The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ฟิสิกส์แห่งจิตวิญญาณ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by yala, 2022-07-16 22:03:15

ฟิสิกส์แห่งจิตวิญญาณ

ฟิสิกส์แห่งจิตวิญญาณ

ฟสิ ิกส์แห่งจิตวิญญาณ (Spiritual Physics)

ดร.อภริ ัชศักดิ์ รัชนวี งศ์
ฟิสิกส์แห่งจิตวิญญาณ๑ กายภาพของจิตวิญญาณ (ฟิสิกส์ของแสง ฟิสิกส์ของจิต, กระบวนการ
“จิต มโน วิญญาณ”, วิญญาณ ย่อมก่อภพให้แก่สัตว์ทั้งหลาย) กระบวนการปรุงแต่งสังขารทั้งหลาย (อวิชชา
สังขาร วิญญาณ, ขนั ธ5์ กบั ภพ ชาติ ชรามรณะ เปน็ ธรรมทีอ่ าศัยกนั แล้วเกิด) การหลดุ พ้น การบรรลธุ รรม (ลำดับ
การบรรลุธรรม, สัตตา – วิมุตตญิ าณทสั สนะ

ท่มี า http://www.igoodmedia.net/author/02_book/the-7-element/html/the7-element-chapter05.html

ฟสิ กิ สแ์ ห่งจิตวญิ ญาณ (Physical Consciousness) อธิบายบริบทที่เกยี่ วขอ้ งกบั จติ โดยอาศยั หลกั การ
ทางด้านฟิสิกส์ มารองรับปรากฏการณ์ต่างๆ ที่จิตปรุงแต่งขึ้น. เหตุผลที่นำหลักฟิสิกส์ มาเปรียบเทียบ
ปรากฏการณ์ที่จิตปรุงแต่งขึ้นนั้น เพราะการเกิดขึ้น การเปลี่ยนสถานะและพฤติการณ์ต่างของอนุภาค อะตอม
มวลสาร อวกาศและเวลา มีระเบียบแบบแผนสอดคล้องและเขา้ กันไดก้ บั สงั ขตลกั ษณะ อทิ ัปปัจจยตา ปฏิจจสมปุ -
บาท และอรยิ สัจ4 ซง่ึ เป็นแกน่ หลักของพุทธศาสน์


นักวทิ ยาศาสตร์ มองวา่ เร่ืองของจติ วญิ ญาณ เปน็ จนิ ตภาพส่วนบุคคล จบั ตอ้ งไม่ได้ ไมม่ ตี ัวตน ไม่อยู่ใน
กฎเกณฑ์ใดของฟิสิกส์, จึงไม่สามารถจัดให้ จิตวิญญาณ อยู่ในส่วนใดของโลกวิทยาศาสตร์ได้เลย แต่ในทางตรงกัน
ข้าม ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธะ ผู้เชี่ยวชาญด้านจติ วิญญาณ กลับให้ความสำคัญกับจิตเป็นลำดับแรก พระองค์
กล่าวถึงวัตถุธาตุน้อยมาก (ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม อากาศธาตุ เท่านั้น) กล่าวถึง รูปกายชีวิต (นามรูป –
วิญญาณ – สังขาร) ปานกลาง และกล่าวถึง จิต (การปรุงแต่งจิต มโน วิญญาณ) มากที่สุด. พระองค์ กล่าวถึง
อัตลักษณ์เบื้องต้น ของจิตวิญญาณ ไว้ว่า จิตนี้ ละเอียด อ่อนไหว ตลอดเวลา (ลหุปริวตฺตํ โข จิตฺตํ). ดังนั้น จิตและ
การปรุงแต่งจติ จึงมคี วามหลากหลายมาก จนต้องมีการกำหนด ใหค้ ำนยิ ามไว้ในหลายชือ่ หลายลักษณะ. [อาจพบ
คำว่า จิตคำเดียวบ้าง จิตวิญญาณบ้าง หรือ วิญญาณคำเดียวบ้าง ซึ่งปรากฏอยู่ทั่วไปในหนังสือเล่มนี้ ให้เข้าใจ
ตรงกันวา่ หมายถงึ ส่งิ เดยี วกัน]
ฟิสิกส์ของแสง ฟิสิกส์ของจิต แต่เดิมนั้นกฎฟิสิกส์ของนิวตัน เชื่อว่า แสงคืออนุภาค ที่เคลื่อนท่ี
ด้วยความเร็วสูง ผ่านสารชนิดหนึ่งเรียกว่า อีเธอร์ (aether) ซึ่งเป็นสารที่สถิตอยู่นิ่งๆ ใน อวกาศสัมบูรณ์
(absolute space) และ เวลาสัมบูรณ์ (absolute time). คนที่อยู่นิ่ง กับคนที่เคลื่อนที่ จะวัดอัตราความเร็วแส
งได้แตกต่างกัน. ต่อมา ทฤษฎีสัมพัทธภาพ ของไอน์สไตน์ ได้ล้มล้างมโนทัศน์เดิมของนิวตัน อย่างสิ้นเชิง คือ ไม่มี
ส่ิงท่ีเรียกว่า อวกาศสัมบรู ณ์, ไม่มี เวลาสมั บูรณ์ และไมม่ สี ง่ิ ที่เรียกวา่ อเี ธอร์

ทม่ี า http://www.igoodmedia.net/author/02_book/the-7-element/html/the7-element-chapter05.html


ไอน์สไตน์ ได้เสนอรากฐานใหม่ของโลกฟิสิกส์ยุคใหม่ คือ (1) “อัตราความเร็วของแสง มีค่าสัมบูรณ์
เดียวกันในทุกทิศทาง และไม่ขึ้นกับทิศทางการเคลื่อนที่ ของผู้วัดโดยสมบูรณ์” ซึ่งเป็นไปตาม หลักความสัมบูรณ์
ของอัตราความเร็วแสง (The principle of the absoluteness of the speed of light) ทำให้อวกาศและเวลา
เป็นส่ิงสัมพัทธกัน (2) “กฎของฟิสิกส์ จะต้องครอบคลุมทุกสถานะ ของการเคลื่อนที่เท่ากัน ด้วยรากฐานเดียวกัน
เสมอ” ซึ่งเป็นไปตามหลักสัมพัทธภาพ (The principle of relativity). ปรากฎการณ์คอมป์ตัน (Compton
effect) และ ปรากฎการณ์ โฟโตอิเล็กตริก (photoelectric effect) ให้ข้อสรุปเกี่ยวกับโฟตอนว่า โฟตอน
เป็นอนุภาคของแสง ที่ดำรงสถานะ คลื่น/อนุภาค (duality of wave and particle) ในเบื้องต้น าอาจอนุมานให้
สว่ นทเ่ี ล็กทสี่ ุดของวญิ ญาณ (ถ้าวดั ขนาดได)้ อาจมีคณุ สมบตั ิเช่นเดียวกบั โฟตอน (แสง) ทก่ี ลา่ วว่า วญิ ญาณมีหลาย
ขนาด (ถ้าวัดขนาดได้) เป็นการจัดลำดับการเกิดปรากฏ การตั้งอาศัยและการปรุงแต่งของจิต ในระบบ
จิต มโน วิญญาณ ระบบชีวิตจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อ วิญญาณเข้าไปตั้งอยู่ในร่างกาย (ขันธ์5) ทวิภาพของคลื่นและ
อนุภาค พบได้จาก ปรากฎการณ์คอมป์ตัน (compton effect) ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่สนับสนุนความคิดของ
ไอน์สไตน์ที่ว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า มีสมบัติเป็นอนุภาคได้ด้วย เมื่อวิญญาณ เข้าไปตั้งอาศัยในรูปขันธ์ หรือ เวทนา
ขันธ์ หรือ สัญญาขันธ์ หรือ สังขารขันธ์. วิญญาณก็จะประพฤติตน 2 สถานะในเวลาเดียวกัน คือ เป็น สิ่งที่ถูกรู้
(เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ) กับเป็นธาตุรู้ หรือ ผู้รู้ (จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหา
วิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ ). วิญญาณดวงหนึ่ง จะเข้าไปตั้งอาศัยในรูป เวทนา สัญญา สังขาร ได้เพียง
คราวละ 1 ธัมมะธาตุ เท่านั้น แล้วดับไปในทันที, วิญญาณอีกดวงหนึ่ง ก็จะเข้ามาแทนที่ แล้วประพฤติตนเหมือน
วิญญาณดวงก่อน พฤติการณ์ของวิญญาณ ที่เข้าไป ‘ตั้งอาศัย' อยู่ใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร อุปมาเหมือน
การสอ่ งไฟ หรือ การชเี้ บาะแส

ท่มี า http://www.igoodmedia.net/author/02_book/the-7-element/html/the7-element-chapter05.html



การทดลองนำสายพานเส้นหนึ่ง ผูกโยงกับมู่เล่ 2 ลูก, ที่แถบสายพาน แบ่งเป็น 10 ช่องให้พื้นที่ของ
แต่ละชอ่ ง มขี นาดเทา่ กัน, ภายในชอ่ งนัน้ บรรจตุ วั เลข 0 1 2 3 4 5 6 7 8 9 ลงไปในแตล่ ะชอ่ ง จนครบตัวเลข
ทั้ง 10 ตัว. นำมู่เล่กับสายพาน ไปตั้งไว้ในที่มืด, ส่งพลังให้มู่เล่หมุน ด้วยอัตราความเร็ว 60 รอบ ต่อวินาที.
นำหลอดไฟ ที่เกิดจากกระแสไฟฟ้าสลับ 60 Hz. บังคับให้ลำแสง มีขนาดรูปทรง เท่ากับช่องส่ีเหลีย่ ม บนสายพาน
พอดี. ส่องลำแสงของหลอดไฟนั้น ไปที่ตัวเลขบนสายพานที่กำลังหมุน ด้วยอัตราความเร็วรอบ 60 รอบ ต่อวินาที
อย่างสม่ำเสมอ. ผลที่ได้ คือ จะมองเห็นตัวเลข ปรากฎบนสายพาน นิ่งตรึงอยู่ตรงนั้น. การทดลองนี้ อาจอุปมา
การเกิด-ดับ ของวิญญาณได้หรือไม่? ฉากรับแสงไฟ ที่เป็นสายพานและตัวเลข เปรียบเหมือน รูป เวทนา สัญญา
สังขาร ที่วิญญาณ เข้าไปตั้งอาศัย, จุดที่แสงไฟกระทบกับสายพาน คือ ผัสสะ, ภาพที่เห็น คือ วิญญาณ ที่กำลัง
เกิดดับ ด้วยอัตราเร็ว 60 ครั้งต่อวินาที ติดต่อกัน (แต่วิญญาณเกิด-ดับ มีอัตราเร็วกว่าการกระพริบของหลอดไฟ
อาจเป็นล้านเทา่ )

เรื่องการหักล้างกันของอนุภาคปกติกับคู่ของมัน (อนุภาค ปฏิสสาร) เมื่อสัมผัสกัน. อาจนำเอา
ปรากฎการณ์ 'แสงกับฉาก' หรือ 'การส่องไฟ' หรือ 'การชี้เบาะแส' ของวิญญาณไปเปรียบเทียบกับปรากฎการณ์
การหกั ล้างพลังงานกันเองของอนุภาคกบั คู่ของมัน ไดด้ ังน้ี.

คู่ของจักขุวิญญาณ (ผู้รู้ทางตา) คือ จักข๎วายตนะ (ขอบเขตที่ทำให้เกิดผัสสะทางตา) ซึ่งประกอบด้วย
(ก) อายตนะภายใน ตา กับ อายตนะภายนอก รปู เชน่ วตั ถตุ ่างๆ ภาพ, (ข) จกั ขสุ มั ผัส (จุดสมั ผัสทางตา), (ค) จกั ขุ
สัมผสั สชาเวทนา (ความร้สู ึกสมั ผัสรปู ทางตา).

คู่ของโสตวิญญาณ (ผู้รู้ทางหู) คือ โสตายตนะ (ขอบเขตที่ทำให้เกิดผัสสะทางหู) ระกอบด้วย (ก)
อายตนะภายใน หู กับ อายตนะภายนอก เสียง, (ข) โสตสัมผัส (จุดสัมผัสทางตา), (ค) โสตสัมผัสสชาเวทนา
(ความรูส้ กึ สัมผสั เสยี งทางหู).

คู่ของฆานวิญญาณ (ผู้รู้ทางจมูก) คือ ฆานายตนะ (ขอบเขตที่ทำให้เกิดผัสสะจมูก) ประกอบด้วย
(ก) อายตนะภายใน จมูก กับ อายตนะภายนอก กลิ่น, (ข) ฆานสัมผัส (จุดสัมผัสทางจมูก), (ค) ฆานสัมผัสสชา
เวทนา (ความรู้สกึ สัมผสั กล่นิ ทางจมกู ).

คู่ของชิวหาวิญญาณ (ผู้รู้ทางลิ้น) คือ ชิวหายตนะ (ขอบเขตที่ทำให้เกิดผัสสะทางลิ้น) ประกอบด้วย
(ก) อายตนะภายใน ลิ้น กับ อายตนะภายนอก รส, (ข) ชิวหาสัมผัส (จุดสัมผัสทางลิ้น), (ค) ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา
(ความรู้สกึ สมั ผสั รสทางล้นิ ).

คู่ของกายวิญญาณ (ผู้รู้ทางกาย) คือ กายายตนะ (ขอบเขตที่ทำให้เกิดผัสสะทางกาย) ประกอบด้วย
(ก) อายตนะภายใน ผิวกาย กับ อายตนะภายนอก ลักษณะหยาบ-ละเอียด ร้อน-เย็น, (ข) กายสัมผัส (จุดสัมผัส
ทางกาย), (ค) กายสมั ผสั สชาเวทนา (ความรู้สึกสัมผัสหยาบ-ละเอียด รอ้ น-เยน็ ทางกาย).

คู่ของมโนวิญญาณ (ผู้รู้ทางใจ) คือ มนายตนะ. (ขอบเขตที่ทำให้เกิดผัสสะทางใจ) ประกอบด้วย
(ก) อายตนะภายใน ใจ กับ อายตนะภายนอก อารมณ์, (ข) มโนสัมผัส (จุดสัมผัสทางใจ), (ค) มโนสัมผัสสชาเวทนา
(ความรู้สกึ สมั ผสั อารมณ์ทางใจ).

เมื่อกลุ่มของวิญญาณ (จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโน
วิญญาณ) ถูกตัดขาดจากคู่ของมัน (สฬายตนะ) จะเกิดการหักล้างกันระหว่าง “การตั้งอาศัย” (ของวิญญาณ) กับ
“การยดึ ครอง” (ของคขู่ องมัน). ปรากฎการณก์ ารหกั ลา้ งกันนี้ มผี ลทำให้วงจรการผัสสะของค่แู ตล่ ะคู่ ขาดออกจาก
กัน. วิญญาณ มีวิวัฒนาการ หลายรูปแบบ (มโน จิต วิญญาณ) หลังจากการเข้าไปตั้งอาศัย, การส่องไฟ, การช้ี



เบาะแส แล้วดบั ไป. วญิ ญาณกับแสงมีส่วนคลา้ ยกัน คือการปรากฎของมนั จะเปน็ ห้วงๆ. วญิ ญาณเข้าไปตั้งอาศยั อยู่
ในรูปวัตถุใด (รูปขันธ์) ถ้ารูปวัตถุนั้นมี ระบบประสาท และระบบอื่นที่เอื้อต่อการมีชีวิต ก็จะมีสิ่งหนึ่งซึ่งเรียกว่า
“สตั ว”์ ก็จะเขา้ ไปยดึ ครองต่อ เพอื่ สร้างชวี ิตใหม่ที่สมบรู ณ์ต่อไป เช่น เป็นสตั ว์เดรัจฉาน เปน็ มนษุ ย์ เป็นเทวดา

พฤติการณต์ า่ งๆ ของสตั ว์ เรียกว่า ‘กรรม' อาจถกู จัดใหเ้ ป็น พลงั อย่างหน่ึง (พลงั บวก = คุณ ประโยชน์
กุศล, พลังลบ = โทษ อกุศล) และถูกจัดเก็บไว้ในมิติจินตภาพ และเรียกพลังเหล่านี้ว่า ‘วิบากกรรม' คุณสมบัติ
พิเศษที่ธรรมชาติสร้างขึ้นและมอบให้แก่เผ่าพันธุ์มนุษย์ คือ ประสาทสัมผัสทางใจ หรือมโนสัมผัส เปรียบเหมือน
ร่าง อวตาร อีกร่างหนึ่งของวิญญาณ. มโนสัมผัส สามารถรับรู้ถึง การปรุงแต่งอารมณ์ต่างๆ เวทนา -ความรู้สึก
สัญญา-ความจำได้หมายรู้ สังขาร-การปรุงแต่ง จนเกิดความรู้ต่างๆ ซึ่งก็คือ วิญญาณในอีกรูปแบบหนึ่ง. คุณสมบตั ิ
ด้านมโนสัมผัสนี้ ไม่มีในพืช ไม่มีในแบคทีเรีย แต่มีบางส่วนในสัตว์. พฤติกรรมของสัตว์ ไม่สามารถรับรู้ และ
ตอบสนองคุณ ด้านคุณค่า ความดี. สัตว์ ตอบสนอง และแสดงพฤติกรรมต่างๆ ตามสัญชาติญาณเพื่อการอยู่รอด
การสืบเผ่าพันธุ์ และตามเงื่อนไขที่กำลังเผชิญหน้า เช่น หิว-หากิน ง่วง-เข้านอน มีภัย-หนีเอาตัวรอด. แต่มนุษย์
ตอบสนองตามความต้องการของร่างกาย เช่นเดียวกับสัตว์ เช่น หิว-กิน ง่วง-นอน หนาว-ห่มผ้า และแสดง
พฤตกิ รรมตามอำนาจกเิ ลสและความอยาก

กระบวนการ “จติ มโน วญิ ญาณ”
1. วิญญาณ มีการรับรู้ “อารมณ์” เพื่อสร้างวิญญาณฐิติ ให้แก่สัตว์ วิญญาณรับรู้ประสาทสัมผัสทั้งหก
(อนิ ทรีย์ 6), รับรใู้ นเพศสภาวะ, รบั รอู้ ารมณ์ร้สู กึ ตา่ งๆ เช่น รสของอารมณ์ รัก ตลก โศก โกรธ มุ่งม่นั กลัว รงั เกียจ
พิศวง และ สุขสงบ. สรุปแล้ว สิ่งที่เรียกว่า อินทรีย์บ้าง จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง และ อาการต่างๆ คือสิ่งท่ี
ปรากฎใน ปฏิจจสมุปบาท นั่นเอง. เมื่อวิญญาณเข้าไปตั้งอาศัย ในขันธ์5 ก่อนดับสลายไป ได้ทิ้ง “ข้อมูล” ไว้ใน
“เหตุการณ์.” เหตุการณ์ เปรียบเหมือนฉากหรือผืนนา (ซึ่งก็คือ ขันธ์5). ข้อมูลคือ ทุกๆ สิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้น.
เหตุการณ์ที่เกดิ ขึ้นจะถูกจับตามองโดย ‘ผู้สังเกต' กับ ‘ผู้ถูกสังเกต'. ในมุมมอง มโนทัศน์สัมพทั ธภาพ, ผู้สังเกตและ
ผู้ถกู สังเกต มองเหน็ เหตุการณเ์ ดยี วกนั แต่ได้ข้อสรปุ ต่างกัน

มโนทัศน์สัมพัทธภาพ คือมุมมองของบุคคลสองฝ่ายขึ้นไป มองเหตุการณ์เดียวกัน แต่ในเวลาและ
ตำแหน่งที่แตกต่างกัน ส่งผลให้บุคคลแต่ละฝ่าย จะได้รับข้อมูลแตกต่างกัน เช่น เหตุการณ์การอุบัติเกิดข อง
สัมภเวสี, มนุษย์โลก (ผู้สังเกต) มองเห็นการเกิดของ สัมภเวสี ในเวลาที่สั้นมากๆ ขณะที่ ตัวของสัมภเวสี (ผู้ถูก
สังเกต) กลับรู้สึกวา่ ตนมีอายุยนื ยาว

เหตุการณ์เดียวกัน คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ปรากฏขึ้นทั่วไปในจักรวาล. ถ้าเราเป็น
ผู้สังเกต, วิญญาณ ก็จะเป็น ผู้ถูกสังเกต. (แม้ว่าวิญญาณ ไม่ใช่เรา แต่มันก็อยู่อาศัยในตัวเรา). รูป เวทนา สัญญา
สังขาร กลายเป็นเหยื่อล่อ วิญญาณ ให้เข้าไปจับจองเป็นเจ้าของ (ผัสสะ 6 – การกระทบทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย
ใจ) แล้วผลิต ชุดข้อมูล 6 หมู่ ขึ้นมา ได้แก่ (๑) วิญญาณ 6 (จักขุวิญญาณ โสต วิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหา
วิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ) (๒) เวทนา 6 (จักขุสัมผัสสชาเวทนา โสตสัมผัสสชาเวทนา ฆานสัมผัสสชา
เวทนา ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา กายสัมผัสสชาเวทนา มโนสัมผัสสชาเวทนา) (๓) สัญญา 6 (รูปสัญญา สัททสัญญา
คันธสัญญา รสสัญญา โผฏฐัพพสัญญา ธัมมสัญญา) (๔) ตัณหา 6 (รูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา
โผฏฐัพพตัณหา ธัมมตัณหา). ชุดข้อมูลทั้ง 6 หมู่ ก็ปรากฏขึ้นในสนามเหตุการณ์ (ขันธ์5) ในห้วงเวลาสั้นๆ
(สั้นมากๆ) แล้ววิญญาณดวงนั้นก็ดับวับหายไป. จากนั้น สัตตาเข้าไปยึดเอาชุดข้อมูลทั้ง 6 หมู่ ไปปรุงแต่งต่อเป็น



ของเรา (เอตํ มม) เป็นเรา (เอโสหมสฺมิ) เป็นตัวตนของเรา (เอโส เม อตฺตาติ). ส่งผลให้เรา ซึ่งเป็นสัตว์ผู้นั้น มีภพ
มีชาติ ชรา มรณะ วนเวียนอยู่ในวัฏจักร-อนันต์ อันยาวไกล. ดังนั้น ในมุมมองสัมพัทธ, เรา (ผู้สังเกต) จะมองเห็น
วิญญาณ ขันธ5์ เปน็ สง่ิ น่าใครน่ ่าปรารถนา (เกดิ นันทิ ราคะ) ในขณะท่ี วญิ ญาณ มองเหน็ รปู เวทนา สญั ญา สงั ขาร
เป็นแค่วัตถุดบิ และโรงงาน.

“ภิกษุทั้งหลาย ! ถ้าบุคคลย่อมคิด (เจเตติ) ถึงสิ่งใด ย่อมดำริ (ปกปฺเปติ) ถึงสิ่งใดอยู่ และย่อมมีจิต
ฝังลงไป (อนุเสติ) ในสิ่งใดอยู่ สิ่งนั้นย่อมเป็นอารมณ์ เพื่อการตั้งอยู่แห่งวิญญาณ ...” (บาลี – นิทาน. สํ.
16/78/145.)

การคิด การดำริ การฝังจิตลงไปนั้น มาจากการเกิดขึ้นของผัสสะ. ตถาคต กล่าวว่า วิญญาณ ย่อมมี
ขึ้น เพราะอาศัยธรรม 2 อย่าง (คู่ของ สฬายตนะ) คือ จักษุ-รูป, โสตะ-เสียง, ฆานะ-กลิ่น, ชิวหา-รส, กาย-สัมผัส.
(บาลี - สฬา. สํ. 18/85/124.) โดยที่ จักขุสัมผัส เกดิ จาก จักษุ + รูป + จกั ขุวิญญาณ, โสตสัมผสั เกดิ จาก โสตะ
+ เสียง + โสตวิญญาณ, ฆานสัมผัส เกิดจาก ฆานะ + กลิ่น + ฆานวิญญาณ, ชิวหาสัมผัส เกิดจาก ชิวหา + รส +
ชิวหาวิญญาณ, กายสัมผัส เกิดจาก ผิวกาย + สัมผัส + กายวิญญาณ, มโนสัมผัส เกิดจาก มโน + ธรรมารมณ์ +
มโนวิญญาณ. อาการทางธรรมชาติของ ผัสสะทุกตัว คือ เมื่อผัสสะแล้วย่อม รู้สึก (เวเทติ - เวทนา) คิด (เจเตติ -
เจตนา) จำได้หมายรู้ (สญฺชานาติ - สญั ญา). อาการทางธรรมชาตขิ องวิญญาณ และธรรม 2 อย่างทีเ่ ปน็ ทอี่ าศัยของ
วิญญาณ ล้วนแต่ “เป็นสิ่งที่หวั่นไหวด้วย อาพาธ (เจ็บป่วย) ด้วย ไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเป็นไป
โดยประการอื่น.” จะเห็นว่า คุณสมบัติของจิต หรือ วิญญาณนั้น มีความเบาบางมาก (ลหุ) และหาขอบเขต
หรือตำแหน่งของมัน ไม่ได้เลย (ปริวัตตัง). เป็นที่น่าสังเกตว่า ตถาคต ได้นำหลักมโนทัศน์สัมพัทธ มาใช้อธิบาย
ปรากฎการณ์ ช่วงรอยต่อ หรือช่วงเปลี่ยนผ่าน ระหว่าง สัตตา กับ วิมุตติญาณทัสสนะ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติธรรม นำมา
เป็นเกณฑ์วัด การบรรลุธรรมด้วยตนเอง. เช่น การเปรียบเทียบว่า ผู้สังเกต มองเห็นกิ่งไม้ (ขันธ์-5) ถูกลากไปเผา
แตไ่ มร่ ู้สกึ ว่าตนเองถกู ลากไป เพราะ ผู้สังเกต ไมใ่ ชก่ ง่ิ ไมน้ ้ัน นั่นคือ ผสู้ ังเกตมองเห็น ความแตกตา่ งระหว่างสถานะ
สตั ตา (ท่ียังยดึ ขันธ์5) กบั สถานะวิมุตตญิ าณทัสสนะ (ซ่ึงปล่อยวางขนั ธ5์ ได้แล้ว).

กระบวนการ “จิต มโน วิญญาณ”

ทีม่ า http://www.igoodmedia.net/author/02_book/the-7-element/html/the7-element-chapter05.html



กระบวนการจิต มโน วญิ ญาณ เปรยี บวญิ ญาณเหมอื นแสง รปู เวทนา สญั ญา สังขารเหมือนฉาก
อวิชชา สังขาร วิญญาณ สามสิ่งนี้ เกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน. กระบวนการ จิต มโน วิญญาณ เกิดขึ้นได้
เพราะ “มีอวิชชา เป็นเครื่องกั้น มีตัณหา เป็นเคร่ืองผูก” แล้วลากพาให้ ระบบชีวิต แบบขันธ์5 เคลื่อนไหลไปตาม
วัฏจักรของปฏิจจสมุปบาท. การเกิดขึ้นของ จิต มโน วิญญาณ เป็นการอธิบายว่า จิตธาตุ ที่สัตว์ทั้งหลายยึดครอง
อยู่นั้น มีกลไกลทำงานอย่างไร. กลไกการทำงานของจิต มโน วิญญาณ เริ่มจากอวิชชา สังขาร โดยท่ีวิญญาณ
จะเป็นผู้แยกแยะ คุณสมบัติความเป็นวัตถุธาตุกับจิตธาตุให้แก่อวิชชา สังขาร. สังขาร แบ่งออกเป็น 3 ระดับการ
ปรุงแต่ง คือกายสังขาร (วัตถุธาตุแท้ๆ) – ร่างกาย รวมทั้งระบบประสาทที่ก่อให้เกิดกิริยาอาการต่างๆ, วจีสังขาร
(การปรุงแตร่ ว่ มระหวา่ งวัตถธุ าตกุ บั จิตธาตุ) – การพูดด้วยเสียง การแสดงสญั ลกั ษณ์ทางภาษาและการส่อื สาร ดว้ ย
เจตนา, มโนสงั ขาร หรือ จติ สังขาร (จติ ธาตุแทๆ้ ) – กระบวนการจิต มโน วิญญาณ เกดิ ขน้ึ ณ จุดนี.้ ความเป็นสัตว์
ที่สมบูรณ์ ก็เริ่ม ณ จุดนี้เช่นกัน. ตถาคต ทรงเปรียบ วิญญาณ หรือ มโน เหมือนแสงส่องไปกระทบฉาก (ธัมมัง),
ฉาก ก็คือ รูปที่ถูกกระทบเปรียบเหมือน ผืนนา (แผ่นดิน) หรือสถานที่เกิด (ภพ). ถ้าให้แสงและฉากมีโอกาสสัมผัส
กนั (ผัสสะ) ก็จะปรากฎทง้ั แสงและฉากข้นึ . พระองคก์ ล่าวสรปุ เร่อื งนีว้ ่า
“ถ้าไม่มีราคะ (ความกำหนัด) ไม่มีนันทิ (ความเพลิน) ไม่มีตัณหา (ความอยาก) ในกพฬีการาหาร
แลว้ ไซร้, วญิ ญาณก็เป็นสิง่ ที่ตงั้ อยู่ไม่ได้ เจรญิ งอกงามอยไู่ มไ่ ด้ ในกพฬกี าราหารน้นั . วญิ ญาณตัง้ อยู่ไม่ได้ เจริญงอก
งามอยู่ไม่ได้ในทีใ่ ด, การหยั่งลงแห่งนามรปู ย่อมไม่มี ในที่นั้น. การหยั่งลงแห่งนามรูป ไม่มีในทีใ่ ด, ความเจริญแหง่
สงั ขารทง้ั หลาย ย่อมไม่มี ในทน่ี นั้ . ความเจรญิ แห่งสังขารทั้งหลาย ไม่มใี นทใ่ี ด, การบังเกดิ ในภพใหม่ตอ่ ไปย่อมไม่มี
ในที่นั้น. การบังเกิดในภพใหม่ต่อไป ไม่มีในที่ใด, ชาติ ชรามรณะต่อไป ย่อมไม่มี ในที่นั้น . ชาติชรามรณะต่อไป
ไมม่ ีในท่ใี ด ... เราเรียก ‘ที่ นั้น วา่ เป็น ‘ทไ่ี มโ่ ศก ไม่มีธุลี และไมม่ คี วามคบั แคน้ ' ดงั นี.้ ”
หมายถึงว่า หากแสงกระทบฉากคราวใด นั่นคือ ทุกข์ สังขาร ได้เกิดขึ้นแล้วแก่สัตว์ มนุษย์ เทวดา.
หน้าที่สำคัญ ในการเกิดมาในภพชาติใดๆ คือ ต้องจับ แสง (วิญญาณ) แยกออกจาก ฉาก (รูป เวทนา สัญญา
สังขาร). ฉากที่เปรียบเหมือนผืนนา, พระองค์ แบ่งคุณภาพของผืนนา ออกเป็น 3 ระดับ คุณภาพของธาตุ คือธาตุ
อันทราม ธาตุอันปานกลางและธาตุอันประณีต. ธาตุอันทรามจะเป็นเหตุให้สัตว์ได้ภพ เทวดา มนุษย์ เปรตวิสัย
กำเนิดเดรัจฉานและสัตว์นรก, ธาตุอันปานกลางจะเป็นเหตุให้สัตว์ได้ภพเทวดา ชั้นรูปพรหม (พรหมกายิกา),
ธาตุอันประณีต (ละเอียด) จะเป็นเหตุให้สัตว์ได้ภพเทวดา ชั้นอรูปพรหม. ตถาคต เรียกวิญญาณในชื่อต่างๆ ว่า
จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ตรงท่ีช่วงที่เป็นลำแสง เรียก มโน, ช่วงที่แสงกระทบฉากแล้ว เรียก วิญญาณ และ
ตำแหน่งทรี่ ูต้ ่อเน่ือง (จกั ขวุ ิญญาณ โสตวญิ ญาณ ฆานวิญญาณ ชวิ หาวญิ ญาณ กายวญิ ญาณ มโนวญิ ญาณ) เรียกว่า
จิต. จิต มีลักษณะอาการ 3 แบบ คือ จิตผูกติดกับอารมณ์ (สัญโญคะ) จิตเปลี่ยนแปลงเร็วมาก (ลหุปริวัตตัง) และ
จิตดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ตลอดคืนตลอดวัน (รัตติยา จ ทิวะสัสสะ จะ อัญญะเทวะ อุปปัชชติ อัญญัง
นริ ุชฌติ)



ที่มา http://www.igoodmedia.net/author/02_book/the-7-element/html/the7-element-chapter05.html



ที่มา http://www.igoodmedia.net/author/02_book/the-7-element/html/the7-element-chapter05.html

๑๐
สังขารทั้งหลาย เปรียบเหมือนลิงเกาะกิ่งไม้. “... เปรียบเหมือนวานร เมื่อเที่ยว ไปอยู่ในป่าใหญ่
ยอ่ มจับ กง่ิ ไม้ : ปล่อยก่งิ นน้ั จบั กงิ่ อน่ื ปล่อยกิง่ ทจี่ บั เดมิ เหนยี่ วก่งิ อ่นื เชน่ น้ีเรือ่ ย ไป ข้อน้ฉี ันใด ... สง่ิ ทเี่ รียกกนั ว่า
‘จติ กด็ ี วา่ ‘มโน' กด็ ี วา่ ‘วิญญาณ กด็ ี ก็ฉันนัน้ เหมือนกัน. ดวงหน่งึ เกดิ ขนึ้ ดวงหน่งึ ดบั ไป ตลอดวนั ตลอดคนื .”
โดยที่ลิงเหมือน จิต มโน วิญญาณ, เมื่อมือของลิง (จิต) จับท่อนไม้ (เปรียบเหมือน ขันธ์-5) อยู่ และต้องการปล่อย
กิ่งไมน้ ้ี เพอ่ื ไปเกาะก่ิงไมอ้ ื่น, มอื ของลิงท่ปี ล่อยกงิ่ ไม้แล้ว ชว่ งนเี้ รีกวา่ มโน กำลงั ยื่นมือออกไป (เท่ากับ ลำแสงส่อง
ออกไป) และมือของลิงไปสมั ผสั ก่ิงไมก้ ิ่งต่อไป ช่วงนเี้ รยี ก วญิ ญาณ

ทมี่ า http://www.igoodmedia.net/author/02_book/the-7-element/html/the7-element-chapter05.html

๑๑

ท่ีมา http://www.igoodmedia.net/author/02_book/the-7-element/html/the7-element-chapter05.html

๑๒

ท่ีมา http://www.igoodmedia.net/author/02_book/the-7-element/html/the7-element-chapter05.html

๑๓
การเปรียบวิญญาณเหมือนแสงของตถาคต เป็นการอุปมาสิ่งที่มนุษย์เข้าใจดีอยู่แล้ว เกี่ยวกับคุณสมบัติ
ของแสง. นับเป็นเรอื่ งบงั เอญิ หรือไม่ที่คุณสมบัตขิ องวญิ ญาณกม็ คี ุณสมบัติเช่นเดียวกบั แสง คอื หากจะมองวญิ ญาณ
เปน็ “ดวง” (ก็แค่สมมตุ ใิ ห้เหน็ กายภาพของมันเทา่ นั้น). ซึ่งท่ีจรงิ มันอาจจะไมใ่ ชด่ วง หรอื อาจเปน็ จดุ ก็ได้ และอาจ
มขี นาดเลก็ ยง่ิ กว่า “อนุภาคควารก์ ” ด้วยซำ้ ไป

แสงกับฉาก

ท่ีมา http://www.igoodmedia.net/author/02_book/the-7-element/html/the7-element-chapter05.html

๑๔
จติ มโน วญิ ญาณ

ท่มี า http://www.igoodmedia.net/author/02_book/the-7-element/html/the7-element-chapter05.html

๑๕

วญิ ญาณยอ่ มกอ่ ภพให้แกส่ ตั วท์ ้ังหลาย
วญิ ญาณสรา้ งภพ ตถาคตกล่าวถึงภพ ไว้ 3 เหตุการณ์ คอื
(ก) เหตุเกิดของภพ“ถ้ากรรม มีกามธาตุเป็นวิบาก ... กามภพ จะพึงปรากฎ ... ถ้ากรรม มีรูปธาตุเปน็
วิบาก ... รูปภพ จะพึงปรากฎ ... ถ้ากรรม มีอรูปธาตุเป็นวบิ าก ... อรูปภพ จะพึงปรากฎ ... ด้วยเหตุน้ีแหละ กรรม
จึงเป็นเนื้อนา (ผืนดิน), วิญญาณเป็นเมล็ดพืช, ตัณหาเป็นยาง (สำหรับหล่อเลี้ยงเชื้องอก) ของพืช. วิญญาณของ
สัตว์ทั้งหลาย มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูกพัน ตั้งอยู่แล้วด้วย ธาตุชั้นทราม (กามธาตุ), ... ธาตุชั้น
กลาง (รปู ธาต)ุ ... ธาตชุ น้ั ประณตี (อรูปธาตุ) ... การบังเกดิ ขน้ึ ในภพใหมต่ อ่ ไป ย่อมมไี ด้ ดว้ ยอาการอยา่ งน.ี้ ”
(ข) คือเครื่องนำไปสู่ภพ “ ... ฉันทะ (ความพอใจ) ก็ดี, ราคะ (ความกําหนัด) ก็ดี, นันทิ (ความเพลิน)
ก็ดี, ตัณหา (ความทะยานอยาก) ก็ดี, อุปายะ (กิเลสเป็นเหตุเข้าไปสู่ภพ) และ อุปาทาน (ความถือมั่นด้วยอำนาจ
กิเลส) อันเป็นเครื่องตั้งทับ เครื่องเข้าไปอาศัย และเครื่องนอนเนื่องแห่งจิตก็ดี ใดๆ ในรูป ในเวทนา ในสัญญา
ในสงั ขารทง้ั หลาย และในวญิ ญาณ. กเิ ลสเหลา่ น้ี เรียกวา่ ‘เคร่อื งนำไปสู่ภพ'.” (บาลี - ขนฺธ. สํ. 17/233/368)
(ค) การเกิดขึ้นแห่งภพใหม่ (ภพ ที่ไม่ใช่สถานที่อันเป็นเขตแดน หรือผืนดิน) “ ... ถ้าบุคคล ย่อมคิด
(เจเตติ) ถึงสิ่งใดอยู่, ย่อมดำริ (ปกปฺเปติ) ถึงสิ่งใดอยู่ และย่อมมีจิตฝังลงไป (อนุเสติ) ในสิ่งใดอยู่ สิ่งนั้นย่อมเป็น
อารมณ์ เพื่อการตั้งอยู่แห่งวิญญาณ. เมื่ออารมณ์ มีอยู่ ความตั้งขึ้นเฉพาะแห่งวิญญาณ ย่อมมี , เมื่อวิญญาณนั้น
ตั้งขึ้นเฉพาะ เจริญงอกงามแล้ว ความเกิดขึ้นแห่งภพใหม่ต่อไป ย่อมมี, เมื่อความเกิดขึ้นแห่งภพใหม่ต่อไป มีอยู่
ชาติชรามรณะโสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน. ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์
ท้งั สนิ้ นี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างน้ี. ...” (บาลี - นทิ าน. ส.ํ 16/78/145.)
วิญญาณจะใช้สิ่งเหล่านี้ เป็นอารมณ์ ในการสร้างภพ คือ ตัณหา ฉันทะ ราคะ นันทิ อุปายะ อุปาทาน
การคิด การดำริ และ การฝังจิตลง, ธรรมเหล่านี้ สรุปลงเป็น “กรรม” ทั้งสิ้น . ดังนั้น กรรมต้องมีจิต (วิญญาณ)
ไปรับรู้, การรับรู้นี้เรียกว่า เจตนา. กล่าวได้ว่า เจตนา เป็น กรรม , สิ่งหรือการกระทำใด ที่จะทำให้กรรมนั้นมีผล
ดี-ชั่ว บาป-บุญ กุศล-อกุศล จะต้องมีเจตนา มาก่อนหน้าที่จะลงมือกระทำ. วิญญาณ ไม่อาจหยั่งรู้ นิพพาน ได้เลย
เพราะวิญญาณเกิดปรากฎเส่ือมปรากฎไปตามกฎธรรมชาติ แต่นิพพานมีกฎธรรมชาติท่เี ป็นของตนเอง
ที่ตั้งอยู่ของวิญญาณ (วิญญาณฐิติ) ตถาคต ได้อุปมาเปรียบเทียบดิน น้ำและส่วนของพืชสำหรับ
ขยายพันธุ์ (พืชสด) ซงึ่ เปน็ เหตปุ จั จัย ท่ที ำให้วญิ ญาณ (พืช) กอ่ เกดิ และพัฒนาไปเปน็ จติ ในรปู แบบต่างๆ. วญิ ญาณ
ฐิติ หมายถึง สิ่งหรือสถานที่ ที่เป็นปัจจัย ให้วิญญาณเกิดอาศัยได้ มี 4 อย่าง คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร (ขันธ์
4) เปรียบเหมือน ดิน. นันทิ ราคะ (ความกำหนัด ด้วยอำนาจแห่งความเพลิน) เปรียบเหมือนน้ำ และวิญญาณ
เปรยี บเหมอื นสว่ นของพชื ที่ได้มาจากเหง้าหรอื ราก (มูลพีช) ตน้ (ขนฺธพชี ) ตาหรือผล (ผลพีช) ยอด (อคฺคพีช) เมล็ด
(พีชพีช). พระองค์กล่าวว่า “ ... วิญญาณ ซึ่งเข้าถือเอา รูป ... เวทนา ... สัญญา ... สังขาร ... ตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้ ,
เป็นวิญญาณที่มี รูป ... เวทนา ... สัญญา ... สังขาร ... เป็นอารมณ์, มี รูป ... เวทนา ... สัญญา ... สังขาร ...
เป็นที่ตั้งอาศัย, มีนันทิเป็นทีเ่ ข้าไปส้องเสพก็ถึงความเจรญิ งอกงาม ไพบูลย์ได.้ ” (บาลี - ขนฺธ. สํ. 17/67/106.)
การเจริญงอกงามของวิญญาณ ย่อมต้องอาศัยรูป เวทนา สัญญา สังขาร เป็นที่ตั้งอยู่ โดยละเว้นไม่ได้เลย เหตุน้ี
จงึ กลา่ วได้ว่า “การมา (การปรากฎ) การไป (การดับ) การจตุ ิ (การตาย) การอบุ ตั ิ (การเกดิ ) ความเจริญ ความงอก
งาม และความไพบูลย์ของวิญญาณ โดยเว้นจากรูป เว้นจากเวทนา เว้นจากสัญญา และเว้นจากสังขาร ดังนี้ นั้น น่ี
ไม่ใช่ฐานะที่จักมีได้เลย.” เหตุที่กล่าวว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร เป็นธัมมะธาตุที่ต้องทำลาย, เกิดคำถามต่อมา
ว่า ส่วนที่ต้องทำลายนั้น คือส่วนใด? ก่อนอื่น เราต้องแยกคุณสมบัติ รูปนามของขันธ์-5 ออกให้ชัดเจน. เมื่อแยก

๑๖

คุณสมบัติได้ชัดเจนแล้ว จะมองเห็นความเป็น รูปธาตุ เวทนาธาตุ สัญญาธาตุ และ สังขารธาตุ ซึ่งเป็นคุณสมบัติ
รูปธาตุของจิต, เท่ากับเป็นการดักจับจิตได้ถูกตัวตนยิ่งขึ้น เพื่อเลือกว่าส่วนที่เป็น นามธาตุ เท่านั้น คือส่วนที่ต้อง
ทำลาย

การอุปมาเหตุปจั จัยท่เี ปน็ ทต่ี ั้งอาศัยของวิญญาณฐติ ิ

วิญญาณ นามรปู (รูป เวทนา สญั ญา สังขาร) ปจั จยั ทีท่ ําใหเ้ กดิ วิญญาณ-นามรูป
เมล็ดพืช
ก่ิงไม้ ผืนนา (ภพ) น้ำ ความชืน้ (นันทิ ราคะ)

แสง มัดของกิ่งไม้ วางต้ังพงิ กนั
ดา้ นหนง่ึ ของเหรียญ
ฉาก เช่น ฝาเรอื น พ้นื ดิน ผวิ นำ การกระทบ (ผสั สะ)

อีกดา้ นหนง่ึ ของเหรยี ญ เหรยี ญเดยี วกนั

ข้อสังเกตประการหนึ่ง, ตถาคต ได้อุปมาเปรียบเทียบวิญญาณไว้ในชุดของการเกิดภพบ้าง ในชุดของ
ขันธ์5 เช่น กรรม เป็นเนื้อนา, วิญญาณ เป็นเมล็ดพืช, ตัณหา เป็นยางสำหรับ หล่อเลี้ยงเชื้อชีวิตของพืช ให้งอก,
รูป เวทนา สัญญา สังขาร เปรียบเหมือนดิน, นันทิราคะ เปรียบเหมือนน้ำ, วิญญาณ เปรียบเหมือน ส่วนของพืช
ที่งอกได้. จะเห็นได้ว่า วิญญาณ มีพัฒนาการได้หลายช่วงเวลา หลายคุณสมบัติ หลายสถานะ (มโน วิญญาณ จิต).
ทำให้ยากแก่การมองเห็น ตัวตนของมันได้ชัด. เหมือนเซลมะเร็ง ที่กลายพันธุ์ตลอดเวลา จนแพทย์ไม่สามารถ
คิดค้นหายาไปฆ่ามันได้ทันกาล. วิญญาณของสัตว์ทั้งหลาย มิได้อยู่โดดเดี่ยวอิสระ แต่มีอวิชาและตัณหาผูกติดไว้
ด้วย และมี “เครื่องนำไปสู่ภพ” คือ ฉันทะ (ความพอใจ) ราคะ (ความกําหนัด) นันทิ (ความเพลิน) ตัณหา (ความ
ทะยานอยาก) อุปายะ (กิเลสเป็นเหตุเข้าไปสู่ภพ) และ อุปาทาน (ความถือมั่นด้วยอำนาจกิเลส) เหมือนเป็น GPS
นำทางใหไ้ ด้ภพใหม.่ เคร่อื งนำไปส่ภู พ เหลา่ น้ี สง่ ผลให้ เกิดธาตุ 3 ชนดิ (เลว ปานกลาง ละเอยี ด) ที่จะเปน็ ตัวสร้าง
ภพต่อไป. ธาตุ 3 ชนิดนี้ คือ กามธาตุ (ธาตุชั้นเลว) เป็นตัวสร้าง กามภพ (ภพมนุษย์ และเทวดาชั้น กามภพ
ถ้าเลวมากๆ อาจได้ภพนรก เปรตวิสัย ไปด้วย), รูปธาตุ (ธาตุชั้นกลาง) เป็นตัวสร้าง รูปภพ (ภพเทวดาชั้นพรหม-
กายิกา), อรูปธาตุ (ธาตชุ ้ันประณตี หรือ ละเอยี ด) เป็นตวั สรา้ งอรูปภพ (ภพของอรูปพรหมผู้มอี ายยุ าว).

สตั วเ์ ข้าไปยดึ วิญญาณ จงึ ได้ชื่อว่า “สัตว”์ และสัตว์ย่อมต้องอาศยั ภพ ในการเกดิ . แทจ้ รงิ แลว้ วิญญาณ
เป็นธัมมะธาตุอิสระ เช่นเดียวกับ อวิชชา สังขาร และ เป็นคนละส่วนกับสัตว์ ตัวตน บุคคล. จิตไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของ
เรา และไม่ใช่เป็นเรา เพราะถ้าจิตเป็นเรา เป็นของเรา และเป็นเรา, เราสามารถควบคุมให้มันทำอะไร หรือ
เป็นอะไรตามท่ีเราต้องการได้. อาการด้ือแพง่ ของจิต เชน่ ฟุ้งซา่ น โกรธ รา่ นอยาก เปน็ ผลพวงมาจาก กระบวนการ
ทำงานของ จิต มโน วิญญาณ นั่นเอง. “ฉันทะ (ความพอใจ) ราคะ (ความกำหนัด) นันทิ (ความเพลิน) ตัณหา
(ความอยาก) ใดๆ มีอยู่ใน รูป ... เวทนา ... สัญญา ... สังขาร ... วิญญาณ, เพราะการติดแล้ว ข้องแล้วใน รูป ...
เวทนา ... สัญญา ... สังขาร ... วิญญาณ นั้น เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า ‘สัตว์' (ผู้ข้องติดในขันธ์ทั้ง 5) ดังนี้ .” (บาลี
- ขนฺธ. สํ. 17/232/367.) สัตว์ทุกผู้ย่อมต้องอาศัยภพในการเกิด หรือกล่าวว่า ภพ ก็คือภาวะของชีวิต โลกอัน
เป็นที่อยู่ ภูมิ ระดับชีวิต จิตใจ ที่ดำรงอยู่ แบ่งออกเป็น 4 ตามระดับคุณภาพต่ำไปสูง คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ
และโลกกุตระ. สัตว์จะได้ไปสู่ภพใด ขึ้นอยู่กับการสะสมพฤติการณ์ ซึ่งเรียกว่า “กรรม” ว่าจะมีพลังลบ (กรรมดำ)
หรือ พลังบวก (กรรมขาว). พลังลบ จะพาไปสู่ ภพนรก หรือ อบายภูมิ (กามภพชั้นเลว) พลังบวก นำไปสู่ภพ

๑๗

มนุษย์ขึ้นไป (กามภพ ชั้นดี) พลังบวกที่สะอาด ก็จะได้ภพที่สูงขึ้นไปจนถึง รู ปภพ อรูปภพ และ โลกุตตระ.
ตถาคต กล่าวไว้ว่า เหตุที่ทำให้ ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย เมื่อหลังการตาย ย่อมไปสู่สถานะหรือภพภูมิ อบาย ทุคติ
วินิบาต นรก คือ ไม่ได้สดับ ไม่เลื่อมใส ในพระพุทธเจ้า ... ในพระธรรม ... ในพระสงฆ์ ... ทุศีล ... มิจฉาทิฏฐิ ...
มิจฉาสังกัปปะ ... มิจฉาวาจา ... มิจฉากัมมันตะ ... มิจฉาอาชีวะ ... มิจฉาวายามะ ... มิจฉาสติ ... มิจฉาสมาธิ ...
มิจฉาญานะ ... มิจฉาวิมุตติ. ครั้งนั้น อนาถบิณฑิกคฤหบดี ป่วย พระสารีบุตร อัครสาวกของตถาคต ไปเยี่ยมและ
กล่าวหัวข้อธรรม โสตาปัตติยังคะ 4 จำแนกด้วยอาการ 10 หากมนุษย์ผู้ใด ประพฤติปฏิบัติ ในสิ่งตรงกันข้าม
ข้างต้น, ชีวิตหลังการตาย ก็จะไปสู่สถานะหรือภพภูมิ มนุษย์โลก สุคติโลกสวรรค์ . มีข้อน่าสังเกตว่า สัตว์ผู้ไม่เคย
ได้ใกล้ชิดธรรม เช่น สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ปุถุชน ย่อมไม่รู้ ไม่สนใจ ว่าชีวิตหลังการตายจะเป็นอย่างไร , เป็นเหตุ
ให้เกิดการสะสม “ พลังลบ ” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้, จึงเป็นธรรมดาอยู่เอง ที่สัตว์เหล่าน้ัน ย่อมต้องได้ผลแห่งพลัง
ลบเหล่านั้น. การตัดภพ ดับชาติ เป็นการทำลายกองทุกข์แบบถอนราก, ตถาคต เป็นผู้ที่ทำให้สตั ว์เหล่านัน้ รู้ชัดใน
‘ที่ตั้งอยู่ของวิญญาณ' (วิญญาณฐิติ) คือ “ ... รู้ชัดการเกิด (สมุทัย) แห่งสิ่งนั้น รู้ชัดความดับ (อัตถังคมะ) แห่ง
สิ่งนั้น รู้ชัดรสอร่อย (อัสสาทะ) แห่งสิ่งนั้น รู้ชัดโทษต่ำทราม (อาทีนวะ) แห่งสิ่งนั้น และรู้ชัดอุบายเป็นเครื่องออก
ไปพ้น (นิสสรณะ) แห่งสิ่งนั้น ...” เพื่อกำจัดกลุ่มก้อนของวิญญาณให้กระจัดกระจายไป อันเป็นเป้าหมายสูงสุด
ของสตั ว์ทุกผู้ คือนพิ พาน

กระบวนการปรงุ แต่งสงั ขารทั้งหลาย
กระบวนการปรุงแต่งสังขารทั้งหลาย เป็นหลักทฤษฎีมูลฐาน ของการอุบัตเิ กิดของทุกสรรพสิง่ ในเอกภพ.
เริ่มต้นที่ อวิชชา สังขาร และวิญญาณ ในสายการเกิดของปฏิจจสมุปบาท. จากนั้น วิญญาณก็จะพัฒนาคุณสมบัติ
ต่อไป จนเป็นที่พอใจของ สัตว์ที่จะยึดเอาไว้ต่อภพ ต่อชาติของตนเองต่อไป. คำว่า สังขารทั้งหลาย หมายถึง
ส่วนที่เป็น กริยา อาการ นามรูปที่ถูกปรุงแต่งขึ้น เป็นวัตถุ ชีวิต สัตว์ มนุษย์ เทวดา ตลอดจน ระบบชีวิตที่มี
จิตเป็นองคป์ ระกอบ. สว่ นคำวา่ สงั ขาร หมายถงึ กิริยาอาการ การปรุงแต่งเทา่ นั้น ไมว่ า่ ส่งิ ทีถ่ ูกปรงุ แตง่ นั้น จะเปน็
วตั ถุธาตหุ รือเป็นจติ ธาตกุ ็ตาม. กล่าวอีกนยั หนง่ึ วา่ สังขาร เปน็ กิรยิ าการทีจ่ ะเกดิ ข้ึนในอนาคตของทกุ ธัมมะธาตุ

ท่มี า http://www.igoodmedia.net/author/02_book/the-7-element/html/the7-element-chapter05.html

๑๘
อวชิ ชา สังขาร วิญญาณ
(1) อิทัปปัจจยตา – ปฏิจจสมุปบาท กฎมูลฐานของธรรมชาติ ที่ทำให้อวิชชา สังขาร วิญญาณ เป็น
อิสระ. พระโสดาบัน คือ ผู้เห็นชัดรายละเอียดในสิ่งต่อไปนี้. “ เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย,
เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ, เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป, เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย
จึงมีสฬายตนะ, เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ, เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา, เพราะมีเวทนาเปน็
ปัจจัย จึงมีตัณหา, เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน, เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ, เพราะมีภพเป็น
ปจั จยั จงึ มีชาต,ิ เพราะมีชาติเปน็ ปจั จัย ชรามรณะ โสกะปรเิ ทวะทกุ ขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จงึ เกดิ ขน้ึ ครบถ้วน
: ความเกิดข้ึนพร้อมแหง่ กองทกุ ขท์ ั้งสนิ้ น้ี ยอ่ มมีดว้ ยอาการอย่างนี้ .” (บาลี - นิทาน. สํ. 16/50/88.)

ทมี่ า http://www.igoodmedia.net/author/02_book/the-7-element/html/the7-element-chapter05.html

๑๙

ท่ีมา http://www.igoodmedia.net/author/02_book/the-7-element/html/the7-element-chapter05.html

๒๐

ปฏิจจสมุปบาทเป็นกระบวนการปรงุ แตง่ สงั ขารทัง้ หลาย
ชรามรณะ – แก่ ตาย อันมีสาเหตุมาจาก การมีอยู่ของวัตถุธาตุ และการเกิดของ ‘สัตว์ทั้งหลาย'
(สัตตา) เป็นภาวะ ความทุกข์ (ทนสภาพเดิมไม่ได้ของวัตถุ สัตว์ทั้งหลาย และรวมถึงความทุกข์ทางใจ) ที่เห็นได้
ไมย่ าก.
ชรา หมายถึง ความแก่ เก่า คร่ำคร่า (ทั้งวัตถุธาตุ และสัตว์ท้ังหลาย) เช่น ถ้าเป็นมนุษย์ ก็จะมีฟนั หลดุ
ผมหงอก หนังเหี่ยวยน่ เปน็ ตน้ .
มรณะ หรือ ความตาย หมายถึง การแตกสลาย บุบสลาย การหายไป (ถ้าเป็นวัตถุธาตุ) การวายชีพ
การตาย การทำกาละ การทอดทิ้งร่าง (ถ้าเป็นสัตว์ทั้งหลาย) สรุปคือ การแตกสลายของขันธ์ -5 นั่นเอง.
ผลสืบเน่ืองในลักษณะเดียวกัน คือ ความโศกเศร้า ความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความ
คับแคน้ ใจท้งั หลาย.
ชาติ – การเกิดขึ้นของ ขันธ์-5 และอายตนะ (ส่วนของร่างกายรับสัมผัส สมอง และระบบประสาทการ
รบั รู้ และรวมถงึ จติ สงั ขาร กายสังขาร) ของสัตว์ทง้ั หลาย. ชาติ หมายถึง การเกิด การกำเนดิ ด้วยวิธใี ดวิธหี นง่ึ ใน 4
แบบ คือ เกิดในไข่ (อัณฑชะ ) เกิดในครรภ์ (ชลาพุชะ) เกิดในเถ้าไคล (สังเสทชะ) และการเกิดแบบผุดเกิด โดย
ไม่ต้องมีการสมสู่หรือมีพ่อแม่ โอปปาติกะ). การเกิดขึ้นของสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตไม่ว่าประเภทใด ย่อมต้องอาศัยร่าง
(body) ซ่งึ เป็นสว่ นประกอบของวตั ถุธาตุ (ยกเว้น โอปปาติกะสัตว์). ดังนน้ั คำวา่ ชาติ จึงหมายรวมถึง การประกอบ
เกิดใหม่ของธาตตุ า่ งๆ ให้เปน็ รา่ ง เพือ่ ให้เหมาะสมกบั การดำรงชวี ติ อาศยั ต่อไป.
ภพ – สถานที่ซึ่งวิญญาณ ใช้ตั้งอาศัยเพื่อเกิดขึ้น (รูป เวทนา สัญญา สังขาร) และรวมถึง สถานที่เกิด
ของสตั ว์ (สัตว์นรก สัตวเ์ ดรัจฉาน เปรตวิสัย มนษุ ย์ เทวดา). ภพมคี ุณภาพ 3 ระดบั คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ.
กามภพ คอื สถานที่ตั้งอาศัยของวัตถธุ าตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม เพ่อื ใหส้ ตั วไ์ ปเกดิ ,
รูปภพ คือ สถานที่ตั้งอาศัยของจิตธาตุ เช่น เวทนาธาตุ สัญญาธาตุ สังขารธาตุ (รูปที่ละเอียด รูปท่ี
เป็นจติ ) เพอื่ ให้สตั ว์ เชน่ เทวดา สัตว์ในอบายภูมิ ไปเกิด,
อรูปภพ คือ สถานที่เกิดของผู้ที่ไม่ต้องอาศัยรูปทั้งที่เป็นรูปกายและรูปที่เป็นจิต. มนุษย์ เทวดา หรือ
สัตว์นรก สัตวเ์ ดรจั ฉาน เปรตวสิ ยั จะเลอื กภพให้เหมาะสมกับการดำรงชวี ิตของตน.
ดังนั้น ภพจึงมี 2 สถานะ คือ สถานะทางจิตธาตุ เริ่มก่อเกิดตั้งแต่กระบวนการ จิต มโน วิญญาณ
ทำงานและสถานะทางวัตถุธาตุ เริ่มเมือ่ ชาติกำเนิดของสัตว์เกิดขึน้ . ในช่วงของ ภพ ชาติ ชรามรณะ, วิญญาณไม่ได้
หายไปที่ใด และไม่ได้หมดไป วิญญาณดวงหน่ึงดับ อีกดวงก็เกิดต่อเนื่องไปเรื่อยๆ. ดุจเดียวกับแสง ตราบใดที่
ดาวฤกษ์มีอยู่ แหล่งกำเนิดแสงในเอกภพ ก็ยังคงให้กำเนิดแสงต่อไป ไม่สิ้นสุด. มนุษย์และสัตว์ รู้ว่าตนเอง เกิด แก่
ตาย สุข ทกุ ข์ ก็เพราะมีวญิ ญาณเป็นผู้บอก, วิญญาณกลบั ไมร่ ู้สึกวา่ ตวั มันเอง เกดิ แก่ ตาย หรอื สขุ ทกุ ข.์

๒๑

ท่ีมา http://www.igoodmedia.net/author/02_book/the-7-element/html/the7-element-chapter05.html

๒๒

อุปาทาน – คือการยึดมั่น 4 อย่าง คือ กามุปาทาน ยึดมั่นในกาม หรือ ความอร่อย ความเพลิน. ทิฏฐุ
ปาทาน ยึดมัน่ ในความคดิ เห็นของตนวา่ ถูก ซง่ึ อาจจะถกู หรือผิดก็ได้. สีลพั พัตตุปาทาน ยดึ ม่ันในข้อปฏบิ ัติทางกาย
และวาจาของตน (ศีลพรต ทัง้ ในส่วนทถี่ ูกและผดิ ). อัตตวาทุปาทาน ยดึ ม่ันในความเป็นตัวตน.

ตัณหา – ตัณหา มี 3 แบบ คอื กามตัณหา ภวตัณหา วภิ วตัณหา. กามตณั หา ความอยากในความอร่อย
ความเพลิน ในรูปวัตถุ (รูปตัณหา) เสียง (สัททตัณหา) กลิ่น (คันธตัณหา) รส เช่น อาหาร (รสตัณหา) การสัมผัส
ทางกาย (โผฏฐัพพตัณหา) และ อารมณ์ต่างๆ (ธัมมตัณหา). ภวตัณหา ความอยากมีอยากเป็น. วิภวตัณหา ความ
ไม่อยากมีไม่อยากเป็น. ถ้าเปรียบ ตัณหา เหมือนแรงในกลศาสตร์, ตัณหา ก็เหมือนแรงโน้มถ่วง ที่ดึงดูดมวลเข้าสู่
ศูนยก์ ลาง.

เวทนา – ความรู้สึกที่เกิดกับส่วนต่างๆ ของ อินทรีย์ทั้ง 6 มี 3 อารมณ์ คือ อารมณ์สุข อารมณ์ทุกข์
และอารมณ์ไม่สุขไม่ทุกข์. เวทนาที่เกิดกับ อินทรีย์ทั้ง 6 คือ เวทนาที่เกิดจาก การสัมผัสทางตา (จักขุสัมผัสสชา
เวทนา) การสัมผัสทางหู (โสตสัมผัสสชาเวทนา) การสัมผัสทางกลิ่น (ฆานสัมผัสสชาเวทนา) การสัมผัสทางล้ิน
(ชวิ หาสัมผสั สชาเวทนา) การสัมผสั ทางกาย (กายสัมผัสสชาเวทนา) และการสมั ผัสทางใจ (มโนสมั ผัสสชาเวทนา).

ผัสสะ – จุดเชื่อมต่อระหว่าง สิ่งที่เป็นรูปวัตถุ (อายตนะภายนอก) กับอวัยวะการรับรู้ของจิต (อายตนะ
ภายใน) ที่เป็นคู่กัน (ถ้าผิดคู่จะไม่เกิดผัสสะ) ประกอบด้วย คู่ของ รูป – ตา (จักขุสัมผัส) คู่ของ เสียง – หู (โสต
สัมผัส) คู่ของ กลิ่น – จมูก (ฆานสัมผัส) คู่ของ รส – ลิ้น (ชิวหาสัมผัส) คู่ของ สัมผัส – ผิวกาย (กายสัมผัส) และ
คู่ของ อารมณ์ – ใจ (มโนสมั ผัส). ถ้าจะกลา่ วว่า ผัสสะ ก็คอื ชนวน หรือสะพานเชอ่ื ม ใหเ้ กดิ ทุกขป์ ญั หาทงั้ ปวง กค็ ง
ไมผ่ ดิ . แตก่ ารไมส่ ร้างเหตุใหเ้ กดิ ผสั สะ ก็ไมท่ ำใหก้ ารเกดิ ของปฏิจจสมุปบาท หยดุ ลงได.้ เพราะถ้าผสั สะถกู ตดั ขาด
แต่ยงั ปลอ่ ยใหป้ ัจจยั อ่ืนๆ เชน่ วิญญาณ เวทนา สฬายตนะ นามรูป ยงั มบี ทบาทอยู่ ผัสสะก็พรอ้ มจะถูกจุดข้ึนมาได้
ตลอดเวลา.

สฬายตนะ – ขอบเขตหรือแดน ที่ทำให้เกิดผัสสะ (อธิบายแล้วใน ผัสสะ) คือ จักข๎วายตนะ โสตายตนะ
ฆานายตนะ ชวิ หายตนะ กายายตนะ มนายตนะ.

นามรูป – รูปร่างที่แท้จริง (body) ของขันธ์-5 แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือส่วนที่เป็น ‘นาม' (นามวัตถุ)
ได้แก่ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ และส่วนที่เป็น ‘รูป' (รูปวัตถุ) ได้แก่ มหาภูตรูป ดิน น้ำ ไฟ ลม)
รวมทั้ง สงิ่ ท่ีอาศัยอยใู่ นมหาภตู ิรปู นั้นด้วย ซ่ึงกค็ อื สตั ว์ และวญิ ญาณ.

กลา่ วอีกนยั หนึง่ นามรปู คือการแสดงอตั ลกั ษณข์ องรา่ งกายและจติ ใจของสตั ว์ สงิ่ มชี ีวติ ทุกชนิด นั่นเอง

๒๓

ที่มา http://www.igoodmedia.net/author/02_book/the-7-element/html/the7-element-chapter05.html

วิญญาณ – ธาตุรู้ หรือผู้รู้แจ้ง มีชื่อเรียกอื่นอีกว่า มโน จิต. กลุ่มของวิญญาณ มี 6 ชนิด คือผู้รู้ทางตา
(จักขุวิญญาณ) ผู้รู้ทางหู (โสตวิญญาณ) ผู้รู้ทางจมูก (ฆานวิญญาณ) ผู้รู้ทางลิ้น (ชิวหาวิญญาณ) ผู้รู้ทางกาย ( กาย
วิญญาณ) ผูร้ ูท้ างใจ (มโนวิญญาณ)

๒๔

ทมี่ า http://www.igoodmedia.net/author/02_book/the-7-element/html/the7-element-chapter05.html

แม้ว่าวิญญาณจะเป็นธาตุรู้ แต่ตัวมันเอง ‘ไม่รู้เรื่องอะไร'. มันแค่ทำหน้าที่ ชี้เบาะแส หรือการส่องไฟ
แลว้ ดับไป. จุดทว่ี ญิ ญาณเขา้ ไปส่อง เรยี กวา่ ‘ทต่ี งั้ อาศยั '. ทีต่ ัง้ อาศัยของวญิ ญาณ มี 4 อยา่ ง คอื รูป เวทนา สัญญา
สงั ขาร. การเข้าไปตง้ั อาศัยของวิญญญาณ จะทำได้แค่คราวละ 1 อย่างเท่านนั้ . วิญญาณ และ ท่ีตั้งอาศัย มีจำนวน
มากมายเป็นอนันต์ ทำให้พฤติการณ์ของวิญญาณ ที่กระทำต่อที่ตั้งอาศัย เกิดขึ้นแบบต่อเนื่อง ดุจเดียวกับแสงไฟ
จากแหลง่ กำเนิดแสง.

สังขารทั้งหลาย – การปรุงแตง่ ทางกาย (กายสงั ขาร) วาจา (วจีสังขาร) ใจ (จิตตสงั ขาร). สังขาร เป็นการ
ปรุงแต่งที่ครอบคลุมไปถึงปัจจัยอื่นๆ เหมือนเป็นพื้นหลัง เหมือนเป็นโครงสร้าง การกำเนิดชีวิตของสัตว์ทุกผู้.
ขันธ์5 ไม่มีสังขาร สิ่งต่างๆ (สัตว์ ไม่รวมพืช) ก็ไม่อาจประกอบเป็นโครงสร้างของการมีชีวิตได้เลย. ดังนั้น สังขาร
ท้งั หลาย จงึ รวมขันธ5์ และอนิ ทรยี 6์ ไว้ในนี้ด้วย.

อวชิ ชา – ความไม่รู้ คือไมร่ ู้ทง้ั ในวัตถุธาตุ จติ ธาตุ เพราะสว่ นหนึ่งตัวมันเอง เป็นวัตถุธาต.ุ
ในส่วนของวัตถธุ าตุ ดิน นำ้ ไฟ ลม ตวั มันย่อม ‘ไมร่ เู้ รอ่ื งอะไร' (เพราะเหตทุ ีม่ นั เป็นวตั ถุ สสาร พลังงาน).
ในส่วนของจิตธาตุ คือ ไม่รู้ในอริยสัจ4 อวิชชาในส่วนของวัตถุธาตุ มีอยู่เพราะ คุณสมบัติทางฟิสิกส์
(สสาร พลังงาน ความโน้มถ่วง), อวิชชาในส่วนของจิตธาตุ มีอยู่เพราะมีนิวรณ์เป็นอาหาร เหตุนี้จึงทำให้ อวิชชา
เป็นส่วนหนึ่งของอาสวะท้ังหลาย (กามาสวะ ภวาสวะ อวชิ ชาสวะ) เพราะบรโิ ภคอาหารแบบเดยี วกนั .
อวิชชา สังขาร วญิ ญาณ จงึ เป็นจุดเรม่ิ ตน้ ของสรรพสง่ิ ในเอกภพ เหมอื นการระบดิ ของบก๊ิ แบง. หลังการ
เกิดขึ้นของอวิชชา ก็เกิดการวิวัฒน์ของเหตุปัจจัย มีการปรุงแต่งสังขาร และการเกิดขึ้นของวิญญาณ นามรูป
สฬายตนะ ไปจนกระทั่งเกิดภพ ชาติ ของสิ่งมีชีวิตที่หลากหลาย. ดังนั้น การทำลายอวิชชา จึงไม่สามารถทำลาย

๒๕

ได้ทั้งหมด จะทำลายได้ เฉพาะในส่วนที่เป็นจิตธาตุเท่านั้น. การทำลายอวิชชา ทำได้ 2 วิธี คือด้วยวิถีทางสมถะ
(เจโตวิมุตติ) และด้วยวิถีทางวิปัสสนา (ปัญญาวิมุตติ) (บาลี - ทุก. อํ. 20/77-78/275.) ปัจจัยทุกข้อ
ของปฏิจจสมุปบาท ดำรงอยู่ได้เพราะมี ‘อาหาร' หล่อเลี้ยง. อาหารในที่นี้ ก็คือเหตุปัจจัยการเกิดนั่นเอง.
“... เรากล่าวว่า ภวตัณหา ... อวิชชา ... นิวรณ์ ... เป็นธรรมชาติที่มีอาหาร หาใช่เป็นธรรมชาติที่ไม่มีอาหารไม่. ,
เป็นคำที่ใครๆ ก็ควรกล่าวว่า ‘ภวตัณหา ... อวิชชา ... นิวรณ์ ย่อมปรากฎ เพราะมีสิ่งนี้สิ่งนี้ เป็นปัจจัย
'(อิทัปปัจจยตา).” จากพุทธวจนบทนี้ กล่าวว่า ภวตัณหามีอวิชชาเป็นอาหาร, อวิชชามีนิวรณ์เป็นอาหาร, นิวรณ์
มีทุจริตทางกาย วาจา ใจเปน็ อาหารทจุ รติ ทางกาย วาจา ใจมีการไมส่ ำรวมอนิ ทรียเ์ ป็นอาหาร

สมั พทั ธภาพของสงั ขารท้ังหลาย
ตถาคต ให้คำนิยามธัมมะธาตุที่มีในเอกภพ แตกต่างกันหลายชื่อ. เช่น สังขารทั้งหลาย (สพฺเพ สงฺขารา),
ภูตรูป (ดิน น้ำ ไฟ ลม), ขันธ์5, เรียกว่า อินทรีย์ 6. นักวิทยาศาสตร์ รู้จักและยอมรับเฉพาะวัตถุธาตุ (อนุภาค
สสาร พลังงาน กาลอวกาศ). ทั้งหมดนี้เรียกว่า นามรูป รวมกันเป็นสังขารทั้งหลาย. เมื่อมอง สังขารทั้งหลาย
ในทุกๆ มุมมอง ทำให้มันมีลักษณะและคุณสมบัติ ที่แตกต่างกันแบบสุดขั้ว. การเกิดขึ้น การดำรงอยู่ และการ
ดับสลาย ของสังขารทั้งหลาย อยู่ภายใต้กรอบเวลา ที่แตกต่างกันมากมาย เทียบสัดส่วนกันไม่ได้เลย. เพราะ
มีสัมพทั ธภาพกาลเวลาของผูส้ งั เกต เปน็ เงือ่ นไขสำคัญ.
สัมพทั ธภาพ กาลเวลาของผสู้ ังเกต สามารถแบ่งออกได้เปน็ 4 กาล คอื
1. สิ่งที่มีอายุสั้นกว่า หรือใกล้เคียงกับอายุของผู้สังเกต, ผู้สังเกต สามารถพิสูจน์การมีอยู่ของตัวตนของ
สง่ิ นั้นๆ ไดภ้ ายในขอบเขตอายุขัยของผู้สงั เกต. (ผู้สงั เกต ก.)
2. ส่ิงที่มอี ายใุ กลเ้ คยี ง หรือยาวกวา่ อายขุ องผู้สงั เกต อาจใหผ้ สู้ งั เกตอีกผู้หนงึ่ รับชว่ งต่อ ในการพสิ ูจนก์ าร
มีอยู่ของตัวตนของสิ่งนั้น เช่น ช้างเชือกหนึ่ง (ช้างอายุยาวกว่ามนุษย์). ช่วงอายุขัยของสิ่งที่มีอายุยาวกว่า ผู้สังเกต
คนหนง่ึ ไม่สามารถรอดูเวลา การดบั สลายของส่งิ น้นั ได.้ เช่น ดาวฤกษ์ เทวดา (ผ้สู งั เกต ข.)
3. ไม่ว่าสิ่งนั้น จะมีอายุยืนยาวกว่าหรือสั้นกว่าอายุของผู้สังเกต. แต่ผู้สังเกตอาจมองเห็นและยอมรับกฎ
ธรรมชาติ ที่ว่า สังขารไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน. ในมุม มองของผู้สังเกตข้อนี้ อาจสงสัยว่า
ในเมื่อยังมีความเสื่อมต่อเนื่องอันยาวนาน ก็ยังนับว่ามันยังมีตัวตนอยู่ และถ้ามันดับสลายจริงๆ สิ่งนั้นจะมีสภาวะ
เปน็ อยา่ งไร หรือเปน็ อะไร แม้กระทงั่ ตวั ผสู้ ังเกตเอง จะอยูใ่ นสถานะใด. (ผ้สู งั เกต ค.)
4. ในทส่ี ุด สังขารทงั้ หลาย หรอื สรรพสงิ่ ย่อมดบั สลายไปท้ังหมด. แต่ในความรสู้ ึกและตัวตนของผูส้ ังเกต
นน้ั ยงั อยู่ เพียงแต่เปล่ียนสถานะ จากความไมเ่ ท่ยี ง ความเสื่อม และความไรต้ วั ตนนั้น ไปเปน็ อีกสง่ิ หน่ึงท่ี ไม่ใชเ่ รา.
ปรากฎการณ์ในข้อนี้ ตรงกับสิ่งที่ตถาคตเรียกว่า วิมุตติญาณทัสสนะ. (ผู้สังเกต ง.) ซึ่งเป็นการตัดเส้นทางรอบการ
เกดิ ปรากฎของกลไกชีวะชีวติ หรอื ขนั ธ์ 5 หรือ สงั ขารธรรม 6 ในท่สี ดุ

๒๖
สมั พทั ธภาพกาลเวลาของผูส้ งั เกตทมี่ ตี ่อสังขารท้งั หลาย

ที่มา http://www.igoodmedia.net/author/02_book/the-7-element/html/the7-element-chapter05.html

ผสู้ งั เกต (ก) เม่อื มองส่งิ ทมี่ ีอายสุ น้ั กวา่
ผสู้ งั เกต (ข) เมื่อมองสง่ิ ที่มอี ายยุ าวกวา่
ผสู้ ังเกต (ค) เมอื่ สรุปรวมสังขารท้งั หลาย แตย่ ังไม่แนใ่ จในเรื่อง อนัตตตา
ผู้สังเกต (ง) ในมุมมองของอริยชน แน่ใจในเรื่องอนัตตตาที่แท้ ควรเป็นอย่างไร เพราะเห็นการเสื่อม
ตอ่ เนื่องของสงั ขาร ซ่ึงนำไปสูก่ ารดบั สลายในที่สุด

๒๗

ขนั ธ5์ กับ ภพ ชาติ ชรามรณะเปน็ ธรรมที่อาศัยกันแลว้ เกิด
ธรรมชาติของขันธ์5 กลไกชีวะ–ชีวิต หรือ ขันธ์-5 คือระบบชีวิตของสัตว์ทุกผู้ ทั้งหมดทั้งมวล ทั้งใน
อดีต ปัจจุบัน และที่จะมีขึ้นในอนาคต. เมื่อกล่าวถึง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงประกอบไปด้วย
ข้อธรรมมากมาย ที่ทับซ้อนอยู่ในแต่ละขันธ์. เช่น รูปขันธ์ มีความหมายครอบคลุมตั้งแต่ อวิชชา อุปาทายรูป รูป
ธาตุ รูปธรรม รูปฌาน รูปพรหม รูปภพ รูปราคะ รูปสัญญา รูปสัญเจตนา และรวมไปถึง อรูป ในอีกหลายรูปแบบ.
รูป ยังรวมถึง ลักษณะของธาตุทุกชนิด ที่มีคุณสมบัติต่างๆ ในทางฟิสิกส์อีกด้วย. เวทนา สัญญา สัง ขาร วิญญาณ
ก็มีนัยยะแบบเดียวกัน. ไม่ว่าข้อธรรมใดๆ ที่ตถาคต แสดงขึ้นมา ล้วนแตกย่อยออกมาจากขันธ์- 5 ทั้งสิ้น, จะไม่มี
ธรรมะข้อใดเลย ที่ปราศจากขันธ์5. การจำแนก ขันธ์-5 ออกเป็น 3 สภาวะ ก็เพื่อชี้ให้เห็นว่า วิญญาณ เป็นอยู่
อย่างไร มีความพิเศษแตกต่างจาก ขันธ์ข้ออื่นอย่างไร. สภาวะ 3 ของขันธ์ คือ นานาภาวะ ได้แก่ภาวะของ
รูป เวทนา สัญญา สังขาร (เฉพาะ 4 ขันธ์ ), สรรพภาวะ คือรวมทั้งหมด รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (ครบ
ทั้ง 5 ขันธ์ ), เอกภาวะ หมายถึง วิญญาณ (วิญญาณขันธ์) ตัวเดียว. ธรรมชาติอย่างหนึ่งของวิญญาณ คือ การผูก
ติดกับอารมณ์ (สญฺโญค) เช่น (1) จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ
มโนวิญญาณ (กลุ่มของวิญญาณ) (2) จักข๎วายตนะ โสตายตนะ ฆานายตนะ ชิวหายตนะ กายายตนะ มนายตนะ
(กลุ่มของสฬายตนะ) (3) จักขุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส (กลุ่มของผัสสะ)
(4) จักขุสัมผัสสชาเวทนา โสตสัมผัสสชาเวทนา ฆานสัมผัสสชาเวทนา ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา กายสัมผัสสชา
เวทนา มโนสมั ผัสสชาเวทนา (กลมุ่ ของเวทนา). ขณะท่ี วิญญาณสร้างข้อมูล, จะมผี ูท้ ่เี ฝา้ มองข้อมูลนน้ั อยู่ (ผู้สังเกต)
คือ สัตตา กับ วิมุตติญาณทัสสนะ. สองสิ่งนี้ รับรู้สิ่งที่เห็นนั้น ในความเป็นธาตุ เพื่อให้เกิดการจับต้องได้ (ทำนาม
ให้เป็นรูป), นั่นคือ จะมองขันธ์ทัง้ หา้ ในความเป็นธาตไุ ปดว้ ย (รูปธาตุ เวทนาธาตุ สัญญาธาตุ สังขารธาตุ วิญญาณ
ธาตุ). แต่ผู้สังเกตทั้งสอง มีเป้าหมายต่างกัน, สัตตา ต้องการครอบครองธาตุเหล่านั้น แต่วิมุตติญาณทัสสนะ
ต้องการจับแยกธาตุเหล่านั้นออกจากกัน. การจับแยกธาตุเหล่านี้ ต้องใช้พลังปัญญาขั้นสูง (ปัญญาวิมุตติ).
จึงมีเพียง วิมุตติญาณทัสสนะ เท่านั้น ที่รู้ว่า วิญญาณธาตุ ดับไปแล้ว. ไม่มี วิญญาณขันธ์ ไม่ปรากฏ วิญญาณฐิติ
ไม่มีวิญญาณาหาร ที่จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิด นามรูป หรือ ภพ ชาติ อีกต่อไป. ดังนั้น ผู้ที่รู้จักธาตุแท้ของ
วิญญาณได้ที่สุด ก็คือ วิมุตติญาณทัสสนะ นั่นเอง. คือรู้ว่า วิญญาณธาตุ เป็นตัวตนของวิญญาณโดยแท้, วิญญาณ
ขันธ์ จะปรากฎตัวก็ต่อเมื่อ มันเข้าไปตั้งอาศัยอยู่ใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร, วิญญาณาหาร เป็นปัจจัยให้เกิด
นามรูป, วิญญาณฐิติ คือ ภพ ภูมิอันเป็นที่ตั้งของวิญญาณ. ธรรมชาติด้านกายภาพ ของ รูปขันธ์ คือ ย่อมสลาย
(รุปฺปติ) เพราะอุณหภูมิเย็น-ร้อน เพราะความหิว-กระหาย เพราะการสัมผัสเสียดสี จากลม แดด ตลอดจนแมลง
สัตว์ต่างๆ. ธรรมชาติของ เวทนาขันธ์ คือ ความรู้สึกได้ (เวทยติ) ซึ่งสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ ซึ่งเป็นการรับรู้
เหตุการณ์ปัจจุบัน. ธรรมชาติของสัญญาขันธ์ คือ ความหมายรู้ (สญฺชานาติ) ในสีต่างๆ (และอื่นๆ ว่าสิ่งนั้น สิ่งน้ี)
รวมทั้งการระลึกเหตุการณ์อดีตได้. ธรรมชาติของสังขารขันธ์ คือ การปรุงแต่ง (อภิสงฺขโรนฺติ) ปรุงแต่งรูปให้เป็น
รูป ปรุงแต่งเวทนา ให้เป็นเวทนา ปรุงแต่งสัญญา ให้เป็นสัญญา ปรุงแต่งสังขาร ให้เป็น สังขาร และปรุงแต่ง
วิญญาณ ให้เป็นวิญญาณ. สังขารขันธ์ ก็คือเหตุการณ์ในอนาคต ที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง จากพฤติการณ์การปรุงแต่งของ
รูป เวทนา สัญญา นั่นเอง. ธรรมชาติของ วิญญาณขันธ์ คือ การรู้แจ้ง (วิชานาติ) ในรสชาติต่างๆ (และอื่นๆ ว่า
สิ่งนัน้ ส่ิงน)้ี . ขันธ5์ จะดำรงอยู่ตอ่ ไปได้ ตอ้ งมอี าหารบรโิ ภค. อาหารของขันธ์- 5 ไดแ้ ก่ อาหาร 4 อย่าง (บาลี - มู.
ม. 12/85/110.) คือ กพฬีการาหาร อาหารที่กินได้ทางปาก หยาบบ้าง ละเอียดบ้าง ใช้เลี้ยงกายของรูปขันธ์.
ผัสสาหาร อาหารคือผัสสะ. ขันธ์ทั้งห้า จะปรากฎตัวตนก็ต่อเมื่อมี ผัสสะ, เหมือนแสง (วิญญาณ) ‘กระทบ' ฉาก

๒๘

(รูป เวทนา สัญญา สังขาร) ถ้ามีแสง และมีฉาก แต่ไม่กระทบกัน ทุกอย่างก็มืดสนิท. มโนสัญเจตนาหาร อาหารท่ี
เป็นเจตนาทางใจ (เจตนา มนสิการ). วิญญาณาหาร อาหารคือวิญญาณ ในขันธ์ทัง้ ห้า ถ้าปราศจากวญิ ญาณ ขันธ์ท่ี
เหลือก็จะไร้ประโยชน์ กลายเป็นวัตถุธาตุและจิตธาตุที่โดดเดี่ยว รอการเสื่อมสลายตามกาลเวลา. เมื่อขันธ์5
ได้อาหารหล่อเลี้ยง จึงเป็นเหตุให้ภพ ชาติ เกิดขึ้น, ในขณะเดียวกัน การตั้งอยู่ของภพ และ ชาติ ย่อมต้องอาศัย
ขันธ์ทั้งห้าเช่นกัน ดุจเหรียญหนึ่ง ย่อมมีสองด้านเสมอ. ปุถุชน ‘ยึด' กาย ขันธ์ รูป วัตถุ เป็น นายของตัวเอง.
อริยชน (โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี) ‘ใช้' กาย ขันธ์ รูป วัตถุ เป็น สะพาน ข้ามวัฏฏสงสาร. เสขะบุคคล
(พระอรหันต)์ ‘เลีย้ ง' กาย ขนั ธ์ รปู วัตถุ เปน็ เครือ่ งมือสรา้ งกุศล.

การจัดการกับ ระบบขันธ์5 ที่ขวางกั้นนิพพาน การเกิดขึ้นของ ภพ ชาติ ทางร่างกายเป็นผลมาจาก
อดตี ทสี่ ัตวน์ ้ันได้กระทำไว้ สว่ น ภพ ชาติ ทางจิต เป็นผลมาจากการกระทำ (กรรม) ท้ังอดีตและปจั จุบนั แลว้ สะสม
เป็น “เหตุการณ์” ในอนาคต ซ่งึ เรยี กวา่ วิบาก หรือ ผลแห่งกรรม. เน่อื งจากการมีอยขู่ องขนั ธ5์ มีความต่อเนื่องกัน
ทั้ง 3 กาล (อดีต ปัจจุบัน อนาคต). ถ้าสัตว์ผู้นั้น ยังไม่ตัดรอบการเกิด ย่อมพาวงจรชีวิต ดำเนินต่อไป บนสายพาน
ของสังสารวัฏ อิทัปปจยตา ปฏิจจสมุปบาท. ปัญหาใหญ่ สำหรับการจัดการ ขันธ์-5 คือ สัตว์ทุกผู้ ย่อมต้องอาศัย
ขันธ์-5 ในการดำเนินชีวิต. ถ้าเช่นนั้น ขันธ์-5 ก็เป็นอุปสรรคในการบรรลุธรรม เช่นนั้นหรือ? อันเนื่องมาจาก
ขันธ์5 เป็นทั้งตัวต้นเหตุ และเป็นผลสืบเนื่อง ของ ภพ ชาติ. ประเด็นนี้ มีความสำคัญยิ่ง สำหรับผู้ศึกษาแนวทาง
พุทธศาสน.์ ผศู้ ึกษาจำเป็นจะตอ้ งวิเคราะหใ์ หช้ ัดเจนวา่ ในระบบของ ขนั ธ์-5 ประกอบด้วยอะไรบา้ ง เพอ่ื จะได้แยก
ส่วนได้ถกู ตอ้ งว่า สว่ นใดของระบบท่ีตอ้ งจัดการและส่วนใดท่ีไมต่ อ้ งเขา้ ไปยุ่งเก่ียว.

ระบบขันธ5์ มี 3 องค์ประกอบ คอื
(1) อุปกรณ์รับข้อมูล (อายตนะภายใน – internal sense-fields) มี 6 ช่องทาง คือ ตา หู จมูก ล้ิน
ผวิ กาย ใจ. ท้งั หกชอ่ งทางน้ี ยอ่ มตอ้ งอาศยั รปู ขันธใ์ นการตง้ั อยู่อาศยั
(2) วัตถุที่เป็นข้อมูลนำเข้า (อายตนะภายนอก) มี 6 ชนิด และสอดคล้อง (เข้าคู่กัน) กับ อุปกรณ์
รับข้อมูล คอื รปู เสยี ง กล่นิ รส การสัมผสั อารมณ์ วัตถุทัง้ หกชนิดนี้ ยอ่ มตอ้ งอาศัย สญั ญาขันธ์ ในการต้งั อยู่อาศยั
(3) ตวั ขบั เคล่ือน คอื “วญิ ญาณ” วญิ ญาณ ย่อมตอ้ งกาศัย รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สญั ญาขนั ธ์ และสังขาร
ขนั ธ์ ในการปรงุ แต่ง สร้างขอ้ มลู หรือปรงุ แต่งตัวมนั เองใหเ้ ป็น จิต ในรปู แบบต่างๆ.
องค์ประกอบทั้ง 3 นี้ จะขาดข้อใดข้อหนึ่งไปไม่ได้. ในองค์ประกอบทั้ง 3 จะมีเชื้อเพลิง หรืออาหาร
คอยหล่อเลี้ยงระบบ ขันธ์-5 ให้ดำเนินต่อไป ได้แก่ ฉันทะ (ความพอใจ) นันทิ (ความเพลิน) ราคะ ( ความกำหนัด)
ตัณหา (ความอยาก ). ฉันทะ นันทิ ราคะ ตัณหา มีคุณสมบัติร่วมอย่างหนึ่ง คือ “รสอร่อย” (อัสสาทะ)
ในขณะเดยี วกัน มันกใ็ หโ้ ทษภยั (อาทีนวะ) ซ่อนแฝงอย.ู่
การเกิดขึ้นของภพ ชาติ เริ่ม ณ จุดนี้, จุดที่สัตว์ (สัตตา) เข้าไปยึดครอง ขันธ์-5 ทั้งระบบ แล้วใช้ขันธ์5
เป็นเครื่องมือสร้างกรรมที่เป็นทั้งกุศล (ดี) และอกุศล (เลว). รสอร่อย ที่สัตว์ได้รับจากเชื้อเพลิงหรืออาหาร (ฉันทะ
นันทิ ราคะ ตัณหา) จะทำให้สัตว์นั้น หลงยึดขันธ์5 ต่อไปจนกระทั่ง ขันธ์5 ชุดนั้นหมดสภาพ (ตาย) แล้วก็ไป
แสวงหาขันธ์5 ชุดใหม่ต่อไป. การเปลี่ยนชุดของ ขันธ์-5 แต่ละรอบ ก็คือการสร้างภพ สร้างชาติให้แก่สัตว์ผู้นั้น
ไม่รู้จบสิ้น. การติดในรสอร่อยของ ฉันทะ นันทิ ราคะ ตัณหา นี่เอง ทำให้สัตว์มองไม่เห็น วิธีตัดรอบการเกิดภพ
ชาติ อันเป็นต้นเหตุที่แท้จริงของ ความทุกข์. สัตว์บางผู้ เมื่อประสบความทุกข์ ก็มองหาวิถีทางที่จะไปให้พ้นๆ ,
สัตว์บางผู้ ก็เลือกวิถที าง ตอบสนองความต้องการในรสอร่อย (กามสุขัลลิกานุโยค) สัตว์บางผู้ก็เลอื กวถิ ีทางทรมาน
ร่างกาย ขันธ์-5 ของตน (อัตตกลิ มถานโุ ยค) เพราะต้องการใหจ้ ิต เกดิ การเข็ดหลาบในการยดึ ครองขันธ์. ซึ่งทั้งสอง

๒๙

วิถีทางนั้น ไม่ได้ช่วยให้พ้นทุกข์ได้เลย. แต่มีสัตว์บางผู้ พบวิถีทางที่ถูกต้อง เพราะได้ฟัง ธรรม อันเป็น สัมมา
อริยมรรค (วิถีทางสายกลาง) ได้แก่ อริยสัจสี่ และเข้าถึงทางหลุดพ้น ด้วยหลัก อิทัปปัจจยตา – ปฏิจจสมุปบาท –
อริยสัจสี่. สัตว์ผู้เข้าถึงทางหลุดพ้นข้างต้น ย่อมมองเห็นโทษภัย ของการตึดยึด ขันธ์-5. จึงเร่งฝึกฝนจิตของตนเอง
รักษาศีล ทำสมาธิ และวิปัสสนา ให้รู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งการเกิด (สมุทัย) การดับ (อัตถังคมะ) รสอร่อย
(อัสสาทะ) โทษอันต่ำทราม (อาทีนวะ) และเห็นอุบาย อันเป็นเครื่องนำพาออกไปให้พ้น จากการสิงสถิตของ
วิญญาณ (วิญญาณฐติ ิ) จากการยดึ ม่นั ยนิ ดใี น ขันธ-์ 5. ในทส่ี ดุ สัตวผ์ ้นู ัน้ กร็ ู้เท่ากัน ธาตแุ ทข้ องวญิ ญาณ, สามารถจับ
แยกวิญญาณออกจาก รูปธาตุ เวทนาธาตุ สัญญาธาตุ สังขารธาตุ ที่สัตว์นั้นยึดครองอยู่, เป็นการยุติบทบาทของ
วิญญาณ, ปล่อยให้มันเกิด-ดับ หรือส่องไฟ ไปตามประสาของมัน. โดยที่ สัตว์นั้นจะไม่หลงไปยึดครอง แสดงความ
เป็นเจ้าของขันธ์ธาตุ ที่ตนสิงสถิตอยู่. เมื่อถึงขั้นนี้ สัตว์นั้นก็จะเลื่อนฐานะไปเป็น ผู้บริสุทธ์ เรียกว่า วิมุตติญาณทัส
สนะธาตุ เป็นอันจบกิจของการสรา้ งภพ สรา้ งชาติ ไวเ้ พียงเท่านี้.

“ ... คร้ันจติ ตัง้ ม่ัน บรสิ ทุ ธิ์ ผ่องใส ไมม่ กี ิเลส ปราศจากอปุ กิเลส เป็นธรรมชาตอิ ่อนโยน ควรแก่การงาน
ตั้งอยู่ได้ ถึงความไม่หวั่นไหวเช่นนี้แล้ว ก็น้อมจิตไปเฉพาะต่อ อาสวักขยญาณ. เธอ ย่อมรู้ชัดตามที่เป็นจริงว่าน้ี
ทุกข์, นี้เหตุให้เกิดทุกข์, นี้ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์, นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์. และย่อมรู้ชัด
ตามที่เป็นจริงว่า เหล่านี้อาสวะ, นี้เหตุให้เกิดอาสวะ, นี้ความดับไม่เหลือแห่งอาสวะ, นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับ
ไมเ่ หลอื แห่งอาสวะ, เม่ือรู้อยู่อยา่ งนี้ เหน็ อย่อู ย่างนี้ จิตก็หลดุ พน้ จากกามาสวะ, ภวาสวะ, และอวิชชาสวะ. ครั้นจิต
หลุดพ้นแล้ว ก็เกิดญาณว่า หลุดพ้นแล้ว. เธอย่อมรู้ชัดว่า ‘ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้
ทำสำเรจ็ แล้ว กิจอน่ื ทีจ่ ะต้องทำเพ่อื ความเป็นอยา่ งน้ีมไิ ดม้ ีอีก'. ดงั น.้ี ”

ธาตุขันธ์ที่สะอาดปราศจากการปนเปื้อนของฉันทะ ราคะ นันทิ ตัณหา. วิญญาณขันธ์ เป็นผู้มีบทบาท
มากที่สุด ในการจัดการอีก 4 ขันธ์ ที่เหลือ “ ... ภิกษุทั้งหลาย ! วิญญาณซึ่งเข้าถือเอา รูป ... เวทนา ... สัญญา ...
สังขาร ตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้, เป็นวิญญาณที่มี รูป ... เวทนา ... สัญญา ... สังขาร เป็นอารมณ์, มี รูป ... เวทนา ...
สัญญา ... สงั ขาร เปน็ ท่ีตงั้ อาศัย, มีนันทเิ ป็นทีเ่ ข้าไปสอ้ งเสพ กถ็ งึ ความเจริญ งอกงาม ไพบลู ยไ์ ด้ ...” (บาลี - ขนฺธ.
สํ. 17/66/105.) กลา่ วได้วา่ วิญญาณขันธ์ ปฏบิ ัตกิ ารเชิงรุก ส่วนอีก 4 ขนั ธ์ ปฏิบัติการเชิงรับ ส่วนผ้เู ก็บเก่ยี วผล
ที่เกดิ จากปฏบิ ตั กิ ารเชงิ รุก เชงิ รับ คอื สัตตา.

เมอื่ วาง ของหนกั จะพบ ความเบา
เมอื่ วาง ความเบา จะพบ ความวา่ ง
เมื่อวาง ความว่าง จะพบ ‘สิ่งสง่ิ หน่ึง',
ซึ่งสิ่งสิ่งนั้น มีอยู่, คือ เป็นสิ่งซึ่งในนั้น ไม่มีดิน ไม่มีน้ำ ไม่มีไฟ ไม่มีลม, ไม่มีความยาว ความสั้น ความ
เลก็ ความใหญ่ (ไมม่ ีวตั ถมุ ิติ), ความงาม ความไม่งาม (ไมม่ อี ารมณ์มติ )ิ , ไม่มนี ามรูป ไมม่ ีวิญญาณ, ไม่มีโลภะ โทสะ
โมหะ. ไม่มีการมา ไม่มีการไป ไม่มีการหยุด ไม่มีการจุติ (ตาย) ไม่มีการเกิด (อชาตัง - น อุปปาโท ปัญญายติ) ไม่มี
การเสอ่ื ม (น วโย ปญั ญายติ) ไม่มกี ารต้ังอยู่ (น ฐติ ตัสสะ อัญญถัตตงั ปัญญายติ) ไมไ่ ด้เปน็ ไป (อภูตัง) ไม่ได้ถูกอะไร
ทำ (อกตัง) ไม่ได้ถูกอะไรปรุงแต่ง (อสังขตัง) ไม่ใช่อารมณ์. และสิ่งสิ่งนั้น ไม่ใช่ของเรา (เนตัง มะมะ) ไม่ใช่เป็นเรา
(เนโสหมัสม)ิ ไม่ใช่ตวั ตนของเรา (น เมโส อตั ตา). ฉันทะ ราคะ นนั ทิ ตณั หา เปน็ ธรรมฝา่ ยอกุศล เปน็ เครอื่ งนำไปสู่
ภพ “ ... ฉันทะ (ความพอใจ ) ก็ดี, ราคะ (ความกําหนัด) ก็ดี, นันทิ (ความเพลิน) ก็ดี, ตัณหา (ความทะยานอยาก)
ก็ดี, อุปายะ (กิเลสเป็นเหตุเข้าไปสู่ภพ) และ อุปาทาน (ความถือมั่นด้วยอำนาจกิเลส) อันเป็นเครื่องตั้งทับ
เครื่องเข้าไปอาศัย และเครื่องนอนเนื่องแห่งจิตก็ดี ใดๆ ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขารทั้งหลาย และ

๓๐

ในวิญญาณ. กิเลสเหล่านี้ นี่เราเรียกว่า ‘ เครื่องนำไปสู่ภพ ' ...” (บาลี – ขนฺธ. สํ. 17/233/368.43.) แต่ถ้า
วิญญาณ ถูกถอดออกจาก ระบบการจัดการ ขันธ์-5 จะทำให้ รูปธาตุ เวทนาธาตุ สัญญาธาตุ และ สังขารธาตุ
กลายเป็นของเก่าเก็บในพิพิธภัณฑ์ หรือไม่ก็ เป็นสัตว์ที่ถูกสต๊าฟไว้ หรือไม่ก็ เป็นหุ่นยนต์แม่บ้าน (แทนที่ จะเป็น
หุ่นยนต์นักรบ). กล่าวคือ ธาตุขันธ์ทั้ง 4 (ที่สะอาด ไร้การปนเปื้อน ของฉันทะ ราคะ นันทิ ตัณหา) จะถูกเปลี่ยน
สถานะ จากที่เคยเป็นทาส เป็นเครื่องมือของวิญญาณ มาเป็นผู้รับใช้ วิมุตติญาณทัสสนะ แทน. ถึงตอนนี้ วิมุตติ
ญาณทัสสนะขันธ์ จะปรากฎขึ้นมา จัดการขันธ์ธาตุทั้ง 4 เหมือนเป็นของเก่าเก็บในพิพิธภัณฑ์ หรือเป็นสัตว์สต๊าฟ
หรือ เป็นหุ่นยนต์แม่บ้านที่คอยให้บริการแก่ผู้ที่ครอบครองสิทธิ์ต่อจาก สัตตา (วิมมุติญาณทัสสะขันธ์). และ
หลงั จากน้นั ขนั ธ์ธาตทุ ้ัง 4 กจ็ ะเสอ่ื มสลายไป ไม่สามารถนำกลับไปใชไ้ ด้อกี ถอื เปน็ การจบภารกจิ ภพ ชาติ สุดท้าย
ของขันธ5์ นนั่ เอง. นค้ี อื การอปุ มาให้เหน็ ภาวะของพระอรหนั ต์ ทไ่ี ดบ้ รรลธุ รรมแล้วกอ่ นตาย ซ่ึงยังต้องบริหารขันธ์
ที่เหลืออยู่ต่อไป จนกว่าจะสิ้นอายุขัย หรือปรินิพพาน. และหลังปรินิพพานแล้ว (ตายทั้งจิต ตายทั้งร่างกาย)
ทุกอย่างก็จบภพ สิ้นชาติเพียงเท่านี้. คุณสมบัติและอาการของขันธ์5, จากหลักการที่ว่า ‘เมื่อมี อาการ, จึงปรากฎ
คุณสมบัติ'. การปรากฎของ วิมมุติญาณทัสสะธาตุ ในผู้ใด ก็คือการบรรลุธรรม หรือการหลุดพ้นของผู้นั้นแล้ว.
เป็นการหลุดพ้นที่เกิดจาก การดับ ขันธ์-5 ส่วนที่เป็นจิตธาตุ, นี้เรียกว่า การดับหรือการทำลาย อาการ มิใช่การ
ดบั หรือทำลายคุณสมบัต.ิ

พระอรหันต์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท. ได้แก่ พระอรหันต์ที่มีการดับกิเลสแล้ว คือวิญญาณขันธ์ดับไป
แต่ได้วิมุตติญาณทัสสนะขันธ์มาแทน แต่ยังมีขันธ์5 เหลืออยู่ และเป็นขันธ์ธาตุที่สะอาด เรียกว่า สอุปาทิเสสนิ
พพาน (เสขะบุคคล). พระอรหันต์ที่มีการดับกิเลสไปด้วย และดับขันธ์5 ไปด้วย เรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพาน
(อเสขะบุคคล) ได้แก่ พระสกทาคามี พระอนาคามี ที่เกิดในภพภูมิเทวดา มิใช่ภพภูมิมนุษย์. เพราะภพภูมิเทวดา
ไม่ต้องอาศัย ร่างที่เป็น รูปขันธ์ และวิญญาณขันธ์ ที่ถูกทำลายไป จะแปรสภาพไปเป็น วิมุตติญาณธาตุแทน.
การปรากฎของ วิมุตติญาณทัสสนะขันธ์ เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะการจับแยก ขันธ์-5 ออกจาก ฉันทะ ราคะ
นันทิ ตัณหา ต้องอาศัยอุตสาหะ และทวนกระแสอย่างอุกฤติ. ‘ช่องว่าง' (สุญญตา) ที่เกิดจากการจับแยก ขันธ์5
ออกจาก ฉนั ทะ ราคะ นันทิ ตณั หา นั้น, เปน็ ผลมาจากการปฏบิ ตั ติ ามแนวทางทถ่ี กู ต้อง (สมั มาอรยิ มรรค). ตถาคต
กล่าวไว้หลายหมวด เช่น อินทรียสังวร ศีล สัมมาสมาธิ ยถาภูตญาณทัสสนะ นิพพิทา วิราคะ วิมุตติญาณทัสสนะ.
(บาลี - ฉกฺก. อํ. 22/402 /321.) ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ. (บาลี - สคาถ. สํ.
15/143/405.) และ สีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตติขันธ์ วิมุตติญาณทัสสนขันธ์ (บาลี พระพุทธภาษิต -
มหาวาร. สํ. 19/216/736.) บทบาทในฐานะธาตุรู้ ของวิญญาณ จะรู้เฉพาะเหตุการณ์ ที่มันเข้าไปตั้งอาศัยอยู่
เท่านั้น คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร. ถ้ามีการถอดวิญญาณ ออกจากระบบขันธ์5 ก็คงไม่มีผู้รู้อีกต่อไป
เพราะ “ผู้รู้” ตายแล้ว จะหาผู้สืบทอดต่อก็ไม่มี. นี่คือคำบัญชาสูงสุด ของศาสนาในระบบเทวนิยม ที่ต้องทำให้
วิญญาณ เป็นสิ่งเที่ยงแท้ ไม่มีวันตาย. เพราะถ้าพระเจ้าตาย ทุกอย่างก็จบสิ้น . แต่ในระบบ อเทวนิยม กลับคิดไป
ไกลกว่านั้นว่า วิญญาณ ทำให้ตายได้, ผู้ที่รู้ว่าวิญญาณดบั สนิท (ตาย) แล้ว รอบเกิดใหม่ของวิญญาณ ถูกกำจัดแลว้
ก็คือ วิมุตติญาณทัสสนะ นั่นเอง. นั่นเท่ากับว่า วิญญาณ เป็นผู้สร้าง ‘ความรู้สึก' แต่ วิมุตติญาณทัสสนะ
เป็นผู้สร้าง ‘ความจริง'. “ ... ถ้าราคะในรูปธาตุ ในเวทนาธาตุ ในสัญญาธาตุ ในสังขารธาตุ ในวิญญาณธาตุ
เป็นสิ่งที่ภิกษุละได้แล้ว. เพราะละราคะได้ อารมณ์สำหรับวิญญาณก็ขาดลง ที่ตั้งของวิญญาณก็ไม่มี. วิญญาณ
อนั ไม่มีท่ีตัง้ นั้นก็ไม่งอกงาม หลุดพ้นไปเพราะไมถ่ ูกปรงุ แตง่ .” (บาลี - ขนธฺ . ส.ํ 17/66/105.)

๓๑

การหลุดพน้ การบรรลธุ รรม
ลำดับการบรรลุธรรม
(1) เหตุที่ทำให้เกดิ การหลุดพ้น เพราะ ‘ไม่เข้าไปหา'. “ผู้เข้าไปหา เป็นผู้ไมห่ ลุดพ้น ผู้ไม่เข้าไปหา เป็น
ผู้หลุดพ้น. ... วิญญาณ ซึ่งเข้าถือเอา ‘รูป' ต้ังอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้, เป็นวิญญาณ ที่มี ‘รูป' เป็นอารมณ์, มี ‘รูป' เป็นที่ตั้ง
อาศัยมีนันทิ เป็นที่เข้าไปส้องเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ได้. ... [ประโยคนี้ คำว่า ‘รูป' จะถูกแทนที่ด้วย
เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ] ผู้ใดจะพึงกล่าวอย่างนี้วา่ ‘เราจักบัญญัติ ซึ่งการมา การไป การจุติ การอบุ ัติ
ความเจริญ ความงอกงาม และความไพบูลย์ของวิญญาณ โดยเว้นจากรูป เว้นจากเวทนา เว้นจากสัญญา และเว้น
จากสังขาร' ดังนนี้ น้ั , น่ไี มใ่ ช่ฐานะทจ่ี กั มไี ดเ้ ลย. ... ถ้าราคะในรูปธาตุ ในเวทนาธาตุ ในสัญญาธาตุ ในสังขารธาตุ ใน
วญิ ญาณธาตุ เปน็ สง่ิ ทภ่ี กิ ษลุ ะไดแ้ ลว้ ... อารมณส์ ำหรับวญิ ญาณ ก็ขาดลง, ท่ตี ้ังของวิญญาณ กไ็ มม่ ี, วิญญาณอนั ไม่
มีที่ตั้งนั้น ก็ไม่งอกงาม, หลุดพ้นไป เพราะไม่ถูกปรุงแต่ง, เพราะหลุดพ้นไป ก็ตั้งมั่น, เพราะตั้งมั่น ก็ยินดีในตนเอง,
เพราะยนิ ดีในตนเอง กไ็ มห่ วั่นไหว, เมอื่ ไมห่ วน่ั ไหว ก็ปรนิ ิพพานเฉพาะตน. ... ”
“ ... ความยึดมั่นลูบคลำอย่างแรงกล้าย่อมไมม่ ี. เมื่อความยึดมั่นลูบคลำอย่างแรงกล้าไม่มี, จิตย่อมจาง
คลายกำหนัดในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ. ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่มีความ
ยดึ มนั่ ถือมั่น. เพราะจติ หลุดพน้ แลว้ จิตจึงดำรงอยู่. เพราะเป็นจติ ทด่ี ำรงอยู่ จติ จึงยินดรี ่าเรงิ ด้วยดี. เพราะเปน็ จิตที่
ยินดีร่าเรงิ ดว้ ยดี จติ จึงไม่หวาดสะดงุ้ . เมือ่ ไมห่ วาดสะด้งุ ย่อมปรนิ ิพพานเฉพาะตน นัน่ เทียว. ... ” (บาลี - ขนธฺ . สํ.
17/57/93.) ข้อนี้อธิบายเพม่ิ เติมได้ว่า “ผ้เู ขา้ ไปหา” หมายถึง “สัตตา” เขา้ ไปหาอะไร? เขา้ ไปหา วิญญาณ และ
อาการของวิญญาณ. “ผู้ไม่เข้าไปหา” หมายถึง “วิมุตติญาณทัสสนะ” เข้าไปหาอะไร? เข้าไปหา วิญญาณ และ
อาการของวิญญาณ. การมา การไป หมายถึง การปรากฎขึ้น และการดับไปของวิญญาณ และอาการของวิญญาณ.
วิญญาณ ย่อมต้องอาศัย รูป เวทนา สัญญา สังขาร เพื่อแสดงอาการของมัน. อาการของวิญญาณ จะแสดงให้เห็น
ในคณุ สมบัติ รปู ธาตุ เวทนาธาตุ สัญญาธาตุ สังขารธาตุ ทส่ี ัตวน์ ัน้ จับต้องได้.
(2) ลำดับการหลุดพ้นจากนันทิ ราคะ เพราะเห็นความไม่เที่ยง (อนิจจตา). “ภิกษุเห็น ‘จักษุ' ซึ่งไม่
เท่ียงนั่นแหละ ว่าไม่เที่ยง, ทิฏฐขิ องเธอนน้ั เปน็ สมั มาทิฏฐิ. เม่ือเห็นอยูด่ ว้ ยสมั มาทิฏฐิ ย่อมเบ่อื หน่าย. เพราะความ
สิ้นไปแห่งนันทิ ย่อมมีความสิ้นไปแห่งราคะ. เพราะความสิ้นไปแห่งราคะ ย่อมมีความส้ินไปแห่งนันท.ิ เพราะความ
สิ้นไปแห่งนันทิและราคะ ก็กล่าวได้ว่า จิตหลุดพ้นแล้วด้วยดี ดังนี้.” (บาลี - สฬา. สํ. 18/179/245-247.)
[ประโยคน้ี คำวา่ ‘จักษุ' จะถกู แทนทดี่ ้วยชุดคำ อินทรีย-์ 6 คือ จักขุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ มนะ, รูป เสยี ง กล่ิน
รส โผฏฐพั พะ ธรรมารมณ์]
(3) ลำดับการหลุดพ้นจากขันธ์5 เพราะเห็นความไม่มีตัวตน (อนัตตา). “รูป เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง, สิ่งใด
ไม่เทีย่ ง สงิ่ นน้ั เป็นทุกข,์ ส่งิ ใดเป็นทกุ ข์ ส่ิงนนั้ เป็นอนัตตา, สงิ่ ใดเปน็ อนัตตา สงิ่ น้นั น่นั ไม่ใช่ของเรา (เนตํ มม) นนั่
ไม่ใช่เป็นเรา (เนโสหมสฺมิ) นั่นไม่ใช่เป็นตัวตนของเรา (น เมโส อตฺตา). เธอทั้งหลาย พึงเห็นข้อนั้น ด้วยปัญญา
โดยชอบ ตรงตามที่เป็นจริงอย่างนี้ ด้วยประการดังนี้.” (บาลี - ขนฺธ. สํ. 17/57/93., ขนฺธ. สํ. 17/64/104.)
[ประโยคนี้ คำว่า ‘รูป' จะถกู แทนท่ดี ้วย เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ]
(4) เป็นผู้หลุดพ้นจากปฏิจจสมุปบาท ในปัจจุบัน เพราะเห็นความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด. “ถ้าภิกษุ
เป็นผู้หลุดพ้นแล้ว เพราะความเบื่อหน่าย เพราะความคลายกำหนัด เพราะความดับไม่เหลือ แห่งชรา และมรณะ
ด้วยความเป็นผู้ไม่ยึดมั่น ถือมั่น อยู่แล้วไซร้, ก็เป็นการสมควร เพื่อจะเรียกภิกษุนั้นว่า ‘ผู้บรรลุแล้วซึ่งนิพพาน
ในทิฏฐธรรม' ดังนี้.” (บาลี - นิทาน. สํ. 16/22/46., สฬา. สํ. 18/179/245.) [ประโยคนี้ คำว่า ‘ ชรา มรณะ '

๓๒

จะถูกแทนที่ด้วย ปัจจัยการเกิด ปฏิจจ-สมุปบาท คือ ชาติ ภพ อุปาทาน ตัณหา เวทนา ผัสสะ สฬายตนะ นามรูป
วิญญาณ สังขาร และ อวชิ ชา ข้อความอน่ื ๆ จะเหมอื นกนั ทกุ ประการ.]

วิธีทำจิตให้เกิดการเบื่อหน่าย คลายกำหนัด คือ (1) เจริญอสุภะ เพื่อละราคะ. (2) เจริญเมตตา เพื่อ
ละพยาบาท. (3) เจริญอานาปานสติ เพื่อตัดเสียซึ่งวิตก. (4) เจริญอนิจจสัญญา เพื่อถอนอัส๎มิมานะ (ความถือตวั
ถอื ตนจัด).

ตถาคต กล่าวย้ำอีกว่า “เมื่อเจริญอนิจจสัญญา อนัตตสัญญา ย่อมมั่นคง. ผู้มีอนัตตสัญญา ย่อมถึง
ซึ่งการถอน อัส๎มิมานะ คือนิพพาน ในทิฏฐธรรม (ปัจจุบัน) นั่นเทียว.” (บาลี – อุ. ขุ. 25/126/88.) เกณฑ์วัด
ความก้าวหน้าการเจริญในธรรม 4 ประการ (อสุภะ เมตตา อานาปานสติ อนิจจสัญญา) และเกณฑ์วัดความสำเรจ็
การละเลกิ อกศุ ลธรรมทุกข้อ คือ ‘ความเร็ว' ในการ ‘ตัด' รอยตอ่ การเกิดของ ธรรมฝ่ายอกุศล เชน่ ปฏจิ จสมุปบาท
ฝ่ายเกิด และ ‘ความเร็ว' ในการ ‘ต่อ' รอยแยกการเกิดของ ธรรมฝ่ายกุศล เช่น ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายดับ, รวมทั้ง
การทำจิตให้มีสมาธิในฌาน. ความเร็วในการตัด ความเร็วในการต่อ จะส่งผลให้เกิดความต่อเนื่องของ ‘พลังบวก '
อันนำไปสู่การบรรลธุ รรมในทีส่ ดุ .

(5) เมื่อไมม่ มี า ไมม่ ีไปย่อมไมม่ เี กดิ และไมม่ ีดบั คอื ทีส่ ุดแหง่ ทกุ ข.์ “ ... ความหวั่นไหว ย่อมมีแก่บุคคล
ผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยแล้ว (นิสฺสิตสฺส จลิตํ). ความหวั่นไหว ย่อมไม่มีแก่บุคคล ผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัย
แล้ว (อนิสฺสิตสฺส จลิตํ นตฺถิ). เมื่อความหวั่นไหวไม่มี, ปัสสัทธิ ย่อมมี (จลิเต อสติ ปสฺสทฺธิ). เมื่อ ปัสสัทธิ มี,
นติ (ความน้อมไป) ย่อมไม่มี (ปสฺสทฺธิยา สติ นติ น โหติ). เมื่อ นติ ไม่มี, อาคติคติ (การมาและการไป) ย่อมไม่มี
(นติยา อสติ อาคติคติ น โหติ). เมื่อ อาคติคติ ไม่มี, จุตูปปาตะ (การเคลื่อนและการเกิดขึ้น) ย่อมไม่มี (อาคติคติยา
อสติ จุตูปปาโต น โหติ). เมื่อ จุตูปปาตะ ไม่มี, อะไรๆ ก็ไม่มีในโลกนี้ ไม่มีในโลกอืน่ ไม่มีในระหว่างแห่งโลกทัง้ สอง
(จุตูปปาเต อสติ เนวิธ น หุรํ น อุภยมนฺตเร). นั่นแหละ คือที่สุดแห่งทุกข์ละ. (เอเสวนฺโต ทุกฺขสฺส)” (บาลี - อุ. ขุ.
25/208/161.) ข้อนี้อธิบายเพิ่มเติมได้ว่า ตัณหา และ ทิฏฐิ คือการรวมกิเลสท้ังหมดท่ีมอี ยู่ ซึ่งถือว่า เป็นสาเหตุ
ของความหวั่นไหวของ ผู้ยังไม่บรรลุธรรม. การบรรลุธรรมเกิดขึ้นได้ ตามหลักอิทัปปัจจยตา. เมื่อสิ่งนี้ (ตัณหา
และทิฏฐิ) มี, สิ่งนี้ (ความหวั่นไหว) ย่อมมี. เมื่อสิ่งนี้ (ตัณหาและทิฏฐิ) ไม่มี สิ่งนี้ (ที่สุดแห่งทุกข์) จึ งปรากฎขึ้น.
คำว่า “ท่ีสุดแหง่ ทกุ ข”์ เปน็ อาการนามของ นพิ พาน.

(6) ที่ตั้งของวิญญาณ (วิญญาณฐิติ) คือสถานที่ หรือ ร่างอาศัยของบรรดาสัตว์ทั้งหลาย วิญญาณฐิติ
มี 9 แห่ง/ลักษณะ คือ สัตว์ที่มีกายและมีสัญญาต่างกัน ได้แก่ มนุษย์โลก เทวดา และวินิบาตบางจำพวก. สัตว์ที่มี
กายต่างกัน แต่มีสัญญาอย่างเดียวกัน ได้แก่ เทวดาชั้นพรมกายิกา (ผู้ทำสมาธิได้ ฌาน 1). สัตว์ที่มีกายอย่าง
เดียวกัน แต่มีสัญญาต่างกัน ได้แก่ เทวดาชั้นอาภัสระ. สัตว์ที่มีทั้งกายและสัญญาอย่างเดียวกัน ได้แก่ เทวดาช้ัน
สุภะกิณหะ. สัตว์ที่เข้าถึงอากาสานัญจายตนะ เพราะการดับรูปสัญญา ปฏิฆสัญญา นานัตสัญญา. สัตว์ที่เข้าถึง
วิญญาณัญจายตนะ . สัตว์ที่เข้าถึงอากิญจัญญายตนะ. ผู้เข้าถึงอสัญญีสัตตายตนะ และผู้เข้าถึงเนวสัญญานา
สัญญายตนะ

๓๓

ท่ีมา http://www.igoodmedia.net/author/02_book/the-7-element/html/the7-element-chapter05.html

๓๔

ท่ีมา http://www.igoodmedia.net/author/02_book/the-7-element/html/the7-element-chapter05.html

๓๕

สถานที่ทั้งหมดนี้ เป็นที่ขังสัตว์ทั้งหลายไว้ในภพ ชาติ ตลอดสังสารวัฏ. แต่ตถาคต ได้บอกทางรอด
ให้สัตว์เหลา่ นั้น ออกมาจากท่นี ่ันได้ ด้วย 5 วิธตี ่อไปนี้ คือ รชู้ ัดในการเกิด (สมุทัย) รู้ชดั ในการดบั (อัตถงั คมะ) รู้ชดั
รสอรอ่ ย (อัสสาทะ) รชู้ ดั โทษตำ่ ทราม (อาทนี วะ) และ รู้ชัดในอุบายอันเปน็ เครื่องนำออกไปให้พ้น (นสิ สรณะ) จาก
วิญญาณฐิติ และอายตนะ ทง้ั 9 แหง่ /ลักษณะ. (บาลี - มหา. ท.ี 10/81/65.)

(7) เกณฑ์ที่ใช้วัดการบรรลุธรรม เกณฑ์ที่ใช้วัดการบรรลุธรรม, สัตว์ผู้นั้นต้องรู้ด้วยตนเอง คือรู้ชัดว่า
“ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว, กิจที่ควรทำ ได้ทำสำเร็จแล้ว, กิจอื่นที่จะต้องทำ เพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้
มีอีก.” นี่คือ อุตตริมนุสสธรรม (ธรรมอันวิเศษยิ่งยวด ที่มนุษย์จะมีได้) ที่มีในตนของผู้ที่ได้บรรลุธรรม. การบอกว่า
ตนเองได้บรรลุธรรมอันเป็นคุณวิเศษ (อุตตริมนสุ สธรรม) แก่ผู้อนื่ ทำได้หรือไม่? ข้อนี้ ตถาคต อนุญาตใหภ้ ิกษุบอก
ได้เฉพาะ ผู้มีธรรมเสมอกัน (อุปสัมบัน), จะเป็นนักบวชหรือไม่ก็ได้. ส่วนผู้ที่มีธรรมต่ำกว่า จะเป็นนักบวชหรือ
ไมก่ ต็ าม (อนุปสมั บนั ) หา้ มกระทำ. ถ้าฝืนกระทำลงไป ถอื เป็นความผิด ข้ันปาจติ ตีย์. แต่ถ้าภิกษแุ กลง้ บอกว่า ตนมี
คุณวิเศษ (อุตตริมนุสสธรรม) ทั้งๆ ที่ไม่มี, ไม่ว่าผู้ได้รับการบอก จะเป็นผู้ใดก็ตาม หรือ ผู้ได้รับการบอก จะเช่ือ
หรอื ไมก่ ็ตาม, ภิกษนุ ัน้ มคี วามผดิ ขั้น ปราชกิ (ขับออกจากศาสนา). แตก่ ็มีข้อยกเวน้ ถ้าภกิ ษนุ ั้น ‘หลงผิด' คิดว่าตน
มีคุณวิเศษนั้นก็ไมต่ ้องรับผิด. ข้อสังเกตพฤตกิ รรม การอวดอุตตริมนสุ สธรรมน้ี, ตถาคต มีข้อห้ามข้อกำหนดเฉพาะ
ภิกษุ ไม่ได้หมายความรวมถึงผู้ไม่ใช่นักบวช. การบรรลุธรรม ในความหมายที่แท้จริง หมายถึง การหลุดพ้นจาก
อาสวะทั้งหลาย (กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชา). สรุปก็คือ กิเลส อนุสัย อวิชชา ฉันทะ ราคะ นันทิ ตัณหา อุปาทาน
และ สังโยชน์. การบรรลุธรรม หรือ อุตตริมนุสสธรรม เป็นความตั้งใจความปรารถนาของ ผู้ที่เป็นสัตว์ (สัตตา)
นั้นเอง ที่ต้องการเช่นนั้น. อุปมาเหมือน บุรุษผู้หนึ่งเป็น ผู้แสวงหา ออกไปตามหาช้าง (นิพพาน), ลำดับแรก
พบรอยเท้าก่อน (รู้ว่ามาถูกทางแล้ว), ลำดับต่อมา ได้ยินเสียงช้างอยู่ใกล้ๆ พบกิ่งไม้หัก ใบไม้ฉีกขาด อัน
เนื่องมาจากช้าง (คาดว่าจะต้องพบช้างแน่นอน), ในที่สุด ก็พบช้างและได้ลูบคลำช้าง บุรุษผู้นั้นเป็น ผู้พบ (วิมมุตติ
ญาณทัสสนะ).

การบรรลุธรรม อาจแบ่งชว่ งเวลา ไว้ 3 ลำดับ คอื
(1) ข้ันรูส้ ึก สตั ว์ผ้แู สวงหา ซึ่งอย่ใู นฐานะ ผถู้ ูกสงั เกต คือ รบั รูว้ า่ วิญญาณ เขา้ ไปตง้ั อยู่ในขนั ธ์แล้ว.
(2) ขั้นเห็น สัตว์ผู้แสวงหาผู้นั้น มองเห็น วิญญาณ กับ ขันธ์-5 ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน. ขั้นนี้ เกิดรอยต่อ
ระหว่าง ผู้ถูกสังเกต และ ผู้สังเกต ทำให้มองเห็น การดับสลายของปฏิจจสมุปบาท และสังโยชน์ (สังโยชน์ คือ
เครื่องร้อยรัดสตั ว์ ใหเ้ ป็นสัตว)์ .
(3) ข้ันเปน็ เป็นผปู้ ฏบิ ัตสิ ำเร็จแล้ว (ในฐานะ ผู้สงั เกต) คอื สตั ว์น้นั หลดุ พน้ จากการยึดม่นั ขันธ์-5 ข้าม
พ้นสังขตลักษณะ และอนิจจตา ทุกขตา อนัตตตา ว่านั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา (เนตํ
มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตตฺ า). สัตวน์ นั้ ก็เปล่ียนสถานะ จากผูถ้ ูกสงั เกต หรือ สตั ตา มาเปน็ ผ้สู งั เกต หรอื วมิ ุตติ
ญาณทัสสนะ, เพราะมองเห็นอสังขตาธาตุ ตามที่เป็นจริง. การหลุดพ้นและการบรรลุธรรม ทั้ง 3 ขั้นนี้ เกิดขึ้นได้
เพราะสตั วผ์ ู้นั้น ฟงั ธรรมบ่อยๆ นัน่ เอง.

๓๖
แผนที่วมิ ุตติ – นิพพาน ตามพุทธวจน เพื่อแสดงปัจจัยท่เี กี่ยวขอ้ งและลำดบั การหลุดพ้น

ทีม่ า http://www.igoodmedia.net/author/02_book/the-7-element/html/the7-element-chapter05.html

๓๗

ข้อสรุปและข้อโต้แย้งบางประการเกย่ี วกบั ฟิสิกส์แห่งจติ วิญญาณ
(1) จิต (psychic) หรือ จิตธาตุ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มนามรูป หรือ รูปของจิต (body of
mind) เช่น ธาตุ18, ผัสสะ6, เวทนา 6, สัญญา6, วิญญาณ6. กลุ่มที่ใช้เป็นเครื่องมือที่จะนำไปใช้ตัดรอบสาย
การเกิด ปฏิจจสมุปบาท เช่น อินทรีย์22, อิทธิบาท4, ปธาน-4, พรหมวิหาร4 และกลุ่มที่แสดงลักษณะอาการ
ได้แก่ (ก) แสดงลักษณะอาการที่เป็นโทษ เช่น นิวรณ์5, สังโยชน์10, กิเลส16 (ข) แสดงลักษณะอาการที่เป็นคุณ
เช่น ปรมัตถธรรม4, สติปัฎฐาน4, สัมมัปธาน4, อินทรีย์5, พละ5, โพชฌงค์7. หลักเกณฑ์ที่ใช้วัดคุณภาพของจิต
คือ สมาธิ หรือ ฌาน. มีเพียงมนุษย์ และเทวดา เท่านั้น ที่จะสร้างสมาธิจิต ให้แก่ตัวเองได้. สมาธิจิต มี 9 ระดับ
(ฌาน 4 + อายตนะ 5) คือ ปฐมฌาน (ฌาน 1), ทุติยฌาน (ฌาน 2), ตติยฌาน (ฌาน 3), จตุตถฌาน (ฌาน 4),
อากาสานัญจายตนะ, วิญญา-ณัญจายตนะ, อากิจจัญญายตนะ, เนวสัญญานาสัญญายตนะ (อสัญญีสัตตายตนะ)
และ สัญญาเวทยิตนิโรธ. ลักษณะของจิตที่ไม่มีคุณภาพ คือ จิตที่ถูกครอบงำด้วย นิวรณ์ 5 (กามฉันทะ พยายาท
ถีนมทิ ธะ อทุ ธัจจกุกกุจจะ วิจกิ ิจฉา) และ อาสวะกิเลสทง้ั หลาย (อาสวะ = กาม + ภพ + อวชิ ชา).
(2) วญิ ญาณ สรา้ งขอ้ มูลไว้ในเหตุการณ์ วญิ ญาณ มีคณุ สมบตั ิพ้ืนฐาน 3 ประการ คอื (1) ผูกติดอารมณ์
(อารมณ์สร้างวิญญาณ วิญญาณสร้างอารมณ์) (2) เปลี่ยนแปลงเร็ว เหมือนคุณสมบัติคลื่นของโฟตอน และ (3)
เกิด-ดับ ตลอดเวลา เหมือนคลื่นแสงที่ถูกปล่อยออกไปเป็นห้วงๆ. วิญญาณแต่ละดวง ผลิต ข้อมูล อย่างต่อเนื่อง
แบบเดียวกบั การพวั พันกัน ของอนุภาคสองตวั ท่มี ีการเช่ือมตอ่ ของจุด 2 จุด คือ เมอ่ื ดวงหน่ึงดับไป ( = สปินซ้าย)
อีกดวงหนง่ึ เกดิ ขน้ึ ( = สปนิ ขวา) โดยไม่จำเปน็ วา่ ต้องเปน็ แบบที่เปน็ เหตเุ ปน็ ผลต่อกนั (locality) หรอื ไมต่ อ้ งเปน็
เหตุเป็นผลต่อกัน (quantum nonlocality). แม้กระทั่งการพัวพันกันนั้น อาจอยู่ในแบบย้อนเวลา หรือในทันที
(เกดิ – ดบั ในทันที) กเ็ ป็นไปไดท้ ้งั สนิ้ . ประเด็นสำคญั อยทู่ ี่ว่า ขอ้ มูล ในชอ่ งวา่ งอนั น้อยนิด ระหว่างเกดิ – ดบั ของ
วิญญญาณนั้น ก่อให้เกิดเหตุการณ์ หรือ กรรม สืบเนื่องเป็นแรงปรุงแต่งของจิต ให้เป็นตัวตนขึ้นมา เช่น นันทิ
ราคะ ฉันทะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน. วิญญาณดำรงอยู่ในสนาม (field) ของกาลอวกาศ (spacetime) การดับไป
ของวิญญาณ ได้ทิ้ง เหตุการณ์ (event) ไว้เบื้องหลัง. ‘เหตุการณ์' ในที่นี้ ก็คือ ‘อารมณ์' ซึ่งเป็นส่วนผสมของ
เวทนา สัญญา สังขาร. ร่องรอยของเหตุการณ์เหล่านี้ สามารถจัดเข้าชุดกันได้เป็น 6 ชุด คือ (๑) จักขุ (จักข๎วาย
ตนะ-จักขุสัมผัส-จักขุสัมผัสสชาเวทนา) (๒) โสตะ (โสตายตนะ-โสตสัมผัส-โสตสัมผัสสชาเวทนา) (๓) ฆานะ
(ฆานายตนะ-ฆานสัมผัส-ฆานสัมผัสสชาเวทนา) (๔) ชิวหา (ชิวหายตนะ-ชิวหาสัมผัส-ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา)
(๕) กายะ (กายายตนะ-กายสัมผสั -กายสมั ผัสสชาเวทนา) (๖) มโน (มนายตนะ-มโนสมั ผัส-มโนสมั ผสั สชาเวทนา)

๓๘

ที่มา http://www.igoodmedia.net/author/02_book/the-7-element/html/the7-element-chapter05.html
ที่มา http://www.igoodmedia.net/author/02_book/the-7-element/html/the7-element-chapter05.html

๓๙

ท่ีมา http://www.igoodmedia.net/author/02_book/the-7-element/html/the7-element-chapter05.html

พฤติการณ์ของวิญญาณแต่ละดวง ทำหน้าที่ส่องไปที่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร ซึ่งเปรียบเหมือนฉาก
ก่อให้เกิด ข้อมูล ที่จะใช้เป็นเชื้อก่อเกิดชีวิต จากนั้นก็ดับสลายไปในทันที เหมือนการยิงกระสุนไฟ ไปที่ฉาก.
กระสุนไฟ ก็คือ มโน, ตถาคต เปรียบพฤติการณ์ของวิญญาณ เหมือนลิงเกาะและปล่อยกิ่งไม้. กระสุนไฟที่ยิง
ออกไปปะทะ (ผัสสะ) เป้า ถูกกระทำให้เกิดขึ้น ต่อเนื่องตลอดเวลา. พฤติการณ์แบบนี้ เหมือนการปล่อยคลื่นของ
แสงออกมา คราวละหนึ่งควอนตัม ติดต่อกันด้วยความเร็ว จนดูเหมือนลำแสงนั้น สว่างตลอดเวลา. วิญญาณไม่ใช่
สงิ่ มีชีวิต มันจงึ ไมร่ ้เู รื่องอะไร. ข้อมูล ทวี่ ิญญาณ ทิ้งไว้ในเหตุการณ์ มันก็ไม่สนใจเช่นกัน

๔๐
กระบวนการ จติ มโน วิญญาณ เลียนแบบระเบยี บวธิ ีสื่อสาร (protocol) ของอนุภาค.
จากผลการทดลอง สภาวะพัวพันกันของอนุภาค ซึ่งทำการทดลองกันหลายครั้ง, พิสูจน์ว่า อนุภาคที่มี
การพัวกันนั้น จะส่งผลตอ่ กันในทันที แม้ว่าอนภุ าคน้ันจะอยูห่ า่ งไกลกันก็ตาม. ระเบียบวิธีการสือ่ สารท่ีเป็นพื้นฐาน
ที่สุด ที่ใช้สื่อสารกัน ระหว่างอนุภาคกับอนุภาค คือ การส่งข้อมูลสปินของอนุภาค. ถ้าอนุภาคหนึ่ง มีสถานะ
สปนิ ขวา อกี อนภุ าคหนึ่ง ก็จะมีการสปนิ ซา้ ยในทนั ทีด้วยวธิ ีการพวั พนั กัน (entangled)

ท่มี า http://www.igoodmedia.net/author/02_book/the-7-element/html/the7-element-chapter05.html

๔๑
First image of Quantum Entanglement. การพวั กันเชิงควอนตมั สถานะควอนตัมของแต่ละอนภุ าค
ไมส่ ามารถอธิบายไดว้ า่ จะเปน็ ไปโดยอสิ ระจากอนภุ าคอนื่ ๆ แมว้ า่ อนภุ าคเหลา่ นนั้ จะถกู แยกออกในระยะห่าง

กนั มากๆ

ทีม่ า http://www.igoodmedia.net/author/02_book/the-7-element/html/the7-element-chapter05.html

ในการส่งข้อมูลสปิน อย่างน้อยด้วยอัตราความเร็ว ที่เร็วกว่าแสง หรือ การส่งข้อมูลสปินนั้น เกิดขึ้นแล้ว
กอ่ นหน้านนั้ ราวกับว่า ถ้าอนภุ าคหนึง่ จะสปินขวา อนุภาคอกี อันหนงึ่ เตรียมสปินซ้าย กอ่ นทอ่ี นภุ าคทงั้ สอง จะเกิด
การพัวพันกันเสียอีก. นั่นหมายความว่า อนุภาคสามารถเดินทางข้ามเวลาได้. การยกพฤติการณ์การสปินของ
อนุภาค สองตัวขึ้นไปนั้น เป็นระเบียบวิธีการสื่อสารแรกสุดในเอกภพ และมันเป็นภาษาดิจิตัล ที่เป็นพื้นฐานที่สุด
ในเอกภพเชน่ กนั . ในขณะทีอ่ นุภาคหนึ่งมีสถานะสปินขวา กเ็ หมอื นการสง่ ข้อมูล บติ 0 ออกไป และอีกอนภุ าคหน่งึ
ก็จะรับช่วงต่อ แสดงบิต 1 ออกไป รวมเป็นข้อมูล 1 บิต. ในห้วงเอกภพมีอนุภาคเป็นจำนวนอนันต์ ย่อมมีการส่ง
ข้อมูลเป็นจำนวน อนันต์บิต เช่นกัน. การพัวพันกันของอนุภาคกอ่ ให้เกิดรูปแบบการก่อตัวของอตอม เป็นธาตุชนดิ
ต่างๆ มากมาย. นั่นคือระเบียบวิธีสื่อสารทางด้านฟิสิกส์. เนื่องจากอวิชชา มีคุณสมบัติทวิภาค วัตถุธาตุ – จิตธาตุ.
อวชิ ชาสว่ นทเ่ี ป็นวตั ถุธาตุ “มนั ไมร่ ูเ้ รื่องอะไร” อาจมีพฤตกิ ารณแ์ บบเดียวกบั การสง่ ข้อมลู กนั ของอนุภาค. อวิชชา
ส่วนที่เป็นจติ ธาตุ เป็นเพียงการแสดงสญั ญะ ของความไมร่ ู้ (นิวรณ์ 5 และ ทุจริต 3). ความไม่รู้นั้น จะถูกส่งตอ่ ไป
เพื่อปรุงแต่ง เป็นนามรูปของจิต ชนิดต่างๆ เช่น ฉันทะ ราคะ นันทิ ตัณหา อุปาทาน. สรุปว่า ข้อมูลที่วิญญาณ
ผลิตขึ้นมานั้น พัฒนามาจากอวิชชา สังขาร. ระเบียบวิธีการสื่อสาร หรือ protocal ที่วิญญาณนำไปใช้ก็มีลักษณะ
เดียวกนั กับการพวั พันกนั ของอนุภาคน่นั เอง

๔๒

อวิชชา คอื อะไรกันแน่ จติ หรอื วตั ถุ รกู้ นั ใหล้ กึ ซึง้ กวา่ นี้ไดอ้ กี หรอื ไม่?
โดยธรรมชาติการเกิดของ อวิชชา และ สังขาร, ธัมมะธาตุทั้งสองอย่างนี้ มีคุณสมบัติคู่ คือเป็นทั้งวัตถุ
ธาตุ และเป็นจิตธาตุ. ในความเป็นวัตถุธาตุ, คำถามก็คือว่า อวิชชา เกิดมาตั้งแต่เมื่อใด. ถ้าเราเชื่อตาม
นักวิทยาศาสตร์ว่า เอกภพ และ เวลา เกิดจากบิ๊กแบง. จากนั้น สสารและพลังงาน ที่อัดแน่นมาพร้อมกับ เอกภพ
แรกเกิด ก็เกิดการวิวัฒน์ ไปเป็นธาตุต่างๆ. ตถาคต กล่าวไว้ ในอริยสัจจากพระโอษฐ์ 1 หน้า 333. ว่า “ที่สุดใน
เบื้องต้นของอวิชชา ย่อมไม่ปรากฎ. แต่ก่อนนี้ อวิชชา มิได้มี. อวิชชา เพิ่งมีในภายหลัง.” เราก็อาจได้ข้อสรุปเป็น
เบ้อื งตน้ ไว้ก่อนว่า อวชิ ชา เฉพาะในส่วนที่เป็นวตั ถธุ าตุ กน็ า่ จะเกดิ พร้อมกับ การเกดิ บิก๊ แบงเชน่ กัน. คำว่า ‘ววิ ัฒน์'
ก็คือ การปรุงแต่ง (สังขาร) ของธาตุต่างๆ นั่นเอง. พระองค์กล่าวต่อมาว่า “อวิชชา เป็นธรรมที่มีอาหาร หาใช่เป็น
ธรรมชาติที่ไม่มีอาหารไม่., เป็นคำที่ใครๆ ก็ควรกล่าวว่า ‘อวิชชา ย่อมปรากฎ เพราะมีสิ่งนี้สิ่งนี้ เป็นปัจจัย'
(อิทปฺปจฺจยา อวชิ ชฺ า).” อวิชชา ในตอนหลังนี้ ก็คือ อวิชชา ทีม่ ีคุณสมบัตเิ ป็นจติ ธาตุ เชน่ เดยี วกบั สังขาร ก็ปรากฎ
ส่วนที่เป็นจิตธาตุตามมา. และ การปรุงแต่งอวิชชา (ส่วนจิตธาตุ) ย่อมต้องการธรรมอื่น มาเป็นอาหาร เพื่อให้
อวิชชา ปรากฎขึ้น. ธรรมนั้นคือ นิวรณ์ 5, นิวรณ์ 5 เป็นอาหารของ อวิชชา, ทุจริต 3 เป็นอาหารของ นิวรณ์,
การไม่สำรวมอินทรีย์ เป็นอาหารของ ทุจริต 3, หากจะสืบสาวสาเหตุต่ออีก ก็จะวนกลับไปที่เดิม คือ อวิชชา.
อวชิ ชา กบั นิวรณ์ มคี วามสมั พนั ธก์ ันลกึ ซง้ึ . เพราะนิวรณ์ เป็นอาหารของอวชิ ชา จงึ เปน็ เหตใุ ห้ นวิ รณ์ มีคุณสมบัติ
2 ด้าน ดว้ ยเช่นกนั คอื จติ ธาตแุ ละวตั ถุธาตุ (คุณสมบัตขิ องนิวรณ์ แปรไปตามคณุ สมบัตขิ องอวิชชา) ดงั นี้

สมบัติการเป็นธาตุของนวิ รณ์

นวิ รณ์ 5 คณุ สมบัตดิ า้ นจติ ธาตุ คณุ สมบตั ดิ า้ นวัตถธุ าตุ

กามฉนั ทะ รัก ชอบ พอใจ (ดึงดดู เข้าสู่ศูนยก์ ลาง) การรักษามิติรูปทรงของสสาร วตั ถุและการเกิดขึ้น

ของแรงโน้มถว่ ง

พยาบาท โกรธ เกลยี ด (ผลกั ออกจากศูนยก์ ลาง) การสะสมพลังงานความร้อนและพลังงาน

นวิ เคลียรไ์ วใ้ นนิวเคลยี ส (แรงนวิ เคลยี รอ์ ยา่ งเขม้ )

ซ่ึงทำให้ระเบิดออกได้ (ปฏกิ ิรยิ าฟิวช่ัน)

ถนี มิทธะ ง่ วง เห งา เศ ร ้ า ซ ึม หล บหลีก สถานะความเป็นกลางของนิวตรอน และรวมถึง

ไม่ตอบสนอง คณุ สมบัตอิ อ่ นแรงของนิวตริโน

อทุ ธจั จกกุ กจุ จะ ฟุ้งซ่าน ไม่มีขอบเขตตอบสนอง การเสื่อมและเสื่อมต่อเนื่องของวัตถุ อันเกิดจาก

ไมจ่ ำกดั แรงสลายอะตอม (แรงนิวเคลียร์ อย่างอ่อน) และ

การพลุ่งพลา่ นของอนุภาคท่ไี ดร้ บั ความรอ้ น

วิจิกิจฉา ลงั เล สงสยั โง่ หาขอ้ สรุปไมไ่ ด้ นิวเคลียสของอะตอม จะดึงดูดอิเล็กตรอนไว้

เพื่อมิให้ถูกเหวี่ยง ออกไป (แรงหนีศูนย์กลาง =

แรงโน้มถ่วงสู่ ศนู ยก์ ลาง)

หมายเหตุ ทุจริต 3 (ทางกาย วาจา ใจ) เป็นอาหารของนวิ รณ,์ ทุจริต 3 ก็ไม่จำเป็นต้องมคี ณุ สมบัตดิ า้ นวตั ถธุ าตุ

ไปด้วย เพราะมคี ณุ สมบตั อิ ย่ใู นลำดับต่ำกว่านวิ รณ์

๔๓

ที่จริงอวิชชา ไม่ได้แปลว่า ไม่รู้ หรือ โง่ เสียทีเดียว. อวิชชา ที่เป็นวัตถุธาตุ เริ่มจากอนุภาคพื้นฐาน
(ควาร์ก อิเล็กตรอน นิวตรอน โปรตอน) รวมตัวกันเป็นอะตอม เมื่อ 379,000 ปี หลังบิ๊กแบง ตอนนั้น เอกภพ
เปลี่ยนจาก พลาสมาทึบแสง กลายเป็นโปร่งใส, หลายอะตอม ถูกปรุงแต่งให้เป็น ธาตุต่างๆ, ธาตุที่หลากหลาย
ก็ถูกปรุงแต่งเป็น สสาร วัตถุ. 150 ล้านปี หลังบิ๊กแบง ดาวฤกษ์ดวงแรกถือกำเนิดขึ้น. กระบวนการปรุงแต่งกลไก
ชีวะฟิสิกส์ เหล่านี้ ล้วนมีสาเหตุมาจากอวิชชาทั้งสิ้น. อวิชชา รู้ได้อย่างไรว่า มันควรจะปรุงแต่งอะไรกับอะไร
เพื่อให้เป็นอะไร. หมายความว่า ในสถานะวัตถุธาตุ ที่แวดล้อมด้วย แรงพื้นฐานทั้งสี่ กับกฎการอนุรักษ์พลังงาน
เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ อวิชชา ปรุงแต่งสิ่งต่างๆ ขึ้นมา โดยที่มันไม่รู้เรื่องอะไร เช่นนั้นหรือ ? ปรากฎการณ์ทาง
ธรรมชาติ เป็นสิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้ อวิชชา จะปรุงแต่งอะไรกับอะไร เพื่อให้เป็นอะไร ก็เป็นสิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้
เช่นกัน

บนโลกเรามีสิง่ มีชีวิตที่อยู่รอดได้ ในอุณหภูมิสงู ถึง 125 องศาเซลเซียส, บางชนิดก็อยู่รอดได้ที่อณุ หภูมิ
ต่ำถึง -80 องศาเซลเซียส, บางชนิดอยู่ใต้ทะเลลึกที่มีแรงดันสูงกว่าที่พื้นผิวโลกถึง 100 เท่า, บางชนิดอยู่ได้ดีใน
กรดหรือเบส ซึ่งจะทำลายผิวหนังมนุษย์ได้อย่างรวดเร็ว. ชีวิตทรหดเหล่านี้ นักวิทยาศาสตร์ เรียกว่า เอ็กซ์ตรี -
โมไฟล์ (extremophiles). นักวิทยาศาสตร์ พบว่า ฟอสฟอรัส เป็นธาตุองค์ประกอบที่จำเป็นต่อการมีชีวิต.
แกนของสายพันธุกรรม (DNA และ RNA) เยื่อหุ้มเซลล์และสารเก็บพลังงานในเซลล์ ล้วนแต่มีฟอสฟอรัส
เป็นองค์ประกอบหลัก. ฟอสฟอรัส ที่สิ่งมีชีวิตบนโลกนำไปใช้ จะต้องอยู่ในสถานะชีวเคมี ที่เซลล์จะนำไปใช้ได้ คือ
ต้องอยู่ในรูปของสารประกอบที่ละลายน้ำได้ เช่น ฟอสเฟต กรดฟอสฟอริก. นอกจากนี้ การปรุงแต่งของเซลล์
ให้เกิดโครงสร้างของร่างกายที่อาศัยได้ ยังต้องประกอบด้วยธาตุอื่นๆ เช่น คาร์บอน น้ำ ออกซิเจน. ปรากฎการณ์
การปรุงแต่งวตั ถธุ าตเุ หล่าน้ี ให้กลายเปน็ องคป์ ระกอบชวี ติ ลว้ นเกดิ จาก อวิชชา สังขาร ทัง้ สิ้น. อวิชชา รู้ได้อยา่ งไร
ว่า ธาตุฟอสฟอรัส คาร์บอน น้ำ ออกซิเจน จะกลายเป็นองค์ประกอบพื้นฐาน ในการปรุงแต่งร่างกาย อันเป็นท่ี
อาศัยของสิ่งมีชีวิต. ไม่มีผู้ใดให้คำตอบนี้ได้ แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ แต่ก็พอมีทางออก ด้วยการยกข้อสงสัยนี้ให้กับ
พระเจ้าสร้างโลก หรือ ตอบว่า “ไม่รู้” ซึ่งตรงกับ ชื่อ อวิชชา ก็ยังฟังดูไม่น่าเกลียด. คุณสมบัติการเป็นจิตธาตุของ
อวิชชา เริ่มเมื่อพลังงาน ถูกปรุงแต่งผสมรวมไปกับธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ก่อเกิด กลไกชีวะชีวิต จุลินทรีย์ แบคทีเรีย
รา พืช และองค์ประกอบของ ระบบชีวิตแบบ ขันธ์-5, สัตว์ต่างๆ ก็อุบัติตามมา. คุณสมบัติ ‘ความไม่รู้' ของอวิชชา
อยู่ตรงจุดใดกันแน่? ดังที่กล่าวไปแล้วว่า อวิชชา ไม่ได้แปลว่า ไม่รู้ หรือ โง่ เสียทีเดียว. ประเด็นความไม่รู้ของ
อวิชชา อยู่ที่คุณสมบัติการเป็นจิตธาตุ ในขันธ์-5 ซึ่งถูกร้อยรัดด้วยตัวของมันเอง. เพราะเหตุที่ อวิชชา เป็นที่รวม
ของกิเลส และอาสวะ ทุกชนิด เช่น นิวรณ์ สังโยชน์ ทุจริต ตัณหา มานะ อัตตา, ทำให้สัตว์ มนุษย์ เทวดา ไม่รู้
ความจริงว่า ต้นเหตุของการเกิด แก่ ตาย มาจากอะไร. ตถาคต มุ่งหมายในความไม่รู้ของอวิชชา เฉพาะประเด็น
การไม่รู้แจ้ง ไม่รู้ชัดใน อริยสัจ-4 และ ปฏิจจสมุปบาท เท่านั้น ไม่ได้รวมถึง การไม่รู้ว่า วัตถุธาตุต่าง (ดิน น้ำ ไฟ
ลม) ถูกปรุงแต่ง เปน็ มาอย่างไร. โปรดสงั เกตว่า พระอรยิ บคุ คล ท่จี ะได้หลดุ พ้น เข้าถงึ วมิ ุตต–ิ นิพพาน โดยสมบรู ณ์
นั้น จะละวางอวิชชา ไว้เป็นตัวสุดท้าย (สักกายะทิฏฐิ วิจิกิจฉา ศีลัพพตปรามาส กามฉันทะ พยาบาท รูปราคะ
อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ) ซึ่งก็คือ 1 ใน 10 ของสังโยชน์ หรือเครื่องร้อยรัด. เมื่อผู้นั้นละอวิชชาได้หมด
สน้ิ ส่งิ ท่ีเรยี กวา่ วิชชา ก็เขา้ มาแทนท่ี ก็ถือว่า อวชิ ชา (สว่ นจติ ธาตุ) ได้ถกู กำจัดหมดสิ้นแล้ว ส่วนอวิชชาท่ีเป็นวัตถุ
ธาตุ ก็ปลอ่ ยให้มนั อยูอ่ ยา่ งน้ันไป จนกวา่ จะสน้ิ อายุขัย.

๔๔

(5) การพิจารณาธัมมะธาตุและการสร้างสมาธิจิต เพื่อการบรรลุธรรม การพิจารณาธัมมะธาตุสำหรับ
การบรรลุธรรม, บุคคลพึงพิจารณา ธรรม 3 ข้อนี้ เป็นเบื้องต้นก่อน แล้วจะมองเห็น ความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับข้อ
ธรรมที่หลากหลายเหล่านั้น, ธรรม 3 ข้อ คือ (1) พิจารณาธรรมในความเป็น ธาตุ เช่น ขันธ์5 อินทรีย์ 6
(2) พิจารณาธรรมคือ อายตนะ (จุดเชื่อมต่อของการรับรู้) เช่น ตา-รูป หู-เสียง จมูก-กลิ่น ลิ้น-รส กาย-สัมผัส
ใจ-อารมณ์ (3) พิจารณาธรรม เป็นธรรมชาติอันอาศัยกันแล้วเกิด คือปฏิจจสมุปบาท. ธรรม 3 ข้อนั้น จะเป็น
พื้นฐานการสร้างสมาธิจิต ที่ใช้การได้สำหรับ การบรรลุ หรือการหลุดพ้น เข้าถึงนิพพานได้. สำหรับผู้ที่ต้องการ
จะเข้าถึงนิพพาน ด้วยวิธี สมถวิปัสสนา ต้องทำจิตให้ได้ สมาธิฌาน ระดับใดระดับหนึ่ง ใน 1 -9 ระดับ หรือ
ทั้งหมด. “ภิกษุทั้งหลาย ! เรากล่าวความสิ้นอาสวะ เพราะอาศัยปฐมฌานบ้าง เพราะอาศัยทุติยฌานบ้าง
เพราะอาศัยตติยฌานบ้าง เพราะอาศัยจตุตถฌานบ้าง เพราะอาศัย อากาสานัญจายตนะบ้าง เ พราะอาศัย
วิญญาณัญจาตยนะบ้าง เพราะอาศัยอากิญจัญญายตนะบ้าง เพราะอาศัยเนวสัญญานาสัญญายตนะบ้าง เพราะ
อาศัยสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง. ...” (บาลี - นวก. อํ. 23/348/240.) [ผู้ศึกษาพึงสังเกตว่า ตั้งแต่ ฌาน 1 - 4
ผู้ปฏิบัติสมาธิระดับฌาน ยังมีขันธ์ครบทั้ง 5 ขันธ์, แต่ในระดับ อากาสานัญจายตนะ ถึง อากิญจัญญายตนะนั้น
มีขันธ์เพียงสี่ คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ] (6) เส้นแบ่งระหว่าง ชีวิตกับความตาย จากข้อพิสูจน์ที่เป็นจริง
ทางวิทยาศาสตร์ สู่การบรรลุธรรม ของพระอริยบุคคล “ หลังทำกาละ ” (ตาย). เหตุการณ์หลังการตาย เป็นเรื่อง
ของอนาคตของมนุษย์ทุกคน และเป็นสิ่งมหัศจรรย์ สำหรับนักวิทยาศาสตร์. แท้จริงแล้ว ชีวิตกับความตายมีอะไร
เป็นเส้นแบ่ง. สารสื่อประสาท กลายเป็นระเบิดพลุ่งพล่านในสมอง. [12] ในปี ค.ศ. 2015 นักวิทยาศาสตร์
อเมริกัน จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ศึกษาสมองและหัวใจ ของหนู ในเวลาที่ขาดออกซิเจน. พวกเขาค้นพบว่า
สมองตอบสนองต่อสถานการณ์คับขัน ด้วยการปล่อยสารสื่อประสาท ในปริมาณมากออกมาหลายชนิด เช่น
โดปามีน และ นอร์อะดรีนาลิน โดยมีการปล่อยอย่างมีแบบแผน. สารสื่อประสาทเหล่านี้ ทำให้ประสบการณ์เฉียด
ตายนั้น รู้สึกรื่นรมย์ เป็นสุข เห็นรายละเอียดต่างๆ ชัดเจน และเกิดภาพหลอนที่สวยงาม. ยิ่งกว่าน้ัน
สารสือ่ ประสาท ยงั บงั คับใหห้ วั ใจหยดุ เต้น หลงั ออกซิเจนขาดแคลนไมก่ ีน่ าที.

ผลการศึกษาห้วงนาทีหลังการตาย พบว่า ในเวลา 1 นาที เกิดความสนใจพลุ่งพล่าน บังเกิดจิตแจ่มชดั
ขึ้น เพราะระดับ นอร์อะดรีนาลินจากสมองกลีบหน้า เพิ่มขึ้น 30 เท่า. อารมณ์รู้สึกเกิดการรวมศูนย์ ก่อตัวข้ึน
ระดับของสารสื่อประสาท โดปามีนในสมองกลีบหน้า และศูนย์การมองเห็น เพิ่มขึ้น 7 เท่า. จังหวะการเต้นของ
หัวใจต่ำลง ในขณะที่ระดับของ สารสื่อประสาทกาบา (GABA) ในสมองกลีบหน้า และศูนย์การมองเห็น เพิ่มขึ้น
20 เท่า. เข้าสู่นาทีที่ 2 เกิดภาพหลอน จิตถูกกระตุ้น โดยสารสื่อประสาท ซีโรโทนิน ระดับซีโรโทนิน ในศูนย์การ
มองเห็น เพิ่มขึ้น 2 เท่า ซีโรโทนินและกาบา บังคับให้หัวใจหยุดเต้น. เข้าสู่นาทีที่ 4 ไม่มีกิจกรรมของสมองแล้ว
หัวใจก็จะหยุดเต้นไปด้วย แต่ระดับของสารสื่อประสาทเพิ่มสูงสุด จากปกติ 40 ถึง 400 เท่า. นั่นคือข้อพิสูจน์ว่า
ประสบการณ์ใกล้ตาย หรือประสบการณ์เฉียดตายนั้น เกิดขึ้นจากประสาทสัมผัสที่เข้มข้น และทรงพลัง. มนุษย์
รับรู้ความตายได้เข้มข้น ในเวลาระหว่าง “เส้นแบ่ง” ของประสบการณ์เฉียดตายนั้น แจ่มชัดและรุนแรงมากกว่า
ความจำท่ัวไป. เพื่อจะเรียนรู้ปรากฏการณ์นี้, สตีเวน ลอร์เรย์ส แพทย์จากมหาวิทยาลัยลีชในเบลเยี่ยม
สัมภาษณ์ผู้ป่วย 21 ราย ทเี่ คยตายทางการแพทย์มาแลว้ ด้วยเรือ่ งความทรงจำขณะตายของพวกเขา. ผ้ปู ว่ ยเลา่ ถึง
ประสบการณ์เฉียดตาย ที่ตนเคยผ่านมาแล้วว่า เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก และภาพที่แจ่มชัด. ประสการณ์เฉยี ด
ตายนั้น มีพลัง และเข้มข้นกว่าความทรงจำปกติ. ในการศึกษาครั้งนี้ สตีเวน ลอร์เรย์ส ได้แสงดให้เห็นว่า ผู้ป่วย

๔๕

เหล่านั้น ไม่ได้จินตนาการขึ้นมาเอง เพราะพวกเขาไม่ได้เห็นว่า ความทรงจำเก่าๆ นั้น เข้มข้นกว่าของคนอื่น.
เขาสรุปว่า ประสบการณ์เฉียดตายนั้น เป็นเหตุการณ์ที่ผู้ป่วยพบจริง แต่มันไม่ได้เกิดขึ้นจริง มันเป็นภาพหลอนท่ี
เปน็ จรงิ อย่างยิง่ ไม่เหมอื นภาพหลอนอ่ืนๆ ซึ่งผปู้ ว่ ย ไม่สามารถแยกแยะ จากประสบการณ์จริงได้เลย. เหตุการณ์ท่ี
นักวิทยาศาสตร์ศึกษานั้น เคยเกิดขึ้นมาแล้ว กับมนุษย์ที่เป็นพระอริยบุคคล เมื่อฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า
แลว้ บงั เกดิ การรวมศนู ยข์ องพลงั ทางจิต ปล่อยวางอาสวะกเิ ลสทเ่ี คยติดยดึ ลงได้ อย่างน่าอศั จรรย์ เชน่ กรณบี งั เกดิ
แก่พระภิกษุโมลิยผัคคุนะ เมื่อฟังคำของตถาคตแล้ว หลังทำกาละ (ตาย) ผิวพรรณผ่องใส เพราะได้บรรลุธรรม
โดยละสังโยชน์ไดส้ ำเรจ็ ในระหว่างเสน้ แบง่ ความเปน็ ความตาย.

(7) ร่างใหม่ในภพใหม่ของสัตว์ สัตว์จะได้ร่างใหม่ (อัตภาพใหม่) เมื่อหลังตาย (ในทันที). สัตว์ที่ได้
อัตภาพที่สำเร็จด้วย กาย ได้แก่ มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน (สัตว์โลก ), สัตว์ที่ได้อัตภาพที่สำเร็จด้วยใจ ได้แก่ เทวดาใน
ระดับชั้นต่างๆ รวมทั้งเทวดาชั้นรูปพรหม, ผู้ที่ได้อัตภาพที่สำเร็จด้วย สัญญา ได้แก่ เทวดาชั้นอรูปพรหม ตั้งแต่
อากาสานัญจายนตะ ขน้ึ ไป. สรุปก็คือ มนุษย์มคี รบท้งั 5 ขนั ธ์. เทวดามีเวทนา สัญญา สงั ขารและวญิ ญาณ แตไ่ ม่มี
รูป. สัตว์นรกมีเวทนาอยา่ งเดียวทีถ่ ูกนำมาใช้งาน. สัตว์เดรัจฉานมีรปู กับเวทนาเท่านั้น ที่แสดงบทบาท ส่วนสัญญา
สังขาร วิญญาณ ไม่ได้ถูกนำมาใช้งาน. สิ่งที่สัตว์เดรัจฉาน ทำเสมือนว่าจดจำบางสิ่งบางอย่างได้นั้ น เป็นเพราะ
“เงือ่ นไข” ท่มี นั จะได้รบั ถ้าทำสิง่ นั้นๆ.

(8) นรก สวรรค์มีความร้อน ความเย็น แบบเดียวกับเทอร์โมไดนามิกส์ ได้หรือไม่? ปกติในโลก 3 มิติ
วัตถุสิ่งของ หรือ สัตว์สิ่งมีชีวิต จะมีร่างทึบ (solid) ซึ่งอาจจะทึบด้วยของแข็ง ของเหลว หรือก๊าซก็ได้. ความเป็น
ก้อนทึบของ 3 มิติ จะมีมิติเวลาเป็นส่วนผสมอยู่ด้วยเสมอ. เหตุนี้จึงทำให้ บริเวณที่เป็นห้วงอวกาศ (field)
มีปริมาณมากกว่าส่วนที่เป็นก้อนทึบเทียบสัดส่วนกันไม่ได้เลย. บริเวณที่มีความเย็นและบริเวณที่มีความร้อน
ในห้วงอวกาศ มีความแตกต่างกันแบบสุดขั้ว. ความเย็นทำให้อากาศอัดตัวแน่น ความร้อนทำให้อากาศเบาบาง.
นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ สามารถสร้างอุณหภูมิให้ร้อนที่สุดได้มากกว่าการระเบิดของซุปเปอร์โนวา คือสูงถึง 7.2
ล้านล้านองศาฟาเรนไฮต์ โดยเครื่องเร่งอนุภาคเฮดรอน LHC. ตามทฤษฎีอุณหภูมิที่ร้อนที่สุดที่สามารถวัดได้
เทา่ กบั 1.42 x 10 32 (ยกกำลัง 32) k = 1,420 ล้านล้านล้านล้านล้าน เควิน. หรอื เขียนเปน็ ตวั เลขได้ 1,420,
ต่อด้วยเลข 0 อีก 10 ตัว หน่วยเป็นเควิน ตามหลักอุณหภูมิของพลังค์ (Planck temperature) จะมีสถานท่ี
ที่ร้อนที่สุดได้ไม่เกิน 100 ล้านล้านล้านล้าน องศาเซลเซียส หรือ 10 32 (ยกกำลัง 32) k (ถ้าร้อนกว่านี้ สสาร
แรง พลังงาน จะยุบรวมกันเป็น สสารชนิดหนึ่ง ชื่อ ฮาดรอนิค (hadronic matter). และจุดที่เย็นที่สุด คือ
อณุ หภูมิของหมอกอะตอม ในห้องทดลองอะตอมเย็น (Cold Atom Laboratory: CAL) บนสถานีอวกาศนานาชาติ
มีความเย็นกว่า 100 ล้านเท่า ของที่ว่างในอวกาศ หรือ เท่ากับ 0.000,000,000,1 องศา เหนือศูนย์สัมบูรณ์.
(ที่ว่างในอวกาศ มีอุณหภูมิเท่ากับ -273.15 องศาเซลเซยี ส เรียกว่า ศูนย์สัมบูรณ์ หรือ 0 เคลวิน). เราอาจอุปมา
เปรียบเทียบสวรรค์ (เทวดา) นรกกับสถานที่ในห้วงอวกาศที่มีอุณหภูมิแตกต่างกัน จะได้หรือไม่? สถานที่ (field)
ในห้วงอวกาศที่ร้อนที่สุดนี้ คือสถานที่ที่ตถาคตเรียกว่า นรก (นรก อาจถูกแบ่งชั้นด้วยขนาดความร้อน) และ
สถานที่ที่เย็นที่สุด คือ สวรรค์ (สวรรค์ อาจถูกแบ่งชั้นด้วยขนาดความเย็น). ถ้าในบริเวณดังกล่าว ไม่ใช่นรก
หรือสวรรค์ แล้วจะให้นรก สวรรค์ไปอยู่แห่งใดในเอกภพ. ตามกฎเทอร์โมไดนามิกส์และกลศาสตร์ควอนตัม
จะบอกว่า อะตอมจะสั่น (สปิน) เคลื่อนที่ไปรอบๆ เมื่อมีความร้อน ยิ่งร้อนมากเท่าไร มันก็จะยิ่งสั่นและเคลื่อนเร็ว
เท่านั้น. ในทำนองเดียวกัน ยิ่งมีความเย็นมากเท่าไร มันก็ยิ่งเคลื่อนช้าลงเท่านั้น และจะหยุดนิ่งเมื่ออุณหภูมิเป็น
ศูนย์สัมบูรณ์ (ซึ่งยังไม่มีการค้นพบว่ามีสถานที่ใด ที่มีอุณหภูมิเท่ากับศูนย์สัมบูรณ์). เนื่องจากสัตว์นรกและเทวดา

๔๖

ไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายที่เป็นอะตอม การเคลื่อนที่ไปในที่ใดๆ ในมิติที่ 4 จึงไม่อยู่ในเงื่อนไขใดๆ ของ
กฎเทอร์โมไดนามิกส์และกลศาสตร์ควอนตัม. ทำให้เทวดาสามารถเหาะ (เคลื่อนไป) ไปด้วยจิตที่ไม่มีมวล และไป
ด้วยความเร็วมากกวา่ ความเร็วแสง. ขณะท่บี รเิ วณท่ีเหาะไปน้นั มีความเย็นอยา่ งยิ่งยวดแวดล้อมอยู่ และความเย็น
ทำให้ภาวะจิตใจของเหล่าเทวดา สงบนิ่ง ยิ่งเย็นมากเท่าใด จิตก็จะสงบนิ่งมากเท่านั้น (เช่น จิตของเทวดา
ชัน้ อรปู พรหม ต้งั แต่ อากาสานญั จายตนะ ขึ้นไป). และในทำนองกลบั กนั ความรอ้ น ทำใหจ้ ิตของสัตว์นรก เร่ารอ้ น
กระวนกระวายใจ ยิ่งร้อนมากเท่าใด จิตก็จะเร่าร้อนมากเท่านั้น (เช่น จิตของสัตว์นรกชั้นปทุมนรก). สัตว์นรก
จึงไม่มีโอกาสหรือห้วงเวลา ให้คิดเหาะออกไปจากสถานที่เร่าร้อนนั้นได้เลย. เปรียบเหมือนว่า จิตที่ไม่สงบ ถูกเผา
ด้วยความร้อน ย่อมไม่มีปญั ญา ที่จะพาตนให้พ้นจากความทกุ ข.์ ส่วนจิตที่สงบน่ิง (ในแวดล้อมของความเย็น) ย่อม
ก่อเกิดปัญญา โลดแล่นไปไร้ขอบเขต. เป็นไปได้หรือไม่ว่า สถานที่ (field) ที่เรียกว่า นรก สวรรค์ ก็คือ
โลก (sphere) ในมิติที่ 4. โลกในมิติที่ 4 นี้ จะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ สามารถทนทานต่อความเย็น หรือความร้อน
ที่แตกต่างกันขนาดนี้ได้ เว้นแต่สัตว์นั้น ไม่ต้องมีร่างกายแบบมนุษย์. เหตุผลข้อนี้ อาจบ่งชี้ว่า สัตว์นั้นจะเป็น
อยา่ งอื่นไปไมไ่ ด้ ถา้ ไมใ่ ช่สตั วน์ รก หรือ เทวดา.

(9) ความแตกต่างระหว่างแสงกับจิต (วิญญาณ) เมื่อมองในภาวะทางควอนตัม เมื่อ zoom in เข้าไป
ใกล้ๆ ของเส้นแสงในโฟตอน จะมองเห็น ภาวะทางควอนตัม ซึ่งลำแสงจะถูกแบ่งออกเป็นห้วงๆ (quanta) ที่มี
ช่องว่างระหว่างหว้ งๆ นั้น แคบและสัน้ มากๆ. ระยะแคบและสัน้ มากๆ นี้ จะมีแรงโน้มถ่วงควอนตัม คอยยึดเหนีย่ ว
ให้ลำแสง เคลื่อน (พุ่ง) ออกไปทุกทิศทาง ได้ตลอดเวลา. คุณสมบัติข้อนี้ เมื่อเทียบกับจิตแล้ว มีความใกล้เคียงกัน
มาก. เมื่อ zoom in เข้าไปใกล้ๆ ของจิต จะพบว่า จิตมีการเคลื่อน (เกิด-ดับ) ไปรอบๆ แกนเวลา (แกนแนวตั้ง)
เท่านั้น ไม่เป็นไปตามแนวของระยะทาง (แกนแนวนอน). ซึ่งต่างจากแสง ที่เคลื่อนไปโดยอาศัยทั้งแกนเวลาและ
แกนระยะทาง. การเคลื่อนของจิต ไม่ได้มีลักษณะเป็นเส้นเหมือนลำแสง แต่เป็นกลุ่มก้อนของละอองของจิต
แผ่กระจายไปทุกทิศทาง บนรอบแกนเวลา. ละอองของจิต มักใช้คำลักษณะนามเรียกว่า ดวง และเรียกกลุ่มก้อน
ละอองเหล่านั้นว่า วิญญาณบ้าง มโนบ้าง จิตบ้าง. วิญญาณแต่ละดวง จะมีภาวะทางควอนตัม เกิดขึ้นภายในห้ วง
การเกิด-ดับ ของวิญญาณ ซึ่งมีะระยะของการเกิด-ดับ ที่ใกล้ชิดกันมากๆ. การเกิด-ดับของวิญญาณ ก่อให้เกิด
แรงทางจิต คล้ายกับแรงโน้มถ่วงควอนตัม ที่เกิดกับลำแสง. แต่เนื่องจาก ห้วงการเกิด-ดับ ของวิญญาณ ไม่ได้อยู่
บนเส้นแกนระยะทาง แต่อยู่บนแกนเวลา จึงทำให้คุณสมบัติของ แรงทางจิต ไม่ได้มีคุณสมบัติแบบฟิสิกส์
แต่มีความโน้มถ่วงของแรงที่พัวพันกับเวลา. ดังนั้น แรงทางจิต จึงยึดเหนี่ยว เจตนา ทิฏฐิ สมาธิ วิบาก ไว้กับเวลา
ซ่งึ สง่ ผลให้สตั วท์ ้งั หลาย มภี พ ชาติ สืบตอ่ เนือ่ งไปไมม่ ีทสี่ ิ้นสดุ .

(10) พฤติการณ์ของจิตกับกฎของความเฉื่อย (inertial) กฎกลศาสตร์ของนิวตัน ข้อ 1 (กฏของความ
เฉื่อย) กล่าวไว้ว่า “วัตถุที่หยุดนิ่ง จะพยายามหยุดนิ่งอยู่กับที่ ตราบที่ยังไม่มีแรงภายนอก มากระทำ. วัตถุท่ี
เคลื่อนที่ จะเคลื่อนที่เป็นเส้นตรง ด้วยความเร็วคงที่ ตราบที่ยังไม่มีแรงภายนอก มากระทำ.” จากกฏของความ
เฉื่อย นำมาอธิบายพฤติการของ จิตธาตุ ได้ว่า จิต หรือ วิญญาณ เป็นธัมมะธาตุหนึ่ง ที่ร่วมกับธัมมะธาตุอ่ืน
(เวทนา สัญญา สังขาร) ในการสร้างความปั่นป่วน ให้เกิดขึ้นแก่สัตว์-บุคคล-ตัวตน ซึ่งอาศัย รูปธาตุ ‘โลก-ร่างกาย'
(ดิน น้ำ ไฟ ลม - physical) ในการดำรงอยู่ของชีวิต. โลก-ร่างกาย จึงเป็นสิ่งที่ จิตยึดเกาะไว้ เพื่อแสดงพฤติการ
ปั่นป่วน ให้แก่สัตว์-บุคคล-ตัวตน. ความปั่นป่วนของจิต เป็นไปได้ 3 ทิศทาง คือกุศล อกุศล และอุเบกขา. วัตถุท่ี
ถูกทำให้เคลื่อนที่บนโลก จะมีแรงเสียดทาน มากระทำเสมอ. แต่วัตถุที่ถูกทำให้ เคลื่อนที่ ในอวกาศ จะไม่มี
แรงเสียดทาน มากระทำ (หรือมีน้อยมาก จนวัดค่าไม่ได้) ส่งผลให้ วัตถุนั้น เคลื่อนที่ไปเช่นนั้น ( continued)

๔๗
ในระยะทางอนันต์ (infinity). แรงเสียดทาน ที่จะมาทำให้อาการปัน่ ปว่ นของจิต สงบลง เช่น อานาปานสติ การละ
นันทิ การทำสมาธิ การได้ฌาน เป็นต้น. อาการปั่นป่วนของจิต ไม่ว่าจะในทิศทางใด (กุศล อกุศล อุเบกขา) หรือ
มีลักษะอาการอย่างใด (พอใจ พยาบาท หดหู่ ฟุ้งซ่าน สังสัย - นิวรณ์) รุนแรง เบาบางเท่าใด ก็จะแสดงออกทาง
โลก-ร่างกาย และสามารถควบคุมจิตให้สงบได้ (สติ สัมปชัญญะ สมาธิ ฌาน) ถ้าสัตว์-บุคคล-ตัวตน นั้น ยังมี
โลก-ร่างกาย อยู่. ถ้าจิต อยู่ในภาวะปั่นป่วน (นิวรณ์) หรือ อยู่ในภาวะสงบ (สติ สัมปชัญญะ สมาธิ ฌาน)
ในระหว่างที่สัตว์-บุคคล-ตวั ตน นั้น ไม่มี โลก-ร่างกาย อยู่ในเวลานั้น (ตาย) ก็จะมีลักษณะอาการแบบเดียวกับวัตถุ
ทีถ่ กู ทำใหเ้ คลื่อนท่ไี ป ในอวกาศ คือความป่นั ป่วน หรือความสงบของจิตกจ็ ะทำให้ สัตว-์ บคุ คล-ตวั ตน นน้ั ไดร้ บั ผล
เช่นนั้น ทันทีหลังการตายและต่อเนื่องไปเป็นระยะเวลาอนันต์. ในภาวะไร้ โลก-ร่างกาย ความปั่นป่วนของจิต
ยอ่ มสร้างแรงเฉอื่ ย ให้แก่ สตั ว์-บุคคล-ตวั ตน ไม่มีท่ีสดุ . สตั ว์-บคุ คล-ตวั ตน นนั้ กจ็ ะไดเ้ กิดในภพใหม่ คือ ถ้าจิตเป็น
กุศล และสงบ ภพใหม่ก็คือ สวรรค์ ถ้าจิตเป็นอกุศล และปั่นป่วน (นิวรณ์ สังโยชน์) ภพใหม่ ก็คือ นรก. ภพใหม่
ที่เป็นมนุษย์ ไม่อาจเป็นไปได้ง่ายๆ เลย เพราะภาวะที่จะได้ โลก-ร่างกาย แบบมนุษย์น้ัน ไม่สามารถหาแหล่ง หรือ
สถานที่ (earth) ได้โดยง่าย, แหล่งหรือสถานที่ในเอกภพ (ดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ กาแล็กซี่) กลับมีมากกว่ามาก
ตอ่ มาก

ทมี่ า http://www.igoodmedia.net/author/02_book/the-7-element/html/the7-element-chapter05.html

๔๘

พทุ ธศาสนากบั ชวี ิตและสงั คม๒ ความแตกตา่ งหลากหลายในความเปน็ อนั หนง่ึ อันเดียวกัน ตวั อย่างความ
แตกต่างหลากหลายนี่เราเหน็ มาก อย่างคฤหสั ถ์ท่ีบรรลุธรรมเปน็ โสดาบนั เป็นอริยบุคคลอยคู่ รองเรือนมีบุตรภรรยา
แต่ว่าได้บรรลุโลกุตตรธรรมแล้ว แต่พระสงฆ์บางองค์ อาจจะไปอยู่ป่าตลอดชีวิต ได้ฌานสมาบัติก็อยู่แค่โลกียธรรม
ตลอดชีวิต ไม่ได้บรรลุโลกุตตรธรรมอะไร นี้ก็เป็นความแตกต่างหลากหลาย แต่คฤหัสถ์ถึงจะเป็นพระอนาคามี
เป็นพระอริยบุคคลก็กราบไหว้พระสงฆ์ แม้จะเป็นปุถุชนที่กิเลสหนา อันนี้ก็เพื่อประโยชน์แก่สังคม เราก็ต้องเข้าใจ
เพราะว่าท่านที่เป็นพระอริยบุคคล เป็นคฤหัสถ์ที่มีคุณธรรมสูงจิตใจสูงแล้ว ท่านก็ไม่ได้ถือเนื้อถือตัวอะไร แต่ไหว้
พระปุถุชน อันนี้เพื่อยกย่องรูปแบบที่เป็นตัวแทนของคุณธรรมความดีไว้ เชิดชูสิ่งท่ีควรจะเชิดชูไว้เป็นหน้าที่ของ
สังคมต่อไป นี่เป็นคติของชาวพุทธที่มีปฏิบัติกันมาแต่ดั้งเดิม ในหมู่พระเอง ท่านก็มีปฏิบัติกันหลากหลาย บางองค์
ถือวัตร ถือธุดงค์ ธุดงค์ก็คือข้อปฏิบัติพิเศษให้เคร่งครัด เช่น อยู่ป่า โคนไม้ เป็นต้น พระองค์อื่นรู้ก็ยกย่องให้เกียรติ
เออ...ท่านองค์นี้ดี ท่านมีความประพฤติเคร่งครัดถือวตั รเป็นพเิ ศษ องค์ที่ถือก็ไมไ่ ด้วา่ อะไรองค์อื่น ก็มีความยกย่อง
นับถือซึ่งกันและกัน หรืออย่างพระภิกษุที่เป็นพระอรหันต์ก็กราบไหว้ภิกษุปุถุชนที่มีพรรษาสูงกว่า ส่วนในการงาน
ก็เอาตามความสามารถ อันนี้คือชุมชนชาวพุทธที่เรารู้ว่ามีความแตกต่างหลากหลายในความเป็นอันหนึ่งอัน
เดียวกัน แล้วก็รวมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันด้วย อาศัยเมตตา กรุณา มีคารวธรรม มีความรักเคารพกัน เกื้อกูล
ซึ่งกันและกัน มันก็ไม่เกิดเป็นปัญหาขึ้น ชาวพุทธเรานี้ แม้จะประพฤติปฏิบัติอะไรก็ต้องคอยสำรวจตนเอง
เมื่อสำรวจตนเอง มองเห็นว่าได้ประพฤติปฏิบัติดีงามต่างๆ เราก็ย่อมมีความปีติเอิบอิ่มใจในสิ่งที่ได้ประพฤติปฏิบตั ิ
นั้น แต่เราต้องระวัง เราอาจเกิดลืมตัวไป ไปๆ มาๆ เราอาจจะเกิดมานะอหังการว่า เราดีกว่าคนอื่น เลยกลายเป็น
อสัตบุรุษไป เราควรจะนึกเตือนตนไว้เสมอๆ ว่า ถึงเราจะประพฤติปฏิบัติอย่างไร เราก็สู้โจรองคุลีมาลไม่ได้
โจรองคุลีมาลนี้เป็นโจรร้าย ฆ่าฟันคนมามากมาย แต่มาวันหนึ่งแกมาพบพระพุทธเจ้าแล้วได้ฟังธรรม ก็เข้าใจ
บรรลุธรรม ไปบวชเป็นพระอรหันต์ เรานี่ประพฤติดีแค่ไหน ก็สู้โจรองคุลีมาลไม่ได้สักคน นี้เป็นข้อเตือนใจไว้ คือ
จะได้เปน็ เคร่ืองระวังตวั ไม่ใหม้ ีความประมาท

ที่มา https://www.trueplookpanya.com/learning/detail/34729

๔๙

อา้ งอิง

๑ SUDIN CHAOHINFA. ม.ป.พ. บทท่ี 5 ฟิสกิ ส์แห่งจติ วญิ ญาณ. เขา้ ถงึ ขอ้ มลู ไดจ้ าก http://www.igoodmedia.
net/author/02_book/the-7-element/html/the7-element-chapter05.html วนั ทีส่ ืบค้นข้อมลู ๑๕
กรกฎาคม ๒๕๖๕.
๒ สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต). ๒๕๖๔. พทุ ธศาสนากับชวี ิตและสงั คม. เข้าถงึ ขอ้ มลู ไดจ้ าก
วดั ญาณเวศกวัน https://www.watnyanaves.net/th/book-reading/315/6 วนั ท่สี ืบคน้ ขอ้ มูล ๑๕
กรกฎาคม ๒๕๖๕.


Click to View FlipBook Version