพฤติกรรมสุขภาพท่ีระบุถึงพ้ืนท่ี ช่วงเวลา แล้วนามาวิเคราะห์เพื่อพิจารณาการ
กระจาย ขอบเขต และกลไกทางพฤติกรรม และความสัมพันธ์ของพฤติกรรมสุขภาพกับปัจจัยอ่ืนๆท่ีเก่ียวข้อง
(5) การใช้ข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary data) เป็นการใช้ข้อมูลจากบุคคลและเอกสารท่ีมีอยู่แล้วในลักษณะ
ของข้อมูลทุติยภูมิ ได้แก่ ข้อมูลในระบบรายงาน) ส่วนรูปแบบการเดินเท้าเข้าพื้นท่ีของกระทรวงยุติธรรมท่ีนา
แบบมาจากกระทรวงสาธารณสุขมีกิจกรรม (๑) สารวจสภาพปัญหาและความต้องการของประชาชนในพ้ืนที่
ของประชาชนในพ้ืนท่ี (๒) แนะนาการให้บริการของศูนย์ยุติธรรมชุมชน (๓) ประชาสัมพันธ์บทบาทภารกิจ
และงานบริการของสานักงานยุติธรรมจังหวัดยะลา (๔) ประชาสัมพันธ์บทบาทภารกิจของกระทรวงยุติธรรม
ดังน้ัน ผลการปฏบิ ัตงิ านต้องหาคาตอบได้ประชาชนว่าประสบผล หรอื ไม่ อยา่ งไร
ท่ีมา https://www.moj.go.th/view/65789
๑๗
อา้ งอิง
๑ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์. ม.ป.พ. ทฤษฎีทเ่ี กีย่ วของกบั เทคโนโลยที างการศึกษา. เขา้ ถึงขอ้ มูลได้จาก
http://pirun.ku.ac.th/~g5414600546/images/Perception.pdf วันทีส่ บื คน้ ข้อมูล ๖ พฤศจกิ ายน
๒๕๖๓.
๒ วิกิพเี ดยี สารานุกรมเสร.ี ๒๕๕๖. ผัสสะ. เขา้ ถงึ ขอ้ มูลไดจ้ าก https://th.wikipedia.org/wiki/
วันท่สี บื คน้ ข้อมูล ๖ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๓.
๓ ชาญวทิ ย์ ปรีชาพาณชิ พัฒนา. ม.ป.พ. “สิ่งมชี ีวติ กบั กระบวนการดารงชวี ิต” วทิ ยาศาสตร์ ม.๒ (หลักสตู ร
๒๕๕๑). เข้าถึงข้อมูลได้จาก https://sites.google.com/site/akadahtwongrat/1-sing-mi-chiwit-kab-
krabwnkar-darng-chiwit/08 วนั ทีส่ ืบคน้ ขอ้ มูล ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๓.
๔ วิกิพเี ดีย สารานกุ รมเสร.ี ๒๕๕๖. ความเข้าใจ. เขา้ ถึงขอ้ มลู ได้จาก https://th.wikipedia.org/wiki/
วนั ทีส่ ืบค้นข้อมลู ๖ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๓.
๕ ดุจดาว วฒั นปกรณ.์ ๒๕๖๓. “การสร้าง Empathy สาหรับอุตสาหกรรมไมซ์” ดูแล “หัวใจ” ตลอดเส้นทาง
ประสบการณ.์ เขา้ ถึงขอ้ มูลไดจ้ าก MICE intelligence center: https://intelligence.
businesseventsthailand.com/en/blog/mice-empathy วันทส่ี บื คน้ ข้อมูล ๖ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๓.
๖ jobsdb.com. ม.ป.พ. สื่อสารอย่างไรใหเ้ พ่ือนร่วมงานเข้าใจเรา. เขา้ ถึงขอ้ มลู ได้จาก https://th.jobsdb.
com/th-th/articles/ วนั ทสี่ ืบคน้ ข้อมูล ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๓.
๗ max social. ม.ป.พ. ทฤษฎีการเรียนรู้ของบลูม. เข้าถงึ ขอ้ มูลได้จาก https://sites.google.com/site/
anansak2554/thvsdi-kar-reiyn-ru-khx-ngblum วันทส่ี ืบคน้ ข้อมูล ๖ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๓.
๘ วกิ พิ ีเดีย สารานกุ รมเสร.ี ๒๕๕๖. การประชาสัมพันธ์. เขา้ ถงึ ข้อมลู ได้จาก https://th.wikipedia.org/wiki/
วนั ท่สี ืบคน้ ขอ้ มูล ๖ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๓.
๙ ประภาศรี สวสั ด์อิ าไพรกั ษ.์ ม.ป.พ. “เรือ่ งท่ี 8.3.2 การประชาสมั พันธข์ องรฐั บาล” หน่วยท่ี ๘ การส่งเสรมิ
การตลาด : การประชาสัมพันธ์. เขา้ ถึงข้อมลู ไดจ้ ากสาขาวชิ าวทิ ยาการจัดการ มหาวทิ ยาลัยสโุ ขทยั ธรรมา-
ธริ าช https://www.stou.ac.th/stouonline/lom/data/sms/market/Unit8/SUBM3/U832-1.htm
วันท่สี บื คน้ ขอ้ มูล ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๓.
๑๐ มหาวิทยาลัยราชภฏั สวนสุนนั ทา. ม.ป.พ. หลกั การและทฤษฏกี ารประชาสมั พันธ.์ เข้าถึงข้อมูลไดจ้ าก
http://www.elfms.ssru.ac.th/wipanee_ma/file.php/1/PCC2201/Document/chapter_1_
conceptPR.pdf วนั ท่สี บื คน้ ข้อมูล ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๓.
๑๑ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม.่ ม.ป.พ. หลักการประชาสมั พันธ์. เข้าถงึ ข้อมลู ได้จาก http://agecon-extens.agri.
cmu.ac.th/Course_online/Course/352311/9.pdf วันท่ีสืบค้นขอ้ มูล ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๓.
1๒ มูลนธิ ิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรนี ครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.). ม.ป.พ. กจิ กรรมหน่วยแพทยเ์ คล่อื นที่
เดินเทา้ พอ.สว. เข้าถงึ ขอ้ มลู ได้จาก https://www.pmmv.or.th/project-detail.php?id=47
วนั ท่ีสบื ค้นขอ้ มูล 26 มีนาคม 2565.
๑๘
๑๓ กระทรวงสาธารณสุข กรมอนามยั สานกั อนามัยผู้สูงอาย.ุ 2563. คมู่ อื การดาเนนิ งาน ตัวช้ีวดั : ร้อยละ
ของประชากรสงู อายุทีม่ พี ฤติกรรมสุขภาพท่ีพึงประสงค์ ประจาปี 2563. เข้าถึงขอ้ มลู ไดจ้ าก
https://www.chiangmaihealth.go.th/cmpho_web/document/200423158761378143.pdf
วนั ทสี่ ืบคน้ ข้อมูล 26 มนี าคม 2565.